หลวงพ่อเล่าเรื่อง "ขุนช้างขุนแผน" (โพสต์ในเว็บอื่น)
หลวงพ่อเล่าเรื่อง "ขุนช้าง ขุนแผน" เล่า 22 เมษายน 2521
(ภาพประกอบ : www.thaimtb.com)
เรื่องจริง..แต่นอกตำนาน
"...เดินทางมาถึงจังหวัดสุพรรณบุรี พอรถเลี้ยวจากฝั่งนี้ข้ามไปฝั่งตะวันตก เห็นวัดพระธาตุแล้ว เห็น วัดป่าเลไลย์ ตอนนี้ใจหายวาบ เพราะปรากฏ
"ภาพของบุคคลกลุ่มหนึ่ง" ไม่ใช่คนเดียว เป็นคนกลุ่มหญ่ แต่งตัวสวย สดงดงาม มาถึงก็ยกมือไหว้ มองไปเห็นเป็นคนสำคัญคือ ขุนช้าง
"ขุนช้าง" ท่านเป็นเทวดา คือ เจ้าพ่อหลักเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี จึงถามท่านว่า หน้าตาของท่านเวลานี้สวย แต่ตามนิยายเขาบอกว่า ท่านหัวล้านน่ะ
ไม่รู้ว่าหัวใคร แต่หัวผมจริงๆ มันไม่ล้านครับ เป็นหัวเถิกง่ามถ่อ ธรรมดาๆ เท่านั้น ถามท่านว่า สมัยนั้น เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ใช่ไหม
ท่านบอกว่า ใช่..แล้วก็รับราชทินนามเป็น "ขุน" ก็เป็นเรื่องน่าแปลก ก็เลยถามว่า เรื่อง "วันทอง" เรื่อง "ขุนแผน" กับท่านนี่ ดูแล้วมันเลวจริง ๆ
ก็อยากจะทราบว่า เรื่องแห่งความเป็นจริงนั้นมันยังไง เลวทรามขนาดนั้น ก็แสดงว่า บ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปดู เหมือนว่าพระราชาไม่มีความหมาย
ท่านขุนช้างฟังแล้วท่านก็ยิ้ม บอกว่ามันแย่จริงๆ เรื่องราวในคราวก่อนนี้ ผมกับขุนแผนไม่เคยมีเรื่องร้าย เพราะ เป็นเพื่อนเล่นกันมา
ตั้งแต่อยู่วัดเป็นเด็กๆ แล้วต่อมา ก็เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน ถ้าผมบังเอิญจะไปแย่งเมียขุนแผนอย่างนั้น ผมคิดว่าผมคงจะตายไม่รู้ว่าแบบไหน
จึงถามว่าเป็นเพราะอะไร..?
ท่านบอกว่าขุนแผนนี้ มีความรู้ ร้ายกาจมาก ถ้าปรารถนาจะฆ่าคน อย่างผมนี้มันไม่ยาก ไม่ต้อง ใช้อาวุธ เป็นแต่เพียงแกหยิบเอาต้นหญ้าขึ้นมาต้นเดียว
ต้องการให้ต้นหญ้านั้นเข่นฆ่าผม ผมก็ตายแล้ว
ท่านขุนช้างนี่ ท่านเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช ท่านมาให้เห็น ไม่ใช่ว่าผู้เห็นจะใช้ฌานสมาบัติใช้ฌานอะไร เป็นอานุภาพของเทวดาแสดงให้เห็น
อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า "ผีหลอก" คนถูกผีหลอก เขาเข้าฌานสมาบัติหรือก็เปล่า
ถามท่านขุนช้างว่า ก็เมื่อท่านเป็นเพื่อนกับขุนแผน แล้วเรื่องร้ายทั้งหลายแหล่ ที่คนเขียนขึ้นนั้นมันมาได้ยังไง ท่านก็กล่าวว่า
เวลานั้นเป็นสมัยราชาธิปไตย คนที่อยู่ในสมัยราชาธิปไตยต้องเป็นคนดี มีจริยาดี ทั้งสองคนเป็น "ขุน"
ขุนช้างเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็มีความรู้ดี ขุนแผนเป็นคนจน แต่ก็จนอย่างขุนแผน ไม่ใช่จนอย่างยาจก เป็นคนที่มีวิชาความรู้ดี คำว่า "จน"
ก็หมายถึงว่าไม่ได้มีเงินอย่างเหลือล้นนั่นเอง และขุนแผนเป็นคนมีลูกน้องมาก นอกจากเบี้ยหวัดเงินปีที่พระราชาให้ ขุนแผนก็ต้องล้วงเงินในกระเป๋าของตนเลี้ยง
คนทั้งหลายที่มีกำลังดี เก็บเอาไว้ต่อสู้กับฆ่าศึก ขุนแผนเป็นลูก "ขุนไกร"
ท่านบอกว่า ความจริงขุนแผนกับขุนช้างไม่มีเรื่องอะไร มีความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย ตอนที่ขุนแผนไปตีเมืองจอมทอง มีคนเขามาแกล้งแย่งความดีของขุนช้าง
คิดจะให้ขุนช้างถูกขุนแผนฆ่าตาย จึงเอากระดูกคนมาแสดงว่า เวลานี้ขุนแผนตายแล้ว และขุนแผนก็สั่งว่า สำหรับวันทองซึ่งเป็นเมียเล็ก เห็นว่าไม่คู่ควรกับใคร
ขอมอบไว้กับขุนช้างปกครองด้วย ช่วยรักษาเธอให้มีความสุข
พระยาภานุมาศ
นี่เห็นไหม..เห็นว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขียนกันไปน่ะ มันลอกเปลือกกันมาก ถามท่านขุนช้างว่า เวลาท่านตายทำไมจึงไม่ไปเป็นสัตว์นรก
ท่านก็ยิ้มแล้วชี้หน้าว่า ท่านล่ะตัวท่านเองทำไมจึงไม่ไปเป็นสัตว์นรก ก็เลยบอกว่า ฉันระลึกชาติไม่ออกนี่ ท่านเป็นเทวดา ท่านรู้ก็บอกซี
ท่านบอกว่า สมัยนั้นท่านขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดี (พระบำราบหรินทร์ก็ดี พระยากาญจนบุรีก็ดี สามชื่อนี้ ได้แก่ "ขุนแผน" คือ พลายแก้ว) คนสมัยนั้นทั้งหมด
เขาเป็นนักบุญกัน ท่านก็ชี้จุดต่าง ๆ ให้ดูว่าเมืองสุพรรณ มันดาดาษไปด้วยวัดวาอาราม กรุงศรีอยุธยาก็ดาดาษไปด้วยวัดวาอาราม วัดติดๆ กัน
นั่นแสดงว่าคนสมัยนั้นจิตเขาเป็นมหากุศล ทำบุญ ทำกุศล สวดมนต์ ใส่บาตรไหว้พระ เจริญสมถะวิปัสสนากันเป็นปกติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับขุนแผน ถามขุนช้างว่า จริง ๆ ราชทินนามของท่านก่อนที่ท่านจะตายน่ะ มีราชทินนามว่ายังไง บรรดาศักดิ์น่ะ
ท่านบอกว่าบรรดาศักดิ์ของผมจริง ๆ ก็เป็นพระยา มีนามว่า พระยาภานุมาศ
เอ๊ะ..ภานุมาศ ก็ช้างซี ? ใช่แล้ว..พระยาภานุมาศอยู่กับเมืองหลวง มีหน้าที่ควบคุมช้างสำหรับขุนแผนนั้น ได้แก่ พระยากาญจนบุรี แต่เนื้อแท้จริง ๆ
เป็น "เจ้าพระยา" ในตอนสุดท้าย แต่ทว่า ประวัติศาสตร์หายไปทั้งสองคน เวลาที่รับราชการอยู่ก็ชอบทำบุญ ตอนพ้นจากราชการก็ไปจำศีลกันในเขา
บั้นปลายชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนแผน ไปอยู่ที่ เขาชนไก่ จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนท่านขุนช้าง ปรากฏว่า หลบไปอยู่ทาง เขาราวเทียน
ภูเขาราวเทียนนี่อยู่ทางหลังอำเภอหันคา สองคนจำศีลภาวนาได้ฌานสมาบัติ ตายจากความเป็นคน ขุนช้างไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช แต่สำหรับขุนแผน
เวลาตายก็เข้าฌานตาย เพราะมีกำลังใจใหญ่ ตายแล้วไปเกิดเป็นพรหม
แล้วท่านก็บอกว่า ขุนแผนขยันเกิด เพราะมีนิสัยชอบยุ่ง เขาถือว่าคนไทยที่มีน้ำใจดี เป็นคนของเขา เขาถือว่าเป็นพี่เป็นน้องเขา ตายจากสมัยนั้น
แล้วก็มาเกิดในสมัย พระนารายณ์มหาราช มี นามว่า นายเหล็ก สมัยรัตนโกสินทร์ก็มาเกิดอีก แล้วก็ชอบยุ่งตามเคย อย่ารู้เลยว่าเป็นใคร
นี่เป็นเรื่องของขุนช้างขุนแผน ตามที่เทวดา "ขุนช้าง" ท่านเล่า จริงเท็จอยู่กับท่าน ท่านแถมท้ายว่า
อย่าเชื่อประวัติว่าขุนช้างเป็นคนหัวล้าน นั่นไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นนิยายที่เขาเขียนขึ้นมาว่า ขุนช้างเป็นคนเลว ความจริงขุนช้างก็ดี ขุนแผนก็ดี
เป็นคนที่มีระเบียบวินัย เวลานั้นท่านบอกว่า เป็นสมัยพระเจ้าพันวัสสาหรือ ที่เรียกกันว่า "พระเจ้าสามพระยา" นั่นเอง
ขุนแผนนั้น ถ้าจะเอาความร่ำรวยกันจริง ๆ แล้ว มันก็รวยกว่าผม แต่ว่าเงินที่มันสะสมไว้มีน้อย ก็เพราะว่ามันแจกเขามาก
ขุนแผนจึงรู้สึกว่าทรัพย์สินที่มีอยู่ในตนจนจริง ความจริงคำว่า "ขุนแผน" นี้ ไม่มีในทำเนียบของราชการ ชาวบ้านเขาตั้ง ขุนแผนก็ดีขุนช้างก็ดี
ชาวบ้านเขาตั้ง ที่เรียกคนเผ่านี้ว่า "เผ่าขุนช้าง"
ที่มาของคำว่า "ขุนแผน"
สำหรับ "ขุนแผน" ก็เหมือนกัน ที่เรียกว่า "ขุนแผน" ก็เพราะมันเป็นคนออกแบบออกแผนจู้จี้จุกจิก เห็นอะไรไม่ดีก็จัดสรร กราบบังคมทูลพระเจ้าพันวัสสา
พระองค์ก็เห็นด้วยทุกประการ อาศัยที่มันเป็นคนวางแผน ชอบเปลี่ยนแปลง ชอบจัดระบบให้สมดุลย์อยู่เสมอ ชาวบ้านจึงเรียกว่า "ขุนแผน"
ขุนแผนหรือ "ไอ้แก้ว" ที่มันมีเมียเป็นปี๊บ ๆ น่ะ ความจริงไม่ใช่ว่ามันจะเป็นคนเจ้าชู้วิ่งหาผู้หญิง แต่ความจริงเจ้าแก้วกับผมลักษณะมันต่างกัน
นี่ผมยืนให้ท่านดู ดูมาดนายช้างเสียบ้าง นายช้างน่ะ เป็นคนมาดดี สง่าผ่าเผย ตาผ่องใส แล้วก็หน้ารูปไข่นิด ๆ แต่ว่าหน้าเป็นหน้าของผู้ชาย
ไม่ใช่รูปไข่ของผู้หญิง ลักษณะท่าท่างองอาจ นี่ท่านจะว่าละซี ว่าหน้าตาคงเหมือนช้าง ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ?
ท่านอย่าว่าซิ นี่คนคุมช้างมันก็ต้องสง่าผ่าเผย มีกำลังเหมือนช้าง แต่ว่าช้างตัวนี้ มันเป็นตัวที่มีศักดิ์ศรี แต่ว่าเจ้าแก้วมันมีรูปร่างอีกอย่างหนึ่ง
เจ้าแก้วนี่ถ้าจะดูลักษณะจริง ๆ มันก็เป็นคนสมส่วนสมสัด ท่าทางทะมัดทะแมง แต่ผิวเจ้าแก้วมันขาวกว่าผม ผมเป็นค่อนข้างขาว อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า
เป็นคนขาว
แต่ว่าเวลาเดินเดินแรง เพราะคุมช้างนี่ต้องเดินแรง เวลาทำงานผมช้าไม่ได้ ไอ้แก้วมันเรียกผมว่า "ไอ้โคล้งๆ" ชื่อจริง ๆ มันก็ไม่เรียก ผมชื่อ
ศรี นะ ชื่อผมจริง ๆ ว่า "ศรี" เขาแปลว่า มิ่งขวัญ
ไอ้แก้วน่ะชื่อจริง ๆ เขาว่า พลายแก้ว พลายแก้ว คือ ช้างแก้ว ช้างที่มีกำลังใหญ่ ช้างตัวประเสริฐของพระเจ้าจักรพรรดิ ที่เขาให้ชื่อว่า
"พลายแก้ว" ก็เพราะมันออกมาฤกษ์ดี โหรพยากรณ์ว่า เจ้าเด็กคนนี้จะมีอำนาจมาก สามารถจะปราบปรามข้าศึกได้ทุกทิศ โดยที่จะใช้กำลังคน
เข้าประชิดกับข้าศึกด้วยกำลังไม่มาก
ผมสวยสู้ไอ้แก้วมันไม่ได้ ไอ้แก้วมันสวยมาก ท่าทางมันดี กิริยาก็แช่มช้อยกว่า ผู้หญิงปัจจุบัน ผู้หญิงสมัยนี้น่ะ มันเป็นผู้ชายเสียมากกว่าผู้หญิง
ผู้หญิงสมัยโน้นน่ะ เขาเป็นคนเก็บตัว มีจริยามารยาทดีพูดน้อย เห็นผู้ชายไม่ใช่ว่าจะวิ่งเข้าไปคุยจะไปควงกับผู้ชาย มีแต่จะเก็บตัวตามจารีตประเพณี
เป็นคนน่ารัก แต่ลักษณะการย่อง ๆ หนีไปหาคู่รัก เวลาพ่อแม่เผลอ มันก็มีเป็นของธรรมดา แต่ว่าจริยาท่าทาง หน้าบ้านเขาดี ที่เจ้าแก้วมันมีเมียมากเพราะ...
1. รูปร่างหน้าตามันดี สวยเก๋ มีเสน่ห์
2. เป็นคนอ่อนโยน
3. เป็นคนกตัญญูรู้คุณ
4. มีจิตใจเผื่อแผ่ มันไม่ค่อยเก็บสตางค์ ไปที่ไหน มันก็จ่าย ให้ลูกน้องดะ เห็นคนยากจนเข็ญใจ มันก็สงเคราะห์ให้ตามสมควร มีอะไรพอที่มันจะช่วยเหลือได้
มันช่วยทุกอย่าง
เวลานั้นบ้านเมืองมันกว้าง คนก็น้อย การทำไร่ไถนาก็เป็นของไม่ยาก เหมือนกับชาวเขาเวลานี้ อยากจะไปฟันป่าตรงไหนก็ไปกัน ทำกันได้ตามชอบใจ ใครไม่มีทุน
ไม่มีรอน เจ้าแก้วมันก็ให้ ความจริงผมก็ไม่ยอมแพ้มันนะ ใครมาขอ ผมก็ให้เหมือนกัน แต่ว่า สู้มันไม่ได้ มันเที่ยวเก่ง มันพูดเก่งกว่า มีคนรู้จักมากกว่า
ก็เลยมีคนมาไถมันมาก
ในเมื่อมีคนมาไถมันมาก ผมมีคนมาไถน้อยกว่า ลูกไอ้แก้วก็เลยมาไถผม ต่อไปขึ้นมาบนบ้านบอก คุณพ่อไอ้นี่ดี คุณพ่อไอ้นั่นดี มันอยากว่าดีผมก็เลยให้มัน
ลูกไอ้แก้วมันเรียกผมว่า "พ่อ" ทุกคนแหละ มันรักผมเหมือนพ่อ ผมก็รักมันเหมือนลูก ฉะนั้นตามนิยายปรัมปราที่เล่ากันมา มันทำเสียไปหมด
คนขนาดเป็นขุนน้ำขุนนางเป็นพระยาแบบนั้น ใครจะเลวแบบนั้น เลิกพูดกันทีนะ..เรื่องไอ้แก้วกับไอ้ช้าง..!"
ที่มา - www.amulet.in.th/forums/view_topic.php,
www.agalico.com/board/showthread.php?t=17223
http: //poweropject.igetweb.com,
อ้างว่ามาจาก - www.firstbuddha.com/Real/kunchan.html
เรื่องจริง..ในตำนาน
ท่านผู้อ่านได้ทราบ "เรื่องจริงที่นอกตำนาน" ไปแล้ว ต่อไปจะเป็น "เรื่องจริงในตำนานกันบ้าง ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เล่ากันมานานแล้วดังนี้
ขุนช้างขุนแผน เป็นนิยายพื้นบ้านของจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ภายหลังกลายเป็นวรรณคดีที่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้รัตนกวีในสมัยของพระองค์ร่วมกันแต่งขึ้นเป็นร้อยกรอง ใช้กลอนสุภาพเพื่อขับเสภา เรียกว่า "กลอนเสภา"
เชื่อว่ามีเค้าโครงจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ขุนช้าง ขุนแผน ณ เมืองสุพรรณบุรี
กล่าวถึงครอบครัว 3 ครอบครัว คือ..
- ครอบครัวของ "ขุนไกรพลพ่าย" รับราชการทหาร มีภรรยาชื่อ "นางทองประศรี" มีลูกชายด้วยกันชื่อ "พลายแก้ว"
- ครอบครัวของ "ขุนศรีวิชัย" เศรษฐีใหญ่ของเมืองสุพรรณบุรี รับราชการเป็นนายกองกรมช้างนอก ภรรยาชื่อ "นางเทพทอง" มีลูกชายชื่อ "ขุนช้าง"
ซึ่งหัวล้านมาแต่กำเนิด และ
- ครอบครัวของ "พันศรโยธา" เป็นพ่อค้า ภรรยาชื่อ "ศรีประจัน" มีลูกสาวรูปร่างหน้าตางดงามชื่อ "นางพิมพิลาไลย"
วันหนึ่ง สมเด็จพระพันวษา มีความประสงค์จะล่าควายป่า จึงสั่งให้ขุนไกรปลูกพลับพลาและต้อนควายเตรียมไว้
แต่ควายป่าเหล่านั้นแตกตื่นไม่ยอมเข้าคอก ขุนไกรจึงใช้หอกแทงควายตายไปมากมาย ที่รอดชีวิตก็หนีเข้าป่าไป สมเด็จพระพันวษาโกรธมากสั่งให้ประหารชีวิตขุนไกรเสีย
นางทองประศรีรู้ข่าวรีบพาพลายแก้วหนีไปอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี
ทางเมืองสุพรรณบุรี มีพวกโจรจันศรขึ้นปล้นบ้านของขุนศรีวิชัยและฆ่าขุนศรีวิชัยตาย ส่วนพันศรโยธาเดินทางไปค้าขายต่างเมือง
พอกลับมาถึงบ้านก็เป็นไข้ป่าตาย
เมื่อพลายแก้วอายุได้ ๑๕ ปี ก็บวชเณรเรียนวิชาอยู่ที่วัดส้มใหญ่ แล้วย้ายไปเรียนต่อที่วัดป่าเลไลย ต่อมาที่วัดป่าเลไลยจัดให้มีเทศน์มหาชาติ
เณรพลายแก้วเทศน์กัณฑ์มัทรี ซึ่งนางพิมพิลาไลยเป็นเจ้าของกัณฑ์เทศน์ นางพิมเลื่อมใสมากจนเปลื้องผ้าสไบบูชากัณฑ์เทศ์
ขุนช้างเห็นเช่นนั้นก็เปลื้องผ้าห่มของตนวางเคียงกับผ้าสไบของนางพิม อธิฐานขอให้ได้นางเป็นภรรยา ทำให้นางพิมโกรธ
ต่อมาเณรพลายแก้วก็สึกแล้วให้นางทองประศรีมาสู่ขอนางพิมและแต่งงานกัน
ทางกรุงศรีอยุธยาได้ข่าวว่ากองทัพเชียงใหม่ตีได้เมืองเชียงทอง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพันวษาถามหาเชื้อสายของขุนไกร
ขุนช้างซึ่งเข้าไปรับราชการอยู่จึงเล่าเรื่องราวความเก่งกล้าสามาราถของพลายแก้ว เพื่อหวังจะพรากพลายแก้วไปให้ห่างไกลนางพิม
สมเด็จพระพันวษาจึงให้ไปตามตัวมาแล้วแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปรบกับเมืองเชียงใหม่และได้ชัยชนะ นายบ้านแสนคำแมนแห่งหมู่บ้านจอมทอง
เห็นว่าพลายแก้วกับพวกทหารไม่ได้เบียดเบียนให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงยกนางลาวทองลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาของพลายแก้ว
ส่วนนางพิมพิลาไลย เมื่อสามีจากไปทัพได้ไม่นานก็ป่วยหนักรักษาเท่าไรก็ไม่หาย ขรัวตาจูวัดป่าเลไลยแนะนำให้เปลี่ยนชื่อเป็นวันทอง อาการไข้จึงหาย
ขุนช้างทำอุบายนำหม้อใหม่ใส่กระดูกไปให้นางศรีประจันกับนางวันทองดูว่าพลายแก้วตายแล้วและขู่ว่านางวันทองจะต้องถูกคุมตัวไว้เป็นม่ายหลวงตามกฎหมาย
นางวันทองไม่เชื่อ แต่นางศรีประจันคิดว่าจริง ประกอบกับเห็นว่าขุนช้างเป็นเศรษฐีจึงบังคับให้นางวันทองแต่งงานกับขุนช้าง
นางวันทองจำต้องตามใจแม่แต่นางไม่ยอมเข้าหอ
ขณะนั้นพลายแก้วกลับมาถึงกรุงศรีอยุธยาและได้บรรดาศักดิ์เป็น "แผนแสนสะท้าน" จากนั้นก็พานางลาวทองกลับสุพรรณบุรี
นางวันทองเห็นขุนแผนพาภรรยาใหม่มาด้วย ก็โกรธด่าทอโต้ตอบกับนางลาวทอง และลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน ทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี
ส่วนนางวันทองและลืมตัวพูดก้าวร้าวขุนแผน ทำให้ขุนแผนโมโหพานางลาวทองไปอยู่ที่กาญจนบุรี ส่วนนางวันทองก็ตกเป็นภรรยาของขุนช้างอย่างจำใจ
ต่อมาขุนช้างและขุนแผนเข้าไปรับราชการอบรมในวังและได้มหาดเล็กเวรทั้งสองคน วันหนึ่งนางทองประศรีให้คนมาส่งข่าวว่า นางลาวทองป่วยหนัก
ขุนแผนจึงฝากเวรไว้กับขุนช้างแล้วไปดูอาการของนางลาวทอง ตอนเช้าสมเด็จพระพันวษาถามถึงขุนแผน ขุนช้างบอกว่าขุนแผนปีนกำแพงวังหนีไปหาดภรรยา
สมเด็จพระพันวษาโกรธจึงสั่งให้นำตัวนางลาวทองมากักไว้ในวัง
ส่วนขุนแผนให้ไปตระเวนด่านห้ามเข้าวังอีกทำให้ขุนแผนแค้นขุนช้างมากคิดช่วงชิงนางวันทองกลับคืนมา จึงออกหาของวิเศษ ๓ อย่าง คือ ดาบวิเศษ กุมารทอง
และม้าฝีเท้าดี ขุนแผนเดินทางไปถึงซ่องโจรของหมื่นหาญก็สมัครเข้าเป็นสมุน
วันหนึ่งได้ช่วยชีวิตหมื่นหาญให้รอดพ้นจากการถูกวัวแดงขวิดตาย หมื่นหาญจึงยกนางบัวคลี่ลูกสาวของตนให้เป็นภรรยาของขุนแผน
ต่อมาหมื่นหาญเห็นขุนแผนมีวิชาอาคมเหนือกว่าตนก็คิดกำจัด โดยสั่งให้นางบัวคลี่วางยาพิษฆ่าขุนแผน แต่โหงพรายมาบอกให้ขุนแผนรู้ตัว คืนนั้นพอนางบัวคลี่นอนหลับ
ขุนแผนก็ผ่าท้องนางควักเอาเด็กไปทำพิธีปลุกเสกเป็น "กุมารทอง"
ต่อจากนั้นก็ทำพิธีตี "ดาบฟ้าฟื้น" และไปซื้อม้าลักษณะดีได้ตัวหนึ่ง ชื่อ "ม้าสีหมอก" แล้วขุนแผนก็ไปที่บ้านของขุนช้างสะกดคนให้หลับหมด
แล้วขึ้นไปบนบ้านแต่เข้าห้องผิด จึงพบนางแก้วกิริยาและได้นางเป็นภรรยา จากนั้นก็ไปปลุกนางวันทองพาขึ้นม้าหนีเข้าป่าไป ขุนช้างไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา
พระองค์ให้ทหารตามจับขุนแผน แต่ถูกขุนแผนฆ่าตายไปหลายคน
ขุนแผนกับนางวันทองหลบซ่อนอยู่ในป่า จนนางตั้งท้องจึงพากันออกมามอบตัวสู้คดีกับขุนช้างจนชนะคดี ขุนแผนนางวันทอง
และนางแก้วกิริยาจึงอยู่ร่วมกันด้วยความสุข แต่ขุนแผนนึกถึงนางลาวทองจึงขอร้องจมื่นศรีเสาวรักษ์ให้ขอตัวนาง
จากสมเด็จพระพันวษาทำให้พระองค์โกรธว่าขุนแผนกำเริบจึงสั่งจำคุกขุนแผนไว้ นางแก้วกิริยาตามไปปรนนิบัติขุนแผนด้วย
ส่วนนางวันทองพักอยู่ที่บ้านของหมื่นศรี ขุนช้างจึงพาพรรคพวกมาฉุดนางวันทองไปเป็นภรรยาอีก ต่อมานางก็คลอดลูกชาย แล้วตั้งชื่อให้ว่าพลายงาม
ขุนช้างรู้ว่าไม่ใช่ลูกของตนก็เกลียดชัง วันหนึ่งจึงหลอกพาเข้าไปในป่าทุบตีจนสลบแล้วเอาท่อนไม้ทับไว้ โหงพรายของขุนแผนมาช่วยได้ทัน
นางวันทองจึงให้ลูกไปอยู่กับนางทองประศรีที่กาญจนบุรี พลายงามได้ร่ำเรียนวิชาของพ่อเชี่ยวชาญ ขุนแผนจึงพาไปฝากไว้กับหมื่นศรี
เพื่อหาโอกาสให้เข้ารับราชการ
ทางฝ่ายพระเจ้าเชียงอินทร์ เจ้าเมืองเชียงใหม่ ให้ทหารไปชิงตัวนางสร้อยทองธิดาพระเจ้าล้านช้างระหว่างที่เดินทางไปยังกรุงศรีอยุธยา
เพราะพระเจ้าล้านช้างต้องการเป็นไมตรีด้วย จึงส่งธิดามาถวายตัว แล้วพระเจ้าเชียงอินทร์ยังส่งหนังสือท้าทายสมเด็จพระพันวษาอีกด้วย
พลายงามได้โอกาสจึงอาสาออกไปรบ และขอให้ปล่อยขุนแผนออกจากคุกด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันทำศึก ขุนแผนจึงพ้นโทษ
ในขณะที่กำลังเตรียมทัพนางแก้วกิริยาก็คลอดลูกเป็นชาย ขุนแผนตั้งชื่อว่า "พลายชุมพล" แล้วขุนแผนกับพลายงามก็คุมทัพมุ่งสู่เชียงใหม่
ขุนแผนได้แวะเยี่ยมพระพิจิตรกับนางบุษบาซึ่งเคยให้ความช่วยเหลือ เมื่อครั้งขุนแผนกับนางวันทองเข้ามอบตัว พลายงามจึงได้พบนางศรีมาลาและได้นางเป็นภรรยา
จากนั้นก็คุมทัพไปรบกับเชียงใหม่ได้ชัยชนะ ครั้นกลับถึงกรุงศรีอยุธยา ขุนแผนได้เป็น "พระสุรินฤๅไชย" เจ้าเมืองกาญจนบุรี พลายงามได้เป็น "จมื่นไวยวรนาถ"
และสมเด็จพระพันวษาก็ยก "นางสร้อยฟ้าธิดา" ของพระเจ้าเชียงอินทร์ให้แต่งงานกับพระไวยพร้อม ๆ กับนางศรีมาลา
พระไวยนางให้แม่มาอยู่กับตนและคืนดีกับพ่อ จึงไปลักพานางวันทองมาขุนช้างเคืองมากไปฟ้องสมเด็จพระพันวษา จึงมีการไต่สวนคดีกันอีกครั้งหนึ่ง
ในที่สุดสมเด็จพระพันวษาก็ถามความสมัครใจของนางว่าจะเลือกอยู่กับใคร นางตัดสินใจไม่ได้ สมเด็จพระพันวษาหาว่านางเป็นหญิงสองใจจึงสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต
พระไวยพยายามอ้อนวอนขออภัยโทษได้ แต่ไปห้ามการประหารไม่ทัน
ในครอบครัวของพระไวยก็ไม่ราบรื่นนัก เพราะนางสร้อยฟ้าไม่พอใจที่พระไวยและนางทองประศรีรักนางศรีมาลามากกว่านาง
จึงมักจะมีการทะเลาะวิวาทกันอยู่เสมอ นางสร้อยฟ้าเจ็บใจจึงให้เถรขวาดทำเสน่ห์ให้พระไวยหลงรักนาง แล้วนางสร้อยฟ้าก็หาเรื่องใส่ความให้พระไวยตีนางมาลา
พลายชุมพลเข้าไปห้ามก็ถูกตีไปด้วย
พลายชุมพลน้อยใจจึงหนีออกจากบ้านไปหาพ่อแม่ที่กาญจนบุรีเล่าเรื่องให้ฟัง แล้วหนีต่อไปหายายที่สุโขทัย ได้บวชเณรและเล่าเรียนอยู่ที่นั้น
ฝ่ายขุนแผนรีบไปที่บ้านของพระไวย แล้วเสกกระจกมนต์ให้ดูว่าถูกทำเสน่ห์ แต่พระไวยไม่เชื่อหาว่าพ่อเล่นกลให้ดู
และพูดลำเลิกบุญคุณที่ช่วยพ่อออกมาจากคุกขุนแผนแค้นมากประกาศตัดพ่อตัดลูก แล้วกลับกาญจนบุรีทันที
พลายชุมพลเรียนวิชาสำเร็จแล้วก็นัดหมายกับขุนแผนจแก้แค้นพระไวย โดยพลายชุมพลสึกจากเณรปลอมเป็นมอญ ใช้ชื่อ "สมิงมังตรา"
ยกกองทัพหุ่นหญ้าเสกมาถึงสุพรรณบุรี สมเด็จพระพันวษา ให้ขุนแผนยกทัพไปต้านศึก ขุนแผนแกล้งแพ้ให้ถูกจับได้พระไวยจึงต้องยกทัพไปและต่อสู้กับพลายชุมพล
ระหว่างที่กำลังต่อสู้กัน ขุนแผนบอกให้พลายชุมพลจับตัวพระไวยไว้
พระไวยเห็นพ่อก็ตกใจหนีกับไปฟ้องสมเด็จพระพันวษาพระองศ์จึงให้นางศรีมาลาไปรับตัวขุนแผนกับพลายชุมพลเข้าวัง
พลายชุมพลอาสาจับเสน่ห์ โดยขอหมื่นศรีไปเป็นพยานด้วย พลายชุมพลจับตัวเถรขวาดกับเณรจิ๋วไว้ แล้วขุดรูปปั้นลงอาคมที่ฝั่งไส้ใต้ดินขึ้นมาได้เสน่ห์จึงคลาย
ตกดึกเถรขวาดกับเณรจิ๋วสะเดาะโซ่ตรวนหนีไป ในการไต่สวนคดีนางสร้อยฟ้า ไม่ยอมรับว่าเป็นคนทำเสน่ห์ และใส่ร้ายว่านางศรีมาลาเป็นชู้กับพลายชุมพล
พอนางจับได้พลายชุมพลก็หนีไปยุยงขุนแผน
ในที่สุดก็มีการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยการลุยไฟ นางสร้อยฟ้าแพ้ถูกไฟลวกจนพุพอง ส่วนนางศรีมาลาไม่เป็นอะไรเลย สมเด็จพระพันวษาสั่งประหารนางสร้อยฟ้า
แต่นางศรีมาลาช่วยขออภัยโทษให้ จึงเพียงถูกเนรเทศกลับไปอยู่ที่เชียงใหม่เช่นเดิม ระหว่างเดินทางก็พบเถรขวาดกับเณรจิ๋ว จึงเดินทางไปด้วยกัน
กลับถึงเชียงใหม่ได้ไม่นาน นางก็ให้กำเนิดลูกชาย ชื่อ "พลายยง" ส่วนนางศรีมาลาก็คลอดลูกชายเช่นกัน ขุนแผนตั้งชื่อให้ว่า "พลายเพชร"
พระเจ้าเชียงอินทร์ตั้งเถรขวาด เป็นพระสังฆราช เพื่อตอบแทนความดีความชอบที่พานางสร้อยฟ้าที่กลับบ้านเมืองได้อย่างปลอดภัย
แต่เถรขวาดยังแค้นพลายชุมพล จึงเดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา แปลงเป็นจระเข้อาละวาดฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงไปมากมาย พลายชุมพลจึงอาสาออกปราบจระเข้จนสำเร็จ
ไดตัวเถรขวาดมาประหารชีวิต พลายชุมพลได้บรรดาศักดิ์เป็น "หลวงนายฤทธิ์" นับจากนั้นเป็นตนมาทุกคนก็อยู่กันอย่างมีความสุข
ที่มา - http ://pirun.ku.ac.th
หมายเหตุ : เพิ่มเติม
ต่อมาเรื่องของ "นางบัวคลี่" นี้ หลวงพ่อได้เล่าที่ใต้ต้นไทรงาม อำเภอพิมาย จ.นครราชสีมา เมื่อ วันที่ 21 มีนาคม 2522 มีใจความว่า
วันนั้นหลังจากที่หลวงพ่อพร้อมคณะนั่งฉันเพลใต้ต้นไทรงามเสร็จแล้ว ในขณะนั้น มีนางรุกขเทพธิดาองค์หนึ่ง (ผู้อารักขาต้นไทรงาม)
ได้มาแสดงภาพให้หลวงพ่อเห็น โดยแต่งกายด้วยชุดเขียว ๆ แบบไทยโบราณมาเล่าว่า ตนเองชื่อ "บัวคลี่" ตายตั้งแต่สมัย ขุนช้างขุนแผน
แล้วมาเป็นรุกขเทวดาสิงสถิตอยู่ที่นี่
ท่านบอกว่า มีความรู้สึกเสียดายที่เป็นพระอริยะเบื้องต้น หากได้รับการสั่งสอนทีดี ก็คงจะบำเพ็ญไปนิพพาน เสียตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์
หลวงพ่อได้ถามถึงเรื่อง "กุมารทอง" ที่ต้องผ่าท้องออกมานั้น ปรากฏว่าจริงๆ แล้ว บัวคลี่ไม่ได้ตายเพราะถูกขุนแผนผ่าท้องเอาลูกไปทำลูกกรอก
ความจริงลูกกรอกเขาเกิดมาเพื่อให้คุณแก่พ่อแม่ และมีลักษณะพิเศษ คือ เวลาท้องนั้นท้องโตได้ยุบได้ บัวคลี่คลอดลูกออกมาเป็นลูกกรอก แล้วต่อมาอีก 3-4 เดือน
จึงได้ตายด้วยโรคภัยธรรมดา
เรื่องจริงๆ ที่หลวงพ่อเล่าก็มีเพียงแค่นี้ ด้วยเหตุนี้ ต่อมาภายหลังหลวงพ่อจึงได้ตั้งชื่อรถยนต์ของวัด ตามตัวบทในเรื่องขุนช้างขุนแผนเกือบทุกคัน
เพื่อเป็นยานพาหนะใช้ในงานศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ เช่น รถบัสใหญ่ 2 คัน ชื่อ "ขุนช้าง" และ "ขุนแผน" ส่วนรถเล็กรองลงมาก็มีชื่อว่า "สีหมอก"
"พลายเพชร" และ "กุมารทอง" เป็นต้น
|