Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 22/9/09 at 08:44 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 (ตอนที่ 6)


« ตอนที่ 1 « ตอนที่ 2 « ตอนที่ 3 « ตอนที่ 4 « ตอนที่ 5 « ตอนที่ 7




สารบัญ

01.
ทนงฤทธิ์ สีทับทิม update 22 - 07 - 2552
02. เกสร จันทรประภาพ update 28 - 07 - 2552
03. พันเอก บรรจง – ระวิ ศรีเจริญ update 02 - 10 - 2552
04. จ่าสิบเอก บุญฉลอง รอดทองดี update 09 - 10 - 2552
05.
วลัย คงคาวิฑูร update 16 - 10 - 2552
06. นิรนาม update 26 - 10 - 2552
07. ศรัณยา กัมปนาทแสนยากร update 01 - 11 - 2552
08. จาตุรงค์ จารุพันธ์พานิช update 06 - 11 - 2552
09. ทันตแพทย์หญิง บุญสม สุภาพันธุ์ update 10 - 11 - 2552
10. พรพรรณ เลิศล้ำ update 13 - 11 - 2552
11. วนิดา ตันติประภาส update 20 - 11 - 2552
12. กัลยาณี มนูสุข update 24 - 11 - 2552
13. ขวัญใจ ณรงคะชวนะ update 28 - 12 - 2552
14. พันเอก ประดิษฐ์ เผ่าวิพัฒน์ update 02 - 01 - 2553
15. น.พ. ประวิทย์-พรพิมล สินไชย, น.พ. ศรีเกียรติ – วิไล ธนะวรวิบูลย์
, พฤนทา สัตยธรรม , อังสนา ถนอมวงศ์ทัย
update 09 - 01 - 2553
16. วราภรณ์ แซ่ลิ้ม update 16 - 01 - 2553
17. วัชรา จึงถาวรเจริญ update 24 - 01 - 2553
18. ปาริชาติ แสงหิรัญ update 02 - 02 - 2553
19. สมศรี ตั้งศิริพร update 12 - 02 - 2553
20. พลอากาศตรี สุกิจ - เฉลิมพันธุ์ เสมาเงิน update 21 - 02 - 2553



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/9/09 at 08:47 [ QUOTE ]



ทนงฤทธิ์ สีทับทิม


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........นานมาแล้ว ผมเป็นคนไม่สมาคมกับพระ และไม่สังสรรค์ด้วย มีพระอยู่ที่ไหน ไม่มีผมอยู่ที่นั้น ถ้าพระเดินทางซ้าย ผมต้องเดินทางขวา ถ้าพระเดินข้างหน้า ผมต้องเดินข้างหลัง(ห่างๆ หลายๆ เมตร) ถ้าพระเดินตามหลังมา ผมต้องรีบเดินหนี หรือไม่ก็หลบให้พระไปก่อน ถ้าพระรีบ ถ้าไม่จำเป็นผมไม่เดินใกล้

เรียกได้ว่าเดินกันคนละฝั่งถนนก็ว่าได้ ไม่ใช่ว่ารังเกียจหรือเกลียดพระ แต่มันเป็นความกลัวมากกว่า ไม่กล้าแม้แต่จะพูดด้วย ก็เหมือนผีกลัวพระอะไรทำนองนั้น เมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องพูดและหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็จะสั่นไปหมดทั้งตัว มือไม้สั่น ขาสั่น ใจสั่นก็ไม่รู้สาเหตุ

เคยถูกน้าใช้ให้ไปวัด ก็ไป เก้ๆ กังๆ อยู่หน้ากุฏิ ไม่รู้จักทำอย่างไร ก็เดินขึ้นบันไดกุฏิ ถึงประตูกุฏิ เห็นประตูปิดก็ไม่กล้าเรียกพระ เพราะไม่รู้จะเรียกอย่างไร ก็เดินลงบันไดไปยืนข้างล่าง แล้วขึ้นไปใหม่อีกเป็น 2-3 หน จึงตัดสินใจเคาะประตูกุฏิ ชนิดกลัวว่าพระจะได้ยิน ก็ไม่รู้ว่าพระหลับจำวัดหรือเปล่า รู้สึกว่านานโขพอสมควร

ในขณะนั้น เมื่อพระองค์หนึ่งออกมาก็กราบ ก็ไม่ทราบว่ากราบกี่ครั้งเพราะสั่นไปหมด พูดธุระกับท่านก็ปากคอสั่น ทำอะไรไม่ถูก พระท่านอาจขำก็ได้ แต่ขณะนั้นไม่สนใจอะไรแล้ว รีบพูดให้จบธุระจะได้รีบกลับ ก็คงได้ใจความไม่กระจ่างนัก ตามความรู้สึกขณะนั้น พูดจบลงจากกุฏิ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกลูกใหญ่ ใจสั่นเหมือนยืนอยู่ใกล้ๆคนยิงพลุตามงานวัด ความจริงผมเป็นคนใกล้วัด แต่ไม่ค่อยจะไหว้พระ ใส่บาตรนับครั้งได้ เพราะน้าใช้ให้ใส่ ไม่เคยเห็นความสำคัญ ตั้งแต่เด็กมาจนกระทั้งโต

ต่อมาเมื่อ 12 - 13 ปีกว่า ที่ผ่านมา (ขณะนี้ พ.ศ. 2533) ผมได้มีโอกาสไปกราบพระองค์หนึ่ง ซึ่งก็ไปตามเพื่อน เพื่อนมาบอกว่าช่วยไปเป็นเพื่อนเดินทางหน่อย จะไปกราบพระที่ จ. อุทัยธานี ผมก็สงสัยว่าพระที่กรุงเทพฯ ยังกราบไหว้ไม่ทั่ว ไหงจะต้องถ่อไปถึงอุทัยฯ ด้วย จ.อุทัยธานีก็ไม่เคยไป ก็คงเป็นจังหวัดเล็กๆ จังหวัดหนึ่งไม่ค่อยน่าสนใจ ไกลก็ไกล ในขณะนั้นคิดอย่างนั้น และก็ไม่เคยคิดจะไปซะด้วยซ้ำ

เพื่อนบอกว่าไปกราบ "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ผมก็ยิ่งสงสัยใหญ่ เอ๋...พระอะไร ชื่อเป็นทั้ง "ฤาษี" เป็นทั้ง "ลิงดำ" ชื่อแปลกดี จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้สนใจอยากจะไปดูให้เห็นว่า พระที่เป็นฤาษีเป็นอย่างไร ทำไมต้องมีชื่อลิงดำด้วย (ลูกขอกราบเรียนหลวงพ่อฯ ขอขมาโทษไว้ ณ.ที่นี้ ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาเว้นโทษในความโง่เขลาเบาปัญญาในครั้งนั้นด้วยเถิดขอรับ)

ผมเคยอ่านหนังสือวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี เห็นมีชีเปลือย เห็นมีฤาษีในเนื้อเรื่องที่ พรรณนาเอาไว้ว่า หนวดถึงเข่า เคราถึงนม ผมถึงตีน ใส่ชุดลายเสือ (ขออภัยท่านผู้อ่านถ้าไม่ถูกต้องตามวรรณคดี เพราะอ่านสมัยเด็กๆ ก็นานโขอยู่) ไม่เคยเห็นฤาษีมาก่อน ก็อยากจะไปดูให้รู้แน่ว่าเป็นอย่างในวรรณคดีไหม

ขณะนั้นก็ยังนึกภาพเป็นรูปของฤาษีคือ ผมยาวขมวดเป็นมวยบนหัว มีเคราและใส่ชุดลวดลายเช่นกัน แต่เพื่อนบอกว่าแต่งเป็นพระ ไม่ใช่แต่งฤาษี จึงตกลงเดินทางไปเป็นเพื่อน จะได้เห็นจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร

ปรากฏว่าไปถึงวัด ก็นึกว่าเป็นวัดในป่า มีกุฏิฤาษีอะไรทำนองนั้น ก็วาดภาพไปเอง จริงๆ แล้วก็ดูเป็นวัดธรรมดาๆ วัดหนึ่ง ตามต่างจังหวัด ก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไร เพื่อนพาไปก็ไป ไปถึง ก็เข้าไปที่ศาลาพระพินิจอักษร

ซึ่งสมัยนั้นหลวงพ่อรับแขกอยู่ที่นั่น เมื่อเข้าไปกราบก็ขอเพื่อนนั่งอยู่ข้างหลังสุด สุดกู่ ก็อย่างที่บอกว่าผมกลัวพระ ดูๆ ก็ไม่เห็นเป็นฤาษีตรงไหนเลย ก็พระสงฆ์ธรรมดาทั่วไปที่เห็นนี่เอง กราบหลวงพ่อในระยะไกล ก็ยังไม่มีศรัทธาในขณะนั้น

ดูไปรอบๆ มองโน่นบ้างมองนี่บ้าง เพราะนั่งอยู่หลังสุดกู่ จำได้ว่าขณะนั้นยังไม่อะไรไปมาก สิ่งก่อสร้างยังน้อยอยู่ และกำลังก่อสร้างก็มี ไม่มากเท่าปัจจุบัน(พ.ศ. 2533) ขณะนั้นผมยังไม่มีความรักในพระสงฆ์ มีแต่ความรักในพระพุทธรูป ถ้าองค์ไหนสวยๆ ก็จะมองเป็นพิเศษ เรียกว่าหลงในรูป เห็นหลวงพ่อ เมื่อกราบแล้วก็แล้วกัน เฉยๆ ไม่รู้สึกอะไร

เพราะความไม่สนใจ และคงมีบาปมาปิดบัง ฟังท่านคุยบ้างไม่ฟังบ้าง นึกในใจว่าพระทำไมพูดเล่นได้ หัวเราะได้ กับโยม ซึ่งที่แรกคิดว่าความเป็นพระต้องเคร่งเครียด พูดเล่นไม่ได้ ต้องพูดเป็นงานเป็นการ ทำนองนั้น ซึ่งผมเองไม่เข้าใจในลีลาของหลวงพ่อ จริงๆ แล้ว ลักษณะนั่งตัวตรงเป๋งหรือพูดยิ้มๆ นั้น ผมคงจะฟังจากละครวิทยุมากกว่า จึงนึกภาพพจน์เป็นอย่างนั้น และการที่นั่งตัวตรงเป๋ง ก็มีพระพุทธรูปเท่านั้นที่ทำได้ คือไม่ขยับ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดและโง่ของผมเองมากกว่า

จากนั้นก็ เรื่อยๆ เปื่อยๆ ไปกราบบ้างไม่ไปบ้าง มีงานวัด ก็ไม่ค่อยได้สนใจ ที่บ้านซอยสายลมก็ไปบ้างไม่ไปบ้าง ที่ไปนั้นก็เพราะ ทีแรกชอบชื่อขององค์หลวงพ่อ ฟังดูคลาสสิค และศักดิ์สิทธิ์ และขลังดี นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไปกราบท่าน

ชื่อท่านเป็นสิ่งที่สะดุดใจของผมนั้นเอง ที่บ้านซอยสายลม มีการฝึกกรรมฐานตอนกลางคืน ครั้งแรกผมไปฝึกก็ไม่รู้ เขาฝึกเพื่ออะไร ก็อยากทดลองดู ถึงเวลาฝึก หลวงพ่อบอกขั้นตอนการฝึก ผมก็ไม่ได้ใส่ใจฟัง พอถึงเวลานั่งหลับตา ผมก็ลืมตาดูคนอื่นว่าเขาทำอย่างไร ก็ดูไปดูมา คนอื่นหลับกันหมด ก็ต้องหลับบ้าง และก็คิดว่า จะลืมตาเมื่อไร ก็คอยชำเลืองอยู่เรื่อยว่า มีคนลืมตาเป็นเพื่อนหรือไม่

ตอนนั้นโทรทัศน์วงจรปิดยังไม่มี ก็เลยต้องดูคนข้างๆ ว่าลืมตาหรือยัง ไม่เช่นนั้นคงจะดูทีวีว่า หลวงพ่อลืมตาหรือยัง ก็นั่งไม่เป็นสุขเมื่อไหร่จะเสร็จซักที ใจไม่ได้นึกถึงพระ นึกไปเรื่องอื่นไปหมดจนในที่สุด นั่งจนได้เวลาลืมตารู้สึกค่อยยังชั่วหน่อย ขณะนั้นก็ไม่ได้ซาบซึ้งอะไร ก็เรียกว่าสนุกตามเพื่อนมากกว่า นั่งไปก็กลัวเป็นบ้า เพราะเคยได้ยินคนพูดเช่นนั้น ระวังบ้านะอะไรทำนองนี้ ก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนั่งฝึกเท่าไร

ต่อมานาน ๆ เข้า บ่อยเข้า ชักเริ่มชินกับพระ ก็ชักจะกล้าขึ้นก็เข้าไปใกล้ๆ ไปกราบใกล้ๆ และมีโอกาส ได้กราบเรียนถามบ้าง พูดบ้างเล็กๆ น้อยๆ กับท่าน ทำเป็นใจกล้าพูดกับท่าน ซึ่งบ้างอย่างก็ไม่รู้จะถามดีไหม ก็กลัวว่าถามไม่ถูกเรื่องบ้าง ก็ไม่เรียนถาม พอเริ่มชินก็ดูว่า เอ๊ะ ความจริงแล้ว ท่านก็ไม่น่ากลัวนี่ ท่านเป็นพระที่น่ารักมากกว่า การที่ท่านพูดคุยมีหัวเราะนั้น เป็นกันเองกับลูกศิษย์ลูกหา (ผมก็เพิ่งเข้าใจ นึกว่าพระหัวเราะไม่ได้)

ความกลัวก็ลดลง เพราะท่านเป็นพระทำไมต้องกลัว แต่ก็ไม่กล้าอยู่ดี และก็เกรงด้วย ความกลัวพระเหมือนผีเห็นพระก็หายไป จากการที่ได้ฟังท่านพูดคุยบ่อยๆ กับลูกศิษย์และวิธีการพูดนั้น ทำให้ผมเรียนรู้ว่า นั่นเป็นวิธีการที่ท่านใช้สอนธรรมะ ใครไม่สนใจฟัง ก็นึกว่าท่านพูดเล่นๆ ถ้าฟังให้ดี ท่านจะต่อท้ายเรื่องธรรมะเสมอ เป็นการสอนธรรมะที่ให้ความสนุกไปในตัว ลูกศิษย์ลูกหาฟังไม่เบื่อ

ถูกอารมณ์คนฟัง ก็ชักจะเริ่มติดและมีอารมณ์รักในพระสงฆ์ และรักในหลวงพ่อ มีความรู้สึกเป็นเพียงลูกศิษย์กับอาจารย์ ก็ไม่ได้ช่วยเหลืองานวัดงานวา เป็นเพียงทำบุญทั่วๆไป ก็ไม่ค่อยได้ขาด เมื่อหลวงพ่อไปที่บ้านซอยสายลม เมื่อนานวันเข้า ก็รู้สึกว่าเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด (ใจรู้สึกแต่ไม่ได้เข้าไปรับใช้อะไรหลวงพ่อ) เพราะหลวงพ่อบอกว่า ทุกคนเป็นลูกศิษย์ได้

ความใกล้ชิดอยู่ที่การปฏิบัติตามคำสอน ถ้าใกล้ชิดมาก หมายถึงการปฏิบัติตามคำสอนเป็นอย่างดี ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดน้อยคือผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนน้อยลงไป ลูกศิษย์ที่ห่างไกล หมายถึงผู้ที่แทบจะไม่ปฏิบัติตามคำสอนเลย

ดังนั้นหลวงพ่อจึงบอกว่าทุกคนเป็นลูกศิษย์ได้ ผมก็เลยอยากเป็นลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิด จึงพยายามทำตามคำสอนของหลวงพ่อ และเริ่มมีความรักผูกพันกับหลวงพ่อ ในฐานะหลวงพ่อเป็นพ่อ แต่ไม่ทราบว่าชาติไหนได้ เห็นหลวงพ่อแล้วมีความสุขอบอุ่น ยินดีที่จะได้นั่งมองดูท่านก็ยังดี

แม้ว่าไม่ได้กราบเรียน พูดคุยกับหลวงพ่อ สิ่งนี้จึงทำให้ผมเข้าใจได้ว่า ทำไมคนจึงอยากนั่งใกล้ๆ หลวงพ่อ ไม่ใช่เป็นการเสนอหน้า แต่เป็นเพราะมองเห็นท่านได้ชัดเจน และฟังได้ชัดเจน เมื่อท่านพูด ซึ่งทุกคนมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อ

ซึ่งเดี๋ยวนี้มีโทรทัศน์วงจรปิดช่วยให้ท่านทั้งหลายดูได้ชัดเจน และฟังได้ชัดเจน ได้เห็นลูกๆ หลานๆ ของหลวงพ่อทั้งหลาย คอยช่วยงานของหลวงพ่อ อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ซึ่งผมก็เฝ้ามองดูอยู่ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทุกคนมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อ เช่นเดียวกับที่ผมมี

ผมมองดูท่านทั้งหลายด้วยความชื่นชม ที่ทำงานกันคนละไม้คนละมือ ในใจผมเองนั้น ก็คิดอยู่ว่า มีโอกาสก็อยากจะช่วยงาน ทั้งเล็กๆ น้อยๆ อะไรทำได้ก็ทำไป ก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยงานวัด และก็รู้สึกสนุก มีความสุขที่ได้รับใช้หลวงพ่อเช่นกัน และอีกหลายๆท่าน ที่เป็นลูกๆ หลานๆ ของหลวงพ่อ ก็คิดเช่นเดียวกับผมว่า อยากจะได้รับใช้หลวงพ่อด้วยความยินดี เต็มใจและก็ภูมิใจ

ผมเป็นคนถือเรื่องหัวหรือศีรษะว่าเป็นของสูง ใครมาถูกต้องหรือมาโดน มาข้ามไม่ได้ ถ้ามีเหตุดังกล่าว ใครมาถูกหัวหรือมาเล่นหัวเป็นต้องโกรธและโมโหไม่พอใจ เลือดจะขึ้นหน้าทันที และไม่ยอมเด็ดขาดมีเรื่องก็เอา

ครั้งหนึ่ง ผมไปที่วัด ซึ่งมีงาน ผมเข้าไปกราบหลวงพ่อ ระหว่างทางเดินจากศาลา 2 ไร่ ออกไปข้างนอก ท่านทักผม ว่าไงลูก เพียงเท่านี้ ผมก็ดีใจเป็นอย่างมาก เพราะในใจอยากให้ท่านทักทาย ก็สมใจนึก รู้สึกปิติเป็นอย่างยิ่ง ก็ก้มลงกราบ คิดในใจว่า แหมวันนี้หลวงพ่อท่านทักเราได้ เท่านั้นยังไม่พอ หลวงพ่อใช้ไม้เท้าโขกหัวผมหนึ่งครั้ง ก็โป๊กใหญ่ รู้สึกเสียงดังทีเดียว เท่านั้นเองเลือดก็ขึ้นหน้าผมทันที รู้สึกว่าหน้าชา ที่โดนโขกหัว ไอ้หน้าที่ดำอยู่แล้ว (เพราะผิวคล้ำ) ก็กลายเป็นสีแดงทันที

ในความรู้สึกขณะนั้น อารมณ์ขณะนั้น ไม่ใช่โมโหหรือโกรธที่โดนโขกหัว แต่เป็นอารมณ์ปิติยินดีอย่างยิ่งยวด ดีใจจนน้ำตาไหล หน้าอย่างนี้บานเป็นกระด้ง ผมเคยเห็นแต่หลวงพ่อใช้ไม้เท้า โขกหัวคนอื่นๆ และเห็นหลายคนแย่งกัน จะให้หลวงพ่อเอาไม้เท้าโขกบ้าง ก็นึกในใจว่า เอ! มันเป็นอย่างไงกัน ยื่นหัวให้โขกกันมันดียังไง พอผมโดนเองบ้าง จึงได้รู้แจ้งประจักษ์ใจ ว่าโดนหลวงพ่อโขกกบาล เอาจะรู้สึกอย่างไร ภูมิใจยังไม่หายจนกระทั้งทุกวันนี้

ผมยิ่งมีความรักในองค์หลวงพ่อเพิ่มมากยิ่งขึ้น อยากช่วยงานทุกสิ่งที่สามารถช่วยได้ ทั้งแรงกายและปัจจัย ถ้าทำได้ก็ทำทันที ซึ่งเมื่อก่อนที่จะพบกับหลวงพ่อผมทำบุญชนิดกลัวจะเสียเงิน คือ ทำเล็กน้อย ทำอย่างขี้เหนียว แต่หลังจากได้กราบหลวงพ่อแล้ว ผมกลัวว่าจะทำบุญไม่พอ ก็พยายามทำให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ โดยไม่เสียดาย และไม่ให้ตนเองเดือดร้อนในชาติปัจจุบัน และถือว่าทรัพย์สินเงินทองนั้น เป็นโลกียทรัพย์ ใช้หมดไปก็หาใหม่ได้ ไม่หนักหนา แต่การที่จะหาอริยทรัพย์นั้นไม่ใช่ของง่าย ถ้าไม่มีหลวงพ่อเป็นที่พึ่งช่วยแปลงทรัพย์นั้นได้ เพราะการทำบุญก็ต้องเลือกเนื้อนาบุญ ไม่เช่นนั้นบุญที่เราทำลงไปก็ไม่มีผล

ผมเห็นว่าหลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญที่ยิ่งใหญ่ ในฐานะลูกที่ดีก็อยากดีเหมือนพ่อ จึงตั้งใจทำ อีกประการหนึ่งทรัพย์สินที่หามาได้เมื่อมีชีวิตเมื่อตายแล้วก็นำติดตัวไปไม่ได้ แต่อริยทรัพย์นั้น เมื่อเราตายไปจะทำให้เราพ้นอบายภูมิและเป็นปัจจัยในการเข้าถึงพระนิพพาน ซึ่งเป็นความตั้งใจของ หลวงพ่อที่จะช่วยลูกๆ ให้พ้นทุกข์และมีความสุข

หลวงพ่อ ได้นำวิชาของพระพุทธเจ้า มาสอนลูกๆ กรรมฐาน ผมก็พึ่งจะได้เรียนรู้จากหลวงพ่อ ซึ่งเมื่อก่อน ก็ไม่ทราบเหตุผลว่า ทำไมจะต้องฝึกการวิปัสสนากรรมฐาน ต่อมาจึงได้ทราบภายหลัง จากการที่ท่านย้ำอยู่เสมอๆ กับลูกๆ ในเรื่องพระนิพพาน หลวงพ่อเป็นสื่อกลางให้คนทั้งหลาย ท่านต้องการให้ลูกๆ มีความสุข ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่สบายเป็นอย่างมาก

ท่านไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย ท่านเป็นพาหนะทิพย์ลำใหญ่ ที่ขยายที่ได้ไม่จำกัด ที่จะนำทั้งลากทั้งจูง ให้ลูกๆ ไปสู่พระนิพพานให้ได้ ถ้าไม่เลวจนเกินไป ท่านก็ช่วย ความจริงแล้วถ้าท่านจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไปนิพพาน ท่านก็สบายไปแล้ว แต่นี่ท่านเห็นก็ลูกแก่หลาน ท่าน จึงทนทรมาน และความลำบาก เราๆ จะไม่ค่อยทราบกันนักว่า หลวงพ่อป่วยมากแค่ไหน

ถ้าท่านไม่เล่าอาการให้ฟัง เพราะเห็นหลวงพ่อครั้งไร ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกครั้ง ซึ่งผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่า ท่านนั่งรับแขกได้อย่างไร ทั้งๆที่ป่วยมาก ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป ก็คงนอนดีกว่า สบายกว่าเป็นไหนๆ หลวงพ่อเคยพูดว่า ลูกหลานมีศรัทธามา ก็ต้องสนองศรัทธา ไม่ต้องการทำลายศรัทธาของลูกๆหลานๆ

จากสิ่งเหล่านี้ เพื่อเป็นการสนองพระคุณของหลวงพ่อ ลูกๆ หลานๆ จะช่วยงานหลวงพ่อคนละไม้คนละมือ จะเห็นได้จากงานวัด หรือแม้แต่ที่ซอยสายลม แม้ลูกๆ บางคนและหลายคน ก็อยากจะช่วยงานของหลวงพ่อ ทั้งนั้น เป็นต้นว่า ช่วยในความเป็นระเบียบเรียบร้อย ขณะเข้าถวายปัจจัยในการทำบุญ และ ฯลฯ

ถึงแม้ว่าหลวงพ่อจะเจ็บป่วย ก็ยังมีคนคอยปองร้าย จะเห็นได้ว่า มีคนคอยป้องกันภัยภายนอกให้หลวงพ่อ ท่านที่ไปวัดเป็นประจำ คงจะเคยได้เห็นประกาศเขียนติดกระดานไว้ที่ใกล้หอนาฬิกา หน้าศาลานวราชหลังเก่า ว่ามีผู้ประสงค์ร้ายคอยจ้องจะทำร้ายหลวงพ่อ จึงต้องมีผู้ถวายอารักขาอย่างแข็งขัน มีทั้งตำรวจและทหาร ทั้งที่ไม่ปลอดภัย หลวงพ่อท่านก็ไม่คำนึงถึง ท่านก็ยังช่วยเหลือลูกหลานอยู่เสมอมา

ผมมีความคิดอยู่ในใจว่า หากจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับหลวงพ่อ ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่จะเป็นผู้สละชีวิตเพื่อหลวงพ่อได้ เพื่อให้หลวงพ่อได้ปลอดภัย เป็นการทดแทนพระคุณ เพราะคิดว่าการทดแทนพระคุณ อย่างไรก็ไม่สามารถทัดเทียมกับพระคุณของหลวงพ่อ ที่สงเคราะห์ลูกหลาน เพราะผมถือว่า ตายเมื่อไร ผมจะไปพระนิพพาน

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมสำนึกพระคุณของหลวงพ่อ ก็คือ จากการที่เคยเป็นคนห่างวัด ห่างพระ อย่างที่กล่าวมาแล้ว กลายเป็นคนที่ใกล้พระ รักพระ รักในพระรัตนตรัย เป็นอารมณ์ นึกถึงความตายเสมอๆ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ เมื่อเรา ผมมีพ่อเป็นพระ ผมก็ต้องทำใจให้เป็นพระ เช่นเดียวกับพ่อเรา นี่เป็นสำนึกที่ผมมีอยู่

เดี๋ยวนี้ผมโกรธน้อยลง มีกิเลสน้อยลง พยายามทำอย่างหลวงพ่อสอน อะไรท่านว่าดี ผมก็ทำไม่ใช่ งมงาย เพราะผมมองเห็นว่า หลวงพ่อทำให้ลูกหลานอย่างไร สงเคราะห์อย่างไร ลูกๆ ของหลวงพ่อทั้งหลาย คงจะทราบกันดีว่า พ่อเราดีอย่างไร เก่งอย่างไร

ครั้งหนึ่งนานแล้ว ที่บ้านซอยสายลม ขณะเตรียมตัวฝึกกรรมฐานประมาณทุ่มครึ่ง หลวงพ่อบอกขั้นตอนการฝึก เรียนตัดกิเลส ตัดนิวรณ์ รับศีลแปด เป็นต้น ทีนี้ศีลแปด มีอยู่ข้อหนึ่ง ห้ามรับประทานอาหารในยามวิกาล ขณะนั้นผมพึ่งจะเริ่มฝึก ไม่รู้อะไรเรียกว่า ยังโง่อยู่ ก็แอบคุยกับเพื่อนว่า เอ! เดี๋ยวฝึกแล้ว เราไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน เพราะเมื่อตอนเย็นยังไม่ได้กินข้าว กว่าจะเสร็จก็ 3 ทุ่มกว่า

เพราะฉะนั้น ศีลแปด ข้อห้ามรับประทานอาหารยามวิกาล เราก็ไม่ต้องรับซิ รับแค่ศีลห้าก็พอ (พูดไปโดยไม่รู้จริง) ทั้งๆ ที่นั่งอยู่ใกล้หลวงพ่อ ห่างอย่างน้อยก็ 10 เมตร ในกลุ่มคนอื่นๆ อีกมาก ที่มาฝึกวิปัสสนา ขณะพูดก็พูดพอได้ยินกัน 2 คน ไม่ได้พูดดัง ประเดี๋ยวหนึ่งหลวงพ่อ พูดราวกับว่าได้ยินผมพูดกับเพื่อน ท่านพูดว่า ก็แค่ชั่วระยะเวลาฝึกเท่านั้น ตั้งใจไม่กินข้าวจะเป็นไรไป ไม่ได้ห้ามตลอดเวลา เวลารับก็รับศีลแปดเต็ม หลังจากเลิกฝึกผมก็ล่อก๋วยเตี๋ยวโดยไม่กระดากใจ

ต่อมามีอีกครั้งหนึ่ง ทำนองเดียวกัน ถึงเวลาฝึกวิปัสสนากรรมฐานเช่นกัน เวลาเดียวกัน พอถึงตอนหลวงพ่อพูด ถึงการรับศีลแปด ก็มีเด็กหนุ่ม 2 คน คุยกัน พอได้ยิน แต่เผอิญ ผมได้ยินด้วย ขณะที่หลวงพ่อพูดให้ตัดกิเลส พูดถึงศีลข้อกาเมฯ อยู่ เด็กหนุ่มทั้ง 2 คุยกัน ถ้าฝึกกรรมฐาน ก็มีแฟนไม่ได้ ยังงี้ก็แย่ซิ

พอซักประเดี๋ยวหนึ่ง หลวงพ่อก็พูดราวกับได้ยินว่า การฝึกกรรมฐานต้องตัดกิเลส ความรักในระหว่างเพศก็ชั่วระยะเวลาฝึกเท่านั้น ทำไม่ได้หรือ ชั่วประเดี๋ยวเดียว ไม่ทำให้ตายหรอก(ใจความทำนองนี้) ขณะฝึกทำใจให้ห่างจากกิเลสชั่วขณะหนึ่ง หลังจากฝึกก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ได้ห้าม คนอื่นฟังดูจะไม่รู้สึกไม่สังเกต แต่สำหรับผมนั้น เมื่อได้ยินก็รู้ได้ทันทีว่าหลวงพ่อพูดตอบเด็กหนุ่มทั้ง 2 คน ชำเลืองดูเด็ก 2 คน ทำหน้าที่เลิ่กลั่ก พอสมควรและไม่คุยต่อเงียบไป

ดังนั้นข้อที่ผมสงสัยและกังขาว่าหลวงพ่อได้ยินได้อย่างไรก็หายไป เมื่อนานวันเข้าได้เรียนรู้จากสิ่งที่หลวงพ่อพร่ำสอน คือการฝึกวิปัสสนา สามารถมีหูทิพย์ ตาทิพย์ ใจทิพย์ได้ เพื่อมุ่งสู่พระนิพพาน

จากสิ่งต่างๆทำให้ผมรู้สึกว่าหลวงพ่อไม่ใช่พระธรรมดา ทำให้ผมมีศรัทธาในองค์หลวงพ่อมากยิ่งขึ้น ยิ่งได้กราบบ่อยครั้งก็ยิ่งได้รับผลประโยชน์มากยิ่งขึ้น ยิ่งเห็นมากยิ่งรู้มาก แต่ก็ยังไม่รู้อีกมากมายหลายสิ่งหลายอย่างที่หลวงพ่อมีอยู่ สิ่งที่ผมรู้นั้นเป็นเพียงเศษๆ เท่านั้น

ผมเพิ่มรู้ เมื่อไม่นานมานี้ว่า ทำไมหลวงพ่อต้องมาเหน็ดเหนื่อย อยู่เพื่อลูกหลาน ทำไม ท่านต้องการให้ลูกหลานฝึกกรรมฐาน ก็เพื่อไปนิพพาน เมื่อรู้เช่นนี้ ทำให้ผมมีกำลังใจ อยากจะช่วยงานของวัด และงานของหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ และก็ภูมิใจ ที่ได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

เมื่อมีผู้สนใจไต่ถาม ไม่ใช่คุยฟุ้งโอ้อวดแต่ประการใด และผมขอกราบขอขมาหลวงพ่อ ที่ได้เอ๋ยนามเดิม ที่หลวงปู่ปาน เรียกหลวงพ่อว่า ฤาษีลิงดำ แทนที่จะเอ๋ยนามตามยศทางพระ คือ พระราชพรหมยาน เพราะเห็นว่าชื่อเดิม ที่หลวงปู่ปานเรียกหลวงพ่อนั้น ขลังและศักดิ์สิทธิ์ดี และมีผู้รู้จักเยอะ รู้จักมากกว่า ยศทางพระที่ตั้งขึ้น

ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ( บางครั้งเอ๋ยนาม ทั้งของเดิมและของใหม่ ก็อยากอวดว่าพ่อของเรา ก็มียศชั้นสูงเช่นกัน ) แต่สำหรับนามที่หลวงปู่ปานเรียกหลวงพ่อนั้น คงอยู่ตลอดไป ไม่เปลี่ยนแปลง มิได้มีเจตนา อันไม่บังควรไม่ได้ลบหลู่ ปรามาสแต่ประการใด ผมเป็นลูกหลวงพ่อ ก็อยากจะเรียกพ่อ มากกว่าเรียกบิดา ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตา ให้อภัยแก่ลูกด้วยเถิด และท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจ

ทุกวันนี้ ครั้งใดที่นึกถึงหลวงพ่อ ก็รู้สึกอุ่นใจเหมือนมีท่านอยู่ใกล้ๆ แม้องค์ท่านจะอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานีก็ตาม และผมพยายาม จดจำคำสอนของหลวงพ่อ และปฏิบัติตามมากบ้างน้อยบ้าง ตามคำสั่งความฉลาด คือ ฉลาดน้อยโง่มาก จะปฏิบัติได้น้อย หรือปฏิบัติไม่ได้ เพราะความโง่มาบดบัง ฉลาดมาก โง่น้อยก็ปฏิบัติได้มาก เพราะเห็นจริง แต่ก็พยายามทำตัวให้ฉลาดเข้าไว้ ก็อาศัย อาราธนาบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย และบารมีของหลวงพ่อ ช่วยให้เกิดความฉลาด เห็นในสิ่งที่หลวงพ่อได้โปรดสั่งสอน ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ผมเป็นลูกของหลวงพ่อ อยากให้หลวงพ่อได้อยู่นาน ๆ และหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นศิริมงคลแก่ลูกๆ หลานๆ อะไรที่ทำได้ กะทำถวาย ทุกคืนก่อนนอน และตื่นเช้า ผมก็อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย มีหลวงปู่ปานเป็นที่สุด ท่านปู่ใหญ่ ท่านปู่พระอินทร์ พระยายมราช พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมดทั้งปวง ช่วยปกป้องรักษา องค์หลวงพ่อให้หายจากโรคภัยต่างๆ

สวดมนต์โดยตั้ง นะโม 3 จบ และอิติปิโสฯ 3 จบ ถวายแด่องค์หลวงพ่อ และลูกๆ หลานๆ ทั้งหลายคงทำเช่นเดียวกับผม คนหนึ่ง 3 จบ 1,000 คน 3,000 จบ 10,000 คน ก็ 30,000 จบ

ผมหวังว่า ไม่นานหลวงพ่อ จะต้องหายจากโรคภัยไข้เจ็บ แข็งแรงต่อไป เพื่อเป็นที่พึ่งและร่มโพธิ์ ให้ลูกๆ ทั้งหลาย ได้อาศัยบารมีขององค์หลวงพ่อช่วย ดึง ฉุด และลาก พวกลูกหลาน ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้ และเราพี่ๆ น้องๆ จะไปกราบหลวงพ่ออีก และอยู่กับหลวงพ่อที่นิพพานตลอดไป

◄ll กลับสู่ด้านบน

หมายเหตุ

เมื่อได้อ่านบันทึกของคุณทนงฤทธิ์แล้ว จะเห็นได้ว่าคุณทนงฤทธิ์เป็นคนเช่นไร การที่เข้ามาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงได้นั้น ถือว่าต้องไม่ธรรมดาแน่ เพราะคุณทนงฤทธิ์เป็นคนมีความรู้ดี จบปริญญาโท เคยเดินทางไปต่างประเทศ จึงสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี

หลังจากที่ได้เข้ามาเลื่อมใสเต็มที่แล้ว คุณทนงฤทธิ์ก็เข้ามาช่วยเหลืองานของวัดและที่บ้านสายลม เช่นช่วยยกสังฆทานเป็นต้น แล้วก็บวชธุดงค์เป็นประจำทุกปี ตอนหลังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ คุณทนงฤทธิ์ก็ต้องพักรักษาตัวบ้าง แต่ก็ยังไปช่วยงานที่บ้านสายลม จึงขออนุโมทนาคุณทนงฤทธิ์ที่ได้บันทึกไว้เป็นแบบแผนที่ดีไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/9/09 at 09:54 [ QUOTE ]



เกสร จันทรประภาพ

"เมตตาและพระคุณของหลวงพ่อที่มีต่อลูกๆ ในชิคาโก"
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

ลูกจะขอบรรยายความในใจของลูก ที่มีต่อหลวงพ่อมานานถึง 10 ปี เริ่มแรกลูกได้อ่าน หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ลูกก็แปลกใจ ดีใจที่ได้ทราบว่า มีพระสงฆ์ท่านปฏิบัติธรรมจริงจัง ได้ผลเป็นที่พึ่งทางกาย ทางใจ ของประชาชนมากมาย และมีพระสงฆ์ที่กล้าพูดว่า พระนิพพานมีจริง

พระพุทธองค์ ท่านยังติดต่อช่วยเหลือ สั่งสอนบุคคลที่ปฏิบัติธรรมจริง และผีสาง พรหม เทวดา นรก มีจริง ลูกอ่านหนังสือธรรมะมามาก ก็พึ่งจะเจอหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เป็นองค์แรก ที่กล้าพูดว่า ผีเทวดา พระอริยเจ้า พระพุทธเจ้า นรกสวรรค์ มีจริง เราพิสูจน์ได้ ด้วยตนเอง ด้วยการปฏิบัติพระกรรมฐาน ทำให้พวกลูกๆ มีกำลังใจที่จะรีบเร่งปฏิบัติธรรม เพื่อให้หมดชาติภพ เวียนว่ายตายเกิด เสียที่ในชีวิตนี้

สิ่งที่ลูกประทับใจหลวงพ่อมากที่สุดรองจากคำสอนของท่านคือ หลวงพ่อมีอารมณ์ขัน ในหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน หลวงพ่อพูดแบบ เล่าสู่กันฟัง มีสำนวนตลกขำขัน ทุกหน้ากระดาษ ลูกอ่านไปหัวเราะไป เกิดความรู้สึกว่า หลวงพ่อกับลูก เคยมีความสนิทสนม รู้จักกันอย่างดีมาก่อน ลูกอยากมากราบหลวงพ่อที่เมืองไทย

แต่คิดว่า หลวงพ่อคงมรณภาพไปนานแล้ว จากการอ่านในหนังสือหลวงพ่อป่วย แล้วตายหลายครั้ง ฟื้นมาก็หลายครั้ง ต่อมาไม่นาน ทราบว่าหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ที่วัดจันทาราม อุทัยธานี ลูก ๆ ดีใจมาก เป็นโชคดีของลูกแล้ว ที่เกิดมาชาตินี้ มีพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทุกด้าน เป็นพระอาจารย์สั่งสอนธรรมะแก่ลูก หลวงพ่อเป็นพระ ที่ลูกๆ ค้นหามานานหลาย 10 ปี เป็นพระที่จะตอบปัญหาธรรมะให้ลูกได้แจ่มแจ้ง ได้สอนพระธรรมที่ลูกคิดว่ายากเกินไป ที่จะปฏิบัติได้ หลวงพ่อสอนให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องลำบากลงทุน อะไร ทำแบบสบาย

ด้วยเมตตาปรารถนาให้ลูกๆ เข้าถึงธรรมะของหลวงพ่อ แม้หลวงพ่อจะเจ็บป่วยมานาน หลาย 10 ปี หลวงพ่อก็ยังแสดงธรรมให้ลูกๆได้ ฟังจากเทปจากหนังสือ แม้ยังไม่หายป่วย หลวงพ่อและคณะลูกศิษย์ก็เดินทางจากประเทศไทย มาสอนธรรมะให้ลูกๆ ปฏิบัติพระกรรมฐานที่อเมริกาถึง 4 ครั้ง ทำให้ลูกๆ ที่อยู่ไกลได้ใกล้ชิดกล้าพูดกล้าถามปัญหาธรรมะจากหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น

ต่อไปนี้จะขอเล่าข้อความธรรมะที่ลูกได้รับจากหลวงพ่อที่มีคุณประโยชน์ต่อลูกๆ และง่ายในการเข้าใจและปฏิบัติตามมากเป็นข้อๆ

1. คำสอนสายกลางหลวงพ่อ ย้ำให้พุทธบริษัทเจริญกรรมฐาน จุดมุ่งหมายจริงๆ คือ พระนิพพาน สิ่งสำคัญที่สุดต้องตัดสังโยชน์ 10 แต่ถ้าเริ่มต้นตัดสังโยชน์ 3 ข้อแรกได้ อีก 7 ข้อหลังก็ไม่หนัก สังโยชน์ 3 ข้อแรกคือ
1.) สักกายทิฏฐิ
2.) วิจิกิจฉา
3.) สีลัพพตปรามาส

จุดแรกให้ทรงไว้ความดีที่โสดาบัน กับพระสกิทาคามีคือ
1. ยอมรับนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
2. มีศีล 5 บริสุทธิ์
3. มีความรู้สึกว่าเราจะต้องตาย
4. อุปสมานุสติกรรมฐาน มีความต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์

2. ได้ฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพ่อได้พิสูจน์ด้วยตา ด้วยใจตนเอง ว่านรกสวรรค์ พรหม พระนิพพานมีจริง พระนิพพาน พระอริยเจ้า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คนสัตว์ตายไปแล้วไม่สูญ มีที่ไปตามจิตดีจิตชั่ว ทำให้ลูกมั่นใจในพระรัตนตรัย มั่นใจในคำสอนหลวงพ่อมากยิ่งขึ้น และไม่กล้าทำความชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง หลวงพ่อได้อนุญาตให้คนที่ฝึกได้แล้วไปฝึกคนอื่นต่อๆไปได้ แม้คนต่างชาติหรืออเมริกันอายุ 5 ขวบ ก็สามารถสัมผัสพระพุทธองค์ที่พระนิพพานได้เหมือนกัน

3. หลวงพ่อได้อธิบายพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเหตุมีผลอย่างชัดเจนไม่มีข้อสงสัย เช่น ตัดกิเลส 3 ตัวได้ด้วย...

ความโลภ – ตัดด้วยการให้ทาน – ทำให้ไม่จนมีทรัพย์ – มีความสุขในสวรรค์
ความโกรธ – ตัดด้วยการรักษาศีล – พรหมวิหาร 4 กันอบายภูมิ – มีความสุขในชั้นพรหม
ความหลง – ตัดด้วยการภาวนา – ฉลาดมีปัญญาในวิปัสสนาญาณ – มีอานิสงส์ถึงพระนิพพาน

หลวงพ่อแนะนำย้ำอยู่เสมอว่า "สักกายทิฏฐิ" หรือ "กายคตานุสติ" ตัวเดียว อย่าสนใจในตัวเขา กายเรา รูปวัตถุธาตุให้ตัดกันเสียที สละไม่สนใจในกายที่เป็นเพียงธาตุ 4 มี ดิน น้ำ ลม ไฟ มี ขันธ์ 5 มาประชุมกัน ไม่ช้ากายนี้ ก็ตายแตกแยกสลาย ก่อนที่ยังไม่ตาย ก็เป็นทุกข์ ร่ำร้อง ด้วยโรคหิว โรคสารพัด สกปรกเหม็นเน่าทุกวัน แก่ทุกวัน เสื่อมสลายทุกวัน เป็นของไม่ดี อย่าติดในร่างกาย ให้ติดในพระพุทธเจ้า ในพระนิพพานดีกว่า จะได้พบความสุขชั่วนิรันดร์ ให้ทำจิตขึ้นถึงพระนิพพานบ่อยๆ ครั้งละ 2 นาทีทำทุกวัน ทำใจให้เป็นสุข จิตจะชินกับพระนิพพาน ตายแล้วจิตก็จะไปตามที่เราฝึกไว้

4. คำสอนของหลวงพ่อกับคำสอนในพระไตรปิฎกตรงกัน ทำให้ลูกเข้าใจพระไตรปิฎกได้ง่ายมากขึ้น เช่นกรรมฐาน 40 ลูกก็ทราบละเอียดดีและง่ายต่อการปฏิบัติ และมหาสติปัฏฐานสูตร ลูกก็ซาบซึ้งในพระธรรมของพระพุทธองค์มากขึ้น สามารถปฏิบัติตามและอธิบายให้เด็กๆฟังได้ง่ายๆ

พระธรรมคำสอนหลวงพ่อมีมากมาย ลูกเขียนไม่จบลูกซาบซึ้งในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็เพราะองค์หลวงพ่อ อดทนทุกข์ยาก สละเวลาสั่งสอนลูกหลานให้พ้นทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิด

หลวงพ่อปฏิบัติพระธรรมทุกอย่างแล้ว จึงมาสอนลูกหลาน ทั้งทางด้านสาธารณประโยชน์ สร้างวัด สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล สงเคราะห์คนยากจนตามเสด็จพระราชกุศล หลวงพ่อก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทั้งที่ร่างกายหลวงพ่อป่วย เป็นทุกข์ตลอดเวลา แต่จิตใจของหลวงพ่อก็เป็นสุข ยิ้มแย้มแจ่มใสให้ลูกศิษย์มีกำลังใจ

หลวงพ่อเป็นตัวอย่างอันดีเยี่ยมของลูกๆ เป็นหลวงพ่อพระให้ลูกปฏิบัติตาม หลวงพ่อเป็นพระที่บำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง เป็นพระที่บำรุงขวัญชาวไทย เป็นพระที่บำรุงชาติให้พ้นภัย และเป็นพระที่ทำให้ลูกหลานอบอุ่นใจไม่กลัวความตายอีกต่อไป

ในวาระที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็น "พระราชพรหมยาน" ครั้งนี้ลูกๆ ปลาบปลื้มยินดียิ่งที่มีผู้เห็นความดีความเสียสละในพระพุทธศาสนาไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากของหลวงพ่อ ลูกๆมีความรัก เคารพบูชาหลวงพ่อ เหมือนดังพ่อบังเกิดเกล้า ลูกๆจะขอตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่หลวงพ่อแนะนำตลอดมาเป็นอย่างดี จนกว่าชีวิตนี้จะหมดลมหายใจ

หมายเหตุ

ผู้หมายเหตุได้รู้จักคุณเกษรมานานแล้ว โดยเฉพาะมีอยู่ปีหนึ่ง ตอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา มีหลวงพี่รูปหนึ่งได้กลับมาเล่าให้ฟังว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่งขับรถหลายชั่วโมงเพื่อมาหาหลวงพ่อ ต่อมาก็ได้ฝึกมโนมยิทธิได้แจ่มใสมาก เมื่อคุณเกษรกลับมาเมืองไทย จึงได้รู้จักตัว เพราะตอนแรกได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น

ภายหลังคุณเกษรได้กลับมาตั้งสำนักปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ มีผู้เลื่อมใสในแนวทางของหลวงพ่อเป็นอันมาก นับว่าได้ช่วยเผยแพร่วิชาความรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ทว่าแนวทางการฝึกฝนนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านได้เน้นย้ำอยู่เสมอว่า ให้ทุกคนที่ได้วิชามโนมยิทธินี้แล้ว หมั่นขึ้นไปกราบพระข้างบนไว้เสมอ

จุดแรกที่ไปคือ "พระจุฬามณี" จะต้องไปกราบท่านปู่ท่านย่าและพ่อแม่ได้อดีตทั้งหลาย จากนั้นก็ไปกราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วิมานของพระองค์ แล้วจึงไปอยู่ที่วิมานของตนเอง แต่ก่อนจะออกจากกาย ให้ปลงร่างกาย ตัดความกังวลทั้งหลายให้จิตเรียบสนิทดีก่อน อย่าเพิ่งเร่งรัดเกินไป อาจจะเจออุปาทานหลอกล่อเอาได้ เพราะแม้แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็เคยเจอพวก "มาร" มาแล้วเช่นกัน

ฉะนั้น ผู้ที่ได้วิชามโนมยิทธิแล้ว อย่าทิ้งพระพุทธเจ้าหรือครูบาอาจารย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะแนวทางที่ท่านสอนไว้ ต้องรักษาไว้ให้มั่น มิฉะนั้นจะถูกอุปาทานแบบไม่รู้ตัว แบบแผนที่ท่านวางไว้ ควรตรวจสอบกับต้นฉบับไว้เสมอ หากทำได้ตามนี้ก็ไม่มีอะไรขัดกัน ถ้ามีข้อโต้แย้งหรือไม่เป็นเอกภาพ หากนานไปก็จะทำให้เกิดความแตกต่างออกไป อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในสมัยหลังพุทธกาล ที่มีพุทธนิกายแตกแยกออกไปมากมาย

ข้อเขียนของคุณเกษรตอนแรกนี้ ถือว่าได้ยึดถือแนวทางที่ถูกต้องแล้ว สามารถจดจำหลักคำสอนของหลวงพ่อไว้เป็นอย่างดี จึงอยากให้ทุกท่านที่ตั้งสำนักปฏิบัติ และผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางไปด้วยนี้ ควรจะถือหลักแบบแผนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสั่งสอนไว้นี้ หากพบเห็นที่เกินไปจากแนวทางนี้ ก็ให้รู้ว่าปฏิบัติเกินคำสอนของท่านไปแล้วละ จะต้องนำส่วนเกินเหล่านี้มาเทียบเคียง เพื่อช่วยกันบูรณาการให้เป็นแนวทางเดียวกันต่อไป

ผู้หมายเหตุได้พบกับเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมสายหลวงพ่อหลายแห่ง แต่ละแห่งก็มีการนำแนวทางของวัดท่าซุงไปเป็นหลักปฏิบัติอย่างน่าสรรเสริญ โดยเฉพาะมีการเปิดเสียงคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นประจำ นับว่าเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอให้ช่วยกันสอดส่องดูแล เพื่อให้มีการปรับปรุงเป็นแนวทางเดียวกัน ถ้าทำได้อย่างนี้ชื่อว่าได้สืบสานคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ สมกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อุตส่าห์ฝืนทนสังขารสั่งสอนไว้ตลอดชีวิตของท่านละครับ

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/10/09 at 09:46 [ QUOTE ]



พันเอก บรรจง – ระวิ ศรีเจริญ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
".......... “เจ้านี้มันต้องลงปฏัก..!” คือคำพูด ที่หลวงพ่อบอกกับข้าพเจ้า ในวันหนึ่งที่ศาลานวราช ข้าพเจ้าไปวัดท่าซุง แต่หลบๆ เลี่ยงๆ การฝึกมโนมยิทธิอยู่เป็นประจำ เพราะเคยฝึกมาครั้งหนึ่ง ที่ศาลาพระพินิจ และอีกครั้งหนึ่งที่ศาลานวราช แต่ไม่บังเกิดผล ประกอบกับได้ทราบว่า หลวงพ่อบอกว่า ถ้ามันดื้อถึงสามครั้ง จดชื่อไล่มันไปเลย

เรื่องอะไรเราจะยอมให้ถูกไล่ด้วยการฝึกไม่ถึง 3 ครั้ง เพราะเราถือว่า เรามีของดี คือคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อให้ไว้ เช่น การยึดมั่นในศีล 5 แต่เราก็ยังปฏิบัติได้ไม่ครบ อิทธิบาทสี่ก็ยังปฏิบัติได้ไม่ครบ ไล่โลภให้ทัน ไล่โกรธให้ทัน ก็ยังปฏิบัติได้ไม่ครบ ทั้งๆ ที่พยายามฝึกตามที่ท่านแนะนำไป และก็เป็นจริงตามที่ท่านแนะนำทุกที วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่โกรธ เดี๋ยวก็มีเรื่องต้องให้โกรธจนได้ ตั้งใจว่าจะไม่อยาก เดี๋ยวมีเรื่องมาให้อยากจนได้

ตอนหลังมาทราบว่า หลวงพ่อสอนกรรมฐานด้านสุกขวิปัสสโก ข้าพเจ้าก็เข้าข้างตนเองขึ้นมาทันที คือ ดีใจ เพราะข้าพเจ้าก็อยากไปนิพพานกับเขาเหมือนกัน ถึงไปทางเดินที่เดินสั้นๆใกล้ๆ ไม่ได้ อ้อมหน่อยแต่ให้ไปถึงก็ยังดี แต่ก็ตั้งใจอย่างแน่นอนไว้ว่า เกิดจะไปไม่ถึงขึ้นมาคือ

สมมุติว่านิพพานอยู่บนยอดเขา เราขึ้นไม่ถึง เอาแค่เดินถึงตีนเขาก็ยังดี ทำยังไงได้ล่ะ เราหลงท่าน หลงคำสอนของท่านเสียแล้วนี่ สอนง่ายดีจัง ละโน่นนิดนี่หน่อยก็จะเป็นโสดาบันได้แล้ว แต่ว่าพอปฏิบัติจริง คอยจะขาดโน่นขาดนี่ ท่านว่าจิตเหมือนลิง คืออยู่ไม่สุข ก็จริงของท่านไม่ผิดเลย

แม้กระทั้งทุกวันนี้ ข้าพเจ้าเป็นราษฎรครึ่งขั้น ใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน กับสวน กับดิน กับหญ้า มีโอกาสเต็มที่ ที่จะฝึกระงับจิตให้ฟุ้งซ่านน้อยลง ด้วยวิธีการต่างๆ วิธีที่ยึดอยู่เป็นประจำคือ ไล่ให้ทัน แล้วพิจารณาว่า มันถูกไหมที่คิดอย่างนั้น ถ้าไม่ถูกก็พยายามเลิกคิด

ความประทับใจยิ่งของข้าพเจ้า ที่ได้รับจากหลวงพ่อคือ “ไล่ให้ทัน” แต่จะทันถึงยอดเขาหรือเปล่า หรือจะเดินถึงตีนเขาหรือเปล่า ยังไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ต้องเดินเพื่อไล่ให้ทัน เพราะข้าพเจ้าคงจะขึ้นยอดเขาโดยทางลัดไม่ได้เหมือนผู้มีบารมีอื่นๆ

เขียนมาถึงบรรทัดนี้ หลงอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะบอกหรือภาวนาว่า เจ้าประคู้น..หลวงพ่อช่วยลูกอย่าให้ลงนรกเลย ท่านก็คงจะบอกว่า....

“ฉันก็ช่วยแกแล้ว...แต่แกไม่เอาเองนี่หว่า...!”

หมายเหตุ

เมื่อได้อ่านบันทึกของผู้การบรรจงกับภรรยาแล้ว ถึงไม่บอกว่าเป็นนายทหารผู้ใหญ่ สำนวนแบบนี้ต้องเป็นชายชาติทหารอย่างแน่นอน ผู้การและคุณระวิเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฯ มานาน ผู้หมายเหตุได้รู้จักท่านทั้งสองมานานแล้วเช่นกัน ถือว่าเป็นลูกศิษย์เก่าแก่คนหนึ่ง แต่เมื่อเกษียณอายุราชการไปแล้ว ทั้งคู่ก็จะห่างเหินกิจกรรมของวัดไปบ้าง แต่ก็ยังศึกษาและปฏิบัตตามแนวคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันได้พักอาศัยอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/10/09 at 08:42 [ QUOTE ]



จ่าสิบเอก บุญฉลอง รอดทองดี

"บูชาหลวงพ่อ..."
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........เกิดมาในชาตินี้มีกุศล..........ผลบุญให้มาวัดปีสองสาม
กราบหลวงพ่อขอมโนมยิทธิงาม..........ได้ฝึกตามทำได้หายข้องใจ

หลวงพ่อสอนละวางช่างมันเถอะ..........ทุกข์สุขเกิดจิตมั่นอย่าหวั่นไหว
เกิดเป็นคนใช้กรรมทำดีไป..........ตายเมื่อไรทิ้งกายไปนิพพาน

เกิดชาตินี้มีกรรมทำให้ทุกข์..........บุญพาสุขพบหลวงพ่อขอกรรมฐาน
รู้กิเลสตัณหาอุปาทาน..........สู่การงานการบ้านและการจน

ทำการค้าการขายได้สมคิด..........ใช้คาถาศักดิ์สิทธิ์สมฤทธิ์ผล
พุท ธะ มะ ท่องไว้ในใจตน..........นะมะพะธะ ฝึกฝนอานาปาฯ

โชคลาภได้ด้วยบุญมีทุนต่อ..........หนุนหลวงพ่อก่อสืบพระศาสนา
สละไว้ให้เป็นพุทธบูชา..........ศีล ทาน ภาวนา ทำความดี

พระคุณหลวงพ่อมากพ้นล้นดินฟ้า..........ขออำนาจพระพุทธารักษาศรี
ดลหลวงพ่ออยู่ยืนพันหมื่นปี..........กลอนนี้ลูกแต่งบูชาพระคุณเอย...!

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/10/09 at 09:30 [ QUOTE ]



วลัย คงคาวิฑูร


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........เมื่อนึกถึงคราวมากราบหลวงพ่อ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2523 แล้วรู้สึกว่าวันเวลา มันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน ภาพเหตุการณ์ตลอดจนคำพูดต่างๆ ของหลวงพ่อนั้น ยังชัดเจนแจ่มใสอยู่ในความจำไม่รู้ลืม เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวาน เพราะในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่อง จึงคิดว่าจะขอเล่าสู่กันฟัง สักสองสามเรื่อง เป็นเครื่องฆ่าเวลาพอสนุกๆ



อิจฉาหมา

เดือนหนึ่งที่หลวงพ่อลงมาสอนมโนมยิทธิตามปรกติ เวลานั้น หลวงพ่อท่านจะฉันอยู่ในห้องข้างล่าง เมื่อถึงเวลาฉันเพล ก็จะมีญาติผู้ใหญ่หลายท่าน นั่งเฝ้าหลวงพ่อ และหลวงพ่อก็จะเมตตาพูดคุยไปด้วย ขณะฉัน นอกจากญาติผู้ใหญ่แล้ว ก็มีข้าพเจ้าด้วยผู้หนึ่ง ที่มักจะหาโอกาสเข้าไปนั่งฟังด้วยเสมอๆ พร้อมกับ “เมฆดำ” ซึ่งจะต้องหาโอกาสเข้าไปจองที่นั่งก่อนใครๆ ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ไม่สนทั้งนั้น

เมฆดำเป็นสุนัขขี้เรื้อนไม่น่าดูแถมยังมีกลิ่นชวนรังเกียจไม่น้อย แถมบางครั้ง ยังแจกของที่ระลึกไว้บนพรมอีกด้วย เพราะความที่กินเข้าไป แล้วไม่ย่อย ให้พี่เชิญได้เป็นธุระก็หลายครั้ง

เมื่อหลวงพ่อเข้านั่งฉัน หลวงพ่อจะคอยหยิบโน้นส่งนี้ ให้เมฆดำตลอดเวลา โดยใส่ให้ในจาน แต่แล้ววันหนึ่ง หลวงพ่อไม่ใส่ให้ในจานแล้ว แต่ป้อนให้ถึงปากเลย คุณเมฆดำเธอก็ชอบใจ ยืนสองขาคอยรับอย่างแสนรู้ ใครๆเห็นแล้วก็อมยิ้มไปตามๆ กัน

ขณะนั้นข้าพเจ้าคิดขึ้นมาทันที่ว่า “ แหม! เมฆดำเป็นแค่สนุขขี้เรื้อน ยังดีกว่าเราที่ไม่มีโอกาส แม้จะเข้าไปใกล้หลวงพ่อ กราบก็ต้อง กราบห่างๆ เคาะหัว ก็ด้วยไม้เท้าของท่าน”

หลวงพ่อหันมาทางข้าพเจ้าทันที และบอกว่า อ้ายป้อม เอ็งมายืนสี่ขาสิ ข้าจะให้เอ็งเหมือนกัน

ท่านผู้อ่านที่รัก ขณะนั้นข้าพเจ้า เหมือนมีน้ำร้อนๆ ราดลงบนหัว แล้วราดด้วยน้ำเย็นสลับกันไป สลับกันมา หูอื้อ ตาพร่า มองอะไรไม่เห็น ท่านอาจจะคิดเดาภาพข้าพเจ้าในขณะนั้นว่า จะมีสีหน้าท่าทางอย่างไร ท่านอย่านึกถึงซะให้ยากเลยว่า ความรู้สึก “อายหมา” นั่นมันเป็นอย่างไร ถ้าท่านยังไม่เคย “อายหมา”

การอิจฉาคนด้วยกัน ก็ร้อนรุ่มกลุ้มจะแย่ นี่ข้าพเจ้าอิจฉาแม้กระทั้งหมา แต่หลวงพ่อท่านก็มีวิธีที่จะอบรมสั่งสอนอย่างแยบยล โดยท่านไม่เคยนึกถึงองค์ท่านเองจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ขอแต่ให้ลูกหลานทุกคนมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตามกำลัง ให้พ้นอบายภูมิ จนถึงพระนิพพานในที่สุด เท่านี้เองที่ท่านหวังจากลูกหลาน



ออกไมค์ครั้งแรก

หลังจากที่กราบหลวงพ่อไม่นาน หลวงพ่อก็สั่งให้ไปดูพี่เปี๊ยกสอนแล้ว คราวหน้าขึ้นสอน (มโนมยิทธิ) ได้ พอฟังหลวงพ่อพูดเท่านั้น ใจของข้าพเจ้าพองทันทีคิดว่า “เออ....เรานี่เก่งเหมือนกันนา เพิ่งมาฝึกได้ใหม่ๆ หลวงพ่อก็สอนให้เป็นครูสอนแล้ว”

ปากก็เฉพูดกับหลวงพ่อว่า “แล้วลูกจะสอนได้หรือเจ้าคะ” พูดยังไม่ทันหมดประโยคเลย ท่านทราบไหม หลวงพ่อพูดออกไมค์เลย “แกคิดว่าแกมีความดีอะไรที่จะเป็นครูสอน ทั้งหมดนี้ ก็เพราะพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ตัวแกเองไม่มีความดีอะไรเป็นได้แค่สื่อเท่านั้น จำไว้เมื่อไหร่ที่คิดว่าตัวดีก็เลวเมื่อนั้น”

จำนวนคนที่ฟังในตอนนั้น กับตอนนี้ก็พอๆ กัน ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน ถ้าเป็นท่าน ท่านจะอายแค่ไหน รู้แต่ว่าตอนนั้น อยากให้ตัวเล็กเท่าไร มุดหนีลงในพรมได้ ก็จะมุดเลย คิดในใจว่า “ต่อไปนี้จะไม่มาที่นี่อีกแล้ว” เห็นมั้ยละคะ ท่านว่าข้าพเจ้าเข้าตำราที่ว่าโง่แล้วยังหยิ่ง

พอถึงเวลา หลวงพ่อลงมาสอน ข้าพเจ้าก็อดที่จะมาไม่ได้ แต่คราวนี้ข้าพเจ้าไม่เลื้อยไปนั่งข้างหน้าอีกแล้ว นั่งห่างๆ แต่หลวงพ่อเห็น และทักข้าพเจ้าพร้อมกับถามว่า ได้ไปดูพี่เปี๊ยกสอนแล้วยัง พร้อมสั่งให้ขึ้นสอน

ข้าพเจ้ายังจำน้ำเสียง และสีหน้าหลวงพ่อได้ดี ท่านพูดว่า “ธรรมทานเป็นทานสูงสุด ช่วยเร่งรัดผลการปฏิบัติได้นะลูก เช่นคนที่จะได้ (เป็นพระอริยบุคคล) ในเวลา 5 ปี ก็จะเหลือแค่ 3 ปีเป็นต้น”

ประกอบกับได้ญาติทางธรรม ช่วยสะกิดแคะคุ้ยชีวิต ในตอนนี้ก็พอทนได้ เพราะฉะนั้น วันที่หลวงพ่อลงมาสอนข้าพเจ้า จะต้องพยายามไปให้ได้ สักวันหนึ่งก็ยังดี เพราะมันให้ความรู้สึกอบอุ่น เหมือนอยู่กับคนครอบครัวเดียวกัน ไม่มีเขา ไม่มีเรา ทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นลูกหลวงพ่อเหมือนกัน สมกับที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียกว่า “วันพบญาติ”



รักแต่ลูกเก่าๆ

เมื่อครั้งมากราบหลวงพ่อใหม่ๆ ข้าพเจ้าจะต้องพยายามเอาตัวเอง เข้าไปใกล้หลวงพ่อให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ พยายามมองสบตาหลวงพ่อ เพื่อหลวงพ่อจะได้ทักข้าพเจ้า ถ้าหลวงพ่อไม่เรียก ไม่ทักก็จะไม่กลับ และเดือนนั้น ทั้งเดือน ก็จะรู้สึกสุขใจบอกไม่ถูก ลูกผัวจะทำอย่างไร ก็ไม่รู้สึกเดือนร้อน

เป็นอยู่อย่างนี้ ไม่นาน หลวงพ่อก็ไม่เรียก ไม่ทัก แม้ว่าข้าพเจ้าจะเอาตัวเลื้อยเข้าไปอยู่ตรงหน้าหลวงพ่อก็ตาม หนักเข้า แม้แต่หน้าข้าพเจ้าหลวงพ่อ ก็จะไม่แล โอ๊ย....เวลานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเดือดร้อนมาก ไอ้นิสัยขี้โมโห ใจร้อน ขี้อิจฉา ฯลฯ มันกลับมาหาข้าพเจ้าครบถ้วน

ข้าพเจ้าไม่มีความสุขเลย ร้อนอกร้อนใจซะไม่มี จะไประบายความทุกข์อันนี้ให้ใครฟังล่ะ ข้าพเจ้าไม่รู้จักใครเลยในบ้านสายลม เพื่อนฝูงหรือก็ยิ่งไม่ได้ เพราะสมัยนั้นใครทำบุญใส่บาตร ข้าพเจ้าก็ค่อนขอดว่าเป็นคนโง่

ข้าพเจ้ากลุ้มมากๆ เข้า ก็หาโอกาส ไม่มีใครอยู่บ้าน ออกไปทำงานกันหมดแล้ว ขึ้นห้องพระปิดประตูลงกลอน แล้วก็รำพึงรำพันร้องห่มร้องไห้ กับรูปภาพหลวงพ่อปาน ท่านปู่พระอินทร์ ท่านย่าท่านแม่ ฟ้องท่านว่า หลวงพ่อท่านไม่รักลูกหน้าใหม่ รักแต่ลูกหน้าเก่าๆ

ทำอย่างนี้ทุกวัน ค่อยยังชั่วหน่อยได้ระบายออกบ้าง แม้ว่าท่านทั้งหลาย จะฟังข้าพเจ้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทำอยู่อย่างนี้นานเป็นเดือน แต่ก็ยังคงนิสัยเดิมที่จะต้องเลื้อยไปอยู่หน้าหลวงพ่อ เผื่อฟลุ้กว่าท่านจะทักเหมือนก่อน

จนกระทั้งวันหนึ่งที่หลวงพ่อลงมาสอนปรกติ ข้าพเจ้าก็รีบไปบ้านสายลมแต่เช้า เพื่อจองที่นั่งข้างหน้า (เผื่อฟลุ้ก) ขณะนั้น พี่นิดเดินสวนกับข้าพเจ้าและบอกว่า

“มีคนหนึ่งในหมู่ลูกหลาน บริวารหลวงพ่อขึ้นไปฟ้องเทวดาว่า หลวงพ่อไม่รักคนหน้าใหม่ๆ รักแต่คนหน้าเก่าๆ ซึ่งที่จริงแล้วหลวงพ่อไม่ได้แบ่งแยกว่าเก่าหรือใหม่ ให้ความรักเสมอกันทุกคน เพียงแต่ว่า สุขภาพร่างกายท่านป่วย ถ้าช่วงไหนป่วยมาก ท่านจะตาพร่ามองไม่เห็นว่าใครเป็นใคร และลูกหลานก็มาก ถ้าท่านทักทุกๆ คน ท่านก็เหนื่อยมากร่างกายทนไม่ไหว ไม่ใช่ว่ารักใครมากใครน้อย”

เวลานั้นข้าพเจ้าอายพี่นิดมากจริงๆ จะรับว่าใช้ก็ไม่กล้า เพราะว่าเป็นความลับสุดยอดเฉพาะตัว ไม่มีใครรู้เลย (ความลับเพิ่งเปิด)

เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ก็คงจะนึกออกว่าข้าพเจ้าโง่แค่ไหน โดยเฉพาะท่านที่เป็น พ่อ – แม่ คงเข้าใจดีว่า แม้แต่เราคนธรรมดา ไม่ใช่พระอริยเจ้าอย่างหลวงพ่อ ยังรักลูกๆ ทุกๆคน เท่าๆกันเลย เพราะคำว่าลูกไม่มีเก่า ไม่มีใหม่ ไม่มีเล็ก ไม่มีใหญ่ ยังไงๆ ก็เป็นลูกอยู่วันยังค่ำจริงมั้ยคะ ?

หมายเหตุ

คุณวลัย หรือส่วนใหญ่เรียกกันว่า "ป้อม" นับตั้งแต่เข้ามาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อแล้ว ป้อมก็ได้เข้ามาช่วยเหลืองานวัดกับ "คณะกองทุน" มีความขยันขันแข็งช่วยเหลือการงานด้วยดี เวลาวัดท่าซุงมีงานสำคัญๆ ป้อมช่วยจัดทำอาหารถวายพระทั้งเช้าและเพลที่ "สวนไผ่" จึงเป็นที่รักของเพือนร่วมงานทุกคน นอกจากนี้ก็ยังช่วยฝึกสอนมโนมยิทธิอีกด้วย

แต่เป็นที่น่าเสียดายหลังจากนั้นไม่นาน ป้อมก็ต้องจากโลกนี้ไปเป็นธรรมดา ทิ้งความอาลัยให้แก่ทุกคน พวกเราได้ไปร่วมในงานศพที่วัดในกรุงเทพฯ และได้พบน้องชาย คือ "คุณสันต์" ซึ่งลิขิตโชคชะตาได้ไปเป็นดาราละครทีวี ได้เข้ามาต้อนรับในงานศพวันนั้น พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ของพี่สาวให้ฟัง

จึงทำให้พวกเราทุกคน ต่างมั่นใจในผลบุญความดีที่ป้อมได้ทำไว้ ตราบเท่าวาระสุดท้ายของชีวิต การที่ป้อมได้เข้ามาพบหลวงพ่อก่อนนั้น จึงทำให้ป้อมได้สั่งสมบุญบารมีมานานพอสมควร หากผู้ใดได้อ่านบทความนี้ แล้วไม่ประมาทมัวเมาในชีวิต ผลสุดท้ายคงจะได้ข้ามฟากแห่งวัฏฏสงสาร เช่นเดียวกับลูกศิษย์พระเดชพระคุณหลวงพ่อหลายคนที่ผ่านมา

ป้อมคงจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นภัยในการเวียนว่ายตายเกิด แล้วพยายามพายเรือนาวาแห่งชีวิต เพื่อยุติการเดินทางรอนแรมที่ยาวนาน ป้อมคงหยุด..คงสิ้นสุด..คงถึงจุดจบ..แห่งการเวียนวนของวงจรชีวิตตลอดกาลเสียที แล้วข้ามฝั่งไปสู่ดินแดนแห่งความสงบสุข..ที่มีแต่ความบริสุทธิ์..ความสะอาดสดใส..ไปตลอดชั่วกาลปวสาน.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/10/09 at 09:01 [ QUOTE ]



นิรนาม

หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

กราบมนัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง

เป็นเวลานานเกือบ 10 ปีแล้ว ที่ได้มีโอกาสได้รับการอบรมสั่งสอนธรรม จากหลวงพ่อทั้งจากการฟังและการอ่าน เมื่อก่อนนี้ เป็นคนโกรธง่าย ขี้โมโห ผูกใจเจ็บ ฝังใจจำ รวมทั้งกลัวผีมาก แต่เดี๋ยวนี้ อารมณ์นี้แทบจะไม่มีเลย

ในปัจจุบัน เคยถูกปองร้าย ถูกคนอิจฉา ด่าว่าก็ตั้งใจนึก แต่ว่าช่างมัน ถ้าเขาด่าเราแล้วเขาสบายใจ เราก็ได้บุญ ที่ทำให้เขาสบายใจ และคิดให้อภัยเป็นทาน แล้วก็ตั้งใจอโหสิกรรม ยิ่งได้ฝึกมโนยิทธิ รวมทั้งฟังธรรมคำสอนจากหลวงพ่อ ยิ่งรักและเคารพ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดทั้ง กาย วาจา ใจ ไม่มีข้อสงสัย และตั้งใจแน่วแน่จะไปนิพพานชาตินี้

เมื่อก่อนเวลาโกรธจะรู้สึกใจเต้นแรง หน้าแดง กระวนกระวาย เดี๋ยวนี้ อารมณ์นี้หายไป กลายเป็นคนอารมณ์ดี หน้าตาก็เลยผ่องใส สิวฝ้าที่เคยมีมาก หายไป ผิวสวยกว่าเก่า ทั้งที่อายุเพิ่มมากขึ้น และผลพลอยได้อีกอย่างคือ เลิกกลัวผี เมื่อตั้งใจไปนิพพาน มีพระพุทธเจ้าอยู่กับใจ จึงไม่กลัวตาย คิดว่าถ้าตายสบายกว่าอยู่แน่ แล้วผีก็คือ คนที่ตายแล้ว เลยไม่กลัวผี ถ้าหากจะมีผีมาหลอก ก็จะอุทิศส่วนกุศลให้ ใจเลยเข้มแข้งขึ้น อดกลั้นมากขึ้น

ชีวิตความเป็นอยู่ในครอบครัว ราบรื่นสงบสุข จากคนใกล้ชิดในบ้าน ที่เคยเอาแต่ใจตนเอง ก็กลับหันมาฟังคำแนะนำของเรามากขึ้น

ที่เขียนมานี้.. เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสุข ที่ได้รับเท่านั้น ที่จริงมีมากกว่านี้ เมื่อมีผลขนาดนี้ ก็จะขอยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จนกว่าจะตาย และขออุทิศส่วนกุศลที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมด ให้ถวายแด่หลวงพ่อให้มีพลานามัยแข็งแรง สุขภาพดีขึ้น หายป่วยโดยฉับพลัน เพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกหลานนานๆ

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/11/09 at 00:01 [ QUOTE ]



ศรัณยา กัมปนาทแสนยากร


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ดิฉันได้มาพบท่านหลวงพ่อตั้งแต่ พ.ศ. 2524 โดยการแนะนำของพี่สุมาลี บัวเผือก ซึ่งทำงานอยู่ด้วยกันพามา ครั้งแรกที่ได้มากราบอยู่ไกลๆ เพราะคนแน่น และหลังจากนั้นดิฉันก็แวะมาตอนกลางวัน มาซื้อเทปเกี่ยวกับจริตทั้ง 6 ซื้อหมด 6 จริต เพราะพี่สุมาลีแนะนำว่าเป็นชุด "ทูลถวาย" ก็เลยซื้อไป เพียงอยากจะฟังว่า ท่านหลวงพ่อจะพูดกับ "ในหลวง" ท่านว่าอย่างไร

......ซื้อเทปก็นำไปไว้หัวเตียง เปิดฟัง ฟังหูซ้ายก็ทะลุหูขวา คือตอนนั้นดิฉันยังอยู่เฉยๆ พอฟังครบ 6 จริต ก็ไม่ค่อยได้เปิดอีก แต่ก่อนจะนอนทุกคืน ตาก็มองแต่รูปของท่านหลวงพ่อ ซึ่งอยู่บนเทปทุกๆ ม้วน มองทุกวันๆ เอ..ชักกลัว ! กลัว..ขึ้นทุกวัน จนกลัวมากๆ

ทำให้ดิฉันนำรูปท่านหลวงพ่อกลับเอาด้านในมาไว้ด้านนอก นำรูปไว้ด้านในจะได้มองไม่เห็นท่าน ไม่ทราบช่วงนั้นดิฉันเป็นอย่างไร และเพราะความกลัวนี่เอง ทำให้ดิฉันเหินห่าง ไม่ได้มากราบท่านหลวงพ่อเสียหลายปี

มีอยู่วันหนึ่ง ดิฉันไปขนของจากบ้านแม่มาไว้ที่บ้านดิฉัน มีหนังสือร่วมอยู่ด้วย ดิฉันก็หยิบมาอ่านดู ชื่อประวัติหลวงพ่อปาน ดิฉันว่างเมื่อไร ก็นำเอาหนังสือเล่มนั้นมาอ่านจนจบ อ่าน 2 ครั้ง ก็ร้องไห้ทั้ง 2 ครั้ง ประทับใจมาก และสงสารตอนหลวงพ่อปานจะตาย ตั้งแต่อ่านหนังสือจบ แล้วก็คิดขึ้นมาว่า จะต้องไปซอยสายลม เมื่อเวลาท่านหลวงพ่อมาก็เลิกกลัวท่าน และอยากทำสังฆทานด้วย

แต่เมื่อเวลาหลวงพ่อมาซอยสายลมจริงๆ ดิฉันก็ได้แต่มาทำสมาธิ และอนุโมทนากับทุกคนที่ทำสังฆทาน อยากจะทำเองก็ไม่มีสตางค์ ชุดเล็กที่สุดก็ 500 บาท สมัยก่อนยังไม่มีชุดละ 100 บาท ดิฉันก็ได้แต่คิดว่า (สักวันถ้าลูกมีสตางค์ ลูกอยากจะทำสังฆทานบ้าง แต่ช่วงนี้ยังไม่มีเจ้าค่ะ)

นึกอยู่เสมอทุกครั้ง ที่มาซอยสายลม มีอยู่วันหนึ่ง ดิฉันนอนหลับไปแล้วฝันว่า ท่านหลวงพ่อมาเมตตาในความฝันบอกว่า “ลูกไปซื้อ 397 นะ...ลูก !” ดิฉันตื่นมาดีใจมาก ดิฉันรีบไปซื้อประมาณ 10 กว่าใบ เลขเดียวกันหมด หวยออก เลขท้าย 2 ตัว 97 พอดี เลยค่ะ ดิฉันถูกหวยสองพันกว่าบาท ดิฉันดีใจมากๆ ขณะรู้ว่าหวยออก

ตอนนั้นอยู่ที่สนามกีฬากองทัพบก ดิฉันร้องตะโกนเสียงดังไปหน่อย เพื่อนๆ เลยดึงลอตเตอรี่ไปดู บอกว่าโชคดีนะ ได้เลขเด็ดจากไหนมา ดิฉันบอกว่าฝัน (ท่านหลวงพ่อท่านคงทราบว่า ลูกอยากจะทำสังฆทาน แต่ไม่มีสตางค์ เลยเมตตาลูก แม้กระทั่งในความฝัน) ดิฉันได้ทำชุดละ 500 อย่างที่ได้ตั้งใจ คนมีสตางค์น้อยเพียง 500 บาท ก็ดูเหมือนว่ามากนะคะ มาพักหลังนี้มีชุดละ 100 บาท ได้ทำสังฆทานทุกๆ เดือนไม่ขาดเลยค่ะ

และหลังจากนั้น ดิฉันก็ได้ไปงานที่ กรมพลา ฯ ตอนกลางวัน ขากลับ เจ้าภาพก็หยิบพัดลมมา 1 ตัว บอกว่าของเหลืออยู่แค่นี้ แต่มีคนประมาณ 20 คน เอาไปจับฉลากกันเอาเอง เพื่อนๆ ก็ทำใบจับฉลากกันขึ้นมา เขียนเบอร์ไว้เพียง 1 ใบ นอกนั้นเป็นกระดาษเปล่าๆ แล้วก็ม้วนเล็กๆ ดิฉันก็ให้เพื่อนๆ จับกันไปก่อน จะขอจับเป็นคนสุดท้าย

ระหว่างนั้น ดิฉันก็อธิษฐานว่า “หลวงพ่อคะ ลูกอยากได้พัดลมตัวนี้จังเลย ถ้าได้มา ลูกจะนำไปถวายหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อมาที่ซอยสายลม” ทุกๆ คนที่จับไปก่อนได้แต่กระดาษเปล่าๆ ส่วนดิฉันจับฉลากคนสุดท้ายได้เบอร์ 1 ได้พัดลมจริงๆ ดิฉันขนลุกหมดเลยค่ะ โอ..ดิฉันได้ทำบุญอีกแล้ว และดิฉันก็ได้นำมาถวายท่านหลวงพ่อสมปรารถนา

แม้เวลากระทั่งเวลาดิฉันมีทุกข์ ท่านหลวงพ่อก็ได้เมตตามาหาในความฝัน บอกว่าหมดทุกข์แล้วนะลูก และหลังจากนั้นไม่กี่วัน ดิฉันก็ค่อยคลายทุกข์ลงไปจริงๆ ดิฉันรักและเคารพท่านหลวงพ่อด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่างมากๆ ค่ะ ดิฉันเชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนอย่างซาบซึ้ง ก็ท่านหลวงพ่อเมตตา อบรมสั่งสอนเสมอๆ เมื่อก่อนๆ ดิฉันยังไม่ค่อยเชื่อมั่นอย่างจริงๆ จังๆ เท่าไรนัก ในเรื่องบุญเรื่องบาป เดี๋ยวนี้ไม่มีสิ่งใดให้สงสัยได้อีกเลยค่ะ

พักหลังๆ นี้ ดิฉันพาแฟนมากราบหลวงพ่อด้วยค่ะ เมื่อก่อนๆ ไม่ได้พามาเลย พอมาเห็นครั้งแรก แฟนดิฉันเคารพอย่างมากๆ เลยค่ะ ตอนนั้น ท่านหลวงพ่อเป็นหวัด ใช้ผ้าเช็ดหน้าคอยเช็ดขี้มูกอยู่เสมอๆ คุยไปเช็ดน้ำมูกไป แฟนดิฉันพูดกับดิฉันว่า แหม ถ้าเราขอผ้าเช็ดน้ำมูกจากหลวงพ่อไปบูชาได้ก็ดีนะซิ หลังจากพูดเสร็จก็กลับบ้านกันไป

พอวันรุ่งขึ้นดิฉันก็เขียนใส่เศษกระดาษให้คุณยกทรงอ่าน บอกว่ามีลูกศิษย์ของท่านหลวงพ่อศรัทธาอย่างมากๆ อยากจะกราบขอผ้าเช็ดน้ำมูกของหลวงพ่อไปบูชา ท่านหัวเราะดังลั่นเลย บอกว่า

เอาซิ...ได้ลูก อยากได้จริงๆ ก็จะให้ ตอนดึกคนทยอยกันหลับ ดิฉันก็คลานเข้าไปบอกว่า (ลูกเองเจ้าค่ะ ที่มาขอผ้าเช็ดน้ำมูกของท่านหลวงพ่อไปบูชา) ท่านก็โยนใส่มือให้ ดิฉันก็นำมาไว้บนหัวนอนอยู่จนกระทั้งทุกวันนี้

ตอนที่เอาผ้าเช็ดน้ำมูกมาใหม่ๆ ดิฉันไม่ได้รังเกียจว่า จะมีน้ำมูกท่านหลวงพ่อติดอยู่ ดิฉันไม่ได้ซักหรอกค่ะ นำมาแล้วพับไว้บนหัวนอน มีอยู่วันหนึ่งคิดว่าจะนำมาซักเสียหน่อย พอหยิบขึ้นมาจะดูว่า น้ำมูกอยู่ตรงไหนบ้าง หาไม่เจอเลยค่ะ ทั้งผืนหาไม่เจอน้ำมูกแม้แต่น้อย มีแต่ยานัตถุ์เป็นบางที่ วันที่ท่านให้ผ้าผืนนี้ ท่านสั่งน้ำมูกตลอดเวลา น่าอัศจรรย์จริงๆนะคะ ดิฉันจะเก็บผ้าผืนนี้ไว้ จนกระทั้งวันตายเลยค่ะ ถือว่าเป็นศิริมงคลกับดิฉัน..!!!


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/11/09 at 08:39 [ QUOTE ]



จาตุรงค์ จารุพันธ์พานิช

ได้ครูบาอาจารย์ที่ดี จึงได้รับพระเมตตาจากสมเด็จ ฯ
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ข้าพเจ้าสนใจธรรมะตั้งแต่อายุ 19 ปี แต่ยังหาครูอาจารย์ยังไม่ได้ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2525 ได้มีโอกาสกราบนมัสการพระเดชพระคุณ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน แห่งวัดจันทาราม (วัดท่าซุง) อ.เมือง จ. อุทัยธานี ซึ่งท่านได้โปรดสงเคราะห์ลูกหลานที่บ้านสายลม กรุงเทพฯ

...........ข้าพเจ้าได้ฝึกพระกรรมฐาน “มโนมยิทธิ” ตามขั้นตอนที่หลวงพ่อได้วางแนวทางไว้ โดยผ่านครูผู้ฝึก พรนุช และถือปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน

............29 ธันวาคม 2529 ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ 13 คน ไปทัศนาจรที่ป่าปิดบนอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ. เลย เส้นทางเดินป่า น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกผาน้ำผ่า น้ำตกขุนพอง ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง

เราเดินทางตามพนักงานป่าไม้ ตามเส้นทางดังกล่าว ประมาณชั่วโมงเศษ ( 10.30 น.) มาถึงลำธารเพ็ญพบ เดินลัดเลาะริมลำธารตามกระแสน้ำที่ไหลเจียนใจจะขาด ( น้ำน้อย) มาได้ระยะหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่ล้มขวางลำธาร เป็นสะพานธรรมชาติอย่างดี น่าจะถ่ายภาพตัวเรากำลังข้ามคงจะดี

จึงจัดแจงตั้งกล้องถ่ายภาพบนขาตั้ง ( ตั้งหน้ากล้อง 5.6 โฟกัส 35 มม. ความไวชัทเตอร์ 60 ทำมุมเงยจากแนวระนาบ 15 องศา 6 นิคคอน เอฟ เอ็ม 2 ซูม 35- 135 มม.) ติดไฟแฟลชกันผิดพลาดเรื่องแสง ตั้งเวลาถ่ายภาพอัตโนมัติ 10 วินาที หลังจากทุกอย่างเรียบร้อย จึงไปยืนที่จุดที่กำหนดบนสะพานต้นไม้ แล้วให้เพื่อนกดชัทเตอร์ทันที ภายใน 10 วินาทีนั้น

กระแสแห่งความคิดก็คิดว่า (คิดความตาย) ในขณะที่ยืนอยู่นี้หากเกิดพลัดตกลงยังพื้นหินลำธารเบื้องล่าง อาจตายหรือไม่ก็บาดเจ็บ คงเป็นภาระแก่เพื่อนมาก (ความสูงประมาณ 2.5 เมตร) ทันใดจิตก็คิดตัดว่า “เรามีที่ไปดีแล้ว ลูกท่านพ่อ(หลวงพ่อ) หลานท่านสมเด็จฯ จะไปกลัวอะไร?” แล้วกล้องก็ทำหน้าที่ของมันเรียบร้อย ภายหลังเมื่อล้างฟิลม์ และอัดภาพออกมา ปรากฏว่ามีลำแสงสีรุ้งคลุมลงมาจากเบื้องบน ดูแล้วน่าอัศจรรย์ในพระบารมีขององค์สมเด็จฯ จริงๆ

กล่าวคือ เพียงเสี้ยวหนึ่ง ของขณะจิต ที่น้อมระลึกถึงพระองค์ท่าน และหลวงพ่อ ท่านก็ทรงสงเคราะห์ทันที เป็นการยืนยันว่า เมื่อผู้ใดระลึกถึงท่าน นอบน้อมในความดีของท่านแล้ว ท่านทรงแผ่พลังแห่งเมตตามา เพื่อเป็นกำลังใจแก่ลูกแก่หลานทั้งหลาย ผู้มุ่งทำความดี จะได้มีกำลังใจที่ยิ่งๆ ขึ้นไป มั่นใจในคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ว่ามีจริงทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ถ่ายทอดให้ลูกหลานเป็นจริงทุกประการ

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/11/09 at 15:01 [ QUOTE ]



ทันตแพทย์หญิง บุญสม สุภาพันธุ์


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

เมื่อปี 2525 ผู้เขียนได้มีโอกาสนมัสการหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ซึ่งปัจจุบันท่านได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระราชพรหมยาน ณ บ้านจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับศิษย์ผู้ใหญ่อาวุโสหลายท่าน ได้รับทราบว่าหลวงพ่อ กำลังสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 84 เตียง ขึ้นที่โรงพยาบาลศูนย์แม่และเด็ก วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในปริมณฑลของมูลนิธิหลวงพ่อปาน และพระมหาวีระ ถาวโร อยู่ในความอุปการะของหลวงพ่อเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ยากจนในท้องถิ่นทุรกันดารที่เจ็บป่วยได้ไข้ นอกเหนือจากการช่วยเหลือด้านอื่นที่หลวงพ่อได้ดำเนินการตามโครงการตามพระราชดำริตลอดมา

ผู้เขียนได้ปรารภกับศิษย์อาวุโสหลายท่านว่า โรงพยาบาลขนาดดังกล่าว น่าจะมีห้องทันตกรรมเพื่อให้การรักษาคนไข้ที่มีปัญหาทางด้านทันตกรรมด้วย ท่านผู้ใหญ่ทุกท่านก็ให้การสนับสนุนด้วยดี จึงได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า จะขอถวายเครื่องมือทันตกรรมทั้งชุด รวมทั้งเก้าอี้ทำฟัน ยูนิต และเครื่องเอ็กซเรย์ฟัน หลวงพ่อท่านมีบัญชาให้ติดต่อผู้เกี่ยวข้อง ทางด้านวางแผนผัง ผู้เขียนได้ดำเนินการทำผังห้องทันตกรรมที่อยู่ที่ตึกปฐมราชานุสรณ์ ได้ติดตั้งแล้วเสร็จเมื่อปี 2526

สมัยนายแพทย์ไพโรจน์ นิงสานนท์เป็นอธิบดีกรมอนามัย และได้ติดต่อขอตำแหน่งทันตแพทย์ประจำโรงพยาบาลกับท่าน ซึ่งท่านก็รับจะหาตำแหน่งให้ แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีทันตแพทย์ประจำ คงมีแต่ทันตแพทย์และทันตานามัย ที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่ออาสามาทำงานให้เป็นคราว ๆ

ปัจจุบันทันตแพทย์ ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่ง ต้องทำงานใช้ทุนตามความต้องการของโรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ ผู้เขียน จึงติดต่อผ่านรองอธิบดีกรมอานามัยปัจจุบัน คือนายแพทย์ปรากรม วุฒิพงศ์

มีความหวังว่า ในอนาคตอันใกล้ โรงพยาบาลแห่งนี้คงจะได้มีทันตแพทย์ประจำ งานด้านการรักษาป้องกันทางทันตกรรม ก็คงจะได้เริ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สมเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ ผู้ร่วมบริจาคสร้างห้องทันตกรรมทุกท่าน และผู้เขียน ที่จะให้เป็นที่พึ่งของประชาชนในจังหวัดอุทัยธานีอีกแห่งหนึ่ง นอกเหนือไปจาก โรงพยาบาลของจังหวัด และโรงพยาบาลของมิชชันนารีที่อำเภอมโนรมย์ ที่มีทันตแพทย์ประจำเพียง 2 แห่งในปัจจุบัน

ผู้ร่วมบริจาคสร้างห้องทันตกรรม ถวายหลวงพ่อ มีรายงานดังต่อไปนี้
1. คุณเฉลียว รัตนาพต……….30,000 บาท
2. ท.ญ. ลัดดา จารุวัสตร์……….5,000 บาท
3. คุณภาณี วรทรัพย์……….5,000 บาท
4. คุณสกนธ์ – จารุวรรณ ไวยเจตน์……….1,000 บาท
5. พล อ.ท. วาทิต – ท.ญ. ถวัลยรัตน์ โหละสุต……….1,000 บาท
6. ท.ญ. บุญสม สุภาพันธุ์……….358,000บาท
7. ท.พ. ปิยะ เหล่าสุนทร……….บริจาคเครื่องมือทันตกรรมบางส่วน
8. ท.ญ. สุรางค์ สมบุญธรรม……….บริจาคเครื่องล้างฟิล์มเอ็กซเรย์

รวมเป็นเงินทั้งค่าติดตั้งจำนวน 400,000 (สี่แสนบาทถ้วน) หวังว่าผู้อ่านทุกท่านจะได้ร่วมอนุโมทนาในผลบุญครั้งนี้ด้วยโดยทั่วกัน

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/11/09 at 10:16 [ QUOTE ]



พรพรรณ เลิศล้ำ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ก่อนที่จะเขียนเรื่องที่ได้ประสบการณ์ ความรู้ ตลอดความประทับใจในแง่มุมต่างๆ ที่ได้จากองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้น ก็ต้องกราบขอขมาพระรัตนตรัย องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พรหม เทวดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้โปรดอโหสิกรรมและขอยกโทษให้ลูกด้วย

........ถ้าลูกได้กระทำอันใดเป็นการล่วงเกิน ไม่ว่าด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาติ ตราบลูกเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

.......ถ้าเรื่องที่ได้ประสบพบมา พอจะเป็นตัวอย่างที่เลวหรือดี อันจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน และเป็นกุศล ก็ขอกุศลที่พึ่งจะได้ ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ถวายบูชาพระคุณครูบาอาจารย์ คือองค์หลวงพ่อของลูก ตลอดครูบาอาจารย์หลายท่าน ที่ให้การแนะนำช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้า และสั่งสอนข้าพเจ้า เมื่อสงสัย นอกจากองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ข้าพเจ้าก็ต้องขอกราบขอบพระคุณแก่ท่านทั้งหลายที่มีพระคุณต่อข้าพเจ้า ซึ่งมีคุณปรีชา พึ่งแสง เป็นพี่ชายที่เคารพรักยิ่ง ท่านเป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจตลอดมา คุณแม่ครูจี๊ด ที่เป็นครูแนะนำสอนมโนมยิทธิ คุณแม่อัญชัน คุณแม่อัญเชิญ คุณครูพรนุช และคุณครูเปี๊ยกสองท่านนี้ มีหน้าที่เป็นครูสอนญาณ 8 หลวงพี่วัชรชัย พี่น้อย (คุณพี่กานดา) พี่หมอสมศักดิ์ และหลวงพี่โอ ท่านมีพระคุณมาก คอยตักเตือนช่วยเหลือเสมอ

หากการเขียนเรื่องที่ได้ประสบพบมามีข้อผิดพลาดประการใด เพราะข้าพเจ้ายังเลวและโง่เขลาอยู่มาก ข้าพเจ้าขอน้อมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อพ.ศ. 2525 ข้าพเจ้าเข้ามากราบหลวงพ่อ และมาฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก ที่บ้านสายลมซึ่งเป็นบ้านท่านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านยกบ้านให้เป็นสถานที่หลวงพ่อสอนกรรมฐาน ท่านได้บุญกุศลยิ่งใหญ่มหาศาล ข้าพเจ้าขออนุโมทนาและกราบบูชาพระคุณท่านด้วยค่ะ

เมื่อแรกๆ ข้าพเจ้า เป็นคนช่างสงสัยอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ นัก ข้าพเจ้าต้องการพิสูจน์ให้รู้ให้ได้ด้วยการปฏิบัติ หลวงพ่อท่านได้ เทศน์สอนว่า พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่า ท่านไม่สรรเสริญคนที่เชื่อโดยการเล่าลือเล่าอ้าง ( เชื่อโดยอธิโมกขศรัทธา) ท่านจะสรรเสริญคนที่เชื่อด้วนการปฏิบัติและเห็นด้วยตนเอง

เมื่อได้อ่านหนังสือก็เชื่อแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจ เมื่อฟังหลวงพ่อก็เชื่อแต่ยังไม่แน่ใจ มาแน่ใจและเชื่อโดยไม่สงสัยก็เมื่อได้มาฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพ่อ ท่านพาไปดูพระนิพพาน ดูสวรรค์ นรก ข้าพเจ้าจึงหายสงสัยโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น หลวงพ่อท่านสอนลูกหลานทุกคนให้เบื่อการเกิดว่ามันเป็นทุกข์ ท่านสอนลูกก็พยายามจำให้ได้ และพยายามปฏิบัติตาม ถ้าใครไม่อยากตกนรกให้ปฏิบัติ 3 ข้อดังนี้ จะพ้นนรก

1. มีศีล 5 ครบ ประกอบกรรมบถ 10 กายดี วาจาดี ใจดี ไม่ชั่ว
2. เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
3. ไม่ลืมความตาย ( ท่านสอนว่าทุกคนเกิดมาต้องตาย) ให้ยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ ยึดเป็นที่ไปของจิต ลูกกำลังพยายามฝึกอยู่ แต่ยังอดเลวไม่ได้

ลูกขอกราบแทบเท้าองค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ซึ่งมีพระคุณอย่างสูงสุดหาที่เปรียบไม่ได้ ลูกขอบูชาเหนือศรีษะลูก จนกว่าลูกจะหาชีวิตไม่ ลูกขอถวายชีวิตรับใช้เพื่อทดแทนพระคุณตลอดไปตราบเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

ข้าพเจ้ามาฝึกกรรมฐานอยู่ 7 เดือน ไปกับเขาได้บ้าง ในระหว่าง 7 เดือน ที่หลวงพ่อพาสอนกรรมฐานนั้น ถ้าข้าพเจ้าฝึกไม่ได้อะไร ก็ลงมาฟังหลวงพ่อท่านสอนต่อทุกครั้ง และข้าพเจ้ามักจะพูดกับพี่ปรีชา พึ่งแสงเสมอว่า “มืดตื๊อตื๋อเลยพี่ ไม่รู้เรื่องเลย ไม่เห็นเลย ไม่ได้เลย” พูดอยู่เรื่อย ๆ แต่พี่ปรีชาท่านก็ดีเหลือเกิน แทนที่จะรำคาญที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้เรื่อยๆ ท่านก็พูดอยู่คำเดียวว่า “ เดือนนี้ไม่ได้เดือนหน้าก็จะได้เองละนะ อดทนนะ” ทุกครั้งข้าพเจ้าก็จะมาพูดไต่ถามข้อข้องใจกับพี่ชายคนนี้เสมอ เพราะท่านมีประสบการณ์มาก่อน เป็นรุ่นพี่ที่มีน้ำใจดีมาก

คุณแม่ครูจี๊ด ท่านผู้นี้ท่านเคยเป็นคุณแม่ข้าพเจ้าแต่อดีต เป็นครูสอนมโนมยิทธิให้ข้าพเจ้า คุณแม่อัญชัน ท่านก็กรุณาแนะนำสั่งสอนเสมอมา หลวงพี่วัชรชัยท่านก็ใจดีกับน้องทุกคนมากไม่เลือกที่รักที่ชัง ท่านให้กำลังใจบรรดาน้องๆ ที่กำลังท้อถอยให้เข้มแข้งอดทนเสมอ ถ้าร้องไห้ไปหาท่าน ท่านก็พูดให้กำลังใจจนน้ำตาแห้งและมีกำลังใจต่อสู้ต่อไป

พี่น้อย (คุณกานดา) ท่านก็มีพระคุณคอยแนะนำสั่งสอนให้สิ่งที่เรายังไม่ค่อยทราบหลายอย่างเพราะเรายังโง่และเลวมาก พี่ท่านก็เคยเป็นพี่มาแต่อดีตชาติ จึงมักสอนน้องเสมอ ห่วงน้องทุกคนเสมอท่านน่ารักมาก และพี่หมอสมศักดิ์ท่านก็มีพระคุณมาก หอบหิ้วขนม อาหารมาให้น้องๆ ยามทำงานวัดและยังมีธรรมะมาแนะนำรุ่นน้องเสมอ เมื่อไม่แน่ใจสงสัยก็แนะนำ



เรื่องที่ 1

ประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าประสบมา ที่ทำให้ข้าพเจ้าเชื่อและนับถือสุดชีวิตคือ ตอนนั้นหลวงพ่อกำลังจะเดินทางไปจันทบุรี ไปบ้านคุณสมบูรณ์ เวสารัชนนท์ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขอท่านไปด้วยเพราะคิดว่าจะพักอยู่บ้านบ้าง ( หลวงพ่อท่านจะไปโปรดเมตตาลูกหลานที่นั่น) ข้าพเจ้าจึงเดินทางจากวัดท่าซุงกลับมาบ้านที่กรุงเทพฯ

และเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน คือข้าพเจ้าทะเลาะกับสามีอย่างรุนแรง ลืมคำสอนของหลวงพ่อเสียสนิทว่า “คนอื่นเขาด่าเรา เราอย่าด่าตอบ เขาด่าเราเขาก็เลวอยู่แล้ว ถ้าเราด่าเขาตอบ เราก็ยิ่งเลวกว่าเขา” ประกอบกับข้าพเจ้าเป็นคนที่มีความเลวฝังมานาน อดเลวไม่ได้ จึงตอบโต้ไปอย่างมันปากด้วยความเคยชิน

ข้าพเจ้าท้าหย่ากับกับสามีว่า “พรุ่งนี้เราไปหย่ากันนะ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน ต่างคนต่างอยู่คงสบายดี” (คนเลวอย่างข้าพเจ้ามักจะอวดดีอย่างนี้ ทั้งที่ไม่มีดีจะอวด) เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเลย ที่จริงสามีข้าพเจ้าเป็นคนใจดีเย็นกว่าข้าพเจ้ามาก ข้าพเจ้าคิดว่าจิตของเขายังดีกว่าข้าพเจ้ามากที่เดียว เพราะข้าพเจ้าเลว จึงหมั่นไปวัดเพื่อขัดกิเลสออกเสียบ้าง

ขอเล่าเรื่องต่อนะคะ ขณะที่ทะเลาะกันอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ในบ้านดังขึ้นมา จึงหยุดทะเลาะกับสามีไปรับโทรศัพท์ ปรากฏว่าน้องแป๊ดโทรศัพท์มาบอกว่า หลวงพ่อให้แป๊ดโทร มาบอกว่าให้ข้าพเจ้าไปขึ้นรถที่วัดท่าซุงเพื่อไปจันทบุรีกับท่าน พอได้ยินเท่านั้นน้ำตาข้าพเจ้าไหลเพราะความปิติ ที่องค์พระเดชพระคุณพ่อของลูกท่านเมตตาลูกหลานมากมายเหลือเกิน

ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้าพเจ้ากำลังทะเลาะกับสามี ข้าพเจ้าทะเลาะกับสามีอยู่ถึงกรุงเทพฯ แต่ท่านอยู่อุทัยธานี ท่านก็ทราบและท่านอุตส่าห์ช่วยจับแยกกันชั่วขณะ ไปอยู่จันทบุรีหลายวัน จึงกลับมาเลยไม่ได้หย่าร้างกัน ท่านทราบไปหมดไม่ว่าเราจะแอบคิดแอบพูดท่านก็ทราบ ข้าพเจ้ากลัวและรักหลวงพ่อท่านมาก



เรื่องที่ 2

ข้าพเจ้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง มีครูบาอาจารย์มาก มีพระดีไปที่ไหนก็มักจะชวนข้าพเจ้าเสมอ ขออนุโมทนาและขอขอบพระคุณท่านมาก แต่ข้าพเจ้าก็ได้ปฏิเสธเสมอว่ามีหลวงพ่ออยู่องค์เดียวก็พอแล้ว เพราะท่านสอนไปที่สูงสุดคือนิพพาน อีกอย่าง

1. อ่านหนังสือของท่านก็ยังไม่จบ
2. ฟังท่านพูดสอนในเทปก็ยังไม่หมด และท่านก็สอนด้วยองค์เอง
3. ปฏิบัติก็ยังไม่เอาไหนเลย ยังมีความเลวอยู่มาก

เปรียบง่ายๆ ว่ามีน้ำพริกหรือแกงหลายถ้วย ก็ย่อมไม่รู้ว่าแกงถ้วยไหนรสอะไร น้ำพริกถ้วยไหนรสอะไร เพราะมีแกงมากและน้ำพริกมาก ข้าพเจ้าพูดกับเพื่อนแบบนี้ มีอยู่วันหนึ่งไปที่วัด ก็ไปกราบหลวงพ่อที่ตึกรับแขกเก่าศาลานวราช พอกราบท่าน ก็ฟังท่านสอนธรรม ท่านก็หันมาพูดกับลูกว่า “ต๋อยเอ๋ย! เป็นไงลูก กินน้ำพริกถ้วยเดียวมันดีนะลูกนะ”

ข้าพเจ้าก็ทราบทันทีว่า ท่านต้องได้ยินลูกพูดแน่ๆ ลูกพูดอยู่กรุงเทพฯ ท่านอยู่อุทัยธานี แม้จะกลัวหลวงพ่อมาก แต่ก็อยากอยู่ใกล้องค์ท่าน เพราะอยู่ใกล้ท่านอบอุ่นใจ สบายใจ ไม่อยากให้หลวงพ่อท่านไปเลย เพราะข้าพเจ้ารู้ตัวว่าขณะที่นั่งฟังธรรมจากหลวงพ่อ มีความสุข สบายใจ บ้านช่องลูกพัง รู้สึกไม่เป็นห่วงมากนัก ไม่อยากใยดีอะไรเลย ใจมันเบาสบายมากเป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้



เรื่องที่ 3

มีอยู่วันหนึ่งสามีว่าคำแรงๆ เรียกว่า “ด่า” ก็แล้วกัน ข้าพเจ้ารีบหันหน้าไปยกมือไหว้รูปหลวงพ่อ ฟ้องหลวงพ่อที่นั่งในรูป ที่ข้าพเจ้าใส่กรอบไหว้บูชาว่า “ดูซิหลวงพ่อ มันด่าลูกก่อนนะ ลูกจะด่ามันบ้าง” ว่าแล้วก็ด่า เดียว ข้าพเจ้าด่าตอบนับไม่ถ้วน

ข้าพเจ้าเป็นคนเลวมากไม่จำคำสั่งสอนของหลวงพ่อที่พร่ำสอนทั้งทางเทป ทางหนังสือ และสอนด้วยองค์เองที่ว่า “เขาด่าเราเขาก็เลวอยู่แล้ว เราด่าตอบเขาเรายิ่งเลวกว่าเขา” ข้าพเจ้าลืมเสียสนิท ยามโทสะมันมาบังหน้าก็เลวทันที เพราะความเลวฝังมานาน

พออีก 2 วันไปวัดท่าซุง หลวงพ่อท่านจะลงมาตึกรับแขก ประมาณบ่ายโมงครึ่งถึงบ่ายสามโมง หลังจากนั้นท่านจะพัก เพราะฉะนั้น ท่านผู้ใดที่บ่นเสมอว่า เข้าพบหลวงพ่อยากเหลือเกิน เข้าไม่ถึงบ้างนั้น ข้าพเจ้าพบเมื่อใดจะอธิบายบอกท่านเหล่านั้นทันที ว่าอย่าเข้าใจท่านผิดเลย บาปกรรมเปล่าๆ

ที่จริงแล้ว หลวงพ่อท่านใจดีมีเมตตามาก แต่สุขภาพหรือขันธ์ 5 ขององค์ท่าน ทรุดโทรมมาก ท่านอายุมากแล้ว ป่วยอยู่เป็นประจำ แต่ท่านเก็บความเจ็บไข้ไม่ให้ลูกหลานเห็น กลัวลูกหลานจะเป็นทุกข์เพราะห่วงท่าน ถ้าท่านทั้งหลาย อยากอยู่ใกล้หลวงพ่อนั้น ขอให้ท่านมาพบให้ตรงเวลา ที่ท่านรับแขกเถิด ต้องได้พบเห็นท่านใกล้ๆ แน่

ท่านรักและเมตตาทุกคนที่มาด้วยศรัทธาจริงใจ หรือแม้แต่คนที่มาลองดีกับท่าน มาประสงค์ร้ายต่อท่าน ท่านยังมีเมตตาเสมอ แม้ข้าพเจ้า มาฝึกปฏิบัติยังไม่นานเท่าใด ก.ไก่ยังไม่กระดิกหูเลย หลวงพ่อท่านก็ยังมีเมตตา หลวงพ่อท่านยุติธรรมกับลูกหลานทุกคน มีเมตตาธรรม ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง

ที่ข้าพเจ้ากล้าพูด เพราะข้าพเจ้าเห็นด้วยตา ตัวเองว่า วันหนึ่งมีลุงแก่คนหนึ่งเดินมา นุ่งกางเกงขาสั้นปะก้นดูน่าสงสาร เดินมาไม่มีใครจูง องค์พระเดชพระคุณหลวงพ่อก็ทักทาย อย่างมีเมตตาจิตชื่นใจ ต่อผู้ที่ได้ยิน ท่านลุงคนนั้น ก็ยิ้มร่ามาแต่ไกลด้วยปิติ ถ้าท่านผู้ใดยังเข้าใจผิดอยู่ก็กรุณาเข้าใจเสียใหม่ และพยายามมาให้ตรงเวลาที่ท่านรับแขก แล้วท่านจะได้เห็นได้สัมผัสด้วยตนเอง ควรพิสูจน์ให้เห็นแจ้งเห็นจริงจะดีมาก

แม้แต่เรื่องนรกสวรรค์ พรหมเทวดา และเรื่องนิพพาน มนุษย์เขาก็ไปเห็นกันด้วยการปฏิบัติเป็นแสนๆคนแล้ว ได้ไปเห็นว่ามีจริง ให้เห็นด้วยตนเอง หลวงพ่อท่านสอน แค่อ่านแค่ฟังนั้น ยังไม่แน่ใจ
ควรรู้เห็นด้วยตนเอง โดยปฏิบัติกรรมฐาน โดยฝึกมโนมยิทธิ จะเข้าใจและมั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ การเห็นการรู้แค่อ่านหนังสือ ฟังเข้าหูนั้น ไม่แน่ใจต้องปฏิบัติกรรมฐานให้เห็นด้วยตนเองจะดีมาก จะมั่นใจยิ่งขึ้น

ถ้าปฏิบัติกรรมฐานได้แล้วจะเห็นว่า สวรรค์ นรก นิพพานมีจริง หลวงพ่อท่านสอนให้พวกเรารู้จักเอาจิตไป มีที่ไปของจิตเมื่อร่างกายตาย มีชีวิตอยู่จิตก็เป็นสุข และยังสงเคราะห์วิญญาณที่ล่องลอยลำบาก ให้ได้สุขเพราะกรรมฐานช่วยได้ คนที่ปฏิบัติจริง รู้จริงจะไม่กล้าวิจารณ์ หรือปรามาสแน่ๆ

เพราะฉะนั้นน่าสงสารนัก ที่นักบวชทั้งหลายที่บวชเข้ามาแล้ว ไม่ปฏิบัติกรรมฐานและยังวิจารณ์พระที่ท่านปฏิบัติกรรมฐาน รู้เห็นนรก สวรรค์ นิพพาน ว่าท่านต่างๆนานา เข้าขั้นปรามาสพระรัตนตรัยถึงตกนรก น่าสงสารนัก แต่ยังไม่สายให้ขอขมาพระรัตนตรัย และหันมาปฏิบัติกรรมฐานให้รู้เห็นด้วยตนเองเถิดนะ

ข้าพเจ้าขอพูดเข้าเรื่องที่ข้าพเจ้าได้ประสบพบมาต่อนะคะ พอทะเลาะกับสามีก็มาวัด พอกราบท่าน ท่านก็ทักทายลูกหลานเป็นปรกติทุกคน ไม่ให้ลูกหลานน้อยใจ ท่านให้กำลังใจลูกหลานเสมอมา ลูกหลานทุกคนรักท่าน พอท่านเห็นหน้าข้าพเจ้าท่านก็พูดเปรยๆ มองมาทางข้าพเจ้า และพดเปรยๆว่า “ผัวเมียทะเลาะกัน มันมีนรก สำหรับผัวเมียที่ทะเลาะกันนะลูก อย่าทะเลาะกัน” ท่านทราบอีกแล้วว่าข้าพเจ้ากับสามีทะเลาะกัน ไม่มีอะไรที่ท่านไม่รู้ เพราะฉะนั้นลูกจึงทั้งรักทั้งบูชา ทั้งกลัว แต่อยากอยู่ใกล้หลวงพ่อเสมอ



เรื่องที่ 4

มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านกลับจากอเมริกา ไปโปรดธรรมะลูกหลานที่นั่น ก่อนท่านมาถึง 1 คืน ข้าพเจ้าฝันว่า ได้ตักน้ำหิ้วด้วยกระป๋องมา เพื่อให้หลวงพ่ออาบน้ำ ในฝันลูกดีใจที่ได้รับใช้ท่าน ใจจริงก็รู้สึกเช่นนั้น พอหลวงพ่อมาที่บ้านสายลม พวกลูกหลานที่รักหลวงพ่อก็มากันมากมาย

ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า แหม..อยากเล่าความฝันให้ท่านฟังจังเลย เท่านั้นเองท่านก็ถามว่า “ว่าไงลูก” ชี้มาทางข้าพเจ้า “เมื่อคืนฝันถึงพ่อว่าอย่างไรเล่าให้พ่อฟังซิ” ข้าพเจ้าก็รับตอบไปว่า “เมื่อคืนลูกฝันจริงๆ ค่ะ หลวงพ่อ ฝันเห็นว่าได้ตักน้ำให้หลวงพ่ออาบ” ทุกคนที่นั่งที่นั้นต่างชอบใจหัวเราะกันใหญ่ ว่าหลวงพ่อท่านทราบอีกแล้ว แต่ท่านจะพูดหรือไม่เท่านั้น



เรื่องที่ 5

ข้าพเจ้าเป็นคนขี้กลัวหลวงพ่อมาก เวลาถามปัญหาอะไรไร้ประโยชน์ ข้าพเจ้าได้อธิษฐานจิตว่า ถ้าปัญหาอะไรเมื่อถามแล้วเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง ต่อลูกและคนอื่น ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตา ถามลูกว่าจะถามอะไร ถามมาลูก ทุกครั้งที่อธิษฐานจิต ท่านจะถามให้ข้าพเจ้าตอบทันที ถ้าปัญหานั้นๆ มีประโยชน์ แต่ถ้าไม่มีประโยชน์ท่านก็เฉย ไม่ถามข้าพเจ้า ให้ถามปัญหาท่าน

การอธิษฐาน ที่ข้าพเจ้าคิดว่ามีประโยชน์คือหลวงพ่อจะได้ไม่เหนื่อย เมื่อมาพูดเรื่องไร้สาระกับท่าน เป็นการออมแรงหลวงพ่อไว้ ท่านจะได้โปรดเมตตาอยู่กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เพราะขันธ์ 5 ของหลวงพ่อก็ทรุดโทรมไม่สบายเป็นปกติ ท่านป่วยไข้ประจำ แต่ท่านเก็บความรู้สึกไว้ไม่แสดงออกให้ลูกหลานเห็นกลัวเป็นห่วงท่าน

ท่านเหนื่อยมาก สอนกรรมฐาน เมื่อพักเมื่อไรก็ต้องให้น้ำเกลือประจำและล้างท้อง น่าสงสารและเห็นใจท่านมาก ดวงจิตของท่านจะหนีเราไปเมื่อไรก็ได้ ท่านเป็นห่วงลูกหลานต้องการมาโปรด ให้เห็นธรรม ให้กลัวบาป ชี้ทางไปเมื่อตายแล้ว ให้มีทางไป

ชี้ทางมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก นิพพาน แล้วแต่ใครจะเลือกไปไหน บุญคุณของท่านนั้นประมาณมิได้ จะตอบแทนโดยรับใช้ท่านจนตายก็ไม่เพียงพอ ลูกขอบูชาถวายชีวิตรับใช้ ลูกจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ลูกตั้งใจไว้แล้วแน่นอน

ข้าพเจ้าขอยุติประสบการณ์ของข้าพเจ้าเพียงเท่านี้ แต่ยังมีอีกมากมายหลายเรื่องและข้าพเจ้าขอกราบขอขมาพระรัตนตรัย หลวงพ่อ พรหมเทวดาทั้งหมด โปรดเมตตาลูกที่มีความโง่เขลามานาน อยากเป็นคนดีแต่ยังไม่ดีด้วย ขอกราบบูชาพระคุณหลวงพ่ออย่างสูงสุดหาประมาณมิได้ และขอขอบพระคุณครูบาอาจารย์รุ่นพี่ทุกท่านที่กรุณาชี้แนะตักเตือนน้องเสมอมาอีกครั้ง

ขอขอบพระคุณทุกท่านอย่างสูงและต้องขออภัยที่ไม่ได้เรียบเรียง แต่พูดตามประสบการณ์ นึกได้ก็เล่าให้ฟัง มิใช่นักเขียน ขออภัยอีกครั้งมา ณ ที่นี้ด้วย


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/11/09 at 09:27 [ QUOTE ]



วนิดา ตันติประภาส


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"........คืนวันที่ 31 มกราคม 2533 ราว 4 ทุ่ม ดิฉันถูกต่อว่าในเรื่องธรรมะให้เกิดความเสียใจอย่างรุนแรงว่า “ยายคนนี้เป็นอย่างไรนะ สอนเท่าไรไม่เห็นรู้เรื่อง ตั้งแต่สอนคนมาก็มาก ไม่เคยเห็นใครสอนยากอย่างนี้เลย ก็ศึกษามาเท่านี้ก็โง่จะกบดานเป็นเต่าพันปีเท่านี้แหละ เท่านี้นะเบียดเบียนเวลาคนอื่นมากแล้ว” (คนสอนพูด)

.........เมื่อวางสายโทรศัพท์ มีความรู้สึกว่างงงวยมากว่า เอ๊ะ..! นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะเนี่ย ใยเราผิดมากนักหรือ? จึงโดนตำหนิเช่นนี้ ความเสียใจ ทำให้นึกใคร่ครวญหาความผิดของตนเอง

.........ขอย้อนหลังถึงปัญหาว่าเสียก่อนว่า ตนเองสงสัยถึงความประพฤติของผู้มีศีลว่า บางครั้งทำไมถึงทำผิด หรือมีความโลภ เช่น ผู้ทุศีลหรือคนธรรมดาทำกัน คำตอบคือ คนมีศีลหรือคนมีธรรมะ หรือกัลยาณชน ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ผู้ทรงศีลที่เป็นฆราวาสหรือพระ ยังมีความเลวอยู่ในเรื่องของอุปกิเลสบางตัว

จึงถามต่อว่า แต่ก็แปลกนะ ไม่รู้สึกหรือว่า มันขัดแย้งกันอยู่เพราะท่านว่า บุคคลที่เป็นบัวใต้น้ำ ให้ละทิ้งเสียไม่ให้สอน แต่เวลาผู้ทรงศีล ที่เป็นฆราวาส หรือผู้มีธรรมะที่เป็นฆราวาส หรือพระทำผิดในเรื่องอุปกิเลส กลับมีข้อแก้ตัวว่า ยังไม่อยู่ในขั้นพระอริยเจ้า

เหตุใดจึงไม่ถูกพิจารณาว่าทำผิด ไม่ควรสอนต่อไป ในขณะที่ผู้ที่เป็นบัวใต้น้ำ ไม่มีใครยอมให้โอกาส โดยไม่คิดว่า เขาไม่ใช่พระอริยเจ้าบ้าง ดิฉันสงสัยด้วยเห็นว่าเหตุผลขัดแย้งกันอยู่ คนสอนไม่รู้สึกว่า ขัดแย้งกันอยู่หรือ

ก่อนจะนำพามาถึงคำพูดข้างต้น ก็ถูกแนะให้อ่านจากหนังสือธัมมวิโมกข์และฟังเทป เพราะที่พูดให้ฟังก็เรียนรู้มาอย่างนั้น ก็ตอบว่าอ่านแล้ว เล่มที่ผ่านมาประจำเดือนธันวาคม อ่านหมดเลย แต่ไม่พบที่สอนมา จึงถูกแนะให้กลับไปอ่านใหม่

ย้อนกลับมา เมื่อวางสายโทรศัพท์ คิดใคร่ครวญเสียใจอยู่เป็นนาน ราวตี 2 จึงหยิบธัมมวิโมกข์ฉบับเดิมมาดู เปิดไปเปิดมา แล้วหยุดที่รูปพระปกหลัง และพลิกมาปกหน้า คิดอยู่ในใจว่า
“ หลวงพ่อขา ลูกปัญญาทึบนะหรือไงคะ จึงทำให้ถูกต่อว่าเช่นนี้ ลูกเลวนะหรือไงคะ จึงต้องไปเบียดเบียนเวลาของคนอื่นเขา ” น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมา แล้วพูดต่อว่า
“ หลวงพ่อขาด้วยบารมีของหลวงพ่อท่าน ได้โปรดนำทางสว่างให้ลูกด้วยเถิดนะเจ้าคะ ”

จากนั้นจึงพลิกไปพลิกมา แล้วมาสะดุดตรงหน้า 93 ที่ว่า ทีนี้การปฏิบัติของบรรดาท่านพุทธบริษัทก็ดีทุกคน อาตมาก็ตามเหมือนกันหมด เมื่ออ่านถึงคำนี้ จึงทำให้แจ้งว่า อ่านธรรมะให้อ่านทุกคำ ของหนังสือแล้วตีความของคำนั้น อย่าอ่านตามบทความที่เขียน

เพราะบทความสอนเกี่ยวกับธรรมะสายกลาง เรื่องของการนั่งสมาธิ จึงได้ปัญญา คำว่า “คน” มันก็คละเคล้ากัน แม้ผู้ทรงศีลก็ยังเป็นคนอยู่ เราอย่าวางเขาสูงเกินกว่าที่เขาเป็น จึงเกิดความสว่างในบัดดล กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเป็นที่ยิ่ง และขอถวายความดีอันนี้ เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และต่อหลวงพ่อด้วยเทอญ.


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/11/09 at 08:25 [ QUOTE ]



กัลยาณี มนูสุข


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........มีอยู่วันหนึ่ง ข้าพเจ้ากับน้องสาว ได้คุยกันที่บ้านว่า จะไปกราบหลวงพ่อที่ซอยสายลมกัน น้องสาวก็ติงว่าหลวงพ่อจะจำเราไม่ได้แล้ว เพราะไม่ได้มากราบท่านนานแล้ว และศิษย์ของหลวงพ่อก็มากมาย จนล้นบ้านซอยสายลม

แต่พอไปถึง ข้าพเจ้าและน้องก็เข้าไปถวายของกับหลวงพ่อ เข้าแถวต่อหลังคนมากมาย พอถึงคิวข้าพเจ้าและน้องสาว ท่านก็ทักขึ้นทันที่ว่า อ้าว! ลูกสาวมาถึงเมื่อไร ไม่ได้มาตั้งนานแล้ว ข้าพเจ้าขนลุกและดีใจมาก ที่หลวงพ่อได้ทักเหมือนดั่งท่านรู้ ว่าเราทั้งสองได้พูดอะไรกันไว้ก่อนจะมา

อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดเมื่อเร็วๆนี้ วันนั้น หลวงพ่อได้รับ สมณศักดิ์พัดยศเป็น พระราชพรหมยาน เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2532 สมเด็จวัดสามพระยา ท่านก็จัดพิธีแสดงมุทิตาจิต ถวายหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็อยากไปร่วมแสดงมุทิตาจิตด้วย แต่ข้าพเจ้าเป็นคนต่างจังหวัด ถนนหนทางในกรุงเทพมหานครก็ไม่ค่อยจะรู้จัก ก็เลยให้หลานช่วยเขียนแผนที่ให้ที ถ้าไปตามแผนที่ ก็คงจะไปถูก

แต่พอไปถึงตามแผนที่ ที่เขียนไว้ ปรากฏว่า เขาก็กำลังมีงานเดินเฉลิมพระเกียรติ ข้าพเจ้าก็งงไปหมด เพราะมีแต่ข้าราชการตำรวจ พลเรือนทหาร และประชาชนเดินเต็มไปหมด ถนนปิดหมด ก็ถามตำรวจที่สี่แยกว่า จะไปวัดสามพระยาไปทางไหน

ตำรวจก็บอกว่าไปถนนนั้นๆ แยกและเลี้ยวไปทางนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ไม่พบถนนนั้น ตามที่ตำรวจบอกเลย ก็ขอบารมีหลวงพ่อและเทวดาให้ช่วยนำทางด้วยเถิด เพราะค่ำมืดแล้ว ทางก็ไม่รู้จัก ก็บังเอิญตาผ่านไป เห็นเสด็จกรมหลวงชุมพร ก็ยกมือไหว้บอกท่านกับหลวงพ่อ ช่วยนำลูกไปด้วยเถิด ก็ขับรถตรงไปถึงสี่แยก พบคนคอยรถเมล์ ถามเข้าว่าแถวนี้เขาเรียกว่าอะไร เขาก็บอกว่าเรียก เทเวศร์ เท่านั้นเองข้าพเจ้าคิดว่าท่านช่วยเราแล้ว

และถามว่าวัดสามพระยาอยู่ไหน เขาบอกว่าเลี้ยวซ้าย และตรงไปนิดเดียว จะเข้าวัดเอี่ยมวรนุช วัดที่จะอยู่เยี้องกับวัดสามพระยา พอขับรถไปหน่อยเดียว จะเจอวัดเอี่ยมวรนุช แต่จำไม่ได้ว่า ถึงวัดสามพระยาหรือยัง โชคดีเจอตุ๊กๆ ก็ถามเขาอีก เขาว่าเลยประตูวัดมาแล้ว 1 ประตูให้ขับตามเขามา โชคดีหลวงพ่อกับเทวดาช่วย ข้าพเจ้าจึงมีรถนำทาง


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/12/09 at 10:15 [ QUOTE ]



ขวัญใจ ณรงคะชวนะ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........เนื่องในวาระดิถี งานฉลองสมณศักดิ์ ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ลูกและครอบครัวขอกล่าวคำสดุดีหลวงพ่อ ที่มีมหากรุณาธิคุณ เป็นผู้ช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

โดยสอนมโนมยิทธิ ทำให้ลูกและลูกศิษย์ทั้งหลายได้ไปเห็นพระนิพพาน ได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ และพระอรหันต์บางองค์ และยังสามารถได้เห็นของที่เป็นทิพย์ ตลอดจนสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาในสมัยพระพุทธกาล และอื่นๆ อีกมากมาย

เท่ากับหลวงพ่อเป็นผู้ช่วยเปิดประตูสวรรค์ ประตูพระนิพพาน ให้แก่ลูกศิษย์ทั้งหลาย ลูกและครอบครัวจึงขอกราบนมัสการกราบขอบพระคุณในมหากรุณาธิคุณของหลวงพ่อมา ณ ที่นี้ด้วย

ในที่สุด ลูกและครอบครัว ขอกราบอัญเชิญพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยเจ้าทั้งหลาย คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

จงได้โปรดเมตตาดลบันดาลให้หลวงพ่อพระราชพรหมยาน จงประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ สมปรารถนาทุกประการ และปราศจากโรคภัย อันตรายทั้งปวง และขอจงโปรดได้อยู่เป็นร่มโพธิ์มิ่งขวัญได้สั่งสอนลูกศิษย์ต่อไปตราบนานเท่านานที่หลวงพ่อจะพึงปรารถนาเทอญ


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/1/10 at 19:55 [ QUOTE ]



พันเอก ประดิษฐ์ เผ่าวิพัฒน์


"..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.."


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ในหนังสือธรรมะที่หลวงพ่อได้เรียบเรียงขึ้นนั้น หลายเล่มได้กล่าวถึง เทวดา พรหม นิพพาน ว่ามีจริง มีพระสูตรต่างๆ อ้างอิงไว้ และย้ำว่า ไม่ยากเกินวิสัยที่จะไป หลวงพ่อเน้นหนักไปที่พระนิพพาน ซึ่งว่างอย่างยิ่งจากราคะ โลภะ โทสะ โมหะ และเป็นสุขอย่างยิ่งไม่มีความขัดข้องแม้แต่น้อย ทั้งไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

เมื่อแรกรู้จักหลวงพ่อ ผมได้ไปทำบุญ ที่บ้านเลขที่ 9 ซอยสายลม วันหนึ่ง..ในขณะที่หลวงพ่อกำลังบรรยายธรรมอยู่แล้ว ผมเพิ่มไปถึง จึงได้นั่งฟังอยู่ห่างๆ ระหว่างฟังธรรม ผมได้คิดไปชั่วขณะว่า พระนิพพานนั้น บุคคลจะต้องบำเพ็ญบารมีให้มากพอ จึงอยู่ในวิสัยที่จะไปได้ ชาตินี้เราจะขอทำบุญให้มากก่อน ขอไปในชาติหน้าถัดๆ ไปจะเหมาะกว่าชาตินี้

เมื่อหลวงพ่อได้บรรยายธรรมจบ ตอนก็หยุดพัก เพื่อเปิดโอกาสให้สาธุชนถวายทาน และถามปัญหา ผมได้เข้าไปถวายจตุปัจจัย แล้วกราบหลวงพ่อ หลวงพ่อได้เอามือตบหลังเบาๆ พร้อมกับพูดว่า

“ให้เอาชาตินี้ อย่ารอชาติหน้า” โดยที่ผมยังไม่ได้เอ่ยวาจากราบเรียนหลวงพ่อแต่อย่างไร..!

หลวงพ่อสอนพระกรรมฐานตามอัชฌาสัย สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ สาธุชนเลือกเจริญตามใจชอบ มีตำรา คู่มือปฏิบัติ และมีหนังสืออ่านประกอบพร้อมสรรพ การสอนวิปัสสนากรรมฐานภาวนา ก็สอนให้ทั้ง 3 นัย มีสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์

นัยทั้งสาม ได้แก่ อริยสัจสี่ ขันธ์ห้า และวิปัสสนาญาณเก้า สอนให้ดำเนินตามอย่างพระอริยบุคคล เริ่มต้นตั้งแต่พระโสดาบันก่อน เน้นหนักที่อัชฌาสัย พระโสดาบัน กล่าวให้คล้องจองกัน เพื่อจำง่าย คือ พระไตรรัตน์เป็นที่พึ่ง หมั่นระลึกถึงความตาย ถือศีลห้าอย่าให้หาย ชาตินี้ตายขอนิพพาน และสอนให้ปฏิบัติพระกรรมฐานกองต่างๆ ประสมกัน

เช่น พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ กายคตานุสสติ มรณานุสสติ สีลานุสสติ อุปสมานุสสติ เน้นหนักที่ อานาปานุสสติ เป็นต้น ส่วน พระมหาสติปัฏฐานสี่ นั้น เป็นขั้นดำเนินตามอย่างพระอนาคามี พระอรหันต์

แม้หลวงพ่อจะอาพาธหนักเพียงใดก็ตาม ถ้ายังนั่งได้ ยังมีเสียงพูดได้ หลวงพ่อจะอดทนทรงกายไปโปรดสาธุชนมิได้ขาด ปุถุชนเช่นผม..ไม่สามารถพรรณนาพระคุณหลวงพ่อให้ครบถ้วนได้..!!!


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/1/10 at 09:46 [ QUOTE ]



น.พ. ประวิทย์-พรพิมล สินไชย, น.พ. ศรีเกียรติ – วิไล ธนะวรวิบูลย์,
พฤนทา สัตยธรรม , อังสนา ถนอมวงศ์ทัย


สดุดี “พระราชพรหมยาน”



หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

ลูกๆ มีความชื่นชมยินดี ที่หลวงพ่อได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็น “พระราชพรหมยาน” ซึ่งเป็นเกียรติ คุณงามความดีทางโลก พวกเราได้สำนึกในความเมตตา กรุณา ของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นองค์แรกที่ได้ชี้แนะทางปฏิบัติให้พวกเราได้เข้าใจพระพุทธศาสนา..ได้รู้..เห็น..ถึงมรรคผล นิพพาน

พร้อมกันนี้ ลูกๆ ขออนุโมทนา และขอให้หลวงพ่อจงเป็นที่พึ่ง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรตราบนานเท่านาน.

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/1/10 at 09:50 [ QUOTE ]



วราภรณ์ แซ่ลิ้ม


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ลูกระลึกถึงพระคุณของหลวงพ่อ ที่ให้ความเมตตาต่อลูกมาก ตั้งแต่ลูกได้พบพ่อมา พ่อก็มีแต่ความเมตตา ให้กับลูกเสมอ ลูกเป็นผู้ด้อยด้วยปัญญา และมีความโง่เป็นกำลัง ในบางครั้ง ลูกทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พ่อก็เมตตาอภัยให้กับลูกเสมอ

เมื่อลูกมองไม่เห็นทาง พ่อก็เป็นดวงประทีป ส่องแสงสว่างให้กับลูก ให้ลูกได้รู้ ได้เห็นทางเดินที่ถูกต้อง มีหลายครั้ง ที่ลูกจะเดินผิดทาง พ่อก็เมตตาสังเคราะห์ ให้ลูกได้รู้ว่า นั้นไม่ถูก ทำให้ลูกได้สติขึ้นมา พระคุณของพ่อยิ่งใหญ่มหาศาล จนไม่มีสิ่งอื่นใดในโลกนี้ ที่จะเปรียบได้

ในบางครั้งพ่อได้เดินทางไปสังเคราะห์ในที่ต่างๆ ลูกก็ได้ติดตามพ่อไป พ่อก็ให้ความเมตตาต่อลูกมาก ลูกได้รับความเมตตาจากพ่อแล้ว ลูกมีความปิติใจ อิ่มใจ และสุขใจ เป็นอย่างมาก ซึ่งความเมตตาทั้งหลายเหล่านี้ ลูกไม่เคยได้รับจากใครมาก่อน

พ่อคะ พ่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่ของลูกทุกคน พ่อเป็นที่พึ่งที่สุดท้ายของลูก ตลอดชีวิตนี้ลูกมีพ่อเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นกำลังใจ เป็นที่พึ่งที่อาศัย ลูกขอถวายชีวิตให้กับพ่อ ตลอดชีวิตนี้ ลูกไม่อาจจะทดแทนพระคุณของพ่อได้ ลูกจะปฏิบัติตามคำสอนของพ่อให้ดีที่สุด เพื่อเป็นปฏิบัติบูชา บูชาในพระคุณของหลวงพ่อ

สิ่งใดก็ตามที่ลูกได้ล่วงเกินหลวงพ่อด้วยวจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี กายกรรมก็ดี ด้วยตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี รู้หรือไม่รู้ก็ดี ทั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ลูกกราบขอขมาหลวงพ่อ ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาสงเคราะห์ยกโทษให้แก่ลูกๆ ทุกคน ตั้งแต่บัดนี้จนตราบเข้าสู้พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด.


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/1/10 at 10:01 [ QUOTE ]



วัชรา จึงถาวรเจริญ


"..เพื่อนเดินทาง.."


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........ข้าพจ้าเป็นอีกผู้หนึ่งที่เชื่อในพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ และสังฆานุภาพ ขอให้ยึดมั่นอย่างแท้จริง มีผลแน่ ขอเล่าจากประสบการณ์สัก 1 เรื่อง

เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 31 ข้าพเจ้าเดินทางจากกรุงเทพฯ กลับไปบ้านที่ด่านทับตะโก อ. จอมบึง จ. ราชบุรี ก็นัดให้น้องเอารถมารับ จะกลับมืด รถเมล์หมดไปแล้ว แต่ไม่เจอน้อง ก็เลยต้องเดินกลับ ระยะทางก็ 15 กม. ช่างมัน..เดินเป็นเดินซิ ไหนๆ เราก็มาแล้ว จะจ้างรถก็แพงเดินดีกว่า อาจมีรถจอดรับก็ได้

เริ่มเดินข้าพเจ้าก็อาราธนาบารมีมาเสียหมด ไม่ใช่กลัวผีนะ แต่กลัวคน เดินไปก็ภาวนา "พุทโธ" ไป เงียบดีจริงๆ เวลาขณะนั้น ก็หนึ่งทุ่มกว่าๆ นานๆ จะมีรถวิ่งผ่านๆ ไปมาสักคันหนึ่ง จะให้โบกรถกลับน่ะ ไม่เอาแน่ แต่ถ้ารถจอดรับล่ะก็เอา เดินไปได้สักพัก ก็ได้ยินเสียงคนคุยกันกลุ่มใหญ่ ลอยตามหลังมา เสียงดังชัดเจน แต่จับใจความไม่ได้

ก็คิดว่า คงเป็นชาวบ้านออกหาปลาข้างทาง เพราะน้ำมาก ที่บ้านก็ได้ข่าวว่าน้ำท่วม ชักสงสัย เสียงใกล้เข้ามา แต่หันไปมองก็ไม่เห็นมีใคร เวลานั้นเดือนหงายด้วย หรือว่าคนอยู่ใกล้นี่..ช่างเถอะ แล้วค่อยดูใหม่ เดินต่อดีกว่า พอมีรถใหญ่ผ่านมาก็หันไปดู เอ..ไม่เห็นมีใครเลย ถ้ามีไฟหน้ารถส่องมา ก็ต้องมองเห็นซิ นี่ไม่มีเลย เดินต่อดีกว่า ภาวนา "พุทโธ" ไปด้วย จิตใจสบายดี

เดินไปสักพักหนึ่ง เสียงคนคุยกันไปลอยอยู่ข้างหน้าอีก คงเป็นชาวบ้านออกหาปลา ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็มีชาวบ้านเป็นเพื่อน เสียงรถยนต์มาแล้วขอดูให้แน่ๆ ซิว่าใช่คนหรือเปล่า ไม่มีคนอีก หายโง่เลยตอนนี้

รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที เราได้เพื่อนเดินทางแล้ว เพื่อนที่ไม่ใช่คนเสียด้วย เดินต่อแบบสบายๆ ข้าพเจ้าสังเกตุได้อีกอย่างหนึ่งว่า รถยนต์ที่วิ่งมา พอใกล้จะถึงตัวข้าพเจ้า เขาจะเร่งเครื่องขึ้นทันที สงสัยคงคิดว่าเป็นผีมาเดินเล่นกระมัง ก็ดีเหมือนกัน

เดินต่อไปได้ 8 กม. กว่า ดูจากหลักเสาข้างทาง จะมีบอกทุกๆ 1 กม. นี่เราก็เก่งเหมือนกันนะ เดินได้ตั้งไกล กำลังเดินเพลินๆ มีรถตามหลังมาจอดถามข้าพเจ้าว่าจะไปไหน ก็ตอบว่าจะไปด่านทับตะโก เขาก็จ้องหน้า บอกให้ไปด้วยกัน เขาจะไปกาญจนบุรีผ่านด่านฯ พอดี ข้าพเจ้าก็ขึ้นไป เขาก็จ้องหน้าอีก แล้วถามว่าไม่ใช่ผี ไม่ใช่นางไม้นะ

ข้าพเจ้าตอบว่า ไม่ใช่ทั้งผี ไม่ใช่ทั้งนางไม้ เป็นคนธรรมดา ดูเขากลัวๆ ชอบกล ก็น่าให้กลัวหรอก ตั้ง 3 ทุ่มกว่าแล้ว จะมีผู้หญิงที่ไหนมาเดินอย่างนี้ ก็คุยกันตามเรื่องตามราว พอถึงด่านทับตะโก ลงรถเสร็จก็ขอบคุณเขาที่รับมาด้วย (ไม่ต้องเดินถึง 15 กม.)

ข้าพเจ้าเดินไปถามร้านค้าซึ่งรู้จักกันดีว่า น้องเอารถเครื่องมาฝากไว้หรือเปล่า เขาว่า น้องเอารถเครื่องกลับ ทิ้งรถใหญ่ไว้ น้ำท่วมทางมาก กลัวน้ำพลัดรถไป ข้าพเจ้าว่า งั้นจะขับรถกลับเอง เขาว่ามันอันตรายนะ ค้างที่นี่เถอะ บอกเขาว่าไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว อีกแค่ 2 กม. ก็ถึงบ้าน กลับเลยดีกว่า (ถอยรถยังไม่ค่อยจะเป็นเล้ย) เขาว่างั้นก็ตามใจ

ข้าพเจ้าก็ขับรถกลับ มือก็กำ "ลูกแก้ว" ที่ห้อยคอไว้เป็นประจำ ปากก็พูดว่า หลวงพ่อเจ้าขาช่วยลูกด้วยนะเจ้าคะ ให้ลูกถึงบ้านปลอดภัย เสียงแซ้กๆ ข้างหลังรถ โอย! โล่งอก ใกล้ๆ ถึงบ้านน้ำท่วมมากจริงๆ เกือบมิดล้อรถ น้ำแรงเหมือนกัน แต่ก็ถึงบ้านปลอดภัย เจอหน้าพี่ๆ ถามว่ามาได้ไง..?

ตอบไปว่า "หลวงพ่อมาด้วย..!"

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/2/10 at 10:21 [ QUOTE ]



ปาริชาติ แสงหิรัญ

"กราบพ่อ.."


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


โคลงสี่สุภาพ

........ยกหัตถ์นบนอบน้อม พุทธองค์ ถ้วนเอย
อีกพระธรรมพระสงฆ์ ทั่วหน้า
ลูกนี้จะประจง แต่งกาพย์ ถวายพ่อ
โปรดประทานพรข้า เก่งกล้ากลกานท์

ยานี 11
นบนอบศิระเกล้า บังคมเหล่าพระจอมไตร
พระธรรมพระสงฆ์ไท้ ลูกกราบไหว้ขอปัญญา
ตั้งจิตลิขิตเขียน ต่างธูปเทียนเครื่องบูชา
พระพ่อผู้เมตตา พร่ำวอนว่าหวังลูกดี

พ่อจ๋าลูกรักพ่อ พระผู้ก่อเกื้อชีวี
พ่อหมายให้ลูกนี้ ล่วงวิถีโลกีย์กาม
ธรรมะพ่อมีให้ ในทุกแบบกระบวนความ
สงสัยไม่ต้องถาม พ่อตามตอบให้ชอบใจ

โอกาสควรชี้แนะ พ่อแยกแยะแถลงไข
ชี้แจงแสดงให้ เข้าใจสารัตถธรรม
พ่อลูกรู้ลำเค็ญ จึงเคี่ยวเข็ญสั่งสอนนำ
ให้คิดพูดและทำ เฉพาะกรรมที่เป็นบุญ

ศีลาจารวัตร ทานปฏิบัติถือเป็นทุน
กอปรไว้เพื่อเกื้อหนุน กำแพงบุญกั้นอบาย
สังโยชน์ให้หมั่นละ อเสกขะกำหนดหมา
ฝึกจิตให้แยบคาย เมื่อชีพวายไปนิพพาน

วิชชาพุทธศาสน์ พ่อฉลาดสอนลูกหลาน
แนะนำทั้งแปดญาณ ผ่านมโนมยิทธี
ได้ญาณลูกได้รู้ ความเป็นอยู่ของชีวี
ทุกข์โศกโรคภัยมี เป็นที่กรรมตามถึงตน

เรื่องโลกโลกียเภท พ่อแจงเหตุและบอกผล
ให้ลูกยึดกุศล ผลกรรมบถปลดทุกข์ลง
พ่อเกรงลูกระเริง ประมาทเหลิงมิมั่งคง
หมั่นย้ำจี้ซ้ำลง ตรงที่จิตไม่พิจารณ์

พ่อสู้ทรงสังขาร ขนบริวารไปนิพพาน
ให้พ้นโอฆสงสาร พ้นทรมานในวัฏภัย
บารมีพ่อคุ้มครอง คอยโอบอุ้มทุกสมัย
แม้อยู่ไกลแสนไกล ใจถึงพ่อทุกข์ก็หาย

เมื่อลูกตกระกำ ถูกกระทำหวังให้ตาย
ด้วยไสยและมนต์พราย พ่อได้ช่วยป้องรักษา
เมื่อยามลูกเจ็บป่วย แทบม้วดม้วยมรณา
ด้วยกรรมทำปาณา พร่าชีวิตแต่หนหลัง

ลูกได้อาศัยพ่อ ผดุงก่อเกิดกำลัง
ใจมั่นขันติยัง ประทังให้คลายเวทนา
ยามจิตลูกสับสน กลุ้มกังวลบ่วงมายา
เทวษไห้โหยหา เห็นหน้าพ่อพอชื่นใจ

ยามลูกคิดข้องขัด มารรุมรัดร้อนฤทัย
หงุดหงิดเหลือวิสัย ได้พบพ่อก็เย็นลง
ยามลูกโศกเศร้าสร้อย แสนระห้อยระเหี่ยองค์
ญาติมิตรปลิดปลดปลง คงเหลือพ่อพออุ่นใจ

ทุกคนคือลูกน้อย ที่พ่อคอยเฝ้าห่วงใย
สอดส่องคุ้มผองภัย ให้จิตมั่นพระนิพพาน
พ่อป่วยเจ็บแสนทุกข์ กายไม่สุขสักวันวาร
ไม่ละธรรมทาน การสอนสั่งหวังลูกดี

ด้วยจิตกตัญญู หวังเชิดชูพระคุณนี้
ลูกจึงชวนน้องพี่ มีชมรมเผยแพร่ธรรม
ชื่อว่า วิชชุเวทย์ ถือเป็นเขตมีพ่อนำ
คำสอนลูกจดจำ ธรรมทั้งหลายหมายนิยม

ดีใดพึงบังเกิด กิจกำเนิด ณ ชมรม
ลูกขอน้อมประนม บังคมถวายบุญกุศล
ขอองค์พระพ่อเจ้า ปกป้องเกล้านฤมล
ขอพระยั่งยืนชนม์ เป็นสุริยนส่องดวงมาลย์

เกียรติศักดิ์ให้ปรากฏ สมพระยศ ราชพรหมยาน
พิสุทธิ์เล่าลือขาน ปัญญาญาณเกริกตระการ
กรุณาท่านท่วมโลก ดับทุกข์โศกเหล่าบริวาร
ตั้งใจขนลูกหลาน ไปนิพพานทุกๆคน

พ่อเอย พระพ่อแก้ว เลิศยิ่งแล้วในสากล
เป็นบุญลูกล้นพ้น ดลพบพ่อผู้ร่มใจ
ลูกกราบพระไตรรัตน์ โปรดขจัดสรรพโรคภัย
ให้พ่อหายเจ็บไข้ ไม่มีภัยมาแผ้วพาน

ขอพ่อจงเพ็ญสุข กายอย่าทุกข์ทรมาน
อุปสรรคอย่ารังควาน สำราญรื่นทุกคืนวัน
ขอพ่อเป็นร่มฉัตร พุทธบริษัทและตัวฉัน
ชนมายุยืนมั่น คอยลูกนั้นเข้านิพพาน

กาพย์นี้แทนดอกไม้ น้อมจิตไหว้ต่างชวาล
เศียรนบแทบบทมาลย์ งานเฉลิมพ่อขอมงคล


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/2/10 at 09:12 [ QUOTE ]



สมศรี ตั้งศิริพร


ความประทับใจของข้าพเจ้าที่มีต่อพระราชพรหมยาน


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"..........ในปัจจุบันมีพระสุปฎิปันโน ผู้ปฎิบัติชอบมากมายหลายพระองค์ พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำก็เป็นพระอริยเจ้าองค์หนึ่งที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือในคุณความดีของท่านมากที่สุดองค์หนึ่ง

ข้าพเจ้ายังจำได้ดี ถึงสายตาที่หลวงพ่อมองข้าพเจ้า ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าไปนมัสการท่านที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งแถวกรมสรรพวุธ บางนา ซึ่งมีทั้งความเมตตาและความกรุณาอย่างหาที่เปรียบมิได้ นับตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงปัจจุบัน

หลวงพ่อท่านก็ได้มีเมตตาต่อข้าพเจ้ามาตลอดมิได้เสื่อมคลาย แม้ว่าท่านจะได้รับทุกข์เวทนาจากการป่วยไข้ไม่สบายอย่างมากมายเพียงใดก็ตาม แต่ท่านก็ได้มีพรหมวิหาร 4 อย่างมาก ซึ่งเวลาที่ข้าพเจ้าป่วยไข้ไม่สบายมาก ข้าพเจ้าก็อดที่จะคิดถึงความดีของหลวงพ่อมิได้ว่า ถ้าหากเป็นข้าพเจ้าคงจะไม่สามารถมีขันติ และอุเบกขาได้เท่ากับเศษของความดีของท่านเลย

และทำให้ข้าพเจ้ายิ่งมีความห่วงใยและความรักเทิดทูนบูชาความดีของหลวงพ่อมากขึ้นๆทุกที จนกระทั่งข้าพเจ้าปฏิญาณว่าจะพยายามประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งและคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐที่หลวงพ่อได้มีเมตตานำมาแนะนำสั่งสอน โดยเต็มความสามารถตราบเท่าที่ชีวิตยังมีอยู่

ข้าพเจ้าถือว่า หลวงพ่อท่านเป็นพระอริยสงฆ์ผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งนี้เพราะท่านเป็นผู้แนะนำสั่งสอนทางแห่งการปลดเปลื้องความทุกข์ แต่ก่อนนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่มีแต่ความทุกข์ ประสบแต่ความผิดหวัง แต่เมื่อ
ข้าพเจ้าได้มาพบหลวงพ่อ ได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วบรมศาสดา จากหนังสือและเทปธรรมะของหลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ค้นพบทางแห่งการปลดเปลื้องความทุกข์ออกจากจิต

ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนจากผู้ที่แบกความทุกข์ หรือผู้ที่รับทุกข์ มาเป็นผู้ที่มองเห็นความทุกข์ แต่ไม่ปรารถนาจะแบกมันไว้อีกต่อไป ข้าพเจ้าจะปล่อยวางทั้งความทุกข์และความชั่วทั้งปวงออกจากจิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเป็นพุทธศาสนิกชนผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู เพื่อจะเป็นผู้พ้นทุกข์เมื่อพ้นจากโลกนี้ไปแล้วให้จงได้

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเป็นผู้นำความสุขมาสู่ข้าพเจ้าและครอบครัวตลอดจนทุกท่านที่ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง เพราะท่านได้ค้นหาวิชามโนมยิทธิ ด้วยความยากลำบากมาให้ลูกหลาน และพุทธบริษัททุกท่าน ซึ่งต้องการพิสูจน์ให้สิ้นสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้ค้นพบทางแห่งความสุขอย่างแท้จริง และได้เข้าถึงพระไตรสรณคมน์อย่างแท้จริงได้ด้วยมโนมยิทธิของหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามิได้นับถือพระพุทธศาสนาด้วยอธิโมกขศรัทธาหรือตามความนับถือของวงค์ตระกูล แต่ข้าพเจ้าได้พิสูจน์และได้ค้นพบด้วยตนเอง แล้วจนหมดสิ้นความสงสัยใดๆอีกต่อไป

ข้าพเจ้าใคร่ขอให้ทุกท่านที่ปรารถนาความสุขและพ้นจากความทุกข์ จงได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งท่านสามารถศึกษาได้จากหนังสือหรือเทปธรรมะของหลวงพ่อที่ท่านได้มีเมตตาจัดทำขึ้น แล้วท่านก็จะได้พบความสมหวังในความสุขอันแท้จริง และพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ทั้งในปัจจุบันและในภายหน้าเมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว

สังโฆอัปปะมาโณ ถ้าจะให้พรรณนาถึงความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าถ้อยคำใดๆ ในโลกนี้ก็ไม่สามารถจะบรรยายได้หมดสิ้น ถ้าท่านทั้งหลายเป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านก็จะเห็นด้วยกับข้าพเจ้าที่ว่าสมณศักดิ์ “พระสุธรรมยานเถระ” นั้น เหมาะสมอย่างยิ่งกับหลวงพ่อเพราะท่านเป็นพระเถระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านได้นำพระธรรมคำสั่งสอนอันดีงามอย่างยิ่งขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วมาเผยแพร่ และสมณศักดิ์ “พระราชพรหมยาน” นั้นก็เหมาะสมกับหลวงพ่อด้วยประการทั้งปวง

เพราะคุณความดีของหลวงพ่อที่ประทับใจข้าพเจ้าอย่างยิ่งก็คือ การเปี่ยมล้นไปด้วยพรหมวิหาร 4 ของหลวงพ่อ ที่มีต่อบุคคลทุกหมู่เหล่า ไม่เลือกว่าใครตลอดเวลา ซึ่งเห็นได้จากผลงานต่างๆของหลวงพ่อที่ปรากฎแก่สาธุชนทั่วไปทั้งที่วัดจันทาราม จังหวัดอุทัยธานี และที่อื่นๆ


◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/2/10 at 09:40 [ QUOTE ]



พลอากาศตรี สุกิจ - เฉลิมพันธุ์ เสมาเงิน


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑
"..........พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นผู้มีพระคุณแก่ลูกและครอบครัวอย่างยิ่ง หลวงพ่อได้แผ่เมตตามาให้อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ

หลวงพ่อได้ก่อสร้างและทำทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อประโยชน์แก่การเผยแพร่พระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เช่น สร้างพระจุฬามณี, พระชำระหนี้สงฆ์, วิหาร 100 เมตร เป็นต้น

หลวงพ่อได้สอนให้ลูกๆ ได้เข้าใจว่า ผลบุญในการทำทาน เช่น ถวายสังฆทานนั้นจะเป็นบุญที่จะติดตามเราไปได้ทุกๆชาติ จึงมีผู้ทำบุญกับหลวงพ่อไม่ขาดสาย

ลูกขอกราบบูชาพระคุณของหลวงพ่ออย่างสูงยิ่ง

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top