Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 7/9/10 at 16:07 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 5 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๕

โดย ส. สังข์สุวรรณ


(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๕

1.
คำปรารภ
2. เหตุแผ่นดินไหว
3. โพรงดินในเมืองไทย
4. ชมทองคำที่วัดท่าซุง(ตอนที่ ๑)
5. ชมทองคำที่วัดท่าซุง(ตอนที่ ๒)
6.
เทวดาและผีเมืองชัยนาท
7.
ท้าวมหานาคา
8. อาจารย์ชื้น
9. พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
10 กรมหลวงชุมพรฯ ตามตำรวจ
11. กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาว
12. กรมหลวงชุมพรฯ ช่วยตำรวจ
13. กรมหลวงชุมพรฯ ถูกโกง



1

คำปรารภ


หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕ ที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ขอให้ทุกท่านอ่านแบบหนังสืออ่านเล่น อย่าเข้าใจว่าเป็นตำราที่ต้องเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงจังไปทั้งหมด บางเรื่องได้มาจากพบเห็น ไม่ใช่เข้าฌานสมาบัติ บางเรื่องได้จากการเล่าให้ฟังกันต่อ ๆ มา

แต่ละเรื่องขอให้เข้าใจว่าเป็นนิทาน เช่น เรื่องที่ ๑ ถึงเรื่องที่ ๔ เป็นเรื่องนิทาน จากเรื่องที่ ๕ ถึงเรื่องที่ ๑๑ เป็นเรื่องที่ประสบมา ไม่ใช่นั่งฌานเห็น

เมื่อพูดถึงอานุภาพสมเด็จกรมหลวงชุมพร คิดว่าหลายท่านที่อ่าน ที่ท่านชอบบน ท่านอาจจะอยากบนให้ท่านช่วยบ้างก็ได้ ผู้เขียนขอบอกว่า การที่จะบนให้ท่านช่วยนั้น ผู้เขียนไม่ห้าม แต่จะมีผลเพียงใดนั้นไม่รับรอง เพราะผู้เขียนไม่มีอำนาจบังคับให้ท่าน

ทำตามที่ทุกคนบนท่านได้ ท่านจะช่วยหรือไม่ช่วย เป็นเหตุผลที่ท่านผู้ถูกบนจะพิจารณาเอง แต่ผู้เขียนคิดว่า ถ้าท่านที่บนมีกำลังใจเหมือนคนที่เขาบนมาแล้วคงมีผลตามนั้น แต่ถ้าทำเพื่อทดลอง ก็ขอแนะนำว่า อย่าลองเลย เสียเวลาเปล่า

เป็นอันว่าคำนำหยุดกันเพียงนี้ พูดมากไปสร้างความรำคาญเปล่า ๆ เพราะหนังสือนี้ไม่ใช่ตำรา เป็นหนังอ่านเล่น

ส. สังข์สุวรรณ

๔ พฤษภาคม ๒๕๓๒




2

เหตุแผ่นดินไหว

ท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ ตรงกับ วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๓๑ อันเป็นวันเริ่มแรกหนังสือเล่มที่ ๕ เพราะว่า หนังสือเล่มที่ ๕ ต้องรีบทำตั้งแต่เวลานี้ บันทึกเสียงไว้ แล้วก็ให้เจ้าหน้าที่คัดเลือก

ความจริงการบันทึกวันนี้ก็ป่วย วานนี้ป่วยมาก ตอนปลายของเล่มที่ ๔ ป่วยมากไปหน่อย ฉะนั้นตอนที่แล้วการบันทึกจึงพลาดเพราะไม่มีหนังสือมา เอาแต่ความจำ ลิ้นกับริมฝีปากไม่ประสานกันใจก็พลาด พลาดไปจุดหนึ่ง นั่นคือ

โฆษกเทพบุตร ลงมาเกิดในท้องหญิงแพศยาแล้ว เขาก็นำไปทิ้ง แร้งกาก็ชุมนุมกันหวังจะกิน แต่ว่าเพราะอาศัยบุญที่ต้องเป็นมหาเศรษฐี เทวดาจึงคุ้มครองไว้ ก็พอดีตอนเช้าท่านมหาเศรษฐีไปเฝ้าพระราชา ไปพบปุโรหิตเข้า ก็ถามว่า “อาจารย์ วันนี้จะมีอะไรไหม” ท่านปุโรหิตก็บอกว่า “เด็กที่เกิดวันนี้ จะเป็นมหาเศรษฐีต่อไปในวันหน้า”

พอดีเวลานั้นท่านมหาเศรษฐี ภรรยาของท่านตั้งครรภ์อยู่ จึงให้คนใช้ไปดูว่าคลอดบุตรหรือยัง เมื่อเห็นว่ายังก็สั่งไปค้นคว้าถามว่า ลูกใครเกิดวันนี้บ้าง ให้ไปซื้อมา แต่ก็เป็นการบังเอิญไปเจอะเด็กเกิดในวันนั้นที่เขาไปทิ้ง ก็เลยไม่ต้องซื้อ ก็รวมความว่า เรื่อง โฆษกเทพบุตร การเกิดของเขาเป็นอย่างนี้ ในตอนที่แล้วพลาดไปต้องขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัท

ความจริงการพูดเรื่องพระสูตรก็รู้สึกว่าจะเป็นของง่ายในการฟัง แต่รู้สึกว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทสนใจน้อยไปนิดหนึ่ง เพราะว่าไม่ฮิต บางทีจะเห็นว่าพระสูตรเก่าก็ได้ เพราะฟังกันมาบ่อย ๆ ต่อนี้ไปก็จะละสูตรเดิม มาตั้งสูตรใหม่

แต่ไม่ได้ตั้งแข่งขันกับพระพุทธเจ้า สูตร แปลว่า เรื่อง ก็มาตั้งเรื่องใหม่ คือ เรื่องของความฝัน หรือนิทาน เอาเป็นนิทานดีกว่า ความฝันยังไม่แน่ คำว่า นิมิต ก็หมายถึง ความฝัน ทีนี้คนฟังบางท่านอาจจะคิด คิดมากไปหน่อย

ต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องของนิทาน นิทานตลอดเล่มที่ ๕ ดีไม่ดีอีกกี่เล่ม ๆ ก็เป็นนิทาน ว่ากันเป็นนิทานเสียเลยก็หมดเรื่อง และเรื่องของนิทาน บรรดานักปราชญ์ทั้งหลาย หรือบุคคลช่างคิด ก็จงอย่าคิดว่าเป็นเรื่องจริง เว้นไว้แต่ส่วนใดที่บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ให้ถือว่าเป็นเรื่องจริงได้ เรื่องใดที่ไม่ยืนยันว่าเป็น

เรื่องจริงให้ถือว่าเป็นเรื่องนิทาน และนิทานนี้ได้โปรดอย่าจับผิดจับถูกกัน ถ้าจับเมื่อไรมันผิดเมื่อนั้น

คำว่า ผิด หมายถึง ไม่ถูก นิทานเขา ไม่ได้พูดให้จำ เขาพูดให้ฟัง ฟังเพื่อเป็นการแก้กลุ้มบ้าง ฟังชวนกลุ้มบ้าง เรื่องไหนไม่ชอบใจฟัง เรื่องนั้นก็ชวนกลุ้ม เรื่องไหนชอบใจฟัง เรื่องนั้นก็แก้กลุ้ม ในตอนนี้ให้ชื่อว่า เหตุที่เกิดแผ่นดินไหว และผู้ที่คัดลอกก็คัดลอกสั้น ๆ ตามนี้นะ เขียนพาดหัวเรื่องว่า เหตุที่เกิดแผ่นดินไหว

เวลานี้ปรากฏว่าเกิดแผ่นดินไหวหลายแห่ง ในรัสเซียไหวแผ่นดินยุบ ก็เป็นเหตุให้คนตายเป็นหมื่น เมืองจมไปทั้งเมือง ประเทศจีนก็แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบ ก็เสียหายมาก คนก็ตายมาก และในกาลก่อน ๆ จากนี้ ประเทศต่าง ๆ เขาน้ำท่วม ฟิลิปปินส์น้ำท่วมบ้าง บังคลาเทศน้ำท่วมบ้าง อินเดียน้ำท่วมบ้าง อเมริกาน้ำท่วมบ้าง เสียหายมากมาย แต่คนไทยก็ยิ้ม ท่วมเล็กน้อย ไม่เป็นไรจ๊ะ

แต่ตอนนี้น้ำก็สงสารคนไทย คือน้ำท่านเป็นแม่ เขาเรียกว่า แม่คงคา แม่ก็มีความเมตตาปรานีในลูก แม่ต้องมีพรหมวิหาร ๔ ไม่อคติ ฉะนั้น เมื่อแม่ให้บังคลาเทศได้ แม่ก็ให้ประเทศไทยได้ แม่ให้อินเดียได้ แม่ก็ต้องให้ประเทศไทยได้ แม่ให้ฟิลิปปินส์ได้ แม่ก็ต้องให้ประเทศไทยได้ ก็รวมความว่าในฐานะที่อยู่เอเชียด้วยกัน ก็ควรจะแบ่งกัน

ฉะนั้น ปีนี้ ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ แม่จึงปรากฏขึ้นที่ภาคกลางด้วย ภาคใต้ด้วย ภาคกลางก็มีความรุนแรงตามสมควร อย่างวัดท่าซุงถูกน้ำ ๒ ระลอก ต้องสิ้นค่าใช้จ่ายสงเคราะห์เด็กที่เรียนหนังสือทั้งหมด เทอมละล้านบาทเศษ ๓ เทอม ๓ ล้านบาทเศษ ไม่ช่วยเธอก็ไม่ได้

ทั้งนี้ก็เพราะว่าพ่อแม่ของเธอถูกน้ำท่วม เอาตัวเกือบจะไม่รอด อะไรบ้างที่มีติดตัวอยู่ บางทีก็ไม่ได้ไป ส่วนที่ได้จริง ๆ ก็ผ้านุ่งกับผ้าห่ม แต่มีบางบ้านแค่เสียหายแต่ของ บางบ้านก็มาก บางบ้านก็น้อย ก็รวมความว่า นาที่ทำไว้ หรือพืชไร่ที่ทำไว้ไร้ผล ก็ทำให้คนจนไปพักหนึ่ง

ในเมื่อเด็กตาดำ ๆ เราก็เลี้ยงอยู่แล้ว ก็เลยต้องเลี้ยงต่อ เลี้ยงพิเศษกัน ๓ เทอม เทอมละล้านบาทเศษ ตามงบที่ตั้งไว้ ตามความเป็นจริง ทั้งนี้ ไม่ใช่ค่าอาหารอย่างเดียวนะ ค่าครูผู้สอน เพราะจ้างครูมาสอนยังไม่ได้คิด คิดค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือเรียน อุปกรณ์การศึกษา ค่าอาหารการบริโภค เลี้ยงกันทั้งหมด เลี้ยงกันจริง ๆ อย่างนี้เทอมละล้านบาทเศษ

๓ เทอม ๓ ล้านบาทเศษ เป็นอันว่า วัดท่าซุงก็น้ำท่วม ในเมื่อที่อื่นเขาท่วม ก็เลยคนน้ำท่วมไม่สามารถจะไปช่วยคนน้ำท่วมได้ เพราะตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ไหว และเงิน ๓ ล้านบาทเศษ ก็ไม่มีเงินคงคลัง เป็นเงินที่ขอร้องให้บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและลูกหลานสงเคราะห์ ท่านก็ตั้งใจสงเคราะห์กันมาดี ขอขอบคุณท่าน และโมทนาด้วย

ขอทุกท่านจงปราศจากความทุกข์ มีแต่ความสุข มีแต่ความร่ำรวย

ต่อไปก็ไปคุยกันเรื่องแผ่นดินไหว

เมื่อน้ำท่วมมาถึงประเทศไทยได้ เมื่อก่อนน้ำท่วมเขา เรายิ้ม พอน้ำท่วมเรา นักตุนยิ้ม นักตุนไม่ใช่พ่อค้านะ นักตุนประเภทไม่ใช่พ่อค้านี่ยิ้ม แต่พ่อค้าที่ถูกน้ำท่วมก็ไม่ยิ้ม พ่อค้าที่ไม่ถูกน้ำท่วมก็ยิ้ม แต่ว่าต่อไปก็ปรากฏชัดไปอีก คือ แผ่นดินไหว ในเมื่อน้ำท่วมต่างประเทศได้ ประเทศเราเขาก็ท่วมได้มาแล้ว

ต่อไปแผ่นดินไหวต่างประเทศ แผ่นดินไหวเราจะมีไหมล่ะ แผ่นดินไหวเล็กน้อยไม่ต้องพูดกัน เอากันแผ่นดินไหวใหญ่ ไหวแล้วมันพังเป็นเมือง ๆ มีคนตาย จงอย่าลืมว่าเราก็อยู่ในโลก เขาก็อยู่ในโลก รัสเซียกับไทยไม่ห่างไกลกันนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาติจีนชาติไทย เป็นพี่น้องกัน ในเมื่อพี่ดินถล่ม แล้วน้องล่ะจะถล่มไหม

อาศัยเหตุ ๒ ประการนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ต่อไปจงอย่าประมาท จงอย่าคิดว่า เหตุร้ายอย่างนี้จะไม่มีกับเรา และก็จงอย่าตื่นตูมว่า มันจะมีเสียเลยทีเดียว เราต้องพร้อมไว้ ถ้ายังไม่มี จะทำตนแบบไหน ถ้าบังเอิญเหตุร้ายอย่างนี้เกิดขึ้น เราจะทำแบบไหน พร้อมไว้เสียก่อน จะได้สะดวก

ทีนี้มาว่ากันว่า เหตุที่แผ่นดินไหวมันมาอย่างไร นี่ก็ต้องขอย้อนเรื่องไปนิดหนึ่ง ตามพระสูตรพระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามีเหตุ ๘ ประการ เกิดจากธรรมชาติอย่างหนึ่ง อาตมาขอเอาเฉพาะธรรมชาติอย่างเดียว อีก ๗ ประการ ยังไม่พูดกัน และจะไม่พูดต่อไป เพราะเป็นเรื่องของพระสูตร จะเข้ากับนิทานมันก็ไม่สะดวกนัก

เรื่องของธรรมชาติอาตมาก็จำ พ.ศ. ไม่ได้ จำเดือนไม่ได้ ผู้คัดลอกจากเสียงเป็นตัวหนังสือ ถ้าจำได้ลงไว้ด้วยว่าปีอะไร เดือนอะไรที่ไปอเมริกาครั้งแรก (๔ พฤษภาคม ๒๕๒๖) ทัวร์นำไป เขาพาไปแวะที่ฮาวาย เวลานั้น ดร.ปริญญา นุตาลัย ไปด้วย กับเหมี่ยว (โศภิษฐ์) ดร.ปริญญา นุตาลัย เป็นผู้ชำนาญการด้านธรณีวิทยาเรียนมาโดยตรง

พอถึงตอนเย็นเธอก็เช่ารถเก๋งเขามาคันหนึ่ง พาไปเที่ยว จึงถามว่า “ดอกเตอร์ ที่มานี่มีธุระอะไรหรือเปล่า”
เธอก็บอกว่า มีธุระ ฝรั่งจ้างให้หาเหตุหาผลแผ่นดินไหวว่า แผ่นดินไหวเหตุผลมาจากอะไรบ้าง
ก็ถามเธอ เธอก็ตอบว่า มาจากลมพัด ลมกระแทกใต้ดิน ทำให้แผ่นดินไหว

แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป คุยอะไรบ้างก็หลายปีแล้วไม่ได้คิดจะพูดเรื่องนี้ เวลามาพูดเข้าก็มานึกได้ ก็พูดไม่รอบคอบแน่ เข้าใจว่าเขียนลงธัมมวิโมกข์ไว้แล้ว แต่ว่าธัมมวิโมกข์ก็หายากหน่อย เพราะมันหลายเล่ม เล่มละนิดเล่มละหน่อย จึงมารวมไว้ที่นี่ (ธัมมวิโมกข์เล่มที่ ๓๓-๓๘)

ก็รวมความว่าพอตกกลางคืน เวลาจะนอนก็ปรากฏว่าเห็นพระท่าน พระท่านก็มาอธิบายเรื่องเหตุของแผ่นดินไหว
ท่านก็กล่าวว่า แผ่นดินมันเป็นร่อง แล้วลมมากระแทกร่องภายใต้แผ่นดิน ทำให้แผ่นดินไหว
ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เป็นไร ในเมื่อพระท่านบอกแบบนั้นก็เชื่อท่าน เพราะพระท่านไม่เคยตรัสอะไรผิด

ต่อมาวันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปอเมริกา ไปลงที่ ลอสแองเจลีส คาลิฟอร์เนีย พอตกเช้า ฉันข้าวเสร็จ ประมาณโมงเช้าเข้าห้อง พอเข้าห้องก็เห็นพระท่าน
ท่านถามว่า ยังสงสัยเรื่องแผ่นดินไหวที่ลมกระแทกดินใช่ไหมเล่า
ก็ตอบท่านว่าใช่
และกราบเรียนท่านอีกว่า ที่สงสัยก็สงสัยมาก เพราะถ้าเป็นโพรงใต้ดิน ไม่มีทางที่ลมจะเข้าไปได้ แล้วทำไมจึงเกิดมีลมกระแทกดินทำให้แผ่นดินไหว ลมขนาดนี้แสดงว่าแรงมาก

ท่านก็ตอบว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอใส่กลอนเสีย เวลานี้เวลาประมาณ ๗ โมงเช้า ๑๕ นาที ตั้งใจไปกับฉัน ฉันจะพาไปชม จะกลับกันจริง ๆ ใกล้ ๑๑ โมง เหลือเวลาอีก ๕ นาที ๑๑ โมง จะกลับมาถึง

เมื่อท่านชวน ก็ลุกเดินไปใส่กลอนที่ใส่กลอนประตูก็เพราะว่าไม่ต้องการให้ใครเข้ามากวนเวลานั้น ถ้าใครมากวนเวลาเที่ยวจะเกิดการสงสัยขึ้น เขาจะสงสัยว่าอย่างไร เป็นเรื่องของคนสงสัย และเวลานี้ไม่มีใครเขาสงสัย ก็เลยไม่พูดเรื่องคนสงสัย

พอกลับมาถึงที่นอนก็เริ่มจับอานาปาฯ พอจับปั๊บ อารมณ์ทรงตัวปุ๊บ ก็ไปกับท่าน ท่านก็พาไป พาไปดูร่องภายใต้แผ่นดินต้องพูดกันให้ถูกว่า ร่องในแผ่นดิน ไม่ใช่ใต้แผ่นดิน เพราะโลกนี้ฝรั่งเขาบอกว่ากลม ไทยก็บอกว่ากลม ในเมื่อฆราวาสบอกว่ากลม พระก็บอกว่ากลม จะได้ไม่ขัดคอกัน

แผ่นดินนี้มีความหนาเท่าไรก็ไม่ทราบ สุดแล้วแต่ตำราของโลก เขาวัดกันจริง ๆ เขารู้จริง นักวิทยาศาสตร์ นักธรณีวิทยา ก็ยอมรับว่าเขามีความรู้จริง หลังจากนั้นแล้วก็ไปชมสถานที่โพรงดิน

ทีแรกคิดว่ามันจะเป็นโพรงเล็กน้อย ความจริงแล้วไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี จะบอกว่าเป็นถ้ำ ถ้ำมันก็มีจุดจบ จะบอกว่าเป็นคลอง คลองก็ไม่มีแม่น้ำ ถือว่าเป็นโพรงดีกว่า โพรงของดินนี้มันจะยาวเหยียดไปทั่วโลก แล้วก็แยกซ้ายแยกขวา แยกขวาแยกซ้าย ไม่ใช่เล็ก บางแห่งกว้างถึง ๑ โยชน์ บางแห่งกว้างถึง ๗ โยชน์ นี่มันก็เป็นทะเลน่ะซี

บางแห่งก็แคบ บางแห่งก็กว้าง มันก็ไปของมันอย่างนี้ ก็แยกไปแยกมา แยกมาแยกไป ดูตามเส้นใหญ่ มันก็ทั่วโลก ชนกัน และก็มันก็ยาวไปทั่วโลกแล้วก็มีเส้นย่อย ๆ เส้นย่อยก็ไม่น้อยที่เป็นขนาดแม่น้ำใหญ่ ๆ กว้างประมาณ ๑ กิโลเมตรบ้าง เกินบ้าง แคบกว่านิดหน่อยบาง ที่แคบกว่า ๑ กิโลเมตรหายาก และก็เป็นซอยอีกจิปาถะไปเลย

รวมความว่าร่องใต้ดินนี้ มองแล้วไม่มีน้ำเจิ่ง จะหาน้ำเจิ่งอย่างแม่น้ำไม่มี ก็เลยสงสัยว่าน้ำไปไหนหมด แต่ไม่ได้ถามพระ สิ่งที่ไม่ควรถามก็ไม่ถาม ไปถามเข้ามันจะเกินพอดี แต่ว่ามองไปพื้นข้างล่าง หมายความว่าส่วนต่ำที่เป็นพื้นดิน พื้นดินส่วนต่ำไม่ใช่ดินแข็ง มันเป็นดินเหลว เป็นเลน แต่เลนนี้เป็นน้ำเดือด มันเดือดหนัก จริง ๆ อย่างใครเคยไป นิวซีแลนด์บ้าง

ถ้าไปที่นิวซีแลนด์จะเห็นโคลนเดือด โคลนเดือดที่นิวซีแลนด์ก็เหมือนกับที่เดือดภายใต้พื้นพิภพที่เป็นร่องใหญ่ของโลก แต่ว่าภายใต้พื้นพิภพนั้น มันเดือดหนักกว่ากำลังสูงกว่า โตกว่า และบางส่วนก็เป็นน้ำพุ่งโชติช่วง คล้าย ๆ กับนิวซีแลนด์ พุ่งฟูดฟาดฟืดฟาด ไอ้น้ำพุ่งนี่ไม่มีเวลา มองไปทางไหน ก็พุ่งกันไสว เป็นน้ำพุสูง และก็ส่วนเดือดต่ำ ๆ ก็มี

พระท่านก็เลยอธิบายว่า ไอน้ำที่เดือดนี้ ในเมื่อเดือดขึ้นมาแล้วมันก็ลอยตัว ตัวนี้มันก็จับเป็นกำลังของลม กำลังของลมส่วนนี้เมื่อมาก ๆ เข้า ก็มีการก่อตัว เมื่อมีการก่อตัวก็มีการเคลื่อนไหวแรง มีการเคลื่อนไหวแรง กระทบส่วนใดส่วนหนึ่งของโพรง ตอนนั้นจะเกิดแผ่นดินไหวแรง ส่วนใดที่เป็นส่วนปลาย ก็จะมีความรู้สึกน้อย เอาอย่างประเทศไทยนี่ก็แล้วกัน ความแรงอย่างนี้ยังไม่เข้ามาถึงในประเทศไทย

แต่ทว่าย่องเข้ามาเยี่ยมประเทศจีนแล้ว ลองนั่งลืมตา หลับตา หรี่ตา เหล่ตา คิดดูทีซิว่า ประเทศไทยกับประเทศจีน ไกลกันหรือใกล้กัน แล้วกระแสลมที่จะพัดมารวมตัวกันในประเทศไทย มันยากนักรึ นี่ไม่ได้พูดให้กลัว พูดให้ฟังปมาโท มัจจุโน ปทัง ความประมาทเป็นทางของความตาย

อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ถ้าเราไม่ประมาท พร้อมโดด แต่ว่าแผ่นดินถล่ม จะโดดไปไหน โดดจากบ้านก็ลงหลุม อยู่บนบ้านก็ลงหลุม

ทีนี้ทางที่ดีก็ถามนักธรณีวิทยาเขา นักธรณีวิทยาอาตมาก็ไม่รู้จักใคร รู้จัก ดร.ปริญญา กับ เหมี่ยว ถาม ๒ คนนี่ก็ได้ว่า ส่วนไหนของประเทศไทยที่มีดินเป็นโพรงบ้าง และก็ดูว่าโพรงมันจะหนักไหม

อาตมาก็ขอยืนยันว่า ประเทศไทยที่มีดินเป็นโพรงอยู่เยอะ ไม่ใช่น้อย และก็เป็นโพรงที่น่ากลัวอยู่ก็หลายจุดหลายแนว ก็รวมความว่า บรรดาท่านผู้ฟัง ฟังแล้วอย่าเพิ่งสะเทือน ดินที่เป็นโพรงนี้อยู่ลึกมาก ทุกประเทศก็อยู่ลึก

ประเทศไทยส่วนที่ตื้นก็มีอยู่นิดหน่อย อย่างชายเชียงใหม่ต่อชายแม่ฮ่องสอน แล้วก็เรื่อยมาถึงอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก แล้วก็จังหวัดแพร่ ชาย ๆ ป่า อันนี้มีจุดตื้น บอกเฉพาะจุด มันมีเยอะแยะ เอาเฉพาะจุดเป็นตัวอย่าง

แต่คำว่าบาง ก็ไม่ใช่บางมาก ยังมีความหนาเป็นกิโล ๆ สามารถต้านทานภูเขาอยู่ ยังสามารถต้านทานน้ำหนักทั้งหลายอยู่ แล้วแถวกาญจนบุรีจะมีไหม รอยโพรงชั้นล่าง กาญจนบุรีก็มี ผ่านไปแล้วก็เรื่อยไปออกโน่น มะริด ทวายโน่น อันใหญ่นะ นี่ว่าถึงอันใหญ่ เอ๊ะ นี่พูดเรื่องอะไร จะลืมเสียแล้วมั้งนี่ อันใหญ่ออก มะริด ทวาย แล้วก็มุดทะเลไป ไปขึ้นที่ไหน ๆ ต่างประเทศ ช่างมัน ไม่เกี่ยวกับเรา

ก็รวมความว่า พระท่านก็บอกว่า ลมที่เป็นไอน้ำ มันมารวมตัวกัน รวมมาก ๆ ก็มีกำลังพัดสูง มันก็ไหลไปไหลมา ไหลมาไหลไปไหลจากทางโน้นมาชนทางนี้ ไหลจากทางนี้ไปชนทางโน้น ในเมื่อกำลังอัดตัวมันมากขึ้น มันก็มีกำลังแรง มันก็พุ่งไปชนกำแพงด้านข้าง ด้านใดด้านหนึ่งของโพรง แผ่นดินก็ไหว

แล้วก็ถามท่านว่า (ถามด้วยความโง่) ในเมื่อร่องมันยาวตลอดโลก และก็มีที่แยกมาก ทำไมมันไม่ไหลแยกเข้าไป กระจายตัวกัน ทำไมต้องมาชนให้แผ่นดินไหว

ท่านก็บอกว่า มันกระจายไปไหน ในเมื่อต่างที่ต่างก็มีไอน้ำ มันมีความร้อนตลอดกัน มีไอน้ำเหมือนกัน
แล้วท่านก็เปรียบเทียบ ท่านถามว่า ในมหาสมุทรที่มีกำลังลมตั้งขึ้นในมหาสมุทร เมื่อลมผุดขึ้นมามีกำลังสูง แล้วกระแทกบ้านเรือนเขาพัง ทำไมลมไม่ลอยตัวไปในอากาศที่มีสถานที่กว้างกว่า มันไม่น่าจะชนบ้าน ชนเรือน ชนเรือเขาพัง ทรัพย์สินเสียหาย มันน่าจะลอยบนอากาศ พอท่านพูดเท่านี้ก็มีความเข้าใจว่า กำลังของมัน ถ้ามันจะพุ่งไปทางไหนมันก็หลีกไม่ได้ มันหลีกไม่เป็น

ก็เป็นอันว่า มีความเข้าใจ เรื่องของเหตุแห่งแผ่นดินไหวก็มาจากไอน้ำ ไอน้ำนี้ก็มาจากความร้อนของใต้ดิน เมื่อความร้อนมาก น้ำชุ่มชื้นมีอยู่บ้าง แต่น้ำก็ไม่มาก ก็ทำดินให้ละลายเป็นโคลน โคลนก็เดือดเป็นไอขึ้นมา และบางจังหวะที่มีน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงมาก ๆ ความร้อนสูง ก็พุ่งขึ้นมาเป็นน้ำพุ

และกระแสน้ำพุนี้มีกำลังไอสูงมาก รวมความว่า เหตุที่ทำให้แผ่นดินไหวคือ ไอน้ำ ไอน้ำ เมื่อระเหยมาแล้วก็กลายเป็นลม ลมเมื่อรวมตัวกันมาก ๆ เข้าแล้วก็เป็นกลุ่มเป็นก้อน มีกำลังแรง แล้วก็พุ่งตัวเข้าชนกำแพงของโพรงในดิน แผ่นดินก็สะเทือน จะพูดต่อไปถึงเรื่อง แผ่นดินถล่ม ก็เหลือเวลาอีก ๑ นาทีเศษ ๆ

ก็ขอสรุปเป็นธรรมะคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักนิดหนึ่งว่า โลกเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง เราอยู่ในโลกที่ไม่เที่ยง เราก็เป็นคนไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการตายไปในที่สุด ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่มีอยู่ อย่าคิดว่ามันเที่ยง หามาได้แล้วมันก็หมดไป นี่มันไม่เที่ยง คนรัก สัตว์ที่รัก ของที่รัก อย่าคิดว่าจะอยู่กับเราตลอดไป

รวมความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่อยู่กับเราตลอดกาล เราต้องจากกัน ๒ ประการ คือของจากเรา หรือเราจากของ นั่นหมายถึงของหมดไปก่อนเราตาย หรือเราตายก่อนของหมด รวมความว่าถ้ายังหวังการเกิดในโลกก็ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ จะพบแต่ความไม่แน่นอน ความสุขจะเกิดได้จากความแน่นอนเท่านั้น ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน หวังนิพพานเป็นที่ไป
คนหวังนิพพาน คือ
๑. รู้จักการให้ทาน เป็นการตัด โลภะ ความโลภ ทีละน้อย
๒. รู้จักการรักษาศีล ศีลมีเมตตากรุณาคุ้มครอง เป็นเหตุตัดโทสะ ความโกรธ ทีละน้อย
๓. การเจริญภาวนา เพื่อตัดโมหะ ความหลง

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อทุกท่านปลงใจได้อย่างนี้ ก็ชื่อว่าเป็นคนเข้าถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระมหามุนี คือ พระพุทธเจ้า ในที่สุดทุกท่านก็จะมีความสุข จะมีเหตุมีผล
เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน เวลาเหลือไม่ถึง ครึ่งนาที ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 15/9/10 at 14:31 [ QUOTE ]




3
(Update 15-09-53 )


โพรงดินในเมืองไทย

ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันที่บันทึกวันนี้ก็ยังเป็นวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นการบันทึกเพื่อหนังสือเล่มที่ ๕ ตอนที่ ๒ วันนี้ก็มาคุยกันถึง โพรงแผ่นดินไหวในประเทศไทย

ว่าประเทศไทยเรามีโพรงแผ่นดินไหม เจ๊กเขามีแล้ว ใกล้ไทยเหลือเกิน ในเมื่อเจ๊กมีใกล้ไทย ไทยก็ควรจะมีด้วย ก็รวมความว่าเป็นเรื่องที่ต้องคิด เราก็มานั่งดูร่องแผ่นดินในประเทศไทยว่ามีตรงไหนบ้าง

แต่ว่าบังเอิญบรรดาท่านพุทธบริษัท ในตอนที่แล้วไปพูดยืนยันว่าที่จังหวัดกาญจนบุรี มีพระท่านมาท้วงว่าไม่ควรจะยืนยัน เพราะการยืนยันว่ามีที่ไหน ใหญ่หรือเล็กเท่าไร เป็นหน้าที่ของนักธรณีวิทยา ไม่ใช่หน้าที่ของนิทานจะพึงรับรอง ก็เป็นอันว่าในที่นี้ก็ไม่ยืนยัน เป็นแต่เพียงบอกว่า สายแผ่นดินที่เป็นร่องใหญ่ที่จะมีอันตรายกับคนไทยระยะสั้น ๆ มีไหม

ครั้นเมื่อดูไปก็ปรากฏว่ามันไม่มี แต่ว่าทั้งนี้เว้นไว้แต่ว่าไปทำอะไรเป็นพิเศษเข้า อย่างนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เอาแต่เพียงว่าพื้นพิภพจริง ๆ ที่มันจะพังลงมาทำให้คนตาย ถ้ามันอยู่ตามธรรมดาของมันก็ดี หรือไปปลูกบ้านเรือนโรง หรือตึกที่อยู่ อาคารใหญ่ ๆ ก็ดี อย่างนี้แผ่นดินผืนนั้นตอนนั้นก็ยังสามารถต้านทานน้ำหนักได้นานมาก

ถามพระท่านบอกว่าแผ่นดินส่วนนั้น ที่เป็นโพรงใหญ่ ที่กำลังต้านทานน้ำหนักในการสร้างเมืองใหญ่ ๆ เหนือโพรงขึ้นมา อีกสักกี่ปีจึงจะสลายตัว
พระท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า ไม่ควรบอก ถึงแม้จะบอกไปก็ไม่มีผล เพราะว่าการถล่มของแผ่นดิน เนื่องจากน้ำหนักของตึกหรืออาคารใหญ่ ๆ อีกกี่ล้านปีก็ยังไม่ถล่ม ในเมื่ออีกตั้งหลายล้านปีไม่ถล่มก็ไม่ควรพูด

ทีนี้มาว่ากันถึงสายทางที่มันเดิน มันเข้าทางไหนบ้าง พอบอกเข้าทางไหนบ้าง ท่านก็ค้านอีกบอกว่า ไม่ควรจะบอกจุดที่แน่นอนให้เป็นเรื่องของนักธรณีวิทยาก็แล้วกัน

ท่านเพียงแต่บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สายใหญ่ที่ผ่านประเทศไทย ใหญ่ ๆ เป็นสายที่น่ากลัวจริง ๆ มีอยู่ ๓ สาย แต่ความกว้างของแต่ละสายที่กว้างสูงสุดไม่โตนัก ความกว้างไม่เกิน ๓ กิโลเมตร แต่ละสาย ๆ ที่ใหญ่ที่สุดความกว้างไม่เกิน ๓ กิโลเมตร แต่ทว่าบางตอนก็แคบกว่านั้น บางตอนก็ถึง ๓ กิโลเมตร ลดหลั่นกันตามลำดับ แล้วก็สายแยก สายแยกมีมาก

ท่านบอกว่า อย่าบอกจำนวนเลย มันเป็นสายเล็ก ๆ
จุดที่ตั้งของบ้านเมือง ที่คร่อมสายใหญ่มีไหม
ท่านบอกว่า เป็นเมืองใหญ่ ๆ จริง ๆ ไม่ใช่กรุงเทพฯ มีอยู่ ๓ เมือง

ทั้งนี้ก็หมายความว่า ยังไม่ต้องกลัวชีวิตของคนไทยที่ยังเป็นไทย หรือยังมีประเทศเป็นไทย ยังไม่ต้องกลัวว่าแผ่นดินจะถล่มเพราะความรับน้ำหนักไม่ไหวของตึก บ้าน เรือนโรง แต่ว่าเวลานี้เขาทะเลาะกันเรื่องน้ำ แต่เรื่องน้ำนี่ไม่ขอยืนยัน เพราะว่าหนักมาก

พระท่านก็บอกว่า อย่าไปพูดเลย จะเป็นเหตุให้เขาทะเลาะกัน ให้เป็นหน้าที่ของนักธรณีวิทยา ไม่ใช่หน้าที่ของเรา

ก็รวมความว่า หน้าที่จริง ๆ ในการพูดก็คือ ขอพูดว่า ในประเทศไทยเรามีโพรงแผ่นดินใหญ่ ๆ อยู่ ๓ สาย และก็ไม่ใช่เป็นสายที่น่ากลัวนัก ยังมีความลึกสูง แต่บางส่วนก็ลึกต่ำนิดหน่อย คำว่า บางหน่อย ๆ ก็ยังหนามาก ที่ว่าบางหน่อย ๆ ก็สามารถจะเจาะเอาความร้อนขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ ความจริงก็มีเท่านี้นะ ไม่เห็นมีอะไรมาก ถ้าพูดไปจะมีแต่การเลอะเทอะ

ก็รวมความว่า พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จงมีความมั่นใจในความดีของตัวเอง ที่เราถูกน้ำท่วม น้ำท่วมคราวนี้หนักหนามาก ท่วมทั้งภาคกลาง ทั้งภาคใต้ ภาคกลางที่ถูกก็เสียหายไม่น้อย แต่ว่าที่เขตอุทัยธานี ดูเหมือนเขาประกาศว่ามีคนตาย ๒ คน คนตายเพราะกระแสน้ำไหล เอาลูกไปส่ง เอาเมียไปส่ง ตัวเองถูกน้ำไหลหายไปกับน้ำ มันก็มีความรุนแรงไม่น้อย

แต่บังเอิญมีที่ขยายไปมาก และบ้านเมืองต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็อยู่ไกลจากต้นสายน้ำ มีอันตรายก็แค่ต้นสายน้ำ ปลายสายน้ำไม่มีอันตราย ก็จะมีบ้างแต่ความเสียหายไม่มากนัก

สำหรับพี่น้องภาคใต้ หรือบรรดาท่านพุทธบริษัทญาติโยมคนไทยด้วยกันภาคใต้หนักหน่อย ก็ต้องถือว่าเป็นบทเรียน ต่อไปก็ต้องมีการเตรียมพร้อม พร้อมเพื่อรับสถานการณ์ แต่ความจริงอย่างท่านนายกรัฐมนตรีท่านพูด ทางวิทยุเขาพูดกันนะ

เขาว่านายกฯท่านพูดท่านบอกว่า เรือยางหรือเรือท้องแบน ควรจะหาประจำจังหวัดไว้ จังหวัดละหลาย ๆ ลำ จำจำนวนไม่ได้ เวลาเกิดเรื่องขึ้นจะได้ไม่ต้องไปขอยืมที่โน่นขอยืมที่นี่ มันไกล กว่าจะได้มาก็ไม่ทันเหตุการณ์ฉุกเฉิน ความคิดอย่างนี้ของท่านดี แต่ว่าจะมีใครบ้างไหมที่จะเตรียมจะรับสถานการณ์เวลาแผ่นดินถล่ม

แต่ขอบอกไว้นิดหนึ่ง คุยไว้หน่อยหนึ่ง พระท่านไม่ว่า นี่นิทานนะพระองค์ไหน ใครอย่าไปทูลถามนะ นิทาน บอกไว้นิดหนึ่ง บอกเสียหน่อยหนึ่งว่าระวังแผ่นดินถล่มพร้อมกับน้ำมา ตอนนี้ให้ระมัดระวังให้มาก อย่าทำอะไรให้มันเกิดเป็นความประมาท ถ้าน้ำมาด้วยแผ่นดินถล่มด้วย จะอันตรายหนัก แผ่นดินถล่มก็จมตัว น้ำก็ท่วมอย่างนี้ต้องระมัดระวัง

แต่ก็ขอบอกว่า แผ่นดินถล่มของไทยจะไม่เท่าประเทศจีน ถ้าปล่อยไปตามสภาพปกติ ไม่ทำอะไรผิดปกติ แผ่นดินส่วนนี้นับล้านปี ยังไม่ถล่ม เว้นไว้แต่ว่า ทำอะไรให้หนักเกินปกติ อย่างสร้างบ้านสร้างเมืองนี่ไม่เป็นไร เอาลูกระเบิดไปทิ้งบ่อย ๆ ก็ไม่แน่นักเหมือนกัน

รวมความว่า แผ่นดินถล่มในประเทศไทย ยังไม่ต้องคิด คิดแต่เพียงว่าให้ทรงตัวความไม่ประมาทไว้ว่า อาจจะพึงมี เพราะคนสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น และสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่มีน้ำหนักสูงเกินไป

จุดไหนที่พึงห้าม พระท่านบอกว่าไม่ควรบอก นักธรณีวิทยาเขามี ในเมื่อหมดเรื่องแผ่นดินถล่ม ก็กลับกันดีกว่า กลับมาจังหวัดอุทัยธานี ตอนนี้ก็เข้าวัดท่าซุงดีกว่า มาเล่านิทาน คือแผ่นดินไทย มันไม่มีเรื่องจะพูด ก็พูดกันส่ง นิทานเสียอย่าง

กลับมาที่วัดท่าซุง นิทานนะ ใครอย่าเชื่อนะ พอเข้ามาถึงก็ขอพบ ภูมิเทวดา คือพระภูมิเจ้าที่
ถ้าถามว่าเทวดามีจริงรึ ให้ไปถามพระพุทธเจ้า ถ้าสงสัย พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ ถ้าใครสงสัยไปถามตรงพระพุทธเจ้าโน่น หมดเรื่องหมดราวกัน แต่อาตมาเชื่อพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสาวก สาวก แปลว่า ผู้รับฟัง ต้องเชื่อ เขาถามว่าเชื่อแบบ อธิโมกขศรัทธา หรือมีเหตุมีผล

ก็ตอบว่า ฝึกทางด้านจิตใจมาแล้ว สามารถสัมผัสนรกได้ สวรรค์ได้ พรหมโลกได้ อื่นจากนั้นก็ยังได้ แล้วเรื่องอะไรจะต้องมาถามกันว่าเห็นรึ

ก็ต้องตอบว่า ความเป็นอยู่คนพูดเวลานี้ อาศัยคนด้วย อาศัยเทวดาด้วย อาศัยพระด้วย เทวดารวมทั้งพรหมด้วยนะ อาศัยหมดทุกอย่างและต่อไปไม่ช้าไม่นานก็จะตาย ตายแล้วจะไปไหน

ถ้าเทวดาช่วยทันก็ไม่ลงนรก ถ้าพระช่วยทัน ก็ไม่ลงนรก ถ้าพระหรือเทวดาท่านช่วยไม่ทัน ก็ลงนรก ก็หมดเรื่องกันไป นรกมันมีให้ลง เราเผลอเราก็ลง เราไม่เผลอเราก็ไม่ลง แต่ขึ้นอยู่กับกฎของกรรม

ทีนี้มาเจอะภูมิเทวดา แต่ภูมิเทวดาที่วัดท่าซุงมีงานไม่หนัก มีหน้าที่รับคำสั่งของ กุมภัณฑ์ เพราะว่าเดินเข้าไปทางด้านเหนือเข้าไปที่ พระเจ้าพรหมมหาราช

ก็เห็นพี่กุมภัณฑ์คนหนึ่ง อ้วนตั๊ก ใหญ่ตึ๊ก เหมือนกับพ้อม โตจริง ๆ นุ่งผ้าหยักรั้ง หน้าตาไม่จู้จี้ แต่หน้าตาไม่ยิ้ม นั่งอยู่บนแท่นที่เขาตั้งแท่นหินพระเจ้าพรหมฯ นั่งเหยียดขา ชูเข่าหน่อย ๆ มีกระบองข้างขวามือ

ก็หันเข้าไปถามว่า พี่ชาย เป็นยามรึ
ท่านก็บอกว่า ที่วัดนี้เขาให้ผมเป็นยามครับ ผมอยู่ยามอยู่คนเดียว นอกนั้นเขาไม่อยู่ยาม เขาอยู่กันตามสบาย
ก็ถามว่า ทำไมไม่ให้เขามาอยู่ยามบ้างล่ะ
ท่านก็ตอบว่า มันเป็นหน้าที่ของผม

ถามท่านว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราช ทั้งหมด ที่อยู่เขตนี้มีเท่าไร
ท่านบอกว่า เป็นพัน ๆ คน
ก็ถามว่า อยู่กันได้อย่างไรเป็นพัน ๆ
ท่านก็เลยตอบยิ้ม ๆ บอก ก็อยู่อย่างเทวดา ก็หมดเรื่องไป

ถามท่านว่า มีหน้าที่อะไร
ท่านตอบว่า มีหน้าที่รักษาเขต
เขตที่ว่านี่ไม่ใช่เขตเฉพาะวัดอย่างเดียวนะ มันยาวออกไปเป็นรัศมีหลายสิบกิโล

ถามท่านว่า เขตนี้มีความสำคัญอย่างไรนะ จึงต้องใช้เทวดาเป็นพัน รักษาเขตไกลเป็นสิบกิโล
ท่านก็ชี้มือลงไปเบื้องล่าง ก็มองตามนิ้วของท่านก็ไม่เห็นอะไร เห็นเป็นดิน
จึงถามว่า พี่อ้วน ชี้ให้ดูแผ่นดินทำไม แผ่นดินตรงนี้ฉันเดินทุกวัน แล้วพี่อ้วนให้ดูอะไร
พี่อ้วนก็บอกว่า ดูเลยดินไปหน่อยซิ

ด้วยอำนาจเทวานุภาพ บรรดาท่านผู้ฟัง สามารถบันดาลให้เห็นสิ่งสีเหลือง พรึ่บไปหมด มันเหลืองอร่าม คล้ายทองร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มบริเวณไม่มีว่างเลย และก็มันมีส่วนซ้อนกันสูงมาก เหมือนกับตั้งกองอิฐ อิฐกองเมื่อสูงแล้วก็กองต่อ ๆ ๆ ไป เป็นผืนใหญ่ แต่ว่าเป็นส่วนลึกมาก ถ้าจะขุดกันจริง ๆ ถ้าเทวดาไม่พาหนี ก็ต้องขุดกันเป็นกิโล ลึกเป็นกิโล กิโลเมตรนะ

และถ้าจะถามว่า เป็นทองคำธรรมชาติ เป็นทราย หรืออะไร
ก็ต้อง ตอบว่า ไม่ใช่ เป็นทองแท่งและก็เป็นทองแท่งใหญ่ ๆ
หันไปถาม พี่อ้วนว่า ทองแท่งใหญ่ ๆ นี้เดิมทีเดียวมันเป็นทองแท่ง หรือว่าเป็นทองชิ้นเล็ก ๆ
ท่านบอกว่ามีสองส่วน เป็นทองแท่งใหญ่ ๆ มาจากเดิมก็มี บางส่วนก็เป็นทองส่วนย่อยที่เขาทำให้มันเป็นแท่งใหญ่
ก็ถามว่า ใครทำ

ท่านก็บอกว่า เป็นหน้าที่ของเทวดาที่เป็นช่าง จะต้องจัดทำทองให้เป็นแท่งใหญ่ ๆ เพื่อจะรักษาสบาย ๆ
ก็ถามท่านว่า ทองแท่งใหญ่ ๆ ทั้งหมดนี้มันเต็มไปหมด มันกี่แสนตันก็ไม่รู้
ท่านก็ส่ายหน้าบอกว่า พูดถึงแสนตันก็ยังไม่พอเลย ยังไม่พอกับจำนวนของทอง

ถามว่า สมบัติส่วนนี้เมื่อไรจะใช้ได้
ท่านบอก ต้องรอไปซี เมื่อพ้นจากพระพุทธศาสนานี้หมดไปแล้ว ศาสนาพระสมณโคดม ตอนช่วงกลางจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้า ก่อนพระศรีอาริย์ตรัส ช่วงนั้นก็จะมีพระเจ้าจักรพรรดิอุบัติขึ้นมาในโลก แล้วทองทั้งหมดนี้เป็นทองที่เขาเก็บไว้เพื่อพระเจ้าจักรพรรดิ

ถามท่านว่า ถ้าเวลานี้จะขอแบ่งมาใช้บ้างได้ไหม
ท่านก็บอกว่า ผมมีหน้าที่เพียงแค่เฝ้า มีหน้าที่อย่างเดียว อยู่ยามอย่างอื่นก็ไม่มีหน้าที่ทำ ยามก็มีหน้าที่สังเกตการณ์ว่า ใครจะย่องมาเอาทองบ้าง และใครจะทำอะไรในเขตนี้ ผมรู้หมด ใครทำดี ใครทำชั่ว พระองค์ไหนประพฤติดี พระองค์ไหนประพฤติชั่ว คนที่มา ใครประพฤติดี ใครประพฤติชั่ว นั่งอยู่นอนอยู่ คิดเรื่องอะไร ทำเรื่องอะไร ผมรู้หมด

เลยถามว่า พี่อ้วนคนมันหลายคนนะ พี่อ้วนรู้ได้อย่างไร
ท่านก็บอกว่า อย่าลืมว่า ผมเป็นเทวดานะ ผมไม่ใช่คน เทวดาย่อมมีอารมณ์เป็นทิพย์
ก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น อยากจะทราบความเป็นมาของคน ภายใน และความเป็นมาของคนภายนอก คนที่กำลังไปและคนที่กำลังจะมา พี่อ้วนทราบไหม

ท่านบอกว่า เรื่องเล็ก ทราบทุกอย่าง ถามอะไรถามได้เลย ใครโกหกท่านบ้าง ใครพูดจริงบ้าง ผมบอกได้เลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อไปนี้ผมรับอาสา มีอะไรถามผมก็ได้ แต่ตัวท่านเอง ไม่ต้องถามผมละมั้ง เพราะว่า ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ อยู่ใกล้ท่านอยู่แล้ว และท้าวมหาราชก็เป็นนายผม ท่านถามอะไรท่านบอกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเทวดาถ้าไม่ถามก็ไม่บอก

อย่างพิเภก ในเรื่องรามเกียรติ์ จริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบ ที่ไปอยู่กับ พระราม เป็นหมอดู พระรามให้ช่วยดู พิเภกก็กราบทูลขอพรว่า ถ้าไม่ถาม ก็ไม่ทูล ถ้าเรื่องอะไร ถามก็บอก เรื่องอะไรไม่ถามก็ไม่บอก เพราะการรบของพระราม รบกับญาติของพิเภก

นี่ก็เหมือนกัน ท่านพี่ชายยามท่านบอกว่า เทวดานี่ต้องถาม ถ้าไม่ถาม ถึงแม้ว่าท่านจะรู้เพียงใดก็ไม่บอก แต่บางกรณีที่มีความสำคัญ ท่านบอกก่อนเหมือนกัน ถ้ามีความจำเป็น แต่เรื่องธรรมดา ๆ ท่านไม่บอก
ก็ถามท่านต่อไปว่า ก็เป็นอันว่า ทองทั้งหมดนี้เขาเก็บเพื่อพระเจ้าจักรพรรดิ ใช่ไหม
ท่านก็บอกว่า ใช่
แล้วก็เหตุที่อารักขา ท่านบอกว่า ที่อารักขาไปไกลเพราะป้องกันคนที่คิดจะมานำทองไป
ก็ถามว่า ถ้ามีคนมาขุดทอง หรือทำพิธีต่าง ๆ

ท่านยิ้ม ท่านบอกว่าสบายมาก ทำพิธีเมื่อไร ผมก็ทำพิธีเมื่อนั้น
ถามว่า พิธีของพี่อ้วนน่ะมีอะไร
ท่านก็เลยบอกว่า กระบองนี่ไง ผมจะตีหน้าให้หน้ามืด เทวดาฆ่าคนตายไม่ได้ ตีทีไรทุพพลภาพทุกที

ก็หมดเรื่อง ถามท่านว่า ตีแรงหรือตีเบา
ท่านบอกว่า แค่กระทบก็พอแล้ว มันสุดแล้ว แต่ใจผมจะนึกให้เป็นขนาดไหน ผมไม่ได้แกล้งเขา แต่เขาแกล้งผม ผมมีหน้าที่เฝ้า ผมก็ทำตามหน้าที่ ตามธรรมดาเทวดาไม่โกรธใคร

ก็รวมความว่าแค่หน้าประตู บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เจอะพี่อ้วนเข้า พี่อ้วนนี่ใจดี ความจริงเห็นมานานแล้วนะ เดินผ่านไปผ่านมาก็เห็นพี่อ้วนแกนั่งตรงนี้ แกยืนยามอยู่ที่เดียว
เคยถามว่าพี่อ้วน ยืนยามตรงนี้ คนมาหลังวัดเห็นรึ
ท่านบอกว่า ที่ไหนผมก็เห็น

เอาละ เป็นอันว่าผ่านไป พูดมากเสียเวลา ต่อไปก็กลับเข้าที่กลับเข้าที่ก็พบ ท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ คือ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ ท้าวธตรฐ และท้าวเวสสุวัณ เห็นท่านยืนยิ้ม และปู่ย่า ตาทวด บิดามารดาก็มากันเต็ม และพระท่านก็มา

ท่านถามขึ้นว่า จะต้องการรู้อะไรอีก
ก็บอกว่า ต้องการคุยกันเป็นนิทาน ต่อนี้ไปก็จะเที่ยวแผ่นดินทีละจังหวัด จังหวัดไหนมีทรัพย์สินอะไรบ้าง พอที่จะคุยกันได้ แต่ส่วนใดที่คุยไม่ได้ก็ไม่พูด ส่วนใดที่เขาจะเอาได้ก็ไม่พูด
แต่ส่วนใดที่เอาไม่ได้ จะพูด คำว่า เอา หมายถึง ทำลายทรัพย์สินเขา แย่งทรัพย์สินเขา ถ้าเป็นแร่ธาตุก็อาจจะพูดได้ หรือไม่พูดก็ได้ สุดแล้วแต่ท่านจะอนุญาต

ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อนี้ไปก็พึงรู้เสียด้วยว่า ใต้วัดท่าซุง นอกจากจะมีทองคำแล้ว ทองคำนี่ไม่ใช่ทองคำธรรมชาติ เป็นทองคำที่เขาฝากท่านไว้ เอามาอารักขา

และก็ไม่ใช่ทองคำจุดเดียวที่เป็นของพระเจ้าจักรพรรดิ มีทั่วไป และก็มีอยู่หลายประเทศ แต่ละกลุ่ม ๆ มีอยู่หลายประเทศ เพราะพระเจ้าจักรพรรดิเกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้ครองโลก ชาวโลกทั้งหมดมีพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่เป็นใหญ่ คือ พระเจ้าจักรพรรดิ และพระเจ้าจักรพรรดิก็ปกครองโลกโดยธรรม

เวลาที่ใครเขาไม่มีจะกินไม่มีจะใช้ พระเจ้าจักรพรรดิก็สั่งขุนคลัง จงไปหาเงินมา จงไปหาทองมา ช่วยเลี้ยงเขา ขุนคลังนี้ก็มีทิพจักขุญาณแจ่มใสมากสามารถเห็นอะไรต่ออะไรได้ ตามความต้องการ จึงเดินนำคนไปชี้ตรงนี้ บอกว่า ตรงนี้ทองคำจงขุดขึ้นมา ทีนี้ก็เป็นเรื่องของเทวดา

ถ้าทองคำมากอย่างนี้ จะขุดขึ้นมามาก ๆ มันไม่ได้ เทวดาเขาก็จะให้เห็นเฉพาะจุด แต่พอสมควรว่าควรนำไปเท่าไร เห็นเท่านั้น นอกจากนั้นเห็นเป็นดินหมด และแต่ละคราวถ้ามีความต้องการมีความจำเป็น เขาจะให้ตามสมควร ที่นี่เป็นจุดหนึ่ง จุดเล็ก ๆ

ก็ถามท่านว่า นอกจากนั้น ใต้วัดมีแร่อะไรบ้าง
ท่านบอกว่า วัดนี้ตั้งอยู่บนยอดภูเขาเหล็ก มีแร่เหล็กมาก และก็อยู่ไม่ลึก แต่เป็นวัดเสียแล้วนี่ ขุดก็ไม่ได้ และค่าก็ไม่สูงไม่คู่ควรกัน
และถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้น จังหวัดอุทัยธานี มีอะไรที่มีความสำคัญบ้าง

ท่านก็ตอบว่า แร่ธาตุในจังหวัดอุทัยธานีมีเยอะ แต่ดินแดนที่จะพึงบอก
ท่านบอกว่าบอกไม่ได้
ก็อยากจะบอกสถานที่ แต่ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เขารู้กันเอง อย่างแร่ที่มีความสำคัญ แต่ยังไม่นิยมใช้ อย่าง ยูเรเนียม อย่างนี้ไปหลังอุทัยธานีก็มี

ถ้าแร่ดีบุกหรือแร่ต่าง ๆ ที่พึงใช้ มี แต่ว่าไม่มากนัก แต่ว่าแร่ยูเรเนียมมีเป็นหลายชั้น มีหลายชั้นด้วยกัน ชั้นบน ชั้นล่าง ชั้นต่อ ๆ ไป มีเยอะแฮะ ดูแล้วมีเยอะเป็นกลุ่ม ๆ มีกี่กลุ่มน้อ
ท่านบอกว่า เอากลุ่มใหญ่ ๆ จริง ๆ มีอยู่ ๓ กลุ่ม ในเขตปลายทาง ในป่าของ ๓ อำเภอ ท่านก็ไม่บอก ท่านห้ามบอกอำเภอ ทีแรกคิดจะบอกว่า ปลาย ๆ มันจะเป็นอะไร ท่านบอก เป็นหน้าที่ของเขา ของเราเป็นเรื่องของนิทาน จริงหรือไม่จริงใครก็ตำหนิกันไม่ได้

รวมความว่า แร่สำคัญนอกจากยูเรเนียม อ้าว! มองไปมองมา จังหวัดอุทัยธานีนี่มีแร่ทอง มีแฮะ คิดว่าจะไม่มี มีที่ไหน อีกอำเภอหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ไกลจากยูเรเนียมนัก มีกลุ่มทองคำ แต่ไม่มาก ถ้าทำแบบอุตสาหกรรม เป็นอะไรน้อ เป็นโรงงานที่เขาขุดน่ะ เป็นเหมืองแบบนั้นก็พอได้ แต่ทว่าต้องอดทน
แต่ท่านบอกว่า ต้องใช้เวลานาน อย่าเพิ่งทำเลย

ถ้าทำทองคำเวลานี้ ที่จังหวัดอุทัยธานี จะขาดทุน ต้องรอเมื่อถึงเวลาอันสมควร คำว่า เวลาอันสมควร บรรดาท่านพุทธบริษัท ดูเรื่องของน้ำมัน เรื่องของน้ำมันนี้รู้เรื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ แต่ทว่าเทวดาท่านยืนยันว่า ต้อง พ.ศ. ๒๕๒๔ ไป ขอร้องท่านอย่างไร ท่านก็ยอมรับไม่ได้ ก็เป็นอันว่า ต้องถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ แต่เรื่องของทองคำนี้พระท่านไม่บอกเวลา
เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า มองดูเวลา เหลืออีกแค่ ๒๕ วินาที ก็หมดเวลา ขอลาก่อนขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/10/10 at 14:13 [ QUOTE ]


4
(Update 1-10-53 )

ชมทองคำที่วัดท่าซุง

ตอนที่ ๑


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่๒๔ธันวาคม๒๕๓๑ ก็มาเริ่มบันทึกตอนที่ ๓ ของหนังสือเล่มที่ ๕ สำหรับก่อนที่จะบันทึกเรื่องอื่น ๆ ก็ขอแจ้งข่าวกุศลก่อน ตามที่ท่านพุทธบริษัทให้เสื้อผ้ามาก็ดี ให้ผ้าห่มมาก็ดี สำหรับเสื้อผ้าของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ให้มาแล้วทั้งหมด แจกไปแล้วจริง ๆ เกือบ ๑,๐๐๐ ชุด

เพราะแจกทยอย ๆ เรื่อย ๆ กันมา จนกระทั่งครั้งหลังสุดในเดือนธันวาคมนี้ และก็วันพรุ่งนี้ คือ วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ จะแจกผ้าห่มเป็นงวดที่ ๒ ผ้าห่มนี้ นุสมล สุขเสริม ท่าน พอ.อ.ท. สวน สุขเสริม คือบิดาของเธอ นุสมล บริจาคมาแล้ว ๓๐๐ ผืน และกำลังบริจาคอีก ๓๐๐ ผืน อาจจะหุ้นกับคุณเดือนฉาย คอมันตร์ (ต้อย) หรือไม่ก็ไม่ทราบ

รวมความว่าผ้าห่มทั้งหมด ๖๐๐ ผืน จะแจก วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นงวดที่ ๒ ก็ขออนุโมทนากับบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหมด ที่เสียสละนำผ้าห่มมาให้ และบรรดาท่านทั้งหลายได้สงเคราะห์ให้เสื้อผ้าเป็นพิเศษก็มีหรือผ้าห่มก็ตาม อย่าง นุสมล และต้อยเป็นต้น สำหรับเสื้อผ้านี้ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนมากท่านด้วยกัน ขอทุกท่านจงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา

ต่อนี้ไป ก็มาคุยถึง การชมทองคำ สำหรับ ในเรื่องนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นเรื่องของนิทานก็แล้วกัน อย่าเป็นความฝันเลย ฝันก็เป็นเฝือ ฝันมานานแล้ว เอาเป็นนิทานก็แล้วกัน นิทูเร แปลว่า มาจากที่ไกล เรื่องมันไกลแสนไกล ซึ่งเราไม่สามารถจะไปทบทวนมันได้ ก็ถือว่าเป็นนิทาน

นิทานตอนนี้คือว่าตอนก่อนได้พูดมาจบถึงตอนที่ จังหวัดอุทัยธานีมีทองคำ แต่การพูดแบบนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท รู้สึกอึดอัดมากเหมือนกัน เพราะบอกสถานที่ไม่ได้ บอกได้แต่เพียงจังหวัด บอกอำเภอ ท่านก็บอกว่ายังไม่ควรบอก ประการที่มีความสำคัญคือว่ายังไม่ถึงวาระที่จะนำทองคำขึ้นมา

ข้อนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทพึงเข้าใจว่า วาระนี้เป็นเรื่องใหญ่ เช่น น้ำมันก็เหมือนกัน รู้เรื่องน้ำมันมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๘ แต่ว่าเทวดาท่านบอกว่า ต้อง พ.ศ. ๒๕๒๔ ขอร้องท่านเท่าไรก็ตามที ท่านบอกว่า วาระไม่ถึง สำหรับเรื่องทองคำนี้ก็เหมือนกัน ต้องอาศัยวาระถึง

ครั้นจะถามท่านว่า เมื่อไรจะถึงวาระนั้น
ท่านก็ตอบว่า วาระที่ถึงนั้นก็คือว่า กำลังใจของคนเป็นสาธารณประโยชน์
ท่านตอบกว้าง ๆ นะ

บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจของคนที่มีอำนาจเป็น สาธารณประโยชน์ เวลานั้นทองคำในประเทศไทยก็ดี แร่ธาตุที่มีคุณค่าต่าง ๆ ก็ดี ทุกอย่างจะขึ้นมาอยู่ผิวดินหมด จะนำมาใช้ได้โดยง่าย

แต่ว่าหากว่ากำลังใจของคนที่มีอำนาจยังเป็น อัตตประโยชน์ อย่างนี้ก็รู้สึกว่ายังไม่ถึงเวลานั้น ก็เป็นอันว่าเข้าใจตามนี้ก็แล้วกัน สาธารณประโยชน์ อัตตประโยชน์ แปลว่าอย่างไร อาตมาก็ไม่ทราบ ช่วยหาคนอื่นแปลให้ทราบด้วย ถ้ายังไม่เข้าใจนะ

ถ้าอย่างนั้นก็ขออนุญาตท่าน ขอดูทั้งเมืองอุทัยฯ เฉพาะในเขตของเมืองอุทัยฯ ไม่ใช่เฉพาะอำเภอเมืองนะ ทุกอำเภอที่มีอยู่ ว่ามีทองคำอยู่จริง ๆ กี่แห่ง
ท่านก็ตอบมาทันทีว่า ทองคำพอที่จะมาใช้ได้เป็นประโยชน์ส่วนใหญ่จริง ๆ ๓ แห่ง แต่ละแห่ง

ทองคำทั้งหมดมีน้ำหนักหลายตัน แต่เท่าที่ว่านี้ไม่ใช่ทองคำแท่ง ทองคำแท่งก็ดี ทองคำรูปพรรณก็ดี เป็นของมีเจ้าของ อย่างนี้ไม่ใช่ทองคำธรรมชาติ เป็นของมีเจ้าของ หรือเป็นธรรมชาติมาก่อน แต่ว่ามีเจ้าของปกครอง ไม่ได้ไม่เกี่ยวกับทองคำที่ว่านี้

ทองคำที่พูดเมื่อกี้นี้ เป็นทองคำเม็ดเล็ก ๆ เป็นทองคำธรรมชาติ สวยงามมาก
ท่านบอกว่า มีอยู่ ๓ จุดใหญ่ เอาจุดใหญ่นะ จุดย่อย ๆ แค่คนเอามือไปเขี่ยแล้วก็ได้มา ได้วันละสลึง ๒ สลึงบ้าง วันละเฟื้องบ้าง บางทีคนโชคดีก็ถึงบาทบ้าง เอามาร่อนกัน อย่างนี้ไม่คิด เพราะเป็นส่วนน้อย

เอาแต่แหล่งใหญ่ ๆ จริง ๆ มีอยู่ ๓ แหล่ง แต่ละแหล่ง ถ้าได้รวบรวมกันทั้งหมด มีน้ำหนักแหล่งละหลายตัน เสียงท่านบอกมาว่า ไม่ควรจะคิดนับเป็นตันนะ หลายสิบตันมาก

แต่เวลานี้ยังอยู่ลึกจากผิวดินมาก มองไปว่าลึกสักประมาณ ๑๐ เมตรนี่มันยังเลย ๑ กิโลเมตร ก็รวมความว่า ในเมื่อยังไม่ถึงวาระ ก็ยังไม่ถึงวาระก็แล้วกัน อยู่ตรงไหน ท่านไม่บอกมาเราก็ไม่บอกไป

รวมความว่า จะเที่ยวดินแดนต่าง ๆ แต่ละจังหวัดว่า มีทรัพย์สินอะไรบ้าง ก็ชัดอึดอัด เมื่อพบแล้วก็พูดไม่ได้ถนัด และอีกประการหนึ่งถ้าพบแล้วถ้าคนอื่นเขาอยากไปพบบ้าง เขาลืมไปว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องนิทาน มันก็ลำบากเหมือนกัน อาจจะโมเมโปเปตานังว่า นิทานเป็นเรื่องจริง แต่บังเอิญนิทานไปตรงกับของจริง ก็เป็นเรื่องความจริงของนิทาน

ถ้านิทานไม่ตรงกับความจริง ก็เป็นเรื่องความจริงของนิทานเหมือนกัน จะเอาอะไรกับนิทาน ในเมื่อมองไปดูทองคำเป็นที่ชอบใจ ก็กลับวัดดีกว่า ในเมื่อเอาอะไรกันไม่ถนัด ก็กลับวัดดีกว่า ไหว้พระตามปกติ สำหรับพี่ชายใหญ่ ท่านก็ยืนยามพุงพลุ้ยของท่านอยู่นั่น เมื่อกลับมาแล้วก็คิดว่า เราจะทำอะไรต่อไป เดินรอบ ๆ วัดท่าซุง

ที่วัดท่าซุงนี้ ทองคำส่วนย่อยเขามีอยู่ ที่รวมน้ำหนักแล้วประมาณตัน ๒ ตัน เขามีอยู่ เพราะเป็นของมีเจ้าของ แต่ว่าตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เขาก็เลื่อนเข้ามาอยู่ใต้ตึกหมดแล้ว หลบเข้ามา ส่วนใหญ่

นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนเหลืออีก เป็นของมีเจ้าของ ก็บริเวณตึกรับแขกใหม่ ลานนั้นทั้งลานเต็มไปด้วยทองคำ
และก็ปรากฏว่า เป็นทองคำหลายเจ้าของ ถามท่านว่า ใครเป็นเจ้าของบ้าง

ท่านบอกว่า จุดนี้ แถบนี้มีทองคำมาก มีเงินเป็นส่วนน้อย ทองแท่ง ทองรูปพรรณ มีเพชรพลอยบ้าง
ท่านบอกว่า ส่วนนี้เป็นของของ ขุนแผน และส่วนกึ่งกลางมาตรงนี้ ตรงนี้มากอยู่เป็นของ พระยากาญจนบุรี และเรื่อย ๆ เข้ามาอีก ตอนนี้เป็นของของ ลาวทอง กับ วันทอง

ท่านว่ามาอย่างนี้ ก็ว่าไปอย่างนั้น ไปตามเรื่องตามราวของนิทาน ไปเอาจริงเอาจังอะไรก็ไม่ได้
รวมความว่าจะว่ากันไปจริง ๆ บริเวณนั้นทั้งบริเวณก็เป็นทองส่วนบุคคล ทองเต็มมีเป็นเรือชะล่าบ้าง เป็นตุ้มบ้าง แถมในน้ำก็ยังมีอีก แต่ในน้ำ ไม่ใช่อยู่เฉพาะในน้ำ อยู่ใต้ดินในน้ำ เพราะว่าดินในน้ำเวลานั้นมันเป็นดินบก น้ำไม่ได้ท่วม แม่น้ำเล็กกว่านี้

เวลานี้แม่น้ำมันใหญ่ขึ้นมา ก็ซัดเอาดินข้างบนหายไป เหลือแต่ดินข้างล่างทับตุ่มอยู่ เป็นตุ่ม ๆ วางเรียงรายเป็นตุ่มใหญ่ แถวละ ๗ ตุ่ม มี ๓ แถว แต่ว่าล้ำกันบ้าง อะไรบ้าง ไม่ค่อยเสมอกัน ก็มาดูรอบ ๆ บริเวณ เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของบริเวณที่สร้างตึกรับแขกใหม่ จะพูดให้ฟัง

สมัยที่อยู่ใหม่ ๆ เห็นจะเป็น พ.ศ. ๒๕๑๓ เป็นอันว่า พ.ศ. ๒๕๑๒ ดีกว่า
มีคน ๆ หนึ่ง เขาเอารถไถมาเจิม เขาบอกว่ารถไถของเขา เขาซื้อทอดกันมา
ก็รู้สึกว่าถ้าไถไปประมาณ ๑ ชั่วโมง หรือชั่วโมงเศษ ๆ ความร้อนจะขึ้นสูง และก็ต้องพักประมาณครึ่งชั่วโมงหรือ ๑ ชั่วโมง และก็ไถต่อไป ทำงานไม่ได้สะดวก

เขาขอให้เจิมแก้
ก็บอกเขาว่า เจิมเป็นพิธีกรรม จะแก้ความร้อนได้หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบ เพราะนั่นมันเกี่ยวกับเครื่องยนต์ แต่การเจิมจะมีผลเป็นประการใดก็ไม่ยอมรับเหมือนกัน เมื่อมาเจิมก็เจิมให้ตามพิธีกรรมที่คนชอบ ก็ว่ากันตามเรื่องตามราวไป ก็ทำตามนั้น

เวลาเจิมก็เชิญ ท่านท้าวจาตุมหาราช พอเจิมเสร็จ ในบริเวณที่ตั้งตึกรับแขกใหม่ เวลานั้นเป็นกอไผ่ กอไผ่ที่ใช้ลำไม่ได้ กอไผ่เล็ก เล็กมาก เป็นเรียว ๆ เสียมาก แล้วก็มีต้นมะม่วง ต้นมะม่วงที่อดีตเจ้าอาวาสหวงแหนนัก

จะทำอะไรสงสาร จะสร้างโบสถ์ตรงนั้น ท่านก็บอกมาว่า สงสารต้นไม้ อย่าไปตัดต้นไม้ สงสารมัน ก็เห็นใจท่าน
ท่านมีการสงสารจริง ๆ แต่ต่อมาไม่ช้า เพราะอาศัยสงสารต้นไม้ เอาไว้ที่ตรงนี้จะมีอันตราย ก็เลยตัดต้นไม้ขายเจ๊กไป ให้เจ๊กเก็บ

ทีนี้มาว่าถึงรถไถคันนั้น พอเจิมเสร็จ ก็ปรารภกับเขาว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ขโมยเก็บของ ขโมยมันขโมยของในวัด เวลานั้นอาตมาก็ไม่มีอำนาจในการควบคุม เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาส ในเมื่อมันขโมยของในวัด มันก็ไปเก็บในป่า ขโมยของจากในโบสถ์ไปเก็บในป่าตรงนั้น

บรรดาฝากระดานทั้งหลาย ฝาบ้านสวย ๆ ฝากุฏิ มันก็ย้ายไปฝากไว้ตรงนั้นแล้วเอาลงเรือเวลากลางคืน ขโมยพวกนี้มันอาจหาญมาก ไม่ได้เกรงใจเจ้าอาวาสเลย ไม่เกรงใจทายก เจ้าอาวาสหรือทายกก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกับมัน เหมือนกับคนมีหุ้นส่วน แต่ความจริงไม่ได้มีหุ้นส่วน

ก็เห็นว่ากอไผ่มีไว้มีอันตราย ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ขายลำก็ไม่ได้ กินหน่อก็ไม่ได้ ก็เลยบอกเจ้าของรถว่า คุณเจิมแล้วคุณลองใสป่านี่ดูซิ ถ้าไสให้เตียนได้ ฉันจะออกค่าน้ำมัน ออกค่าแรงงาน ออกค่าป่วยการเสร็จ

แล้วเขาเคยทำชั่วโมงละเท่าไร เราก็จะให้ตามนั้น เขาก็บอกว่า ผมขอทำถวายครับ
ก็เลยบอกว่า คุณ มันจะขาดทุนเกินไป
เขาบอกว่า ไม่เป็นไร ผมขอทำถวายจนกว่าจะเตียนหมด

เขาก็ลงมือทำ เวลาเขาลงมือทำก็จุดธูปบอกท้าวมหาราชบอกว่า ให้ท่านตั้งเจ้าหน้าที่เทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง คุมไม่ให้ความร้อนขึ้นสูง และคุมรถคันนี้ไปจนกว่ารถคันนี้จะถูกขายไป หรือว่าพัง ให้รักษาระดับความร้อนไว้ ถ้าไม่เกินความสามารถของเทวดาจะพึงทำได้ ขอให้ทำด้วย

ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ เขาไถวันทั้งวัน คืนทั้งคืน ความร้อนไม่ขึ้นตามที่เคยปรากฏเป็นความร้อนปกติ ทำจนเตียนเสร็จ เมื่อเตียนเสร็จ อาตมาก็จัดเงินให้เขา เพราะเกรงใจเขา เขาทำกี่ชั่วโมง เราก็คิดไว้ก็บอกบุญบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่มาจากกรุงเทพฯ เวลานั้นก็อาศัยเฉพาะเงินจากกรุงเทพฯ จริง ๆ

ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๑ นี้ เงิน ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ เป็นเงินจากสายกรุงเทพฯ สายบ้านนอกจะมีมาให้บ้างก็นิดหน่อยเท่านั้น เมื่อญาติโยมจากสายกรุงเทพฯ มา บอกท่าน

ท่านก็บริจาคไว้ตามกำลัง และก็ปรากฏว่า เงินพอตามชั่วโมงที่เขาทำ ครั้นมอบเงินให้เขา เขาก็แน่เหมือนกัน เขารับเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เมื่อรับเสร็จ เขาขอทำบุญกับวัดเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เหมือนกัน เขาฉลาดมาก

ถือว่าให้ก็รับ เป็นพิธีกรรมของการค้า คือว่า การค้า ถ้าได้ ต้องได้จริง ๆ ได้เต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ถือเป็นฤกษ์ แล้วเขาก็ถวายทำบุญเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ทั้งหมด

จากนั้นเขาก็จากไป เขาก็ไปรับจ้างไถนา ก็ปรากฏว่า มีรถคู่แข่งกัน ไถข้าง ๆ กัน เจ้าของคนนั้นซื้อรถมาใหม่ รถไถใหม่เอี่ยม รายนี้ก็ซื้อมาใหม่เอี่ยม แต่ว่าใช้แล้ว ซื้อใหม่เอี่ยมแต่ว่าเป็นรถที่เขาใช้แล้ว ไถคู่แข่งขันกัน แต่ความจริงไถคนละที่ แต่ทว่าต้องคิดเหมือนกัน

การแย่งพื้นที่เพื่อรับจ้างไถอาจจะต้องมี ปรากฏว่าคู่แข่งขัน รถใหม่รถเสียตลอดเวลา ทำไปได้ครึ่งวัน รถเสียไปวันบ้าง ๒ วันบ้าง รายการนี้ที่ความร้อนเคยขึ้นสูง ก็ไม่ยอมขึ้นสูง ปกติตลอดเวลา เธอก็มารายงานบอกว่า เป็นของอัศจรรย์ที่ผมให้หลวงพ่อเจิม

ฉะนั้น เรื่องการเจิมนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็เป็นพิธีกรรมธรรมดาแต่ทว่าอานุภาพอย่างหนึ่งของท้าวมหาราช เมื่อถามท่านท้าวมหาราช
ท้าวมหาราชท่านบอกว่า ผมให้ ท่านวาหน เป็นผู้ควบคุม ท้าววาหนนี้ เป็นเทวดาองค์หนึ่งในชั้นจาตุมหาราช

ถ้าว่ากันตามเรื่องของหนังสือสุนทรภู่ ท่านวาหน ก็คือ ขุนไกร พ่อขุนแผน ก็รวมความว่า เมื่อทราบข่าวเสร็จ ก็ปั้นรูปท่านไว้ แต่รูปจะปั้นให้เหมือนก็ปั้นไม่ได้ ช่างก็ไม่เป็น ช่างประเสริฐ

เริ่มปั้นใหม่ ๆ แกไม่ได้หัดจากใคร แกนึกจะปั้นแกก็ปั้น ก็บอกว่า ปั้นตามใจชอบ แกก็ปั้นรูปหน้าคล้ายพี่วงษ์ พี่ชายที่ตาย เพราะแกเห็นรูปพี่วงษ์ ก็เลยเอากระดูกพี่วงษ์เข้า บรรจุไว้ให้ชื่อว่า นายวงษ์ สังข์สุวรรณ ที่รูปนั้น ตามความจริงเป็นรูปของ ขุนไกร

ทีนี้ที่ว่ารูปของขุนไกรจริง ๆ ก็เพราะว่า มีครั้งหนึ่งอาตมาไม่อยู่ไปกรุงเทพฯ ก็มีคนจะมาถ่ายรูปขุนไกร คนที่อยู่ที่วัดนี้ พระก็ดี ไม่มีใครรู้จักขุนไกร เขาก็บอกว่าเวลานี้ขุนไกรไปเข้าทรงที่แม่สอด การเข้าทรงของท่าน มีผลดีมาก พูดอะไรก็ตาม ตรงไปตรงมา จริงจังทุกอย่าง

แต่ทว่าพอช่างจะถ่ายรูป ท่านก็บอก “มึงจะถ่ายอะไรวะ ถ่ายรูปเวลานี้ มึงก็ถ่ายรูปอีคนทรง มันจะติดกูได้อย่างไร รูปกูเขาปั้นไว้ที่โน้น ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ในเขตอำเภอเมือง ห่างจากอำเภอเมืองไปประมาณ ๖ กิโล เขาปั้นไว้ มึงไปขอถ่ายที่นั่น เหมือนเปี๊ยบเชียว”

พระก็เลยบอกว่า รูปอื่นไม่เห็นมี เห็นมีแต่รูปพี่วงษ์ เวลานั้นรูปปั้นใหญ่มีรูปเดียว ไม่มีรูปใคร เขาก็เลยถ่ายภาพไป จึงได้ทราบว่า ท่านท้าววาหนนี้ก็คือ ขุนไกร บิดาของขุนแผน คือ พระยากาญจนบุรี

ก็รวมความว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ เป็นเรื่องทอง ๆ ต่อมาก็อีกจุดหนึ่งจะจบหรือไม่จบก็ไม่ทราบ บุคคลที่มีความสำคัญอีกคนหนึ่งก็คือ ท้าวนาคา ท้าวนาคานี้ คนทั้งหลายคิดว่า พญานาค

บางคนมาถามว่า หลวงพ่อ ที่ต้นโพธิ์นี้มีถ้ำพญานาคหรือ
แต่ความจริงท่านท้าวนาคานี้ ท่านอยู่ที่ต้นโพธิ์ แต่ไม่ได้อยู่บนกิ่งโพธิ์นะ เป็นเขตที่ท่านพัก

อารักขาวัดบริเวณที่นี่ ท้าวนาคานี้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช เขาตั้งศาลไว้ให้ข้างต้นโพธิ์ เพราะท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ตามสมควรตามอานุภาพของท่าน รู้สึกว่าท่านเป็นผู้มีคุณ เป็นเทวดาด้านทิศตะวันตก เป็นลูกศิษย์ของท้าววิรูปักษ์

จะพูดถึงอานุภาพของท้าวนาคา ก็มีอยู่ว่า เมื่อสมัยที่อาตมาอยู่ใหม่ ๆ กำลังอยู่กระต๊อบโคนต้นโพธิ์ เจ้าสิงโต อ่อนคำ พี่ชาย เอี่ยม อ่อนคำ ลูกของ โยมอาจ ก็มานอนเป็นเพื่อนอยู่ที่ใต้ถุนกุฏิ ไม่มีฝา

ตอนตี ๒ เธอตื่นขึ้นมาเห็นคน ๆ หนึ่ง ผอม ๆ สูง ๆ เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป
เธอก็ถามว่า เป็นใคร มาทำไม
ท่านผู้นั้นพอถามว่าเป็นใคร ท่านตอบว่า กู
ถามว่า มาทำไม
ท่านบอกว่า กูมายืนยาม เดินยามตรวจ ป้องกันอันตราย

เจ้าสิงโตคิด เห็นว่าเป็นคน กลางคืนตี ๒ ก็ไม่ไว้วางใจ จึงหยิบปืน ยกปืนไม่ขึ้น เป็นปืนพก จับไฟฉาย ยกไฟฉายไม่ขึ้น
ท่านก็ร้องบอกว่า มึงจะยิงกูเรอะ มึงยกปืนไม่ขึ้น มึงจะยิงอย่างไร มึงจะฉายดูหน้ากูอย่างนั้นรึ กูให้ยกไฟฉายไม่ขึ้น มึงจะฉายได้อย่างไร นี่เป็นจุดหนึ่ง จุดเล็ก ๆ

และก็มาในกาลครั้งหนึ่ง อาตมาออกเดินจงกรม ที่โคนต้นโพธิ์ที่ครัว เมื่อก่อนนี้ สร้างใหม่ ๆ เป็นเพิงหมาแหงน สำหรับทำครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะอยู่น้อยคน มุงสังกะสี ตอน ตี ๒ ออกมาเดินจงกรม อาตมาเดินข้างล่าง ท่านก็เดินบนสังกะสี เดินไป เดินไป ท่านก็เดินตามไป เดินมา ท่านก็เดินตามมา เสียงปัง ๆ บนสังกะสี

ในเมื่อหลายเที่ยว พออาตมาหยุด ท่านก็หยุดเหมือนกัน ในที่สุดก็บอกว่า ทำไมไม่เดินไปล่ะ
ก็เสียงตอบลงมาว่า ก็ท่านไม่เดิน ผมก็ไม่เดิน ผมอยู่ยาม ผมตามอารักขานี่ ท่านไปทางไหนผมก็ไปทางนั้น ก็รวมความว่าท่านเทวดาชั้นจาตุมหาราชองค์นี้ก็มีคุณใหญ่

ต่อมา เมื่อมาถึงใหม่ ๆ ไม่กี่วันนัก วันหนึ่งนอนหลับตั้งแต่ตอนเย็นตั้งแต่ ๖ โมงเย็น ถึงประมาณ ๑ ทุ่ม ก็เหมือนกับมีคนมากระตุกนิ้วเท้า ที่หัวแม่เท้า
พอลืมตาขึ้นมาท่านก็บอกว่า ท่านให้นาคที่จะบวชพระไปบอกเจ้าอาวาส บอกว่าคืนนี้ขโมยจะเข้าโบสถ์ จะลักพระพุทธรูปในโบสถ์

อาตมาอยู่ใหม่ ๆ อำนาจอะไรของเราก็ไม่มี จึงบอกให้นาคไปบอกเจ้าอาวาส เจ้าอาวาสก็นอนเฉย ฟังแล้วได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ไม่ทราบ เธอนอนเฉย ไม่สนใจกับคำบอกเล่า ในที่สุด คืนนั้นปรากฏว่าขโมยเข้าโบสถ์ เอาพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ ๒๔ นิ้ว เป็นพระเก่ามาก หลายร้อยปี ไปเสีย ๑ องค์ ก็รวมความว่าท่านท้าวนาคา ท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้มีคุณ

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เหลือเวลาอีก ๒ นาที รายการนี้เป็นรายการธรรมะ มาพูดกันวันนี้ก็พูดกันเฉพาะเทวดาชั้นจาตุมหาราช หรือบรรดาเจ้าของทองทั้งหลาย จะเป็นขุนแผนก็ดี จะเป็นพระยากาญจนบุรีก็ดี จะเป็นขุนไกรก็ตาม จะเป็นสร้อยฟ้า ลาวทอง หรือใครก็ไม่รู้ เมื่อกี้มีใครบ้าง ลาวทองกับวันทองก็ดี ท่านวาหนก็ดี หรือว่าท่านนาคาก็ตาม

ทั้งหมดนี้ จริง ๆ แล้ว ท่านเคยเป็นคน สำหรับท่านวาหนก็ดี ท่านนาคาก็ดี เป็นคนที่มีความดี มีบุญ จึงเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชได้ ในเมื่อท่านจะเป็นเทวดาเป็นเพราะอะไร

คุณธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา มี ๒ อย่าง ที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ หิริ และโอตตัปปะ ก่อนที่เราจะตาย เรามี หิริ และโอตตัปปะ ๒ ประการ ในตอนก่อน ๆ มันอาจจะไม่มี อารมณ์ใจอาจจะด้านต่อบาปอกุศล

ทำบาปนั่น ทำบาปนี่ ทำบาปโน่น ฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามบ้าง พูดมุสาวาทบ้าง ดื่มสุราเมรัยบ้าง ก็เป็นธรรมดาของคนที่เกิดมาในโลก มันเอาแน่นอนไม่ได้ แต่ว่าเป็นการบังเอิญจริง ๆ พอจะตาย เกิดมี หิริ และ โอตตัปปะ หิริ อายความชั่ว โอตตัปปะ เกรงผลของความชั่วจะให้เกิดความทุกข์

ในเมื่อกำลังใจมีความอาย มีความกลัวอย่างนี้ ก็มุ่งจับความดี อันดับแรก ก็มุ่งจับพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ นึกถึง พระพุทธรูป หรือพระสงฆ์ องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะก็ได้ นึกถึงทานการบริจาค ที่เราเคยทำก็ได้ อย่างนี้จิตเป็นกุศลทันที

หรือว่าเวลานั้นจิตยอมรับนับถือในศีล เคารพในศีล จิตก็บริสุทธิ์ทันที เพียงเท่านี้ ท่านเรียกว่า เป็นคนมีหิริและโอตตัปปะ ตายจากความเป็นคนเมื่อใด เป็นเทวดาเมื่อนั้น

นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ท่านฟังแล้ว รายการนี้เป็นรายการธรรมะ เราก็ใช้ ธรรมะกันเพียง ๑ นาที นอกจากนั้นเราก็เล่านิทานสู่กันฟัง หวังว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านคงไม่รำคาญเกินไป

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย มองดูเวลา เหลือเวลาอีก ๓๐ วินาที ตามที่ตั้งไว้ ก็ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/10/10 at 10:02 [ QUOTE ]


5
(Update 11-10-53 )

ชมทองคำที่วัดท่าซุง ตอนที่ ๒


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ก็มาพบกับบรรดาท่านพุทธบริษัทในรายการของนิทานต่อไป การเล่านิทานนี้ดีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ต้องระวังผิด ไม่ต้องระวังถูก วันนี้ก็ยังคงเป็นวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นวันบันทึกนะ

แต่เขาจะออกเสียงเมื่อไรก็เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ออกเสียง ที่พูดให้ทราบวันบันทึกไว้จะได้ทราบว่า บันทึกวันที่เท่าไร หรือเดือนไหน ปีไหน

วันนี้ก็มาคุยกันถึง เรื่องทองคำ ต่อไป ดีไหม อาตมาเป็นคนชอบทองคำ เพราะทองคำเป็นของมีค่า ถ้าพูดถึงเรื่องแร่เราก็ไม่มีความรู้ แล้วชื่อแร่มันชื่อว่าอย่างไร เป็นภาษาฝรั่งมังค่าก็ไม่รู้จัก ประโยชน์ใหญ่อาจจะมีกับคนที่มีความรู้ความสามารถ แต่อาตมาไม่มีประโยชน์เลย คือได้มาแล้วก็กองเฉย ๆ เป็นหิน ก็เลยไม่รู้เสียดีกว่า

ต่อไปถ้าจะพูด เรื่องน้ำมัน เรื่องน้ำมันนี้ก็จืดแล้ว เพราะพูดมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อพูดมาแล้วก็มีมาแล้ว แต่ว่ายังขาดอยู่นิดหนึ่ง คือมีน้อยไป คือ มีไม่เต็มความประสงค์ของความต้องการ ความต้องการจริง ๆ ในประเทศไทยเขาต้องการมีน้ำมันมาก อย่างตะวันออกกลาง

แต่ถ้าพูดถึงความรู้สึกของอาตมา (นี่เป็นนิทานนะ อย่าลืม ผู้ฟัง) ตามความรู้สึกของอาตมา ขณะที่เล่านิทานก็มีความรู้สึกว่า ถ้าประเทศไทยมีน้ำมันมากอย่างตะวันออกกลาง ก็ยังไม่เต็มความประสงค์ของอาตมา อาตมามีความรู้สึกว่า ควรจะมีมากกว่าตะวันออกกลาง

แต่ถ้าจะถามว่า เมื่อไรจะพบของมาก ก็ตอบว่าเป็นเรื่องไม่ยาก ของที่เห็นแล้วมีแล้วถึงแม้ว่าจะน้อยไป การจะหาของใหญ่ ที่จะมีมากกว่านี้ก็เป็นของไม่ยาก เมื่อก่อนของไม่เห็น ยังไม่เห็นมี ก็ยังบอกว่ามีได้ และก็มีมาแล้ว

ต่อไปนี้ก็ขอบอกว่า ของใหญ่จำนวนมากจะมีอีก
ถ้าจะถามว่าใช้เวลากี่ปี
ก็ขอตอบว่า ไม่ใช่เป็นที่ปรึกษา จะได้บอกให้ ถึงแม้จะบอกให้ก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ ใครเขาจะเชื่อ
แล้วของมันอยู่ที่ไหน

ก็ต้องขอตอบว่า ของมันก็อยู่ใกล้ ๆ กัน ไอ้ของเล็ก มันก็ตั้งอยู่สูงกว่าของใหญ่ น้ำมันที่บรรดาบริษัททั้งหลายพบนั้น มันเป็นตัวอย่างว่า ประเทศไทยมีน้ำมัน แต่ของจริง ๆ นั้นมันต้องมี และก็ต้องมีมาก

จะถามว่าเมื่อไร ก็ต้องรอคนกันก่อน
ทั้งนี้ก็ต้องถามเทวดาผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของท่าน ท่านบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับบุญบารมี ก็หมดเรื่องกันไป เรื่องนี้ไม่ต้องพูดกัน พูดแล้วก็กลุ้ม เหนื่อยเปล่า

ต่อไปก็พูดกันใหม่ มาคุยกันเรื่องทองคำดีกว่า ทองคำที่เจอะเมื่อไร ขายได้เมื่อนั้น เอากันง่าย ๆ แล้วก็ขอคุยเรื่องทองคำที่เอาไม่ได้เสียด้วย เรื่องทองคำธรรมชาตินี้ รู้สึกว่า ท่านหวง ความจริงท่านหวง

ท่านบอกว่า ยังไม่ถึงวาระ ห้ามบอกสถานที่
แต่ว่าทองคำส่วนนี้ บอกสถานที่ได้ ก็ขอยืนยันว่า เอาไม่ได้ ด้วยกำลังของอำนาจเทวานุภาพ
แต่ว่าท่านผู้จะเอา ถ้าเป็นเจ้าของ มาเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น พบเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น เว้นไว้แต่ท่านเจ้าของจะไม่เอา ดีไม่ดีท่านเจ้าของเป็นพระอนาคามีขึ้นไป เห็นเท่าไรก็ตาปรือแล้ว

คำว่า ตาปรือ ไม่ใช่อยากได้จนตาปรือ ท่านไม่อยากมอง เพราะว่า ทองเป็นปัจจัยของความทุกข์ รวมความว่าเรื่องพรรณนาเลิกไป รำคาญ คนฟังรำคาญหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่คนพูดเริ่มรำคาญตัวเอง

เอาอย่างนี้ก็แล้วกันมาดูกัน ในบริเวณวัดท่าซุง เขตรั้วกั้น ยึดรั้วใหม่ให้ไปยันที่สงฆ์เดิม ที่สงฆ์เดิมนั้นเขาจรดถึงคลองยาง ใต้ลงไปมันมีนิดเดียว แต่ว่าโฉนดใหม่ ผ่าไปติดโรงเรียน ที่เป็นอย่างนี้ก็แสดงว่ามีผู้เอาที่วัดไปเป็นที่ของโรงเรียน

หรือว่าเจ้าอาวาสองค์ใดองค์หนึ่งหรือทายก จะโอนให้โรงเรียน อย่างนี้จะถือว่าทางโรงเรียนผิดทางราชการผิดนั้นคงไม่ผิด ถ้าไม่ให้ เขาเอาไม่ได้ วัดต้องให้ และอำนาจของวัดจะมีเพียงใดก็เป็นเรื่องของคนเวลานั้น เรามาไม่ทัน เราไม่รู้เรื่อง เขาคงไม่ผิด

เอาที่เก่ากัน จากที่เก่านี้ไปถึงที่เก่าที่ปรากฏแล้วคือยันคลองยาง
มีทองไหม มี
ทองที่มีเจ้าของซึ่งยังไม่มาเกิด มีไหม
ก็ต้องตอบว่ามี

ความจริงแหล่งนี้เป็นแหล่งที่มีโชค คือแหล่งวัดท่าซุง ถ้าไปดูถึงแหล่งวัดยาง แหล่งวัดยางนี้ก็ทองไม่น้อย จากวัดใหม่ที่ตั้งใหม่ทองน้อยกว่าบริเวณเขตของวัดเก่า เขตของวัดเก่ามีทองอยู่หลายจุด จุดหนักเป็นตัน เขตวัดท่าซุงก็เหมือนกัน ฉะนั้นเทวดาชั้นจาตุมหาราชจึงมีมาก

ถ้าจะถามว่า อยู่ที่ไหน
ก็ขอบอกว่าอย่าไปขุดเลย ถ้าเจ้าของผู้เฝ้าเขาไม่ให้อย่าขุด ไม่มีความหมาย

ไอ้เรื่องการขุดทองที่เจ้าของไม่ให้ หรือผู้เฝ้าไม่ให้ มันมีมาแล้ว อาตมาก็จะไม่เล่าเรื่องของอาตมาเอง ที่โดนผีอาละวาดพายเรือมาจากวัดสามกอ นั่นเขาไม่ให้เหมือนกัน ไปกับเพื่อน เพื่ออยากรู้ พิธีกรรมของเพื่อนเป็นอย่างไร ที่เขาจะขุดทองกันก็ไปเห็นพิธีกรรมแล้ว แต่อำนาจของพิธีกรรมไม่โตไปกว่าอำนาจของเทวดาผู้อารักขา

ก็รวมความว่า คนถึงแม้จะแน่ขนาดไหน ก็สู้เทวดาไม่ได้ ทีนี้ในเมื่อสู้เทวดาไม่ได้ก็อย่าไปสู้เลย หมดเรื่องหมดราวไป เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ของที่เขาไม่ให้ จะเล่าให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง

มีคนคณะหนึ่ง เป็นคณะ ได้ลายแทงมา คำว่า ลายแทง คือเขาเขียนเป็นแผนที่ แล้วมีคำอธิบายเสร็จว่า ที่ตรงนี้มันอยู่กลางทุ่งมีทองคำ มีต้นไม้ชื่อนี้ แล้วก็มีไม้ปักอยู่ตรงนี้ ที่ไม้ปักจะตรงตุ่มทองคำพอดี

เขาทั้งคณะมาก็ตั้งศาลเพียงตา บูชาเทวดา นุ่งขาวห่มขาวบูชากันว่าอีลุมปุมปัม
ถ้าถามว่าทำไมจึงรู้
ก็บอกว่าไปยืนดูเขาน่ะ เขาไม่ได้ปกปิดนี่
ถ้าถามว่าไปยืนดูเขาเมื่อไร
ต้องตอบว่าสมัยนั้นยังไม่บวช

แต่ไม่มีเจตนาที่จะไปแย่งเขา อยากดูเขา เขาไว้วางใจเขาจึงบอก เมื่อเขาบอกก็ชวนเพื่อนอีก ๒ คนไปด้วย ไปดูพิธีกรรม เวลานั้นยังหนุ่มยังแน่นก็ยืนยันกับเขาว่าอันตรายต่าง ๆ ที่จะพึงมีมา ทางเรา ๓ คน ขอรับประกัน

ถ้ายังไม่ตายเพียงใด โจรปล้นไม่ได้ ถ้าโจรจะปล้นเจ้าของทองคำก็ต้องปล้นเรา ๓ คนก่อน ทั้งนี้ไม่มีอะไร ที่รับอาสาเพราะต้องการอยากจะรู้ว่า เขาจะเอาไปอย่างไร มันเป็นแต่เพียงข่าวเล่าลือ

พอไปถึงแล้ว เขาก็ตั้งศาลเพียงตา ทำพิธีบวงสรวง นุ่งขาวห่มขาว ๓ คน แล้วอีก ๕ คน ก็เตรียมเครื่องมือเครื่องไม้ เตรียมจอบเตรียมเสียบ พอตั้งศาลเพียงตาเสร็จ บวงสรวงเสร็จ ได้ยินเสียงครืดคราด ๆ ๆ ใต้แผ่นดิน ได้ยินเสียงเหมือนตีปากไห ปุ๊ง ๆ ๆ ๆ เขาแน่จริง ๆ เขาทำเก่ง

แต่แล้วไปดูเทียน เทียนบนนั้นไฟลุกสวย ขึ้นฟูเป็นสีเขียว ท่านเจ้าของผู้บวงสรวงบอกว่า มีผล เทวดาอนุมัติแล้ว เขามีวิธีดูกัน ถ้าไม่เป็นไปตามนั้นละก็เขาจะไม่ทำ เขาต้องมีพิธีกรรม รู้ว่าเทวดาให้หรือไม่ให้

หลังจากนั้น เขาก็กั้นสายสิญจน์วงสายสิญจน์เสร็จ เขาเอาข้าวสารชัด แบบมันคล้ายคลึงกันจริง ๆ นะ พอซัดเสร็จ เขาก็ลงมือขุด ขุดไปขุดมาขุดมาขุดไป ไม่ลึกเท่าไรเลย ตื้นมาก ประมาณ ๑ เมตร ก็เจอะตุ่มใหญ่ตุ่มหนึ่ง ตุ่มใหญ่มาก ใหญ่กว่าตุ่มน้ำที่เขาใช้ธรรมดาในปัจจุบัน

ก็ขุดอ้อม ๆ ตุ่มเข้าไป ลึกลงไป ให้ตุ่มโผล่ขึ้นมาประมาณสักครึ่งศอก หรือศอกหนึ่งเห็นจะได้ พออ้อมไปแล้ว ตุ่มเด่นขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ขึ้นจากดินนะ อ้อมตุ่ม ขุดดินโบ๋ออกไป ที่ปากตุ่มมีหินปิด เขาก็ขุดล้อมจนกระทั่งยกแผ่นหินขึ้นมาพ้น พอยกแผ่นหินขึ้นมาพ้น

บรรดาท่านผู้ฟัง ตกใจตาพร่า ทองเหลืองอร่าม เหลืองจริง ๆ เป็นทองร้อยเปอร์เซ็นต์ มีทั้ง ๒ อย่าง ทั้งทองแท่งขนาดเล็ก และทองรูปพรรณ นอกจากนั้นยังมี แหวนวงโต ๆ และก็ยังมีปลอกข้อมืออันใหญ่ ๆ ปลอกข้อมือของเขาถ้าจะใส่ ใส่โคนแขนของเราก็หลวมโพรกเพรกแสดงว่าคนสมัยนั้นโตมาก

ทุกคนก็ดีใจ ต่างคนต่างทิ้ง คนคุมสายสิญจน์ก็ทิ้งสายสิญจน์ คนคุมบวงสรวงก็ละพิธีกรรม คนขุดก็วางจอบวางเสียม วิ่งเข้าไปหาตุ่ม ตอนที่เขาวิ่งเข้าไปก็ไม่ทราบว่า เขาจะวิ่งไปไหว้ตุ่ม วิ่งไปกราบตุ่ม หรือวิ่งไปเอาทอง แต่ความจริงมันก็ไม่น่าจะรีบ เพราะว่าขุดลงไปประมาณศอก ตุ่มโผล่มาประมาณศอก ก็น่าจะขุดให้หมด

พอทุกคนรีบวิ่งเข้าไป พอถึงตุ่มเอื้อมมือไปจับ เขาจะจับตุ่มหรือจับทองก็ไม่ทราบ กลางวันนะ ไม่ใช่กลางคืนปรากฏว่าตุ่มเลื่อนครืดดินเป็นโพรงไปเลย ไม่รู้ว่าไปถึงไหน มีคนพอคลานเข้าไปดูได้บอกไปไม่ไหวแล้ว ไปไกลมาก มองไม่เห็น นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ของเทวดาผู้อารักขา ในเมื่อเทวดาท่านไม่ให้ ก็ไม่มีทางจะได้

แล้วก็มาสงสัยว่า ไปบอกให้เขา แล้วเขาทำตามพิธีกรรม ทำตามคำแนะนำแต่ทำไมจึงไม่ให้ กลับมาบ้าน บ้านอยู่ใกล้บ้าน ท่านอาจารย์เทศน์ ท่านอาจารย์เทศน์นี่เป็นฆราวาส ก็ไปกราบ ๆ ท่านอาจารย์เทศน์ ท่านอาจารย์เทศน์ท่านดูทางในเก่ง

ถ้าจะพยากรณ์ให้ใครท่านก็ใช้หลับตาปี๋ ประเดี๋ยวก็ตอบ พอไปกราบ ๆ ท่านอาจารย์เทศน์ก็ยิ้ม ท่านไม่ทันจะหลับตา
ท่านก็ถามว่า สงสัยที่ตุ่มมันวิ่งไปในแผ่นดินใช่ไหม ก็ตกใจทันที
ถามว่าอาจารย์ทำไมจึงทราบ

ท่านบอกว่า ทำไมจะไม่ทราบ เทวดามาบอกฉัน นี่ฆราวาสนะ ฟังให้ดี บรรดาท่านผู้ฟังอาจารย์เทศน์มีคนเคารพนับถือมาก ท่านเป็นฆราวาสที่เคร่งครัดในศีลธรรม ก็กินข้าว ๓ เวลาเหมือนกัน มีลูกมีเมียเหมือนกัน

แต่ศีลธรรมที่ฆราวาสจะพึงปฏิบัติได้ ท่านเคร่งครัดมาก เป็นคนที่บรรดาประชาชนในแถวนั้นหลาย ๆ ตำบลเคารพนับถือมาก คนมาหาท่านวันหนึ่ง ๆ มากกว่ามาหาเจ้าอาวาสที่วัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาขอพยากรณ์บ้าง มาช่วยสะเดาะเคราะห์บ้าง มาช่วยบรรเทาทุกข์บ้าง

ท่านก็ทำทุกอย่าง ที่ท่านมีความสามารถ ก็รวมความว่า ก็ถามท่านว่าเป็นเพราะอะไร ให้เขาแล้วนี่ ไม่ใช่ยังไม่ให้
ท่านก็บอกว่า เขาทำผิด ท่านสั่งให้เขามาเฉพาะ แต่นี่คนของเขาเกินมา ๕ คน คนขุดจริง ๆ แล้ว ๓ คนที่นุ่งขาวห่มขาว ถ้าเขาทำโดยเฉพาะ เขาจะได้ทองคำอันนี้ และก็มีพวกเธออีก ๓ คน เข้าไปรวมกลุ่มกัน

เทวดาเขามาบอกฉันว่า ทำผิดระเบียบผมให้ไม่ได้ ต้องรอไปก่อน ก็รวมความว่า คำว่ารอของเทวดาก็ไม่มีเวลา

นี่แหละบรรดาท่านผู้ฟัง เรื่องของเทวดาเฝ้าทรัพย์เขามีอย่างนี้นะ ยังมีมากกว่านี้เยอะ แต่วันหน้าจะคุยกันอีก รวมความว่าทรัพย์ในดินสินในน้ำมีจริง แต่สิทธิที่เราจะพึงได้ไม่แน่นอนนัก ฉะนั้นทองในบริเวณวัดท่าซุงก็ดี วัดยางก็ดี

ขอยืนยันว่านอกจากทองของพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งอยู่ลึกมาก เป็นกิโล ๆ อย่าเจาะลงไปเลย ไม่พบหรอก แค่เอาแท่งทองใหญ่ ๆ มาวางบนถนนยังมองไม่เห็นเลย ก็จะไปเจาะทำไม ไม่เกิดประโยชน์ อย่าเกิดความโลภ บอกไว้ก่อนเลยว่าไม่มีสิทธิ์

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทองนอกจากทองพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งอยู่ตื้นกว่า แต่ว่ามีเทวดารักษาเข้มแข็งมาก ก็ไม่ตื้นนัก คำว่าตื้นกว่า เจาะไปครึ่งกิโลยังไม่ถึงเลย ทองคำทั้งหมดที่เทวดารักษานี้อยู่ลึกมาก ถ้าหากว่าเขาจะให้ เขานำขึ้นมาตื้น อยู่ใกล้ ๆ ผิวดิน

ก็รวมความว่า ท่านผู้ใดถ้ามีวิชาความรู้อยากจะพิสูจน์มีเครื่องมือก็ลองพิสูจน์ก็ได้ ไม่แปลก นิทานนะ ถ้าท่านพิสูจน์แล้วจะพบแต่ดินหรือหินใต้ดิน อย่ามาว่ากันนะ เพราะนี่มันเป็นเรื่องนิทาน นิทานนี่เล่าตรงตามความเป็นจริงได้ แต่เราไม่ยืนยัน ก็หมดเรื่องหมดราวไป เหลือเวลาอีก ๙ นาที เอาอะไรดี

ออกจากจังหวัดอุทัยธานีข้ามไปฝั่งมโนรมย์ดีไหม เดินเตาะแตะ ๆ คลานบ้าง เดินบ้าง อีลุ๊บปุ๊บปั๊บ ข้ามน้ำไป เพราะไม่มีเรือมารับ ไปมองดูเรือก็ไม่มีใครเขามารับ พูดกับคนนั้น พูดกับคนนี้ก็ไม่มีใครเขาพูดด้วย เขาไม่สนใจ เหมือนกับเราเป็นลม หรือเป็นอากาศ ในเมื่อไม่มีใครเขาสนใจ ไม่มีใครรับ

เราก็เดินข้ามน้ำไปก็ได้ มันเรื่องเล็ก ๆ แม่น้ำเป็นของหลวง หลวงอะไรรู้ไหม หลวงตา เวลานี้หลวงตาข้ามไปก็เป็นของหลวงตา ถ้าหลวงตาไม่ข้ามไป ก็เป็นของหลวงท่าน ของหลวง คือ ส่วนกลาง

เมื่อข้ามไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปแวะที่วัดแก่นเหล็ก ก่อนดีกว่าไหม ถ้าจะไปแวะวัดแก่นเหล็กก็มีอะไรบ้าง มีแต่ผี ไม่เอาละ ไปดีกว่า เลยไปที่ ธรรมามูล ธรรมามูลนี้มีทรัพย์มาก มีทรัพย์เยอะ ในเชิงเขา ในถ้ำเล็ก ๆ แถวนั้นมีทรัพย์มาก

แต่ว่าจะเข้าไปได้อย่างไรในเมื่อพวกตั้งแถวยาวเหยียด ตั้งแถว ๓ ชั้น ไม่ใช่ตั้งแถวรับ หรือแสดงความเคารพนะ ทุกคนในแถวมีกระบองหมด ถ้าเขาแสดงความเคารพ ด้วยการเอากระบองตีหัวก็แย่เหมือนกันซิ เลยยกมือให้บอกพี่ชาย บ๊าย บาย ไปก่อนละนะ แกยืนตั้งแถวที่นี่ฉันไม่แวะเข้าไปละ

หัวหน้าเขาก็ยกมือไหว้ เขาถามว่า จะไปไหนหรือครับ บอกไปโน่นซิ ไปเขาที่บอกชื่อไม่ได้ หลังจังหวัดชัยนาท ที่เขานี้บอกชื่อไม่ได้ ความจริงถึงแม้ไม่บอก แต่คนเขาสนใจเขาก็รู้ ถ้าเขารู้เองไม่เป็นไร บอกชื่อเสียระเบียบ

ก็ย่องไปถึงจังหวัดชัยนาท ไปถึงทางสามแยก หรือสี่แยก เอาสี่แยกก็แล้วกันนะ ไปตามถนน ความจริงเดินไม่ต้องอาศัยถนนก็ได้ พูดถนนก็แล้วกัน ไปถึงสี่แยกปั๊บ หันหน้าเข้าเมือง จังหวัดชัยนาท

ก็บอก “แถว กลับหลังหัน” แถว มีใครบ้าง คนเดียว ไปคนเดียว ก็กลับหลังคนเดียว ก็พร้อมเพรียงกันดี แต่เท่าที่มีไปอีก ท่านก็อยู่นอกแถว ไม่ต้องรอรับคำสั่ง นั่นคือ ย่า ย่ายิ้ม แม่ศรียิ้ม ๓-๔ แม่ยิ้ม ๓๐-๔๐ แม่ยิ้ม ท่านท้าวมหาราชยิ้ม (๔ มหาราช) ท่านอินทกะยิ้ม ท่านปู่ยิ้ม ท่านปู่ใหญ่ก็ยิ้ม พระก็ยิ้ม

ถามท่านปู่ใหญ่ว่า ท่านยิ้มอะไร
ท่านบอกว่า คุณ ฉันเป็นพ่อคุณนะ ไอ้ที่ฉันยิ้มฉันไม่ได้ยิ้มคุณ
ฉันยิ้มคนอื่นที่เขาเห็นว่าคุณเป็นคนบ้า เพราะคนเดียวบอกแถวได้ แถวหน้าเดิน แถวหลังเดิน แถวกลับหน้ากลับหลังหัน นี่มันไม่จำเป็นต้องบอก เราเป็นคนคนเดียว

ท่านถามว่า จะไปไหน
ก็บอกท่านว่า จะไปหา ท่านท้าวมหานาคา
ท่านปู่ใหญ่ท่านก็บอกว่า อ๋อ! ท่านท้าวมหานาคา อดีตพ่อของคุณใช่ไหม

ท้าวมหานาคา อดีตเคยเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองในแถวโน่น ย่านนครสวรรค์ ตาคลี แล้วก็ทรัพย์ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นของคุณ แบ่งให้คุณ ซึ่งเป็นราชโอรส คือลูกชาย ไอ้นี่ประวัติมันดึกดำบรรพ์ เอามาไว้ที่เขาลูกนั้น ทองที่เป็นทองแท่งจริง ๆ มีน้ำหนักประมาณ ๑๓ ตัน แต่ทองรูปพรรณจริง ๆ ก็มีน้ำหนักประมาณครึ่งตัน

กับบรรดาเครื่องเพชรอีก ๓ ถัง สร้อยเพชร ต่างหูเพชร ร่างแหเพชร แหวนเพชร เพชรทุกอย่าง เพชรที่ประกอบแล้วและเพชรที่ยังไม่ประกอบ เป็นหัวแหวน เป็นสร้อยอีกต่างหาก

คุณจะไปที่ภูเขาลูกนั้นใช่ไหม
ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า ใช่
ท่านบอก เอ้าก็ไปได้นี่คุณไม่ต้องตั้งท่า โยมคุณมาแล้ว คือพ่อเก่ามาแล้ว ท่านท้าวมหานาคา

ท่านท้าวมหานาคานี้ เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช เป็นเทวดาด้านทิศตะวันตก เป็นลูกศิษย์ของท้าววิรูปักข์ พอท่านมาแล้ว ท่านแสดงความเคารพท้าววิรูปักข์
ท้าววิรูปักข์ก็บอกว่า เข้าไปคุยกับลูกชายก็แล้วกัน จะให้อะไรกันบ้าง

ท่านก็รายงานบอก ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ผมบอกให้แล้ว ๒ ครั้ง ทำแผนที่ก็ทำให้แล้ว ทำขีดก็ขีดให้ เขียนก็เขียนให้ บอกจุดให้ บอกทางให้ เปิดทางให้ทุกอย่าง หินผาหน้าไม้ที่บังไว้ ผมก็รื้อให้หมด บางแล้ว แค่เปิดหินไม่กี่แผ่นก็จะเริ่มพบทองคำ แต่ว่าเอาเสียเมื่อไร บอกให้ยกเป็นของพระพุทธศาสนาไป บูชาพระรัตนตรัย

เคยบอกให้ยกเป็นของหลวงก็เลยถามว่า หลวงอะไร เวลานี้เขาไม่ได้ตั้งหลวงกันแล้ว
ท่านลูกชายบอกว่า เวลานี้ หลวงเถร เขาไม่ได้ตั้งกันแล้ว ก็ให้พระรัตนตรัยดีกว่า ถ้ายังมีคุณหลวง คุณพระอยู่ก็จะให้
ท่านปู่ใหญ่ก็ถามว่า เวลานี้ของอยู่ครบบริบูรณ์รึ อาจารย์ใหญ่ที่นั่น ที่เขาเคยขอไว้ เขาเอาอะไรไปบ้าง

ที่ท่านถามกันนี้ ความจริงท่านรู้ แต่ท่านอยากจะให้อาตมารู้
ท่านท้าวมหานาคาท่านก็บอกว่า เขาไม่ได้เอาอะไรไปเลย เขาเพียงแต่ออกปากขอ แต่ส่วนของเขา เขาไม่ขอ ของเขามีไหเดียว แต่เขาจะขอส่วนใหญ่ ของลูกชายนี่ ผมก็ให้ไม่ได้ มันคนละสัดคนละส่วน

เขาบอกว่า จะไปสร้างอาคารในพระพุทธศาสนา มันก็คนละเรื่อง อย่างนี้ต้องถือว่าเธอมีความโลภอนุมัติไม่ได้

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เราไปกันยังไม่ทันถึงดีกว่า เพราะว่าเวลามันเหลืออีก ๒ นาที เราก็มาคุยกันตอนนี้ เพราะรายการนี้เป็น รายการธรรมะ ในเนื้อแท้จริง ๆ เราได้ธรรมะอะไรบ้าง ในนิทานจริง ๆ

ถ้าจะเอาธรรมะกัน ก็ได้เยอะแต่ถ้ายังคิดไม่ออก เพราะมันเป็นวิปัสสนาญาณ เอากันอย่างนี้ดีกว่า ทุกท่านที่กล่าวมาแล้ว ท่านตายหมด ตายจากคนไปเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง และก็มีพระเท่านั้นที่ตามมา ท่านอยู่เหนือพรหม ท่านมีความสุข

ความจริงเป็นคนก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี ยังไม่พ้นความทุกข์ เป็นเทวดาหรือพรหม ตายจากความเป็นเทวดาหรือพรหม ก็ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไม่มีความสุขจริง สู้ไปนิพพานไม่ได้

ถ้าไปนิพพานจะไปทางไหน ขั้นต้นเสียก่อนที่จะไปนิพพาน ก่อนจะทำอะไรก็ตามขึ้นต้นปักเสาเสียก่อน ลงเข็มเสียก่อน นั่นคือ

ให้มีความรู้สึกความเป็นจริงว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย ทุกคนอย่าลืมความตาย อย่างไร ๆ มันก็ต้องตายกันแน่
หลังจากนั้นก่อนจะตายก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยความจริงใจ อย่าสงสัยในความดีของท่าน

พระสงฆ์เราต้องเลือก ถ้าพระสงฆ์ที่เป็นปุถุชนก็ต้องเลือก องค์ไหนควรไหว้ องค์ไหนควรเคารพ องค์ไหนไม่ควรไหว้ องค์ไหนไม่ควรเคารพ องค์ที่ควรไหว้ควรเคารพ เราก็เคารพ ก็ไหว้ด้วยความจริงใจ องค์ที่ไม่ควรไหว้ไม่ควรเคารพ

แต่จำเป็นต้องไหว้ ก็ไหว้โดยมารยาท เขาเรียกว่า สักแต่ว่าไหว้ เพราะท่านพระประเภทนี้ไหว้แล้วไม่มีอานิสงส์ คืออานิสงส์ที่จะพึงมี ก็สร้างความเดือดร้อนให้ ต้องถือพระอริยะเป็นสำคัญ พระอริยะตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ไม่สร้างความเดือดร้อน

หลังจากนั้นทุกคนก็มีศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน คือ
ทางกาย
ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ดื่มสุราและเมรัย

ทางวาจา
ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเหลวไหลไร้ประโยชน์

ทางจิตใจ
ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใครโดยไม่ชอบธรรม ไม่จองล้างจองผลาญใคร และยอมรับนับถือคำสอนของพระพุทธเจ้า

เท่านี้เราตั้งต้นไปนิพพานได้

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลือแค่ ๑๐ วินาที ต้องขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ




6
เทวดาและผีเมืองชัยนาท


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็น วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ ที่บอกว่าวันนี้ ไม่ใช่วันพูดที่สถานี เป็นวันบันทึกเสียงเพื่อทำ หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕ ตอนที่ ๕ ในตอนนี้ให้ชื่อว่า เทวดาและผีเมืองชัยนาท

เรื่องราวก็มีอยู่ว่าเมื่อตอนที่แล้วมายับยั้งอยู่แค่สี่แยกของชัยนาท บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืมว่า ในท้องเรื่องที่พูดต่อไปนี้ทั้งหมดเป็น นิทาน แต่ว่าถ้านิทานจะไปตรงกับความเป็นจริง ก็เป็นเรื่องนิทานเผอิญไปชนเข้า

ในท้องเรื่องของนิทานก็มีอยู่ว่าครั้นผ่านธรรมามูลไปแล้ว แต่ความจริงความสำคัญที่ เขาธรรมามูล มีมาก เพราะในวันนั้นผ่านไป เห็นเทวดา ๓ แถว แถวละหลายสิบท่านเบื้องสูงมี ท้าวมหาพรหม ยืนอยู่

แต่อาตมาก็ไม่ได้แวะ เพราะว่าตั้งใจจะไปภูเขาลูกหนึ่งที่หลังจังหวัดชัยนาท ครั้นมาถึงสี่แยก พบ ท่านปู่ใหญ่ คือ ท่านสหัมบดีพรหม
สหัมบดีพรหมท่านบอกว่า หลายชาติท่านเคยเป็นพ่อ และต่อมาก็พบ ท้าวสักกะ คือ พระอินทร์

หลังจากนั้นก็มี ท่านแม่ ท่านพี่ ท่านน้อง ใครต่อใคร พรรคพวกเพื่อน และบรรดาท่านมีคุณทั้งหลายอยู่ที่นั่นมาก คอยอยู่ ท่านก็ถามว่า จะไปไหนต่อไป
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ตั้งใจจะไปเขาลูกหนึ่ง แต่เขาลูกนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท จะบอกชื่อก็มีคนรู้จัก จะไม่บอกชื่อก็มีคนรู้จัก

แต่ทว่าด้วยมารยาทเขาต้องไม่บอกกัน ในเวลานั้นก็ปรากฏว่า ท่านท้าวมหานาคา ท่านอยู่ที่ภูเขาลูกนั้น แต่ความจริง ท่านไม่ได้อยู่ประจำ ท้าวมหานาคาคนนี้เป็นเทวดาชั้นวชิระของท้าววิรูปักข์ และเป็นเจ้าของทรัพย์สินในสมัยที่ท่านเป็นมนุษย์ ซึ่งอยู่ที่ภูเขาลูกนี้ ทองทั้งหมดมีปริมาณเกิน ๑๐ ตัน

ถ้าจำไม่ผิด หรืออาจจะจำผิดก็ได้นะ ในนิทานจำผิดก็ไม่เป็นไรละมั้ง เฉพาะที่เป็นทองแท่งสำเร็จรูปด้วย ได้เต็มขนาด มีน้ำหนัก ๑๓ ตันเศษ และก็มีทองรูปพรรณ มีสร้อยเพชร มีแหวนเพชร มีแหวนทองคำ มีแท่งเงิน มีอะไรต่ออะไรอีกมาก คือว่าเป็นทรัพย์สินของกษัตริย์เก่า คำว่า กษัตริย์เก่า สมัยนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ละประเทศมีอาณาเขตไม่กว้าง

อย่างสมัยที่อาณาเขตกว้างแล้วจะเห็นว่า ในสมัยหนึ่ง จังหวัดเชียงใหม่ก็เป็น ๑ ประเทศ จังหวัดลำพูนก็เป็น ๑ ประเทศ จังหวัดลำปางก็เป็น ๑ ประเทศ จังหวัดแพร่ก็เป็น ๑ ประเทศ จังหวัดน่านก็เป็น ๑ ประเทศ และยังมีประเทศซอยที่เขาเรียกเมืองสิงห์บ้าง เมืองสองบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็รวมความว่าแต่ละประเทศอาณาเขตไม่กว้างแต่ละประเทศก็มี เจ้าปกครองนคร ที่สมัยนี้เรียกว่า พระมหากษัตริย์

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/11/10 at 12:58 [ QUOTE ]


7
(Update 3-11-53 )

ท้าวมหานาคา


ฉะนั้น ในสมัยนั้นก็เหมือนกัน เมื่อท่านท้าวมหานาคาเป็นกษัตริย์อาณาจักรก็ไม่กว้างนัก ปกคลุมจากชัยนาทไปเต็มเขตนครสวรรค์และเต็มเขตลพบุรี เข้าไปเต็มเขตจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าไปครึ่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี และก็ไปไม่ถึงตาก ยันกำแพงเพชรก็ถือว่าเป็นอาณาจักรใหญ่ ใหญ่มาก

ต่อมาเมื่อท่านเป็นกษัตริย์ ท่านก็มีลูกชาย มีลูกหญิง มีลูกชาย แต่สำหรับทองส่วนนี้เป็นทองที่แบ่งให้แก่ลูกชาย ซึ่งเวลานั้นพร้อมที่จะเป็น พระยุพราช คือ จะเป็นทายาทและนั่นเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์

เวลานั้นท่านมหานาคาท่านก็มาสมทบ ท่านก็กราบเรียนท่านสหัมบดีพรหม เคยเป็นพ่อเหมือนกัน ท่านบอกว่า ที่ตรงนี้เป็นทรัพย์สินที่ผมเคยบอกให้แล้ว และก็ทำแผนที่ให้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยอยู่ที่ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ผมไปบอก ๒ ครั้ง ทำแผนที่ให้ ทำเครื่องหมายให้ แต่ว่าไม่เอา โดยอ้างเหตุผลว่าถ้าขุดขึ้นมาเมื่อไร ก็จะต้องตายเมื่อนั้น

คำว่า ตาย ไม่ใช่ผีทำให้ตาย แต่นั่นหมายความว่า คนจะฆ่า คนจะปล้นให้ตาย โดยเหตุผลของท่านตามนั้นเป็นความจริง

ความจริงเมื่อสมัยอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ไปช่วย พระครูวิชาญชัยคุณ อยู่ ๒ ปี ก็ปรากฏว่าท่านท้าวมหานาคาท่านไป ไปเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ไปบอกให้ทรัพย์สินส่วนนี้

บอกว่า ของท่านอาจารย์ที่สอนกรรมฐานสำนักหนึ่ง ถ้าเข้าไปในถ้ำจะเลี้ยวทางซ้าย ที่เป็นของท่านอาจารย์สำนักนั้น แต่ว่าจริง ๆ แล้วมีทองคำอยู่ไหเดียว ความจริงทองคำไหเดียวนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นทองเนื้อบริสุทธิ์คุณค่าก็ไม่ใช่น้อย

แต่ถ้าเลี้ยวไปทางขวา จะเป็นทองของผู้พูดให้ผู้พูดไปนำออกมา เพราะถึงวาระที่จะนำมาใช้แล้ว ท่านบอกว่ายามปกติ แผ่นหินที่ทับถมอยู่มันหนากว่านั้น เวลานี้แผ่นหินต่าง ๆ จะเป็นหินที่ไม่เรียบ เนื้อไม่สนิทเหมือนหินส่วนอื่น และก็มีเครื่องหมายทำไว้ มีต้นไม้เป็นที่สังเกต มีสัญลักษณ์ว่าถ้าเจาะตรงไหนจะถึงก่อน

หลังจากท่านไปบอกแล้ว เขียนตาม ท่านเขียนให้ดู รุ่งขึ้น ๒ วัน ก็ไปดู ไปดู ก็พบตามนั้น ก็มานั่งตัดสินใจว่า เราเป็นคนคนเดียว ถ้าเราจะขุดทองขนาดนี้ขึ้นมา เพียงแต่จะขน เราก็ขนไม่ไหว เพียงแต่ต้องการให้ขน ไม่ต้องทำอะไร ก็ตายไปแล้ว

และประการที่สอง เมื่อพบทอง เราจะแน่ใจในบุคคลได้อย่างไร จะไปขุดตอนกลางคืนมันก็ทำงานไม่ทัน ถ้าขุดเวลากลางวัน ก็ไม่ใช่บุคคลคนเดียว ข่าวเป็นของไม่ยาก ต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างได้ยิน ประเดี๋ยวก็ไปกันเต็ม ทีนี้คนที่ไปแล้วทั้งหมดนี่ [/color]

บรรดาท่านผู้ฟัง มีใครบ้างจะเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ยามปกติก็สามารถจะทรงศีลได้ เวลาที่ไม่พบอะไร แต่เมื่อเห็นทองก้อนใหญ่เข้า ความโลภก็จะเกิด มึงก็จะขอบ้าง กูก็จะขอบ้าง โดยมารยาท คนที่มีมารยาทดี ๆ เขาก็อ้าปากขอ แต่คนที่ไร้มารยาทก็จะไม่ขอ ก็จะหยิบเอา

เมื่อหยิบเอาไม่เป็นที่พอใจ ดีไม่ดีคนพวกนั้นก็จะทะเลาะกัน ฆ่าฟันกันตายเพราะทองคำ และเจ้าของทองคำที่ได้มาก็จะต้องตาย เป็นผีเฝ้าทรัพย์ไปด้วย มองไม่เห็นประโยชน์ ในการได้รับทองคำ

และก็มาคำนึงอีกประการหนึ่งว่า สมัยที่เรายังอยากได้ไม่มีใครบอกให้ทองคำ หรือเงิน หรือเพชร แต่เวลานี้เราปฏิบัติเพื่อ ให้พ้นจากความอยากได้ เพราะว่าเห็นโทษเห็นทุกข์แห่งความเกิดเป็นคน ก็พยายามฝึกฝนตนเพื่อให้พ้นจากความอยากได้ แต่ท่านก็บอกให้

เมื่อมาคำนึงถึงตอนนี้ ท่านก็บอกว่า เวลานั้นท่านยืนอยู่ด้วย นี่พูดถึงอดีตที่แล้วมานะ ท่านก็บอกว่า เวลานั้นจะบอกให้คุณโอกาสก็ยังไม่มี คุณยังมีพันธะยุ่งยากมาก และยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของบุคคลบางพวก แต่ว่าเวลานี้คุณเป็นอิสระ ไม่มีใครสามารถจะใช้อำนาจคุมคุณ หรือบังคับคุณเองให้สามารถปฏิบัติตามเขาได้ โดยไม่ชอบธรรม คุณมีจิตใจเป็นอิสระจึงให้

จึงปรึกษาท่านว่า ในฐานะที่อาตมาเป็นลูก ก็ขอเคารพท่านที่เป็นบิดาผู้มีพระคุณใหญ่ ถ้าจะขุดทองขึ้นมา ประโยชน์ของตนก็จะไม่มี เพราะจะเหนื่อยด้วย มีความลำบากด้วย อย่างน้อยที่สุดก็ทุพพลภาพเพราะถูกทำร้าย ไม่เช่นนั้นก็ตาย แล้วจะมีบุคคลใดบ้างที่จะมองเห็นว่าเป็นที่พึ่ง ที่มองคนจริง ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัทโดยมากมักจะเป็นคนโลภโมโทสันเสียมาก

แม้แต่พวกห่มผ้ากาสาวพัสตร์ การเสียสละหายาก มีแต่อยากได้เป็นของตัว ดีไม่ดีจัดงานเอง เมื่อเงินไม่พอนิดหน่อย ถือว่าเงินที่รับในงานไม่พอจ่าย ก็ยังไม่จ่าย เงินส่วนตัวมีไม่จ่าย ปล่อยให้พวกมหรสพบาง เครื่องปั่นกระแสไฟฟ้าในงาน ต้องรอการเป็นหนี้ ความจริงเขาก็จ่ายค่าน้ำมัน จ่ายค่าลูกจ้างไปแล้ว กำลังใจคนไม่ดีขนาดนี้ เราจะไว้วางใจใคร

จึงกราบเรียนท่านว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อเป็นของส่วนตัว และท่านพ่อก็รักษาไว้ให้ เวลานี้ก็ขอมอบหมายเป็นของพระพุทธศาสนาก็จะดีกว่า จะมีอานิสงส์ร่วมกัน
ท่านถามว่า ตัดสินใจได้แล้วรึ
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ตัดสินใจได้แล้ว

ก็เป็นอันตกลงว่ามอบหมายไว้ในพระพุทธศาสนา เป็น พุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา สถานที่ตรงนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าใครไปที่นั่นเวลานี้ยังสังเกตเห็นอยู่ง่าย ๆ เป็นถ้ำเล็ก ๆ เข้าไปข้างใน จะปรากฏมีน้ำจ๋อมแจ๋ม เป็นทางน้ำผ่านด้านหน้า แต่ด้านในไม่มีน้ำ

ก็รวมความว่าทรัพย์สินส่วนนี้พับกันไป ตอนนี้ว่ากันเรื่องทรัพย์สินส่วนนี้พับกันไปแล้วนะ เรื่องของท่านท้าวมหานาคาผู้เป็นพ่อก็พักไว้ตอนนี้ ก็จะมาพูดกันถึงภูเขาลูกนี้ว่า มีความสำคัญอะไรบ้าง

◄ll กลับสู่สารบัญ



8
อาจารย์ชื้น

สำหรับภูเขาบรรดาท่านพุทธบริษัท มีความสำคัญเยอะเพราะเป็นหิน นอกจากเป็นหินแล้วก็มีดิน ฉะนั้นจึงมีต้นไม้ขึ้น ความจริงไม่น่าจะพูดนะ ปากมันมากไปเอง นอกจากหิน นอกจากดิน นอกจากต้นไม้ ก็มีสิ่งลี้ลับไปจากนั้น

ลี้ลับไปจากสายตาของบุคคล ผู้มองไม่เห็น แต่กำลังใจของบุคคลที่ได้ ทิพจักขุญาณ เห็น นี่มีความสำคัญมาก ท่านอาจารย์ผู้ใหญ่สมัยนั้นท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเห็น ท่านคุยกันได้ ท่านรู้จักกันดี นั่นคือ เทวดา หรือผี แต่ว่าเวลานี้ท่านอาจารย์ผู้นั้นท่านมรณภาพไปแล้ว บอกชื่ออาจารย์ก็ได้ ท่านไม่ห้ามท่านชื่อ อาจารย์ชื้น อาจารย์ชื้นนี่เป็น พระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิ

ตอนต้นเป็นฆราวาส แต่ว่ามีการปฏิบัติ หรือมีความประพฤติ เหนือพระหลายองค์ เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ ตั้งอยู่ในความกตัญญูรู้คุณ อย่าง หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา อาจารย์ชื้นท่านเคยไปศึกษามา ท่านมีความเคารพในหลวงพ่อกบมาก

ถึงวัน ถึงปี กำหนดที่ต้องทำบุญเพื่อหลวงพ่อกบ ท่านจัดงานทันที และใครจะทำกับท่านหรือไม่ทำกับท่าน ท่านก็ไม่กะไม่เกณฑ์ใคร แต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย การจัดงานของอาจารย์ชื้นทีไร คนมากจริง ๆ และการสอนกรรมฐานของท่านก็มีเหตุมีผล เรียกว่าสอนตรงไปตรงมา ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธศาสนา

ต่อมาได้คุยกันถึงหลักสูตรพระกรรมฐาน คุยกันถึงเรื่องกรรมฐาน ๔๐ อาจารย์ชื้นมีการคล่องตัวมาก ทุกกอง ก็เลยคุยกันได้เป็นปกติ
ครั้นถามถึงเรื่องผลการปฏิบัติ ถามด้านสังโยชน์
ท่านก็ตอบว่า ถ้าพูดถึงด้านสังโยชน์ ผมก็ได้แต่เพียงเทียบเคียงกันครับ
ถามท่านว่า เป็นเพราะอะไร
อาจารย์ท่านบอกว่า ผมปรารถนาพุทธภูมิ

คำว่า “สังโยชน์” บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นธรรมปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้า นี่มีความสำคัญมาก ผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าไม่เข้าใจในสังโยชน์ บรรดาท่านพุทธบริษัท ขอประทานอภัยเถิด ก็ได้โปรดทราบว่า การปฏิบัติของท่านไม่เหนื่อยเปล่า แต่มันช้าเกินไป
จำให้ดีนะว่า ไม่เหนื่อยเปล่าแต่ช้าเกินไป กว่าจะเข้ามุมกว่าจะเข้าเขต กว่าจะมีผล มันแสนจะยาก ถ้ารู้จักสังโยชน์ ๑๐ ประการ เอามาใช้ในการปฏิบัติ มันจะง่ายขึ้นเยอะ และใช้เวลาไวขึ้น

ถ้าตัดสังโยชน์ได้ทั้ง ๑๐ เป็นพระอรหันต์ ตัดสังโยชน์ได้ ๕ เป็นพระอนาคามี ตัดสังโยชน์ได้ ๓ จิตละเอียดดี เป็นพระสกิทาคามี ตัดสังโยชน์ได้ ๓ แต่จิตยังหยาบ เป็นพระโสดาบัน

อันดับแรก ก็จับสังโยชน์ ๓ เข้ามาตั้งไว้ก่อน ถ้าเราตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้วบรรดาท่านผู้ฟัง ขึ้นชื่อว่า บาปเก่า ๆ ทั้งหมดทำมาแล้วไม่ให้ผล เราจะไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานอีก อย่างเลวที่สุด เราจะเกิดแค่เป็นคนกับเป็นเทวดาหรือพรหม สลับกันไปสลับกันมา อย่างนี้อีก ๗ ชาติ เทวดาหรือพรหม ๓ ชาติ ไปนิพพาน

ถ้าเป็นพระโสดาบันอย่างละเอียด อย่างสูงสุดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว เป็นเทวดาหรือพรหมอีกชาติไปนิพพาน แต่ว่าถ้าฉลาดก็ไปนิพพานเมื่อตาย ก็รวมความว่า สังโยชน์ บรรดาท่านพุทธบริษัทจะต้องศึกษา แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องนิพพาน สังโยชน์นี้ทำไว้ในที่หลายแห่ง พูดไว้ในที่หลายแห่ง ก็หาศึกษาเอา

ก็รวมความว่า ท่านอาจารย์ชื้น เป็นอาจารย์ที่ควรแก่การเคารพจะขอชมว่า ดีกว่าพระหลายองค์ เพราะสมัยที่เป็นฆราวาส ก็มีปฏิปทาขั้นพระชั้นดี ต่อมาท่านก็เป็นพระอีก คือบวชพระ ก็ดีเลิศขึ้นไป แต่ก็ดีอย่างพุทธภูมิ เรียกว่าดีอย่างพระโพธิสัตว์

ไม่ใช่เรื่องเล็ก พระโพธิสัตว์นี้มีกำลังสูงมาก อาตมาก็เคารพ คุยกับท่านได้สะดวก และไม่มีหักล้างใคร ไม่มีตำหนิใคร หายาก มีลูกศิษย์ลูกหามาก นี่ว่ากันถึงคนนะ แต่ว่ายาวไป เพราะอาจารย์ชื้นนี่พูดถึง ๑๐ คาสเซทก็ไม่หมด ก็ของดไป เข้ามาถึงเทวดาและผี

ที่นี่ก็มีเทวดาที่น่ารู้จัก แต่ความจริง เทวดามีมาก ถามว่า รู้จักเทวดารึ เชื่อเทวดารึ ก็ต้องขอประทานโทษ พูดหยาบสักนิดหนึ่ง ใครว่าเทวดาไม่มี ผีไม่มี ก็ช่างหัวมันเป็นไร ความจริงพระพุทธเจ้าทรงยืนยันรับรองว่า เทวดามีจริง ผีมีจริง เรื่องเทวดา เรื่องผีนี้พระพุทธเจ้าพูดไว้ในที่ทุกสถาน

แล้วทำไมจึงไม่เชื่อ การที่ไม่เชื่อเพราะตัวไม่ดีพอ หลักสูตรความรู้ในพระพุทธศาสนามี เช่น หลักสูตรของวิชชาสาม ก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาสูง ได้แค่ ๑ ในวิชชาสาม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแค่ฌานโลกีย์ก็เหลือแหล่แล้ว เหลือใช้เหลือสอยเหลือกิน เท่านี้สามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้

ฉะนั้น ท่านผู้ฟังโปรดทราบ หรือผู้อ่านก็โปรดทราบว่า นรก สวรรค์ มีจริง มีเทวดา มีจริง คนที่ว่าไม่มี พวกนี้ต้องถือว่า เป็นผู้มี ตาบอดผี หรือ บอดเทวดา อย่างคนที่มีสายตาไม่ดี เห็นสีผิดปกติ เห็นสีเขียวเป็นสีเหลือง เห็นสีเหลืองเป็นสีแดง เห็นสีฟ้าเป็นสีเขียว เห็นสีเขียวเป็นสีฟ้า

ตามที่เขานิยมกันไม่ได้ ท่านเรียกว่า บอดสี แต่คนประเภทนี้เขาเรียกว่า บอดผี ผีมี ตาบอด มองไม่เห็น แล้วก็ บอดเทวดา เทวดามี ใจบอด มองไม่เห็น ไอ้คนตาบอดนี่ไม่เป็นไร ถ้าใจบอดนี่มันเลวมาก ต่อไปก็มาคุยกัน ขอพูดเรื่องเทวดา

เวลานั้น เทวดาที่มีจุดเด่น แต่ความจริงเทวดาอย่าคิดว่าท่านอยู่ที่เขานี้นะ เทวดาท่านมีวิมานอยู่ แต่ภาระหน้าที่ของท่านมีประจำที่นี่บ้าง ท่านก็ต้องมา บางท่าน มีภาระหน้าที่ที่อื่นโดยกว้างก็ผ่านมา แต่มีการสงเคราะห์ร่วมกัน ในสถานที่เดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองชัยนาท

ในเวลานั้นเทวดาที่คนเมืองชัยนาทรู้จักมากก็คือ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่เรารู้จักกัน องค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งที่มีกำลังอำนาจบารมีรองลงมา คือ ท่านสิงขร อีกองค์หนึ่ง คือ ท่านไปล่ หรือท่านปลั่ง บางท่านเรียกว่า ปลั่ง

แต่กรมหลวงชุมพรฯ ท่านเรียกว่า ไปล่ อีกท่านหนึ่งคือ ท่านทองดี เทวดาชั้นดาวดึงส์ แต่ท่านนี้ไม่ได้มาประจำ แต่เวลาที่ผู้พูดไปทีไรท่านมาทุกที คุยกันทุกที รู้เรื่องมาก ถ้าไม่ลืมก็จะพูดต่อไปในกาลต่อไปข้างหน้า

◄ll กลับสู่สารบัญ


9

พลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

ตอนนี้ก็มาคุยกันถึง กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ก่อนสำหรับท่านกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไม่ใช่เทวดาประจำ ที่เขาลูกนี้ เป็นแต่เพียงว่าที่เขาก็ดี ที่นอกเขาก็ดี ตามบ้านก็ตาม คนมีความเคารพนับถือกันมากเป็นกรณีพิเศษ โดยมากถ้าเขาขัดข้องอะไรก็ตาม เขาจะบนกรมหลวงชุมพรฯ

การบนกรมหลวงชุมพรฯนี้ สำเร็จผลทุกอย่าง ตามที่เห็นมา แต่ทั้งนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท มันอยู่ที่กำลังใจ เทวดาท่านมีกำลังใจเป็นทิพย์ เราจะมีความเคารพท่านจริงหรือไม่จริง ท่านทราบอยู่ก่อน ถ้าเคารพท่านจริง ท่านก็ช่วยจริงตามความสามารถของท่าน

ถ้าเราเคารพไม่จริง ใครจะช่วยก็ต้องขอบอกว่า ท่านไม่ได้ช่วยแบบไม่จริง ท่านไม่ช่วยเลย ก็แบบเรา ๆ นั่นแหละท่านพุทธบริษัท ถ้าคนใดมันสักแต่ว่าพูดกับเรา ไม่ยอมรับนับถือเรา ด้วยกรณีใดใดก็ตาม มีการเหยียดหยาม มีการดูหมิ่น หรือว่าดูถูก คือไม่เห็นความสำคัญเราก็ไม่อยากจะช่วย ถ้าช่วยก็สักแต่ว่าช่วยเป็นพิธีกรรม ผลจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน คนประเภทนั้น ใครจะห่วง

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย รายการนี้เป็น รายการธรรมะ
ก็เหลือเวลาอีก ๒ นาที เราก็มาพูดถึงความดี ตามคติพระพุทธศาสนา ทุกคนที่ฟัง ทุกคนที่อ่าน ต้องการความดี หรือต้องการความสุข ถ้าต้องการความดี ต้องการความสุข ให้คนอื่นเห็นว่าเรามีความดีด้วย และเรามีความสุขด้วย ให้ปฏิบัติธรรมะแบบเบา ๆ

ในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า คิหิปฏิบัติ นั่นคือ ธรรมะที่ฆราวาสควรปฏิบัติให้ได้ เพราะไม่ขัดคอกับ สุราเมรัย ไม่ขัดคอกับ กาเมสุมิจฉาจาร เป็นต้น ที่พูด ๒ ข้อนี้ เพราะว่า เวลานี้นิยมกันมาก แต่ว่าปฏิบัติตามธรรมะ ๔ ข้อนี้จะไม่ขัดกัน ท่านเรียกว่า สังคหวัตถุ ๔ คือ

๑. ทาน การให้ รู้จักสงเคราะห์ซึ่งกันและกันด้วยวัตถุ การสงเคราะห์บรรดาท่านผู้ฟัง เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก ถ้าเราขัดข้องเขาให้เรา เราก็รักในเขา เขาขัดข้อง เราให้เขา เราก็รักในเรา ในเมื่อต่างคนต่างรักกันจิตใจก็มีความสุข เมื่อเห็นหน้ากันจิตใจก็มีอารมณ์ชุ่มชื่น นี่เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งให้เกิดความสุข หรือเกิดความดี คนรักกันก็มีแต่ชมกันว่าดี คนรักเจอะกันก็มีแต่ความสุข

๒. ปิยะวาจา คือ พูดดี พูดเพราะ คนเขาชอบฟังเสียงแบบไหนใช้เสียงแบบนั้น เขาชอบสำนวนแบบนั้นเราพูดสำนวนแบบนั้น เขาชอบลีลาแบบไหนเราพูดลีลาแบบนั้น ก็รวมความว่าการพูดดี ก็คือ
๑. ไม่พูดปด
๒. ไม่พูดคำหยาบ
๓. ไม่ส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน และ
๔. ไม่พูดเลอะเทอะเหลวไหล ทำลายประโยชน์

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท พูดจบไม่ได้แล้ว เวลาหมดพอดี เหลือเวลาอีก ๑๐ วินาที ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/11/10 at 12:29 [ QUOTE ]


10
(Update 29-11-53 )

กรมหลวงชุมพรฯ ตามตำรวจ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้วันที่บันทึกก็ยังเป็นวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๑ เป็นการบันทึก ตอนที่ ๖ ของหนังสือเล่มที่ ๕ เรียกว่า หนังสืออ่านเล่น เขียนโดย ส.สังข์สุวรรณ แต่ว่า เวลานี้เขียนไม่ไหว ตาไม่เห็นเส้น ไม่เห็นน้ำหมึก ก็เลยต้องบันทึกเสียงแทน ให้เจ้าหน้าที่ลอกเป็นตัวหนังสือ

ก็เป็นอันว่าตอนที่แล้ว เรื่องมาขาดตอนลงที่เรื่องราวของ ท่านพลเรือเอกกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ว่าท่านเป็นเทวดาที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อท่านจริง ๆ เคารพท่านจริง ๆ ขอย้ำตอนนี้นะบรรดาท่านผู้ฟัง ถ้าเชื่อไม่จริง เคารพไม่จริง อย่าลืมว่าท่านเป็นเทวดา ท่านรู้ความรู้สึกของคน ท่านจะไม่ยอมช่วย

มาว่ากันถึงการช่วยเหลือ เขาบนกันทุกอย่างเป็นการช่วยเหลืออาตมาจะนำเรื่องมาคุยให้ฟัง อาตมาก็เคยบน แต่ทว่าบนให้คนอื่นเขาบนเพื่อช่วยเขา ท่านก็ช่วยได้ ถ้าไม่ลืมเรื่องนี้ ก็จะนำมาเล่าให้ฟังเพราะไม่ได้บันทึกมา

เป็นอันว่า ครั้งหนึ่ง เสริมศรี ส่งสิริ เธอมีความเคารพในกรมหลวงชุมพรฯ มาก มีอะไรขัดข้องเธอก็บน แต่ว่าการบนทุกอย่างของท่านมีผลทุกคราว คนนี้มีความเลื่อมใสมาก ต่อไปเมื่อคนอื่นมีทุกข์

ต้องการให้ท่านกรมหลวงชุมพรฯช่วย ก็มาขอร้องให้เสริมศรีบน เพราะตนเองจะบนก็ไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยหรือไม่ช่วยทำผิดหรือทำถูก จิตใจนั้นเคารพแน่ แต่เกรงว่าจะผิดระเบียบ และเสริมศรีก็ช่วยบนให้ และก็มีผลตามนั้นทุกครั้ง เป็นที่น่าอัศจรรย์

ใครว่าผีช่วยไม่ได้ เทวดาช่วยไม่ได้ บรรดาท่านทั้งหลาย ไม่จริง คนมันไม่ดีเทวดาท่านจะช่วยอย่างไร เทวะ แปลว่า ผู้ประเสริฐ ท่านจะเป็นเทวดาได้ ธรรมะเบื้องต้นของท่านที่ปฏิบัติได้ขั้นแรกคือ หิริ และ โอตตัปปะ ก่อนจะตายมีความรู้สึกตัว เกรงกลัวผลของความชั่ว อายความชั่ว

เวลานั้นจิตเป็นกุศลธรรม ตายจากความเป็นคน จึงเป็นเทวดา แต่ในเมื่อคนที่จะไปใช้ท่าน หรือต้องการจะเห็นท่าน ต้องการจะให้ท่านช่วย ในเมื่อคนนั้นมันยังนิยมความชั่วไม่อายความชั่ว ไม่เกรงกลัวผลของความชั่ว เป็นคนเลว เทวดา แปลว่าผู้ประเสริฐ ผู้ประเสริฐก็ไม่กล้าสู้คนเลว ไม่กล้าช่วยคนเลว เพราะเกรงว่าจะเลวไปด้วย อย่างนี้คนเลวบนไม่ได้ผล บอกกันเสียก่อนนะ

วิธีบน ทีแรกเขาก็บนกันตามความชอบใจ ต่อมาอาตมาถามท่าน ก็ขอพูดกันตรงไปตรงมาว่า เคยคุยกับท่าน ท่านกรมหลวงชุมพรฯ นั้น ท่านมาให้เห็นเป็นปกติ และก็ขอร้องให้ท่านช่วยอะไร ท่านก็ช่วยตามกำลังของเทวดาที่จะพึงช่วยได้ อย่าไปเกณฑ์เทวดาทุก ๆ อย่าง ถ้าจะเกณฑ์ว่าขอเทวดาจงบอกหวยให้ อันนี้ไม่ได้ เกณฑ์ได้แต่เทวดาท่านไม่ช่วย อย่างอาตมานี้ขอพูดให้ฟัง

ท่านปู่ใหญ่ คือ สหัมบดีพรหม เดิมทีเดียวเมื่อท่านเป็นพระในหลายร้อยปีมาแล้ว อาจจะเป็นเกือบพันปีมาแล้ว ท่านชื่อ สิงห์ เป็นพระทรงสมาบัติขั้นสูง และก็เป็นพระอริยเจ้า

ต่อมาก่อนท่านเป็นสหัมบดีพรหม ขณะเป็นรอง ไปถามเรื่องหวยท่าน ท่านเอาเรียงเบอร์มาให้อ่านเลย อ่านเรียงเบอร์ อ่านได้ทุกรางวัล เหมือนกับที่เขาพิมพ์ ทำภาพให้เห็น แต่ท่านบอกว่า ห้ามบอกใครนะ แต่ความจริงสังเกตดูแล้วว่า ถ้าไม่บอกนี่ตรงทุกที

ถ้าบางครั้งท่านจะบอกว่า พูดได้เท่านี้นะ ถ้าพูดเท่านั้นมีผล ถ้าพูดเลยไปตัวเดียวหรือแต้มเดียว หรือว่าประโยคเดียว จะไร้ผลทั้งหมด
เวลานี้ท่านก็เลยขอร้อง ปฏิเสธ บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อยากจะรู้จะให้รู้ แต่ห้ามพูดเด็ดขาด
ก็เลยเป็นอันว่า ไม่รู้เสียดีกว่า รู้แล้วพูดไม่ได้ มันอึดอัดใจ

มาว่ากันถึงเรื่องกรมหลวงชุมพรฯกันดีกว่า วิธีบน บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังแล้วอาจจะบนกันบ้าง วิธีบนก็คือ

๑. ข้าวปากหม้อ คำว่า ข้าวปากหม้อ หมายความว่า ข้าวปากหม้อที่ยังไม่เป็นเดนใคร ตักมา ๑ ถ้วย
๒. หมูต้ม หมูธรรมดาต้ม ประมาณสักครึ่งกิโล ถ้าจนมาก ก็ชิ้นเดียว อย่าให้เล็กนัก
๓. ไก่ต้ม ถ้าจนมากมีทุนน้อย ก็ไม่ต้องถึงตัว เอาชิ้นหนึ่งก็ได้ แต่คนมีทุนมากต้องเอาถึงตัว อย่าขี้เหนียวนะ ขี้เหนียวเทวดาไม่ช่วย
๔. ทองหยิบ ฝอยทอง อย่างละถ้วยเล็ก ๆ ก็ได้ ๒-๓ อันก็ได้นะ
๕. ขนมจีนน้ำพริก

เท่านี้ก็พอแล้ว แต่ว่าตามพิธีกรรม ถ้าจะบนท่านให้ใช้ของทั้งหมดนี้ก่อนเวลาบน ถวายก่อน เวลาถวายท่านกำหนดว่า เวลาตอนเช้าให้ใช้เวลา ก่อน ๒ โมงเช้า ๑๐ นาที หรือก่อนหน้านั้นนิดหน่อยก็ได้ แต่อย่าให้ถึง ๒ โมงเช้า ถ้าจะแก้ตอนบ่าย ตอนเย็นให้ใช้เวลา ๓ โมงเย็น แต่ก่อนเวลา ๓ โมงเย็นสัก ๑๐ นาที

เรื่องเหล้ายาปลาปิ้งไม่ต้องใช้กัน เวลานี้ท่านเป็น วิรุฬหก เมื่อก่อนเป็น วิรุฬหก ชอบให้เขาแก้บนด้วยน้ำตาลเมา แต่เดี๋ยวนี้บอก ไม่เอาแล้ว ลูกน้องมันมาก เดี๋ยวลูกน้องมันเมา มนุษย์จะมีความลำบาก เทวดาเมานี่ยุ่ง แต่ความจริงเทวดาท่านไม่กินน้ำตงน้ำตาลหรอก ก็ว่ากันเรื่อยเฉื่อยไป เป็นสัญลักษณ์ว่าสมัยเป็นคนชอบอะไรก็ขออย่างนั้น

มาว่าเรื่องของการบนที่มีผลเป็นพิเศษ ทำให้เทวดาลำบาก คือช่วยเขาแล้วเทวดากลับลำบาก คนบนมีความสุข แต่เทวดามีความทุกข์
นั่นก็คือว่า มีนายตำรวจท่านหนึ่ง เป็นร้อยตำรวจโท คนนี้เป็นมือปราบ แต่อยู่ที่ไหนก็ไม่บอกละ เวลานี้ก็เป็น พันตำรวจเอกหรือนายพล รุ่นราวคราวเดียวกันเขาเป็นนายพลกันไปหมดแล้ว เขาย้ายไปนานแล้ว เข้าใจว่าจะเป็นนายพลไปแล้ว

ถ้าตามอายุราชการ เพื่อน ๆ กัน คนไล่ ๆ กัน เวลานั้นเวลานี้เขาเป็นพลตรี พลโทไปแล้ว แต่ท่านผู้นี้จะเป็นขั้นไหน อยู่ที่ไหน ก็ไม่ทราบเหมือนกัน ท่านผู้นี้ก็ไปจับโจรร้าย คนหนึ่ง คนนี้ร้าย ปล้นฆ่าบ้าง ปล้นไม่ฆ่าบ้าง แต่ปล้นแน่ ไปจับมาแล้วคนนี้ก็ติดตะราง

ต่อมาลูกสาวของท่านบุคคลนี้เจ็บใจว่าร้อยตำรวจโทคนนี้มาจับพ่อติดตะราง นั่นเป็นเรื่องธรรมดา จะให้เขามีเหตุมีผลว่า พ่อของเธอไปปล้นเขา เขาจับติดตะรางเป็นการถูกต้อง อย่างนี้เราพูดกันได้ แต่ว่าลูกกับ พ่อย่อมมีความรักกัน

ย่อมมีความหวังดีในกันเขาจะโกรธคนที่จับพ่อเขา ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่น่าตำหนิ ถึงตำหนิก็ไม่มีผล แต่เธออายุยังน้อยอยู่ ประมาณ ๑๖ ปี กำลังสวย ก็เรียกว่าสวย รูปร่างค่อนข้างสวย

ถ้าประกวดนางงามแล้ว ได้เป็นที่หนึ่งของคนรักแน่ ถ้าเป็นผู้ชายคนไหนรัก คนนั้นเขาให้ที่หนึ่งชนะเลิศ แต่คนนี้ก็หน้าตาน่ารัก ผิวพรรณดี รู้สึกว่าทรวงทรงก็ดี ส่วนสัดก็ดี เธอก็ไปสมัครเป็นหญิงโสเภณี เรียกว่า โสเภณีแก้แค้น ไม่ใช่โสเภณีสมัครเล่น

หรือไม่ใช่โสเภณีอาชีพ โสเภณีในต่างจังหวัดเวลานั้นก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน เป็นแต่เพียงมีบ้านหรือมีห้องแถว ที่เขารับหญิงค้าประเวณี เข้าไปแล้วเขาก็รับสมัคร

เมื่อเธอเข้าไปแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา ใครเข้าไปก็รับแขก สตางค์ก็ได้ อันนี้ก็เห็นใจเธอว่าสตางค์ก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่เธอต้องการนั่นคือ ต้องการจะแก้เผ็ดนายตำรวจคนนี้ ก็หาอาจารย์ หาครูบาอาจารย์มาทำไสยศาสตร์ เรียกว่าทำเสน่ห์ก็แล้วกัน

แล้วก็หาทางให้คนมาแนะนำกับนายตำรวจคนนี้ว่า หญิงสาวคนนี้เข้ามาใหม่ ใหม่เอี่ยมจ๋อง ไม่เคยผ่านงานอย่างนี้มาแต่ก่อน แต่อาศัยว่าพ่อตายไม่มีใครเลี้ยง ก็มีความจำเป็น ต้องอุทิศตัวเพื่อเงินชั่วคราว และเธอก็จะเป็นอยู่ไม่นาน พอได้สตางค์พอเธอก็จะเลิก

แต่ว่านายตำรวจคนนี้ย่อง ๆ เข้าไป จะดีมาก ข่าวอย่างนั้นก็เข้าไป แล้วเขาก็ยังส่งข่าวพิเศษอีกนะว่า ถ้าหากว่าเป็นตำรวจแล้ว ฟรีทุกราย สามารถจะเหมาคืน เหมาเป็นวัน ๆ กันได้เลย เป็นแต่เพียงว่าถ้าหากว่าจะมีสตางค์จ่ายค่าอาหารประจำวัน แค่ข้าวราดแกงให้เธอได้กินได้อิ่ม อย่างนี้เหมาได้ตลอดกาล กี่วันก็ได้ เป็นเดือนก็ยังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นนายตำรวจ เธอจะชอบมาก

ท่านนายตำรวจคนนี้ทราบก็ยินดี ไอ้เรื่องเนื้อสดนี่ยังไม่ต้องต้มอย่างนี้สดแท้ ๆ เนื้อสดประเภทไม่ต้องต้มนี่รสโอชะ ท่านก็ย่องเข้าไป เธอก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี นัดหมายกันแล้ว มีแม่สื่อออกมา ติดต่อกับนายตำรวจ เธอก็จัดห้องจัดหับเสียดี แม่สื่อก็ช่วย ห้องจัดเสียสวยเรียบร้อย เสียค่าเช่าห้องเป็นพิเศษ เธอเสียเอง และพรรคพวกด้วยกัน

พรรคพวกชาวบ้านที่เป็นญาติกันเขาช่วย พอท่านนายตำรวจคนนี้ลุ่มหลง ไม่มาทำงาน ขาดงานไปเกินกว่า ๑๐ วัน ผู้บังคับกองให้ตำรวจไปตามก็ไม่มา ผู้กำกับให้ตำรวจไปตามก็ไม่มา ไม่ยอมออกจากห้อง ความจริงเนื้อสดชิ้นนี้น่ากลัวจะโอชะมาก

ในที่สุด บรรดานายตำรวจก็ดี บรรดาผู้ปกครอง พ่อแม่ก็ตาม พี่น้องก็ตาม ก็สงสาร คิดว่าอย่างนี้ต้องออกจากราชการแน่ เหตุผลเป็นมาอย่างไรไม่ทราบ เด็กสาวคนนี้ก็เป็นเด็กสาวธรรมดา ๆ รูปร่างหน้าตาสวย แต่คนภายนอกที่สวยอย่างนั้นก็มี สวยกว่านั้นก็มีที่นายตำรวจคนนี้ผ่านมา แต่ไม่หลงไหลใฝ่ฝันขนาดนี้

ในที่สุดก็หมดทางแก้ ไปหาพระแก้ พระก็แก้ไม่ออก ไปหาครูบาอาจารย์ที่ไหนแก้ ก็แก้ไม่ออก ไปหานักวิทยาศาสตร์แก้ ก็แก้ไม่ออก ไสยศาสตร์แก้ ก็แก้ไม่ออก ผลที่สุดเขาก็มาหาเสริมศรี เขาได้ข่าวว่าเสริมศรีเป็นลูกศิษย์กรมหลวงชุมพรฯ เธอคงจะแก้ได้ มาหาเธอ เธอก็เห็นใจ จะช่วยแก้

เธอก็บอกว่า แก้ได้หรือไม่ได้ก็สุดแล้วแต่สมเด็จเตี่ย เขาเรียกกัน สมเด็จเตี่ย เพราะว่าเสริมศรีเป็นลูกเจ๊ก ก็เรียกว่า สมเด็จเตี่ย ก็ถูกต้อง เตี่ยคือ พ่อ พ่อก็คือเตี่ย เธอก็จัดพิธีบน ให้เขาจัดของเพื่อบนท่าน เมื่อบนเสร็จ ก็บนขอให้ไปตามนายตำรวจคนนี้ออกมาจากซ่อง คำว่า ซ่อง ก็คือซ่องพิเศษ

แต่ขอโปรดทราบว่า สถานที่จัดที่แห่งนี้บรรดาท่านผู้ฟัง มันไม่ใช่ซ่องที่โสเภณีอยู่กัน เดิมทีเดียวเธอมาอยู่กับเขา เพื่อประกาศตนเป็นโสเภณี แต่สถานที่ต้อนรับนายตำรวจผู้นี้มันเป็นบ้าน เขาจัดห้องหับที่บ้านของเธอเอง ทำเป็นกรณีพิเศษ

ให้บุคคลเห็นว่านายตำรวจผู้นี้ไม่ได้เข้าซ่อง เขาให้เกียรติมาก ก็รวมความว่าเสริมศรีเธอก็บน ผลที่ได้จริง ๆ คือ บนแล้ว วันที่ ๓ นายตำรวจคนนี้ออกมากลับเข้ามาทำงานตามเดิม

เมื่อเขาถามผลกันท่านก็ตอบว่า ก็ไม่ทราบว่ามันเป็นอย่างไร มีความหลงใหลใฝ่ฝันจริง ๆ ก็สรุปแล้วว่า เห็นว่าเนื้อสดรายนี้อร่อยมาก มีรสโอชะมาก มีการสัมผัสดี เอาอกเอาใจดีมากเป็นพิเศษ และท่านไม่คิดว่าเป็นเนื้อสดค้าขาย ท่านจะรับไว้เป็นภรรยา

แต่เมื่อออกมาแล้ว มาทำงานแล้ว
มีคนมาถามว่าต้องการไปบ้านนั้นอีกไหม
ท่านก็บอกว่า เวลานี้มันหมดความรู้สึก ความต้องการคนรายนั้นกับสถานที่นั้นไม่มีอีกแล้ว อันนี้อัศจรรย์ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นไร (ขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัทกระแอมไอมาก
เพราะคอแห้งจัด) เรื่องนี้ไม่สำคัญ คือ ไม่ต้องการ

แต่ส่วนสำคัญมีอยู่ว่า คนสบาย คนปลอดภัย พ้นจากภัยมาได้แล้ว ไม่เสียงานทางราชการ ไม่เสียประวัติ บรรดาบิดาของท่านนายตำรวจคนนั้นก็มีความสุข ญาติพี่น้องก็มีความสุข เสริมศรีก็มีความอิ่มหนำสำราญสดชื่น เพราะทำงานได้ผล

แต่ว่าท่านที่ต้องรับโทษ คือ กรมหลวงชุมพรฯ สำหรับอาตมาเองเคยพบกับท่านทุกคน เวลาทำใจเป็นสมาธินิดหน่อย หรือกลางวัน นั่ง ๆ อยู่จิตเป็นสมาธินิดหน่อย พอนึกถึงท่านก็เห็นท่าน ท่านจะมา บางครั้งท่านจะมาในชุดแต่งขาวบ้าง

บางครั้งท่านมาในชุดเต็มยศของทหารเรือบ้าง บางครั้งก็เห็นท่านในชุดพลเอกตามปกติของทหารเรือ ขอร้องอะไรท่านก็ช่วยทุกอย่าง แต่ส่วนที่มีความสำคัญก็มาบอกถึงอารมณ์การขัดข้องว่า วันนั้น วันนี้ ใครจะกลั่นบ้างใครจะแกล้งบ้าง ใครจะขัดข้องบ้าง ใครจะดีบ้าง ใครจะชมบ้าง

แต่ท่านก็เตือนบอกว่า ขอให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาว่า คนที่เกิดมาทุกคน มันต้องตายทั้งหมด มันชมเรามันก็ตาย มันติเรามันก็ตาย เราชอบคำชม เราก็ตาย เราไม่นิยมคำติเราก็ตาย

ท่านเตือนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอย่าสนใจในมัน นัตถิ โลเก อนินทิโต ท่านบอกว่า คนที่ไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก แต่คนที่นินทาก็ดี สรรเสริญก็ดี ไม่มีอะไรเป็นผล เรารับคำนินทากลุ้มเปล่า ๆ ไม่มีอะไรเป็นผล ถ้าเราดีแล้วเขานินทาว่าชั่ว เราก็ไม่ชั่วไปตาม ถ้าเราเป็นคนชั่ว เขาสรรเสริญว่าเราดี เราก็ไม่ดีไปตาม อย่าสนใจ ท่านเตือน

แต่ว่าหลังจากนายตำรวจออกมาแล้วก็ปรากฏว่า ไม่เห็นหน้ากรมหลวงชุมพรฯ ไปนาน ๑๕ วัน หาอย่างไรก็ไม่พบ เชิญอย่างไรก็ไม่มา เพราะทุกวันท่านเคยมาคุยเป็นเพื่อน ทำให้หมดความเหงาตามปกติชอบนั่งคนเดียว เวลาไหนอยู่คนเดียว เวลานั้นเป็นสุข ขณะที่อยู่คนเดียวก็คุยกับเทวดาบ้าง คุยกับพรหมบ้าง มีความสุขดีไม่หนักอกหนักใจเหมือนคุยกับคน

เมื่อวันที่ ๑๖ เข้ามาถึง ก็พบกรมหลวงชุมพรฯ ในเครื่องแบบพลเรือเอกเต็มยศของทหารเรือ จึงเรียนถามท่านว่า ท่านหายไปไหนมา
ท่านก็ตอบว่า ผมถูกกักบริเวณ ๑๕ วัน
จึงเรียนถามท่านว่า ท่านเป็นเทวดาแล้วใครจะกักบริเวณท่าน
ท่านก็บอกว่า ท้าววิรุฬหก ซึ่งเป็นเจ้านาย อยู่ด้านทิศใต้ของโลก

ถามท่านว่ากักเรื่องอะไร
ท่านบอกว่า มีโทษในฐานะที่เข้าไปในซ่องของโสเภณี
ถามท่านว่า เพราะอะไร
ท่านบอกว่า อีฮวย ท่านไม่เรียก เสริมศรี ท่านเรียก ฮวย อีฮวยมันขอร้องผมให้ไปช่วยนายตำรวจคนนั้น

ไอ้ผมก็สงสารมัน จะไม่ช่วยมันก็จะเสียชื่อ มันก็เรียกผม สมเด็จเตี่ย ๆ เตี่ยก็มีความเห็นใจ สงสารลูก เมื่อจะเข้าไป มันก็ผิดระเบียบ แต่ครั้นจะไม่เข้าไปเลย นายตำรวจคนนั้นก็จะไม่ปลอดภัย ต้องถูกออก แต่เกณฑ์ชะตาบุญบารมีของเธอยังไม่ควรจะออก ต้องดูกันก่อน

ท่านบอกว่า การจะช่วยต้องดูถึงบุญบารมีด้วย ไม่ใช่จะช่วยส่งเดช ถ้าคนเลวไม่มีบุญ ไม่มีบารมีอยู่เลย ไม่มีอะไรหนุนหลัง ไม่มีบุญหนุนหลังอยู่เบื้องหน้า เราก็ช่วยกันไม่ได้ ท่านผู้ฟัง ฟังแล้วก็จำไว้ด้วยนะ

ก็เลยถามท่านว่า ถ้าบุญเก่าเขาไม่มี บุญใหม่เขาทำไว้ แต่ทำไว้ก่อนที่จะบน ถือว่าเป็นคนมีบุญไหม
ท่านก็บอกว่า นั่นแหละก็เป็นบุญความดีที่เขาทำไว้ก่อน ก่อนที่เขาจะชั่ว ฉะนั้นถ้าใครทำบุญดีๆ รู้จักการให้ทาน รู้จักการรักษาศีล รู้จักการเจริญภาวนาหรือตั้งตนอยู่ในพรหมวิหาร ๔ บ้าง สังคหวัตถุ ๔ บ้าง อยู่ในศีลบ้าง อยู่ในธรรมบ้าง ตั้งใจชอบฟังเทศน์บ้าง อย่างนี้ช่วยสะดวก แต่คนไร้ความดี ไร้ศีล ไร้ธรรม ผมก็ขอยืนยันว่าผมช่วยไม่ได้

แต่นายตำรวจคนนี้ ชาติก่อนเขาทำบุญไว้ดี ชาตินี้เขาก็ทำดี เขาเป็นนายตำรวจมือปราบ แต่เขาปราบคนผิด คนที่ทำความเดือดร้อนให้เกิดกับชาวบ้าน กับทรัพย์สินของชาวบ้าน ในเมื่อเขาช่วยคน ก็มีความสุข ก็จัดว่าเป็นบุญบารมีส่วนหนึ่งที่เขาทำ ทานเขาก็ให้ ศีลก็เคยรักษา ตามกาลเวลา ภาวนานี้เขาภาวนากันปืน นึกถึงพระก็ถือว่าใช้ได้

จำไว้นะญาติโยมนะ ภาวนากันปืน ภาวนากันอาวุธ ถือว่านึกถึงพระ ใช้ได้ (คอไม่ดีมาก)
ก็รวมความว่า เขาต้องช่วยท่านผู้นั้น ก็เลยถูกกักบริเวณ ๑๕ วัน วันนี้ปลอดแล้ว ผมคิดถึงท่าน ท่านคิดถึงผม ผมก็ทราบ ท่านขอร้องให้ผมมา ผมก็ทราบ แต่ผมมาไม่ได้ ถูกกักบริเวณ

ก็รวมความว่าต่อแต่นี้ไป ขอให้บอกทุกคนให้ทราบว่า ทุกคนเวลาจะบนท่านเรื่องการเข้าซ่อง ขอเลิก ไม่ช่วยใคร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่จะบน ขอให้ปฏิบัติตามระเบียบ ตามที่กล่าวมาแล้ว อย่าโกงกัน

ก็รวมความว่าเรื่องของกรมหลวงชุมพรฯ ยังไม่หมด จะเก็บไว้ต่อตอนต่อ ๆ ไป เรื่องของผีชัยนาทนี้ต้องใช้เวลาหลายตอน เทวดานะ เทวดาชัยนาท อย่านึกว่าท่านอยู่เฉพาะชัยนาทนะ ความจริงเรื่องนี้ ธรรมะกลั้วออกมาแล้วนะ จะไม่พูดธรรมะตอนหลัง เมื่อกี้ผ่านมาแล้ว นัตถิ โลเก อนินทิโต หรือ นินทากับสรรเสริญนี่เป็นธรรมะ รายการธรรมะเอากันวันละหน่อย

มาว่าถึงกรมหลวงชุมพรฯ ทำไมจะต้องแก้บน หรือเวลาบนกันก่อน ๒ โมงเช้า ๑๐ นาที หรือก่อน ๓ โมงเย็น ๑๐ นาที

ท่านบอกว่า คนที่มีความสำคัญ เป็นเพื่อนกันเวลานี้ คือ เจ้าปลั่ง หรือเจ้าไปล่ ท่านสิงขร อะไรพวกนี้ ท่านทองดี แล้วก็มีเยอะ และกรมหลวงชุมพรฯ ท่านก็ชี้หน้าบอกว่า เจ้าปลั่งนี่แหละ สำคัญมาก เวลาเขาบนผม ผมทำงาน เวลาเขาแก้บน ไอ้ปลั่ง มันไม่ทำหรอก เวลาเขาบน ทำอะไรผมทำคนเดียว แต่ไอ้ปลั่งนี่ไปรับการแก้บนเสียเอง เวลาเชิญผม ผมมา เจ้าปลั่งมันว่ากันไปเรียบร้อยแล้ว

ก็ถามว่า เทวดาโกงกันได้รึ อย่างนี้มันเป็น อทินนาทาน
ท่านบอกว่า วิสาสา ปรมา ญาติ การคุ้นเคยกัน ถือว่าเป็นญาติสนิท เจ้าปลั่งหรือเจ้าไปล่นี่มันเป็นเพื่อนคู่หูผมเลยนะ สิงขรนี่ก็เหมือนกัน เป็นเพื่อนกัน คู่หูกัน มีอะไรก็กินด้วยกัน ใช้ด้วยกัน แต่ความจริง เทวดามีของทิพย์ ถือว่าท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านมีสิทธิ์ร่วมกัน

ดังนั้นเวลาเขาแก้บน เจ้าปลั่งมันก็ฉวยโอกาส ในฐานะที่เป็นญาติสนิทกันเองกับผม มันก็เลยเอาเสียทุกอย่าง แต่ผมก็ต้องทำงาน
ก็เลยหันไปถามปลั่ง ถามว่า ปลั่ง มีหน้าที่อะไร
ผมเป็นเทวดาพิเศษครับ มีหน้าที่ช่วยขโมยลักของ และก็มีหน้าที่รับติดตามของที่ขโมยลักไป รวมความว่า ถ้าใครจะขโมยของ ถ้าบนผม ผมรับ ช่วยให้มันขโมยได้ แล้วก็เวลาเขาบนติดตาม เขาบนผม ผมก็รับ ช่วยติดตามมาได้

ก็เลยบอกว่า นั่นมันผิดศีลนะ มันละเมิดศีล
ท่านบอกว่า ไม่ใช่ มันต้องเฉพาะบุคคลครับ บนกันทุกคนไม่ได้ผล มันต้องเป็นคนประเภทที่ว่า ชาติก่อนเคยยักยอกของเขาไป ชาตินี้จะต้องตอบสนองด้วยการของหาย แต่ในชาติก่อนยักยอกไปแล้ว ไม่ได้เอาไปเลย คืนให้เจ้าของ หมายความว่า เขาจับได้ เขาเอามา เอาคืนได้ เวลาชาตินี้ก็เหมือนกัน เวลาของหายตามได้ ผมช่วยตามนี้ครับ
สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ



11
กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาว


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้มีโอกาสมาพบกับ บรรดาท่านพุทธบริษัทในเรื่อง หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕ ตอนที่ ๗ ตอนนี้ ขอให้ชื่อว่าตอน กรมหลวงชุมพรฯ ตามสาว สำหรับตอนที่ ๖ ความจริงควรจะให้ชื่อว่าตอน กรมหลวงชุมพรฯ ตามตำรวจ ลืมชื่อไป มันเครียด วันนี้ก็ขอพูดเรื่อง กรมหลวงชุมพรฯ ต่อไป ขอย้อนหลังนิดหนึ่งว่า

กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เมื่อท่านพ้นจากความเป็นคนไปแล้ว ปรากฏว่าไปเป็น เทวดาชั้นจาตุมหาราช แล้วต่อมาก็ขึ้นเป็นเทวดาขั้น อินทกะ จากอินทกะแล้วก็เป็น ท้าวมหาราช คือท้าววิรุฬหก ในปัจจุบัน

ทีนี้ก็ขอย้อนหลังไปนิดหนึ่งว่า เทวดาที่รักษาวัดท่าซุง ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ที่ปรากฏว่าท่านประจำอยู่ที่แถว พระเจ้าพรหมมหาราช ในบริเวณนั้น เห็นทีไรเห็นท่านนั่งอยู่ที่แท่นใกล้ ๆ แท่นพระเจ้าพรหมมหาราช ท่านเทวดาองค์นี้ กุมภัณฑ์ เป็นลูกศิษย์ของ ท้าววิรุฬหก

ก็เป็นอันว่าท่านนั่งอยู่ใกล้ ๆ กับรูปหล่อของ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นเทวดาขั้น อินทกะ อินทกะ ก็หมายความว่า เป็นผู้บัญชาการนะ อาจจะเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพเหล่าใดเหล่าหนึ่งนั่นเอง

ก็ขอคุยต่อไปถึงเรื่อง กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนที่ท่านตามสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบนกรมหลวงชุมพรฯ เท่าที่เห็นประจักษ์มาจริง ๆ คือ ตามคนที่หายไป ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใด เป็นอย่างไรก็ตาม เมื่อบนแล้ว ๓ วัน พบทุกที กลับบ้านทุกที แต่ทั้งนี้ก็ต้องขอบอกว่า ถ้าบางคนไม่สามารถจะมาได้ คือ

๑. ตาย
๒. ถูกกักบริเวณ คือถูกขัง
๓. ทุพพลภาพ

อย่างนี้คงมาไม่ได้ และท่านบอกว่า ถ้าหากเป็นทุพพลภาพก็จะมีใครคนใดคนหนึ่งส่งข่าวให้ทราบ และมีโอกาสจะไปรับได้

แต่ทว่าการบนเทวดาบรรดาท่านผู้ฟัง ต้องเข้าใจว่า ความสามารถของเทวดาก็มีจำกัดเหมือนกัน ก็มีบางสิ่งบางอย่างเกินขอบเขตของท่าน ฉะนั้น การบนต้องรู้เรื่องกัน จะต้องบนเฉพาะกิจ อย่าบนให้เปรอะไป

ถ้าบนเปรอะไปทุกสิ่งทุกอย่าง เทวดาทำไม่ไหว ก็เลยไม่ทำให้ และเวลาบนจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เวลาบนต้องถวายเครื่องสังเวยก่อน เมื่อได้รับผลสมบูรณ์แบบแล้วก็ถวายอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นระเบียบของการบน

ขอย้ำอีกนิดหนึ่งว่า การบน คือ
(๑) ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย
(๒) หมูต้ม ๑ ชิ้น
(๓) ไก่ต้ม ๑ ตัว

สำหรับหมูต้มกับไก่ต้ม ถ้าคนมีสตางค์หน่อย หมูต้มใช้ไม่น้อยกว่าครึ่งกิโล และไก่ต้มต้องใช้ไม่น้อยกว่า ๑ ตัว

ถ้าคนที่จน ๆ มีสตางค์น้อย หมูต้มใช้ชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ และไก่ต้มไม่ต้องถึงตัว ใช้ชิ้นเล็ก ๆ ก็ได้ และมี ขนมจีนน้ำพริก ของหวานก็มี ทองหยิบ ฝอยทอง เท่านี้เอง

เวลาบนหรือแก้บน
เวลาเช้า ให้ใช้เวลาก่อน ๒ โมงเช้า ๑๐ นาที
ถ้าตอนบ่าย ให้ใช้เวลาก่อนบ่าย ๓ โมงเย็น ๑๐ นาที

ก็เป็นอันว่า ขอเล่าเรื่องของท่านต่อไป ในเรื่องในการตามสาว อย่าลืมว่า รายการนี้เป็นรายการธรรมะ จะขอนำธรรมะกลั้วเข้ามากับเรื่องของนิทาน ขอบรรดาท่านผู้ฟังอย่าลืมนะว่านี่เป็นนิทาน นิทานตอนนี้เรื่องเป็นเรื่องจริง

แต่การเห็นจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่ทราบถือว่าเป็นนิทาน ก็เป็นอันว่าวันหนึ่ง ในเวลานั้นที่อาตมากำลังแจกของแก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ก็ไปจากวัดเสียเดือนเศษ

พอกลับมาถึงวัดก็มีคนที่รู้จักกันจริง ๆ เวลานั้นเธอยอมรับนับถือไปมาหาสู่เสมอเป็นผู้ชาย มากับบรรดาญาติหลายคน ผู้ชายคนนี้รูปร่างอ้วน ๆ ผิวขาว มาถึงเธอก็รายงานให้ทราบ แต่อันดับแรกขอบอกก่อนนะ เธอมาถึงตั้งแต่ตอนบ่าย เวลานั้นไม่มีเวลาพบกัน เวลากลางคืน ลงสอนพระกรรมฐาน เธอก็ลงปฏิบัติด้วย

พอปฏิบัติเสร็จเธอก็รายงานให้ทราบว่า “ลูกสาวของผมหายจากบ้านไปไปเกือบ ๒ เดือน ผมใช้เวลาตามมาเดือนเศษ สิ้นเงินค่าตามไป ๒ หมื่นบาทเศษ ยังไม่พบ อยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า เวลานี้ลูกสาวผมอยู่ที่ไหน เธอยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว ถ้ามีชีวิตอยู่จะกลับบ้านเมื่อไร ถ้าเธอกลับเองไม่ได้ จะหาวิธีใดให้เธอกลับ”

ความจริงเขาก็ถามตามเหตุตามผล บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาฟังแล้วก็คิดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเกินวิสัยของเรา เราไม่สามารถจะจัดการให้ได้ ถ้าจะถามว่ารู้ไหมก็ต้องตอบว่าไม่รู้ ถามว่าใช้กำลังของสมาธิดูให้ได้ไหม กำลังของสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัทมันต้องใช้เวลาที่เราไว้วางใจ

เวลาเหนื่อย ๆ แบบนั้น มันก็ไม่แน่เหมือนกัน ถึงแม้เวลาสงัดก็จริงมันก็ไม่แน่ เพราะว่าสมาธิชั้นสวะของอาตมามันก็ผิดบ้างถูกบ้างเป็นของธรรมดา ถ้าเขาถามมา นี่ไม่แน่นัก ถ้าเกิดความรู้สึกขึ้นเองนี่แน่นอน เพราะเวลาเขาถามบางทีมันเหนื่อย ไม่รู้เรื่อง

ก็เลยบอกเขาว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อย่าถามฉันเลยนะ เพราะฉันกับคุณความจริงมันก็ไม่ดีกว่ากัน มันก็เป็นคนเสมอกัน คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน มีความเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน มีการง่วงนอนตื่นนอนเหมือนกัน หิวกระหายเหมือนกัน ไม่ดีกว่ากันเลย

ก็ในที่สุดก็เรียกว่า ร่างกายเราเสมอกัน สำหรับด้านจิตใจ ในเมื่อมีชีวิตอยู่อย่างนี้มันก็ไม่ต่างกัน ก็มีความรักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน แล้วสิทธิของเราก็ไม่ต่างกัน สิทธิก็คือว่า มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น และสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คือแก่

นอกจากแก่ก็มีป่วย นอกจากป่วยก็มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ในที่สุดเราก็ตาย เวลานี้คุณต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คือ ลูกสาวหายไปจากบ้าน ฉันเองก็ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีพ่อกับแม่ตายไปนานแล้ว แล้วก็มีน้องสาวคนเล็กอีกคนหนึ่ง ตายไปนานแล้ว ทั้งหมดทั้ง ๓ คน ก็เป็นคนที่รัก ที่เคารพของฉัน เรามีสภาพเหมือนกัน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท อันนี้เป็นธรรมะในท้องเรื่องจำไปเลยนะ จะไม่ลงธรรมะในตอนท้าย เอาตอนนี้ก็แล้วกัน ก็รวมความว่า คนเราที่เกิดมา คนก็ดี สัตว์ก็ดี มีสภาพเหมือนกันอย่างนี้ทั้งหมด

ต่อไปก็ขอแนะนำเธอว่า เอาอย่างนี้ซิคุณ ตอนรุ่งเช้า คุณทำที่วัดนี่ก็ได้ เพื่อความมั่นใจ บนกรมหลวงชุมพรฯ แต่ว่าการบนต้องคิดว่าสิ่งทั้งหลายแหล่ทั้งหมด มันอาจจะเป็นสิ่งที่เกินวิสัยก็ได้ แต่ทว่ากรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์นี้ เท่าที่เขาบนตามคนกันไม่เคยพลาด แต่ว่าทั้งนี้ คุณต้องยอมรับนับถือท่านจริง ๆ นะ

พอบอกเท่านี้ เขาก็บอกว่าสมเด็จกรมหลวงชุมพรฯ นี่ ผมเคารพมากขอรับ
ก็เลยบอกว่า ถ้าคุณเคารพอยู่แล้ว ก็ถือว่าเป็นบุญใหญ่
เขาถามว่ามีเครื่องอะไรบ้าง
ก็บอกว่า คุณจัดข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย กับหมู ๑ ชิ้น เวลานี้คุณไม่อยู่บ้าน ฉันก็กะเกณฑ์ไม่ได้ ถ้ากะเกณฑ์ได้ คุณมีฐานะดี ก็ควรจะใช้ชิ้นละไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล แล้วก็ไก่ ๑ ตัว ถ้าสามารถทำได้ ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็เอาไก่ ๑ ชิ้น หมูชิ้นเล็กก็ได้ ถ้าทุนน้อย

ต่อไปก็ใช้ขนมจีนน้ำพริก ๑ ถ้วย แล้วก็ใช้ ทองหยิบ ฝอยทอง อย่างละน้อย ๆ ก็ได้ คุณตั้งโต๊ะ เอาโต๊ะที่กุฏิฉันมีมาตั้งเข้า แล้วเอาผ้าขาวปู เอาแจกันดอกไม้วางเข้ากลางโต๊ะ เอาเครื่องจุดธูป จุดเทียนวางเข้า แล้วก็บนท่าน ถวายพร้อมกันเวลานั้นเลยนะว่า ขอถวายเครื่องสังเวยเป็นการสักการะบูชากรมหลวงชุมพรฯ กับคณะ รวมทั้งคณะด้วย เพราะท่านมีลูกศิษย์มาก

ถ้าหากว่าไม่เกินวิสัยลูกสาวผม (ชื่อนี้) เธอหายไปประมาณวันที่เท่านั้น เอาประมาณกัน อาจจะไม่แน่นอน ถ้าไม่เกินวิสัย ขอได้โปรดตามกลับมาให้ถึงบ้านภายใน ๓ วัน แต่ว่าถ้าเกินวิสัย ๓ วันไม่ทัน จะกี่วันก็ได้ ขอให้กลับมาเร็ว ๆ ต้องให้เวลาท่าน

พอรุ่งขึ้น เขาก็รีบไปตลาดแต่ตอนเช้า ปรากฏว่าเวลาก่อน ๒ โมง ๑๐ นาที เขาทัน ทุกอย่างเขาต้มมาจากตลาดหมด มาถึงก็ตั้งโต๊ะก่อนหน้าเวลา ๒ โมงกว่า ๑๐ นาที ประมาณ ๑๕ นาที เขาก็เริ่มจุดธูปเทียน เขาบอกว่า เวลายังเหลือเกินกว่า ๑๐ นาที จะทำได้ไหมครับ ก็บอกว่าทำได้เลย ทำได้เขาก็บน ถวายเครื่องสังเวย แล้วก็บอกว่า ถ้าลูกสาวกลับ จะถวายใหม่ เมื่อเขาบนท่านเสร็จ เขาก็ลากลับบ้าน

เมื่อกลับบ้านไปแล้วไม่นาน ประมาณสัก ๔ วันเศษ ๆ หรือ ๕ วัน ไม่เกิน ๕ วันนะ จำไม่ได้ถนัด มันหลายปีมาแล้ว ก็ปรากฏว่า บุคคลคณะนี้กลับมาอีก ขอประทานอภัย ลืมบอกไปว่า เจ้าภาพชุดนี้ อยู่อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัดพิจิตร

คณะนี้ก็เดินทางกลับมาอีก มาพร้อมกับหญิงสาวคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาเธอก็ดี ผิวขาว ท้วม ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส และท่านพ่อก็รายงานบอกว่า ลูกสาวคนนี้แหละครับที่หายไปจากบ้าน

หลังจากผมบนกรมหลวงชุมพรฯ แล้ว กลับไปที่บ้าน จากวันบนถึงวันเด็กมา เป็นเวลา ๓ วันพอดี เด็กกลับมาถึงตอนเย็น
อาตมาก็ลองถามว่า หนูไปอย่างไรมาอย่างไรลูก ถึงได้ไปบ้านแล้วไม่ยอมกลับ
เธอก็เล่าความเป็นมาอย่างนี้ บรรดาท่านผู้ฟังฟังแล้วก็จำ จำแล้วก็คิด คิดแล้วก็อย่าตำหนิกัน เพราะมันเป็นกฎของกรรม

เธอบอกว่า ตามปกติเธออยู่บ้าน ตลาดที่ใกล้บ้านที่สุด คือ ตลาดโพธิ์ทะเล อำเภอโพธิ์ทะเลนี้ ความจริงแม้แต่ตลาดเธอก็ไม่ค่อยได้ไปกับเขา เพราะเป็นเด็กไม่อยากเที่ยว เป็นเด็กที่ไม่อยากจะไปไหน อยู่กับบ้าน

ถ้าจะกล่าวไป ก็เป็นเด็กชอบรักษาประเพณีตามแบบโบราณ แต่ความจริง หญิงสาวรักษาประเพณีอย่างนี้ท่านผู้ฟัง จะเป็นเวลาสมัยก่อนก็ตาม สมัยปัจจุบันนี้ก็ตาม สมัยหน้าก็ตาม ถ้ารู้จักเก็บตัวอย่างนี้ เป็นหญิงที่มีราคามีค่าสูง

เพราะใคร ๆ ก็ต้องการถือว่าเป็นคนบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นคนเรียบร้อย เพราะการจะแต่งงานก็ต้องดูเบื้องหน้าเบื้องหลัง วันนี้ดี วันหน้าจะดีไหม ถ้าหากว่าแสดงอาการคล่องตัวเกินไป คนก็ไม่ค่อยไว้วางใจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นว่า เป็นคนไร้ค่า

นั่นหมายความว่า ราคาถูก ซื้อเมื่อไรวางเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ไม่แปลก แต่ว่าสงบเสงี่ยมเก็บตัวแบบนี้คนต้องการแล้วก็มีการหวงแหน นี่ตามความรู้สึกของอาตมาที่เป็นผู้ชาย

และก็ผู้ชายที่รู้จักสร้างตัวทุกคนก็มีความรู้สึกเหมือนกัน บอกว่าถ้าฉูดฉาดเกินไป เราก็เห็นเป็นของไร้ค่า ฉูดฉาดมาเราก็ฉูดฉาดไป ได้มาแล้วก็วาง วางแล้วก็ได้ใหม่ ได้ใหม่เราก็วางใหม่ วางแล้วก็ได้ใหม่ มันเป็นของไม่ยาก และท่านผู้นั้น ท่านก็ไม่ถือตัว ท่านก็ถือว่าจับหรือวางเมื่อไรไม่ใช่ของแปลกก็เลยเป็นคนไร้ค่าไป

ขอเล่าเรื่องของเธอต่อไป เธอก็เล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งพ่อกับแม่ไปนา เธออยู่ที่บ้านคนเดียว จะว่าคนเดียวก็ไม่ได้ มีญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเป็นคนแก่อยู่บ้านด้วย ก็มีเพื่อนสาวข้าง ๆ บ้าน เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน เธอนัดแนะกับผู้ชายว่าจะพากันไปอยู่กินร่วมกัน แทนการแต่งงานปกติเขาเรียกว่า วิวาห์คนธรรพ์ คือ จะพากันไป แต่เขาก็ไม่บอกเธอ

เป็นอันว่า คนนี้ก็อยู่บ้านเหมือนกัน พ่อแม่ไปไถนา เขาก็มาชวน เธอบอกว่าไปเที่ยวตลาดกันไหมล่ะ ไปซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ ประเดี๋ยวก็กลับ เธอก็เห็นว่าเป็นเพื่อนบ้าน ปกติก็ไม่มีอะไร เป็นคนที่น่ารักชอบพอกันมาก ก็ไปลาญาติผู้ใหญ่ที่เฝ้าบ้านอยู่ด้วยกัน

ก็บอกว่าฉันจะไปตลาดกับเพื่อนสักครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวจะมา ท่านญาติผู้ใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรก็บอกว่าไปเถิด ป้าอยู่บ้านเอง

ครั้นเมื่อเธอไปถึงตลาด ไปถึงก็มีผู้ชายอยู่ ๒ คน นั่งอยู่ที่ตลาดแล้ว ไปเจอะเพื่อนหญิงเข้า เธอก็เข้ามาทักทายปราศรัย เขาก็คุยกันเบา ๆ ฟังไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวหนึ่ง เขาก็สั่งอาหารมาเลี้ยง เขาก็เลี้ยงเธอด้วย ทั้ง ๔ คนก็กินกัน

กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินไปเดินมา ประเดี๋ยวหนึ่งก็มีรถแท็กซี่ คือ รถยนต์เล็ก ๆ รถเก๋งมาจอด ชาย ๒ คนก็บอกกับเพื่อนว่า เราจะไปเที่ยวจังหวัดพิจิตรกันไหมล่ะ ไปเที่ยวตลาดโน้น เพื่อนนี่ความจริงเขานัด เขารู้กันอยู่แล้วก็บอกว่าไป

เขาก็ชวนเธอไปด้วย เธอก็บอกว่าไปไกลนักไม่ได้หรอก ประเดี๋ยวป้าจะบ่น พ่อกับแม่จะมา เขาบอกว่าไม่เป็นไร เราไปรถพิเศษ เหมาไป ประเดี๋ยวก็กลับ ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับ ก็เลยนั่งรถไปกับเขา

เป็นอันว่า ชาย ๒ หญิง ๒ เมื่อนั่งรถไปกับเขา ไปถึงจังหวัดพิจิตร เมื่อเดินไปเดินมาประเดี๋ยวเดียว เขาก็พาขึ้นรถโดยสารเป็นรถยนต์ สมัยนั้นยังไม่มีรถทัวร์ เป็นรถประจำทาง เขาก็พาขึ้น

ถามเขาว่าจะไปไหน
เขาก็บอกว่าเราจะกลับอำเภอโพธิ์ทะเล (นี่มันต้มกันง่าย ๆ) เรียกว่าไม่ต้องต้มเลยนะ สุกอยู่แล้ว เพราะคนไม่เคยไปไม่เคยมา เธอก็นั่งรถไปกับเขา แต่แทนที่รถจะวิ่งเข้าอำเภอโพธิ์ทะเล กลับวิ่งลงนครสวรรค์ แล้วก็เรื่อยไปกรุงเทพฯ เธอก็จนใจ

เพื่อนหญิงก็บอกว่าไม่เป็นไร เราไปเที่ยวกรุงเทพฯ กัน ประเดี๋ยวเราก็กลับ พอถึงกรุงเทพฯ แล้วเขาก็พาขึ้นรถแท็กซี่ไปสถานีรถยนต์สายใต้ จากสายใต้ก็ไปจังหวัดสุพรรณบุรี ก็เป็นอันว่า เธอก็จำเป็น จำใจจะต้องไปกับเขา เสื้อผ้าก็มีไปชุดเดียว

แต่เพื่อนหญิงเขาเตรียมพร้อม สำหรับเพื่อนหญิงนั้น เสื้อผ้าฝากคนไว้ที่ตลาดเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าเขา ๒ ลูก เขาใส่กระเป๋าเต็ม ๒ ลูก อยู่ที่ตลาดแล้ว เขาฝากร้านค้าที่รู้จักกันไว้ก็เป็นอันว่า เธอก็ใช้เสื้อผ้าของเพื่อน และต่อมา ชายหนุ่มก็ซื้อเสื้อผ้าให้เธอใช้

ไปพักที่จังหวัดสุพรรณบุรี แต่ไม่ใช่ตัวเมือง เป็นเขตของอำเภอบางปลาม้า เมื่อเธออยู่ที่นั่น มันก็เหงา เคยอยู่บ้านไม่เคยไปไหน และไปที่นั่น ก็ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน ก็มีเพื่อนหญิงที่ไปด้วยกันคุยกัน เจ้าของบ้านก็ใจดี ก็ช่วยเจ้าของบ้านทำโน่นทำนี่บ้างตามปกติ

เมื่อเวลาผ่านมา ประมาณ ๑ เดือนเศษ ในช่วงนั้น เธอก็บอกว่าคิดถึงบ้านแต่ไม่รู้จะกลับอย่างไร เห็นรถยนต์วิ่งผ่านหลังบ้าน ก็ไม่ทราบว่า รถยนต์ไปไหน เขาเขียนว่า กรุงเทพฯ-สุพรรณบุรี ครั้นจะมากรุงเทพฯ คนเดียวก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนอีก เมื่อเข้าถึงกรุงเทพฯ ก็งงเต็มทีแล้ว บ้านเมืองมันกว้าง รถก็มาก ทิศทางไปไหนก็ไม่ทราบ (จนดอน)

ต่อมาเธอบอกว่า วันหนึ่ง ขณะที่อยู่ที่นั่นแล้วก็นั่งอยู่คนเดียว นั่งเล่นเพลิน ๆ อ่านหนังสือบ้าง ทำงานเล็กน้อยบ้าง เรียกว่า อยู่บ้านท่านไม่นิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น ตามคติของโบราณ ก็ช่วยเจ้าของบ้านทำตามปกติ เท่าที่สามารถจะทำได้

เห็นรถยนต์มาแต่ไกล มีความรู้สึกว่าอยากจะกลับบ้าน รถยนต์คันนี้จะไปถึงกรุงเทพฯ ไปถึงกรุงเทพฯ แล้ว เราไม่รู้ทิศทางจะไป แต่ว่าคิดว่ากลับได้ เราจะบอกเขาว่า เราจะกลับจังหวัดพิจิตร คงจะมีรถยนต์มาช่วยเราได้ ส่งให้ขึ้นรถยนต์มาจังหวัดพิจิตรได้ เธอตัดสินใจ ตัดสินใจเอาเอง ซึ่งทุกวันไม่เคยมีอารมณ์อย่างนั้น

และก็ถามว่า ตอนนั้นหนูมีสตางค์ไหม
เธอก็บอกว่า ระยะนั้นหนูมีสตางค์ติดตัวอยู่ ๕๐๐ บาท

เมื่อตัดสินใจอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่มีการเตรียมการอะไรทั้งหมด เมื่อรถยนต์เข้ามาใกล้ ก็วิ่งออกไปจากบ้านขอขึ้นรถยนต์ รถยนต์ก็รับ และคนในบ้านก็ไม่มีใครติดตามมาทวง มาถาม มาปราม ทุกคนก็ดูกันเฉย ๆ แล้วก็ยิ้ม ทุกคนนั่งดู ต่างคนต่างยิ้ม เธอก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เขายิ้มเพราะอะไร

ในที่สุด เธอขึ้นรถยนต์ รถยนต์ก็มาจอดที่สถานีรถยนต์สายใต้ ขณะที่เธอนั่งในรถยนต์ เธอก็มีความรู้สึกว่าในเมื่อถึงกรุงเทพฯแล้ว เราจะไปอย่างไร เวลานั้นไม่มีความรู้สึกอะไร วิตกกังวลว่ากรุงเทพฯ นี่เขาว่าเมืองกรุงเทพฯ มันใหญ่โตกว้างขวางมาก จะไปอย่างไรได้

แต่ก็คิดว่าถ้าถึงกรุงเทพฯ เราพอมีสตางค์จะเหมาแท็กซี่ให้เขาไปส่งรถโดยสารที่จะไปจังหวัดพิจิตร เธอคิดตัดสินใจตามนั้น ก็นั่งมาเฉย ๆ แต่ไม่เฉยหรอกคิดเรื่อยมา แต่ก็น่าอัศจรรย์ เมื่อรถยนต์ถึงสถานีรถยนต์สายใต้ รถยนต์จอด เขาก็บอกว่าถึงสุดทางแล้วครับ ลงได้ครับ

ทุกคนก็ต่างพากันลง เธอก็ลง ลงอย่างคนที่ไม่รู้จะไปไหนแต่ก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจมากที่สุด พอลงมาแล้ว เดินไปได้ ๒-๓ ก้าว ปรากฏว่าพบพี่ชายยืนอยู่ตรงนั้น
พอเห็นพี่ชายก็ดีใจ โผเข้าไปกอดพี่ชาย ถามว่าพี่มาอย่างไร

พี่ชายก็ตอบว่าพี่มาตามน้อง แต่พี่ก็ไม่รู้ว่าน้องอยู่ที่ไหน เมื่อคืนนี้อยู่ที่พัก พักที่วัด วัดใกล้ ๆ แต่วันนี้อยากจะมาที่นี่ คิดว่าบางทีน้องอาจจะมาบ้าง หรือมาไม่มาก็นั่งแก้กลุ้มดูคนขึ้นรถลงรถ แต่ก็บังเอิญพบน้องพอดี เป็นอันว่าพี่และน้องต่างคนต่างดีใจ เธอก็หมดทุกข์ พี่ชายก็มีสุขเพราะพบน้อง เธอก็มีสุข เพราะพบพี่

ในที่สุดพี่ก็บอกว่าไปกินข้าวเถิดน้อง ก็พาน้องไปกินข้าว ความดีใจของพี่ก็บอกว่า อย่าเพิ่งไปบ้านกันเลยวันนี้ ถ้าเราจะไปก็ไปทัน แต่มันจะค่ำ ค้างกรุงเทพฯ เสียก่อน ค้างกับพี่ พี่อาศัยกุฏิพระอยู่ แต่ว่าก่อนจะไปกุฏิพระ ไปดูหนังกันก่อน

น้องสาวก็บอกว่าเครื่องแต่งตัวไม่ได้เปลี่ยน และก็ไม่มีเปลี่ยน พี่ชายบอกว่าไม่เป็นไร โรงหนังนี่เขาไม่ห้าม เขาไม่ถือ พี่ชายก็พาน้องสาวไปดูหนังที่โรงหนังแกรนด์ เสร็จแล้วก็กลับมาพักที่เดิม

เช้าก็ลาพระท่านมาที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้านพ่อแม่ก็ดีอกดีใจมาก รุ่งขึ้นเช้าก็จ่ายของแก้บนอย่างหนัก หมูไม่ใช่ครึ่งกิโลแล้ว เป็นหลาย ๆ กิโล แล้วไก่ก็หลายตัว อะไรก็มาก ขนมจีนก็เป็นหาบ เป็นอันว่า

เธอก็ไม่แก้ที่บ้านเธอ แกบอกว่า บนที่วัดท่าซุงก็ต้องมาแก้ที่วัดท่าซุง ประเดี๋ยวกรมหลวงชุมพรฯ ท่านจะว่าเอา เป็นอันว่า เมื่อเขามาถึงหลังเที่ยง ก็ให้แก้เวลาบ่ายก่อนบ่าย ๓ โมง ๑๐ นาที

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลานี้ก็เหลือเวลานาทีเศษ ๆ ก็เล่า เรื่องนี้จบพอดี เป็นอันว่าสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ท่านก็เป็นเทวดาประเภทที่เรียกว่าสงเคราะห์คนจริงๆ

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิงและท่านผู้ฟังอย่าลืมว่า กฎธรรมดาของคนที่เกิดมา คือ
(๑) เกิดแล้วก็มีแก่
(๒) ต้องมีการป่วยไข้ไม่สบาย
(๓) มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจอย่างผู้นี้ และ
(๔) มีความตายไปในที่สุด

ขอทุกท่านอย่าประมาทในชีวิต คิดสร้างความดี คือ
(๑) รู้จักการให้ทาน เป็นการสงเคราะห์ ตัดโลภะ ความโลภทีละน้อย
(๒) รู้จักการรักษาศีล เพื่อเป็นการตัดความโกรธทีละน้อย
(๓) รู้จักการเจริญภาวนา คือรู้ลมหายใจเข้า-ออก

หายใจเข้า รู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก ถ้าไม่รู้ว่าจะภาวนาว่าอย่างไร ให้ภาวนาว่า “พุทโธ” หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ทำวันละ ๒-๓ นาทีก็ได้ เวลาจะทำ นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นอนก็ได้ นั่งท่าไหนก็ทำได้

เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าทำได้อย่างนี้ ทุกคนจะไม่ตกนรก ก็เวลามันหมดเสียแล้วนี่ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย เหลือเวลาอีกประมาณ ๑๐ วินาทีเศษ ๆ

ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านและผู้รับฟังทุกท่าน
สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/12/10 at 13:54 [ QUOTE ]


12
(Update 18-12-53 )

กรมหลวงชุมพรฯ ช่วยตำรวจ


ท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับวันนี้ก็พบกันอีก มาพบกันตอนต้นฉบับของ หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๕ ตอนที่ ๘ เป็นตอนจบ หนังสืออ่านเล่น เล่ม ๕ ใช้บันทึกเสียงเป็นต้นฉบับ ๘ ตอน

และตอนที่แล้วก็ตาม ตอนนี้ก็ตาม ก็เป็น วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๑ ก็เป็นอันว่า ตอนนี้ก็ให้ชื่อว่าตอน กรมหลวงชุมพรฯ ช่วยตำรวจ เรื่องราวของท่านมีการช่วยมาก แต่ก็จะนำมาพูดเฉพาะบางตอน เพื่อเป็นตัวอย่าง

มีปีหนึ่ง อาตมาก็จำ พ.ศ. ไม่ได้ เวลานั้นกำลังอยู่กระต๊อบ การที่มาอยู่วัดท่าซุงนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าเห็นว่าวัดใหญ่โต อย่าคิดว่าพื้นฐานของเขาดี เนื้อที่วัดเดิมจริง ๆ มีอยู่ ๖ ไร่ และกุฏิที่จะมาอยู่ มีกุฏิอยู่ ๓ หลัง

หลังที่ดีที่สุดก็คือ หลังที่เจ้าอาวาสอยู่ อีก ๒ หลังที่อาตมาจะอยู่ได้ก็เป็น กุฏิทิพย์ ก็หมายความว่า นอนในกุฏิกลางคืน เห็นดาวได้โดยไม่ต้องออกมานอนนอกชาน เห็นเดือนเห็นดาวได้ กลางวันนกบินมาในอากาศก็สามารถจะเห็นได้ เป็นกุฏิทิพย์จริง ๆ

คนเดินผ่านไปผ่านมาด้านนอก สามารถมองเห็นได้โดยไม่ต้องเปิดหน้าตา ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าหลังคามันโปร่ง ฝาก็โปร่ง คุ้มแดดก็ไม่ไหว คุ้มลมก็ไม่ได้ คุ้มฝนก็ไม่ได้ สภาพของวัดท่าซุงเดิมจริง ๆ เป็นอย่างนี้

อาตมาที่มานี่ เจ้าอาวาสไปนิมนต์มาเพื่อช่วยวัด ช่วยสร้างหอสวดมนต์ และช่วยสร้างวัด เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องปลูกกระต๊อบอยู่ ประวัติเรื่องนี้ก็ขอผ่านไป ให้ทราบว่าอาตมามาแล้ว มาอยู่กระต๊อบและก็มีทุนจริง ๆ มาร้อยบาท เงินร้อยบาทนี้ก็ไม่ได้สร้างวัด มาต้องซื้อข้าวสาร ซื้ออาหารกิน

ต้องอาศัย บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจังหวัดชัยนาทบ้าง อำเภอมโนรมย์บ้าง วังเคียนบ้าง แล้วก็คุณชุบ คุณฉอ้อนบ้าง และญาติโยมที่กรุงเทพฯ บ้าง ช่วยเลี้ยง จึงมีชีวิตมาได้ ใครมาใครไปเขาก็ให้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีกำลังสำคัญในตอนต้น ก็คือ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต และสิริรัตน์ โรจนวิภาต ภรรยาของคุณอาทร ฉลวย ปิณินทรีย์และพิมพา คุณากร รวมทั้งคณะของท่านทั้งหมด ไม่ใช่เท่านี้นะ ท่านเป็นคณะ ช่วยสงเคราะห์ให้มีชีวิตขึ้นมาได้

ในระยะนั้น ก็มีตำรวจมาจากกรุงเทพฯ ท่านหนึ่ง มีทุกข์มา มากับภรรยา กับเพื่อน แต่นายตำรวจท่านนี้จะชื่อว่าอะไร อยู่ที่ไหน มีงานประเภทไหน งานอาจจะบอกกันได้ แต่ชื่อขอปกปิด ที่อยู่ขอปกปิด แต่ว่าท่านผู้นี้มีความรู้ในด้านขีดเขียน ออกแบบ

ก็เป็นอันว่า ท่านมาปรารภ มาถึงท่านก็ปรารภบอกว่า ผมมีเรื่องเกิดขึ้นอยากจะให้หลวงพ่อช่วย
ก็ถามท่านว่าจะให้ช่วยอย่างไร
ท่านก็บอกว่าเขาจะขังผม ผมก็บอกกับเจ้านาย กับผู้บังคับบัญชาว่า ขอให้ขังแต่ชื่อก็แล้วกัน ไม่ขังตัว แต่เจ้านายเขายืนยันว่าจะขังตัว เป็นอันว่าพูดกัน ๒-๓ คราวไม่รู้เรื่อง ท่านจะขังแน่ ผมเห็นท่าว่าจะไปไม่รอด ถ้าขังผมก็แย่ อยากให้หลวงพ่อช่วย

อาตมาก็มานั่งนึกในใจว่า ตัวเองก็ช่วยตัวเองไม่ค่อยจะไหว ที่มีชีวิตอยู่ได้อยู่นี่ก็เพราะอาศัยลูกหลานช่วยสงเคราะห์ มีกินไปวันหนึ่ง ๆ ใครเขามาทำบุญ ก็นำเงินไปก่อสร้าง เวลานั้นก็มีเล็ก ๆ น้อย ๆ

แล้วก็เงินที่คณะที่กล่าวมาแล้วให้มันเหลือกินเหลือใช้ก็นำไปสร้าง ที่อุทัยธานีก็มี นนทา อนันตวงษ์ อีกคนหนึ่ง เป็นกำลังใหญ่ เป็นเจ้าของโป๊ะ ก็ช่วยให้เงินให้ทองอยู่เสมอ ประคองชีวิตขึ้นมาได้ และก็สามารถมีทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ สร้างขึ้นมาได้ตามลำดับ

เป็นอันว่านายตำรวจผู้นั้นท่านบอกให้ช่วย อาตมาก็งง คิดว่า เราจะช่วยอย่างไรนะ วิชาความรู้ด้านนี้เราก็ไม่มีกับเขา เรียนมาโดยเฉพาะก็คือ เรียนนักธรรม เรียนบาลี นักธรรมเรียนจบชั้นเอก (นักธรรมเอก) แต่ว่าบาลีนี่เรียนเตาะแตะเต็มที ถ้าเวลานี้ ใครจะนำไปสอบบาลีก็ตกแหง ๆ ลืมเกือบหมดแล้ว บาลีก็เรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม

ความรู้ไม่มาก แต่วิชาความรู้พิเศษ การรักษาโรคก็ดี การช่วยสงเคราะห์คนที่รักกันจะให้เขาเกลียดกัน เขาเกลียดกันจะให้เขารักกัน เขามีทุกข์ให้มีสุข มีสุขให้มีทุกข์ ประเภทนี้หลวงพ่อปานไม่ได้สอนมา

ความจริงวิชาหมอท่านต้องการจะสอน แต่ไม่เรียนคาถาต่าง ๆ ท่านก็ต้องการจะสอน แต่ไม่เรียน ไม่ชอบเรียน ในเมื่อถูกขอร้องแบบนี้ก็จนใจนั่งนึกอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็นั่งเฉย อาตมาก็นั่งเฉย แต่ความจริงการนั่งเฉย ไม่ใช่ว่าเฉยอะไร คิดว่าจะหาทางใดเป็นที่ช่วยเหลือได้

ก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง เวลานั้นปรากฏว่า เทวดา ๕-๖ ท่าน เข้ามาพอดี มาถึงท่านก็ยืน แล้วก็ยกมือไหว้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้รับฟังและผู้อ่านได้โปรดทราบว่า นี่เป็นเรื่องนิทานนะ ท่านผู้อ่านทุกคนอย่าลืมว่านิทาน นิทานเราจะพบเทวดา พบพรหมพบใครก็ได้ทั้งหมด นิทานเสียอย่าง พบในสิ่งที่ชาวบ้านเขาพบไม่ได้ ก็พบได้ เพราะมันเป็นนิทาน

ก็บังเอิญมีเทวดา ๕ ท่านมาถึงยกมือไหว้ ๕ ท่านนี้เป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหมด คือ ท่านธตรฐ ท่านวิรุฬหก ท่านวิรูปักข์ ท่านเวสสุวัณ และกรมหลวงชุมพรฯ เวลานั้น กรมหลวงชุมพรฯ ยังเป็นอินทกะ ยังไม่ได้เป็นท้าววิรุฬหก

ท่านมายกมือไหว้ก็เลยถามท่านเวสสุวัณว่า เขาต้องการให้ช่วยเหลือแบบนี้ จะมีทางช่วยเหลือไหม
ท่านเวสสุวัณท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่าผมขอตอบแทนอีก ๔ คน ๕ คนทั้งผม ท่านบอกว่าช่วยเหลือได้

เมื่อถามว่าจะช่วยเหลืออย่างไร มีทางขอให้แนะนำด้วย
ท่านก็ชี้ไปที่กรมหลวงชุมพรฯ เวลานั้น กรมหลวงชุมพรฯ ท่านมาใหม่ ๆ ท่านแต่งตัวเป็นเทวดา มีชฎาแหลมเปี๊ยบแพรวพราวเป็นระยับ

พอท่านเวสสุวัณชี้บอกว่านี่คือกรมหลวงชุมพรฯ เท่านั้นแหละ ภาพเทวดาก็หายไป ภาพยศพลเรือเอกก็ปรากฏขึ้น เป็นพลเรือเอกแห่งราชนาวีไทย
ท่านยิ้ม ท่านก็ยกมือไหว้ ถามท่านว่า จะเมตตาช่วยได้ไหม

ท่านบอกว่าได้ขอรับ ที่มานี้ตั้งใจจะมาช่วยก็เห็นว่าพระคุณเจ้าหมดทางแล้ว อึดอัดเต็มที จึงได้ขอร้องท่านมหาราชทั้ง ๔ ให้มาด้วยกัน เป็นพยานกัน แล้วก็ช่วยกัน ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ทั้ง ๔ องค์นี้ ผมก็พร้อมช่วยขอรับ แต่หน้าที่เด่นจริง ๆ โดยเฉพาะให้เป็นหน้าที่ของกรมหลวงชุมพรฯ

ก็ถามท่านว่า วิธีจะช่วยทำอย่างไร
ท่านบอกว่า วิธีช่วยผมก็แบบธรรมดา ๆ แหละครับ แต่ว่าคนนี้เป็นนายตำรวจ และก็มีเงินเดือน ต้องขอเต็มอัตรา
ถามว่าท่านจะขออะไร คิดว่าจะขอเงินขอทองเขา

ท่านบอกว่า ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่ทอง ไม่ใช่ของวิเศษ คือ
๑) ข้าวปากหม้อ ๑ ถ้วย
๒) หัวหมู ๑ หัว (เป็นนายตำรวจ เป็นข้าราชการ อย่าลืมนะ และเป็นคนชั้นดี มีสตางค์ ตั้งแต่คหบดีขึ้นไป ต้องใช้ตามนี้นะ หลังจากนั้น เวลานั้น ท่านยังเป็นอินทกะอยู่ ท่านยังชอบ ไอ้เป้ แต่เวลานี้เลิกแล้วนะ)

ท่านก็บอกต่อไปก็มี ไอ้เป้ ๑ ไห ท่านผู้ฟังทราบไหม ไอ้เป้คืออะไร บางท่านจะสงสัยว่าไอ้เป้คืออะไร ถ้าไอ้เป้มี แล้วอีเป้มีไหม ก็ขอตอบว่า ไอ้เป้คือน้ำตาลเมา ถ้าผู้ชายดื่มเซ เขาเรียกว่าไอ้เป้ ถ้าผู้หญิงดื่มเข้าไปเซ ก็เรียกว่าอีเป้ ต้องมีทั้งอีและไอ้ ไม่เช่นนั้นก็คอนกัน

ก็รวมความว่าต้องการ ไอ้เป้ ๑ ไห แล้วก็ปลาหมึกปิ้งสัก ๑ ตัวกับไอ้เป้ ท่านก็หยุด ว่าตามปกติจริง เขาบนกันเท่านี้ บางคนก็บนด้วย ไอ้เป้ อย่างเดียว
ท่านก็บอกว่าอีก ๒ อย่างนี่ผมก็ชอบ แต่ไม่มีคนเขาให้
ถามท่านว่าอะไร

ท่านบอกว่าของหวาน คือทองหยิบ ฝอยทอง และของคาวอีกอย่างหนึ่งนั่นคือขนมจีน ที่เขามีใส่หัวปลีหั่นและก็มีพริกเผา ก็ได้ความว่า นั่นคือขนมจีนน้ำพริก
ท่านก็บอก ขอแถมเขาเท่านี้จะได้ไหม

ก็เลยถามเขา ถามว่าคุณ เวลานี้เทวดาท่าน ๕ องค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านกรมหลวงชุมพรฯ ท่านรับอาสาว่าจะช่วย ท่านมหาราชทั้ง ๔ ก็รับช่วย แต่ให้เป็นหน้าที่ของกรมหลวงชุมพรฯ ท่านขอตามนี้

ก็เป็นอันว่า นายตำรวจที่มานั้นท่านก็ได้ทิพจักขุญาณ (ไม่ใช่เล่นนะ) ทิพจักขุญาณของท่าน แจ่มใสดีมาก
ท่านก็บอกว่า ได้ขอรับ แล้วท่านก็นั่งนิ่งประเดี๋ยว
ท่านบอกว่า ท่านเห็นแล้ว เห็นเทวดาที่มาทั้ง ๕ ท่านแล้ว และผมก็ขอร้องแล้ว

วิธีขอร้องบรรดาท่านพุทธบริษัท เขาไม่ต้องใช้เสียงกัน ใช้พูดด้วยใจ การพูดกับผี การพูดกับเทวดาไม่ต้องใช้ปาก ไม่ต้องเสียงออกจากปาก ใช้ความรู้สึกของใจใช้ได้เลย
ท่านบอกว่าขอร้องท่านแล้ว เวลานี้ท่านรับ ผมจะจัดการตามนั้นครับ

และท่านก็ถามว่าจะไปบนที่ไหน
ก็บอกว่าตามใจเถิด รูปปั้นกรมหลวงชุมพรฯ ก็มี รูปหล่อก็มี ที่ไหนก็ได้ ตามใจคุณ คุณจะบนที่ไหนเป็นหน้าที่ของคุณ ให้หาของง่าย ๆ ก็แล้วกัน
เธอก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นผมก็กลับไปบนที่กรุงเทพฯ ในที่สุดก็ไปบน

เวลาบน อย่าลืม บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องมีของครบ ถวายก่อน แล้วก็กราบเรียนท่านบอกว่า ถ้าสำเร็จตามความประสงค์ ตามที่ต้องการ ก็จะถวายอีกครั้งหนึ่งเป็นการแก้บน ก็รวมความว่า นายตำรวจคนนั้นก็รีบกลับ วันรุ่งขึ้นตอนเช้าของก็ครบ เพราะในกรุงเทพฯ หาของง่าย บนทันที และก็ถวายทันที

ต่อมาได้ทราบจากนายตำรวจท่านนี้ ท่านมาหา ท่านบอกว่า เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นพิเศษขอรับ เมื่อบนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็ไปที่ทำงาน ไปพบหน้าผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ก็คิดว่า วันนี้ท่านคงสั่งขังแน่ เพราะเป็นกำหนดวัน พอขึ้นไปแล้วก็ทำความเคารพตามปกติ

แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ที่ฟังเสียงท่านพูดออกมาครั้งแรก ท่านเรียกชื่อ (แต่อาตมาจะไม่พูดถึงชื่อ) ว่าเอ็งจงกลับบ้านได้ ฉันขังแกตามกำหนดเท่านี้ แต่ว่าจะไม่ขังตัว จะขังแต่ชื่อ ภายในกำหนดเท่านี้ เอ็งจงอย่ามาที่ทำงานนะ ถือว่าถูกขังไปแล้ว ประเดี๋ยวฉันจะถูกด่า

มาทราบจากนายตำรวจทีหลัง พ.ต.ท.ไพโรจน์ ท่านมาบอกว่า การขังนายตำรวจขอรับ โดยมากเขาไม่ค่อยขังกัน เขาให้เกียรติ เขามักจะให้เป็นการขังอยู่ที่บ้าน ขังแต่ชื่อกัน ถ้าไม่เต็มที่จริง ๆ เขาไม่ขัง (มาทราบทีหลังนะ)
เป็นอันว่า ท่านผู้นี้ก็ไม่ต้องถูกขัง และในที่สุดของวัน เมื่อครบกำหนดแล้วปรากฏว่าท่านก็แก้บน การแก้บนของท่านก็เลยบอกว่า ขอให้แก้บนที่สัตหีบ

ท่านก็ว่าขนมจีนเป็นหาบ ๆ ไปเลย หัวหมูหลายหัว ไก่หลายตัว องค์เป้ ว่ากันเป็นหลาย ๆ ไห และก็ขนมจีนน้ำพริก โอ้ย! ทุกอย่าง เป็นอันว่า ว่ากันเต็มที่ ถวายเต็มศักดิ์ศรีหรือเต็มความดีของกรมหลวงชุมพรฯ ก็อิ่มกันเป็นแถว ๆ

นี่แหละบรรดาท่านผู้ฟัง แต่ว่านายตำรวจคนนี้ ท่านเป็นช่างเขียน เขียนออกแบบ ระหว่างที่ถูกขังชื่อก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำงาน ก็เป็นคนว่างงาน แต่ว่างจากงานราชการ แต่งานส่วนตัวของท่านไม่ว่าง ท่านเขียนออกแบบรวยไปเลย มันเป็นงานส่วนตัวโดยเฉพาะ

เป็นอันว่า นี่การช่วยตำรวจนะ เหลือเวลาอีก ๑๐ นาที ขอต่ออีกนิดหนึ่ง จะได้จบเรื่องกรมหลวงชุมพรฯ เรื่องกรมหลวงชุมพรฯ มีมาก แต่ว่าขอยับยั้งไว้เพียงเท่านี้นะ เอาอีกนิดหนึ่ง ตอนนี้มาก็เป็นตอนที่ กรมหลวงชุมพรฯ ถูกโกง

◄ll กลับสู่สารบัญ



13
กรมหลวงชุมพรฯ ถูกโกง


กรมหลวงชุมพรฯ ถูกโกง ไปถูกโกงที่นี่เอง ไม่ยาก แต่ความจริงเรื่องมีมากของดเอาแค่นี้ ถูกโกงเพราะ ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เขตวัดปากคลองมะขามเฒ่า

ตอนนั้นอาตมาอยู่ที่นั่น หญิงคนนี้ปรากฏว่าลูกชายหาย ลูกชายเป็นวัยรุ่น อายุประมาณ ๑๘ ปี หายไป ๓ ปี ไม่ยอมกลับบ้าน เธอก็มาขอร้องว่า อยากจะให้ลูกชายกลับ อาตมาก็เป็นเพียงตัวแทน เป็นคนบอก

ตามที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อักขาตาโร ตถาคตา” ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก บอกแล้วเธอทำได้ก็ได้ ไม่ได้ก็เป็นเรื่องของเธอ แนะนำไปก็เลยแนะนำบอกว่า คนหายนี่โยม เขาก็อาศัยกรมหลวงชุมพรฯ กันนะ ถ้าบนกรมหลวงชุมพรฯ แล้ว ก็มีสิทธิ์ที่จะมากัน

แต่ว่าจะมาหรือไม่มาอาตมาก็ไม่ยืนยัน เวลาบนโยมก็ใช้ของสักหน่อยหนึ่ง ถ้ามาจริง ๆ ก็ใช้ของมาก ๆ ก็แนะนำตามที่เขาทำกัน แต่ว่าเวลานั้น กรมหลวงชุมพรฯ ยังนิยมไอ้เป้อยู่ ยังเรียกไอ้เป้อยู่

ก็เป็นอันว่าหญิงผู้นั้นก็บน เวลาบนก็ใช้ไอ้เป้ ๑ จอก และกราบเรียนกับท่านในเวลาบนว่า ถ้าลูกชายกลับมา จะถวายไอ้เป้ ๓ ไห (นั่นแน่ ใจป้ำ) เมื่อบนเสร็จปรากฏว่า วันที่ ๓ ลูกชายมาถึงบ้าน วันที่ ๓ ของลูกชายมา

เธอก็แก้บน อย่าลืมว่า เวลาบน เธอบนบอกไอ้เป้ ๓ ไห แต่เวลาแก้บนจริง ๆ บรรดาท่านผู้ฟังให้สังเกตเรื่องของคนแก้บนจริง ๆ ปรากฏว่า เอาไหมาตั้ง ๓ ไห แต่เอาไอ้เป้ใส่ไปไหละจอก

อย่างนี้เขาเรียกว่า เทวดาถูกมนุษย์โกง แล้วก็แก้บนท่าน เมื่อแก้บนเสร็จ ปรากฏว่าอยู่เวลาอีก ๓ วัน ได้จอกละวัน ลูกชายหายไปตามเดิม เมื่อลูกชายหายไปหลายวัน ๑๐ วันกว่า ตามก็ไม่พบ ถามใครก็ไม่พบ

ในที่สุด เธอก็มาถามอาตมาอีกว่า ขณะที่บนกรมหลวงชุมพรฯ บนแล้ว ลูกชายก็มาแล้ว วันที่ ๓ ก็มาถึงบ้าน แต่ว่าพออยู่บ้านได้ ๓ วัน ฉันหาของได้ ฉันก็แก้บน เมื่อแก้บนได้ ๓ วัน ลูกชายหายไปอีก หายไป ๑๐ วันกว่าแล้ว ตามไม่พบ อยากจะทราบว่าถ้าจะตามใหม่ เธอจะมาไหม

ก็ถามเธอว่าเวลาเธอบน บนอะไร
เธอก็เล่าให้ฟังแล้ว เวลาแก้ เวลาแก้เธอก็บอกว่า มีคนข้างบ้านเขามาแนะนำ คำว่า ไห ให้เอาไหมาตั้ง แต่ว่าของไม่จำเป็นต้องเต็มไห เอาใส่ไหละจอกก็ใช้ได้ ถือว่า ๑ ไห มันเต็มไห หรือไม่เต็มไห ก็ของในไห เธอก็ทำตามนั้น และในที่สุดลูกชายก็หายไป

ก็เลยบอกเธอว่า นี่โยมมันไม่ไหวเสียแล้ว เป็นเหตุเกินวิสัย ทั้งนี้ เพราะอะไร เพราะว่าเราบน ๑ ไห หรือ ๓ ไห แต่ว่าใช้ไหละจอก ปริมาณมันไม่ได้กัน อาตมาก็ไม่มีหน้าที่บังคับเทวดา เทวดาก็ไม่ใช่ลูกน้องอาตมา

อย่างนั้นขอโยมได้โปรดทราบว่า ต่อแต่นี้ไปให้เป็นภาระของโยม อาตมาไม่รับรองเด็กจะมาหรือไม่มา จะบนท่าน ท่านจะรับหรือไม่รับ ก็เป็นหน้าที่ของโยม ก็เป็นอันว่าเลิกกัน

นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททุกท่าน นอกจากนี้ก็มีอยู่เยอะ เป็นอันว่า การแก้บน กรมหลวงชุมพรฯ แก้กันเกือบทุกวัน แล้วก็มีคนมาขอร้องให้ติดต่อกรมหลวงชุมพรฯ ทุกวัน แต่ก็เป็นความดีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ทุกคนที่เขาทำกัน ก็ไม่มีใครเขาโกงกรมหลวงชุมพรฯ มีโกงอยู่รายเดียว

ต่อมาเมื่อท่าน วิรุฬหก ที่เป็นเจ้านายโดยตรง ท่านเลื่อนไปอยู่พรหม กรมหลวงชุมพรฯ เป็นอินทกะ เป็นเทวดาเตรียมการ อินทกะนี่มีพันท่าน ก็ถูกเลือกให้เป็นวิรุฬหก

หลังจากเป็นเทวดาชั้นวิรุฬหกแล้ว เป็นเจ้านายเขา เป็นท้าวมหาราช ท่านก็มารายงานให้ทราบว่า เวลานี้ผมเลื่อนเป็นวิรุฬหกแล้วครับ เป็นผู้บังคับบัญชาใหญ่ ต่อไป ถ้าใครเขาจะบนผม การบนเหล้าก็ดี บนน้ำขาวก็ดี บนไอ้เป้หรือน้ำตาลเมาก็ดี ของดทั้งหมด ให้ใช้แต่ของบนธรรมดา ๆ

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า เวลาก็ยังเหลือเยอะก็มาคุยกัน เป็นอันว่าเรื่องราวของกรมหลวงชุมพรฯ ก็ขอยับยั้งเพียงเท่านี้ เรื่องเทวดายังมีอีกเยอะ เรื่องผีก็ยังมีอีก ยังต่อกันเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็ถือว่าจบเล่มที่ ๕ เป็นตอนสุดท้ายของเล่มที่ ๕ ในเมื่อเวลาเหลือประมาณ ๓ นาทีก็คุยกัน

ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน หรือท่านผู้ฟังทุกคนอยากจะเป็นคนดี มีความสุข ให้ปฏิบัติใน สังคหวัตถุ ๔ ประการ สังคหวัตถุ คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ธรรมะส่วนนี้ไม่ขัดคอกับคนขี้เมา คนกินเหล้าก็ปฏิบัติได้ คนเจ้าชู้ก็ปฏิบัติได้ แต่ทว่าบังเอิญปฏิบัติไปแล้วเข้าถึงความดี เขาก็ต้องเลิกเหล้า เพราะคนดีก็เลิกเจ้าชู้

นี่เป็นเรื่องธรรมดา ยังไม่ห้ามในตอนต้น กินเหล้าก็ปฏิบัติได้ คนเจ้าชู้ก็ปฏิบัติได้ ความจริง ศีลมี ๕ ข้อ ทำไมชอบพูด ๒ ข้อ ก็เพราะว่า ๒ ข้อนี้ เวลานี้ยังเป็นสมัยนิยม คือเป็นศีลที่บุคคลต้องการจะละเมิดอย่าง กาเมสุมิจฉาจาร เวลานี้สะดวก หาไม่ยาก

และ สุราและเมรัย ก็สะดวกหาไม่ยาก อาตมาก็ไม่ตำหนิ เป็นของธรรมดา เพราะเป็นของที่ทุกคนชอบ ของที่ทุกคนรัก แต่ต้องการเอาธรรมปฏิบัติให้ดี ก็เอา ๔ อย่างคือ

๑. ทาน การให้ รู้จักสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ตามสมควรอย่าให้หนักนัก เอาแค่พอดี พอควร เราให้เขาเขารักเรา เขาให้เราเรารักเขา ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ คือเมื่อเรามีคนรัก เราก็มีความสุข

๒. ปิยวาจา คือพูดดี พูดเป็นที่ถูกใจของบุคคลผู้รับฟัง เราพูดดี เขาชอบ เขาพูดดีเราชอบ เมื่อต่างคนต่างชอบกันแบบนี้ มันก็เป็นความสุข มีแต่ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน มีความรักกัน

๓. อัตถจริยา การช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน ถ้าเขาทำไม่ไหว เราช่วยเขาเขาก็รักเรา ถ้าเราทำไม่ไหว เขาช่วย เขาช่วยเรา เราก็รักเขา รวมความว่า การช่วยงานซึ่งกันและกันตามกำลัง ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรักเกิดความสุข

๔. สมานัตตตา การไม่ถือตัวไม่ถือตน จะไปที่ไหนก็ตาม วางตนเสมอเขา ถือว่าเป็นเพื่อน เฮไหนไป ฮาไหนมา ทำอะไรก็ทำด้วยกัน สนุกก็สนุกด้วยกัน ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ไม่ถือฐานะ ไม่ถือตระกูล ไม่ถือหลักความรู้ว่าฉันรู้ดีกว่า ถ้าถือแบบนั้นมันอด เป็นที่เกลียดของคน รวมความว่าการไม่ถือตัวไม่ถือตน ก็เป็นปัจจัยให้เกิดความรัก ในเมื่อคนรักมาก เราก็มีความสุข

ฉะนั้น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกคนที่นับถือพระพุทธศาสนา อันนี้เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สอนไว้สำหรับฆราวาสจะได้ปฏิบัติ เพื่อความสุขของคน ถ้าอยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข จะไปไหนก็มีความสุข เพราะมีคนรัก มีคนรักมากเท่าไรเราก็มีความสุขมากเท่านั้น ขอย้อนอีกทีหนึ่งว่าการปฏิบัติ ๔ ประการคือ

๑. รู้จักสงเคราะห์ซึ่งกันและกันด้วยวัตถุ คือการให้
๒. พูดดี
๓. ช่วยเหลือการงาน
๔. ไม่ถือตัว ไม่ถือตน

นี่แหละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ถ้าทุกคนต้องการความสุขจริงให้ปฏิบัติในสังคหวัตถุทั้ง ๔ ประการนี้ให้ครบถ้วน ถ้าท่านปฏิบัติได้ครบถ้วนจริง ๆ ขอยืนยันว่า ตายจากชาตินี้ไปแล้วจะไม่เป็นคนจน มีแต่ร่ำรวยตลอดทุกชาติจนกว่าจะเข้านิพพาน

ด้วยกำลังของทาน
๒. ปิยวาจา ท่านเกิดทุกชาติจะมีวาจาเป็นทิพย์ พูดอะไรใครก็เชื่อ
๓. การช่วยเหลือการงาน เป็นเหตุบันดาลความสุข เปลื้องความทุกข์ให้เขา เราเกิดไปทุกชาติ การงานจะสะดวก รูปร่างหน้าตาจะสวย
๔. ไม่ถือตัวไม่ถือตน จะเป็นคนมีอำนาจวาสนาสูง และเป็นที่ยอมรับนับถือของคนทุกคน

เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ชักจะกลั้วแล้ว เพราะว่าเวลาหมด เกือบจะไม่ทันเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

((( โปรดติดตามเล่มต่อไป )))

สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top