Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 25/7/09 at 08:39 [ QUOTE ]

อยากทราบแนวปฏิบัติของวัดท่าซุง..? ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )


สำหรับ "บทความพิเศษ" ในกระทู้นี้ จะขอนำคำโต้ตอบจากผู้ที่เลื่อมใสหลวงพ่อ..หรือจากผู้ที่กำลังจะเลื่อมใส..หรือจากผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลย ตั้งแต่เมื่อปี 2544 คือ ก่อนที่ "เว็บวัดท่าซุง" จะเปิดถึง 6 ปีทีเดียว หากใครได้อ่านย้อนคำสนทนาตามเว็บไซด์ต่างๆ เหล่านี้ ตามเห็นของท่านผู้อ่าน จะมีความคิดเห็นเป็นเช่นไร หลังจากที่ "เว็บวัดท่าซุง" เกิดขึ้นแล้ว จากข้อมูลที่ถามตอบดังต่อไปนี้..?



อยากทราบแนวปฏิบัติของวัดท่าซุง..? ( หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )


เนื้อความ :

ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งเพิ่งรู้จักกัน ชอบชวนไปทำบุญ ปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุงเสมอ ด้วยเคยได้ยินว่า วัดนี้ชอบแนวมโนมยิทธิ และอิทธิปาฏิหาริย์ ผมจึงยังไม่ตอบรับเสียทีเดียว เพื่อนคนไหนเคยไปปฏิบัติที่นี่ ช่วยตอบมาหน่อยครับ ว่าที่นี่ปฏิบัติอย่างไร ตรงตามแนวสติปัฏฐานหรือเปล่า

จากคุณ : mindful [ 23 ก.ค. 2544 / 17:10:45 น. ]



ความคิดเห็นที่ 1 : (รสา)

ไม่เคยปฏิบัติแนวมโนมยิทธิมาก่อน แต่เคยอ่านธรรมบรรยายต่างๆ รวมทั้งมหาชาดกจาก
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
รู้สึกมีประโยชน์มากต่อการปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานค่ะ

จากคุณ : รสา [ 23 ก.ค. 2544 / 20:09:56 น. ]



ความคิดเห็นที่ 2 : (อาตมา)

ไม่ผิดจากแนวสติปัฏฐานหรอกครับ

จากคุณ : อาตมา [ 23 ก.ค. 2544 / 22:35:55 น. ]



ความคิดเห็นที่ 3 : (ng)

อยากทราบว่าวัดนี้อยู่ที่ไหนค่ะ
และอยากไปฝึกปฏิบัติธรรม ที่วัดนี้ต้องทำยังไงบ้างคะ
พอดีสนใจเหมือนกันค่ะ

จากคุณ : ng [ 24 ก.ค. 2544 / 07:36:19 น. ]



ความคิดเห็นที่ 5 : (ผู้สนใจ)

เรียนคุณอาตมา อย่างไรจึงเรียกว่า คำสอนของหลวงพ่อท่านไม่ผิดจากหลักมหาสติปัฏฐานครับ กรุณาอธิบายและให้ความกระจ่างด้วย ทั้งยังเป็นการเพิ่มพูนปสาทะในองค์ท่านอีกด้วยครับ

จากคุณ : ผู้สนใจ [ 24 ก.ค. 2544 / 17:21:12 น. ]



ความคิดเห็นที่ 6 : (ชัชวาลย์)

ผมเคยไปกราบหลวงพ่อตั้งแต่ตอนเรียนและท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ หลวงพ่อไม่เคยเน้นในด้านอภิญญา แต่ท่านสอนทุกอย่างที่มีในประไตรปิฏกขึ้นอยู่กับแต่ละคนที่จะชอบหรือเหมาะกับอะไรครับ
ส่วนอภิญญานั้นเป็นแค่ส่วนเล็กๆในหลักสูตรของพระพุทธศาสนานะครับ และผมไม่เห็นว่าจะไม่ดีตรงไหนเพียงแต่ว่าเราจะฝึกได้หรือเปล่าและใช่ว่าจะฝึกได้ทุกคนนะครับ

ความคิดเห็นที่ 7 : (ชัชวาลย์)

เพิ่มอีกนิดครับเท่าที่จำได้คนที่ฝึกอภิญญาได้โอกาสที่จะตัดกิเลสจะง่ายกว่าคนทั่วไปเนื่องจากมีกำลังใจเข้มแข็งกว่าครับ

ความคิดเห็นที่ 8 : (ชัชวาลย์)

อยู่ที่จังหวัดอุทัยธานีครับ ขึ้นรถจากกรุงเทพฯ ที่หมอชิดใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงในการเดินทาง ไปถึงอุธัยธานีก็ต่อรถสองแถวอีกประมาณ 10 กิโลเมตรครับ ถามหาวัดท่าซุงหรือวัดหลวงพ่อฤษี(พระราชพรหมญาณ-(อ่านว่า)พระ-ราด-ชะ-พรม-มะ-ยาน)
ลองดูนะครับถ้าต้องการค้นหาแก่นธรรมจริงๆ ที่นี่มีแน่นอนครับแล้วค่อยเลือกดูว่าชอบที่จะศึกษาด้านใด มีโอกาสผมจะคัดคำสอนของหลวงพ่อมานะครับ(ถือว่าเป็นการตอบแทนพระคุณของพ่อครับ)

จากคุณ : ชัชวาลย์ [ 25 ก.ค. 2544 / 13:08:58 น. ]



ความคิดเห็นที่ 9 : (ปิ่น)

ลองอ่านธรรมของท่านดูครับ ...

หนีนรก

การปฏิบัติตนเพื่อหนีนรก หนังสือปฏิบัติตนเพื่อหนีนรกนี้ ยึดสังโยชน์ 3 ประการเป็นพื้นฐาน สังโยชน์ 3 ประการ คือ

1. สักกายทิฏฐิ
2. วิจิกิจฉา
3. สีลัพพตปรามาส

สังโยชน์ 3 ประการนี้ สำหรับข้อที่ 1 คือ สักกายทิฏฐิตามแบบท่านอธิบายไว้ในหลักสูตรนักธรรมชั้นโท เป็นคำอธิบายถึงอารมณ์พระอรหันต์ ถ้าจะปฏิบัติกันตามลำดับแล้ว ต้องใช้อารมณ์ตามลำดับคือ ใช้อารมณ์ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด

อารมณ์ขั้นต้น ให้ใช้อารมณ์แบบเบาๆ คือ มีความรู้สึกตามธรรมดาว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่จะทรงชีวิตได้ตลอดกาลไปคู่กับฟ้าดิน ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด แต่ท่านให้ใช้อารมณ์ ให้สั้นเข้า คือ มีความรู้สึกไว้เสมอว่า ความตายไม่ใช่จะมาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดว่า เราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต จะได้รีบรวบรัดปฏิบัติความดีไว้

การทำความดีหมายถึง พูดดี ทำดี คิดดี รวม 3 ดีนี้ถ้ามีเป็นปกติประจำวัน เมื่อยังไม่ตาม ยังอยู่เป็นคน ก็เป็นคนดี ถ้าตายเมื่อไร ตายแล้วท่านเรียกว่า เป็นผี ก็เป็น ผีดี คือทิ้งความดีไว้ให้คนที่อยู่ข้างหลังยังบูชา

อารมณ์ขั้นกลาง ท่านให้ทำความรู้สึกเป็นปกติว่า ร่างกายของคนและสัตว์ตลอดจนวัตถุทุกชนิดเป็นของสกปรกทั้งหมด ร่างกายคนและสัตว์ มีสิ่งที่น่ารังเกียจฝังอยู่ก็คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ไม่มีใครบอกว่าเป็นของ สะอาด แต่ก็มีประจำร่างกายทุกคน ถ้าไม่คอยทำความสะอาด เช็ด ล้าง มันก็เกิดอาการสกปรก มีแต่ความมัวหมอง เป็นของที่ไม่พึงปรารถนา เมื่อมีความรู้สึกตามนี้ ก็พยายามทำอารมณ์ให้ทรงตัวจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายทั้งหมด ไม่ยึดถือว่าร่างกายใดเป็นที่น่ารักน่าปราถนา

อารมณ์ขั้นสูงสุด มีความรู้สึกตามนี้ คือมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายไม่มีในเรา มีอาการ วางเฉยในร่างกายทุกประเภทเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์
ที่เขียนมานี้ เขียนเพื่อบอกให้รู้ถึงลักษณะของสักกายทิฏฐิเท่านั้น ความมุ่งหมายของหนังสือนี้ ต้องการความรู้สึกเพียงแค่อารมณ์ขั้นต้นเท่านั้น เพราะมีอารมณ์เพียงขั้นต้น ทุกคนก็พ้นอบายภูมิแล้ว คือ ถ้าจะมีการเกิดอีก อย่างชั่วก็เป็นมนุษย์อีก 7 ชาติ

อารมณ์เข้มแข็งอย่างกลาง เกิดเป็น มนุษย์อีก 3 ชาติ ถ้าอารมณ์เข้มแข็งมากเกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว ต่างก็ไปนิพพานหมด จะมีการเกิดได้เพียงมนุษย์ สลับกับเทวดาหรือ พรหมเท่านั้น ไม่มีการลงอบายภูมิ 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน 4 ภูมินี้ไม่ลงไปอีก แม้บาปเก่าจะสั่งสมไว้เท่าไรก็ตามที บาปไม่มีโอกาสจะดึงลงอบายภูมิได้ เพราะบุญคือความดี มีกำลังเข้มแข็งกว่า แต่ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนทั้ง 3 ข้อของสังโยชน์

ความจริงก็ไม่มีอะไร หนัก ถ้าตั้งใจทำจริงและคอยระวังไม่ให้พลั้งพลาด ใหม่ๆ อารมณ์เก่ายังเกาะใจก็อาจจะมีการพลั้งพลาดบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าระวังไว้เป็นปกติ ไม่เกิน 3 เดือน อารมณ์ก็ทรงตัว ต่อไปนี้ก็ยิ้มเยาะอบายภูมิได้สบาย บาปหมดหวังที่จะทวงหนี้ เอาไปชดใช้หนี้สินในอบายภูมิอีกต่อไป มีทางเดียวคือเดินทางตรงไปนิพพาน

ปฏิบัติสังโยชน์ 3 ประการครบ
สังโยชน์ 3 ประการนี้มีการปฏิบัติอยู่ 2 ระดับ คือ ระดับอ่อน กับ ระดับเข้มข้น จะพูดถึงการปฏิบัติระดับอ่อนก่อน ระดับอ่อนนี้ พ้นอำนาจบาปแล้วไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะ ไปนรก เป็นต้น อีก ท่านปฏิบัติกันอย่างนี้

1. ตื่นขึ้นเช้ามืด มีความรู้สึกประจำอารมณ์ว่า เราอาจจะตายวันนี้ก็ได้ เราต้องรวบรัดปฏิบัติเฉพาะความดี ทำตนหนีความชั่ว คือ

2. พิจารณาความดีของ พระพุทธเจ้า พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้าด้วยปัญญา พิจารณาดูว่าท่านดีพอที่เราจะยอมรับนับถือไหม ถ้ามีปัญญาพิจารณาแล้วว่าดีพอที่จะยอมรับนับถือได้ ก็ตัดสินใจยอมรับนับถือ ด้วยความจริงใจ และปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน สิ่งใดที่ท่านให้เราละ เราไม่ทำ สิ่งใดที่ท่านแนะนำให้ทำ เราทำตามด้วยความเต็มใจ

หมายเหตุ สำหรับพระสงฆ์นั้น อาตมาจัดให้ยอมรับนับถือเฉพาะพระอริยสงฆ์นั้น ความจริงปกติสงฆ์ก็ยอมรับนับถือได้ ถ้าท่านผู้นั้น ปฏิบัติตนสมควรแก่ผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ว่านักบวชท่านใด ปฏิบัติตนไร้แม้แต่ศีลห้าบางข้อ ก็ไม่ควรให้แม้แต่ข้าวบูดกิน เพราะเลวเกินไป เลวกว่า ชาวบ้านที่ท่านทรงความดี ส่วนใหญ่นักบวชพวกนี้ ความเลวจะไหลออกทางปากก่อน ให้สังเกตที่ปากเป็นอันดับแรก เมื่อปากเลว ก็ไม่มี อะไรเหลือ ทั้งนี้เพราะปากหรือกายจะพูดจะทำอะไร ใจเป็นผู้สั่ง เมื่อใจเลวแล้ว ปากและกายก็เลวไปด้วย เป็นอันว่าเลวหมดทั้งตัว สำหรับพระอริยสงฆ์นั้น ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตรงไปตรงมา ไหว้ได้ทุกเวลา ยอมรับนับถือได้

3. สังโยชน์ข้อที่ 3 พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาส ก็มีศีล 5 เป็นหลักที่จะปฏิบัติ แต่หนังสือนี้ไม่มุ่งเฉพาะสอนพระ สอนเณร เพราะเป็นนักบวชอยู่แล้ว คิดว่าคงมีอารมณ์ความดีตัดสังโยชน์ 3 ได้เป็นอย่างน้อย แต่ถ้าบังเอิญไม่ได้ก็ไม่เกณฑ์ให้ตัด สุดแล้วแต่ ความพอใจของแต่ละท่านเรื่องการทรงอารมณ์ในศีล 5 เคยได้รับคำแนะนำจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม ท่านเคยแนะนำ เมื่อสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นนักเทศน์

ท่านเคยถามว่า "ไปเทศน์ สอนชาวบ้าน มีความรู้สึกว่าชาวบ้านทรงศีล 5 ได้ครบเป็นปกติไหม"

ได้กราบเรียนท่านว่า "เทศน์แนะนำเท่าไรก็ไม่มีผล เคยไปเทศน์แล้วครั้งหนึ่ง ปีต่อไปไปเทศน์อีก พวกท่านเหล่านั้นก็ยังก๊งเหล้ากันตามเคย"

ท่านก็พูดว่า "ที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่ชาวบ้านโง่ ฉันว่านักเทศน์โง่มากกว่า"

ท่านแนะนำต่อไปว่า "คนที่จะให้เขารักษาศึล 5 ครบทุกคนนั้นไม่ได้ ทั้งนี้ต้องสุดแล้วแต่กำลังใจของคน คนฟังเทศน์ทั้งศาลา ต้องมีคนดี มีกำลังใจ เต็มผสมอยู่ นักเทศน์เทศน์แนะนำให้เขาละไม่ได้ ก็แสดงว่านักเทศน์องค์นั้นโง่กว่าคนฟังเทศน์"

ได้กราบเรียนถามท่านว่า "จะแนะนำแบบไหน ให้เขารักษาศีล 5 ครบได้"

ท่านก็แนะนำว่า "จงอย่าหวังว่าเขาจะเชื่อเราทุกคน จงดูพระพุทธเจ้า เวลาท่านไปเทศน์โปรด ท่านมุ่งเจาะเฉพาะคนที่ถึงเวลาบรรลุมรรคผลเท่านั้น ท่านไม่ห่วงคนอื่น เพราะถ้าขืนห่วงคนอื่น ก็จะพากันไม่ได้อะไรทั้งหมด นักเทศน์ก็เหมือนกัน เมื่อไปเทศน์ให้สังเกตคนฟัง ถ้าท่าทางดีพอที่จะแนะนำได้ จึงควรแนะนำ ถ้าท่าทางไม่ดี ไม่มีท่าว่าจะเอาจริง ก็จงเทศน์หว่านไปแบบธรรมดาๆ การแนะนำควรใช้วิธี 2 วิธี เพราะความเข้มแข็งของกำลังใจ คนไม่เท่ากัน"

แนะนำคนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง
คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง แนะให้ตั้งใจรักษาศีลให้ครบ 5 ข้อ วันละ 3 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า ในเวลาเท่านี้ จะอย่างไรก็ตามจะไม่ ยอมละเมิดศีลเด็ดขาด ถ้าเธอปฏิบัติตามนี้ได้ ไม่เกิน 3 เดือน เธอมีหวังรักษาศีล 5 ครบทุกสิกขาบทได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะการระมัดระวัง ศีลทั้ง 5 ข้อวันละ 3 ชั่วโมงนั้น เป็นการทรงฌานในสีลานุสสติวันละ 3 ชั่วโมง เพราะเป็นอนุสสติ ไม่ต้องไปนั่งหลับตาภาวนา เอาใจคอยระวังไม่ให้พลั้งพลาด เท่านี้ก็เป็นฌานแล้ว

ท่านผู้อ่านโปรดทราบ คำว่า ฌาน นั้น ความหมายจริงๆก็คือ อารมณ์ชิน คือมีอารมณ์ทรงอย่างนั้นเป็นปกติ อย่างพวกเราชินกับความทุกข์จนไม่เข้าใจว่ามันเป็นความทุกข์ นั่นก็คือ ความหิว ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เป็นต้น มีทุกวันจนชิน เลยไม่เข้าใจว่าเป็นทุกข์ เห็นเป็นของธรรมดาไป คำว่า ฌาน ก็เหมือนกัน มีอารมณ์เป็นปกติจนไม่มีอะไรต้องระวัง หรือมีความหนักใจ

แนะผู้มีอารมณ์ใจเข้มแข็งน้อย
คนที่มีอารมณ์เข้มแข็งน้อย หรือที่เรียกว่า มีกำลังใจค่อนข้างอ่อนแอ แต่มีแววที่พอจะทำได้ ให้เลือกปฏิบัติเอาจริงเอาจังเป็นข้อๆ ที่พอจะทำได้ ให้เอาชนะจริงๆ ข้อใดข้อหนึ่งไปเลย เมื่อชนะข้อใดข้อหนึ่งแน่นอนแล้ว ก็ค่อยๆ เลือกเอาข้อที่เห็นว่าง่าย ไม่นานเท่าไรก็ชนะหมดทุกข้อ

สรุปอารมณ์หนีนรก

สรุปแล้ว อารมณ์ หรือการปฏิบัติหนีนรก จนนรกตามไม่ทันต่อไปทุกชาตินั้น มีอารมณ์โดยย่อดังนี้

1. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายแน่
2. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
3. ฆราวาสมีศีล 5 ทรงอารมณ์เป็นปกติ

ทั้ง 3 ประการนี้ เป็นอารมณ์ในขณะที่ปฏิบัติ เมื่ออารมณ์ทรงตัวแล้ว อารมณ์ที่ปักหลักมั่นคงอยู่กับใจจริงๆ ก็เหลือ เพียงสอง ที่ท่านเรียกว่า องค์ ก็คือ

1. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ามั่นคงจริง
2. มีศีล 5 บริสุทธิ์ผุดผ่องจริง

เพียงเท่านี้ นรกก็ดี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เราผ่านได้ ไม่ต้องไปอยู่หรือเกิดในเขตนี้อีกต่อไป ถ้าจะถามว่าบาปกรรม ที่ทำแล้วไปอยู่ไหน ก็ต้องตอบว่ายังอยู่ครบ แต่เอื้อมมือมาฉุดกระชากลากลงไม่ถึง เพราะกำลังบุญเพียงเท่านี้ มีกำลังสูงกว่าบาป บาปหมดโอกาสที่จะลงโทษต่อไป


( กุศลผลบุญใดอันพึงมีพึงได้จากการณ์นี้ จงมีแก่บิดา มารดา ตลอดจนเพื่อนทุกข์ทั้งหลายด้วยเทอญ )

(จากหนังสือหนีนรก)


จากคุณ : ปิ่น [ 25 ก.ค. 2544 / 14:56:56 น. ]



ความคิดเห็นที่ 10 : (ชัชวาลย์)

คุณปิ่นคัดมาได้ดีมากเลยครับ ขอเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ ลองหาหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ที่หลวงพ่อเขียนถึงหลวงปู่ปานมาอ่านดูครับ จำได้ว่าหลวงพ่อท่านเคยพูดว่าถ้ามีการเกี่ยวเนื่องกันมาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะอยากมาที่วัดท่าซุงเพื่อศึกษาเพิ่มเติมครับ

จากคุณ : ชัชวาลย์ [ 25 ก.ค. 2544 / 18:38:05 น. ]



ความคิดเห็นที่ 11 : (g)

วัดท่าซุงจะให้คนไปปฏิบัติธรรมคล้าย ๆ แบบของวัดอัมพวันหรือเปล่าคะ

จากคุณ : g[ 25 ก.ค. 2544 / 19:26:37 น. ]



ความคิดเห็นที่ 12 : (ชัชวาลย์)

มีครับมีที่พักซึ่งลูกศิษย์หลวงพ่อร่วมกันสร้างใว้มากมายเลยครับแต่ตอนมีงานจะเต็มทุกห้องครับต้องพักรวมกันหลายๆ คนครับ
มีกฏระเบียบที่ต้องปฏิบัติตามหลายข้อแต่ก็ไม่ยากนัก เช่นต้องสวดมนต์เช้าเย็นและทำสมาธิตอนค่ำ เช้าก็ช่วยกันเก็บกวาดขยะและทำความสะอาดครับ พักได้ประมาณ 3 วันครับ ต้องแต่งกายสุภาพ อ้อถ้าได้ไปทำบุญที่วัดท่าซุงผมขอโมทนาด้วยครับ

จากคุณ : ชัชวาลย์ [ 25 ก.ค. 2544 / 22:18:08 น. ]



ความคิดเห็นที่ 13 : (อาตมา)

หลวงพ่อท่านจะสอนอยู่เสมอเรียกว่าให้ลูกศิษย์ระลึกอยู่แทบทุกลมหายใจก็ว่าได้ ว่าการเกิดเป็นทุกข์
แม้แต่มโนมยิทธิที่ท่านสอน ท่านก็จะให้พิจารณาก่อนว่าการเกิดเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้ตัดความสนใจใยดีในร่างกายซะ ซึ่งผลพลอยได้จะทำให้เกิดมโนมยิทธิ แล้วสามารถฝึกให้เกิดญาณ 8 ได้อีก

เช่น อตีตังสญาณ ท่านก็ให้พิจารณาอีกว่า มันน่าเบื่อ เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จักจบสิ้น เราจะรู้เอง เห็นเอง เลยว่า เราเคยเกิดมาเป็นอะไรบ้าง ทำความดี ความชั่วอะไรไว้ ตายแล้วไปไหน จนเราเบื่อไม่อยากเกิดอีก จิตจะเกิดนิพิธารมณ์ รักพระนิพพานอย่างเหนียวแน่นทีเดียว
สรุปแล้ว เป็นวิชาที่ตรงต่อพระนิพพานครับ

จากคุณ : อาตมา [ 25 ก.ค. 2544 / 23:51:19 น. ]



ความคิดเห็นที่ 14 : (ผู้สนใจ)

หากจะไปวัดท่าซุงเพื่อที่จะอยากเรียนอภิญญา หรือมโนมยิทธิ
เขามีกำหนดให้ไปช่วงวันโกนแบบวัดอัมพวันหรือเปล่าครับ

จากคุณ : ผู้สนใจ [ 26 ก.ค. 2544 / 07:03:07 น. ]



ความคิดเห็นที่ 15 : (ชัชวาลย์)

มโนมยิทธิฝึกเฉพาะวันเสาร์หรืออาทิตย์นะครับถ้าจำไม่ผิด ส่วนอภิญญาไม่มีสอนแต่มีเทปที่หลวงพ่อเคยสอนลูกศิษย์เราเอามาฟังและปฏิบัติตาม แต่จะได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเองคือขยันและเอาจริงตามที่หลวงพ่อท่านสอนหรือเปล่า อ้อทั้งสองอย่างที่พูดถึงไม่ใช้ว่าจะทำกันได้ทุกคนนะครับ

จากคุณ : ชัชวาลย์ [ 26 ก.ค. 2544 / 14:51:27 น. ]



ความคิดเห็นที่ 17 : (ขอแจม)

ที่จริงแล้ว ไม่ว่าจะปฏิบัติธรรมสายไหน มีฤทธิ์หรือไม่มี
องค์หลวงพ่อท่านก็สอนครบ (Anything you like, you got it!)
เพียงแต่ว่าผู้เรียนจะขี้เกียจหรือดื้อหรือเปล่า

ที่วัดท่าซุงมี หนังสือ เทป ซีดี จำหน่ายราคาสุดถูกนับไม่ถ้วน
พระคำสอนของหลวงพ่อ ง่ายๆ คือทำให้พร้อมถึงทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา
ใครปากบอกปฏิบัติธรรม แต่ศีลห้ายังรักษาไม่ได้ อันนี้ก็ยังไม่ได้อะไร
ใครทรงสมาธิดี มีฤทธิ์ซึ่งก็เป็นสิ่งดี แต่สมาธิอย่าเดียว ก็ไม่ใช่ทางออก
พระท่านให้ใช้ ศีลและสมาธิ เป็นฐาน แล้วสร้างปัญญาให้เกิด
วันทั้งวัน นั่งคิดแต่จะสร้างปัญญา แต่ศีลกับสมาธิขาด อันนี้ปัญญาก็ไม่เกิด

เป้าหมายสูงสุดที่องค์ท่านเน้นสอน และข้ายเจ้าก็ยังทำไม่ได้ดีก็คือ
การตัดขันธ์ตัดกิเลส โดยการไม่เอาจิตใจเข้ายึดถือกับร่างกายหรือโลก

องค์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะสอนเสมอๆ
ให้ปล่อยวางร่างกายตนเองและผู้อื่น
ไม่ยึดถือสิ่งใดๆในโลกนี้เป็นเราเป็นของเรา
แม้วาระสุดท้ายก่อนที่ท่านละสังขาร ท่านก็ยังย้ำเสมอว่า
ร่างกายเป็นของไม่เที่ยง
เกิด แก่ เจ็บ และในที่สุดก็ตาย
จงอย่าได้ยึดได้ถือร่างกายของใครเลย

หลวงพ่อท่านมรณภาพในวันที่ 30 ตุลาคม 2535
ร่างกายของหลวงพ่อไม่เน่าเหมือนคนปกติ
ภาพข้างบนนี้ถ่ายไนวันที่ 10 มี.ค. 2539
ร่างกายของหลวงพ่อยังตั้งอยู่บุษบกแก้วใน วิหารแก้วร้อยเมตร วัดท่าซุง

หลวงพ่อท่านตายแล้วไม่เกิดอีก
ดวงจิตอันบริสุทธ์ขององค์ท่าน
ประทับอยู่ที่เดียวกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนิพพาน
"นิพพานัง ปรมัง สุงขัง"
นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง


จากคุณ : ขอแจม [ 26 ก.ค. 2544 / 17:31:50 น. ]



ความคิดเห็นที่ 18 : (rising_sun)

อย่าบอกว่าดวงจิตของท่านอยู่ที่เดียวกับพระพุทธเจ้าเลยครับ
เพราะจะทำให้นิพพานกลายเป็นสถานที่ที่มีจิตไปชุมนุมกัน
ซึ่งนั่นไม่ใช่นิพพานของพระพุทธศาสนาครับ

จากคุณ : rising_sun [ 28 ก.ค. 2544 / 00:27:41 น. ]



ความคิดเห็นที่ 19 : (Amine)

อ่านแล้วดีใจและประทับใจในพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนนะครับที่ยังเคารพและสนใจในหลวงพ่ออยู่นะครับ ขอบคุณทุกๆ คนจริงๆ ที่กรุณามาให้ความรู้และความเข้าใจแก่ทุกๆ บุคคลที่ได้เข้ามาศึกษาครับ

จากคุณ : Amine [ 28 ก.ค. 2544 / 02:37:16 น. ]



ความคิดเห็นที่ 20 : (weerapong)

สาธุครับ หลวงปู่ฤษีลิงดำท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีวาสนาบารมีเก่าสูงมาก ชาติเก่าๆท่านเป็นฤษีมามาก มีฌาณสมาบัติสูง ท่านเป็นพระหนึ่งในไม่กี่รูปในโลกของยุคปัจจุบัน ที่รู้ว่าสภาวะนิพพานเป็นอย่างไร และพูดออกมาให้สาธารณชนทราบ

ท่านรู้เรื่ององค์ประกอบสำคัญทางศาสนามาก เช่น การบวงสรวงเทพเทวดาโดยการทำบายศรี รู้จตุโลกบาลทั้งสี่ รู้พระศรีอาริย์ รู้เรื่องโลกทิพย์ต่างๆ รู้สวรรค์ นรก รวมทั้งรู้ธรรมะที่พระสมัยโบราณเขาปฏิบัติกันอีกหลายอย่าง น่าสรรเสริญมาก

ท่านไหนที่ได้มีโอกาสทำบุญบารมีกับท่านก็ถือว่าโชคดีครับ ก็ขอให้ปฏิบัติให้ได้ตามที่ท่านสอนนะครับ ท่านที่ได้มโนมยิทธิเต็มขั้นน่าจะรู้นะครับว่าตอนนี้หลวงปู่ท่านอยู่ที่ภูมิไหน

ผมเองก็อาจจะถือได้ว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน(ภายใน)คนหนึ่ง เพราะท่านชี้แนะทางจิตให้หลายครั้ง(ไม่เคยพบท่านตอนท่านมีชีวิตอยู่) ถึงแม้ว่าบางเรื่องที่ผมเรียนรู้มาจากครูบาอาจารย์ของผมอาจจะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่หลักของการปฏิบัติธรรมที่หลวงปู่ฤษีลิงดำท่านสอน ผมก็ใช้เป็นหลักปฏิบัติเป็นประจำเช่นกันครับ

จากคุณ : weerapong [ 28 ก.ค. 2544 / 13:22:56 น. ]



ความคิดเห็นที่ 21 : (mindful)

ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ช่วย
ตอบมานะครับ
_/|\_ _/|\_ _/|\_

จากคุณ : mindful [ 28 ก.ค. 2544 / 15:31:34 น. ]



ความคิดเห็นที่ 22 : (ทุกขะ)

อนุโมทนากับคุณ weerapong ด้วยครับ
จริงๆ หลวงปู่ท่านมีคุณธรรมพิเศษอื่นๆ อีกมากมายครับ..... สาธุ

จากคุณ : ทุกขะ[ 28 ก.ค. 2544 / 23:44:13 น. ]



ความคิดเห็นที่ 23 : (ดอกบัว)

สาธุกับลูกศิษย์หลวงพ่อทุกๆท่านครับ....
ผมเองเมื่อก่อนตั้งแต่เด็กสนใจศาสนาพุทธมาตั้งแต่เด็กก็จริง แต่ว่าคลำหาทางไม่ถูกเลย มันสับสนไปหมด (ช่วงนั้นมันมีหลายกระแสมาก) จนกระทั่งคุณแม่ซึ่งเป็นศิษย์ท่าน และเคยเกิดเป็นลูกท่านมาหลายชาติ ได้ชักชวนให้มากราบท่านที่สอยสายลม

ในครั้งแรกที่เห็นท่านขอบอกตรงๆว่าสงสัยมาก เพราะท่านหัวเราะเสียงดัง พูดสนุกสนานกับบรรดาลูกศิษย์เฮฮา เพราะเคยคิดว่าพระดีๆน่าจะสงบเสงี่ยม แต่มารู้ทีหลังว่าคนที่บรรลุแล้วสำเร็จแล้วท่านไม่ต้องระวังตัวอีก พระใจท่านกิเลสเกาะไม่ติดแล้ว

ครั้งแรกที่ฝึกมโนมยิทธิก็เห็นสวรรค์ทันที ไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปที่พระจุฬามณี จนหายสงสัยเรื่องทำนองนี้ไปเลย ผมเห็นพวกผี เทวดา บ่อยมากจนไม่รู้สึกกลัวแล้ว อภินิหารต่างๆก็เห็นมาจนหายสงสัยจนหมดสิ้น เหลือแต่ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างตั้งมั่นแต่เพียงอย่างเดียวก็ด้วยพระคุณของหลวงพ่อที่เมตตาสั่งสอนไว้ให้

อยากจะบอกเพื่อนสหธรรมิกทุกท่านเอาไว้ ความสงสัยมันมีกันได้ทุกคน คนที่เป็นคนจริงเท่านั้นที่จะได้รับผลแห่งธรรม ทำให้สิ้นสงสัยในพระรัตนไตรทำลายนิวรณ์ข้อสำคัญให้หายไปสิ้นได้

1. รักษาศีลให้เคร่งครัด ถ้ารักษาไม่ได้จะไม่เห็นผลอะไรเลย มีแต่ความสงสัย

2. มั่นทำสมาธิในทุกๆครั้งที่มีโอกาส ทำมันทุกอริยาบทเลยนั่นแหล่ะ เอาสติตามให้ตลอด ถ้ามีเวลาว่างๆ อยู่คนเดียวก็ให้นั่งหลับตาเอาสติจับอยู่กับลมหายใจเข้าออก

3. ปัญญา มั่นพิจารณาในกฏไตรลักษณ์ อะไรก็ตามมันก็ตกอยู่ในกฏแห่งสัจจะธรรมนี้เสมอ อย่าไปยึดติดมันมีแต่ทุกข์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฟังดูง่ายๆแต่จะพิจารณากันหรือเปล่า


ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น กราบ..กราบ..กราบ

จากคุณ : ดอกบัว [ 3 ส.ค. 2544 / 11:13:20 น. ]



ความคิดเห็นที่ 24 : (ปอง)

คนทีไม่ใช่ลูกศิษย์เขายังยืนยันเลยนะครับว่า แนวปฏิบัติท่านเป็นแนวปฏิบัติที่รู้จริง พิสูจน์ได้จริง เป็นคนจริง ลองเข้าไปทั้งชีวิตเลยครับ

จากคุณ : ปอง 3 ส.ค. 2544 / 15:48:27 น. ]



ความคิดเห็นที่ 25 : (f9)

สหธรรมมิกของหลวงพ่อท่านมีพระองค์ใดบ้างนะครับ

จากคุณ : f9 [ 3 ส.ค. 2544 / 16:11:43 น. ]



ความคิดเห็นที่ 26 : (weerapong)

ตอนหลวงปู่ฤษีลิงดำท่านเดินธุดงค์ ท่านเคยไปปฏิบัติอยู่กับพระผู้เฒ่ารูปหนึ่ง เป็นเวลาสองอาทิตย์ (พระผู้เฒ่านั้นคืออาจารย์ของผมเอง) ครั้งแรกๆ ที่ผมพบพระผู้เฒ่าท่านเล่าให้ฟังนิดหน่อยเกี่ยวกับหลวงปู่ฤษีลิงดำ ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ ท่านก็พูดเรื่องหลวงปู่ฤษีลิงดำให้ฟัง ก็มาเช้าใจในช่วงหลังๆ นี่เอง

แต่สิ่งหนึ่งที่แปลกก็คือผมมีเหตุบังเอิญให้ได้รับของส่วนตัวของหลวงปู่ฤษีลิงดำหลายอย่างมาก ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นผมด้วย ของหลายอย่างนั้นรวมถึงไม้เท้าของท่าน และสิ่งที่เป็นเม็ดสีดำเท่าปลายนิ้วก้อย ที่ท่านได้มาจากวัดหลวงปู่ศุข และ ฯลฯ แต่ของส่วนใหญ่ผมถวายพระผู้เฒ่าเพื่อบูชาศาสนาไป ก็คิดว่าผมคงจะเป็นทางผ่านเพื่อนำของเหล่านั้นของท่านไปอยู่ในเขตศาสนานะครับ

มีพระสหธรรมมิกของหลวงพ่อหลายรูปทางภาคเหนือปรารถนาไปพระศรีอาริย์ ส่วนใหญ่จะละสังขารไปแล้ว ก็เจอกันอยู่ในภาคภายในบ่อยครั้ง จึงทำให้รู้ว่าท่านใดเป็นสายธรรมบ้าง

จากคุณ : weerapong [ 3 ส.ค. 2544 / 19:03:53 น. ]

โพสต์ในเว็บ http ://202.44.204.76/cgi-bin/kratoo.pl/003128.htm


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top