อิทธิฤทธิ์หรือความบังเอิญ (ตอนที่ 10 หลวงปู่สี ฉันทสิริ วัดถ้ำเขาบุนนาค)
โปรด "คลิก" อ่าน ตอนที่ 10
หลวงปู่สี ฉันทสิริ ll►
ผ้าสังฆาฏิหลวงปู่สี ฯ ll►
ผิดคาด ll►
หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต ll►
อภินิหารของหลวงพ่อและหลวงปู่สี ll►
หลวงพ่อช่วยงานศพหลวงปู่สี ll►
ตอนที่ ๑๐
หลวงปู่สี ฉันทสิริ
แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำเขาบุนนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

ในบรรดาพระเดชพระคุณ พระสุปฏิปันโนทั้งหลายที่ผมเคยได้รู้จักและเกี่ยวข้องหรือเนื่องด้วยหลวงพ่อ ฯ ของพวกเรา
พระคุณเจ้าองค์นี้นั้นผมมีความสนิทสนมด้วยน้อยที่สุด คือผมมีโอกาสได้พบได้นมัสการพูดคุยกับท่านเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ครั้งเดียวที่ว่านี้
เรียกหรือนับได้ว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ติดตามมาซิครับ ถ้าไม่จริงไม่เอาตังค์...!
ในห้วงระยะเวลาระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ๒๕๑๘ เป็นช่วงระยะเวลาที่หลวงพ่อ ฯ ท่านต้องตระเตรียมงานต่าง ๆ มากมาย เกี่ยวกับการฉลองสมโภชงาน ครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดหลวงพ่อปาน ฯ พระอาจารย์ของท่านและปรมาจารย์ของพวกเรา
ส่วนหนึ่งของแผนงานก็คือ จะมีการอาราธนานิมนต์หลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ต่าง ๆ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "พระเกจิอาจารย์"
ที่มีชื่อเสียงให้มาร่วมในงานนี้ โดยมีรายการต่าง ๆ เพื่อให้ญาติโยมที่จะมากันมาก ได้โอกาสนมัสการและทำบุญกับพระสงฆ์เหล่านี้
และเพื่อมาเข้าพิธีพุทธาภิเษกรูปหล่อเหมือนหลวงปู่ปาน ฯ ตลอดจนพระเครื่องต่าง ๆ ด้วย ฯลฯ เป็นต้น
กำหนดการนี้อยู่กลางเดือนสิงหาคม ๒๕๑๘ ซึ่งอยู่ในระหว่างเข้าพรรษาด้วย พระเดชพระคุณ ฯ ที่พวกเราต้องการจะนิมนต์มานี้ ล้วนเป็นพระที่มีชื่อเสียง
(ลูกศิษย์หวง) การไปนิมนต์จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำได้ ระยะทางหรือก็ไกล แถมยังจะต้องมาค้างคืนอีกหลายคืน ใครจะมาต้องถือว่าสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งยังจะต้องลาสังคหะอีกด้วย
ปัญหาแบบนี้ใครจะมีบารมีมากพอที่จะไปทำได้ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อ ฯ ดังนั้นภาระในการนี้จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของหลวงพ่อ ฯ โดยตรงที่จะต้องไปดำเนินการ
(ให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลย) สำหรับพวกผมก็คิดประเมินสถานการณ์กันว่า ๕๐/๕๐ หมายความว่าอย่างเก่งอาจจะสำเร็จเพียงครึ่งเดียว แต่สำหรับหลวงพ่อ ฯ แล้ว
ท่านมีความมั่นใจมาก เพราะท่านพูดเสมอว่า งานนี้เป็นการสำคัญของพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว
หลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ทั้งหลายจะต้องมาแน่ ๆ และในการไปอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าเหล่านี้ หลวงพ่อ ฯ
ก็ได้ชักชวนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาให้ไปร่วมนมัสการด้วยเป็นคณะใหญ่ จนกระทั่งได้เกิดเป็นตำนาน ฤาษีทัศนาจร และ
ล่าพระอาจารย์ ให้พวกเรารุ่นหลังได้อ่านกันสนุกสนานกันมาจนทุกวันนี้
และปรากฎว่าได้สำเร็จจริงตามที่หลวงพ่อ ฯ ท่านว่าเอาไว้ ยกเว้นอยู่เพียง ๔ องค์ที่มาไม่ได้ เพราะเหตุจำเป็นจริง ๆ คือ หลวงปู่แหวน ฯ (องค์นี้พวกเราพิจารณากันเองด้วยสติปัญญาว่า ท่านชราภาพมากและสุขภาพไม่ดี จึงไม่นิมนต์) องค์ต่อมาคือ
หลวงปู่ทืม ฯ องค์นี้เล่นลาตายเลยครับ ดีเหมือนกันไม่ต้องแก้ตัว อีกองค์คือ ท่าน ฯ วัดพระบาทตากผ้า ศิษย์ของท่านองค์หนึ่งป่วยหนักเข้าขั้นตรีทูต ถ้าท่านไม่อยู่ดูแลต้องม้วยมรณัง
องค์สุดท้ายที่ไม่มาคือ หลวงปู่สี ฯ ไม่ยอมมาเพราะอาย อ่านตามมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็รู้ว่าอายอะไร
บรรดาพระสุปฏิปันโนทุกองค์ที่ได้มาและไม่ได้มาร่วมงานดังกล่าว มีอยู่เพียงองค์เดียวคือ หลวงปู่สี ฯ ที่หลวงพ่อ ฯ
ไม่ได้พาคณะศิษย์ไปนมัสการ (เนื่องจากมีเหตุผลหลายประการ ซึ่งผมจะขอข้ามไป) ลูกศิษย์ฝ่ายทหารอากาศ มีพี่สาย (พ.อ.อ. สาย ศิริรัตน์ ทำงานอยู่ที่
บน.4 ตาคลี) เป็นต้น ได้เคยมาปรึกษาหารือกับผมเสมอ ๆ โดยขอให้ผมเสนอหลวงพ่อ ฯ ให้ชักชวนคณะศิษย์ไป แต่ผมทำเฉยเสีย
ทั้งนี้เพราะผมนั้นรู้อยู่แก่ใจว่า ถ้าการใดสำคัญจำเป็นแล้ว หลวงพ่อ ฯ ท่านจะบัญชาลงมาเองทันที โดยไม่ต้องไปชวน หรืออาราธนาให้ลำบาก
จากการที่ พี่สาย ฯ มาคอยตื๊อผมในเรื่องนี้ ผมจึงได้ทราบประวัติและความเป็นมาของ หลวงปู่สี ฯ พอสังเขปว่า
หลวงปู่ ฯ ไม่ได้เป็นชาวอำเภอตาคลีโดยกำเนิด ท่านเป็นคนทางภาคอีสาน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในระหว่างที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามป่าเขา
ท่านได้ไปปักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้านป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งหมู่บ้านนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไปแล้วกว่าครึ่ง หลวงปู่ ฯ
จึงได้พยายามเทศนาสั่งสอนจนชาวบ้านจำนวนมากได้กลับตัวกลับใจหันมานับถือศาสนาพุทธอีก
การกระทำของหลวงปู่ ฯ สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ที่ควบคุมพื้นที่นั้นมาก จึงได้วางแผนจะเข้าไปจับตัวหลวงปู่ ฯ
โดยเข้าทำการปิดล้อมหมู่บ้านตามยุทธวิธีของเขา ปรากฎว่าพวกเขาหาตัวหลวงปู่ ฯ ไม่พบ ทั้ง ๆ ที่ระหว่างที่เข้าปฏิบัติการนั้น หลวงปู่ ฯ
ก็ยืนอยู่ในป่าอ้อยใกล้ ๆ หมู่บ้านนั้นเอง ไม่ได้ไปไหน ท่านว่าพวกเขาแทบจะเดินชนท่านหลายครั้ง แต่ทำไมจึงไม่เห็นท่านก็ไม่รู้ (ไม่รู้ยันเลยนะครับหลวงปู่ ฯ
แบบนี้เขาเรียกว่า รู้แต่ไม่ยอมบอก)
สมัยนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยไม่ได้โจมตีเฉพาะรัฐบาลเท่านั้น ยังได้โจมตีศาสนาและพระมหากษัตริย์ด้วยทุกวัน
สามารถรับฟังได้ชัดเจนจากสถานีวิทยุเสียงปักกิ่ง ข่าวการประสงค์ร้ายต่อหลวงปู่ ฯ นี้ล่วงรู้ไปถึงหูพวกลูกศิษย์ที่เป็นทหารอากาศ จึงได้วางแผนไปรับตัวหลวงปู่
ฯ นำขึ้น ฮ. มาที่ตาคลี และต่อมาได้อาราธนาให้ไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ดังกล่าวแล้วข้างต้น แต่ฟังว่ากว่าจะนิมนต์เอาตัวหลวงปู่ ฯ มาได้
ถึงกับต้องเอาราชการไปอ้างท่านถึงจำต้องยอม
เรื่องนี้จริงเท็จอย่างไร ผมไม่รับรอง แต่เมื่อ พี่สาย ฯ รับรอง ผมก็เชื่อ เพราะเราไม่เคยโกหกกัน เว้นแต่จะฟังมาผิด
เพราะต่างก็ไม่มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องในการนั้น ฟังเขามาเล่าต่อว่าอย่างนั้นเถิด แต่ถ้าใครยังติดใจก็ตามไปถามเอาจาก พี่สาย ฯ หรือ
หลวงปู่ ฯ เองก็แล้วกันครับ
หมายเหตุ : ในตอนจบนี้ "ผู้เขียน" เล่นมุขจนรับไม่ทัน บอกว่าให้ไปถาม "พี่สาย" หรือ "หลวงปู่" กันเอง
จะไปถามได้ไงละครับ ในเมื่อ "พี่สาย" และ "หลวงปู่" ได้จากโลกนี้ไปนานตั้งหลายปีแล้ว หรือว่าใครจะกำหนดจิตถามกันเองก็แล้วกันนะคร๊าบบบ...!!!
(จาก "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง")
<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
Update 27 ก.ค. 2552
ผ้าสังฆาฏิหลวงปู่สี
ก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้ ผมเองก็ได้พยายามติดต่อขอประวัติของหลวงปู่ ฯ ที่เชื่อว่าที่วัดน่าจะมีเหลือ มิสเตอร์บัง ฯ (ร.ต.นที) บอกผมว่า พี่ประมวล
(พ.อ.อ. ประมวล ราชอินทร์) น่าจะมี ผมก็รอคอยอยู่ เพราะถ้าได้มาก็จะเป็นประโยชน์ที่จะนำมาย่อพอสังเขป ไม่ต้องให้คนที่อยากรู้ต้องไปหาหนังสือหลาย ๆ
เล่มมาอ่าน จึงจะได้ความครบสมบูรณ์
รออยู่นานมิสเตอร์บัง ฯ ก็ยังไม่กลับ (ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ อยู่ในประเทศไทยนี่แหละ แต่กู่ไม่กลับ นัยว่ายุ่งกับธุรกิจถมดินอยู่จนท่อปัสสาวะอักเสบ)
ผมจึงตัดสินใจไม่รอคอย เพราะเดี๋ยวหนังสือเล่มนี้ไม่ได้พิมพ์ งวดหน้าพี่จะแวะรับก็แล้วกันนะบังนะ งวดนี้พี่ไปก่อน คอยอยู่กับไอ้ตี๋เล็กก็แล้วกัน
กลับมาเข้าเรื่องหลวงปู่สี ฯ ต่อไป ต่อมาเมื่อใกล้จะถึงกำหนดวันงานสมโภชครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงปู่ปาน ฯ ท่านเจ้าคุณศุภมัสสุ หรือพระอาจารย์เหม่ ฯ
(คุณเลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม) ได้แจ้งให้ผมทราบว่า หลวงพ่อ ฯ ตามหาผม จะให้ไปหา หลวงปู่สี ฯ เพื่อนำสังฆาฏิไปแลก
แล้วนำมาแจกจ่ายในงานตามโครงการของผม
ทีแรกผมก็อุ่นใจ เพราะคิดว่าหลวงพ่อ ฯ จะนำไป ที่ไหนได้..พอหลวงพ่อ ฯ บอกว่าท่านไม่ไป จะให้ผมไปเอง ผมก็ร้องจ๊ากเลยครับ
นึกในใจว่าเวรกรรมของไอ้เป๋ ฯ
ไม่มีทางสำเร็จหร๊อก !...
แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ให้ คุณป้านนทา ฯ เลือกสังฆาฏิใหม่ให้ ๑ ผืน ก้มหน้างุด ๆ ออกมาชวนสมัครพรรคพวกกลุ่มทหารอากาศไปกันหลายคน
ก็หวังพึ่งพิงพวกพี่ ๆ เขานี่แหละครับ บอกตรง ๆ ดุ่ยเด่ไปคนเดียวใครจะกล้า อุ่นใจว่าพวกพี่เขาเคยไปนมัสการอยู่บ่อยครั้ง ส่วนผมนั้นไม่เคยไปเลย
จำได้ว่ามีน้อง ๆ ไปช่วยเชียร์กันหลายคน รุ่นเดอะที่ไปช่วยลุ้นก็มี แม่นิด ฯ กับพระอาจารย์เหม่ ฯ พอถึงวัดก็ตรงรี่เข้าไปที่กุฏีของหลวงปู่
ฯ
หลวงพี่ ฯ (พระองค์ที่คุ้นเคยกับพวกเราที่เป็นทหารอากาศและดูแลหลวงปู่ ฯ อยู่) ก็ออกมาต้อนรับ และแจ้งให้พวกเราทราบว่า คอยประเดี๋ยวนะครับ ท่านกำลังฟังวิทยุอยู่ ต้องรอให้ท่านฟังให้เสร็จเสียก่อน จึงจะเข้าไปพบและนมัสการได้
เออ
ก็ดีเหมือนกัน ผมคิดในใจ พอมีเวลาตั้งตัว คิดดังนั้นแล้วผมจึงได้เร่เข้าไปเจรจากับหลวงพี่ ฯ เป็นการหยั่งเชิงไปก่อนว่า
ที่มานี้มีความประสงค์อย่างไร หลวงพี่ ฯ ก็ให้กำลังใจว่าคงจะสำเร็จ แต่เดี๋ยวเมื่อคุณได้พบแล้วก็ให้เรียนขอกับท่านเอาเองก็แล้วกัน ทางนี้
(หมายถึงระดับลูกศิษย์เท่านั้น) ได้ทราบเลา ๆ แล้วถึงความประสงค์ แต่ไม่มีใครบอกกับหลวงปู่ ฯ หรอก ไม่มีใครกล้า ต้องขอเอง
อ้าว
แล้วกันหลวงพี่ ฯ ขนาดหลวงพี่ ฯ อยู่กับท่านแล้วยังไม่กล้าบอกท่านก่อน แล้วอย่างผมที่ไม่รู้จักกับท่านมาก่อนเลย จะทำยังไงนี่ ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ
แล้วผมขอสารภาพอีกว่า สำหรับองค์อื่น ๆ แล้ว ผมชัวร์ป้าบเลยครับว่าสำเร็จ แต่ หลวงปู่สี ฯ นี่ไม่ป๊าดไม่ปู๊ดเลยครับ ทำท่าจะเป๋งลูกเดียว
หาข่าวมาแล้วก็รู้สึกสำนึกเลยครับว่าถูกต้ม ไม่มีใครนำทางหรือนำร่องให้มาก่อนเลย พี่สาย ฯ นะพี่สาย ฯ ผมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความแค้นอยู่ในใจ
เป็นทหารอากาศแท้ ๆ แต่ดันพาผมมาปล่อยเกาะ ถ้าเป็นทหารเรือจะไม่ต่อว่าเลย ผมเข้าไปซักถามพวกเราที่เป็นทหารอากาศเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
ได้ความว่าไม่มีใครกล้ามาบอกหลวงปู่ ฯ ไว้ก่อน
เวรนะเวร
ไม่น่าหลอกกัน ก็เมื่อตอนก่อนจะมา ผมถามแล้วก็พูดเสียแข็งขันว่าสบายมาก ผมก็นึกว่ามีผู้เก่งกล้าอาสารับภาระมาขอให้เรียบร้อยแล้ว
จึงเตรียมกายเตรียมใจแค่วางมาดเข้ามารับของที่ต้องการแล้วก็กลับได้ หนอยแน่
ก็แค่มากราบเรียนให้หลวงพี่ ฯ ทราบเท่านั้น ส่วนหลวงปู่ ฯ
ไม่มีใครมาบอกไว้ก่อนเลย
เอาไงดีวะ
ผมคิดในใจแล้วทำเถลไถลกลบเกลื่อนความไซ้ต์ใน เดินออกไปชมเครื่องรางของขลังที่ตู้กระจกที่ชานหน้ากุฏี ทำไก๋เช่ารูปหล่อเหมือนหลวงปู่ ฯ มา ๑
องค์ หูก็แว่ว ๆ ได้ยินเสียงเพลงอีสานอยู่ในห้องของหลวงปู่ ฯ คิดปลอบใจตนเองว่า เฮ้อ
พระองค์นี้คงไม่เท่าไหร่หรอก ยังติดฟังเพลงอยู่นี่ คงไม่มีอะไรหรอกน่า
ผิว(ผิวะ)
ไม่ได้ก็ไม่เอา แน่ะ
อวดดีอีกเอ้า เออ
เสียงเพลงจบลงแล้วได้พบเสียทีจะได้เสร็จ ๆ
ข้างหลวงพี่ ฯ กุลีกุจอกระวีกระวาดไปลาดเลา เอาหูแนบประตูกุฏีกระแอมกระไอ แล้วร้องบอกขออนุญาตให้โยมได้เข้าไปนมัสการ แล้วหลวงพี่ ฯ
เองก็ผลุบเข้าประตูไป ไม่ถึงอึดใจประตูก็เปิดออกมา พวกเราก็ถลาเข้าไปกราบนมัสการ เห็นท่านนั่งชันเข่าอยู่ข้างหนึ่ง นุ่งสบงอยู่ตัวเดียว
หน้าตาบึ้งตึงชนิดที่ว่า.. ไม่ว่าไทย ไม่ว่าฝรั่ง ไม่รับทั้งนั้น อย่าว่าแต่แขกเลยครับ
ผมเข้าไปกราบแล้วถอยปรู๊ดออกมาหลบอยู่ข้างหลัง แม่นิด ฯ ภาวนา..พุทโธ ๆ ขอให้ หลวงพ่อ ฯ ช่วย หลวงพ่อ ฯ คะร๊าบ..ช่วยด้วยช่วยที
นี่พระหรือเสือขอรับ นัยน์ตาลุกวาวขมึงทึงทีเดียวเจียวแหละ พวกเราทุกคนนั่งกันเงียบกริ๊บเลยครับ ฝ่ายหลวงปู่ ฯ ก็ออกงิ้วเลยครับ
ตวาดแว๊ดมาด้วยเสียงอันดัง
พวกมึงมาทำไม หืม
โน่น ข้างนอกโน่น จะมาเอาวัตถุก็ไปเอาข้างนอก เขาหล่อรูปกูเอาไว้ขายเยอะ อย่างอื่นก็มี ไปไป๊
ออกไปข้างนอก พาไปข้างนอก ธรรมะไม่เอานี่..ลูกศิษย์ใครกัน..!
พูดจบก็โบกมือสั่งให้หลวงพี่ ฯ ปิดประตู หลังจากโบกมือไล่พวกเราแล้วก็หันหลังให้ นั่งเฉยอยู่อย่างนั้นไม่พูดไม่จา
พวกเราตกตะลึง..เสร็จ..เสร็จ..เสร็จแน่
! เริ่มต้นบรรยากาศก็แปรปรวนล้วนสลดแลสยดสยอง หลวงพี่ ฯ เข้าไปกราบเรียนอ้อนวอนว่า เป็นคณะศิษย์ของหลวงพ่อ ฯ
มีธุระนำข่าวมาจากหลวงพ่อ ฯ ท่านจึงได้หันกลับมาอีกทีอย่างเสียไม่ได้ ตวาดเอ็ดอึงต่อไปว่า
ที่เฮาฟังอยู่นี่ บ่แม่นเพลง เป็นแหล่เทศน์ เคยฟังบ๋อ ฮื่อ
ตอนท้ายยังทำเสียงฮื่อออกทางจมูกเหมือนกับแสดงความสมเพช จากนั้นก็ยังดุยังบ่นพึมพัม ดังบ้างค่อยบ้างต่อไปอีกหลายกระบุงโกย (เป็นภาษาอีสาน)
แต่ผมไม่รับฟังแล้ว ภาวนา "พุทโธ" อย่างเดียว จิตจับอยู่ที่หลวงพ่อ ฯ และขอบารมีหลวงพ่อ ฯ ให้ช่วยด้วยลูกเดียว อะไร ๆ ที่ได้ล่วงเกินไปนั้น
ลูกช้างมันโง่ กราบขออภัยให้ไอ้ลูกหมา (เอ๊ย
ไอ้หมาลูกคน) ด้วยเถิดคะร๊าบ ไอ๊หยา
น่ากลัวจิน ๆ
เสียงดุค่อย ๆ เบาลง ๆ จนเงียบ แต่ผมก็ไม่ยอมลืมตา ใช้วิธีส่งกระแสจิตอย่างเดียวเท่านั้น รับได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แว่วได้ยินเสียง
แม่นิดเจรจากับหลวงปู่ ฯ ว่าหลวงพ่อ ฯ ให้เอาสังฆาฏิมาแลกแล้วก็เงียบไป สักพักแม่นิดสะกิดบอกว่า หลวงปู่ ฯ เรียก จึงค่อย ๆ
ลืมตาขึ้น โอ๋ยโย่... เค้าเป๋... ลุจังโลย ซี้แหงเลี้ยว... ท่านจ้องหน้าผมเป๋ง ผมหลับหูหลับตาคลานเข้าไปกราบ แล้วพูดโดยไม่ยอมมองหน้าท่านว่า หลวงพ่อฤาษี ฯ ให้เอาสังฆาฏิมาแลกครับ
ท่านก็รับสังฆาฏิที่ผมประเคนไปอย่างเสียไม่ได้ ไม่เต็มใจเอาเสียเลย แล้วเอาไปคลี่ออก เอาศอกทาบตามความยาววัดไปทีละศอก ๆ
จนหมดความยาวของสังฆาฏิผืนนั้นแล้วร้อง เช๊อะ...ไม่ได้เรื่อง
พลางโยนสังฆาฏิผืนนั้นลงกับพื้นอย่างไม่แยแส ดุเกรี้ยวกราดขโมงโฉงเฉงต่อไปอีก
คนสมัยนี้มันแย่ สังฆาฏิพระวินัยให้ยาว ๘ ศอก นี่ยาวเท่าไรเหอ... แล้วท่านก็เอานิ้วจิ้ม ๆ
ลงไปที่สังฆาฏิ
ผมสั่นหัวตอบในใจว่าไม่ทราบครับ ตอนที่ท่านเอาศอกวัดก็ไม่ได้ดู จึงไม่ทราบว่าสั้นหรือยาวเกินไป ตอนเอามาก็ไม่ได้พิถีพิถันจริง ๆ ครับ ยอมรับผิดว่าชุ่ย
เบิกมาจาก คุณป้านนทา แล้วก็แล้วกันไป ไม่นึกว่าจะละเอียดกันขนาดนี้ หลวงปู่ ฯ เห็นผมไม่พูด ก็เอาสังฆาฏิไปวัดให้ดูอีก อ้อ...ขาดไปหน่อย
ผมคิดในใจ
แล้วจะเอายังไง หลวงปู่ ฯ เค้นถามเสียงเครียด ท่าทางยังเหมือนกับอยากจะกินลาบเลือด
และไม่ยอมลดราวาศอกให้เลย
ผมขออนุญาตเอาไปเปลี่ยนใหม่ก็แล้วกันครับ ผมอึก ๆ อัก ๆ อยู่นานกว่าจะพูดออกไปได้
แล้วทำท่าจะหยิบเอาคืนมา แต่หลวงปู่ ฯ ท่านกลับเอามือกดผ้าไว้กับพื้นเฉยเสียงั้นแหละ ผมจึงหดอีก ความอึดอัดใจที่ได้รับทำให้เกิดความรู้สึกว่า
นานเหมือนโกฏิปีเชียวครับ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำเขาบุนนาค อยู่ใกล้ป่าใกล้ภูเขาอากาศออกจะเย็น ๆ แต่ผมร้อนจี๋เลยครับ เหงื่องี้ออกทั้งตัว หลวงพี่ ฯ
ถลาเข้ามาช่วย
ให้โยมเขาแลกไปเถิดครับ เขาจะเอาไปให้คนทำบุญ ท่านช่วยตะโกนอ้อนวอน แต่หลวงปู่ ฯ โบกมือห้าม
แล้วก้มลงพูดเบา ๆ กับผม นี่โยม..สังฆาฏิต้องยาว ๘ ศอกนะ จำไว้นะ...
เอ๊ะ...ผมหูฝาดหรืออย่างไร ทำไมเสียงของหลวงปู่ ฯ จึงกลับนิ่มนวลอะไรจะปานนั้น ผมค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากท่าที่ก้มกราบอยู่
เอามือแคะหูทั้งสองข้างอย่างไม่เชื่อมัน และไม่เชื่อมั่น หวาดระแวงเต็มที่เลย เอาไงนี่...
เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลูกศิษย์มหาวีระ ฯ ต้องละเอียด ต้องรอบคอบ จำเอาไว้ให้ดี...
เสียงนุ่มนวลไม่มีแกมเหน่อลอยมาอีก ผมลุกพรวดขึ้นมานั่งพับเพียบพนมมือแต้เพื่อที่จะมองหลวงปู่ ฯ ให้เต็มตา อะไรกันนี่... เสือกลายเป็นพระไปแล้ว
และกลายเป็นพระที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเสียด้วย ไม่มีท่าทางที่แสนจะดุดันหลงเหลืออยู่ต่อไปอีกเลย กลับตาลปัตรไปแล้ว เปลี่ยนบทไวยังกะวิกส์ ๐๗ แน่ะ..!
<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
Update 17 ส.ค. 2552
ผิดคาด
.........หลวงพี่ได้โอกาส รีบตะโกนกราบเรียนเสียเสียงหลงทันที อนุญาตให้โยมแลกไปนะหลวงปู่ ฯ
เออ...พูดเบา ๆ ก็ได้ยิน ! หลวงปู่ ฯ บ่น ตอบเบา ๆ และสั้น ๆ นิ่ม ๆ พอให้ได้ยิน
เมื่อได้ยินดังนั้น หลวงพี่ ฯ ก็เผ่นผลุงไปที่ราวตากผ้าตรงชานกุฏิทันที รวบเอาสังฆาฏิที่เราได้หมายตากันเอาไว้ก่อนหน้านั้นมาถวายทันที
ไม่ใช่ ๆ เอาไปไว้ที่เก่า หลวงปู่ ฯ โบกมือห้ามอีก ผมก็ใจหายแว๊บอีก
เปลี่ยนบทเป็นเสืออีกแล้วหรือไง โยมตามและตั้งตัวไม่ทันเลย หลวงพี่ ฯ ก็หน้าซีดเผือด ทุกคนคิดว่ารายการพลิกล็อคเกิดขึ้นอีกแล้ว ได้แต่ใจคอตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ
ดูเหตุการณ์ต่อไป
หลวงปู่ ฯ ค่อย ๆ ชันกายขึ้นยืนอย่างช้า ๆ เดินกระย่องกระแย่งผ่านพวกเราเข้าไปในห้องนอนซึ่งอยู่ติดกัน ได้ยินเสียงรื้อของกุกๆ กักๆ อยู่เป็นนานสองนาน
สลับกับเสียงกระแอมกระไอ ผมหันไปมองหน้าพวกเราทุกคน หน้าซีดจ๋อยเหมือนกันหมด แม่นิดฯ ที่ว่าผิวดำ หน้าขาวจ๋องไม่ต้องทาแป้งเลยครับ
พวกเรากระซิบกระซาบกันเบาๆ ว่า ไม่รู้ว่าหลวงปู่ฯ เข้าไปทำอะไร จะกลับออกมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้
พักใหญ่ หลวงปู่ ฯ ก็กระย่องกระแย่งออกมา ถือห่อกระดาษเก่า ๆ ออกมาด้วย กลับมานั่งท่าเดิมและที่เดิม วางห่อกระดาษลงกับพื้น แล้วค่อย ๆ
แก้เชือกห่อออกอย่างช้า ๆ พวกเราต่างพากันกลั้นหายใจลุ้นกันโดยไม่รู้สึกตัว ด้วยความที่อยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร เป็น
จีวรกับสบงและสังฆาฏิ ครับ ครบชุดแต่เก่างั่กเลยครับ
หลวงปู่ ฯ นำสังฆาฏิสีกรักแสนเก่าผืนนั้นออกมาคลี่ เอาศอกวัดให้ดูอีกครั้งเหมือนกับจะโชว์ให้ดู เพื่อยืนยันคำพูดของท่าน โอเคครับ ๘ ศอกพอดี
(แต่ศอกของผมสั้นไปหน่อย) ท่านมองค้อน เอามือลูบคลำอยู่พักหนึ่ง แล้วนำสบงกับจีวรออกมาคลี่ให้ดูอีก ปรากฏว่าเป็นสบงกับจีวรที่ทำด้วยผ้าแพรไหมครับ
ท่านเล่าอย่างอารมณ์ดีว่า ของชุดนี้เศรษฐีจีนสั่งทำและถวายให้ท่าน เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ ๔ และท่านได้เก็บตลอดจนนำติดตัวไปตลอดเวลา หันมาถามผมว่า
เอาไหม..?
สุดแท้แต่หลวงปู่ ฯ จะกรุณาเถิดครับ ผมตอบเบา ๆ
เอาไหม..? ท่านถามย้ำอีก ผมเห็นว่าถ้าพูดให้เยิ่นเย้อต่อไปต้องอดแน่ ๆ
จึงตอบไปอย่างม้าไม้ไร้พยศว่า
เอาครับ
เออ
เอาไป หลวงปู่ ฯ ก็ให้ง่าย ๆ
แล้วนี่..เอาไหม? ท่านชี้มือไปที่สบงและจีวรแพรไหมนั้น
ไม่กล้าครับ ผมตอบ
ทำไมไม่กล้า? หลวงปู่ ฯ แกล้งสงสัย
หลวงพ่อฯ ท่านใช้ให้มาเอาแต่สังฆาฏิเท่านั้นครับ หลวงปู่ฯ จะแถมให้หรือครับ ตอนนี้พอโล่งใจแล้ว
ผมจึงเริ่มทะโมนตามนิสัยเดิม
ถ้าเอา..ก็ให้ ท่านพูดแล้วก็ผลักออกมาให้ข้างหน้า
ไม่เอาละครับ หลวงพ่อฯ สั่งมาแค่นี้ ผมกัดฟันตอบอย่างแสนเสียดาย ค่อยๆ ผลักคืนไป แต่อย่างว่าละครับ
ไม่นอกครูไว้ก่อนเป็นดี
ไม่เอาก็เก็บ ว่าแล้วหลวงปู่ฯ ก็บรรจงพับและห่อเข้าที่ แล้วเดินเอากลับไปเก็บไว้ในห้องตามเดิม
เมื่อเสร็จจากการปราบพยศผมจนอยู่หมัดแล้ว หลวงปู่ฯ จึงเลิกรา แล้วเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าไปอ้อนกันได้ตามสบาย ส่วนผมนั้นเก็บปากเข้ากระเป๋าแล้วรูดซิบ ๓
ชั้นฝังดินปิดครั่งเลยครับ ฟังอย่างเดียว ไม่กล้าอ้อนไม่กล้าถาม ใจนั้นอยากกลับวัดท่าซุงลูกเดียว แต่ แม่นิดฯ ยังไม่ยอมเลิกรา
พยายามนิมนต์ท่านให้ไปร่วม งานสมโภชครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงพ่อปานฯ ให้ได้ ท่านปฏิเสธเสียงหลงว่า
กูไม่ไป แม่นิด ฯ ไม่ละความพยายาม ชักจูงอีกว่า
ในหลวงเสด็จฯ นะเจ้าคะ หลวงปู่ฯ ทำคอย่น สั่นหัวเดี๊ยะ
ในหลวง กูก็ไม่ไป กูอั้นเยี่ยวไม่ได้..ลำบาก..!
ก็น่าเห็นใจนะครับ เพราะในปี ๒๕๑๘ ที่ผมเล่าอยู่นี้ หลวงปู่สี ฯ อายุ ๑๒๗ ปีแล้ว (อายุหลวงปู่ ฯ นี่อาจจะไม่ตรงกับข้อเขียนของท่าน
พล.อ.ต. มนูญ ชมภูทีป ที่เขียนว่า ท่านมรณภาพเมื่ออายุได้ ๑๒๖ ปี ผมไม่ทราบว่าจำนวนไหนที่คลาดเคลื่อน
แต่ขอเรียนว่าผมได้ยินท่านตอบกับ แม่นิด อย่างชัดเจนว่าท่านอายุ ๑๒๗ ปีแล้ว)
แม้ท่านจะยังดูแข็งแรง แต่อวัยวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหรือพังผืดมันหย่อนยานไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงอั้นปัสสาวะไม่ได้
ที่กุฎีของท่านตรงพื้นกระดานด้านหลังที่ท่านนั่งอยู่ จึงต้องเจาะร่องเอาไว้ ซึ่งพอประเดี๋ยวประด๋าวท่านก็ต้องหันไปจ๋องลงร่องเสียทีหนึ่ง
แต่ แม่นิด ก็ไม่ละความพยายามเรียนท่านว่า จะจัดการให้สะดวกสบายเหมือนกับที่ท่านอยู่วัดของท่านเลยทีเดียว คราวนี้หลวงปู่ ฯ
สะบัดหน้าพรืด พูดกระฟัดกระเฟียดว่า กูไม่เอา..กูรู้จักอายเขา ว่าแล้วก็หันหลังกลับ แซมเปิ้ลให้ดูอีก ๑
จ๋อง พวกเราฮากันเลยครับ
เป็นอันว่าได้คำตอบแล้วนะครับว่า ทำไม หลวงปู่สี ฯ ไม่มางานครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของ หลวงพ่อปาน โสนันโท
ส่วน แม่นิด นั้น เมื่อเห็นว่าท่านไม่ยอมรับนิมนต์แน่แล้ว จึงหันไปคุยเรื่องอื่นๆ หลายๆ เรื่อง แต่ที่ผมหูผึ่งก็คือเมื่อ
แม่นิด ถามท่านว่า
หลวงปู่ ฯ รู้จักกับ หลวงพ่อปาน ฯ ไหมเจ้าคะ?
ปานไหน? หลวงปู่ ฯ ย้อนถาม
หลวงพ่อปานฯ วัดบางนมโค เจ้าค่ะ แม่นิด ยืด
กูไม่รู้จัก กูรู้จักแต่ ปานฯ วัดบางเหี้ย ปานฯ วัดบางเหี้ยนั่งเรือไม่ต้องพาย เรือวิ่งไปเอง
ว่าแล้วท่านก็หัวเราะชอบอกชอบใจ
แม้คำตอบของหลวงปู่ ฯ จะทำให้เราผิดหวังอยู่บ้างที่ท่านกับปรมาจารย์ของเราไม่รู้จักกัน แต่ว่า หลวงปู่สี ฯ ท่านจะต้องมีอะไร ๆ
ที่เนื่องด้วยกับหลวงพ่อฯ แน่ๆ เพียงแต่ท่านนั้นไม่เนื่องกับ หลวงพ่อปานฯ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา
แต่คำสนทนากันนี้ ทำให้เราท่านทราบข้อมูลกันมาอีกว่า พระเกจิอาจารย์สมัยนั้นแม้จะอยู่ห่างไกลกันสุดขอบฟ้า ยานพาหนะหรือก็ไม่ดีเหมือนปัจจุบัน
แต่ก็ไปเจอะเจอกันและรู้จักกันได้อย่างอัศจรรย์ เพราะ หลวงปู่สีฯ อยู่อีสาน ส่วนบางเหี้ยก็คือบางบ่อในปัจจุบัน เลยบางพลีไปนิดเดียว
ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดช ให้เดินให้ตายก็ไม่ได้พบกัน
เป็นไงครับ เรื่องที่ผมเล่าว่าเป็นวันเดียวที่ผมได้พบกับ หลวงปู่สี ฯ ก็จริง แต่เป็นวันแห่งประวัติศาสตร์ เห็นด้วยไหมครับ
หรือจะเอาตังค์คืนดีครับ
เรื่องของ หลวงปู่สี ฯ เนื่องจากขาดประวัติความเป็นมา ผมจึงกราบขอความกรุณาและขออนุญาตลอกเอาข้อเขียนของท่าน พล.อ.ต. มนูญ
ชมภูทีป ที่ได้เขียนเกี่ยวกับอภินิหารหรือความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ ฯ มาลงแทน ถ้าใครเคยอ่านแล้ว เบื่อแล้วก็ไม่ว่ากันนะครับ
<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
(Update 28 ส.ค. 2552)
หลวงพ่อนัดพบหลวงปู่สีทางจิต
............เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ในวันหนึ่งหลวงพ่อได้มาแสดงธรรมะออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง ๐๔ ตาคลี จ.นครสวรรค์เหมือนเช่นเคย
และหลังจากที่หลวงพ่อได้แสดงธรรมะออกอากาศเสร็จก็ได้มานั่งพักผ่อนสนทนากับข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ ที่ห้องรับแขก
ข้าพเจ้าจึงได้ฉวยโอกาสเล่าถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงปู่สี ให้หลวงพ่อฟัง พอสรุปใจความสั้น ๆ ได้ดังนี้
มีพ่อค้าชาวตาคลีกลุ่มหนึ่งไปกราบนมัสการ หลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่
และเมื่อหลวงปู่แหวนทราบว่าเป็นพ่อค้ามาจากตาคลี ก็หัวเราะพูดว่า ท่านมีอาจารย์อยู่องค์หนึ่งอายุมากแล้วชื่อ หลวงปู่สี
ขณะนี้อยู่ที่ตาคลีให้ค้นหาให้ดี เพราะท่านเก่งมากดังนั้นเมื่อผู้คนกลุ่มนั้นกลับมา ก็พยายามติดตามค้นหาในที่สุดก็ได้พบว่าหลวงปู่สี พำนักอยู่
วัดถ้ำเขาบุญนาค มีอายุชราภาพมากแล้วถึง ๑๒๑ ปี อภินิหารของหลวงพ่อสีในขณะนั้นที่ร่ำลือกันมากคือ ไม่มีใครถ่ายรูปหลวงปูสีติด
หากไม่ขออนุญาตท่านเสียก่อน และชานหมากของหลวงปู่สีหากผู้ใดได้ไว้แล้ว พกพาติดตัวไปก็จะเป็นสิริมงคล และป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ได้
ข้าพเจ้าได้เล่าให้หลวงพ่อฟังต่อไปว่า กิตติศัพท์ของหลวงปู่สีดังกล่าว เมื่อได้รับฟังมาผมก็มิได้สนใจนัก
จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นที่ในป่าหลังกองร้อยทหารสารวัตร (ในขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับกองร้อยทหารสารวัตร
และเป็นนายทหารรักษาความปลอดภัยกองบิน ๔ ด้วย) ผมจึงชวนเรืออากาศโทสังวร สมหวัง รองผู้บังคับกองร้อย ฯ และเรืออากาศตรีครรชิต บัวอำไพ
นายทหารสารวัตรซึ่งได้นั่งปรึกษางานอยู่กับผมลงไปดู ก็เห็นจ่าอากาศสารวัตร ๒ คน คนหนึ่งกำลังถือปืนตั้งท่าจะยิงไก่นัดต่อไป อีกคนหนึ่งยืนดู
จึงตะโกนสั่งให้หยุดยิงและสอบถามว่าทำไมจึงขัดคำสั่งผู้บังคับกองร้อย ฯ
(ข้าพเจ้าได้เคยสั่งให้ยิงปืนได้เฉพาะในสถานที่ที่จัดไว้ให้ยิงและยิงได้เฉพาะวัน เวลาที่ทางกองร้อย ฯ กำหนด) ซึ่งทั้ง ๒ คน
ก็ยอมรับผิดและอธิบายสาเหตุให้ฟังว่าจ่าประสิทธิ์ ไปได้ชานหมากจากหลวงปู่สีมา เล่าให้จ่าชิตฟังถึงอภินิหารต่าง ๆ จ่าชิตได้ฟังก็ไม่เชื่อก็เกิดพนันกันขึ้น
โดยจ่าประสิทธิ์ไปขอซื้อไก่ในกองบิน ๔ มา แล้วให้จ่าชิตยิง หากจ่าชิตยิงไก่ตาย จ่าชิตก็ได้ไก่ไป แต่ถ้าหากจ่าชิตยิงไก่ไม่ตายก็ต้องจ่ายเงินให้จ่าประสิทธิ์
แล้วให้จ่าประสิทธิ์เอาไก่ไป
การยิงสัญญากันไว้ว่าจะยิง ๖ นัด ขณะนี้จ่าชิตยิงไปแล้ว ๓ นัด ยังไม่ถูกไก่ และยังมีสิทธิ์ยิงได้อีก ๓ นัด ผมจึงให้เรืออากาศโทสังวร
และเรืออากาศตรีครรชิต ซึ่งเป็นมือปืน P.P.C. เหรียญเงินทั้ง ๒ คน ยิงไก่คนละนัดก็ไม่ถูกอีก ผมจึงให้คนโทรศัพท์ไปเรียก พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข มือปืน P.P.C.
เหรียญทองมายิงในนัดสุดท้ายซึ่งก็ไม่ถูกไก่อีก (ในตอนนั้น พ.อ.อ.ชลอ ผาสุข โมโหมากขอให้เอาเหรียญบาทไปตั้งที่ตอไม้ ๓ เหรียญ ก็ยิงถูกเหรียญกระเด็นไปทั้ง ๓
เหรียญ แต่ยิงไก่ตัวใหญ่โตซึ่งมัดติดกับต้นไม้ไม่ถูก)
ผมจึงให้จ่าประสิทธิ์พาไปหาหลวงปู่สีในวันนั้น และพอไปกราบหลวงปู่ หลวงปู่ก็กล่าวตำหนิว่าพวกผมทำให้ปากท่านเจ็บไปหมด เพราะชานหมากไปผูกติดคอไก่
ท่านก็จะต้องคุ้มครองให้ไก่ และเมื่อเอาปืนไปยิงไก่ ลูกปืนมันไม่ไปถูกไก่แต่มันมาถูกปากท่านทุกนัด ผมและพรรคพวกที่ไปจึงต้องกราบขอขมาหลวงปู่
ซึ่งหลวงปู่ก็ได้เมตตามอบชานหมากมาให้แต่ขอสัจจะว่า อย่าได้นำชานหมากของท่านไปทดลองที่ไหนอีก
หลวงพ่อได้นั่งฟังข้าพเจ้า เล่าถึงหลวงปู่สีด้วยความสงบ พอข้าพเจ้าเล่าจบหลวงพ่อก็พูดว่า
คุณมนูญ ฉันบอกหลวงปู่สีเมื่อตะกี้นี้แล้วว่า ฉันจะไปหา หลวงปู่ดีใจมาก จะคอยต้อนรับอยู่ที่กุฏิ ไป
เราไปกันได้เลย ข้าพเจ้าและ พ.อ.อ.กริช ได้ฟังก็งงมาก เพราะหลวงพ่อก็นั่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ลุกไปโทรศัพท์
และโทรศัพท์ที่กุฏิหลวงปู่สีก็ไม่มี หลวงพ่อจะบอกกับหลวงปู่สีได้อย่างไร แต่เมื่อเป็นเจตจำนงของหลวงพ่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็จำต้องขับรถพาหลวงพ่อไป
เมื่อไปถึงกุฏิหลวงปู่สี (ตั้งอยู่หน้าถ้ำวัดเขาบุญนาค) ข้าพเจ้าก็ยิ่งฉงนสนเท่ห์ใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหลวงปู่สีซึ่งตามปกติท่านจะนุ่งสงบอยู่ตัวเดียว บัดนี้ท่านแต่งชุดใหญ่ครบเครื่องเยี่ยงพระภิกษุสงฆ์ที่พร้อมจะเข้าพิธีในโบสถ์
มีเสื่ออย่างดีปูไว้เรียบร้อย พร้อมด้วยชุดน้ำชาและหมากพลู อีกทั้งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดอีก ๒-๓ รูป
รวมทั้งเจ้าอาวาสมานั่งคอยรอรับหลวงพ่ออยู่พร้อมหน้า
ในขณะที่หลวงพ่อนั่งคุยอยู่กับหลวงปู่สี ข้าพเจ้าก็ได้แอบไปสอบถามท่านมหาองค์หนึ่ง ซึ่งใกล้ชิดกับหลวงปู่สีว่า หลวงปู่สีทราบได้อย่างไร
ว่าหลวงพ่อจะมา ท่านมหาองค์นั้นก็ตอบว่า อาตมาก็ไม่ทราบ เห็นหลวงปู่นอนจำวัดอยู่ตามปกติ จู่ ๆ
ก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาแล้วสั่งให้อาตมาคุมกวาดลานวัดและเช็ดกุฏิแล้วให้เตรียมน้ำชา หมากพลูโดยเร่งด่วน ท่านบอกว่า ประเดี๋ยวจะมีพระผู้ใหญ่ระดับสูงมากมาหา
พร้อมกันนั้นหลวงปู่ก็เข้าไปนุ่งห่มจีวรใหม่เอี่ยม รอหลวงพ่อดังที่โยมเห็นนี้แหละ
เรื่องที่ข้าพเจ้าและพรรคพวกได้ประสบในครั้งนี้ไม่มีผู้ใดจะพิสูจน์หรือหาเหตุผลใด ๆ ได้เลย นอกจากจะคิดกันไปว่า
หลวงพ่อได้นัดพบกับหลวงปู่สีทางจิตเท่านั้น หรือท่านผู้อ่านจะเข้าใจว่าอย่างไร? ...
อภินิหารของหลวงพ่อและหลวงปู่สี
(ชานหมากหลวงปู่สีห่อด้วยผ้าจีวร)
".......เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๖
ข้าพเจ้าได้ซื้อรถวอลโว่ใหม่ ๑ คัน ก็ได้นำไปให้หลวงพ่อเจิมให้ที่วัดท่าซุง ต่อมาเมื่อได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่สีบ่อยๆ
เข้าก็ได้รู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่สีมากขึ้น อาทิเช่นมีชาวไร่ข้าวโพดได้ ชานหมาก ของหลวงปู่สีไป
และเกิดไปทำหายในขณะหักข้าวโพดในไร่ จะหาอย่างไรก็หาไม่พบเพราะดงข้าวโพดกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่เนื่องจิตมีความเสียดายในชานหมาก
และเคารพนับถือด้วยความจริงใจ ตอนกลางคืนก็ฝันว่า
.......หลวงปู่สีมาบอกว่าหากอยากได้ชานหมากให้เผาไร่ข้าวโพดเสีย แล้วจะพบเอง
พอรุ่งเช้าชาวไร่ข้าวโพดผู้นั้นก็จุดไฟเผาไร่ข้าวโพดทันที (ข้าวโพดในไร่หักหมดแล้ว) เมื่อไร่ข้าวโพดถูกไฟเผาราบเรียบหมดก็เห็นต้นข้าวโพดอยู่ ๒-๓
ต้นที่ไม่ไหม้ไฟจึงตรงเข้าไปดู ก็พบชานหมากของหลวงปู่สี ซุกอยู่โครข้าวโพดก็ดีใจมาก ตรงเข้าเก็บชานหมากหลวงปู่ไว้ แล้วนำไปเลี่ยมคล้องคอมาจนบัดนี้
(ชานหมากที่เลื่ยมพลาสติกแล้ว)
".......อีกรายหนึ่งเป็นอาจารย์สตรี
วัยกลางคนอยู่ที่สมุทรปราการได้ชานหมากหลวงปู่สีไปก็นำไปใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ มีวันหนึ่งเดินกลับบ้านตอนพลบค่ำ ในระหว่างทางที่เดินอยู่ในซอยเปลี่ยว
ก็มีความรู้สึกว่ามีคนเดินตามมาข้างหลัง ๓ คน ก็เร่งฝีเท้าหนี คนทั้ง ๓ ก็เร่งฝีมือตาม พอวิ่งหนีก็ถูกวิ่งตาม ด้วยความหวาดกลัวจึงหันหลังไปดู
ปรากฏว่าชายฉกรรจ์ทั้ง ๓ คน ที่ตามมาหยุดชงักส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวแล้ววิ่งหนีไป
........อาจารย์สตรีวัยกลางคนผู้นั้นจึงกลับบ้านด้วยความปลอดภัย ด้วยชานหมากของหลวงปู่คุ้มกันภัยให้ และเมื่อตอนหลวงปู่ป่วย
ข้าพเจ้าก็ได้ให้ลูกน้องพาหมอไปรักษา หากคราวใดหมอจะฉีดยาและหลวงปู่สีไม่ยอมให้ฉีด เข็มฉีดยาก็จะหักทุกครั้งไป เป็นต้น
........ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้นำรถวอลโว่คันใหม่ของข้าพเจ้าไปให้หลงปู่สีช่วยเจิมให้อีกด้วยคิดว่า แม้หลวงพ่อเจิมให้แล้วก็ตามหากได้หลวงปู่สีช่วยเจิมทับลงไปอีกก็คงจะเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น
เมื่อหลวงปู่สีได้ทราบความประสงค์ว่า ข้าพเจ้าขอให้ช่วยเจิมรถให้ก็ทำพิธีเสกแป้ง แล้วถือแป้งเสกลงกุฏิไปหยุดยืนบริกรรมอยู่หน้ารถวอลโว่
โดยมีข้าพเจ้า ภรรยาและลูกน้องอีก ๓-๔ คนยืนพนมมือรถให้หลวงปู่เจิมรถ แต่การณ์กลับปรากฏว่าหลวงปู่สีเกิดเปลี่ยนใจ
วางถ้วยแป้งเสกไว้ที่กระโปรงรถด้านหน้า โดยไม่ยอมเจิมให้เสียเฉยๆ มิหนำซ้ำเดินขึ้นบันไดไปบนกุฏิ แล้วนั่งทำน้ำมนต์อยู่พักหนึ่ง
ก็ให้ พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ลูกน้องคนหนึ่งของข้าพเจ้าถือบาตรน้ำมนต์ลงบันไดตามหลวงปู่มาหยุดยืนอยู่ทางด้านท้ายรถวอลโว่ของข้าพเจ้า
แล้วก็ประพรมน้ำมนต์ไปทางด้านกระโปรงหลังรถ อีกทั้งมีการสวดให้ศีลให้พรอีกด้วย ต่อเมื่อประพรมน้ำมนต์เสร็จ หลวงปู่จึงเดินไปด้านหน้ารอหยิบถ้วยแป้งเสก
แล้วเจิมรถให้ข้าพเจ้าจนเสร็จ ซึ่งก่อให้เกิดความฉงนสนเท่ห์ใจกับทุกผู้คนในที่นั้น เพราะตามปกติแล้ว หลวงปู่จะเจิมให้โดยไม่มีการรดน้ำมนต์เช่นนี้
สำหรับเรื่องนี้ หลวงปู่สีได้เมตตาอธิบายให้ทุกคนหายข้องใจว่า รถวอลโว่คันนี้
มีพระระดับสูงที่ญาณบารมีแก่กล้าได้ทำพิธีเจิมไว้ให้แล้วอีกทั้งได้จัดเทพถึง ๔ องค์ อยู่คอยพิทักษ์รถคันนี้ เมื่อสักครู่พอจะเจิมรถให้ เทพทั้ง ๔
ก็มาขอให้หลวงปู่รถน้ำมนต์ให้ก่อน จึงต้องให้น้ำมนต์เขาก่อนแล้วจึงเจิมรถให้ทีหลัง
ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกปลื้มปิติยินดี และซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง
ที่กรุณาเมตตาส่งเทพมาคอยให้ความคุ้มครองป้องกันภัยให้ข้าพเจ้าตลอดเวลาถึง ๔ องค์ เช่นนี้ ดังนั้นลูกหลานของหลวงพ่อผู้ใดก็ตาม ที่ได้เข้าพิธีต่างๆ กับหลวงพ่อแล้วก็พึงอุ่นใจได้ว่าหลวงพ่อจะช่วยขจัดปัดเป่าภัยพิบัติต่างๆ
ให้โดยไม่ทอดทิ้งอย่างแน่นอน
ต่อมาไม่นาน ข้าพเจ้าได้ขับรถวอลโว่คันนั้นพาครอบครัวไปพักผ่อนที่บ่อฝ้าย หัวหิน ระหว่างทางขณะที่รถวิ่งผ่านไปทางกำแพงแสน จ.นครปฐม
ข้าพเจ้าซึ่งกำลังขับรถไปอย่างสบายๆ ด้วยความเร็วประมาณ ๘๐-๙๐ กม. ต่อชั่วโมงก็เห็นรถบรรทุกอ้อยสิบล้อคันหนึ่งวิ่งสวนมาด้วยความเร็ว
และทำท่าจะวิ่งชนจักรยานสองล้อของชาวบ้านที่ขี่อยู่ข้างทาง โดยผู้ขับสิบล้อมิได้คิดจะแซงหรือเบี่ยงหลบ จิตของข้าพเจ้าตอนนั้นบอกว่าคนขับสิบล้อคงหลับใน
หากรู้สึกตัวเห็นจักรยานสองล้อ มันจะต้องหักหลบมาชนรถของข้าพเจ้าอย่างแน่นอน
พอจิตบอกข้าพเจ้าก็ถอนเท้าจากคันเร่ง เปลี่ยนเป็นเกียร์ ๒ และเหยียบเบรคอย่างแรงพร้อมทั้งเตรียมหักพวงมาลัยหลบ
ก็พอดีรถสิบล้อคันนั้นหักหลบจักรยานพุ่งเข้าจะชนรถข้าพเจ้าดังที่คิด ข้าพเจ้าก็พยายามหักพวงมาลัยหลบ
แต่รถก็หาเลี้ยวไม่คงทื่อเข้าใส่รถบรรทุกที่ขวางลำรถข้าพเจ้าด้วยแรงเฉื่อย ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าและทุกคนในรถไม่มีผู้ใดตกใจเลย มองเห็นรถข้าพเจ้าและรถบรรทุกค่อยเข้าหากันเหมือนภาพสโลโมชั่น
เสมือนจะหลบกันพ้นแต่ก็ไม่พ้นชนกันแบบสะกิดๆ จนได้
เมื่อรถจอดสนิท ข้าพเจ้าก็สำรวจดูทุกคนในรถ ปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดบาดเจ็บแม้แต่จะฟกช้ำดำเขียว ขัดยอก หรือเลือดตกยางออกเลย
ก็โล่งใจจึงเปิดประตูรถลงไปเอาปืนจี้คนขับรถบรรทุกไม่ให้หนี แล้วสำรวจดูสภาพรถปรากฏว่า
รถวอลโว่ของข้าพเจ้าชนบันไดรถบรรทุกขาดกระจุยหัวรถเข้าไปซุกอยู่ในใต้รถบรรทุก จนถึงกระจกหน้า ไม่สามารถจะถอยรถออกมาได้
สักครู่รถคันหน้า ที่ล่วงหน้าไปก่อนเห็นรถของข้าพเจ้าหายไปไม่ตาม ก็ฉุกใจวนขับรถกลับมาดู
ทุกคนหน้าซีดแข็งขาอ่อนบอกเห็นแต่ไกลว่าคงต้องมีการตายกันบ้างแน่ แม้ชาวบ้านที่วิดปลาอยู่ตามคูน้ำข้างทางที่รถชนกัน ก็พูดว่ารถชนกันเสียงสนั่นหวั่นไหว
จนไม่กล้ามองคิดว่าต้องตายทั้งคันแน่
เมื่อทุกคนในคณะของข้าพเจ้ามาพร้อม คนขับรถบรรทุกก็ยอมรับว่าตนผิดและขอไปตามเถ้าแก่เจ้าของรถมา และเมื่อเถ้าแก่มาก็พูดจาตกลงกันด้วยดี
โดยยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โดยไม่เกี่ยงงอน แต่เมื่อตรวจดูสภาพรถวอลโว่ของข้าพเจ้า
เมื่อใช้แม่แรงยกรถสิบล้อออกแล้วเข็นรถออกมา ทุกคนก็แทบไม่เชื่อสายตากล่าวคือ ฝากระโปรงรถหน้าที่ยุบไป เพราะรับน้ำหนักรถบรรทุกสิบล้อ
ซึ่งบรรทุกอ้อยเต็มกลับดีดคืนเข้าสู่สภาพเดิม มีเพียงสีถลอกนิดเดียว ไฟหน้าทุกดวงและกระจกหน้ารถซึ่งเป็นส่วนที่ชนกันอย่างประสานงา
ไม่มีการแตกร้าวหรือแม้แต่ไส้หลอดไฟก็ไม่ขาด
เมื่อเห็นสภาพรถแล้ว เถ้าแก่เจ้าของรถ (มากับพรรคพวกนักเลงไร่อ้อยพก ๑๑ มม. คนละ ๑ กะบอก) ก็ขอจ่ายค่าเสียหายให้ข้าพเจ้า ๒๐๐๐ บาท
ด้วยความเต็มใจอีก ทั้งยังถามว่าข้าพเจ้าและครอบครัวจะกลับผ่านมาทางนี้อีกเมื่อไร จะมารอส่งด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็บอกไป
และตอนขากลับเขาก็มารอส่งข้าพเจ้ากันจริงๆ
เรื่องที่ข้าพเจ้าประสบมานี้ ไม่น่าเป็นไปได้ในหลายๆ อย่าง อาทิเช่น รถวิ่งสวนกันด้วยความเร็ว และรถบรรทุกสิบล้อหักหลบมาชนแบบประสานงา
กับรถของข้าพเจ้าในระยะกระชั้นชิด ซึ่งแม้ข้าพเจ้าจะแก้ปัญหากระทันหันด้วยวิธีการดังกล่าว เพียงแต่ทำให้รถข้าพเจ้าช้าลงไปบ้างเท่านั้น
แต่รถสิบล้อที่วิ่งมาชนหาได้ลดความเร็วลงไม่ และสิ่งที่เป็นพยานสายตาปรากฏแก่สายตาก็คือ บันไดรถสิบล้อขาดกระจุย
และหัวรถของข้าพเจ้ามุดเข้าไปอยู่ใต้รถบรรทุก จนต้องใช้แม่แรงยกรถบรรทุกขึ้นจึงจะสามารถเข็นรถของข้าพเจ้าออกได้
แต่ปรากฏว่าทุกคนในรถของข้าพเจ้าปลอดภัย และรถของข้าพเจ้าก็มีสภาพปกติพร้อมที่จะวิ่งต่อไปได้ (มีสีถลอกตรงฝากระโปรงนิดหน่อย)
อีกทั้งนักเลงบ้านไร่ซึ่งตามกิตติศัพท์ร่ำลือกันนักกันหนาว่าดุมาก กลับยินดีชดใช้ค่าเสียหายให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
มิหนำซ้ำยังมาคอยส่งข้าพเจ้าให้ตอนขากลับเยี่ยงมิตรที่ดีอีกด้วยซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วด้วยพระบารมีของหลวงพ่อและหลวงปู่สี
เมตตาคุ้มครองภยันตรายต่างๆ ให้นั่นเอง
<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
(Update 23 ต.ค. 2552)
หลวงพ่อช่วยงานศพหลวงปู่สี ฯ
........เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนในโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ แต่ในวันหยุดก็ได้เดินทางกลับไปบ้านที่กองบิน ๔ ตาคลี นครสวรรค์ทุกครั้ง
และก็ได้ไปแวะเยี่ยม หลวงปู่สี ฯ ที่กำลังอาพาธหนักอยู่เสมอ ๆ
ในบางครั้งที่ไปก็เจอ คุณหมอโอ๊ค ซึ่งเป็นนายแพทย์ของกองบิน ๔ (ชื่อจริงข้าพเจ้าต้องขอภัยที่จำไม่ได้เพราะเรียกกันแต่
หมอโอ๊ค จนติดปาก) มาคอยให้การเยียวยารักษาอยู่ และด้วยเหตุนี้ จึงได้รู้และเห็นกับตาว่า คราวใดก็ตาม หาก หลวงปู่สี ฯ
ไม่ยอมให้หมอฉีดยาแต่หมอก็จะฉีดให้ได้ เข็มฉีดยาก็จะต้องหักทุกครั้งไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง หมอโอ๊ค
เองก็หนักใจเพราะไม่สามารถจะรักษาได้ตามกระบวนการแพทย์ และครั้นเมื่อ หลวงปู่สี ฯ มีอาการหนักมาก ท่านเจ้าอาวาส ฯ
ก็คลานเข้าไปสอบถามว่า
หาก หลวงปู่สี ฯ มรณภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่อย่างไร?
ซึ่ง หลวงปู่สี ฯ ก็ได้ตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า
หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง
ต่อจากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบจาก พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ว่า หลวงปู่สี ฯ ได้มรณภาพ
เมื่อเวลาประมาณตีสาม และหลวงพ่อ ฯ ก็ได้มาถึงวัดเมื่อเวลาประมาณตีห้า โดยมิได้รับการติดต่อจากผู้ใดทั้งสิ้น (ข้าพเจ้าต้องขอภัยอีกครั้ง
ที่จำวันมรณภาพของหลวงปู่สีไม่ได้) และเมื่อหลวงพ่อมาถึงวัด ก็ได้สั่งการและอำนวยการให้เก็บศพ หลวงปู่สี ฯ ไว้ในโลงแก้ว
ในสภาพเสมือนหนึ่ง หลวงปู่สี ฯ นอนหลับสนิทมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือ ร่างของ หลวงปู่สี ฯ ไม่เน่าเปื่อย
อีกทั้งเล็บมือเล็บเท้าและผมก็งอกยาวออกมาเช่นบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางวัดก็จะต้องเปิดโลงแก้วทุกๆ 15
วันเพื่อปลงผมและตัดเล็บมือเล็บเท้าให้ หลวงปู่สี ฯ ตลอดมา
หลวงปู่สี ฯ ได้มรณภาพเมื่ออายุ ๑๒๖ ปี บัดนี้ศพของท่านบรรจุอยู่ในโลงแก้ว วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
หากท่านผู้ใดสนใจที่จะไปนมัสการกราบไหว้ก็ไปได้ตลอดเวลา เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้จะเห็นได้ว่าทั้ง หลวงปู่สี ฯ และหลวงพ่อ ฯ
จะต้องได้ญาณ และติดต่อกันได้ทางจิตมาโดยตลอด ซึ่งในทันทีที่หลวงปู่ ฯ สิ้นลม หลวงพ่อ ฯ ก็รับทราบและเดินทางมาจัดการให้ได้ในทันที.
ฯลฯ
<<โปรดติดตามตอนต่อไป>>
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|