หลวงพ่อเล่า..การพิจารณาโทษของพระยายม (โพสต์ในเว็บอื่น)
หลวงพ่อเล่าเรื่อง...การพิจารณาโทษของพระยายม โพสต์ในเว็บ www.poweropject.com
"........ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และพระคุณเจ้าที่เคารพ
เมื่อวันพุธก่อน กระผมได้นำท่านพุทธศาสนิกชนและบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพ ไปนั่งพักอยู่ที่ สำนักของพระยายม แล้วก็กำลังนั่งที่เก้าอี้แก้วมณี
อันนี้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าอาจจะสงสัยว่า "สำนักของพระยายม" สำนักนี้ ถ้าเราอ่านตามหนังสือไตรภูมิจะรู้สึกว่า
เป็นสำนักที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ มีแต่บุคคลที่น่ากลัว หน้าตาถมึงทึงด้วยประการทั้งปวง
แม้แต่พระยายมเองก็เหมือนกัน นักแสดงโทรทัศน์ทำเขาให้พระยายมเสียสองเขา แสดงว่าพระยายมมีเขาและมีสภาพดุร้าย
สำหรับคนของพระยายมก็เหมือนกัน ที่เรียกกันว่า ยมทูต อันนี้ เขามีสัญญลักษณ์ มีหัวกะโหลกไขว้ และมีหัวกะโหลกเป็นสัญญลักษณ์ อันไม่จริง
ความจริงคนที่เขียนอย่างนั้น เป็นการวาดภาพเอาเอง
คล้าย ๆ กับว่าการเขียนรูปของโจร โจรผู้ร้ายเขามักจะเขียนหน้าตาถมึงทึงน่ากลัว มีหนวดเครารุงรัง แต่โดยที่แท้แล้ว โจรจริง ๆ
มีรูปร่างหน้าตาสะสวยยิ่งกว่าเราเสียอีก
นี่แหละบรรดาท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย และบรรดาพระคุณเจ้าที่เคารพที่รักฟัง ความจริงไม่ตรงกัน คือ ถ้าหากมาฟังจากพระที่ท่านท่องเที่ยวในเมืองนรกได้
ท่านบอกว่า จะมีอาการเป็น ๒ อย่างด้วยกัน การเห็นในระยะแรกถ้ากำลังฌานของเราดี แต่ว่าวิปัสสนาญาณไม่ดี จะเห็นคนในที่นั้น หน้าตาไม่สะสวยไม่งดงาม
มีหน้าตาน่ากลัว
แต่มาถึงขั้นวิปัสสนาญาณดีแล้ว เรียกว่า "วิปัสสนาญาณเข้าขั้น" เข้าระดับที่ไม่ถอยหลังลงมา มีอารมณ์แจ่มใจตัดอุปาทานได้เด็ดขาด อันนี้จะเห็นสำนักของ
พระยายม อีกสภาพหนึ่ง คือ เป็นสภาพที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงาม
นี่..เรื่องของตาก็มีความสำคัญมาก ถ้าคุณตามัวเห็นของสวยก็มัวไปด้วย ส่วนคนเห็นตาดีก็เห็นได้ตามความเป็นจริง นี่ว่ากันถึงตาเนื้อ ตาเนื้อมีสภาพฉันใด
ตาใจก็เหมือนกันนะ พระคุณเจ้าที่เคารพ ตาใจนี่มีความสำคัญมาก โดยมากมักจะยึดตาฌาน ตาเนื้อหรือความรู้สึก คือ มีความนึกคิดไว้ก่อนว่า สภาพของสวรรค์
เป็นยังงั้น นี่ความตรงกันระหว่างตากับความเป็นจริงมันมีอยู่ แล้วอารมณ์ของจิตก็เหมือนกัน ถ้าจิตของบุคคลใดมีอุปาทานอยู่ อันนั้นจะเห็นของจริงไม่ได้ เอาละ
เรื่องนี้ขอผ่านไป เพราะเป็นหลักวิชาน่าเบื่อ
เป็นอันว่า เวลานี้ท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่กำลังติดตามรายการทัศนาจรนรก กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้แก้วมณี เห็นหรือไม่เห็น? เห็นหรือยัง?
ถ้าไม่เห็นก็นึกเห็นเอาก็แล้วกัน เพราะความจริงไม่ได้พาไปจริง ๆ เป็นการเล่าสู่กันฟัง
ท่านทั้งหลายฟังไว้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติถึงแล้วจะได้ไม่สงสัยว่า สภาพของสำนักของพระยายมเป็นยังไง
เวลาที่เราได้ฌานโลกีย์อย่างต่ำ หรือว่าฌานโลกีย์อย่างสูง เราเห็นสภาพเป็นยังไง มัว ๆ เหมือนกับบ้านธรรมดา หน้าตาในสำนักนั้นเหมือนคนธรรมดา
ตานี้ พระที่ท่านได้อภิญญาด้วย แล้วก็ได้อรหัตผลว่ากันยังงี้ก็แล้วกัน ได้อรหัตผลด้วย แล้วก็ทรงอภิญญาด้วย บอกว่าไม่ใช่ยังงั้น ความจริง
พระยายมมีความสวยสดงดงาม มีวิมานเป็นที่อยู่ บางท่านย่องเขียนเอาไว้ว่า พระยายมเป็น "เวมานิกเปรต" เป็นเปรตจำพวกหนึ่งที่อยู่วิมาน ว่าเข้าไปนั่น
นี่ไม่ใช่พระอรหันต์ว่านะ คนกินเหล้าเขียนหนังสือให้ชาวบ้านอ่าน เขาเขียนยังงั้น เขาเลยเอาอารมณ์เหล้ามาเขียน
สภาพสำนักพระยายม
เป็นอันว่า เวลานี้ท่านนั่งอยู่ใน "สำนักของพระยายม" แล้วมองดูไปข้างหน้า หันหน้าไป ทางทิศตะวันตก นะ เรานั่งทางด้านทิศตะวันออก บริเวณอาคารหลังใหญ่
ภายในเป็นห้องโถงใหญ่ มองเห็นหรือไม่เห็น ไม่เห็นก็นึกตามไปก็แล้วกัน เป็นห้องโถงใหญ่ มีทางเข้าอีกด้านหนึ่ง ทางเดียวกับที่พามา
แต่ว่าเป็นประตูที่ ๒ เข้ามาทางพื้นราบเรียบ แล้วในบริเวณนั้นตอนกลาง ๆ ตรงประตูเข้า เข้ามาพอดี มีบัลลังก์สำหรับนั่ง มีพระยายมนั่งคอยพิพากษาโทษสัตว์
คำว่า สัตว์ในที่นี้ ก็หมายถึง คนที่ลงไปในนรก ที่เขามาเชิญตัวไป มีบัลลังก์ตั้งอยู่ตรงกลาง
ด้านหน้าของพระยายม เบื้องขวามีเทวดาท่านหนึ่งนั่งอยู่ มีเครื่องทรงพื้นสีแดง เครื่องทรงประดับไปด้วยแก้วมณีแพรวพราว สวยงาม หน้าตาสดชื่น
โต๊ะอีกโต๊ะหนึ่ง อยู่เบื้องซ้ายของพระยายม มีนายบัญชีใหญ่นั่งอยู่ ถือบัญชี แต่งเครื่องทรงมีพื้นเป็นสีเหลืองแล้วก็เครื่องทรง
ที่เสื้อกางเกงก็ประดับไปด้วยแก้วมณี
พระยายมเองก็เหมือนกัน มีเครื่องทรงเป็นพื้นสีเหลืองเป็นทอง แล้วก็มีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี ความจริง พระยายม ก็ดี เทวดา
คนที่เป็นหัวหน้าใหญ่ฝ่ายติดตามคนที่ตายก็ดี นายบัญชีก็ดี มีความสวยสดงดงามหน้าตาอิ่มเอิบ สวยงาม มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีใครหน้าบึ้งขึงจอ
ไม่มีอาการดุร้าย ความโหดร้ายใด ๆ ไม่ปรากฏเลยในริ้วรอยของหน้าท่าน
อันนี้เรามาดูกันต่อไป ว่าพระยายมท่านจะทำยังไง โน่น..บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน สำนักนี้ไม่มีเวลาว่างในการชำระความ เห็นไหม ข้างหน้านั่นใครตัวใหญ่ ๆ
ในมือถืออาวุธ นำคนเข้ามาประมาณสัก ๕ - ๖ คน ทุกคนที่เดินติดตามเข้ามาหน้าซีดเซียว คล้าย ๆ กับว่าจะถูกพิพากษาลงโทษอย่างหนักเพราะกฎของกรรม
เมื่อเข้ามาถึงภายในแล้ว ทุกคนก็นั่งแสดงความเคารพแด่พระยายม พระยายมท่านก็หันไปถามนายบัญชีว่า คนนี้มีโทษอะไรบ้างในการทำความผิดในสมัยที่เป็นมนุษย์
นายบัญชีก็เปิดบัญชีดู แล้วก็รายงานความผิด คือ การทำความชั่วในสมัยที่เป็นมนุษย์ของคนนั้น แล้วพระยายมก็ถามเขาว่าทำความชั่วอย่างนั้นจริงไหม
เรื่องของเมืองผี เวลาเขาชำระคดี ไม่ต้องหาพยาน ผีไม่สับปลับเหมือนคน คนเรานี่หน้าตาดี ๆ นะ แต่ความจริง
ความจริงใจนี่นะอาจจะหาไม่ได้สำหรับคนที่มีหน้าตาสวยแล้วก็มีฐานะดี แต่ เมืองผีไม่เป็นยังงั้น เมืองผีไม่มีอะไรโกหกกัน เมืองผีไม่มีอะไรปกปิดกัน
สิ่งใดจริงเขาก็รับว่าจริง สิ่งใดไม่จริงเขาก็รับว่าไม่จริง
สมมติว่า ท่านพระยายมถามถึงความโหดร้ายต่าง ๆ ต้องรับทุกอย่าง เรื่องนั้นจริงเจ้าค่ะ เรื่องจริง จริงขอรับ รับจริงหมดทุกข้อ เรียกว่า
ความผิดที่ปรากฎในบัญชีนี่รับหมดทุกข้อ ไม่มีการปฏิเสธ แล้วคราวนี้พระยายมจะทำยังไง เมื่อจำเลยสารภาพโทษ
ก็สั่งจำคุกลดกึ่งหนึ่งตามอำนาจของศาลในเมืองมนุษย์ยังงั้นรึ?
ความจริงยังก่อน ท่านพุทธศานิกชน ท่านจะเห็นน้ำใจของพระยายมกันตอนนี้ ฟังให้ดีนะ ฟังกันไว้ แล้วก็จำกันไว้ รู้ตามความเป็นจริง
ในเมื่อคนใดก็ตามที่เข้าไปในสำนักของพระยายม เมื่อนายบัญชีกล่าวโทษโจทย์ความผิดที่แล้วมา เมื่อจบลงไปแล้ว แล้วก็สัตว์นรก คือ
คนที่ตายไปแล้วรับไปตามความเป็นจริง ตอนนี้พระยายมยังไม่สั่งตัดสิน ยังไม่ลงโทษตามกฎของนรก กลับย้อนถามถึงความดี ว่าท่านเคยอยู่ในเมืองมนุษย์น่ะ
1. เคยให้ทานไหม?
2. เคยรักษาศีลไหม?
3. เคยไปฟังเทศน์ไหม?
4. เคยเจริญสมถกรรมฐานบ้างไหม?
5. ความจริงท่านถามยาว ถามทีละข้อ ๆ
สมมติว่า เคยให้ทานแก่สัตว์เดียรัจฉานบ้างไหม? เคยให้ทานแก่คนยากจนเข็ญใจบ้างไหม? เคยช่วงสงเคราะห์ทำกิจการงานต่าง ๆ
กับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงบ้างไหม? เคยทำงานเป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างไหม? เคยช่วยเขาสร้างวัดวาอารามบ้างไหม? ใครเขาบอกบุญเรี่ยไร เคยทำบุญมาบ้างไหม?
เคยรักษาศีลบ้างไหม? เคยฟังเทศน์ไหม? เคยเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เคยบูชาพระ เคยไหว้พระ เคยไหว้พ่อไหว้แม่ด้วยความเคารพบ้างไหม? อย่างนี้เป็นต้น
เรียกว่า ความดีทุกอย่างที่จัดว่าเป็นบุญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน พระยายมนำหัวข้อมาถามนำ ถ้าถามแล้ว คนที่ตายไปนั้น เรียกว่า สัตว์นรก เขายังไม่ตอบ
เขายังนิ่งอยู่ ท่านก็ปล่อยให้คิดสักประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วก็ย้อนถามขึ้นต้นใหม่
รวมความว่า ถามกัน ๓ รอบ ค่อย ๆ ถามจี้จุดทีละจุด แต่ว่าท่านคนใดที่ถูกสอบสวนปรากฏไม่มีเลย นึกไม่ออก เมื่อนึกไม่ออกแล้ว ท่านก็จะบอกว่า
นี่..เสียใจเหลือเกินนะ ที่ความดีที่ทำไว้นึกไม่ถึง จิตของเธอเวลาจะตาย เวลาจะมาที่นี่ จิตน้อมไปส่วนอกุศลมาก ก็เห็นจะต้องเป็นไปตามกฎของกรรม
ท่านว่าอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า
เอ้า..ถ้ายังงั้น ถ้านึกถึงความดีที่ทำไม่ได้ละก้อ ก็เป็นไปตามกฎของกรรม แล้วต่อจากนั้นไปนายนิริยบาล (ผีรักษานรก) ก็นำลงนรกไป ไปที่ทะเลเพลิง
ไปตามอำนาจของความผิด นี่ดูจริยาของพระยายม
แล้วบรรดาท่านพุทธศานิกชนที่มาด้วย นั่งฟังแล้วก็นั่งดู ดูหน้าของพระยายม ดูหน้าของเทวดาฝ่ายติดตามคน คือ หัวหน้าใหญ่นะ ดูหน้าของนายบัญชี
ทุกคนมีแต่อารมณ์ยิ้มระรื่นชื่นใจ น่าชื่นใจ รูปร่างหน้าตาก็อิ่มเอิบสวยสดงดงาม มีผิวเนื้อละเอียดค่อนข้างเหลือง นี่..เราจะเห็นถึงความดุร้ายได้ยังไง
ตานี้ สมมติว่าบังเอิญที่เขาถามถึงความผิด สัตว์นรกรับหมด แต่ว่ามาถามถึงความดี พอถามถึงความดีเข้า บังเอิญสัตว์นรกคนใดคนหนึ่งก็ตาม
นึกถึงความดีอย่างใดอย่างหนึ่งได้
สมมติว่าเขาถามถึงว่า เคยปล่อยสัตว์ที่มันจะถึงแก่ความตายบ้างไหม? ให้มันรอดจากความตาย ถ้าคนนั้นนึกขึ้นมาได้ว่า เคยปล่อย คำเดียวเท่านี้แหละ
โทษกรรมใหญ่ ๆ ที่เคยทำมาแล้วทั้งหมด พระยายมบอกว่า งดไว้ก่อน ขอให้งดไว้ก่อน นี่ ความดีของเขายังมีอยู่ ให้ไปรับผลของความดีก่อน
เห็นไหม..น้ำใจของพระยายม น้ำใจของเจ้าหน้าที่ในสำนักของพระยายม ไม่ใช่น้ำใจของสัตว์นรก เป็นน้ำใจของพรหม พระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดี
เทวดาผู้เป็นหัวหน้าติดตามคนก็ตาม มีน้ำใจเต็มไปด้วยพรหมวิหารสี่
ฉะนั้น สำนักของพระยายมนี้จึงไม่มีใครรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว คนที่ทรงพรหมวิหารสี่ มีเมตตาเป็นปุเรจาริก คือ หน้าคอยยิ้มเสมอ อารมณ์สดชื่น
แล้วน้ำใจก็สดชื่น แล้วจะมีอะไรเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวไม่มี หนังสือเขาเขียนผิดไปเองต่างหาก เขาเข้าใจพลาดไป คิดว่าสำนักของพระยายมมีแต่คนโหดร้าย
พระตายแล้วไปเห็นนรก
"........คราวนี้จะขอนำเอาเรื่องราวของผู้ที่ตายแล้วกลับฟื้นขึ้นมา มาเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ท่านผู้นี้ชื่ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว
อ่านหนังสือของท่านมาหลายปี นึกชื่อไม่ออก
ท่าน เขียนไว้ในหนังสือบอกว่า ท่านอุปสมบทเป็นพระอยู่ที่ วัดราชประดิษฐ์ ที่กรุงเทพฯ ท่านบอกชื่อเสียงเสร็จ
ท่านรับรองว่าการพูดของท่านเป็นความจริง
ในหนังสือของท่านเล่าไว้ว่า ในสมัยที่ท่านเป็นเด็ก อายุ ๑๖ - ๑๗ ปี ท่านเป็นนักล่าสัตว์ แต่ว่าล่าสัตว์ตามท้องนานะ ไม่ใช่ล่าสัตว์ในบ้าน ชอบยิงนกกระจาบ
นกกระจาบนี่ยิงมาได้เป็นกระบุง ๆ ( ไม่ใช่วันเดียว คิดหลายวันรวมกัน )
แล้วก็มาคราวหนึ่ง เจ้าไก่ตัวหนึ่งมันเป็นไก่อยู่ที่บ้าน มันซนนัก ท่านก็จับมันเชือดคอจะแกง เมื่อเวลาที่เชือดคอแล้ว เข้าใจว่ามันตาย ก็วางลงไป
มันก็วิ่งหนีไปอีก ท่านก็เลยจับมันมาเชือดเป็นวาระที่ ๒ เชือดเสียขาดเลยตาย
ต่อมา ท่านเกิดปวดฟันไม่สบาย ตั้งใจว่าจะไปหาหมอถอนฟัน แต่ก็ยังไม่ได้ไป เวลาปวดอยู่นั้น พี่สาวเอายาอะไร กอเอี๊ยะหรืออะไรไม่ทราบ
มาแปะให้บรรเทาความปวด ท่านก็นอนลงไป ประเดี๋ยวความปวดมันก็คลายตัว หลับไป มีความรู้สึกเคลิ้ม คล้าย ๆ กับหลับ แต่ความจริงไม่ได้หลับ
พอมีความรู้สึกอีกทีหนึ่ง ปรากฏว่าเป็นตัวที่ ๒ ขึ้นมา มองเห็นตัวเดิมนอนอยู่ เห็นตัวที่ ๒ ยืนอยู่ แต่สภาพร่างกายเป็นสภาพเดิม เห็นคนนุ่งแดง ใส่แดง
ใส่เสื้อแดง นุ่งกางเกงแดง มีอยู่ ๔ คน บอกว่า ไปด้วยกัน ฉันมารับ
นี่แสดงว่าตายแล้ว เขาว่าฉันมารับ เธอไปกับฉัน ท่านก็เดินตามไปอย่างคนว่าง่าย พอไปถึงสำนักพระยายม ปรากฎว่ามีนกฝูงใหญ่บินอยู่ในที่นั้น
พอเขานำเข้าไปในสำนักของพระยายม นายบัญชีก็เปิดบัญชีขึ้นมา ประกาศความชั่วของท่านทั้งหมด ที่ทำในสมัยยังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์
ไอ้ตอนต้น ๆ ท่านยอมรับทุกอย่างว่าเป็นความจริง แล้วตอนท้านท่านบอกไม่จริง พอบอกว่าไม่จริงเท่านั้นแหละ พระยายมก็เอะใจ ถามว่า ตรวจดูซิว่า
คนที่ให้ไปเอามาน่ะเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงไม่ตรงกับบัญชี เขาก็ถามชื่อท่าน ถามนามสกุลท่าน ท่านบอกชื่อและนามสกุล
พระยายมก็บอกว่า ผิดตัวแล้ว นามสกุลไม่ใช่อย่างนี้ อายุ ๑๗ ปีเหมือนกัน ชื่อเดียวกัน แต่คนละนามสกุล ท่านให้นายบัญชีตรวจตำบลบ้าน กลายเป็นคนละจังหวัดไป
ท่านอยู่จังหวัดเพชรบุรีนะ แต่คนที่ให้ไปเอามานั้น เป็นคนจังหวัดราชบุรี มันลงบุรี ๆ เหมือนกัน
นี่..แสดงว่า ผีที่มานำตัวนี่ ก็ห่วย ๆ เหมือนกัน ไม่แน่นัก อาจจับผิดตัวได้ แล้วขณะที่เข้าไปใหม่ ๆ ท่านบอกว่า ไอ้นกกระจาบมันก็ไปรายงานเป็นพยาน
บอกว่า ไอ้เจ้านี่มันโหดร้ายเหลือเกิน มันยิงพวกข้าพเจ้าตายเป็นเบือไปหมด
พระยายมก็บอกว่า ทราบแล้ว เจ้าไก่ก็เหมือนกัน มันเข้าไปรายงานว่า เจ้านี่โหดร้ายมาก มันฆ่าข้าพเจ้า ๒ ครั้ง ๒ หน พระยายมก็บอกว่า ทราบแล้ว
ในขณะที่เขารายงานอยู่ แล้วก็สอบถามกันอยู่ และเจ้าไก่กับนกกระจาบถอยออกไปแล้ว
ทีนี้เมื่อพระยายมถามว่า เจ้าทำแบบนี้ นี่ควรลงโทษอย่างหนัก แล้วความชั่วมีมาก ถึงแม้ว่าจะผิดตัวก็ตาม แต่ก็เป็นการดีแล้วที่ไม่ต้องตามบ่อย ๆ
ท่านว่ายังงั้น เอาเสียเลยเป็นไง ลงโทษกันตามกฎของกรรมเลยเป็นไง ท่านบอกท่านก็นิ่ง ไม่มีอะไรจะเถียงเขา
ในที่สุด นายนิริยบาลก็ทำท่าจะรับตัวท่านจะเอาไปลงนรก นำไปลงนรก แต่ขณะที่เดินก้าวออกมานั่นเอง ปรากฏว่าได้ยินเสียงเบื้องหลัง บอกช้าก่อน ๆ
ความดีของเขายังมีอยู่ ยังไม่ควรจะได้รับโทษ ท่านก็เลยเหลียวหลังไปดู เห็นเต่าตัวหนึ่ง คลานตุบตับ ๆ ขึ้นมาทางด้านหลัง พระยายมก็เลยเรียกให้กลับมาใหม่
บอกว่า ประเดี๋ยวก่อน มีคนเขาประกาศว่าเจ้าเคยทำความดี
นี่ความจริงในตอนต้น พระยายมก็ซักถามสถึงความดีแล้วตามที่บอกมา แต่ทว่าท่านบอก ท่านเองก็นึกไม่ออกว่าเคยทำบุญสุนทานอะไรบ้าง มันนึกไม่ออกจริง ๆ ตานี้
เมื่อเต่าไปรายงานแบบนี้ ท่านก็หันหลังมา
พระยายมก็ถามเต่าว่า เขามีความดีอะไรไว้ พอที่จะเป็นหลักฐาน เจ้าเต่าก็รายงานว่า คนนี้น่ะเขามีความดี ความชั่วอย่างอื่นเขามีจริงแหล่
แต่ทว่าความดีที่มีสำหรับข้าพเจ้าก็มีอยู่ พระยายมจึงถามว่า เขาดีอะไร เจ้าเต่าก็รายงานบอกว่า เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่
เมื่อปีที่แล้วมีคนขี้เมามันจับข้าพเจ้าจะไปฆ่า เอาไปแกงทำกับแกล้มเหล้า คนนี้ได้ไปขอซื้อเข้าไว้ แล้วเอาข้าพเจ้าไปปล่อยให้รอดจากความตาย
พระยายมก็ถามว่า หลักฐานมีไหม? เจ้าเต่าก็บอกว่ามี เขายังเขียนชื่อของเขาไว้ที่หน้าอกของข้าพเจ้า พระยายมก็ให้เจ้าหน้าที่พลิกอกขึ้นดู ปรากฏว่า
เป็นชื่อของพี่สาว
นาย บัญชีก็ตรวจบัญชี พบพอดีเหมือนกัน ว่าเต่าตัวนี้รอดตาย เพราะชายคนนี้เป็นไวยาวัจมัย ช่วยซื้อ แต่ความจริงพี่สาวเป็นคนซื้อ แต่ว่านายคนนี้
เป็นคนนำเงินไปให้คนขี้เมา แล้วก็เป็นคนรับเต่าเอามาแล้วก็เขียนชื่อพี่สาวลงไป
ในที่สุด ก็นำเต่าไปปล่อยด้วยมือของตนเอง พระยายมก็เลยหันมาถามท่านว่า เป็นความจริงตามนั้นไหม? ท่านก็เลยรับ ตอนนี้นึกได้ว่าเป็นความจริง
พระยายมก็เลยบอกว่า ความดียังมีอยู่นะ นี่ บังเอิญยังไม่ถึงอายุขัย ถ้าถึงอายุขัยแล้วจะปล่อยให้ไปสวรรค์ก่อน แต่นี่ยังไม่ถึงอายุขัยจงกลับไปที่เดิมก่อน
แล้วต่อจากนี้ไป จงอย่าทำกรรมชั่ว ท่านแนะนำมาว่า สัตว์สำคัญจงอย่าฆ่า มี....
๑. ช้าง
๒. จระเข้
๓. เต่า แล้วก็
๔. อะไรไม่ทราบ
เพราะพวกนี้มีกรรมหนัก ไอ้ที่ว่า ๔ นั่นจำไม่ได้นะ อาตมาคนพูดจำไม่ได้ แล้วท่านก็บอกว่า ถึงแม้สัตว์เล็ก ก็เหมือนกัน ไม่ควรจะฆ่า
กลับไปแล้วควรจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ แล้วก็พยายามเจริญภาวนาเข้าไว้ ให้จิตน้อมเข้าไปในส่วนของกุศล เอาจิตนึกถึงส่วนกุศลไว้เป็นประจำ เวลาเขาจะนำมา
จิตจะได้ระลึกถึงกุศลได้ จิตที่นึกถึงกุศลเป็นประจำน่ะ
บรรดาท่านพุทธบริษัทฟังแล้วอาจจะเข้าใจยาก เรา จะไปนั่งนึกถึงสิ่งที่เราทำบุญทำทานทุกอย่างทุกประการ เราก็นึกไม่ออก บางทีเราก็นึกไม่ไหว
เพราะมันมากด้วยกัน ก็นึกตามที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกัน
ใน "อนุสสติ ๑๐ ประการ" มี พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นต้น คือว่า นึกถึงความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วอะไรอีก ๑๐ ประการ
ไปเปิดดูในคู่มือกรรมฐาน หรือว่าในวิสุทธิมรรคจึงจะเข้าใจ ในหลักสูตรของนักธรรมโทก็มี
เป็นอันว่า พระองค์นั้น สมัยนั้นไม่ใช่เป็นพระ พ้นจากการลงนรกไป เมื่อท่านทราบแล้ว เขาก็ปล่อยกลับที่เดิม กลับที่เดิมแล้วก็กลับเข้าร่างกายใหม่
ท่านบอกว่าอาการที่ปวดฟันมันก็หายไป นี่เป็นอันว่าเวลาที่เขาจะนำไปเขาทำให้ตายได้ คือ เอาจิต เอาวิญญาณ ร่างกายในไปเสีย ไอ้ตัวสั่งงานที่ร่างกายไม่มี
ร่างกายมันก็เหมือนท่อนไม้
เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน และพระคุณเจ้าที่เคารพ นี่เรามานั่งฟังเรื่องราวของพระยายมกัน แล้วท่านทั้งหลายคิดไหมว่า พระยายมมันเป็นพวกของสัตว์นรก
เป็นยังงั้นหรือเปล่า?
แต่ความจริงไม่ใช่ยังงั้นนะ พระยายมนี่เราฟังกันแล้ว แล้วดูหน้าท่านซิ ท่านแสดงความสดชื่นบอกไม่ถูก ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา ที่เขาบอกว่า พระยายมมีเขา
เห็นไหม? เห็นเขาพระยายมไหม? ไม่มี หวีผมออกแปร้ หน้าตาสะสวย แต่นี่ว่ากันตามจิตของพระอรหันต์นะ พระที่ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณและพระอรหันต์ด้วย
หรือว่าได้อภิญญาและเป็นพระอรหันต์ด้วย ท่านเห็นมาตามนั้น
แต่บางคนที่ลงไปอาศัยที่กรรมมีมาก ความดียังไม่แจ่มใส อาการจิตที่เป็นทิพย์ยังน้อยเกินไป ก็จะเห็นบางคนในสำนักพระยายมนี่น่ากลัว
พระยายมบางทีท่านนั่งอ้วนพลุ้ย แล้วนายนิริยบาลก็ดี หรือเทวดาประจำสำนักก็ดี นายบัญชีก็ดี จะรู้สึกว่าไม่สะสวย นั่นเรียกว่า ตาหรือใจยังมีกิเลสอยู่มาก
เหมือนคนตาฝ้าตามัว มองเห็นอะไรไม่ถนัดนัก
ตานี้ เรามาว่ากันต่อไป ในเมื่อพระยายมมีหน้าที่อย่างนี้แล้ว ก็อยากจะถามว่าพระยายมเป็นพวกนรกหรือเป็นพวกสวรรค์
อันนี้ เราก็ดูการแต่งตัว ดูซิ สำนักของพระยายมเป็นวิมานแพรวพราวไปด้วยแก้วและทอง แม้แต่ม่านที่กั้นชั้นในก็เป็นม่านแก้วมณี
ม่านที่กั้นรองลงมาก็เป็นม่านทองคำ ม่านที่สามออกมาก็เป็นม่านเส้นเงินและเส้นทอง ม่านภายนอกเป็นม่านสีแดงนี่ แล้วก็ม่านภายนอกสุดเป็นม่านสีดำ เห็นไหม?
ไม่เหมือนกัน ที่ไม่เหมือนกันอย่างนี้ เพราะอะไร เพราะว่าข้างนอกก็ปล่อยให้มัว ๆ ไป
ถ้าหากว่าเราจะมอง ๆ ดูพวกนายนิริยบาลที่มาคอยรับคน คนที่แต่งตัวใหญ่ ๆ ถืออาวุธนั่นแหละ รูปร่างหน้าตาไม่สะสวย หาความสวยไม่ได้เลย มีแต่ความน่ากลัว
แกพูดก็ไม่ค่อยเป็น น่ากลัวจะไม่ได้เรียนภาษามนุษย์ เข้าไปถามอะไรแก แกยืนเฉย มองตาปริบ ๆ บางทีก็มองตาเป๋ง แกไม่พูด ตาพวกนี่น่ากลัวจะไม่ได้หัดพูดมา
พวกนี้แต่งตัวไม่สวย นุ่งผ้าหยักรั้ง เสื้อแกก็ไม่ใส่ ถืออาวุธ ผมก็หยิก หน้าตาก็ดุ น่าเกลียด น่ากลัว
ทีนี้ มาดูพวกของพระยายมบ้าง ตั้งแต่พระยายมลงมา พระยายมมีเครื่องประดับเป็นพื้นสีทอง เป็นทองคำก็แล้วกัน แล้วก็มีแก้วมณีเป็นเครื่องประดับ
เต็มไปทั้งเสื้อทั้งผ้านุ่ง หน้าตาอิ่มเอิบ ยิ้มแย้มแจ่มใส สวยสดงดงาม สีเหลือง ๆ เนื้อท่านน่ะ ขาวเนื้อละเอียด ผิวเหลือง สวยมาก
ทีนี้ หันไปทางขวา ถ้าเราหันหน้าไปทางพระยายมจะเห็นนายบัญชีใหญ่มีพื้นสีทองเหมือนกัน เครื่องแต่งกายจะมีเครื่องประดับไปด้วยแก้วมณี หน้าตาอิ่มเอิบ
สวยสดงดงามเหมือนกัน
มองดูไปทางซ้ายหัวหน้าเทวดาใหญ่ หัวหน้าเทวดาใหญ่มีเครื่องประดับแต่งกายเป็นพื้นสีแดง แล้วก็มีแก้วมณีเป็นเครื่องประดับ หน้าตาสวยสดงดงาม
ยิ้มแย้มแจ่มใส
นี่ ท่านจึงเรียกว่า พระยายมไม่ใช่พวกนรก เป็นพวกของพรหม เรียกว่า เป็นพวกของสวรรค์ อาการที่ท่านแสดงออกมีอาการของพรหมวิหาร ๔ ครบถ้วน คือ มีเมตตา
เขานำสัตว์นรกลงไปแล้ว แทนที่ท่านจะโหดร้าย กลับแสดงความเมตตาปรานี มีความรัก มีความสงสาร
เมื่อสัตว์นรกตอบรับความผิดทุกอย่างแล้ว แทนที่จะลงโทษ กลับหันมาถามถึงความดีให้คิดให้ตอบ ถ้าตอบถึงกฎของความดีได้เพียงคำเดียว
ท่านบอกว่าผลของความดียังมีอยู่ ปล่อยไปรับผลของความดีก่อน
ตานี้ เมื่อสัตว์ทั้งหลายทบทวนความดีให้ฟังถึง ๓ ครั้งแล้ว สัตว์ทั้งหลายนึกไม่ออก ท่านก็ต้องปลงอุเบกขา บอกว่า เมื่อเราทบทวนถึงความดีแล้ว
ท่านนึกไม่ได้ก็จำใจต้องปล่อยให้ไปตามกฎของกรรม
นี่ละ บรรดาท่านผู้รับฟังและท่านทั้งหลายที่ติดตามการทัศนาจรเมืองนรก นี่ก็เป็นชุดที่สาม ชุดที่สามแล้ว จงจำไว้และเข้าใจไว้ด้วยว่า
พระยายมไม่ใช่พวกของสัตว์นรก พระยายมเป็นชาวสวรรค์ คอยกีดกันคนไม่ให้ลงนรก
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัทที่รับฟัง เวลานี้ก็ควบเวลาพอดี ๓๐ นาที หรือจะเลยไปนิดก็ไม่ทราบ ก็ต้องขออำลาบรรดาท่านพุทธบริษัทพักผ่อน ไม่ใช่กลับ คือ
นอนกันอยู่เมืองนรกนี่แหละ ท่านทั้งหลายที่ติดตามก็เหมือนกัน ยังกลับไม่ได้ นอนอยู่ในเมืองนรกด้วยกันก่อน
เอาละ..วันนี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่ติดตามชมนรกทุกท่าน...สวัสดี
|
|
เมื่อสองสามวันก่อน...คุณพี่สมคิด จากจังหวัดชลบุรี ได้โทรศัพท์ติดต่อกับท่านเว็บมาสเตอร์ ได้เล่าว่า หลังจากอ่านเรื่อง
"การพิจารณาโทษของพระยายม" แล้วมีความคิดอยากให้เนื้อเรื่องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น จึงให้หลานส่งเรื่อง "ต้นฉบับ" ที่หลวงพ่อเล่าลงต่อเนื่องกันไป
เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมจะได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้ต่อไปจนจบ จึงขออนุโมทนาคุณพี่สมคิดไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ.
ตายแล้วไปไหน?
โดย..หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร(จากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" 2525 ปีที่ 3 ฉบับที่ 24)
ความจริงปัญหาเรื่อง "ตายแล้วไปไหน" นี้ ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของสาธุชนเลย เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า
เมื่อตายจากโลกนี้แล้วทางที่ไปก็มี 5 สายคือ
1. อบายภูมิ ได้แก่เกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสุรกายและเป็นสัตว์เดรัจฉาน
2. เกิดเป็นมนุษย์
3. เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
4. เกิดเป็นพรหม
5. ไปพระนิพพาน
ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ทรงตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตาม "กฎของกรรม" คือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่ว
ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง "กฎของกรรม" หรือผลของความประพฤติดีชั่ว ที่จะพาตัวไปเกิดที่ใดที่หนึ่ง ตามที่ท่านทรงตรัสไว้ 5
ทางนั้นท่านว่าไว้อย่างนี้
แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ
ทางสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า "อบายภูมิ" มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลมาจากความประพฤติชั่ว
คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ 5 ประการคือ
1. เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อน โดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี
2. มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาตหรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง
3. ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้บุตร ภรรยาและธิดา สามีของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ
4. พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความจริง เพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา
5. ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยน้ำเมา
"กรรม" คือ ความประพฤติในกฎ 5 ประการนี้ ท่านว่าตายแล้วไปสู่อบายภูมิ มีตกนรกเป็นต้น
แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์
แดนเกิดสายที่ 2 คือ เกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ 10 หรือเอากันที่รู้ง่ายๆ ก็คือคนมีศีล 5 ประจำ
ได้แก่
1. เป็นคนมีเมตตาปราณี ไม่รังแกข่มเหงทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก ความเมตตาปราณีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง
2. ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของคนอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ
3. ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของผู้อื่น
4. ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง
5. ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความชั่วความดีตามกฎของจิตใจ ไม่ปล่อยให้ใจเลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ
ท่านที่ทรงความดี 5 อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายแล้วมีสิทธ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้
แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์
แดนเกิดสายที่ 3 ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี 2 อย่างคือ
1. เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำความชั่วในทุกสถานที่
2. เกรงผลของความชั่วจำให้เกิดความเดือดร้อน
เหตุ 2 ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า
แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก
แดนเกิดสายที่ 4 ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละชั้น พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดา และมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า
มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมท่านว่าไม่มีเพศ คือไม่มีเพศหญิงและชาย จะเป็นอะไรท่านก็ไม่บอก
ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวแบบพระสงฆ์ตามวัด คือไม่มีสามีภรรยา คงจะเหงาแย่ก็ไม่รู้ แต่ตามคำสอนท่านว่ามีความสุขกว่าเทวดา
น่ากลัวจะมีความสุขสงบสงัด เพราะไม่มีใครขัดคอด้วย อยู่เดียวดายหาใครเป็นคู่ทะเลาะไม่ได้ ท่านที่จะเป็นพรหมได้ ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานที่ได้ฌาน
คือมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า "เข้าฌานตาย"
แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
แดนที่ 5 ได้แก่นิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า "นิพพานสูญ" กันเสียเป็นประเพณีไปแล้ว จะขอบอกย่อๆว่า
คนที่จะถึงนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ 10 อย่าง คือ
1. ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้ตัวเสมอว่าจะต้องตาย และพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน
ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายความพลัดพรากเสียใจได้ ทำจิตใจให้เป็นปกติเมื่อความตายมาถึง หรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
2. ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริง ที่ท่านกล่าวว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิต ต้องทำลายตัวเองลงในเมื่อเวลามาถึง
ไม่มีอะไรทรงสภาพคือเป็นอย่างนั้นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีคุ้มครองให้มีคามสุขใจ ใครทำความชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนมาให้
แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ ดังนี้เป็นต้น
3. รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
4. ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้เท่าถึงการณ์ตามความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์
ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
5. มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปราณี ไม่โกรธ ไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากเมตตา
6. ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
7. ไม่เมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
8. มีอารมณ์ปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือต่อสัตว์ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
9. ไม่ถือตน ทะนงว่าตนดีเลิศประเสริฐกว่าใคร ไม่คิดว่าตนเสมอใคร และไม่คิดว่าเลวกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมด
เป็นของธรรมดาที่จะต้องทำลายตนเอง และมีอารมณ์ที่ไม่หวั่นไหว
เมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมสมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด
ทำตัวพอเหมาะพอสมแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
10. ตัดความรัก ความพอใจในโลกีย์วิสัยเสียให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ
ท่านที่จะถึงนิพพานก็ยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดา มันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น
เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้ อยู่ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัว เพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตายมีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ
ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์บุคคลใด เท่านี้ก็ไปนิพพานได้
เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไปเมื่อตายแล้วว่ามี 5 ทาง ท่านอาจสงสัยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้อย่างนั้น
จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหม...ที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรและปฏิบัติตาม
ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย
ฝรั่งเขาสงสัยอะไร เขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้
เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย
ที่ว่าอย่าเรียนแบบไทยก็เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุน คอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจ ได้เปรียบฝรั่งตั้งเยอะ
แต่ทว่าเนื้อแท้แล้วเราก็รู้เพียงว่า ไม่ใช่เราเห็นเอง
หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่า "ตายแล้วไปไหน"
เรื่องของ "การตายแล้วไปไหน" ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัย หรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมี
มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่นอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ
หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่า "ตายแล้วไปไหน" ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของ "วิชชาที่สาม" คือท่านให้เจริญสมาธิ มีอภิญญาเป็นบาท
คือเจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ
ท่านให้ใช้ "เตโชกสิณ" เพ่งไฟ "อาโลกสิณ" เพ่งแสงสว่าง "โอทาตกสิณ" เพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน
แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญ ฝึกดูสวรรค์นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วยก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้
การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านอาจจะหมดข้อสงสัย เพราะท่านรู้เองเห็นเอง ตามแนวสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ถ้าฟังกันแล้วก็คิดกัน ไม่ทำตาม เอาแบบไทยแท้แล้ว ความหวังที่ตั้งใจก็คงเหลวแน่ เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตาย
เมื่อว่ากันถึงการปฏิบัติตาม ท่านที่มีอารมณ์เป็นไทยไม่ใช่ทาสของความสงสัยก็คงรำคาญ ท่านอาจจะคิดว่าเขาทำกรรมฐานเป็นล่ำสันในปัจจุบัน
ใครบ้างที่รู้ได้ อันนี้ก็ยากที่จะบอกให้ฟัง เพราะท่านที่รู้นั้นคนไม่อยากคุยด้วย เพราะคุยไปเมื่อไร พ่อพูดแต่เรื่องตายอย่างเดียว หวยก็ไม่ใบ้
ไพ่ก็ไม่บอก จะคบกันได้อย่างไร เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
เมื่อท่านที่รู้ไม่บอก จะเอาคนที่รู้มาบ้างแล้ว และบอกได้มีไหม ขอบอกว่ามี ใครหรือ...มีหลายท่าน แต่ละท่านก็รู้ทราบกันคนละจุดสองจุด
จะยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง ค่อยๆ ฟังกันคราวละรายสองราย
รายแรก..จะขอนำเรื่องของท่าน พันเอกสมาน วีระไวทยะ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านผู้นี้ ท่าน พลอากาศเอกพะเนียง กานตรัตน์
อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศรู้จักดี ถ้าสงสัยว่าท่านพันเอกสมานอยู่ที่ไหน จดหมายหรือโทรเลขไปถามท่านดูก็ได้ คิดว่าท่านคงสงเคราะห์บอกให้
ท่านผู้นี้เคยตายมาแล้วและกลับฟื้นคืนชีพ ท่านเล่าเหตุการณ์ของแดนที่ไปแดนหนึ่ง คือ "นรก" นำมาเล่าสู่กันฟัง ลองฟังเรื่องของท่าน
เอาไว้เป็นเครื่องประดับอารมณ์เพื่อความเชื่อ หรือเพื่อนรำคาญก็ตามใจ เรื่องของท่านมีดังต่อไปนี้....
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
|
|
พันเอกสมาน วีระไวทยะ (ยศสมัยนั้น)
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สงครามระบาดเข้ามาถึงประเทศไทย "ท่านพันเอกสมาน" สมัยนั้นมียศเป็นร้อยโท
ท่านถูกส่งตัวไปประจำสมรภูมิเมืองพยาก เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางแม่สายกับเชียงตุง
ระหว่างที่พักอยู่ในค่ายทหารเมืองพยากนั้น ท่านกับเพื่อนนายทหารอีกสองคนคือ ร้อยโทสมฤกษ์ พลศิริ และ ร้อยโทวิทย์ วิศสมิตนันท์
ได้ล้มป่วยด้วยโรคมาลาเรียขึ้นสมองอย่างแรง ต่อมาร้อยโทสมฤกษ์อาการค่อนข้างดีขึ้น แต่ร้อยโทวิทย์ได้ถึงแก่กรรม ส่วนท่านเองมีอาการไข้หนักมาก
พอถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2485 เวลาประมาณ 18.00 น. ท่านพันเอกสมานก็สิ้นลมหายใจ ว่ากันตรงๆ ก็ตายนั่นเอง ท่านตายเพราะพิษไข้ ไม่ได้ตายเพราะสงคราม
น่าเสียดายที่กำลังสำคัญชั้นนายทหารสัญญาบัตร อันเป็นกำลังของกองทัพต้องมาสิ้นชีวิตลง ทำให้กำลังของกองทัพต้องเสียกำลังไป
แม้แต่จะเป็นส่วนน้อยเพียงนายร้อยโทคนเดียว
ท่านอาจคิดว่าไม่สำคัญ ก็ขอให้คิดว่าทหารในกองทัพนั้น ไม่ว่าทหารคนใดจำนวนมากน้อยเพียงใดก็ตาม ย่อมมีความสำคัญยิ่งต่อประเทศชาติ
ยิ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตรที่มีอำนาจคุมทหารหนึ่งหมวด เมื่อเสียนายทหารไปหนึ่งคน เท่ากับเสียกำลังทหารไปหนึ่งหมวด
แต่ทว่าเรื่องสำคัญที่ตัวบุคคล แม้จะสำคัญเพียงใดก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่จะพูดในขณะนี้ ในที่นี้ต้องการเรื่องที่ท่านตายแล้วไปนรก
มาฟังเรื่องของท่านต่อไป
เมื่อข่าวนายร้อยโทสมาน (ยศสมัยนั้น) สิ้นลมปราณ รู้ถึงนายแพทย์สนาม คือ ร.อ.ประภาคาร กาญจนาคม (ต่อมามียศเป็นพลตรี
ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ใหญ่กรมแพทย์ทหารบก) ท่านได้มาตรวจดูเห็นว่า ร.ท.สมาน ตายแน่ จึงได้มีคำสั่งให้ทหารนำไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บศพ
และคนป่วยที่เห็นว่าไม่มีทางรอด คือแก้ไขไม่ได้ จะต้องตายแน่นอนก็เอาไว้ที่ห้องนี้ เพื่อรอเวลาสิ้นลมในที่สุด
เป็นระเบียบของแพทย์ในสนามหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ
ท่านเล่าเรื่องของท่านว่า เมื่อท่านป่วยหนักใกล้จะตายนั้น ทุกขเวทนามันรุมเล่นงานท่านอย่างหนัก ร่างกายทุกส่วนมันเจ็บปวดทั้งร่าง
ไม่มีส่วนใดจะแสดงออกถึงความสุข คือไม่ปวดร้าวไม่มีเลย แม้แต่เส้นผม เมื่อมีใครมาถูกก็รู้สึกปวดจนทนไม่ไหว แต่ทว่าเมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว ท่านกล่าวว่า
กลับไม่มีอาการเจ็บ
ท่านกล่าวว่า ตอนนั้นปรากฏว่าร่างของท่านเกิดมีสองร่าง ร่างหนึ่งนอนเฉยเหมือนคนตาย ตอนนี้ท่านยกข้อเปรียบเทียบ ความจริงก็เช่นนั้น
ร่างเดิมที่นอนป่วยอยู่นั้น เมื่อสิ้นลมปราณ คือลมหายใจ เรื่องของความรู้สึกใดๆ ที่มีอยู่ เมื่อสมัยมีลมหายใจมันก็หมดเรื่องกันตอนนี้
คนเราจะรัก จะมีความมั่นหมายปรารถนาในกันและกัน ก็แค่ขณะมีลมหายใจเท่านั้น เมื่อสิ้นลมหายใจแล้ว เพียงชั่วไม่ถึงชั่วโมง
คนที่เคยรักเคยหวงและห่วงใยสมัยที่มีลมหายใจไม่อยากห่าง แต่ตอนสิ้นลมปราณแล้วก็เกิดความรังเกียจ เกลียดกลัวคนที่เคยรักและหวงแหน
เมื่อท่านเห็นร่างเดิมนอนนิ่งสงบ ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกว่า ท่านมีร่างใหม่เกิดขึ้นแทน ร่างนี้ไม่นอนแต่ลอยอยู่เฉยๆ
เห็นพวกทหารด้วยกันมาในที่ๆ ท่านนอนตาย ท่านพยามยามทักทายปราศรัย พูดจากับเพื่อนทหาร ไม่มีใครยอมพูดด้วย
ท่านรู้สึกรำคาญเห็นว่าเมื่อเพื่อนร่วมตายทั้งหลายไม่มีใครยอมพูดจาปราศรัยด้วย ท่านก็เกิดมีความรู้สึกเบื่อ อยากจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ
เพื่อมาเยี่ยมเยียนบุตรภรรยา
ประสบการณ์ในยมโลกเมื่อความคิดว่าจะกลับบ้านกรุงเทพฯเกิดขึ้น ท่านก็เกิดมีความรู้สึกว่าร่างกายเบาผิดปกติ เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว
เมื่อตั้งใจออกจากสถานที่นั้นก็ลอยลิ่วออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่เชื่องช้าเหมือนร่างกายเดิม มุ่งสู่กรุงเทพฯ
แต่ทว่ายังไม่ทันจะพ้นที่เดิมเท่าใดนัก ก็ปรากฏมีชายชราคนหนึ่งยืนขวางหน้าท่านไว้ เมื่อท่านลอยมาถึงชายชราคนนั้นบอกให้หยุด และกล่าวว่า
อย่าเพิ่งไปกรุงเทพฯ เลย ขอให้ตามฉันมา ฉันจะพาเธอไปหาท่านพ่อ
ชายชราคนนั้นแต่งกายคล้ายขุนนางโบราณ ท่านก็ได้รับฟังแล้วก็สงสัยในคำที่กล่าวว่า จะพาไปหาท่านพ่อ แต่ก็ปรากฏว่าลอยตามท่านผู้นั้นไปอย่างว่าง่าย
ชายชราขุนนางโบราณคนนั้น ได้พาท่านมาถึงเมืองๆ หนึ่ง เมืองนี้ใหญ่โตกว้างขวางมาก มีกำแพงสีขาว แต่ทว่าประตูกำแพงสีดำ
เมื่อท่านขุนนางชราพามาถึงประตูสีดำ ทานก็ได้เคาะระฆังที่แขวนไว้หน้าประตู สักประเดี๋ยวเดียวบานประตูก็เปิดออก ภายในเห็นมีทหารยืนเรียงรายอยู่หลายคน
ต่างก็มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ยืนรักษาการณ์ที่ภายในประตู
เมื่อผ่านประตูสีดำไปแล้ว ท่านขุนนางโบราณคนนั้นก็พาเดินไปถึงประตูอีกชั้นหนึ่ง ประตูนี้มีสีเป็นสีทอง กำแพงก็มีทองดูสวยงามมาก
เพราะจะมองไปทางไหนก็เห็นเป็นทองระยิบระยับไปหมด
เมื่อถึงประตูท่านก็เคาะระฆังเรียกเหมือนประตูแรก แล้วบานประตูก็เปิดออก ท่านพาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ มีความสวยสดงดงามมาก มีลักษณะคล้ายท้องพระโรง
ภายในท้องพระโรงนั้น มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่หลายคน แต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้นเงียบกริบ
ไม่มีเสียงพูดคุยกันเหมือนห้องทำงานในเมืองมนุษย์ ในเมืองมนุษย์นี้นักการทำงานทั้งทำทั้งคุยมีจำนวนมากที่คุยมากกว่าทำ
แต่ก็มีไม่น้อยที่ท่านขยันขันแข็งต่อการงานอย่างจริงจัง ไม่ชอบพูดพล่ามทำเพลง เวลางานเป็นงาน
แต่ท่านที่ทำงานดีอย่างนี้มีสภาพเหมือนคนปิดทองหลังพระ เพราะมัวห่วงงานไม่มีเวลาประจบสอพอ ดีไม่ดีผู้บังคับบัญชาลืมขอบำเหน็จให้เสียก็ยังได้
ฉะนั้นนักทำงานดีในเมืองมนุษย์ต้องทำงานดีด้วย และทำให้ถูกใจผู้บังคับบัญชาด้วย จึงจะมีผลตอบแทนที่สาสมกับความขยันหมั่นเพียร
ฉะนั้นคนทำงานในเมืองมนุษย์จะต้องฝึกทั้งการทำงาน และซักซ้อมเคารพพร้อมๆ กันไป จึงเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย นอกจากทำงานเก่งแล้วยังคุยเก่งอีกด้วย
บางรายคุยเก่งกว่าทำตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ยังพอหาได้
ที่นั่นเป็นเมืองผี ผีเขาร้านโดยไม่ต้องรายงาน ใครขยันใครขี้เกียจผู้บังคับบัญชาทราบเอง เพราะมีอารมณ์เป็นทิพย์
เจ้าหน้าที่จึงไม่ต้องซ้อมวาทะไว้เพื่อรายงาน ของเขาก็ดีไปอย่างหนึ่ง แต่เงียบเหงามาก เพราะเมื่อนั่งอยู่ที่นั่นตลอดเวลาไม่ปรากฏว่ามีเสียงคนพูดเลย
ต่างก้มหน้าก้มตากันอย่างไม่ยอมมองมาดูเลย ทุกคนมีหน้าตาแปลกประหลาดไม่ใคร่เหมือนคนสมัยปัจจุบันนัก เครื่องแต่งกายก็คล้ายกับคนสมัยโบราณทั้งหมด
มีทั้งทหารและพลเรือน
พบพระยายมเมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้นำได้บอกให้ทรายว่า คอยสักประเดี๋ยว ท่านพ่อก็จะเสด็จออกมา
แล้วก็ชี้ให้ดูประตูที่ท่านพ่อจะเสด็จออก เป็นประตูสีทอง มีม่านสีทองผืนใหญ่รูดปิดไว้ บนบริเวณที่ท่านพ่อจะออกมาประทับมีสภาพกว้างขวาง
สวยสดงดงามมากคล้ายเวทีละคร
สักครู่หนึ่งก็มีเสียงมโหรีดังขึ้น มีเสียงจะโกนออกมาว่า พระยายมเสด็จแล้ว เสียงนั้นบอกกันต่อๆ ออกมานั้น ท่านว่าความรู้สึกขณะนั้นบอกไม่ถูก
มีความหวาดกลัวที่สุด ด้วยคำว่า "พระยายม" ได้ยินจนชิน ตามความรู้สึกแล้วคิดว่า พระยายมคงมีหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ดุดันเหี้ยมโหด
ด้วยได้รับคำขู่ไว้เมื่อสมัยมีชีวิตว่า
พระยายมถ้าเอาใครเข้าไปสู่สำนัก คนนั้นก็ไม่พ้นการลงโทษอย่างสาหัสคือเอาลงนรก เขาเล่าให้ฟังกันมาอย่างนั้น จนความรู้สึกของตนจดจำคำว่าพระยายมไว้จนชิน
และมีความหวาดสะดุ้งอยู่เป็นปกติแล้ว เมื่อมาได้ยินคำว่าพระยายมออกมาแล้ว และอยู่ในสำนักพระยายมด้วย ความหวาดหวั่นยิ่งมีมากเป็นทวีคูณ
เมื่อม่านสีทองถูกเปิดออก พระยายมเสด็จออกประทับที่แท่นอันสวยงดงามเป็นพิเศษ
หาความสวยใดๆที่ประดับด้วยทองและเพชรนิลจินดาในเมืองมนุษย์ที่จะงามคล้ายคลึงแท่นที่พระยายมประทับไม่มีเลย
เมื่อเห็นองค์พระยายมจริงเข้า ความเข้าใจที่ว่าพระยายมคงจะมีรูปสูงใหญ่ หน้าตาดุร้าย ตวาดคนลั่นเมืองตามที่คิดไว้ผิดถนัด
รูปร่างของพระยายมที่เห็นก็มีรูปลักษณะเป็นคนธรรมดาเรานี่เอง อาการที่แสดงออกไม่มีริ้วรอยของความโหดร้ายเลย มีอารมณ์เยือกเย็น เต็มไปด้วยความเมตตาปราณี
เครื่องแต่งกายสวยงามมาก มีความสวยสง่ากว่าทุกคนในที่นั้น
เมื่อพระยายมเสด็จประทับบนบัลลังก์เรียบร้อยแล้ว ท่านขุนนางโบราณผู้เฒ่าที่พาท่านไปก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า
ขณะนี้ได้พาคนที่ท่านประสงค์จะพบ มาแล้วตามพระบัญชา
เมื่อท่านขุนนางกราบทูลแล้ว ท่านพระยายมก็หันมาทางท่านพันเอกสมาน ขณะที่ท่านพูดก็พูดด้วยอาการของคนมีเมตตา คืออารมณ์แจ่มใส หน้าตาเบิกบาน
ไม่เหมือนพญายมในโทรทัศน์ ที่นักออกแบบให้คนที่สมมติว่าเป็นพระยายม แอบเอาเขาสวมให้ด้วย มองแล้วไม่แน่ว่าเป็นเขาอะไร เขาควายก็ไม่เชิงว่าเหมือน
เขาสัตว์ประเภทไหนก็ไม่ชัดที่แน่เห็ดจะเป็นเขาของคนออกแบบนั่นแหละ อาจจะตรงตามความจริง
ส่วนพระยายมที่ท่านพันเอกสมานเห็นนั้น ไม่มีเขาและสวยงามด้วย เป็นอันว่าพระยายมตามคติของปวงชนที่เข้าใจกันมาในอดีตไม่ตรงกับความเป็นจริง
เมื่อพระยายมหันมาทางท่านพันเอกสมาน ท่านได้พูดว่า
ที่ให้พญามัจจุราช หมายถึงท่านขุนนางโบราณคนที่ไปดักหน้าแล้วนำมาที่นี้ ความจริงเธอยังไม่หมดอายุขัย
คือยังไม่ถึงกำหนดตายนั่นเอง ที่ให้เขาพามาก็เพื่อให้เห็นความเป็นไปต่างๆ ตามความเป็นจริงของยมโลก เมื่อกลับไปเมืองมนุษย์จะได้ปฏิบัติแต่ความดี
ไม่ทำความชั่วอีก เมื่อได้ดูสิ่งต่างๆแล้วจะได้ให้พญามัจจุราชนำไปส่ง แล้วท่านก็ให้โอวาทอย่างยืดยาว...
((( โปรดติดตามตอน "โอวาทของพระยายม" )))
|
|
โอวาทของพระยายม
โอวาทที่ท่านให้นั้นมีความสำคัญอยู่อย่างเดียวคือ ให้พยายามประพฤติแต่ความดี พยายามทำบุญทำทานไว้ อย่าประพฤติตนเป็นคนชั่วใจบาปหยาบช้า
เพราะเมื่อทำคนเป็นคนใจบาปเมื่อตายแล้วผลของความชั่วจะนำไปสู่นรก มีทุกขเวทนาอย่างสาหัส ไม่มีโอกาสที่จะพักผ่อนหรือหลีกเลี่ยงได้
จนกว่าจะสิ้นกำหนดตามกฎการลงโทษตามกรรมชั่วที่ทำ
แต่ถ้าทำตนเป็นคนดี ทำบุญให้ทานไว้เสมอๆ บุญและความดีจะส่งผลให้พ้นนรก ได้ไปเกิดบนสวรรค์ อันเป็นดินแดนที่แสนสุข
มีความสำเร็จตามใจประสงค์ทุกประการโดยไม่ต้องใช้กำลังกายทำงาน
ท่านให้โอวาทอยู่นานพอเวลาสมควร ท่านก็บอกให้พระยามัจจุราชนำไปชมสถานที่ลงทัณฑ์ต่างๆ ให้พาไปดูให้ทั่ว จะได้รู้ไดเห็นด้วยตาตนเอง
แต่ท่านพันเอกสมานไม่มีความประสงค์จะดูอะไรเลย ท่านมีความประสงค์ใคร่จะกลับ ท่านพญายมท่านก็ไม่ขัดใจ เมื่อท่านไม่อยากดูท่านก็ไม่ว่า
ท่านก็มีบัญชาให้พระยามัจจุราชนำไปส่งทีเดิม
น่าเสียดายตอนนี้ ถ้าท่านพันเอกสมานท่านไปชมนรกมา แล้วนำมาเล่าให้คนเบื้องหลังฟังจะมีประโยชน์แก่คนที่อยู่ในเมืองมนุษย์นี้มาก
เพราะอย่างน้อยท่านก็เป็นนายทหารผู้ใหญ่ที่มีความรู้เรื่องราวของชาวโลกดี มีสังคมกว้างขวางพอสมควร เป็นที่เชื่อถือของท่านบรรดาบัณฑิตได้พอควร
ซึ่งมีสภาพตรงกันข้ามกับนักปราชญ์ที่เรียนรู้มาจากศาลาวัด ท่านจัดเป็นนักปราชญ์ประเภทที่คร่ำครึ ถึงแม้จะรู้จริงก็ตาม แต่หาคนเชื่อได้ยาก
บางรายนักเรียนศาลาวัดเองนั่นแหละ สอนคนอื่นสอนได้แต่ตัวเองไม่เชื่อ อย่างนี้ก็มีไม่น้อย เพราะท่านนักปราชญ์ประเภทนี้รู้จักกันมาก
เคยเป็นนักเทศน์มาด้วยกัน เคยปรารภให้ฟัง เมื่อฟังท่านพูดแล้วก็สลดใจ ท่านเล่าต่อไปว่า เมื่อขณะที่พระยามัจจุราชนำมานั้นท่านนำมาทางเดิม
เมื่อเดินไปถึงสุดทาง ท่านพญามัจจุราชบอกว่า
ฉันมาส่งเพียงเท่านี้นะ ต่อไปเธอเดินไปเองก็แล้วกัน
พอท่านพูดเท่านั้น ท่านว่าท่านเองมีอาการหวิวคล้ายกับพลัดตกจากที่สูง แล้วหมดความรู้สึกไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกตัว ปรากฏว่ามานอนอยู่ที่ห้องเก็บศพ
ยังเคราะห์ดีที่มีทหารเฝ้าอยู่สองคน พอรู้สึกตัวก็กระหายน้ำมาก อาการอย่างนี้เล่าเหมือนกันทุกคนที่ตายแล้วกลับฟื้น ต้องมีการกระหายน้ำเป็นพิเศษ
เมื่อท่านเล่ามาถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ "บางกอกไทม์" ได้ถามท่านว่า
ท่านตายไปกี่ชั่วโมง
ท่านบอกว่า เมื่อหมดความรู้สึก คือตอนตายที่เกิดมีร่างเป็นสองร่างนั้น เวลาประมาณ 18.00 น. เวลาที่ท่านรู้สึกตัวเป็นเวลาประมาณ 06.00 น.
ของวันที่ 17 สิงหาคม 2485 รวมเวลาที่ท่านตายไปประมาณ 12 ชั่วโมง
ผู้ถามได้ถามต่อไปว่า เมื่อท่านอยู่ที่ท้องพระโรงของพระยายม ท่านพบคนที่รู้จักบ้างไหม
ท่านตอบว่า พบหลายคน แต่ทุกคนที่พบ เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งนั้น ในจำนวนคนทั้งหมด มีร้อยโทวิทย์ วิศสมิตนันท์
เพื่อนนายทหารในค่ายเดียวกันที่ตายไปก่อนรวมอยู่ด้วย
ท่านได้เล่ากับผู้ถามว่า ต่อมาภายหลัง ท่านได้ติดต่อโดยทางจิต ตามภาษาชาวบ้านเรียกว่า "นิมิต" ภาษาพระเรียกว่า "ฌาน" กับ หลวงพ่อแก้วมรกต
และเจ้าพ่อองค์สำคัญอีกหลายท่าน แต่ละท่านก็ให้คาถาที่เป็นประโยชน์มาใช้ รวมแล้วหลายบทและแนะนำวิธีปฏิบัติสมาธิกับใช้จิตให้เป็นประโยชน์
คืออำนาจสมาธินั่นเอง ท่านนำมาใช้แล้วได้รับผลดีเป็นที่น่าเลื่อมใส คาถาที่ท่านได้มาเช่น คาถาต่ออายุ และ คาถาย่นหนทาง
อานุภาพคาถาย่นหนทาง
สำหรับคาถาย่นหนทางนี้ ท่านพลอากาศเอกพะเนียง กานตรัตน์ เคยเล่าให้ฟังว่า เมื่อไม่นานมานี้เองท่านได้ร่วมทางกับท่านพันเอกสมาน
มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายท่านร่วมทางไปด้วย เมื่อขณะนั่งไปบนเครื่องบิน บังเอิญวันนั้นลมแรง นักบินรายงานว่า
วันนี้จะถึงสนามลงไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ อาจเสียเวลาถึงครึ่งชั่วโมง
เมื่อทุกคนสำรวจเวลา และสถานที่ที่เครื่องบินกำลังร่อนอยู่ว่าเป็นตำบลอะไร และตรวจความเร็วของเครื่องบินที่เคลื่อนไป
ทุกคนที่นั้นล้วนแล้วแต่เป็นนายทหารอากาศผู้ชำนาญการบินมาแล้ว ต่างก็ยอมรับว่าวันนี้ไปถึงที่หมายปลายทางล่ากว่ากำหนดนัดแน่
เมื่อท่านพันเอกสมานทราบเรื่อง ท่านว่าท่านเรียนคาถาย่นหนทางมาจากท่านองค์ใด อาตมาจำไม่ได้ ท่านรับรองว่าจะไปให้ถึงก่อนกำหนดเวลาที่กำหนดไว้
แล้วท่านก็เริ่มภาวนาคาถา
เมื่อเครื่องบินถึงที่หมายเข้าจริงๆ พล.อ.อ.พะเนียงเล่าว่า
ถึงก่อนกำหนดตั้ง 45 นาที สนามบินเงียบเหงา คนที่จะมารับก็ยังไม่มีใครมารับเลย เพราะถึงก่อนกำหนดมากไป
นี่เป็นคุณของคาถาบทหนึ่ง ที่ท่านพันเอกสมานเรียนจากท่านที่ไม่ใช่มนุษย์ ยังมีคาถาต่ออายุคนอีกที่ท่านทำเกิดผลมาแล้ว
การต่ออายุท่านว่าต้องขออนุมัติจากท่านเจ้าของคาถาก่อน จะต่อได้กี่เดือนกี่วันก็สุดแล้วแต่จะตกลงกัน ไม่ใช่ต่อให้แล้วไม่รู้จักตาย
ความหมายคำว่า "วิญญาณ"
ขอยุติเรื่องของท่านพันเอกสมานไว้เพียงเท่านี้ ที่นำเรื่องของท่านพันเอกสมานมาเล่าก่อนเรื่องคนอื่นใด ก็เพราะว่าท่านยังมีชีวิตอยู่อย่างหนึ่ง
เพื่อว่าใครสงสัยจะได้สอบถามได้
อีกอย่างหนึ่งก็เห็นว่าท่านเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มีความรู้พอที่ชาวโลกจะเชื่อถือได้ แม้เรื่องของท่านจะเป็นเพียงมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมเล็กๆของมรณะโลก
คือโลกของคนตายแล้วก็ตามที ก็อาจเป็นเหตุยืนยันได้ว่าคนที่ตายไปแล้วไม่สูญ และยังต้องเสวยผลของกรรม คือการกระทำหรือที่เรียกกันว่า
ความประพฤติในชาติที่เป็นมนุษย์นี้ ใครทำดี ผลกรรมก็สนองให้มีความสุข ใครทำชั่ว ก็รับผลเป็นความทุกข์
และจะได้ทราบว่าคนที่ตายแล้วยังจำญาติและพวกพ้องได้ ที่กลับมาเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องพวกพ้องก็มีมากราย แต่ใครจะเล่าเป็นคนเห็นผีอย่างนั้น
ท่านพันเอกสมานท่านเล่าว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างที่มีเลือดเนื้อเป็นสมุจฐาน ก็ปรากฏมีร่างอีกร่างหนึ่งขึ้นมาแทน
มันเป็นร่างที่มีอวัยวะทุกอย่างครบครันเช่นเดียวกับร่างนี้ แต่มีความเบามากกว่าหลายแสนเท่า มันไม่มีความรู้สึกหนักหน่วงเลย มีความคล่องตัวเป็นพิเศษ
คิดว่าจะไปทางไหนร่างก็ลอยไปและถึงทันที
ร่างนี้ตามปกติมันอยู่ที่ไหน ถ้าท่านสงสัยอย่างนี้ก็ขอถามท่านว่า เมื่อท่านนอนหลับแล้วฝัน ท่านเอาร่างนี้ออกเที่ยวตามความฝันหรือเปล่า ถ้าเปล่า
ท่านเอาร่างกายที่ไหนไปตามเรื่องราวที่ท่านฝัน ถ้าท่านคิดไม่ออกก็ขอบอกว่า ที่เขาพูดกันว่าถ้าวิญญาณไม่สิ้นเพียงใด ความรู้สึกใดๆ ก็ยังปรากฏ
ถ้าวิญญาณดับเมื่อไร เมื่อนั้นความรู้สึกต่างๆ ก็สิ้นไป
วิญญาณท่านเข้าใจว่ามีรูปเป็นอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจก็ขอให้คิดเอาไว้ก่อนว่าร่างของเราที่ปรากฏตามความฝันนั้น นั่นแหละคือ "วิญญาณ"
เมื่อวิญญาณออกจากร่างเดิมอย่างท่านพันเอกสมาน ท่านพูดกับใครไม่มีใครรับรู้ ก็เช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายที่ตายไปแล้วถ้าจะมาเยี่ยมญาติ
เยี่ยมลูกเยี่ยมเมีย ใครเล่าที่เคยตัดพ้อต่อว่าถ้าตายแล้วไม่สูญ ทำไมไม่มีใครมาบอกบ้างว่าอยู่ที่ไหน มีความสุข ความทุกข์อย่างไร
ท่านที่กล่าวนั้นเมื่อผีมาจริงท่านจะเห็นผีไหม เมื่อผีพูดด้วยท่านจะได้ยินเสียงไหม ข้อนี้ควรคิด
ที่เอามาเล่าสู่กันฟัง แทนที่จะนำเอาพระสูตรมาเล่าให้ฟัง ก็เพื่อเปลื้องความสงสัยในเรื่องของพระสูตร
ที่มีท่านผู้รู้หลายท่านค้านว่าพระสูตรเป็นเรื่องนิทานปรัมปรา เหลวไหลไม่ได้เรื่อง เมื่อเรื่องนี้มีการสอบสวนทวนพยานได้
หากท่านสงสัยจะได้คลายความสงสัยด้วยการสอบถาม ยังมีอีกหลายเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟัง เจ้าของเรื่องบางท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ บางท่านก็ตายไปแล้ว
ต่อไปในโอกาสหน้าถ้าหมดเรื่องที่เจ้าของเรื่องมีชีวิต ก็จะนำเรื่องของท่านที่เคยตายแม้สิ้นชีวิตแล้วก็ตาม เอามาเล่าสู่กันฟัง
สำหรับวันนี้ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแด่ทุกท่าน...สวัสดี
ที่มา - หนังสือธัมมวิโมกข์ 2525 ปีที่ 3 ฉบับที่ 24
|
|