Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 29/7/10 at 15:44 [ QUOTE ]

คำตอบ..ผู้แจ้งทางอีเมล์เรื่อง..นิพพาน (ทางลัด) วัดท่าซุง


.......เนื่องจาก คุณ roong ได้อีเมล์มาแจ้งทีมงานฯ ว่ามีคำถามคำตอบอยู่ในเว็บแห่งหนึ่ง จึงขอขอบคุณที่หวังดีได้นำมาแจ้งให้ทราบดังนี้....



สอบถามศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำค่ะ เรื่องการนั่งกรรมฐานค่ะ

(www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9512334/Y9512334.html)

เมื่อประมาณต้นเดือนดิฉันมีโอกาสได้ทำบุญและได้นั่งกรรมฐานกับพระที่วัดในเยอรมัน
วัดนี้เป็นวัดตามแนวทางของหลวงพ่อฤาษีลิงดำค่ะ การนั่งกรรมฐานก็นั่งกับพระท่านเป็นคนสอน
ดิฉันนั่งอยู่สองวัน คือวันเสาร์และวันอาทิตย์ การนั่งนั่น พระท่านก็บอกกับเราว่า
นั่งท่าที่เราคิดว่าสบายๆ ไม่ต้องเคร่ง กำหนดลมหายใจแบบไม่อึดอัด
มีการนั่งแบบสงบประมาณ 10 นาที หลังจากนั้น พระท่านจะพูดนำว่า (คร่าวๆ นะคะ เพราะจำได้ไม่หมด)
พระท่านพูดนำว่า " ตอนนี้ขอให้เรานั่งกำหนดถึงพระพุทธเจ้า ... เห็นพระพุทธเจ้าไหม? ... พระพุทธเจ้าแต่งกายแบบไหน "

พระท่านพูดนำอีก " เห็นกายทิพย์ของเราไหม แต่งตัวอย่างไร "

ดิฉันได้ยินบางคนตอบพระท่านว่า " เห็นพระพุทธเจ้าทรงชุดด้วยเพชร ทอง แพรวพราว
เห็นกายทิพย์ของตัวเองในชุดชฎา สะไบ สร้อย (ดิฉันฟังแล้วคล้ายๆการแต่งกายของนางละคร)"

(เรื่องการแต่งกายที่ดิฉันบอกว่าคล้ายนางละคร เพราะดิฉันเขียนบรรยายไม่ถูกจึงขอเรียกแบบนี้นะคะ)

เมื่อพระท่านถามดิฉันเห็นแบบไหน ดิฉันตอบว่า " เห็นตนเองในชุดขาวธรรมดา"
ท่านก็บอกว่า " ลองตั้งจิตอธิฐานขอให้เห็นกายทิพย์... (จำไม่ได้ค่ะ) "
แต่ดิฉันก็ยังไม่เห็นตัวเองในชุดแบบนางละครตามที่พระท่านบอกเลย

จากวันที่ได้นั่งกรรมฐานดิฉันไม่มีโอกาสได้ถามคำถามที่ดิฉันข้องใจกับพระท่านเพราะดิฉันต้องรีบกลับบ้านค่ะ

และดิฉันมีคำถามขอสอบถามท่านที่เคยได้ไปปฎิบัติธรรมที่วัดท่าซุงกับหลวงพ่อ
หรือท่านที่มีความรู้เรื่องกรรมฐานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำหน่อยค่ะ

++ การนั่งกรรมฐานในแบบหลวงพ่อ เราต้องมีมโนจิตเห็นภาพนิมิต ที่มีแสงแพรวพราว
อย่างเช่น กายทิพย์ที่เห็นแบบการแต่งกายคล้ายนางละคร
หรือการที่พระท่านบอกว่า " เห็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าไหม"
ก็มีคนบอกว่า " เห็นค่ะ มีแสงแพรวพราวดุจเพชร "

แล้วทำไมดิฉันไม่เห็นแบบนั้นละค่ะ ดิฉันต้องฝึกเพิ่มใช่ไหมค่ะ

++ การที่หลวงพ่อบอกว่า "ให้เข้าไปกราบพระพุทธเจ้า ใครกราบที่ไหนบ้าง"
บางคนบอก " กราบที่ตัก "
แต่ในมโนจิตของดิฉัน กราบได้แค่ปลายเท้า
พอพระท่านให้ลองหน้าพระพุทธ ดิฉันก็ไม่สามารถเห็นได้เลย

ในเรื่องของนิมิตที่เห็นจากกรรมฐานนั้นดิฉันพิจารณาว่า ที่ดิฉันเห็นกายทิพย์
ของดิฉันเองในแบบชุดขาวนั้น ตอนเห็นดิฉันรู้สึกอิ่มเอิบกับภาพ แต่พอพระท่านให้ลองเปลี่ยนมาเห็นอีกแบบ
ดิฉันรู้สึกฝืนๆยังไงไม่ทราบค่ะ แล้วก็เลยไม่เห็นภาพนั้น

ขอคำแนะนำจากท่านผู้รู้ด้วยนะคะ ว่าดิฉันควรปฎิบัติอย่างไร ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

ปล กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ตั้งที่ห้องนี้ค่ะ ถ้าใช้คำที่ไม่เหมาะต้องขออภัยด้วยนะคะ

จากคุณ : p-annipe
เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 53 21:15:29




ความคิดเห็นที่ 1

จริง ๆ ต้องถามพระอาจารย์ท่านแหล่ะครับ ว่าต้องวางจิตอย่างไร
เห็นกายทิพย์ของตัวเองได้แล้วถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ

เรื่องคำที่ใช้คิดว่าไม่มีปัญหา แต่อาจจะมีปัญหาที่เนื้อเรื่องครับ เพราะบางท่านที่นี่ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ และอาจจะออกมาแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสม หรืออาจจะทำให้เราเขว

แนะนำว่าลองไปถามที่บอร์ดเว๊ป..... ครับ
ดูแทปด้านซ้าย ไปที่ บอร์ด ถ้าหาไม่เจอเลื่อนลงมาเรื่อย ๆ ครับ
แล้วเลือกห้องย่อย อภิญญา-สมาธิ
แล้วจะมีห้องย่อยให้เลือกสายของพระอาจารย์แต่ละท่านอีกที
แล้วโพสต์ถามที่นั่นครับ

จากคุณ : RadiS
เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 53 22:09:02



ความคิดเห็นที่ 2

ภาพที่เห็นในนิมิตนั้น ตอบได้ว่าไม่เป็นความจริง เพียงแต่เกิดขึ้นจากจิตของเราเองที่สร้างภาพนิมิตขึ้นจากการโน้มนำของพระผู้ควบคุมการทำสมาธิเท่านั้น

กรรมฐานที่ถูกต้อง หลวงพ่อสอนว่า เมื่อเกิดนิมิตขึ้น ให้กำหนดรู้ว่าเกิดขึ้น แล้วปล่อยวาง อย่าไปต่อเติมเสริมแต่งหรือคลอยตามนิมิตนั้น คล้ายกับการกำหนดให้จิตว่าง คือไม่มีนิมิตใดเกิดขึ้น แต่จิตต้องกำหนดรู้ตัวตลอดเวลา ไม่ใจลอยไปลอยมา

การกำหนดภาพนิมิตขึ้นในจิตจะทำให้จิตหลงไปได้ เกิดความยึดมั่นถือมั่น หรืออัตตาขึ้นกับตนเอง

ปัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อใด จิตจะบอกให้เรารู้เองว่านี่เป็นของจริง เป็นปัจจังตัง เวทิตัพโพ ... ผู้รู้พึงรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่นบอกให้รู้

จากคุณ : ลุงแก่
เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 53 22:13:59



ความคิดเห็นที่ 3

อยากทราบน่ะครับว่าการฝึกแบบนี้ถูกจริตกับคุณ p-annipe หรือไม่ครับ
เพราะเป็นการฝึกแบบเฉพาะในสายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
และถ้าหากไม่มีความชอบเป็นทุกเดิมก็จะปฎิบัติใหเก้าวหน้าได้ยาก

จากคุณ : เย้~ดีใจจัง
เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 53 22:14:25



ความคิดเห็นที่ 4

หลวงพ่อสอนว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ แต่ไม่ใช่ตาทิพย์

เมื่อครูฝึกถาม ให้ตอบตามความรู้สึกแรกทันที อย่าไปคิดแล้วจึงตอบ เพราะแบบนั้นจะไม่ถูก หลวงพ่อบอกว่า ความรู้สึกแรกจะไม่ผิด

การปฏิบัตินอกเวลานั้น ต้องทำทุกขณะที่มีโอกาส (ทั้งวันได้ยิ่งดี) โดยการภาวนาและกำหนดภาพพระที่เราชอบ ถ้าทำได้แบบนี้ จะทำให้เวลาฝึกมีความชัดเจนมาก (อุปจาระสมาธิ)

รายละเอียดลองดูในเวป....ตามความเห็นที่ 1 ซึ่งสามารถ Download เสียง mp3 ได้

จากคุณ : ak-num (AK-NUM)
เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 53 23:28:19



ความคิดเห็นที่ 5

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแนะนำค่ะ

เดี๋ยวจะลองเข้าไปเวปที่บอกไว้นะคะ

จากคุณ : p-annipe
เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 53 02:08:53



ความคิดเห็นที่ 6

# คุณลุงแก่

ลุงครับ แต่ละบุคคลมีจริตไม่เหมือนกัน อุบายธรรมที่ใช้ก็ต่างกันไป วิธีการฝึกกรรมฐานก็ต่างกัน ดูอย่างสมัยพุทธกาล ทำไมท่านพระสารีบุตร กับท่านพระมหาโมคคัลลาน์ จึงเป็นเอกในด้านที่ต่างกันล่ะครับ ?
ฉันใดก็ฉันนั้นครับลุง ผมไม่แน่ใจว่า ลุงเคยฝึกมโนฯ มาก่อนหรือไม่ และเข้าใจในวิธีการปฏิบัติมากน้อยแค่ไหน ?

อุบายธรรมของท่านมีอยู่ครับ และวิธีการฝึกและตรวจสอบความถูกต้องเพื่อกันอาการ "หลง" ก็มีอยู่ ผมเป็นห่วงครับ ห่วงว่าถ้าเราเอาทิฐิมานะของตัวเองเข้าไปบอกไปกล่าว เรื่องมันจะกลายเป็นคนละอย่างไปเลยครับ

ที่ลุงทำก็ถูกของลุงนะครับไม่ใช่ไม่ถูก กรรมฐานคนละสาย เจตนาที่ผู้สอนจะสอนก็ต่างกันครับ แต่สุดท้ายเป้าหมายคือที่เดียวกันคือพระนิพพานครับ

จากคุณ : ผ้าพับไว้
เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 53 12:51:52



ความคิดเห็นที่ 7

ตอบ จขกท

๑..แล้วทำไมดิฉันไม่เห็นแบบนั้นละค่ะ ดิฉันต้องฝึกเพิ่มใช่ไหมค่ะ


ตอบ... ถ้า "อยาก" จะไม่เห็น ถ้า "ไม่อยาก" จะเห็น

เพราะเมื่อไรที่คุณอยาก กิเลสตัวเบ้อเริ่มมันจะเข้ามาทำให้กำลังกรรมฐานของคุณหย่อนยานลง

จิตคนเราเปรียบเสมือนแก้วใส แต่เนื่องจากกิเลสที่เปรียบเหมือนสิ่งสกปรกได้เข้ามาปิดบังความใสของแก้วใบนี้อยู่นานแล้ว

ถ้าอยากจะเห็นความใสของแก้ว คุณก็จะต้องขัดถูความสกปรกออกไป

การขจัดความสกปรกนั้น ก็คือการทำให้จิตเป็นสมาธิ เมื่อมีสมาธิ กำลังของสมาธิจะไปกด รัก โลภ โกรธ หลง ให้สลบไปชั่วคราว (กิเลสหลับเท่านั้นนะครับ ไม่ได้ตาย.........!!!)

เมื่อไรที่กำลังสมาธิคุณหย่อนยานลง กิเลสเหล่านี้มันก็จะตื่นขึ้นมาทำให้แก้วของคุณหมองและมัวไปเหมือนเดิม

พระพุทธศาสนาท่านสอนไว้ว่า หากจะทำให้กิเลสหลับก็ควร ลด ละ เลิก อารมณ์ต่าง ๆ ต่อไปนี้

- ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อันเป็นวิสัยของกามารมณ์
-. ความผูกโกรธ จองล้างจองผลาญ
-. ความง่วงเหงาหาวนอน ในขณะเจริญทำสมาธิ
- ความคิดฟุ้งซ่าน และความรำคาญหงุดหงิด
- ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติ ไม่แน่ใจว่าจะมีผลจริงตามที่คิดไว้หรือไม่เพียงใด

จะสังเกตได้ว่า คุณจขกท. ".................อยากเห็น..........." และ ".........สงสัยว่า ทำไมตัวเองไม่เห็นเหมือนคนอื่นเขา.............."

มันก็เข้าไปอยู่ในอารมณ์ทั้ง ๕ ข้อที่ทำให้การทำสมาธิไม่ได้ผลนั่นเองครับ

.....................เพราะฉะนั้น ขอให้กลับไปตั้งความคิดใหม่.............

.......................จะเห็นหรือไม่เห็น ช่างมัน ตอบผิด ตอบถูก ช่างมัน

ถ้าเขาถามมา ความรู้สึกอย่างไรให้ตอบไปตามนั้น เท่านี้พอครับ

ประการต่อมา ก็ต้องหมั่นนั่งสมาธิทุกวันครับ วิธีการที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนมาก็คือ

- ก่อนจะนั่งกรรมฐาน ให้คิดว่า "...เราต้องตาย..." ไว้เสมอ คนเราทุกคน เกิดมาต้องตาย ไม่ว่าจะตายแต่เด็ก ตายตอนหนุ่มสาว หรือตายตอนแก่ ทุกคนไม่มีใครรอดจากความตายไปได้ คิดในใจพอนะครับ ไม่ต้องเครียดนะ เหมือนเราคิดอะไรเรื่อย ๆ นั่นล่ะครับ

- จากนั้นก็นั่งสมาธิ โดยกำหนดเวลาไว้ไม่ให้เกิน ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างมาก จะฝึกมโนฯไปในตัว หรือจะว่าแค่ นะมะพะธะ หรือจะพุทโธ อะไรก็ได้ ไม่จำกัดคำภาวนา

- รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์มากที่สุด ถ้ารักษาไม่ได้จริง ๆ จำเป็นจะต้องทำผิด อย่างน้อย ช่วงที่ทำสมาธิต้องรักษาศีล ๕ ให้ได้อย่างเด็ดขาด

พยายามฝึกแบบนี้ทุกวัน ตั้งเวลาไว้เลยว่า จะฝึกตอนกี่โมง แล้วก็ต้องทำตามนั้นให้ได้ครับ

ทำไปเรื่อย ๆ ขอให้ทำทุกวัน สักระยะจะเห็นผลที่ชัดเจนครับ

ข้อสุดท้าย

"...ในเรื่องของนิมิตที่เห็นจากกรรมฐานนั้นดิฉันพิจารณาว่า ที่ดิฉันเห็นกายทิพย์
ของดิฉันเองในแบบชุดขาวนั้น ตอนเห็นดิฉันรู้สึกอิ่มเอิบกับภาพ แต่พอพระท่านให้ลองเปลี่ยนมาเห็นอีกแบบ
ดิฉันรู้สึกฝืนๆยังไงไม่ทราบค่ะ แล้วก็เลยไม่เห็นภาพนั้น..............."

ตอบ

ถ้าให้เดานะครับ เน้นว่าเดานะ เพราะผมก็ไม่ได้เก่งอะไรมาก

วิปัสสนาญาณยังอ่อนไปหน่อยครับ มีความกังวลในร่างกาย

ช่วงแรกที่เห็นภาพพระชัดเจนนั่น จำได้ไหมครับว่า อารมณ์ในจิตเป็นอย่างไร ?
(สบาย ๆ ไม่รู้สึกว่ามีร่างกายที่นั่งกรรมฐานอยู่ใช่ไหม ?)

แล้วตอนที่พระท่านบอกให้ลองเปลี่ยนวิธีการบ้าง อารมณ์ในจิตเป็นอย่างไร ?
(รู้สึกว่า เอ...เราต้องหันไปมองหน้าพระฯท่านแบบนี้หรือเปล่า ?)

ผมเองตอนฝึกแรก ๆ ก็เป็นครับ เพราะจิตมันจะเข้ามาจับที่ร่างกายว่า ตอนนี้เรากำลังมองด้านหน้าท่าน จิตมันจะดึงกลับมาสนใจที่ร่างกาย

..........ซึ่งผิดหลัก ทำให้ยังห่วงกังวลในร่างกายนี้อยู่เต็ม ๆ ผิดเต็ม ๆ ครับ....

พอมารอบหลัง ใช้วิธี "ช่างมัน" อย่างที่บอกไป

ครูฝึกบอกว่าอย่างไร ทำไปตามที่เขาบอก เขาถามอะไรมา ความรู้สึกแรกบอกอย่างไรตอบแบบนั้น ผิดก็ช่างมัน รู้สึกได้เลยว่า "ทำได้อย่างที่ครูบอก"

แม้ภาพมันจะ ".........มืดสนิท......ไม่เห็นภาพอะไรเลยก็ตาม..."

แต่ความรู้สึกมันบอกตามนั้น ผมก็เชื่อตามนั้นครับ

หลังฝึกแล้ว ออกมาทบทวนอารมณ์ตอนฝึกก็เลยถึงบางอ้อว่า เอาจิตไปจับกับร่างกายมากเกินไป จิตยังคิดว่าเรามีตัวตนอยู่ เลยต้องการขยับร่างกายไปแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งผิดหลักของการฝึกมโนมยิทธิตามแบบฉบับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เต็ม ๆ ครับ

....อัตตา โจทยัตตานัง........ ก็เลยต้องมากล่าวโทษ โจทก์ตนเองไว้เสมอ ๆ ครับ

จากคุณ : ผ้าพับไว้
เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 53 13:14:38



ความคิดเห็นที่ 12

เห็นกระทู้น้องไผ่ก็เลยแวะมา พี่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการฝึกสมาธิแบบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ พี่ฝึกสายหลวงพ่อชาตามพระฝรั่งที่นี่ แต่พี่เคยอ่านวิธีฝึกสมาธิเบื้องต้นของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ท่านคลองศิลป์ ศิษย์ของหลวงพ่อให้ความกรุณาเอาลิ้งค์มาฝากห้องนี้ พี่ไม่เห็นว่าท่านสอนเรื่องเห็นกายทิพย์ของตัวเองนะคะ

จากคุณ : Rinta
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 15:40:33



ที่คุณ Rinta บอกมานั้น จะอยู่ในหนังสือ "การปฏิบัติพระกรรมฐานแบบง่าย ๆ " ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ครับ

ในยุคนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านยังสอนอยู่แค่ระดับสุกขวิปัสโก ไม่เน้นเรื่องของความเป็นทิพย์ทางจิตมากนัก เพราะพื้นฐานลูกศิษย์ส่วนใหญ่ต้องการแค่นั้น

ต่อมาราว ๆ ปี พ.ศ. ๒๕๑๘-๑๙ ท่านจึงได้เขียนหนังสือ "คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน" ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามแนวกรรมฐาน ๔๐ ที่ท่านได้เคยศึกษามาจากพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดบางนมโค ปฐมาจารย์ของท่านในอดีต

ปัจจุบันแนวทางการเผยแพร่ของสายพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ จึงมีหลากหลายรูปแบบ

ตั้งแต่ มโนมยิทธิ,สุกขวิปัสโก,มหาสติปัฏฐาน,เตวิชโช,ฉฬภิญโญ,ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ลูกศิษย์ท่านใดจริตแบบไหน สามารถเลือกปฏิบัติได้ครับ

ลองตามรายละเอียดไม่ว่าจะเป็นเสียงธรรม หรือหนังสือ(EBook) ได้ที่

http://www.watthasung.com/home.php

จากคุณ : ผ้าพับไว้
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 17:08:18



ความคิดเห็นที่ 14

ต้องเข้าใจว่าการปฏิบัติมโนมยิทธินี้ ค่อนข้างเน้นเฉพาะกลุ่มลูกหลานหลวงพ่อฤๅษีฯ ครับ

คือกว่าหลวงพ่อจะนำมาสอน ท่านก็ต้องคิดแล้ว เพราะการฝึกมโนมยิทธินี้ ใช้ได้
เฉพาะคนที่มีอุปนิสัยมาในทางฤทธิ์ อภิญญาอยู่แล้ว ท่านไม่ได้ให้มาสร้างของ
ใหม่ แต่ฟื้นของเก่าที่มีอยู่แล้วมาใช้เท่านั้น คนที่มาฝึก 99.99% ถึงได้กันรวด
เร็ว ภายในไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าเราไม่ได้มีความต้องการทางนี้เลย แล้วบังเอิญ
หลุดเข้ามาฝึกโดยไม่จงใจ ถ้าจะไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ต้องเข้าใจตรงนี้
ด้วยครับ มโนมยิทธิเป็นของที่ค่อนข้างเฉพาะเหมือนกัน ไม่ใช่ฝึกได้ทั่วไป

ถ้าคุณ จขกท ไม่ชอบใจในการฝึกแบบมโนมยิทธินี้ แต่ยังต้องการฝึกในสาย
ฤทธิ์-อภิญญา ก็ขอแนะนำการฝึกกสิณสีที่วัดยานนาวา ซึ่งมีความเหมาะสม
สำหรับคนโทสจริต หรือถ้าต้องการแบบทุกคนฝึกได้จริงๆ ก็ขอแนะนำในสาย
วิชชาธรรมกาย ซึ่งมีหลายอาจารย์สอน เช่นที่วัดปากน้ำ หรือวัดหลวงพ่อสดฯ
แต่ผู้เชี่ยวชาญวิชชาธรรมกายส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ไปที่วัดใหญ่แถวคลองสาม
ก็ลองพิจารณาดูนะครับ

แต่ถ้าพอใจในการฝึกนี้แล้ว มีข้อสงสัยอะไร ก็ไปตั้งกระทู้ที่เว็บ.....ก็ได้ครับ
ห้องอภิญญา-สมาธิ และห้องหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ มีผู้เชี่ยวชาญมโนมยิทธิจำนวน
มาก พร้อมให้คำปรึกษาครับ

จากคุณ : ABP@BDZ
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 20:19:20



ความคิดเห็นที่ 15

การฝึกมโนมยิทธิ ผมว่าเป็นการเริ่มต้นวัดใจครับ เพราะถ้าเราคิดว่า การฝึกกรรมฐานโดยมโนมยิทธิ เป็นการฝึกถูกต้อง เราก็จะต้องพัฒนาเพื่อก้าวไปเรื่องของอภิญญาต่อไป

แต่ถ้าใครฝึกไม่ได้ หรือทำได้แล้วแต่คิดว่า เราถูกสะกดจิตหรือนึกไปเอง มันวัดกันตรงนี้ว่า จะได้ไปต่อหรือเปล่าเนี่ยล่ะครับ หรือว่าจะหลุดจากสายนี้ไป

จากคุณ : โกโก้หวานกับน้ำตาลก้อนเดียว
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 21:29:13



ความคิดเห็นที่ 16

เข้ามาดูอีกครั้ง

ขอบพระคุณทุกท่านสำหรับคำแนะนำนะคะ

จากคุณ : p-annipe
เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 00:06:53



ความคิดเห็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง"
เขียนเมื่อ : 29 ก.ค. 53 : 16.00 น.

.....เท่าที่ได้อ่านคำถามและคำตอบ แต่ละท่านตอบได้เป็นอย่างดี แต่ก็แยกแตกประเด็นออกไปอีกมากมาย จึงอยากจะขอสรุปคำถามแรกของคุณ p-annipe ก่อนว่า
.....เรื่องการฝึกของคุณนี้ได้ทำถูกขั้นตอนแล้ว เพราะเป็นพระที่มาจากวัดท่าซุงโดยตรง แต่ในระหว่างที่ฝึกอยู่นั้นได้ยินเสียงผู้ฝึกคนอื่นด้วย จึงทำเกิดความสับสน ทำให้การถามการตอบเกิดความลังเลสงสัย


โดยเฉพาะที่พระถามว่า "เห็นกายทิพย์ของเราไหม แต่งตัวอย่างไร"
แต่ดิฉันได้ยินบางคนตอบพระท่านว่า " เห็นพระพุทธเจ้าทรงชุดด้วยเพชร ทอง แพรวพราว เห็นกายทิพย์ของตัวเองในชุดชฎา สะไบ สร้อย (ดิฉันฟังแล้วคล้ายๆการแต่งกายของนางละคร)"

เมื่อพระท่านถามดิฉันเห็นแบบไหน ดิฉันตอบว่า " เห็นตนเองในชุดขาวธรรมดา"
ท่านก็บอกว่า " ลองตั้งจิตอธิฐานขอให้เห็นกายทิพย์... (จำไม่ได้ค่ะ) " แต่ดิฉันก็ยังไม่เห็นตัวเองในชุดแบบนางละครตามที่พระท่านบอกเลย


.....ความจริงเรื่องนี้ทางทีมงานฯ ก็งงเหมือนกัน แต่พอจะนึกได้ว่า สมัยก่อนมีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อเคยเล่าว่า ตอนที่ท่านขึ้นไปบนพระจุฬามณีครั้งแรก ท่านเห็นเป็นปูน ไม่ได้เห็นเป็นแก้วอย่างที่เขาเห็นกัน ท่านบอกว่าตอนนั้นจิตยังหยาบอยู่ พอตอนหลังก็ขึ้นไปเห็นเป็นแก้วเหมือนเดิม

......ส่วนที่ "ลุงแก่" ตอบเรื่อง "นิมิต" นั้น แตกประเด็นออกไป เพราะมโนมยิทธิไม่ใช่ "นิมิต" แต่เป็นเรื่องของ "ทิพจักขุญาณ" ถ้านำมาพูดก็สับสนกันแน่นอน

1. นิมิต (ภาพที่ตั้งใจให้เกิด) เกิดจากการเพ่งภาพ เช่นกสิณ หรือภาพพระพุทธรูปเป็นต้น แล้วเกิดอุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต ท่านให้ทรงไว้ในจิตเป็นอารมณ์

2. นิมิต (ภาพที่ไม่ตั้งใจให้เกิด) เป็นภาพหรือแสงสีที่ลอยมา ขณะที่จิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่าไม่ให้สนใจ "ภาพนิมิต" เช่นนี้

......ส่วนการฝึกมโนมยิทธิตามที่มีผู้ตอบไว้หลายกรณีก็ถูกต้องแล้วละครับ คือแล้วแต่จริตของแต่ละคน ทั้งนี้ต้องมีความเข้าใจด้วย มิฉนั้นจะปรามาสโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผู้ที่สนใจควรศึกษาให้ถ่องแท้ เพราะการฝึกมโนมยิทธิหรือที่ท่านสอนไว้มีหลายแบบ อย่างที่คุณผ้าพับไว้ตอบ และมีหลายแห่งดังนี้

- วัดปากน้ำ กทม. หลวงพ่อสดสอนมโนมยิทธิแบบ "เต็มกำลัง" แต่ผสมกับกสิณ คือเพ่งภาพพระและกำหนด 7 ฐานไปด้วย
- วัดสะแก อยุธยา หลวงปู่ดู่สอนมโนมยิทธิแบบ "เต็มกำลัง" แต่กำพระหลวงปู่ทวดไว้ในมือด้วย
- วัดท่าซุง หลวงพ่อสอนไว้มี 2 แบบ คือ "ครึ่งกำลัง" และ "เต็มกำลัง"

1. การฝึกวัดท่าซุงแบบ "เต็มกำลัง" ไม่มีครูเข้าไปแนะนำ เพียงแต่เข้าไปช่วยเรื่องพิธีกรรม คือเอาไฟฉายไปส่องที่หน้า, พรมน้ำมนต์ หรือเอาคฑาไปแตะที่ศีระษะ ภาวนา "นะมะพะธะ" แล้วจะเห็นแสงสว่างเป็นทางยาว ครูบาอาจารย์บอกให้พุ่งจิตไปตามนั้น (ก่อนฝึกท่านให้ตั้งจิตไว้ที่ "พระจุฬามณี" ก่อน แล้วเอากระดาษคาถา "นะโมพุทธายะ" คาดไว้ พร้อมกับพนมมือไปด้วย) ในตอนนี้จะมีเสียงร้องและตัวสั่นไปด้วย (เป็นเฉพาะบางคน)

2. การฝึก "ครึ่งกำลัง" มีผู้เข้าไปแนะนำ (ไม่ใช่ถามนำ) ผู้ฝึกจะต้องฟังเสียงแล้วทำตาม ควรควบคุมการได้ยินเฉพาะเราเท่านั้น

- เมื่อจิตมีสมาธิในการรับฟังดีพอแล้ว ผู้แนะนำให้เราทบทวนเรื่องศีล แล้วใช้ปัญญาพิจารณาร่างกาย เพื่อให้จิตสงบจากกิเลส

- จิตของเราเริ่มสะอาดเข้าสู่อุปจารสมาธิ จะเริ่มสัมผัสสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ (อย่าเพิ่งใช้คำว่า "เห็น" เพราะจิตตอนนี้จะเริ่มเข้าสู่ "ทิพจักขุญาณ" คือความรู้สึกทางใจ ยังไม่เป็น "มโนมยิทธิ" คือมีฤทธิ์ทางใจ)

- ถ้าใจเรารู้สึกว่าแต่งชุดขาว หรือกราบที่ส่วนไหนของท่าน ถือว่าไม่สำคัญ ควรทำจิตให้ตั้งมั่นต่อไป ตัดสินใจตัดร่างกายต่อไป (อย่าฟังเสียงคนอื่นแล้วเอาเปรียบเทียบกับตนเอง เรารู้สึกเช่นไรก็พอใจเช่นนั้น ตรงนี้ขอบอกตรงๆ ว่าต้องตัดตายกันเลยนะ ไม่งั้นไม่ได้ผลแน่นอน เพราะจิตระหว่างนี้กำลังสับสนวุ่นวาย)

- ในตอนนี้จิตจะผ่องใสยิ่งขึ้น อารมณ์จาก "ทิพจักขุญาณ" (ตอนนี้ภาพจะชัดเจนหรือไม่ ไม่ควรสนใจ) จะปรับตัวเป็น "มโนมยิทธิ" ทันที (ปรับตัวขณะจิตพุ่งเข้าสู่พระจุฬามณี ในตอนนี้ "ทิพจักขุญาณ" เปลี่ยนเป็น "มโนมยิทธิ" แล้ว)

......กรณีภาพที่เห็นจะชัดเจนและถูกต้องตามความเห็นจริงไปด้วย แต่ยังมีการเห็น 3 ระดับ

- บางคนไปได้แต่ยังไม่เห็น แค่ความรู้สึกเท่านั้น
- บางคนไปได้แต่เห็นแต่มัวๆ ภาพไม่ชัดเจน บางครั้งฟังคำพูดสักพักก็หายไป
- บางคนไปได้เห็นชัดเจนแจ่มใส ไปอยู่ได้นานๆ เริ่มฝึกญาณต่างๆ ได้ดี

.....ทั้งนี้แล้วแต่ ศีล สมาธิ และวิปัสสนาญาณ ของผู้ฝึกด้วย ขอให้ตรวจดูดังนี้....

1. ถ้าศีลดี เข้าจุฬามณีได้ (ถ้าเข้าไม่ได้ ครูฝึกจะบอกให้ตั้งใจรักษาศีล แล้วเข้าไปได้ทันที)
2. ถ้าสมาธิดี ขึ้นไปท่องเที่ยวได้เป็นเวลานาน (วิธีทรงสมาธิ หลวงพ่อบอกให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก วันละ 30 นาที)
3. ถ้าวิปัสสนาญาณดี เห็นได้แจ่มใสชัดเจนทุกภพทุกภูมิ
4. หลังจากผู้ที่ได้ฝึกมโนมยิทธิดีแล้ว ท่านให้ทรงอารมณ์ "พระโสดาบัน" ให้ได้ (ไม่ใช่นำไปดูหวย หรือทำนายทายทัก ต่อไปอุปาทานจะกิน) แต่ถึงอย่างไร ท่านบอกว่ายังอดที่จะถูกล้อเลียนไม่ได้ ทางที่ดีควรทำจิตมุ่งตรงพระนิพพานอย่างเดียว อย่าสนใจคนอื่นจนเกินไป แล้วเราจะพ้นทุกข์ในชาตินี้อย่างแน่นอน เพราะผู้ได้วิชานี้ถือว่าเป็นทางลัดที่สุดแล้ว

.....ขออย่างเดียว..อย่านำมาเป็นปมหรือข้อขัดแย้งกัน มิฉนั้นจะไปไม่ถึงไหน..ทั้งผู้ถามและผู้ตอบ (ตัวเองด้วยรึป่าวก็ไม่รู้นะ) อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ฝึกฝนจากวัดท่าซุงได้ถูกต้อง (ครบถ้วน) ตามแบบฉบับ..ขอรับกระผ้ม..!


(โปรดติดตาม "คำถาม - คำตอบ" อีกต่อไป)


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/8/10 at 11:53 [ QUOTE ]


"...สอบถามท่านที่เป็นลูกศิษฐ์หลวงพ่อฤาษีลิงดำหน่อยครับ.."

(www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9516389/Y9516389.html)

....คือผมอยากสอบถามว่า แนวทางที่หลวงพ่อสอนนั้น ให้ทำมโนยิทธิก่อน เพื่อเห็นสวรรค์ เห็นกายทิพย์ของเรา แล้วต่อจากนั้น เขาต่อไปเป็นวิปัสนากันยังไงครับ....

ผมอ่านมากี่คน ก็ยังฝึกเป็นมโนยิทธิออกรู้เห็นภพภูมิอื่นๆ อยู่น่ะครับ แล้วส่วนที่จะต่อเพื่อเป็นระดับของวิปัสนานั้น ต่อยอดจากการฝึกมโนยิทธิได้อย่างไรครับ..?

จากคุณ : Bgate
เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 53 22:10:59




ความคิดเห็นที่ 3

ท่านสอนเป็นวิปัสสนาตั้งแต่เริ่มทำมโนนั่นแหละค่ะ เพราะไม่ให้ยึดถือความมีตัวตน ร่างกายไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

จากคุณ : เจ้าหญิงปาจิงโกะ
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 08:09:24



ความคิดเห็นที่ 4

ตามคุณเจ้าหญิงปาจิงโกะเลยครับ

ก่อนฝึก หลังจากภาวนา นะมะพะทะ จนใจสบายแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาตัดขันธ์ ๕ ให้ขาด ให้เห็นว่าเราไม่มีในร่างกายนี้ ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา
จากนั้นถ็เข้าสู่กระบวนการฝึกมโนฯครับ

วิธีการที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านสอนไว้ในการตรวจสอบอารมณ์วิปัสนาญาณการตัดขันธ์ ๕ ก็คือ "ความชัดเจนของภาพที่ปรากฏ" ถ้าภาพยิ่งชัดมากเท่าไร ก็แสดงว่าอารมตัดขันธ์ ๕ ดีมากเท่านั้น

ฝึกเสร็จกลับมา พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ บอกว่า ให้ใช้มโนฯ เพื่อไปพระนิพพานทุกวัน (ไม่รู้ว่าจะจัดเป็นอุปสมานุสสติฯ ได้หรือไม่นะครับ)

แต่ถ้าใครคล่องมาก ๆ จะเข้าห้องส้วม ทำกับข้าว กินข้าว หรืออิริยาบถใด ๆ ก็ใช้มโนฯไปพระนิพพานได้ตลอดเวลาครับ พูดง่าย ๆ "หายใจเข้าออกเป็นพระนิพพาน" ครับ

นอกจากนี้ ผลที่ได้ของมโนฯ ก็คือ "ญาณ" ต่าง ๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ท่านสอนให้นำ "ญาณ" ต่าง ๆ นี้ มาใช้พิจารณาตัดกิเลสให้เป็นสมุทเฉทปหาน

เช่น ถ้าใครเขาทำให้เราไม่สบายใจ ก็ลองใช้ "อตีตังสญาณ" กลับไปดูว่า เหตุที่เขาต้องมาทำให้เราไม่สบายใจเพราะอะไร เมื่อรู้แล้วก็จะได้มั่นใจว่า กฎแห่งกรรมมีจริง เราจะได้ละอายชั่ว กลัวบาป ไม่ทำบาปต่อไปอีก

และถ้าเราไม่อยากจะต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก ทางที่ดีที่สุดก็คือไปพระนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ผู้ที่รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ คงยากที่จะทำผิดศีล คงไม่ขี้เกียจทำกรรมฐาน และก็คงเบื่อหน่ายต่อขันธ์ ๕ นี้ ไม่มีอารมณ์ปรุงแต่งที่อยากจะมาเกิดในภพภูมิใดอีก

จากคุณ : ผ้าพับไว้
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 11:16:30



ความคิดเห็นที่ 6

คือการฝึกมโนมยิทธินี่ มีลักษณะทั้งสมถะและวิปัสสนาในเวลาเดียวกันครับ

กล่าวคือ ในระยะเริ่มต้น จะมีการภาวนา นะมะพะธะ ให้จิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ
ก่อนเป็นอันดับแรก ต่อจากนั้น จะเป็นการอาราธนาพระพุทธบารมีให้ยก "อทิส-
สมานกาย" ของเราไปยังที่ต่างๆ ซึ่งระหว่างนี้ จิตของผู้ปฏิบัติจะอยู่ในจตุตถ
ฌาน "แบบใช้งาน" ตามที่หลวงพ่อฤาษีฯ เมตตาบอกเอาไว้ ก็จะเป็นลักษณะ
ของสมถะ

ส่วนของวิปัสสนา ก็เป็นส่วนที่ผู้ฝึกแนะนำให้พิจารณาต่างๆ เพื่อการตัดสังโยชน์
10 แล้วคนที่มาฝึกก็ต้องหมั่นพิจารณา หมั่นตัดสังโยชน์เป็นประจำด้วย ซึ่งอย่าง
#4 ว่าไว้ ว่าความชัดเจนญาณรู้ญาณเห็นจะเป็นเครื่องตรวจสอบในส่วนของ
วิปัสสนาไปด้วยในตัว

คือถ้าจะให้พูดจริงๆ หลวงพ่อท่านหวังผลสูงครับ สำหรับผู้ที่มาฝึก ให้สามารถตัดกิเลสเข้าถึงพระนิพพานได้ ซึ่งในบรรดาลูกหลานหลวงพ่อ ก็มีหลายท่านที่ได้ผลตามที่หลวงพ่อต้องการครับ

แล้วเรื่องญาณต่างๆ ที่ได้นี่ ที่ลูกศิษย์ส่วนใหญ่มักจะหลงประเด็นกันเยอะมาก
อย่าง #4 กล่าวไว้ ความต้องการของหลวงพ่อจริงๆ คือให้เป็นตัวช่วยให้ลูกหลาน
ของท่านสามารถตัดกิเลสได้ดียิ่งขึ้น แต่หลายคนก็ลืมตัว แล้วเอาญาณที่ได้ไป
ใช้กันเล่น แล้วไปอวดเก่ง เพิ่มกิเลสให้ตัวเอง

ต้องเข้าใจว่าอันที่จริงแล้ว ที่ญาณทัสสนะแจ่มใสนั้น เป็นเพราะพระพุทธบารมีทั้งสิ้น ลำพังกำลังเราเองไม่แจ่มใสหรอก ถึงกำลังพระอัครสาวก หลวงพ่อก็บอกว่า เป็นแค่คบเพลิงส่องเท่านั้น ไม่แจ่มใสเท่าพระพุทธเจ้า ซึ่งรู้ไม่ผิด เหมือนเห็นในตอนพระอาทิตย์เที่ยงวัน

ส่วนเรื่องความรู้ความเห็นที่ได้นี่ ผมก็ไม่อยากพูดอะไรมากนัก ลำพังตัวเองก็มี
ประสบการณ์ เคยฝึกมาบ้างแล้ว แต่ในที่นี้คงไม่พูด ที่หลวงพ่ออุตส่าห์ค้นคว้าหา
วิธีเขามาสอน เจตนาท่านก็เพียงแค่ให้ลูกหลานท่านเข้าพระนิพพานได้ง่ายขึ้น

ลำพังท่านเอง กรรมฐาน 40+วิปัสสนาญาณ ก็จบจากหลวงพ่อปาน และอีก
หลายๆ ท่าน วิชชาธรรมกาย ท่านก็รู้ เรียนจากหลวงพ่อสดโดยตรงจนเข้าไป
พิสูจน์พระนิพพานได้ ท่านจะสอนความรู้เหล่านี้ก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าท่านคงจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุด ง่ายที่สุด และเป็นประโยชน์สูงสุด สำหรับลูกหลานของท่าน ก็คือมโนมยิทธินี้ครับ

จากคุณ : ABP@BDZ
เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 53 19:53:27



ความคิดเห็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง"
เขียนเมื่อ : 01 ส.ค. 53 : 16.00 น.

ความเห็นของทีมงานฯ ก็คงเดิมๆ ที่ได้ตอบคุณ p-annipe ไปตอนที่แล้วละเน้อ.. ส่วนปัญหาของคุณ Bgate เนี่ย..ถามแบบว่าตัวเองยังไม่เคยฝึกมาก่อน หรือได้ยินเขาเล่าว่า แล้วก็คิดเอง..เออเอง..ซะงั้น..!

คิดว่าถ้าจะมองในแง่ดีไว้ก่อน คงไม่ถามเพื่อหาเรื่องกันนะ น่าจะถามเพื่อหาความรู้มากกว่านิ ส่วนท่านที่ตอบเช่น "คุณผ้าพับไว้" ก็ได้มาตอบกระทู้นี้อีก พร้อมกับท่านอื่นๆ ด้วยความปรารถนาดี ส่วนผู้ถามจะเข้าใจ..จะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่เนอะ..!

เรื่องนี้ทีมงานฯ ขอนำเสนอความเห็นบ้าง ในฐานะที่เป็นผู้ทำสื่อเสนอในเวป คิดว่าคำถามที่ว่านี้ที่บอกว่า....

....."แนวทางที่หลวงพ่อสอนนั้น ให้ทำมโนยิทธิก่อน เพื่อเห็นสวรรค์ เห็นกายทิพย์ของเรา แล้วต่อจากนั้น เขาต่อไปเป็นวิปัสนากันยังไงครับ ?
......ผมอ่านมากี่คน ก็ยังฝึกเป็นมโนยิทธิออกรู้เห็นภพภูมิอื่นๆ อยู่น่ะครับ แล้วส่วนที่จะต่อเพื่อเป็นระดับของวิปัสนานั้น ต่อยอดจากการฝึกมโนยิทธิได้อย่างไรครับ ?"


อยากให้ท่านผู้อ่านกรุณาอ่านทวนอีกครั้ง จะเห็นว่าผู้ถามปัญหานี้มีความเข้าใจว่าการทำ "มโนมยิทธิ" คงจะเป็นแค่เพียงสมถะเท่านั้น จึงได้ถามนำว่าต่อไปเป็นวิปัสสนาอย่างไร

แล้วบอกต่อว่า "ผมอ่านมากี่คนก็ยังฝึกเป็นมโนยิทธิออกรู้เห็นภพภูมิอื่นๆ อยู่น่ะครับ" แสดงว่าท่านผู้ถามได้อ่านได้ศึกษาแนวทางนี้ จึงเข้าใจว่ายังมีผู้ฝึกเพื่อเห็นภพภูมิอื่นๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นอันที่ยังไม่พ้นทุกข์ ยังไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ว่าเข้านั่น...

เป็นอันว่าผู้ที่ถาม มิได้ถามเพื่ออยากรู้หรืออยากฝึกฝน แต่เป็นการถามเพื่อตักเตือน (คิดว่าหวังดีมากกว่านะ) ให้ผู้ฝึกทั้งหลายได้ต่อยอดเพื่อยกระดับเป็นวิปัสสนา โดยเข้าใจว่าการภาวนา "นะพะมะพะ" ยังเป็นสมถะ การเห็นภพภูมิต่างๆ ยังเป็นสมถะภาวนา

อีกทั้งสมัยนี้ยังมีผู้สอนบางท่าน ได้ยกปัญญาทั้ง 3 มาเทียบว่า การปฏิบัติเช่นนี้ยังเป็น "ภาวนามะยะปัญญา" หรือแค่เป็น "จินตามะยะปัญญา" เท่านั้น ยังไม่ใช่ "ปัญญามะยะปัญญา" ที่แท้จริง นี่เป็นความเข้าใจของคณาจารย์สมัยใหม่บางท่านนะ

แล้วยกวิปัสสนาญาณ 16 ข้อมาปฏิบัติ โดยเริ่มตั้นญาณที่ 1 คือ "นามะรูปะปริจเฉทะญาณ" แต่กว่าจะถึง "นิพพิทาญาณ" หรือ "สังขารุเปกขาญาณ" และสุดท้ายญาณที่ 16 คือ "ปัจจเวกขะณะญาณ " คงอีกหลายแสนชาติทีเดียว

เพราะได้รับการเรียนรู้จากอาจารย์สายวิปัสสนาสมัยใหม่ว่า "วิปัสสนา" ต้องแยกรูปแยกนาม ต้องรู้เกิดดับให้ทัน (มีการสอบอารมณ์ด้วย) ถ้ามีภาพต้องกำหนดให้หายไป ต้องมีสติระลึกรู้ทันปัจจุบัน ในสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจริงขณะนั้น (ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่เอาสมถะ แต่กินสมถะไปเต็มกลืนนะเนี่ย) ซึ่งมีความเห็นต่างจากสายโบราณาจารย์ ท่านมีความเห็นตรงกันทุกภาค ดังนี้

- ภาคเหนือ : สายครูบาเจ้าศรีวิชัย ภาวนา "พุทโธ" บริกรรมพร้อมชักลูกประคำ แล้วพิจารณาอาการทั้ง 5 มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น จนท่านได้ทิพจักขุญาณ สามารถรู้อดีต อนาคต ได้เช่นกัน

- ภาคอีสาน : สายหลวงปู่มั่น ภาวนา "พุทโธ" พร้อมพิจารณา "กายคตาสติ" คืออาการ 32 เพ่งจนเกิดปฏิภาคนิมิต แล้วได้ทิพจักขุญาณ สามารถระลึกชาติได้ จนตัดกิเลสได้หมดสิ้น อย่างเช่นหลวงปู่มั่น เป็นต้น

- ภาคกลาง : สายหลวงปู่ปาน ภาวนา "พุทโธ" ตามแนวทาง "กรรมฐาน 40" พร้อมพิจารณาร่างกายสรุปท้ายทุกกอง (ส่วนวิชา "มโนมยิทธิ" หลวงพ่อเพิ่งนำมาสอนภายหลัง แต่ก็ยังสอนหลัก "มหาสติปัฏฐาน" และ "กรรมฐาน 40" เหมือนเดิม)

- ภาคใต้ : พ่อหลวงคล้าย วัดจันดี, พ่อหลวงแช่ม วัดฉลอง ก็สอนภาวนาและพิจารณาสังขารเช่นกัน จึงไม่มีพระอาจารย์สายไหนเลย ที่จะสอนให้ทำแค่ "วิปัสสนา" เท่านั้น โดยไม่เอา "ศีล" และ "สมาธิ" มาเป็นบาทเบื้องต้น


ฉะนั้น คำสอนของพระโบราณาจารย์กับคณาจารย์สมัยใหม่ (บางสำนักนะ) อาจจะไม่ตรงกันนัก เพราะพระโบราณาจารย์อธิบายคำว่า "สมถะ" คือการภาวนา ส่วน "วิปัสสนา" คือการใช้ปัญญาพิจารณา มีมากมายหลายแบบหลายวิธี สืบเนื่องมาจากตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งสมัยนั้นมีพระอรหันต์เกิดขึ้นมากมาย

โดยแนะนำวิธีง่ายๆ และลัดที่สุด คือการเข้าหา "สังโยชน์ 10 ประการ" ได้แก่ข้อที่ 1 "สักกายทิฏฐิ" ตัวเดียว (ความจริงก็คือการเห็น "นามรูป" นั่นเองว่า "เป็นเราเป็นของเรา) พระโบราณาจารย์ผู้ชาญฉลาด จึงสั่งสอนศิษย์แค่ "วิปัสสนาญาณ 9" เท่านั้น

โดยการพิจารณา "สักกายทิฏฐิ" (หรือ "นามรูป") เข้าสู่ "นิพพิทาญาณ" และ "สังขารุเปกขาญาณ" จนจิตละเอียดเป็นอริยะ 4 ขั้น คือ โสดาบัน, สกิทาคา, อนาคา, และอรหันต์ ท่านสามารถบอกได้ว่าอารมณ์แต่ละขั้นเป็นอย่างไร

เรื่องนี้ท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้กับที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฏก คือ "แว่นธรรม" ได้แก่บุคคลที่เข้าถึงธรรม จะสามารถพยากรณ์ตนเองได้ ยกตัวอย่างใน "แว่นธรรม" กล่าวถึงคุณธรรมของพระโสดาบันว่า เป็นผู้มีความเคารพในพระรัตนตรัย และมีศีลบริสุทธิ์ เป็นต้น
(ตรงหรือไม่ไปอ่านรายละเอียดเองก็แล้วกัน)

ส่วนคณาจารย์สมัยนี้ มีบางสำนักที่ถ่ายทอดมาจากครูบาอาจารย์ของตนเองบ้าง บางแห่งก็มาจากอาจารย์ทางพม่าบ้าง จนหลวงพ่อต้องลาพุทธภูมิ เพราะหาว่าทำแบบไดโนเสาร์เต่าพันปีมาแล้วนั่นเอง หรือที่มีทั้งพระทั้งฆราวาส (บางท่านที่สอนทางวิทยุ) สอนแนวทาง "สติปัฎฐาน" สอนว่าไม่จำเป็นต้องทำ "สมถะ" ให้ทำ "วิปัสสนา" เลยโดยตรง

โดยกำหนดรู้ "รูปนาม" ให้ทันสภาวะธรรมที่เป็นจริง ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่สนใจภาพหรือนิมิต เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็น "วิปัสสนูปกิเลส" (สิ่งที่เป็นอันตรายต่อวิปัสสนาญาณ) ทั้งสิ้น แต่ก็ไม่สามารถแยกแยะว่า ทำอย่างไรจึงจะเข้าพระโสดาบัน ปฏิบัติต่อไปอย่างไรจะเข้าสกิทาคา หรืออนาคา ส่วนใหญ่สอนให้มีสติระลึกรู้ เพื่อเป็นพระอรหันต์อย่างเดียว แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าถึงเมื่อไรนะซิ

ด้วยเหตุนี้ ถึงจะมีผู้ตอบคำถามอย่างไร ผู้ที่เรียนจากสายวิปัสสนาจารย์เหล่านี้จะไม่ยอมรับฟัง เพราะมีความเห็นอย่างฝังใจว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางเห็นนรกสวรรค์ ยังเป็นผู้ปฏิบัติแค่ "สมถะ" เท่านั้น ทั้งๆ ที่ผู้ฝึกมโนมยิทธิจนสามารถถอดกายทิพย์ได้ จะต้องมีศีลเป็นเบื้องต้น จะต้องมีสมาธิเป็นท่ามกลาง และจะต้องมีวิปัสสนาญาณเป็นปริโยสาน คือเป็นที่สุด

จึงจะสามารถไปพบเห็นพระนิพพานได้ มิเช่นนั้นจะไปได้แค่พรหมโลกเท่านั้นเอง ฉะนั้นผู้ที่ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ (สมถะ) หรือไม่มีปัญญา (วิปัสสนาญาณ) อย่าว่าแต่ไปถึงสวรรค์นิพพานเลย แค่นรกภูมิก็ยังไปไม่ได้ อ้าว..พูดแบบนี้ แล้วจะไปไหนกันเล่า..? ขอตอบว่าไม่ไปถึงไหนหรอก เพราะตีความใน "พุทธพจน์" คลาดเคลื่อนซะแล้ว

สรุปดีกว่าว่า "จงอย่าสนใจเขา..ให้สนใจเราเป็นที่สุด..นั่นแหละดี..very good..!"


ปล. ห้าม copy ไปโพสต์ที่ไหนน๊ะ ประเดี๋ยวโดนยำเละ..จะบอกให้..!

(โปรดติดตาม "คำถาม - คำตอบ" อีกต่อไป)


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/8/10 at 14:13 [ QUOTE ]


"แว่นธรรม" สำหรับส่องตนเอง


ก่อนที่จะอ่านคำถาม - คำตอบกันต่อไป ทีมงานฯ ใคร่จะขอย้อนนำ "แว่นธรรม" มากล่าวเพิ่มเติมสักเล็กน้อย เพื่อจะได้เป็นข้อมูลนำไปเทียบเคียงกับคำแนะนำที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนไว้ หรือเพื่อชี้แจงให้ผู้อื่นเข้าใจใน "พระพุทธพจน์" ที่ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกอีกด้วย ดังนี้

ว่าด้วยหลักธรรมที่ชื่อว่า "แว่นธรรม" สำหรับส่องตนเอง อันเป็นเครื่องมือให้อริยสาวกมีไว้ เมื่อประสงค์ก็จะพึงพยากรณ์คนได้ด้วยตนเองว่า “เราหมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในนรก หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในแดนเปรต หมดสิ้นเหตุที่ให้ไปเกิดในอบาย ทุคติ และวินิบาตแล้ว เราเป็นพระโสดาบัน ไม่มีทางตกต่ำ มีความแน่นอนที่จะสำเร็จสัมโพธิในวันข้างหน้า” คืออะไร คือ พระอริยสาวกในธรรมวินัยนี้

๑. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
๒. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม
๓. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์
๔. ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะชอบใจ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท ท่านผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิ


สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนพระอานนท์ ขณะประทับอยู่ที่โกฏิคามว่า...

"ดูก่อนอานนท์ เราตถาคตจะสอนสิ่งที่เรียกว่า "แว่นธรรม" ซึ่งถ้าอริยสาวกมีแล้ว ถ้าปรารถนาย่อมสามารถพยากรณ์ด้วยตนเองได้ว่า ตนเองจะไม่เกิดในภพที่เลวอีกต่อไป แต่จะเป็นพระโสดาบันและเที่ยงแท้แน่นอน ที่จะบรรลุความหลุดพ้นในที่สุด
แว่นธรรมคืออะไร คือการที่พระอริยสาวกมีศรัทธาอันมั่นคงในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว และในคณะสงฆ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า นี้แลคือ แว่นธรรม"

จาก พระสุตตันตปิฏก เล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร หน้า ๑๐๓

สำหรับในตอนนี้ก็จะได้กล่าวถึงปัญหาต่อไป ตามที่คุณ ABP@BDZ บอกไว้ว่า......

"แล้วเรื่องญาณต่างๆ ที่ได้นี่ ที่ลูกศิษย์ส่วนใหญ่มักจะหลงประเด็นกันเยอะมาก อย่าง #4 กล่าวไว้ ความต้องการของหลวงพ่อจริงๆ คือให้เป็นตัวช่วยให้ลูกหลานของท่านสามารถตัดกิเลสได้ดียิ่งขึ้น แต่หลายคนก็ลืมตัว แล้วเอาญาณที่ได้ไปใช้กันเล่น แล้วไปอวดเก่ง เพิ่มกิเลสให้ตัวเอง"

ฟังแล้ว..เอ้ย..อ่านแล้ว..เสทือนทรางนะขอรับ กระทบใครกันนี่.. แหม..คงหวังดีอีกแล้วละนะ อย่ากินปูนร้อนท้องก็แล้วกัน แสดงว่าคงจะเจอหลายรายนะ ถึงออกอาการหงุดหงิดอย่างนี้ คนที่ได้แจ่มใสก็ต้องเป็นอาจารย์เป็นธรรมดา ยิ่งลงเรื่องเล่าใน "หนังสือลูกศิษย์บันทึก" ด้วยแล้วยิ่งดังใหญ่..คนรู้จักเยอะ..!

แต่พอไปหาหนักๆ เข้า บางรายเห็นแก่ลาภสักการะ..ดังแล้วก็ดับไปเลย.. ไม่ได้หัวเราะเยาะเขานะเนี่ย..มันเป็นเรื่องจริง มีบุคคลเป็นพยานยืนยันครบถ้วน ทำนายว่าจะต้องมีเคราะห์อย่างโน้นอย่างนี้ เสียเงินค่าสะเดาะเคราะห์ไปหลายหมื่นบาททีเดียว บ้านอยู่สุพรรณบุรีแต่ดันไปหาเขาถึงบ้านแน่ะ..

บางรายแน่กว่านั้น บอกว่าเพื่อนหลวงพ่ออยู่แถวนี้เองนี่แหละ..คนไปหาเพียบ หลวงพี่ที่มีอาวุโส 2 รูปในวัดรู้ข่าวไปถามท่านถึงวัด ท่านบอกไม่รู้แฮะ..ท่านก็อยู่ที่นี่มานาน ไม่ได้ออกจากป่าจากเขาอย่างที่เขาเข้าใจกันนะ ฤาษีลิงเล็กอะไรนะ..ไม่รุ้จักหรอก หลวงพี่ทั้งสองรูปก็ถามชื่อเสียงเรียงนาม ปรากฏว่าไม่ตรงกับเพื่อนหลวงพ่อเลย

ส่วนที่แน่กว่านั้นอีก บอกว่าจะมาช่วยสืบพระศาสนา ทำนายวันเดือนปีไว้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่เกิดขึ้นจริงตามนั้น นี่คือผลจากมโนมยิทธิที่ได้ชัดเจนแจ่มใส บางคนได้ครึ่งกำลัง ภายหลังก็เป็นเต็มกำลัง รู้อดีตอนาคตได้หมดสิ้น แต่ก็นั่นแหละ..อดไม่ได้ที่จะได้ยินเสียงเล่าลือกันไปทั่ว ว่าท่านผู้นั้นจบกิจแล้ว ท่านผู้นี้เป็นพระอรหันต์แล้วเป็นต้น

ทั้งๆ ที่ครูบาอาจารย์เคยบอกแล้วว่า ผู้ที่จะพยากรณ์ได้เพียงองค์เดียวนั่นก็คือพระพุทธเจ้า แม้แต่สมัยหลวงปู่ปานท่านจะพูดถึงพระที่จบกิจแล้ว ท่านก็บอกว่าพระองค์นี้มีจริยาคล้ายพระอรหันต์ แต่สมัยนี้แน่กว่าครูบาอาจารย์ พูดกันตรงๆ ไปทั่วเลย มีนะในงานธุดงค์ปีที่แล้ว เสียงชักชวนบอกว่าไปฟังธรรมพระอรหันต์กัน แล้วแจกหนังสือกับซีดีฟังกันไปทั่ว

แหม..ถ้าเป็นแบบนี้นานๆ เข้า คงไม่มีใครอ่านหนังสือหรือฟังเสียงเทศน์หลวงพ่อกันแล้วละ อีกหน่อยตึกรับแขกจำหน่ายหนังสือ - ซีดี ไม่ได้ คงจะต้องเจ๊งไปแน่นอนกันละ.. แบบนี้ไม่เกรงใจสำนักอื่นเลยนะ จะช่วยกันรักษาครูบาอาจารย์ หรือจะช่วยทำลายกันแน่..?

แล้วก็มีบางสำนักเวลานี้ตอนทำพิธีบวงสรวง จากที่เคยเปิดเสียงหลวงพ่อ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเปิดแล้ว เอาเสียงตัวเองดีกว่า..ขลังดีเนอะ เอ๊ะ..แล้วมันเรื่องอะไรของตัวเองละ นี่มันเรื่องของคนอื่นทั้งนั้นนะเนี่ย อ้าว..ไม่พูดออกมาจะรู้เรื่องกันเร๊อะ คนมาทีหลังก็นึกว่าทำถูกว่าทำดีนะซิ...แล้วจะรักษาสมบัติของพ่อได้อย่างไรกันละ ถ้าไม่พูดออกมาอย่างนี้

แอบมาเติมอีกหน่อยว่า ใครๆ ก็อยากได้พบพระอรหันต์กันทุกคน ทีมงานฯ ขอออกตัวก่อนว่าไม่ได้ขัดข้องนะ ยินดีที่จะแสวงบุคคลที่มีความดีสูงสุดเช่นนี้ แต่อยากให้พวกเราช่วยกันรักษาประเพณีที่ดีงาม เวลานี้จะมีการชักชวนเข้าพวกกัน แบบประเภทหาไปเรื่อยๆ อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลย ที่เรียกกันว่า "ตื่นข่าว" นะ นี่เตือนกันให้เบาๆ หน่อยนะ อย่าหาว่าขัดคอเลยนิ...!

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/8/10 at 15:43 [ QUOTE ]


คุณ Roong ยังได้ส่งอีเมล์มาอีกฉบับ บอกว่ามีคนอื่นส่งเมล์ไปทั่วเช่นกัน ตั้งหัวข้อว่า "นิพพาน (ทางลัด) วัดท่าซุง" ไม่รู้จะลัดกันไปถึงไหน แต่พออ่านแล้วไม่ได้ลัดอย่างที่ว่าเลย

เรียน ทีมงานวัดท่าซุง

ดิฉันได้รับเมล์จากเพื่อนมีข้อความดังนี้

การเข้าพระนิพพานในวิธีที่ง่ายและลัดตรงที่สุด โดยหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง

สำหรับการที่จะเข้าพระนิพพานนั้น... จิตจะต้องถูกฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี ซึ่งก็แยกย่อยออกไปได้หลายวิธี... แต่วิธีที่ง่ายที่สุด ลัดตัดตรงที่สุด คือ...

1. ไม่สงสัย เชื่อมั่น และเคารพพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด (สุดจิตสุดใจ) ตลอดชีวิต

.... ซึ่งความเชื่อนี้ รวมไปถึงพระธรรมคำสอนในข้อที่ว่า... นิพพานัง ปรมัง สุขัง...*พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง* นิพพานัง ปรมัง สูญญัง... พระนิพพานเป็นที่ที่สูญจากกิเลส จากอวิชชาทั้งมวล

จากพระธรรมทั้ง ๒ ประโยคนี้... ทำให้เราเชื่อมั่นได้ว่า พระนิพพานเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประทับอยู่จริง... เมื่อเราเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจว่า พระนิพพานมีจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระองค์อยู่จริง... การที่เราจะได้มโนมยิทธิหรือไม่นั้น... ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด...

สิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ ความเชื่อมั่น... เชื่อมั่นว่าพระนิพพานมีอยู่จริง... องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านมีอยู่จริง... พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ประทับอยู่บนพระนิพพานจริง...

เมื่อเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้แล้ว... ให้ลงมือปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนที่พระองค์ท่านทรงชี้แนะเอาไว้... สิ่งนั้นคือ ขั้นตอนต่างๆ ที่ลัดที่สุด เร็วที่สุด ตัดตรงที่สุด ซึ่งมีดังนี้...

2. มีศีล 5 (เป็นอย่างน้อย)

3. ทุกครั้งที่ทำความดี (ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด หรือยิ่งใหญ่เพียงไหนก็ตาม)
ให้อธิษฐานขอไปพระนิพพาน ว่า...ด้วยกุศลผลบุญนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

.... ภพภูมิอื่นใด ไม่ว่าจะเป็น อบายภูมิ โลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม หรืออรูปพรหมก็ตาม ข้าพเจ้าไม่ปรารถนา...ข้าพเจ้าปรารถนาเพียงพระนิพพานเป็นที่สุด..ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น..

4. พิจารณานึกถึงความตายอยู่เสมอ พร้อมกับพิจารณาให้เห็นว่าสังขารร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆ เรา เราไม่มีในสังขารร่างกายนี้ สังขารร่างกายนี้ไม่มีในเรา... นึกน้อมพิจารณาจนจิตยอมรับสภาพตามความเป็นจริง... และมีการปล่อยวางในสังขารร่างกายนี้

5. พิจารณาตัดขันธ์ 5 และพิจารณาถึงความทุกข์ ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ... เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้ว มีแต่โรคภัยไข้เจ็บแบบนี้ ต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจทั้งหลาย ต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักและคนที่รักเรา... สิ่งเหล่านี้มันทุกข์ใช่ไหม... เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้วเรายังอยากที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่

6. เมื่อพบความจริงของชีวิตแล้ว... ต่อมาให้จิตเชื่อมั่น และจับภาพพระพุทธเจ้า หรือ ภาพพระพุทธรูปที่เราร้กชอบ ที่พระนิพพานซึ่งเป็นที่ประทับแห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่สุด... (ไม่ว่าเราจะได้มโนมยิทธิหรือไม่ก็ตาม)

.... หมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว และอธิษฐานให้บ่อยๆ ทำจนจิตชินจนเขาภาวนาของเขาเองได้ยิ่งดี ว่า... สังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นรังของโรค มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเบื่อหน่าย .... ถ้าข้าพเจ้าตายลงเมื่อไหร่ ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้าพุ่งตรงสู่พระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเถิด และขอให้ข้าพเจ้าได้พบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบนพระนิพพานนั้นโดยทันทีด้วยเถิด

ข้อสำคัญของการเข้าพระนิพพาน คือ จิตจะต้องเกิดอาการเบื่อหน่ายในร่างกาย {ขันธ์5} อย่างจริงๆ จัง... ดังนั้น ต้องมีการพิจารณาตัดขันธ์ 5 พิจารณาถึงความตาย ความทุกข์ทั้งหลาย อยู่เสมอๆ

.... พิจารณาบ่อยๆ วันละหลายๆ ครั้งได้ก็จะดีมาก...

แต่เมื่อพิจารณามากเข้าๆ จิตอาจจะเบื่อจนนึกอยากจะฆ่าตัวตาย ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาสมทบเข้าไปว่า... ถึงสังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ น่าเบื่อหน่าย... แต่ข้าพเจ้าจะยังคงรักษาธาตุขันธ์นี้ต่อไป เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตอื่น และธำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ตราบจนกว่าจะถึงอายุขัยของข้าพเจ้าเอง

เสร็จแล้วพยายามพิจารณาทุกสิ่งให้เป็น "ธรรมดา" ยอมรับสภาพของชีวิตตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น... เมื่อใกล้ตายจิตจะมารวมตัวกันเองโดยไม่ต้องบังคับ... เพราะจิตมีความชินกับการที่จิตเราจับอยู่ที่พระพุทธองค์ และพระนิพพานเสมอ... ให้เชื่อมั่นว่า... ตายเมื่อไหร่เราขึ้นพระนิพพานแน่นอน...


ซึ่งน่าจะเป็นการเรียบเรียงเองของคนที่จัดทำเมล์ขึ้น ไม่ใช่ของหลวงพ่อโดยตรง ซึ่งคำสอนของท่านละเอียดกว่านี้มาก จึงนำมาเรียนให้ทราบค่ะ สุดแล้วแต่ทางเว็บวัดท่าซุงจะเห็นสมควร


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/8/10 at 10:10 [ QUOTE ]


"หลักวิธีเข้านิพพานง่ายๆ"


ก่อนที่จะตอบอีเมล์ฉบับนี้ ผมขอย้อนกล่าวถึง "แว่นธรรม" กันก่อนนะครับ เพราะลงไปหลายวันแล้วไม่เห็นมีใครทักว่า ทำไมหลักปฏิบัติ "พระโสดาบัน" ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ จึงมีมากกว่า เช่น

ใน "แว่นธรรม" ผู้ที่ได้พระโสดาบันแล้ว จะต้องมีองค์ประกอบคือ

๑. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า
๒. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระธรรม
๓. ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์
๔. ประกอบด้วยศีลที่พระอริยะชอบใจ ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท ท่านผู้รู้สรรเสริญ ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิครอบงำ เป็นไปเพื่อสมาธิ


ส่วนองค์ประกอบของพระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนนั้นมีดังนี้

1. สักกายทิฏฐิ ที่มี ความรู้สึกว่าสภาพร่างกายหรือว่าขันธ์ 5 เป็นเรา เป็นของเรา เรามีในขันธ์ 5 ขันธ์ 5 มีในเรา เฉพาะอย่างยิ่งในด้านสักกายทิฏฐินี้ พระโสดาบันลดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังมีความรู้สึกว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราอยู่ แต่ทว่ามีอารมณ์ไม่ประมาท มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย พระโสดาบันจึงไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าถ้าเราจะตายก็เชิญ แต่เราจะตายอยู่กับความดี

2. พระโสดาบันมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างจริงใจ ไม่คลายในความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด ๆ เกิดขึ้น ใครจะมาจ้างให้รางวัลมาก ๆ ให้กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรม พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์ แม้แต่พูดเล่นพระโสดาบันก็ไม่พูด ทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าท่านมีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์อย่างจริงใจ

3. ในประการต่อไป พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ ขอพูดย่อให้สั้น เพราะองค์ของพระโสดาบันก็คือ มีความเคารพในพระพุทธเจ้า มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระอริยสงฆ์

4. และสิ่งที่จะแถมขึ้นมาก็คือรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่หวังผลตอบแทน ไม่หวังความดีมีชื่อเสียงในชาติปัจจุบัน มีความรู้สึกต้องการอยู่อย่างเดียวว่าเราทำความดีทุกอย่างเพื่อพระนิพพาน เท่านั้น

อารมณ์จิตตอนนี้ขอบรรดาท่าพุทธบริษัทภิกษุ สามเณรทุกท่านต้องจำไว้ จงอย่าไปคิดว่าพระโสดาบันเลอเลิศไปถึงอารมณ์อรหันต์ โดยมากมักจะคิดว่าอารมณ์ ของพระอรหันต์ เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ก็เลยทำกันไม่ถึง นี่เป็นการคิดผิด ความจริงการเป็นพระโสดาบันเป็นง่าย มีอารมณ์ไม่หนักที่หนักจริง ๆ ก็ คือ ศีลอย่างเดียว

ที่มา - หนังสือ "อารมณ์พระโสดาบัน" โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดํา


สรุปง่ายๆ ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ที่เหมือนกันมี ๒ ข้อ คือ
๑. ไม่สงสัยในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
๒ มีศีล ๕ บริสุทธิ์


แต่ทำไมขององค์หลวงพ่อของเราจึงมีเพิ่มอีก ๒ ข้อ คือ
๑. นึกถึงความตายอยู่เสมอ
๒. มีพระนิพพานเป็นอารมณ์


ตรงนี้ไม่เห็นมีใครถามเลยล่ะ หรือว่าผู้อ่านเพียงแค่อ่านผ่านๆ ไม่ได้คิดตามด้วยเลยรึไง น่าจะสงสัยตรงนี้กันบ้างเนอะ (งอนนิดๆ) เวรกรรม..จะไปบังคับเค้าได้งัย เอางี้ตอบดีกว่า..อย่าพูดมากเล้ย เดี๋ยวคนจะรำคาญป่าวๆ นะ
อ้าว..ว่าไรละ เมื่อไหร่จะตอบเสียที เดี๋ยวออกไปเปิดเวปอื่นซะเนี่ย ใจเย็นๆๆ รอแป็บขอดื่มน้ำซะเอื๊อกก่อน...!!!

โถ..อารัยมันติดคอนะ โทษๆๆ อะไรมันติดคอ ที่บอกว่าขอโทษนะ เป็นเพราะว่าบทความในตอนต้น คุณ Roong เค้าไม่อยากให้ใช้สำนวนแบบใน facebook นะ ไอ้เราก็ไม่เคยมีไม่เคยเข้าไปคุยอะไรนะ ก็คุยแบบทำมะด๊า..ทำมะดา เอาอีกแล้ว..ใช้สำนวนแบบนี้อีกแล้ว แน่ะๆๆ ได้ยินเสียงคุณ Roong บ่น แถมเขียนตาเขียวๆ อีกด้วย (เขาห้ามไม่ให้ ฮิๆๆ แฮะๆๆ ด้วยนะ) เลยต้องกลืน ฮิๆๆ ลงคอไปแร่ะ

เอามาว่ากันต่อไป ทีมงานฯ คนนี้ไม่ใช่คนเก่านะ คนนี้อารมณ์ดี๋ดี คนเก่าซีเรียสนะ ตอบอะไรก็เหมือนมะนาวไม่มีน้ำ ตอนนี้มี "ข้อมูลสมาชิก" หลายกระทู้ ทีมงานฯ หลายคนต่างก็ดาหน้าเข้าแฮ่ๆ ใส่ เอ้ย..ไม่ใช่เจ้าตูบนะ อย่าคิดมาก เพราะเห็นว่าสถานการณ์ภายในภายนอกเริ่มหละหลวมหย่อนยาน

เวรกรรม..อีกแล้ว..มันหย่อยานเต่งตึงเกี่ยวอะไรด้วยละ อ๋อ..ลูกศิษย์ลูกหามากขึ้น หลังจากองค์หลวงพ่อสิ้นไปแล้ว จำนวนคนยิ่งมีมากขึ้น แต่เหมือนแม่น้ำนะ ไหลกระจายออกไปหลายสาขา ความจริงก็ดีนะเกียรติคุณของท่านจะระบือไกล แต่คนเก่าก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนใหม่ ไม่ใช่แบบกระต่ายตื่นตูม

คราวนี้ขอเข้าหลักองค์พระโสดาบันกันต่อไป ว่าคนที่จะปฏิบัติในหลักนี้แล้ว ท่านว่าจะไม่ถือ "มงคลตื่นข่าว" มากนัก เพราะเชื่อมันในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงแล้ว ใครว่าที่โน่นดีที่นี่ก็ไปตามได้ตามธรรมเนียม แต่ความเคารพนั้นมีปัญญาสว่างเกิดขึ้นแล้ว จึงไม่ได้เกาะสังขารร่ายกายชื่อเสียงใครๆ เพราะเห็นว่าเป็นแค่สมมุติเท่านั้น คงยึดมั่นแต่ธรรมะเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ

ในตอนนี้ขอย้อนกล่าวถามถึงว่า ทำไมจึงต้องเพิ่มมาอีก ๒ ข้อ คือ
๑. นึกถึงความตายอยู่เสมอ
๒. มีพระนิพพานเป็นอารมณ์


การที่หลวงพ่อนำอารมณ์พระโสดาบันมากล่าวอีก ๒ ข้อนี้ เป็นเพราะท่านสอนแบบไล่สังโยชน์ ๑๐ ข้อนั่นเอง จะขอนำสังโยชน์มากล่าวดังนี้ สังโยชน์ ๑๐ ประการ ก็คือ

๑. สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้มันจะไม่ตาย ร่างกายสะอาด ร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเรา

๒. วิจิกิจฉา มีความสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงสัยในความดีของพระอริยสงฆ์ ไม่ตกลงว่าจะยอมรับนับถือหรือไม่

๓. สีลัพพตปรามาส ไม่ตั้งใจรักษาศีลอย่างจริงจัง รักษาศีลประเภทหัวเต่า คือผลุบเข้าผลุบออก ประเดี๋ยวทรงตัวบ้าง ประเดี๋ยวไม่ทรงตัวบ้าง

๔. กามฉันทะ มีความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ นี่เรียกว่าติดหลงใหลใฝ่ฝันอยู่ในกามารมณ์

๕. ปฏิฆะ มีอารมณ์ข้องใจไม่พอใจ คือมีความโกรธ มีความไม่พอใจอยู่เป็นปกติ ยังเหลืออยู่

๖. รูปราคะ มีความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปที่เป็นวัตถุหรือรูปฌาน

๗. อรูปราคะ หลงใหลใฝ่ฝันในอรูป หรือสิ่งที่ไม่มีรูป หรืออรูปฌานว่าดีเลิศประเสริฐแล้ว

๘. มานะ ยังมีการถือตัวถือตนว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา

๙. อุทธัจจะ ยังมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ไม่มั่นใจในตัวเองว่าเราจะไปนิพพานดีหรือไม่ไปนิพพานดี ไปได้แน่หรือไปไม่ได้แน่ เอาแน่นอนไม่ได้ คือ จิตใจขาดความเข้มแข็ง

๑๐. อวิชชา อวิชชานี้ยังมีความหลงใหลใฝ่ฝันในมนุษยโลก เทวโลกและพรหมโลก ยังเห็นว่ามนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก เป็นของดี ต้องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ


ที่มา - หนังสือ พรหมวิหาร ๔

ท่านผู้อ่านคงจะพอทราบอยู่แล้วว่า อารมณ์พระอริยเจ้าทั้ง ๔ ขั้นจะต้องตัดสังโยชน์ได้แค่ไหนบ้าง ในที่นี้จะไม่กล่าวให้ยืดเยื้อ เพราะพระโสดาบันอยู่ในสังโยชน์ ๓ ข้อต้นเท่านั้น ขอเข้าประเด็นปัญหาที่ทำไมของหลวงพ่อจึงเพิ่มมาอีก ๒ ข้อ...

ข้อที่ ๑. การที่หลวงพ่อให้ใช้ "มรณานุสติ" พิจารณาอยู่เสมอ เป็นการ "สักกายทิฏฐิ" เบาๆ ไปก่อน ท่านฉลาดสอนเป็นอย่างมาก เพราะการนึกถึง "ความตาย" บ่อยๆ จะสามารถทำลายกิเลส (สักกายทิฏฐิ) ให้หมดสิ้นได้ คราวนี้ไม่ได้อยู่แค่พระโสดาบันเท่านั้น เวลาใกล้ตายอาจจะทำอารมณ์ให้เข้าถึงอรหันต์ได้ในที่สุด

ข้อที่ ๒. โดยเฉพาะการที่ท่านบอกว่า "มีพระนิพพานเป็นอารมณ์" ตรงนี้ เป็นการนึกตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์เช่นกัน


เห็นไหมว่า...ครูบาอาจารย์ท่านชาญฉลาด มีวิธีวางยารักษาโรคให้ลูกศิษย์นะ เหมือนกับการยกช้างทั้งตัวมันหนัก แต่ถ้ายกเท้าช้างทีละข้าง มันไม่หนักเกินไป เพราะเหตุนี้ในขณะมีชีวิตอยู่ ท่านจึงให้ยึดหัวหาดไว้ก่อน คือทำแค่พระโสดาบันเท่านั้น แต่พอใกล้จะตายจริง มันจะมีปัญญาเห็นทุกข์ สามารถตัดร่างกายไปได้ในวาระสุดท้ายเป็นที่สุด ด้วยอุบายในการวางยาให้ลูกศิษย์...ช่างประเสริฐแท้ๆ


(แล้วท่านก็บอก "วิธีเข้านิพพานง่ายๆ" ว่าให้ทำเล็กๆ น้อยๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม นึกถึงก่อนนอนและก่อนตื่น หรือทำบ่อยๆ เป็นประจำ * ถ้าได้มโนมยิทธิก็พุ่งจิตไปกราบพระพุทธเจ้าทุกวัน ไม่ได้ไล่ยืดยาวมากมายอะไรนักนะ)


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top