บอกเล่าบรรยากาศวันงาน 28 มกราคม 2555
.....ทางทีมงานฯ ทุกคนขออนุโมทนาลูกหลานของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ทุกคน ที่ได้เดินทางมาทั่วสารทิศ ไม่สามารถจะที่จะจำแนกแจกแจงว่ามากันจากที่ไหนบ้าง
เพียงแค่มองเห็นหน้ากันต่างก็ยิ้มให้กัน เพราะในใจรู้ว่าเราเป็นลูกพ่อเดียวกัน แต่ถ้าได้รู้จักกันเราก็เข้าไปทักทายด้วยความดีใจ
ส่วนที่นัดหมายก็ได้พบกันตามความตั้งใจ ฉะนั้นงานพิธีอัญเชิญพระศพของพ่อในครั้งนี้ แม้จะไกลแสนไกลแค่ไหน เราก็มาพบกันในวันนี้ และวินาทีที่สำคัญนี้
ที่จะได้อยู่ใกล้ชิดสังขารของท่าน นับตั้งแต่วันที่ท่านจากไปเกือบ 20 ปีมาแล้ว ก็ได้แต่เฝ้ามองดูอยู่ห่างไกล
ด้วยกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากเข้าไป ทำให้สังขารของพ่อต้องถูกแยกย้ายอย่างกระทันหัน หลวงพ่อเจ้าคุณได้เล่าถึงตอนนี้ พร้อมกับซับน้ำตาไปด้วยว่า
ความทุกข์ยากลำบากในขณะนั้น แม้ดอกไม้ธูปเทียนจะขอขมาครูบาอาจารย์ก็ยังหาไม่ทัน หันไปมองเกือบทุกคนที่ได้ฟัง ต่างก็ต้องยกมือเช็ดน้ำตาไปด้วย
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ภัยจากน้ำที่ได้ทำให้ต้องย้ายสรีระศพของท่านไปอยู่ที่ตึกขาวประมาณ 3-4 เดือน พวกเราก็ต้องขอขอบใจ "น้องน้ำ"
ที่ได้มีโอกาสจัดขบวนแห่สังขารของท่านกลับคืนสู่วิหารแก้วอย่างสมเกียรติคุณ
ก่อนงาน ณ วัดท่าซุง ไม่มีใครว่าง ทั้งพระและญาติโยมต่างช่วยกันจัดงานภายในวิหารแก้ว และบริเวณวัดทั้งหมด โดยเฉพาะเครื่องสักการบูชาที่จะเข้าขบวนแห่
มีคณะเจ้าหน้าที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม และเจ้าหน้าที่มณฑปพระศรีอาริย์ ต่างก็ได้ช่วยกันจัดเตรียมอยู่เป็นเวลาหลายวัน ขบวนแห่จึงได้ออกมาดูสวยงาม
เพราะว่าหลวงพี่ชัยวัฒน์ ท่านได้รับมอบหน้าที่ให้เข้ามาช่วยในด้านนี้
ทราบข่าวว่าเดิมที ทางวัดจะใช้รถปิ๊คอัพอัญเชิญสรีระศพของท่าน ต่อมาพระเจ้าหน้าที่ อันมี หลวงพี่พระปลัดสมนึก, หลวงพี่สมุห์มงคลเวช, หลวงพี่ใบฏีกาพิษณุ,
หลวงพี่บุญชู หลวงพี่ทนงศักดิ์ หลวงพี่ชิดชนก หลวงพี่ชูชัย ได้เสนอหลวงพ่อเจ้าคุณขอซ่อมยานพาหนะ (คล้ายราชรถ) ที่เคยอัญเชิญสรีระศพของท่านเมื่อปี 2536
จากศาลา 12 ไร่มาที่วิหารแก้วร้อยเมตร หลังจากจัดงานบำเพ็ญกุศลครบ 100 วันแล้ว จากนั้นอาจารย์จากโรงเรียนพระสุธรรมฯ ช่วยกันผูกผ้าและจัดดอกไม้
เพราะฉะนั้น ขบวนแห่ในครั้งนี้จึงสวยงามอลังการ โดยเฉพาะขบวนที่ 1 เป็นการอัญเชิญป้ายอักษร "คณะศิษย์พระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ"
ถือป้ายโดยคณะนักเรียนพระสุธรรมฯ ตามด้วยชุดนางฟ้าโปรยดอกไม้อีก 20 คน ต่อจากนั้นจะเป็นผู้อัญเชิญเสลี่ยงบายศรี และเสลี่ยงสมเด็จองค์ปัจจุบัน
ผู้ถือเสลี่ยงคณะคุณวัฒน์ จากกาญจนบุรี พร้อมกับขบวนธงชาติและธงธรรมจักรขนาบอยู่สองข้างขบวน ซึ่งมีเด็กนักเรียน รร.พระสุธรรมฯ ถือธงอยู่ด้านขบวน
ส่วนหลังขบวนก็มีญาติโยมหลายท่าน
เดิมทีหลวงพี่ชัยวัฒน์จะจัดให้ "คณะศิษย์อาวุโส" เป็นผู้ถือพานพุ่มอยู่แถวหน้า เช่นคณะบ้านก๋ง คณะโคราช, คณะตาพระยา, คณะสุราษฎร์, คณะเชียงใหม่, พะเยา,
เชียงราย, พิษณุโลก และคณะป่าละอู เป็นต้น แต่เจ้าหน้าที่จัดขบวนคือ "คณะอาจารย์วิชชุ" ไม่สามารถจัดได้ทันเวลา
จึงต้องให้คณะเจ้าหน้าที่วิหารสมเด็จองค์ปฐมและพระศรีอาริย์ อยู่หน้าขบวน เพื่อจะได้เข้าไปช่วยจัดเครื่องบูชาในวิหารแก้วได้ทันท่วงที
งานนี้ได้มีการวางแผนกัน มีการซักซ้อมทั้งวงโยธวาทิต ขบวนตุง ขบวนธง เดินกันอยู่หลายวัน แต่พอถึงวันจริงก็ไม่สามารถจะทำได้ตามเป้าหมาย
เพราะคนมามากเหลือเกิน จนกระทั่งหลวงพ่อเจ้าคุณท่านได้พูดกับหลวงพี่ชัยวัฒน์ว่า "เกินความคาดหมายจริงๆ"
ต่อมาเป็นขบวนที่ 2 ถือว่าเป็นขบวนหลวง แถวหน้าเป็นขบวนฟ้อนรำชุด "พุทธานุภาพ" จำนวน 6 คน ต่อด้วยขบวนเสี่ยงบายศรี และเสลี่ยงสมเด็จองค์ปฐม
ประทับนั่งบนดอกบัวแก้ว ภายใต้ฉัตรแก้วที่สวยงาม ผู้ถือบายศรีและสมเด็จองค์ปฐมคือ คณะแปดริ้ว (คุณกุ้ง และคุณเอก) พร้อมด้วยคณะอีก 40-50 คน
ต่างก็ลงทุนตัดชุดขาวอย่างสวยงาม ที่เรียกว่า "ชุดไทยอัมรินทร์" ช่วยกันเดินถือร่ม พัดหางนกยูง และตุงเป็นต้น
ส่วนคุณปิราณี (ช่วยซ่อมปิดทองและปิดเพชรรูปหลวงพ่อ และพานพุ่มเพชร) พร้อมด้วยคุณบี๋ ต่างก็แต่งชุดไทยด้วยผ้าไหมเช่นกันเดียวกับหลายๆ
ท่านที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้หมดทุกคน บางท่านก็ทำบายศรีมาเอง บ้างก็ทำพานธูปเทียนมามาเข้าขบวนแห่ด้วยอย่างสวยงาม
สำหรับสัปทนและชุดราชปะแตนของเด็กนักเรียน คุณรัตนา ชินบุตรานนท์ เจ้าของร่มลีโอ (ไทยโอเชื่ยน) พร้อมด้วยคุณสุชัย (ท้ง) ชินบุตรานนท์
เป็นผู้จัดทำถวายอย่างสวยงามยิ่ง งานนี้มีคณะศิษย์ช่วยกันหลายด้าน จนยากที่เอ่ยถึงได้หมดทุกท่าน ต่างก็ต้องจารึกไว้อยู่ในความทรงจำ
นับเป็นประวัติศาสตร์ของชีวิตที่ได้ร่วมงานกันในครั้งนี้
ครั้นถึงเวลา 07.30 น. คณะพระภิกษุจำนวน 12 รูป มีหน้าที่อัญเชิญพระศพหลวงพ่อจากตึกขาวชั้น 4 ลงมาที่ชั้นล่าง เพื่อประดิษฐานบนฐานโลงมุก
(เดิมเคยใช้ในงานบำเพ็ญกุศล 100 วันที่ศาลา 12 ไร่) คณะจเรเป็นผู้ช่วยเหลือ จากนั้นได้อัญเชิญพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มาที่ราชรถ โดยมีคุณพี่ประสงค์ จากภูเก็ต
ช่วยกางกั้นด้วยสัปทนสีทองยอดเพชร หลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ และหลวงพ่อโอ หลวงพี่อาจินต์ หลวงพี่ปลัดสมนึก และพระภิกษุเจ้าหน้าที่อีกหลายรูป
ต่างก็ช่วยกันอัญเชิญมาพร้อมๆ กัน
เมื่อเสร็จสิ้นการอัญเชิญพระศพหลวงพ่อมาถึงราชรถแล้ว คณะจเรจำนวน 12 คน จึงได้ลากออกมาตรงจุดศูนย์กลางลาน 25 ไร่ ท่ามกลางสายตาของคณะศิษย์ทั้งหลาย
ที่กำลังจัดขบวนแถวรออยู่ ซึ่งมีผู้คนเต็มลาน 25 ไร่ ส่วนใหญ่แต่งกายชุดขาวตามที่นัดหมายกัน ราชรถเคลื่อนออกมาช้าๆ โดยมีขบวนตุงใหญ่ 2 แถว
เป็นรูปพระพุทธเจ้าประทับยืนสีทอง มีพื้นผ้าเป็นสีม่วงเข้ม จำนวน 10 ตุง และตุงอีกด้านหนึ่งมีพื้นขาวเป็นรูปแจกันดอกไม้สีทอง จำนวน 10 ตุงเช่นกัน
ครั้นได้เวลา 08.00 น. หลวงพี่ชัยวัฒน์ และหลวงพี่บุญชู จึงได้ให้สัญญาณเริ่มเคลื่อนขบวนที่ 1 โดยมีวงโยธวาทิต เดินนำขบวนออกไปทางด้านปราสาททองคำ
แล้วเลี้ยวซ้ายออกทาง 12 ไร่ ขบวนที่ 1 ยาวเหยียด นำด้วยขบวนธงชาติและธงธรรมจักร อันมีเสลี่ยงบายศรี เสลี่ยงสมเด็จองค์ปัจจุบัน, รูปท่านปู่-ท่านย่า,
รูปท้าวมหาราช เป็นต้น ทุกคนยิ้มแย้มสดใส ทั้งๆ ที่เพิ่งเดินทางมาถึงวัดตั้งแต่เช้ามืด ส่วนใหญ่จะมาค้างคืนกันก่อน
ต่อมาเป็นขบวนแถวที่ 2 อันมีขบวนร่มและขบวนตุงนำขบวน ซึ่งมีการถือเสลี่ยงบายศรี เสลี่ยงสมเด็จองค์ปฐม และขบวนพระสงฆ์เดินถือรูปหลวงปู่ปาน,
หลวงปู่พระสุปฏิปันโน 7 รูป, ต่อมาเป็นพัดยศ, ตราตั้ง, บาตร, จีวร และรูปหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จากนั้นเป็นขบวนพระสงฆ์วัดท่าซุง และพระอาคันตุกะ
พร้อมทั้งคณะศิษย์อาวุโส มีคณะมูลนิธิหลวงปู่ปาน-หลวงพ่อ, คณะกองทุน, คณะครูฝึก, คณะครูโรงเรียนพระสุธรรมฯ, และผู้ช่วยเหลือวัดมานาน
ในขณะที่จัดขบวนแถว ปรากฏว่ามีการยืนสลับแถวกันบ้าง แต่ทุกคนต่างก็มีอารมณ์ใจสดใส เปิดโอกาสให้ผู้จัดขบวนได้เข้ามาจัดแถวให้ถูกต้องยิ่งขึ้น
บางท่านก็เสียสละทั้งที่เป็นศิษย์อาวุโสมาก่อน นับว่ามีน้ำใจงดงามยิ่ง ไม่ถือตัวถือตนจนเกินไป สมกับเป็นผู้ใหญ่เป็นตัวอย่างที่ดีของคณะศิษย์รุ่นต่อไป
แถวหน้าคณะศิษย์อาวุโสมี ม.ล.เอื้อมสุขย์ กิติยากร, ดร.ปริญญา นุตาลัย และ ม.ล.ภาวินี สันติศิริ ทั้ง 3 ท่านเดินถือพานขอขมา
ขบวนแถวทั้งหมดเดินตามกันไปจนออกสู่ถนนใหญ่หน้าวัด โดยมีผู้คนยืนอยู่เต็มสองข้างทาง เสียงวงโยธวาทิตดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ ทุกคนเดินด้วยความปลื้มปึติ
ถึงแม้จำนวนคนจะมาก แต่พวกเราทุกคนต่างก็มีดวงใจเดียวกัน นั่นก็คืออัญเชิญร่างอันไร้วิญญาณของพ่อ เพื่อกลับคืนสู่วิหารแก้วของท่าน
ตามคำบัญชาของท่านตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ว่า หลังจากท่านมรณภาพแล้ว ให้นำสรีระศพของท่านประดิษฐานไว้ในวิหารแก้วแห่งนี้
บัดนี้พวกเราเหล่าลูกหลาน ต่างก็ได้กระทำตามโนปณิธานของท่านทุกประการ ถึงแม้การประดิษฐานอยู่ในวิหารแก้วมานานเกือบ 20 ปีแล้ว แต่ก็มีอุปสรรคด้วยอุทกภัย
พวกเราก็ไม่ย่อท้อต่างพากันซ่อมแซมฐานบุษบกและวิหารแก้วใหม่ แล้วอัญเชิญท่านกลับมาดังเดิม ขบวนแถวเดินมาถึงทางเข้าวิหารแก้ว ขบวนที่ 1 ได้แหวกแถวออก
พร้อมกับยืนหันหน้าพนมมือออก 2 แถว เพื่อต้อนรับขบวนที่ 2 ที่กำลังเดินเข้ามา
มองเห็นขบวนแถวธงชาติ และธงธรรมจักร โบกสบัดอยู่สองข้าง ขบวนตุงสองแถวเดินเข้าสู่ท่ามกลาง ทุกคนพยายามมองดูขบวนราชรถ ซึ่งมีขบวนตุงใหญ่ 2 แถวถือขนาบข้าง
ท่านรองผู้กำกับประสาท เป็นพลขับ คอยบังคับพวกมาลัยอยู่บนราชรถ เทพบุตรถือพานขอขมา แวดล้อมด้วยดอกไม้ที่ประดับหลายหลากสีอยู่บนราชรถ
มองเห็นผ้าม่านลวดลายสีทองสวยงามของพี่มายิน และกังสดาลที่แขวนอยู่บนช่อฟ้าแกว่งไกวไปมาของหลวงพี่ไพบูลย์
ขบวนราชรถเคลื่อนสู่หน้าซุ้มประตูทางเข้าวิหารแก้ว พระสงฆ์ได้อัญเชิญฐานมุกออกมา ทุกคนพยายามมองพระศพหลวงพ่อฯ อย่างใกล้ชัด โดยมีครอบแก้วใสๆ ครอบอยู่
ร่างของท่านอยู่ภายใต้ "ผ้าห่มทองคำ" นับเป็นครั้งแรกที่ได้ปกปิดสังขารของท่าน จึงมองเห็นส่วนใบหน้าและศีรษะของท่าน จะเห็นเส้นผมมีเกล็ดแก้วอยู่บางๆ
ส่วนผิวของท่านคล้ำ ปราศจากกลิ่น ทั้งๆ ที่ได้มรณภาพนานเกือบ 20 ปีแล้ว ซึ่งพระสงฆ์วัดท่าซุงได้เปลี่ยนผ้าจีวรของท่านทุกปี
คราวนี้ได้มีการเปลี่ยนผ้าจีวรให้ท่านในตอนเช้าวันที่ 27 ม.ค. 55
ระหว่างที่พระสงฆ์หามพระศพหลวงพ่อที่อยู่บนฐานมุก มีฝาครอบแก้วใส ซึ่งมีหลวงพ่อท่านเจ้าคุณ, หลวงพ่อโอ, หลวงพี่ชัยวัฒน์, หลวงพี่อาจินต์ เดินถือพานขอขมา
เดินนำหน้าเป็นสองแถวเพื่ออัญเชิญพระศพหลวงพ่อฯ กลับเข้าสู่พระวิหารแก้ว ทั้งหมดได้เดินผ่านขบวนแถวที่ยืนพนมมือยืนอยู่
ขณะนั้นวงโยธวาทิตได้บรรเลงเพลงมหาฤกษ์มหาชัย แล้วเดินขึ้นบันไดของวิหาร ผ่านแถวพระสงฆ์ที่ยืนพนมมืออยู่สองข้างประตู เข้ามาภายในวิหาร
แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปที่บุษบก
ในระหว่างนี้ เจ้าหน้าที่ได้ปิดประตูพระวิหารแก้ว แล้วเปิดโอกาสให้ญาติโยมได้เดินเข้าประตูที่สองของวิหาร ในขณะที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ทั้งหลาย
เดินเข้าไปนั่งในอาสนะที่จัดเตรียมไว้ในวิหาร เพื่อรอการอัญเชิญพระศพขึ้นประดิษฐานบนบุษบกต่อไป ในขณะนี้โคมไฟด้านในห้องบุษบกจะปิดลง
และม่านด้านหน้าบุษบกได้ปิดลงเช่นกันทั้งสามช่อง เพื่อเป็นการพลางตาชั่วขณะ แต่ทุกคนก็ยังพอมองเห็นภาพด้านในลางๆ
หลวงพี่ชัยวัฒน์ได้บรรยายว่า ขณะนี้ได้มีการอัญเชิญพระศพหลวงพ่อฯ ขึ้นไป และห่มด้วยผ้าห่มทองคำ พร้อมกับฝาครอบแก้ว จากนั้นได้ทำการรื้อนั่งร้าน
ช่วงนี้หลวงพ่อเจ้าคุณฯ ตั้งนะโม นำสวดอิติปิโส พร้อมกัน เป็นเวลาเดียวกับโคมไฟบุษบกได้เปิดขึ้น ความสว่างได้ทำให้เห็นพระสรีระศพหลวงพ่อฯ ได้ชัดเจน
มองเห็นม่านทั้งสามช่องเปิดออกพร้อมๆ กัน โดยคณะนักเรียนแต่งชุดฟ้อนรำ "พุทธานุภาพ"
นับว่าเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ เสียงสวด "ชยันโต" ดังกระหึ่มไปทั่วภายในวิหาร มองเห็นผู้คนนั่งเต็มไปหมด
โดยมีพระสงฆ์นั่งอยู่บนอาสนสงฆ์เป็นแถวยาวเหยียด เห็นบางคนซับน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ ที่เห็นงานพิธีทั้งหมดเสร็จสิ้นไปด้วยดี ไม่มีฝนฟ้าให้เป็นอุปสรรค
ภารกิจทั้งหมดสมบูรณ์แบบ ด้วยความสามัคคีอันดียิ่ง ซึ่งต้องขออนุโมทนาทุกๆ ท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
หลังจากนั้นเป็นพิธีบวงสรวง และพิธิขอขมากรรม โดยตัวแทนคณะสงฆ์ ได้แก่หลวงพี่ท่านเจ้าคุณภาวนาฯ และตัวแทนฝ่ายฆราวาสชาย คือ ดร.ปริญญา นุตาลัย ฝ่ายหญิง
ได้แก่ ม.ล.เอื้อมสุขย์ กิติยากร จากนั้นก็เปิดโอกาสให้ทุกคนได้นำเครื่องสักการบูชาเข้าไปถวายวางไว้ที่บนโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้
ภาพ...ขบวนแห่อัญเชิญพระสรีระศพหลวงพ่อกลับวิหารแก้ว
ภาพ/สไลน์ภาพ...งานวันที่ 28 มกราคม 2555 วันมหามงคลยิ่ง
ภาพ...ตั้งขบวนอัญเชิญหลวงพ่อสู้วิหารแก้ว 100 เมตร
เตรียมจัดตั้งขบวนแห่อัญเชิญ |
อัญเชิญเข้าสู่วิหารแก้ว
|
ภาพ...ขบวนแห่อัญเชิญพระศพหลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
เริ่มเคลื่อนขบวนออกจากตึกขาว |
ถึง...มหาวิหารแก้ว 100 เมตร
|
ภาพ...พระภิกษุสงฆ์ สวดธัมมนิยาม ถวายหลวงพ่อ ที่วิหารแก้ว 100 เมตร
ร่วมกันสวดธัมมนิยาม |
หลวงพ่อเลี้ยงอาหารฟรี
|
◄ll กลับสู่สารบัญ
|