Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 8/11/10 at 16:19 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ (ตอนที่ 1)





ลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ


จัดพิมพ์โดย..คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )


สารบัญ

1.
ท่านอาจารย์สุรินทร์
2. ท่านจิตสีโล
3. พระมหาวิจุล ปิยภาณี
4. ท่านปรีชา ทรงธรรม
5. ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จ
6. หลวงพี่
7. คุณมหาวิจิตร
8. พระครูปัญญาโสภิต
9. คุณอาจินต์ และคณะธัมมวิโมกข์
10. คุณมหาถวัลย์ และญาติโยม
11. คณะคุณมหาถวัลย์ ,ลูกมหา และลูกๆทุกคน
12. ปรารภถึงท่านผู้มีความดี
13. ลูกตุ๋ย และอาทร
14. ลูกตุ๋ย
15. ลูกตุ๋ย (๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๑)
16. ลูกรักทั้งสอง
17. ลูกตุ๋ย(๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๒)
18. ลูกทั้งสอง(๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๔)
19. ลูกทั้งสอง หลาน และโยมหญิง(๒๑ มกราคม ๒๕๑๕)
20. ลูกทั้งสอง และโยมหญิง ตลอดจนหลานๆ ที่รัก(๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๕)
21. ลูกทั้งสอง(๑๔ สิงหาคม ๒๕๑๕)
22. ลูกตุ๋ยและอาทร(๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๖)
23. ลูกทั้งสอง(๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๖)


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/11/10 at 16:21 [ QUOTE ]


☺....ทางทีมงานฯ ขอเสนอข้อมูลที่นับวันจะหายาก นั่นก็คือ "จดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ" ที่ท่านได้ตอบกับบุคคลต่างๆ ที่เคารพนับถือท่าน สมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่เจริญ จำเป็นต้องอาศัยการโต้ตอบทางจดหมาย นับว่าดีที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจะเป็นการตอบด้วยตนเองของหลวงพ่อฯ ต้นฉบับจะเป็นการพิมพ์ดีดของท่านเอง สมัยก่อนในห้องส่วนองค์ของท่านที่วัดท่าซุง จะมีเครื่องพิมพ์ดีดวางอยู่ นั่นคือเป็นแหล่งที่มาของหลักฐานต่างๆ เหล่านี้

......ด้วยเหตุนี้ ทางทีมงานฯ ขอขอบคุณและอนุโมทนาในความวิริยะอุตสาหะของ คุณ อินทิรา สังขพิทักษ์ และคุณ มาลิดา ปานทวีเดช ที่ได้ใช้เวลาว่างจากงานประจำ แล้วช่วยพิมพ์ส่งมาให้ลงให้อ่านกันเป็นตอนๆ หวังว่าผู้ชมทางเว็บไซด์วัดท่าซุงทุกท่าน คงจะได้ความรอบรู้และเข้าถึงลีลาการตอบจดหมายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้เป็นอย่างดี จดหมายฉบับแรกท่านยังอยู่ที่วัดปากคลองฯ จ.ชัยนาท ตอบให้แก่ ท่านพระครูสุรินทร์ วัดสุขุมาราม อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร




1

ประมวลจดหมายจากหลวงพ่อฯ




วัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท

๑๔ สิงหาคม ๒๕๐๙

เรียน ท่านอาจารย์สุรินทร์ ที่รัก

จดหมายของท่านอาจารย์ ลงวันที่ ๗ สิงหาฯ ผมได้รับแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๓ สิงหาฯ รู้สึกว่าจดหมายที่มาหาผมนี้จะใจเย็นไปสักหน่อย ขอบใจที่กรุณาชมมา แต่ต่อไปอย่าใช้คำชมเชยมาเลยครับ เพราะคำชมกับผมทำหนังสือหย่ากันเสียแล้ว

ทั้งนี้ เป็นเพราะคำชมหรือสรรเสริญนี้ มันเคยทรยศเอากับผมมาหลายพันชาติเต็มทีแล้ว ไปเอากับมันด้วยคราวใด มันเป็นดึงลงอบายภูมิทุกคราว คิดไว้ว่าจะไม่ขอคบกับมัน แต่ถ้าใครชมหากผู้นั้นไม่ชอบพอรักใคร่กันจริงแล้ว ผมก็ยิ้มอย่างพยายามยิ้มให้ผู้ชมกันเก้อ

หากท่านผู้ชมเป็นคนประเภทกันเองแล้ว ก็บอกตรงๆ ว่า ไม่ชอบให้ใครชม และก็ไม่นิยมนักติ เพราะทั้งสองประการนี้เป็นโลกธรรม เป็นเชื้อสายของอบายภูมิทั้งนั้น เรื่องเอาบารมีไปเทียบกับ หลวงพ่อปาน ด้วยครับกรุณาอย่ากล่าวอีกเลย

เพราะท่านเป็นครูบาอาจารย์ อย่าให้ผมไปวัดรอยเท้าเลยจะหมดดีเสีย เพราะครูอาจารย์นั้นศิษย์ไม่มีอะไรจะเอาเข้าไปเปรียบเทียบได้เลย ครูเป็นปุถุชน แต่ศิษย์เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่มีศิษย์คนใดที่จะยอมให้ครูมาไหว้ตน มีแต่ตนเองเท่านั้นที่จะก้มหัวลงแทบเท้าท่านครู ถวายความเคารพ ยกครูไว้เหนือเศียรเกล้า

เพราะระลึกอยู่ว่า ความดีที่ตนได้รับมานั้น เป็นความดีที่ครูท่านมอบหมายให้มา ยิ่ง หลวงพ่อปาน เป็นพุทธภูมิ เป็นพระทรงสมาบัติแปดด้วยแล้วผลที่ผมได้นี้ ไม่มีทางเปรียบเทียบได้เลย เพราะผมมีสมาบัติไม่ถึงแปด เรื่องการทรงใดๆ จึงแตกต่างกันอย่างเทียบกันไม่ติดเลย

พอขโมยท่านมาได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้ผมก็ยังต้องอาศัยท่านอยู่เสมอ หากมีอะไรขัดข้องเมื่อไร ผมก็ต้องรบกวนท่านทันที เป็นอันว่าผมเป็นศิษย์ที่ หลวงพ่อปาน ต้องตามพร่ำสอนอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ท่านมีชีวิตอยู่และตายไปแล้ว

ขอโปรดอย่านำเอาผมไปเปรียบกับหลวงพ่อต่อไปนะครับ ที่บอกมานี้ไม่ใช่โกรธ แต่บอกเพื่อกันไว้ระหว่างพวกสมณธรรมด้วยกัน คำติคำชมเป็นของชาวโลกที่ต้องการวัฏฏะ พวกเราหนีวัฏฏะอย่าเอาของเขามาใช้เลย ไม่เข้าใจอะไรก็ถามมาตรงๆ ดีกว่า

ธรรมปฏิบัติของท่านพอจะได้เรื่องได้ราวบ้างแล้ว แต่อย่าเพิ่งคิดว่าดีเสียก็แล้วกัน คำว่าดีนั้น ถ้ายังไม่บรรลุอรหัตผลเพียงใดจงอย่าเข้าใจว่าตนดีแล้ว พอแล้วเป็นอันขาด หากหลงผิดจะเป็นเหยื่ออบายภูมิ นินิตที่บอกมานั้น เป็นนิมิตที่เกิดจากอารมณ์สว่างชั่วขณะ ยังเอาเป็นเนติยังไม่ได้

อารมณ์ของคุณขณะนี้เป็นอารมณ์ที่เข้าถึง "ขณิกะ" ต่อ "อุปจารสมาธิ" แต่ "อุปจาระ" ยังไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะเรียกว่าใช้ได้ จงอย่าสำคัญผิดในเรื่องการเห็นนิมิตภายนอก จงยึดแต่นิมิตเดิมที่กำหนดไว้เท่านั้น อย่างอื่นแปลกปลอมเข้ามาจงละเสีย

นักเจริญสมาธิจงเข้าใจตนเองไว้ว่า เราปฏิบัติเพื่อจิตเป็นสมาธิ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อการเห็นภาพ จงพยายามรักษาอารมณ์ที่กำหนดไว้เดิมให้คงที่ ระมัดระวังคาถาภาวนาไว้อย่าให้หลงพร้อมทั้งกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไปพร้อมกัน

คือกำหนดเป็นสามฐาน หายใจเข้า ลมกระทบกระพุ้งจมูก อก และท้อง หายใจออก ลมกระทบท้อง อก และปลายจมูก พยายามกำหนดรู้ไว้ตลอดเวลา มันจะหนีจะเผลอบ้างนั้นเป็นของธรรมดา เพราะจิตมันเคยท่องเที่ยว เมื่อเรารู้ตัวว่ามันเที่ยวก็จับมันมาใหม่

แล้วจงใคร่ครวญพิจารณาไปพร้อมๆ กับการกำหนดคำภาวนาและลมนั้น ให้รู้ว่าลมที่หายใจเข้าออกนั้นสั้นหรือยาว หยาบหรือละเอียด คาถาภาวนาเราว่าครบไหม กำหนดรู้ดังนี้ตลอดไป หากกำหนดนิมิตด้วยก็ให้กำหนดไปพร้อมๆ กัน

เมื่อกำหนดรู้ลมสามฐานเมื่อไร จงรู้ตนเองว่า เรามีอารมณ์ใกล้จะถึงปฐมฌาน แล้ว ต่อไปลมหายใจจะค่อยๆ ละเอียดลง จะเกิดขนพองสยองเกล้าคือขนลุกซู่ซ่า มีกายโยกโคลง บางรายมีน้ำตาไหล มีใจอิ่มเอิบชื่นบาน ไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ มีอารมณ์แนบแน่ชื่นชุ่มอยู่ตลอดเวลา

ไม่อยากจะเลิกในการปฏิบัติ อย่างนี้เรียกว่าปีติ เป็นการที่อารมณ์จิตเริ่มเข้าอุปจารฌาน จะเห็นภาพแปลกๆ และชัดเจนขึ้น จงอย่าคิดว่าดี ยังไม่ดี ต่อไปก็จะมีความสุขสดชื่น ไม่ปวดเมื่อย สุขหรรษาอย่างหาอะไรเปรียบเทียบมิได้เลย

อารมณ์ก็มีการกำหนดฐานลมหายใจเข้าออกได้ตลอดเวลาทั้งสามฐาน หากมีนิมิต ๆ ก็แจ่มใสคงที่จะให้สูงต่ำเล็ก..ใหญ่ ก็เป็นไปได้ตามความต้องการ ไม่รำคาญในเสียงที่เข้ามารบกวน มีอารมณ์ทรงอยู่ได้นานกว่าปกติ คือ ๕ หรือ ๑๐ นาที แล้วอารมณ์ก็จะเคลื่อนเข้าสู่อารมณ์เดิม คือคิดเรื่องภายนอก ท่านเรียกว่า ตกภวังค์ อย่างนี้ท่านเรียกว่าปฐมฌาน

แต่ตอนก่อนที่จะถึงระดับนี้ จิตจะมีอารมณ์อย่างนี้ก่อน คือ เมื่อภาวนากำหนดอารมณ์ดังกล่าว พอมีอารมณ์คล้อยจะเผลอไป ก็เกิดเห็นภาพ ต่อมาเมื่อภาวนากำหนดอารมณ์เพลินอยู่นั้น มีอารมณ์คงที่สบายเพียงขณะเดียว ก็จะเกิดอาการหวิวคล้ายพลัดตกจากที่สูง

แล้วอารมณ์ก็เข้าภาวะเดิม ที่ท่านเรียกว่า "ตกภวังค์" คำว่า ภวังค์ มีนักปฏิบัติคิดว่าเป็นอารมณ์แน่นนั้นไม่ถูก "ภวังค์" เป็นอาการที่จิตพลัดจากอารมณ์ฌานเข้ามาสู่อารมณ์ปกติตามเดิม คือ จิตกลับที่เดิมนั่นเองเรียกว่า "ภวังค์" คือเป็นที่อยู่ "ภวังค์" หรือภาพมันก็อย่างเดียวกัน

ภพแปลว่าที่อยู่ ศัพท์เดิมเขาแปลว่า ความมีหรือความเป็น ก็เพราะมันมีอยู่ มันเป็นอยู่ในที่นั้น จะเรียกว่าที่อยู่จะผิดได้อย่างไร อาการที่จิตทรงอยู่นั้นเป็นเพราะจิตเข้าสู่อารมณ์ฌาน แต่ทว่ากำลังสมาธิที่จะทรงตัวไว้ได้นั้นมีกำลังอ่อนมาก จึงทรงอยู่ในระดับฌานไม่ได้นาน เพียงขณะเดียวก็พลัดจากฌาน อาการอย่างนี้

นักปฏิบัติใหม่ถ้าพบเข้า เมื่ออารมณ์พลัดแล้ว จะทำจิตให้มีอารมณ์แนบสนิทอย่างนั้นอีกไม่ได้ อารมณ์จะไม่ยอมเป็นอย่างนั้น แต่พอรักษาใจให้สบายได้อยู่ ในระยะต้นๆ นี้จงรักษาไว้ตามแต่กำลังสมาธิ เมื่อได้แล้วก็ค่อยๆ ทำไปอย่าให้ขาด

จงหลีกให้พ้นสังคมจัญไร คือพวกเดียรถีย์ พวกชอบชวนพูดนอกรีตนอกรอย พยายามรักษาอารมณ์ตามที่เคยปฏิบัติมาอย่าให้ขาด พร้อมกันนั้นก็พยายามแผ่เมตตาพรหมวิหารตลอดวัน เพื่อรักษากำลังจิตให้ชุ่มชื่น ต่อไปฌานนี้ก็จะมั่นคง

ฉบับนี้ขอแนะนำมาเท่านั้น เพราะเห็นว่าเมื่ออารมณ์จิตเข้าถึงระดับนั้นแล้ว หากทำถูกก็ไม่ช้า ปฐมฌาน ก็จะมาถึง พวกที่ ปฐมฌาน มาไม่ถึงเพราะติดภาพระหว่างทาง ท่านว่าท่านจะพากันมานั้น ผมยินดีต้อนรับ การมาหาผมไม่ต้องมีพิธีรีตองเพราะพิธีนั้นเป็นเรื่องของวัฏฏะเขา เราเป็นพระมาอย่างไรก็ได้ ขอให้มาอย่างพระหรือพุทธศาสนิกก็แล้วกัน ถ้ามาแบบอื่นรับรองไม่ถูก

แต่การมานั้นจำเป็นจะต้องกำหนดเวลาเสียแล้วครับ ผมเมื่อบวชหลวงพ่อท่าจะใส่ปรอทมากไปหรืออย่างไรไม่รู้ มันช่างหาเวลาว่างไม่ใคร่ได้จริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเข้าพรรษาก็ต้องจรจัดเสมอ ที่ไปก็เพราะเป็นเขตแดนศิษย์เก่าของหลวงพ่อปาน ต้องทำงานแทนท่านตามที่รับปากไว้

แต่สมัยนี้เอาแผนกเดียว คือสอนสมณธรรมเท่านั้น คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ผมก็อุปโลกน์ให้บำเพ็ญเป็นฌานหมด เพราะเห็นว่าได้ประโยชน์มากกว่าการสงเคราะห์ด้วยวัตถุ พ.ศ. หน้า ทาง วัดสะพาน ที่ตัวเมืองชัยนาท ท่านจะตั้ง สำนักสมณธรรม จะให้ผมไปคุมอยู่ที่นั่น

ก็เลยต้องเขียนแบบปฏิบัติ เขียนก็ไม่ใครจบ เพราะมันยุ่งอย่างนี้ กลางวันก็มีแขก วันไหนว่างก็เขียนได้มากหน่อย วันไหนแขกมากก็เอามาเขียนกลางคืน เมื่อถึงเวลาสอนสมณะรรมก็ต้องละการเขียนไปสอนสมณธรรม เกิดเป็นคนที่มันยุ่งจริง เบื่อเต็มทีแล้ว

เรื่องการมาของคณะของท่าน ผมว่าถ้ามาภายในเดือน ๙ จะพบกว่า เพราะเดือน ๑๐ ผมต้องจรสายใต้ เกือบไม่มีเวลา บอกคุณวิเชียร และคณะด้วยนะครับว่า หากจะมาให้สะดวกควรมาภายในเดือน ๙ จะพบได้สะดวก เดือนสิบถ้าบังเอิญตรงกับวันอยู่ก็จะได้พบ

ขอความสุขสมหวังจงมีแต่ท่านตลอดกาลทุกเมื่อเถิด

พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ



2
ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน อ.เมือง จ.อุทัยธานี

วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

ท่านจิตสีโล

ขอบคุณ ท่านจิตสีโล ที่เมตตาจดหมายมาแสดงความรู้สึกขอบใจ ทำให้ผมมีความอบอุ่นใจขึ้นบ้าง ที่ยังมีผู้ทรงศีลเมตตา เรื่องด่าว่านินทานั้นผมเห็นเป็นความปกติเสียแล้ว ยังน้อยไปกว่าที่เขาแจ้งต่อผู้มีอำนาจว่า ผมเป็นคอมมิวนิสต์

ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เขาผู้หลังทำลายชาติและศาสนานั่นเอง ดีแต่ท่านผู้ทรงอำนาจท่านมีความเป็นธรรมอยู่ มิฉะนั้นผมอาจจะไปนอนตายในเรือนจำแล้ว

เป็นอันว่าโลกนี้ไม่น่าอยู่นะครับ เราพยายามหนีโลกอุบาทว์นี้โดยธรรมดีกว่าที่จะอยู่ต่อไปให้สะเทือนซาง ธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเราพ้นโลกอุบาทว์นี้ได้

ขอบใจครับที่เมตตา

พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ



3
ตอบ พระมหาวิจุล ปิยภาณี
เจ้าอาวาส วัดบ้านสีดา ต.สีดา อ.บัวใหญ่ จ. นครราชสีมา

จดหมายของพระคุณเจ้าผมได้รับแล้ว ๒ ฉบับ ขอโมทนาด้วยครับที่มีมหาเจตนาตั้งสำนักปฏิบัติธรรมขึ้นที่วัด จนมีผู้ได้รับผลหมดความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า ปฏิปทานี้ทำยากนะครับ ยากทั้งการปฏิบัติให้เข้าถึง และยากทั้งมีศัตรูมิจฉาทิฏฐิรบกวน ยิ่งปัจจุบันยิ่งมีมาก

เพราะผู้มุ่งร้ายหมายทำลายชาติและศาสนามีอยู่มาก จะเห็นได้ว่า เรื่องของพระศาสนามีความรุ่งเรืองที่ไหน เป็นต้องมีผู้เข้าทำลายที่นั่น พระคุณท่านมีเมตตาและวิริยะเป็นเลิศที่ช่วยสงเคราะห์ผู้หวังดีเข้ารับการปฏิบัติ อุปสรรคย่อมมีเป็นธรรมดา แต่ขอให้คิดว่าเราจะตายกับความดีเท่านั้นพอ

พระมหาวีระ ถาวโร
๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/11/10 at 15:30 [ QUOTE ]


4

วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๒๙ ตุลาคม ๒๕๒๗

เจริญพร ท่านปรีชา ทรงธรรม ที่นับถือ

ท่านฯ ได้มีส่วนช่วยเหลือกิจการต่างๆ ที่อาตมาทำอยู่ทุกอย่าง ทำให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดี และมีผลสมบูรณ์ตามความมุ่งหมายตลอดมา

บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนที่ไปให้การสงเคราะห์หรือทำบุญ มีส่วนใหญ่ที่ท่านฯ ได้ช่วยให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นเข้าใจในงานที่อาตมากระทำอยู่ ต่างก็เมตตาสงเคราะห์จนผลงานลุล่วงไปด้วยดี ตามวัตถุประสงค์

มีเรื่องหนึ่งที่อาตมาจะรายงานให้ทราบ เรื่องนั้นก็คือ การชำระหนี้สิน ทั้งนี้เพราะงานที่ทำตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นต้นมา เป็นงานที่ต้องใช้จ่ายเงินมากเกินกว่าที่อาตมาจะหาได้แต่ผู้เดียวท่านฯ ได้ช่วยจัดการหาอีกแรงหนึ่งและก็มีผลมหาศาล

ตลอดจนคำพยากรณ์ของท่านฯ ที่พยากรณ์เนื่องในการทำงานไว้ ถูกต้องทุกประการ จัดว่าท่านฯ มีส่วนช่วยงานอย่างพรรณนาได้ยาก ขอรายงานเรื่องหนี้สินที่มีอยู่ดังนี้

รายรับ-จ่าย เงินสงฆ์

ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๗ รายจ่ายเงินสงฆ์ทั้งสิ้น เป็นเงิน ๑๓๖,๐๔๔,๙๔๐.๒๙ บาท (หนึ่งร้อยสามสิบหกล้านสี่หมื่นสี่พันเก้าร้อยสี่สิบบาทยี่สิบเก้าสตางค์)

รายรับเงินสงฆ์ทั้งสิ้น ๙๐,๑๗๒,๐๖๔.๓๗ บาท (สี่สิบห้าล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นสองพันแปดร้อยเจ็ดสิบห้าบาทเก้าสิบสองสตางค์)

คำว่าเงินสงฆ์ หมายถึงเงินที่ญาติโยมสงเคราะห์เนื่องในการก่อสร้างสังฆทาน ธรรมทาน ชำระหนี้สงฆ์ ทั้งหมดนี้จัดเป็นเงินสงฆ์

เงินอีกประเภทหนึ่ง ที่ผู้ถวายมุ่งถวายเป็นส่วนตัว แต่อาตมาคิดว่าเป็นเงินทำบุญ มีสิทธิ์ใช้เป็นค่าอาหาร ค่ายารักษาโรค ค่าเครื่องนุ่งห่มของพระ ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าเดินทางไปในกิจเจริญศรัทธา ไม่คิดว่าเป็นเงินส่วนตัว ตามที่คิดกัน เงินประเภทนี้แยกบัญชีไว้อีกประเภทหนึ่ง เพื่อเอาไว้ช่วยชำระหนี้ของสงฆ์เมื่อถึงวาระ

เงินอีกประเภทหนึ่ง ก็คือเงินค่าวัตถุมงคลและเงินค่าหนังสือ เงินประเภทนี้มีส่วนเกินเพราะค่าใช้จ่ายน้อย หรือที่เรียกทั่วไปว่าเงินกำไร

จะเห็นได้ว่า แหนบทองแดงชุบทอง ท่านทั้งหลายโดยทั่วไป ท่านให้บูชาเกินกว่า ๓๐ บาท บางแห่งเกือบ ๑๐๐ บาท แต่ที่วัดนี้ให้บูชา ๑๐ บาท แหนบทองแจกฟรีเป็นปกติ ส่วนที่เกินจากเหรียญชุบทองก็เอามาช่วยแหนบทองที่แจกฟรี คงไม่มีทุนเหลือ ของอย่างอื่นก็เช่นเดียวกัน

แต่ทว่า มาระยะหลังนี้ มีท่านผู้มีจิตศรัทธาสร้างวัตถุมงคลมาถวาย เช่น แก้ว พระ และผ้ายันต์ ผ้ายันต์นี่ชัดมาก เพราะ คุณประชา-อรุณ สิกวานิช เจ้าของโรงงานพลาสติกได้ออกทุนทำถวายคราวละหนึ่งแสนเศษทุกคราว

และไม่รับทุนคืนเลย ถวายทั้งหมด และรายเดียวกันนี้ ได้ทำ บาตรวิระทะโย ถวายไม่คิดเงินเลย เป็นเหตุให้วัดมีรายได้เพิ่มขึ้น เดือนละเป็นแสนบาท (เงิน วิระทะโย เป็นเงินสังฆทาน และวิหารทาน)

ฉะนั้น รายได้ที่ท่านผู้มีจิตเมตตาจัดมาถวาย จึงเป็นรายได้ที่เป็นทุนในการชำระหนี้ในการก่อสร้างที่คั่งค้าง ในระยะสามปีที่ผ่านมานี้ มีท่านที่เมตตาถวายเป็นส่วนตัวเป็นประจำทุกเดือน หนึ่งหมื่นบาทบ้าง หกพันบาทบ้าง ถึงสี่พัน สามพันบาทอย่างน้อย มากรายด้วยกัน

และมากท่านที่ถวายเป็นส่วนตัวตามกำลังทรัพย์ที่จะสงเคราะห์ได้ บางเดือนก็ได้รับหลายแสนบาท แต่ก็เกินกว่าสี่แสนบาททุกเดือน ในที่สุดเมื่อจะถึงวันถวายกฐิน ได้สำรวจจำนวนเงินที่เหลือจากการช่วยสงฆ์ชำระหนี้เป็นประจำเดือนแล้ว

เห็นว่าเงินที่ญาติโยมถวายมาเป็นส่วนตัว และเงินวัตถุมงคล เงินหนังสือ มีพอที่จะชำระหนี้ตัดให้หมดไปได้ จึงได้ตัดชำระหนี้ไป ขาดอีกล้านเศษๆ พอดีวันรับเงินกฐิน ได้รับเพิ่มเติมอีกล้านเศษๆ จึงละชำระหนี้หมดไปคราวหนึ่ง โล่งอกไปได้หนึ่งวันเพราะปลอดหนี้

แต่พอรุ่งขึ้น ก็เริ่มคิดถึงหนี้ใหม่ต่อไป เรื่องหนี้ใหม่ตัดไว้ก่อน ขอขอบคุณบรรดาท่านพุทธบริษัทของพระพุทธเจ้า ที่เมตตาสงเคราะห์ อนุเคราะห์ ขอทุกท่านโปรดทราบว่า เงินของทุกท่านที่ถวายมาเป็นส่วนตัว ๙๙ เปอร์เซ็นต์เศษ อาตมานำไปเป็นเงินสังฆทาน ถวายอาหารพระ ชำระค่าไฟฟ้า ซื้อยารักษาโรค เพื่อพระเป็นต้น

เหลือจากนั้น ก็เอาไปช่วยงานก่อสร้าง เป็นวิหารทาน ถ้าฝ่ายธรรมบกพร่องก็เอาไปช่วยธรรมทาน ตนเองพยายามใช้น้อยที่สุด เพราะปกติเมื่อเป็นฆราวาสก็เป็นคนไม่ชอบใช้เงินเปลืองอยู่แล้ว มาเป็นพระธุระใช้น้อย ถ้าใช้ไปในทางที่มีอานิสงส์น้อย ก็เสียดายเงินของท่าน

พยายามใช้ในทางที่มีอานิสงส์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉะนั้นจึงใช้เงินของทุกท่านที่ให้มาอย่างมากไม่เกินเดือนละ ๓๐๐ บาท เท่านี้พอแล้ว เพราะของจำเป็นส่วนใหญ่ท่านสาธุชนให้พอใช้แล้ว ลีลาการใช้เงินส่วนตัวของอาตมาเป็นอย่างนี้

จึงมีเงินตัดหนี้ของสงฆ์ได้ในที่สุด ที่พยายามใช้แบบนี้ก็เพราะว่า ทราบว่าไม่ช้าก็ตาย เก็บเงินไว้จะเป็นสนิมใจของท่านเจ้าของ จึงพยายามใช้ในทางที่มีประโยชน์ใหญ่ตามที่พอจะมีปัญญาทำได้

การชำระหนี้

ตามรายงานของฝ่ายบัญชีนั้นที่รายงานมาว่า เงินไม่พอเท่านั้นเท่านี้ เขารายงานตามบัญชีสงฆ์ไม่ผิด เขารายงานถูกต้องทุกประการ แต่เงินที่ชำระปกติเดือนต่อเดือน เงินสงฆ์ขาดดุลเสมอบางเดือนจะพอใช้จ่ายอาตมาก็เอาเงินที่ท่านถวายมาเป็นส่วนตัวช่วยสงฆ์

ในระยะหลังนี้พอช่วยได้เกือบทุกเดือน เพราะค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง เดือนหนึ่งใช้เงินเกินสามล้านบาท เงินสงฆ์ที่ได้รับไม่พอ เงินที่ถวายเป็นส่วนตัวถ้าเอาไปผสมแล้วพอ ก็ผสมใช้หนี้ไปเลย

ฝ่ายบัญชีเขาทราบตามบัญชีสงฆ์ เรื่องเงินส่วนตัวมีบัญชีอีกส่วนหนึ่งต่างหาก แต่ทว่าปีต้นๆ ถอยหลังเข้าไปขาดดุลมากตลอดมา จึงต้องรอสะสม พอมีครบก็ละทั้งเงินส่วนตัวและเงินวัตถุมงคล เงินหนังสือ จึงโล่งใจไปได้วันหนึ่ง วันต่อไปก็เริ่มเป็นหนี้ใหม่

แต่คราวต่อไปนี้ คิดว่า การมีหนี้ ถ้ามีญาติโยมยังสงเคราะห์เรื่อยๆ อยู่ ก็จะเป็นหนี้ไม่จำกัด ถ้าญาติโยมหยุดการสงเคราะห์เมื่อไร ก็หยุดงานก่อสร้าง เมื่อมีหนี้ประมาณสองล้านบาท ถ้าหาเงินจากการบำเพ็ญกุศลไม่ได้ ก็จะขายทรัพย์สินที่ได้รับจากความเมตตาของท่านผู้มีคุณ ขายเอาเงินมาใช้หนี้

ทรัพย์สินส่วนนี้เป็นทรัพย์สินจากมรดกพิเศษของท่านผู้มีเมตตาสมัยเป็นฆราวาส จำหน่ายช่วยสร้างวัดไปมากแล้ว เหลืออยู่อีกประมาณ ๑ ใน ๑๐ ของจำนวนทรัพย์สินที่ได้รับเก็บเอาไว้เป็นทุนสำรองในการก่อสร้างเพียงเล็กน้อย

ถ้าไม่มีโอกาสใช้ ก็เป็นสมบัติของมูลนิธิฯ เมื่ออาตมาตายไปแล้วไม่มีใครจะมาอ้างรับมรดกได้ เพราะทำเป็นบัญชีของมูลนิธิไปแล้ว

งานใหม่ที่กำลังทำ และจะทำต่อไป
ตามความประสงค์ของสมเด็จฯ ท่านมีความต้องการดังนี้

1. เมื่อ วันเป่ายันต์เกราะเพชร สถานที่สำหรับรับประทานอาหารไม่พอ ท่านให้เร่งสร้างพื้นที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ในป่าไผ่ติดกับครัว ๓ ไร่ มีเนื้อที่ ๖ ไร่เศษ ให้เป็นที่รับประทานอาหาร มีห้องส้วมห้องน้ำที่นั่น ๖๐ ห้อง มีห้องจ่ายอาหาร ๑๐ จุด เป็นป่าร่มสวยงาม และสบายใจมาก ใช้เงินหลายล้านบาท

2. ให้ทำที่จอดรถในที่ที่ซื้อไว้แต่ยังไม่ได้ทำอะไร ๑๐๐ ไร่เศษ ทำเป็นถนนลูกรัง เพื่อพักรถ รถจะพักได้สำหรับรถโดยสารเกือบ ๑,๐๐๐ คัน และถมดินลูกรังที่ของวัดที่มีญาติโยมถวายไว้นานแล้วอีก ๘ ไร่ อยู่ชายน้ำหน้าตึกอำนวยการ เพื่อเป็นที่พักรถ จะบรรเทารถได้อีกหลายสิบคัน ทั้งสองรายการนี้จะต้องใช้เงินประมาณ ๕ ล้านบาท

สำหรับป่าที่ทำถนนนั้น ท่านให้ทำกำแพงและทำเป็นชานเดินรอบ ไม่ทราบใช้เงินเท่าไหร่แน่ ตามความประสงค์ของสมเด็จฯ ท่านก็คือ เมื่อสร้างเสร็จครบแล้วจะ ทำเป็นที่รวมบำเพ็ญกุศล มีทั้งวัด มีทั้งป่า ฝึกพระที่ประสงค์จะฝึกธุดงค์ หรืออาจจะอยู่ธุดงค์เลยก็ได้

ฝึกฆราวาสผู้ประสงค์จะบำเพ็ญธรรมเป็นคราวๆ ไม่เกินหนึ่งเดือนหรือสามเดือน ตามแต่ศรัทธาไม่เก็บค่าอาหารให้จัดหาบริโภคเอง หรือซื้อร้านค้ากินเอง ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า จะช่วยเท่าไหร่ก็ได้ตามแต่ฐานะ ไม่บังคับให้ช่วย แต่ขอใช้ทุกอย่างตามความจำเป็นที่ตนต้องการต้องหามาเอง และอยู่ภายใต้ระเบียบของวัด

อีกจุดหนึ่งท่านให้สร้างห้องพักนักปฏิบัติอีก ๓๐๐ ห้อง สร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระชำระหนี้สงฆ์อีก ๒๐๐ องค์ รวมทั้งสร้างอาคารด้วย ทุกอย่างท่านให้สร้างให้ทันงานฉลองวัดในวันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๓๐ ไม่ทราบว่าจะทำทันหรือไม่ และจะมีทุนทำหรือไม่

เป็นอันว่ามีเงินก็มีงาน หมดเงินก็หยุดงาน จะสบายใจกว่า ไม่มีอะไรน่าวิตกกังวล ท่านสั่งมาก็รับ แต่ไม่มีเงินก็หยุดก็หมดเรื่องกัน

1. เวลานี้กำลังสร้างอาคารเนื้อที่ ๓ ไร่ กับ ๑ งาน เฉพาะพื้นที่ของอาคารชั้น
ล่างเป็นที่ปรุง เก็บอาหารและอุปกรณ์ครัว และมีห้องพัก ๑๒๐ ห้อง
2. ชั้นกลาง เป็นที่เจริญกรรมฐาน มีพระพุทธรูปประธาน ๒ องค์ เป็นแก้วทั้ง
พระและห้อง คล้ายในนิพพาน
3.ชั้นต่อไปเก็บพระพุทธรูปและของที่จำเป็น ใช้เงินหลายล้านบาท

จ.ส.ต.เพราะ วงศ์เวช ถวายที่ดินกว้าง ๑๒ ม. ยาวจากถนนใหญ่เข้าไปถึงที่จอดรถบริเวณ ๑๐๐ ไร่เศษ เพื่อทำถนนลูกรังให้เป็นทางรถเข้าออก

กวนเวลาท่านนานเกินไป อาตมาก็ป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ วันนี้ทนนั่งทรมานเขียนถึงท่านฯ เพราะท่านฯ มีอุปการคุณมาก เพื่อให้ท่านฯ ทราบว่า หนี้เก่าหมดไปได้ด้วยวิธีใด หนี้ใหม่จะมากน้อยเท่าไร ท่านฯจะเมตตาด้วยประการใดก็สุดแล้วแต่ท่านฯจะพิจารณา

เจริญพร
(พระมหาวีระ ถาวโร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/12/10 at 12:57 [ QUOTE ]


5
(Update 1-12- 53)

วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๒๔ ธันวาคม ๒๕๒๗

นมัสการ กราบเรียน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จ ที่เคารพอย่างสูง

จดหมายแสดงมุทิตาจิต และคำอวยพรของพระเดชพระคุณ เจ้าพระคุณสมเด็จเกล้ากระผมได้รับแล้วด้วยความขอบพระคุณอย่างยิ่ง การที่เจ้าพระคุณป่วยมาแรมเดือนและเกือบจะถึงปี ความจริงเกล้ากระผมก็ทราบ

แต่เวลาที่จะไปเยี่ยมไม่มี ทั้งนี้ไม่ใช่ไม่มีเวลา ความจริงเวลานั้นมี แต่อาการป่วยของเกล้าฯ ไม่คลายตัว เกล้าฯ อยู่วัดก็เหมือนอยู่โรงพยาบาล เพราะต้องอยู่ในอาณัติของหมออยู่ตลอดเวลา น้ำเกลือ ยาเข้าเส้น ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ มีเป็นปกติ น้ำเกลือนั้น ไม่แน่นักว่าจะห่างกันถึงหนึ่งอาทิตย์

ยาเข้าเส้น ต้องให้ทุกๆ ๔ วัน ยาเข้ากล้ามเนื้อไม่แน่ปกติเกือบจะทุกวัน อาการที่เป็นก็คือ ทางท้องอย่างเดียว นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๒๕ เป็นต้นมา มันรุกรานหนัก มีเสมหะมาก พอถึงเวลา ๑๖ นาฬิกาเป็นต้นไป เสมหะจะทำพิษ ต้องบ้วนและขากตลอดเวลา จนไม่อยากจะไปไหน

อาหารก็เอาแน่นอนไม่ได้ ต้องซื้ออาหารเสริมจากอเมริกา มาฉันโดยคณะศิษย์ที่อยู่ที่อเมริกาจัดส่งมาให้ มันเป็นโรคเวรโรคกรรมจริงๆ แต่ก็ทราบต้นสายปลายเหตุของมันแล้วตัดสินใจว่า ชำระมันเสียให้หมดชาตินี้ ชาติต่อไปที่จะต้องชำระหนี้อย่างนี้ ไม่อยากให้มีอีก

เรื่องการงานก็มีมาก การออกรับแขกก็เต็มใจรับ แต่มากวันที่เกล้าฯ จำใจ ต้องออกไปรับแขก ทั้งนี้ อาการทางกายมันทั้งมืดทั้งมัว เดินก็เซซวนชวนล้มแต่ทว่าผู้ที่มาหา เขามากันระยะทางเลยร้อยกิโลฯ ก็เห็นใจและเต็มใจออกรับ แต่ต้องจำใจเดินออกไปรับ

ทราบข่าวอาการป่วยไข้ ของเจ้าพระคุณสมเด็จ ก็อยากจะมาเยี่ยม แต่ไม่ไว้ใจตัวเองเพราะเวลานี้ ถ้าเดินไปทางไหนก็มีคนคอยเดินขนาบข้าง ๓-๔ คนเสมอ เขาเกรงว่าจะล้มไป เพราะทำท่าจะล้มหลายครั้ง

เกล้าฯ ต้องขอประทานอภัย ที่เจ้าพระคุณสมเด็จมีเมตตาอุตส่าห์ให้พระเขียนหนังสือแทนตามที่เจ้าพระคุณสั่ง รู้สึกว่าเป็นพระเมตตาอย่างสูง และเป็นคุณมหาศาล เป็นกำลังใจอย่างมหันต์ พรใดที่เจ้าพระคุณสมเด็จให้มา เกล้าขอน้อบรับด้วยความเคารพ

และขออานุภาพของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดจนคุณความดีที่พระเดชพระคุณเจ้าพระคุณสมเด็จสั่งสมมา จงดลบันดาลให้พระเดชพระคุณเจ้าพระคุณสมเด็จจงหายจากโรคาพาธ ปราศจากอันตรายโดยฉับพลันเถิด

นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง

(พระสุธรรมยานเถระ)

◄ll กลับสู่สารบัญ



6
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑ มกราคม ๒๕๒๘

นมัสการ หลวงพี่ ที่เคารพ

ที่เรียกว่าหลวงพี่นี่ ไม่ได้เรียกตามอาวุโสพรรษา เรียกตามอาวุโสสมณศักดิ์ เพราะได้รับก่อนและอันดับชั้นสูงกว่า ขอขอบคุณที่มีเมตตาจิต แสดงความมุทิตาจิต คือยินดีด้วยที่ผมได้รับสมณศักดิ์ ความจริงอารมณ์อย่างนี้ คนที่ได้รับแล้วเข้าใจดี เพราะได้รับพระราชทานมาแล้ว

เราก็แก่ต่อไป ไม่ได้รับมา เราก็แก่ตามเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงกฎธรรมดา แต่ทว่าเป็นปัจจัยให้บรรดาลูกรักทั้งหลายเธอปลื้มใจและมีกำลังใจบำเพ็ญกุศล อันนี้ที่เป็นที่ยินดีสำหรับผม การที่จะคิดว่าเธอยังคิดโลกธรรมหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องจะคำนึง คิดแต่เพียงว่า มีอะไรบ้างที่เป็นกำลังใจให้พวกเธอปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคติของพระพุทธเจ้า สิ่งนั้นก็ควรพอใจ

ผมขอขอบคุณที่เมตตาแสดงความยินดี และกรุณาส่งปัจจัยมาถวาย ๑,๐๐๐(หนึ่งพันบาทถ้วน) ปัจจัยส่วนนี้ผมได้รับทราบจากไวยาวัจกรแล้ว และสั่งให้ใช้จ่ายในด้านวิหารทาน เพราะยังต้องใช้ปัจจัยอีกหลายสิบ...

ด้วยอำนาจความดีที่มีเมตตา กรุณาทั้งทางใจและวัตถุ ขอผลความดีนี้จงสนองให้มีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจทุกประการเถิด

นมัสการมาด้วยความเคารพ
(พระสุธรรมยานเถระ)

◄ll กลับสู่สารบัญ



7
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๗ มกราคม ๒๕๒๘

คุณมหาวิจิตร ที่รัก

กำหนดงานกฐินที่ วัดภาวนา ผมกำหนดว่าจะร่วมถวายกฐินที่วัดนี้ วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน เริ่มงานวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ เป็นวันถวายกฐินนั้น ผมเองก็ดูเพียงวันเสาร์วันอาทิตย์ ลืมดูไปว่า วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ เป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ ที่เรียกว่า “เสาร์ห้า” วันนั้นกำหนดงานการเป่ายันต์เกราะเพชรไว้แล้ว

ฉะนั้นงานที่กำหนดให้ไว้จึงขอระงับ แต่ทว่าจะจัดบอกบุญให้ท่านพุทธบริษัทร่วมในการถวายกฐิน ส่วนกำหนดงานนั้นจะเป็นวันใดเหมาะก็สุดแล้วแต่คุณมหาจะเห็นสมควร เมื่อพิจารณาเห็นว่าวันไหนสมควรจะรับกฐิน ขอได้โปรดแจ้งให้ผมทราบด้วย

จะได้บอกญาติโยมให้ร่วมกันบำเพ็ญกุศลตามศรัธทา ทางที่ดีควรหลีกให้ไม่ตรงกับวันกฐินที่วัดผม และ วัดหลวงปู่ธรรมชัย จะดีมาก ถ้าตรงกับวันกฐินหรือวันเสาร์ห้า จะไม่มีใครมาที่วัดนี้มากตามควร อีกประการหนึ่งกำหนดกฐิน วัดหลวงปู่ธรรมชัย เขาก็ร่วมกันไปเป็นปกติ ถ้าหลีกให้ไม่ตรงกันจะดีมาก

เดือน พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ผมมีกิจที่จะแยกตัวออกไม่ได้ มีกำหนดดังนี้
๑.วันที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ สอนพระกรรมฐานที่ ซอยสายลม
๒.วันที่ ๑๔, ๑๕, ๑๖ เป็นระหว่างการจัดงาน เป่ายันต์เกราะเพชร
๓.วันที่ ๒๓, ๒๔, ๒๕ ติดงานกฐินเชียงใหม่ ถวายประจำทุกปี ๒ วัด คือ วัดทุ่งหลวง และ วัดโขงขาว

คุณมหา จะให้ถวายเมื่อไรก็ตามแต่จะเห็นสมควร ผมจะบอกบุญมาสมทบ

(พระสุธรรมยานเถระ)

◄ll กลับสู่สารบัญ



8

วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๗ มกราคม ๒๕๒๘

นมัสการ หลวงพี่พระครูปัญญาโสภิต ที่เคารพ

ตามที่หลวงพี่ได้พาพระไปที่ ซอยสายลม นิมนต์ผมให้ไป เป่ายันต์เกราะเพชร ที่ วัดรางจระเข้ อ.เสนา จ.อยุธยา นั้น ผมได้นำเรื่องนี้เข้าหารือกับคณะผู้จัดงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ ๒๓-๒๔ มีนาคม ๒๕๒๘

ทุกคนบอกว่างานปีนี้เป็นงานที่ใหญ่มาก มีพระมาในงานเกินกว่า ๑๐๐ องค์ มีพระราชาคณะผู้ใหญ่มากมาก และมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รักษาการตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชมาเป็นประธานในระยะเวลาก่อนหน้างานในช่วงเดือนมีนาคม

บรรดาลูกศิษย์ทั่วทุกทิศจะมาช่วยงาน ต่างก็แสดงความจำนงจะมาช่วยในงานรูปต่างๆ กัน เพราะงานนี้ทุกคนทราบแล้วว่าเป็นงานทำบุญพิเศษ อีกประการหนึ่งทางท่านผู้ใหญ่ได้หารือกันไว้ว่า ก่อนหน้าที่จะถึงวันงานประมาณหนึ่งอาทิตย์ ท่านจะจัดพระมาสวดถอนนิมิตอุโบสถเก่า

ฉะนั้นทุกคนจึงมีมติพร้อมกันว่าเดือนมีนาคมทั้งเดือนผมควรจะอยู่วัด เพราะผู้ประสงค์ดี ตั้งใจช่วย เมื่อมาแล้วจะได้พบ และคณะผู้จัดงานก็จะไม่หนักใจ ที่จะลงมติในงานที่จะทำ ตามปกติที่มีมาแล้วเกินกว่า ๑๐ ปี ผมก็ปิดประกาศไว้แล้วว่า “ไม่รับงานนิมนต์ทุกอย่างซึ่งจัดขึ้นนอกสถานที่” แม้แต่งานสวดมนต์ ฉันเช้า-เพล ก็เลิกรับมาแล้วเกิน ๓๐ ปี

เป็นอันว่า งานที่หลวงพี่กรุณาเมตตาไปนิมนต์ถึง ซอยสายลม นั้น ก็ต้องขออภัยที่จะต้องบอกว่า ของด ตามที่บอกว่าพวกญาติโยมจะได้พบ ก็ขอได้โปรดแจ้งญาติด้วยว่า เวลานี้ญาติที่มีอายุแก่กว่าผมคงจะตายไปหมดแล้ว ที่เหลือก็คงจะเป็นญาติที่มีอายุน้อยกว่า

ถ้าเธออยากจะพบก็ขอให้เธอไปพบที่ วัดท่าซุง จะดีกว่า ทั้งนี้ทุกวันตามปกติก็มีคนไปหาผมเดินทางไกลเกินกว่าร้อยกิโลเมตร มาทุกวัน และก็จะไปกันวันละมากๆ คนพวกที่ไปก็ไม่เคยเป็นญาติมาก่อน แต่ทว่าทุกคนมีจิตเป็นมหากุศลตั้งใจไปทำบุญบ้าง ไปเจริญพระกรรมฐานบ้าง

ที่น่าแปลกที่สุดก็คือ ท่านที่อ้างตนว่าเป็น “ญาติ” ไม่ค่อยจะเห็นเลยจึงเห็นแต่ลูกในอดีต ถ้าทุกคนที่คิดว่าเป็น “ญาติ” จะปฏิบัติตนอย่างบรรดาลูกรักทั้งหลายที่กล่าวมาแล้วบ้าง ผมคิดว่าจะดีกว่ารอให้คนที่แก่เฒ่า ไปหาคนที่หนุ่มสาวกว่า

จึงขอนมัสการมาด้วยความเกรงใจว่า “งานที่นิมนต์ไว้มาไม่ได้ตามนิมนต์ เพราะมีความจำเป็นตามที่กล่าวมาแล้ว

นมัสการมาด้วยความเคารพอย่างสูง

(พระสุธรรมยานเถระ)

◄ll กลับสู่สารบัญ



9

วัดจันทาราม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๘
เรื่อง ช่วยพิมพ์หนังสือ ฯลฯ
ถึง คุณอาจินต์ และคณะธัมมวิโมกข์

ผมขออนุโมทนา ที่คุณพร้อมคณะจัดทำ ธัมมวิโมกข์ จัดหาทุนช่วยจัดการพิมพ์หนังสือของขวัญวันรับสมณศักดิ์ และหนังสือรับพระเสวยอายุ รวมสองชนิดนี่มีมูลค่าถึง ๖๗๘,๓๐๐ บาท (หกแสนเจ็ดหมื่นแปดพันสามร้อยบาทถ้วน) จัดว่าเป็นเงินมิใช่น้อยเลย

ผมถือว่าคณะของคุณทำความดีเพื่อพระพุทธศาสนา และสร้างความสบายใจให้แก่บรรดาพุทธศาสนิกชนอย่างมหาศาล เป็นการแบ่งเบาภาระของผมไปเป็นอย่างมาก หากคณะของคุณไม่ช่วย ผมก็จะต้องจัดหาเงินก้อนใหญ่นี้มาจ่าย

ภาระอื่นก็หนักมากอยู่แล้ว แต่ถ้าเพื่อความสุขของปวงชน แม้จะทำให้ท่านเหล่านั้นมีความสุขเพียงเล็กน้อย ผมก็เต็มใจทำ เพราะคณะของเรามีบุญวาสนาน้อย ไม่ใหญ่โตโอ่อ่าพอที่ท่านที่มีฐานะใหญ่จะเห็นความสำคัญ

แต่จะกระไรก็ตาม เมื่อฐานะเล็กเราก็ทำไปตามกำลังเล็ก ถ้าทุกคนต่างคนต่างช่วยกันกลุ่มละเล็กๆ ถ้าหลายๆ เล็กรวมกันมันก็สามารถโตมหาศาลได้ งานชิ้นนี้จึงถือว่า เป็นงานชิ้นหนึ่งที่คณะของคุณช่วยพยุงโอบอุ้มผมให้บรรเทาความหนักและเหน็ดเหนื่อย จึงเห็นว่าควรแก่การโมทนา

ผมขออนุโมทนาในความดีที่ คณะธัมมวิโมกข์ มีคุณเป็นหัวหน้าคณะ จงมีความสุขสมหวัง ชนะความชั่วทุกอย่างตามพระพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้าโดยฉับพลันเถิด

ข้อที่ควรโมทนาเป็นอันมากจากความดีของคณะคุณ ที่ไม่น่าจะปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่คำนึงถึง ซึ่งเป็นความดีที่หาได้ยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ

การจัดพิมพ์หนังสือของขวัญ ในระยะที่ตกลงกัน ๔๐,๐๐๐ เล่ม ทางโรงพิมพ์เรียกราคาค่าพิมพ์ ๖๖๐,๐๐๐ บาท (หกแสนหกหมื่นบาทถ้วน) แต่คุณก็สามารถเจรจาลดหย่อนลงมาเหลือเพียง ๖๒๒,๘๐๐ บาท (หกแสนสองหมื่นสองพันแปดร้อยบาทถ้วน) ก็ต้องถือว่าเป็นความสามารถของคณะของคุณที่ต้องพิจารณา

แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมจิตใจที่มีศรัทธา และเมตตาของท่านเจ้าของ และผู้จัดการของโรงพิมพ์ด้วย ถ้าท่านทั้งสองมีอารมณ์ใจไร้ศรัทธา ไม่มีความเมตตาปรานีท่านจะเรียกเท่าเดิมก็ยังถือว่า ของท่านยังมีราคาถูกกว่าหนังสือที่แจกคู่กันอีกเล่มหนึ่ง

หนังสือเล่มนั้นมีความหนาน้อยกว่ามาก แต่ท่านคิดราคาถึง ๘๐๐,๐๐๐ บาท (แปดแสนบาทถ้วน) และท่านยังแจ้งอีกว่า ท่านไม่มีกำไรในเมื่อกระดาษเหมือนกัน เล่มบางกว่ากัน รูปก็น้อยกว่ากัน แต่ของท่านแพงกว่า เรื่องราคาแพงไปบ้างผมไม่สะดุดใจเพราะเป็นธรรมดาของการค้า แต่ตอนที่ท่านบอกว่าไม่มีกำไรนี้ก็ไม่แปลกใจ เพราะเล่ห์เหลี่ยมการค้าเป็นอย่างไร ผมเคยมีอาชีพการค้ามาก่อนย่อมทราบดี

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจึงเห็นได้ชัดว่า โรงพิมพ์ที่คุณจัดพิมพ์นั้น ท่านจัดทำให้ด้วยศรัทธาแท้ และหวังบุญหลังกุศลจริงๆ เรื่องการมีกำไรบ้างต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่มีอะไรน่าคิด แต่งานของท่านชี้ให้เห็นจิตใจท่านเป็นมหากุศลจริงๆ

ขอคุณช่วยแจ้งให้ท่านเจ้าของและผู้จัดการโรงพิมพ์ด้วยว่า ผมขอขอบคุณในเมตตาจิตของท่าน และขออนุโมทนาที่ทุกท่านมีเจตนาเป็นมหากุศล ขอให้คณะท่านทุกคนตั้งแต่ใหญ่ที่สุด ถึงเล็กที่สุด จงมีแต่ความสุขสมหวัง ปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้ตามความประสงค์โดยฉับพลันเถิด และขอให้รวยมากๆ ขึ้นไปตามลำดับไม่มีการถอยหลัง

(พระสุธรรมยานเถระ)

◄ll กลับสู่สารบัญ



10

วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙

คุณมหาถวัลย์ และญาติโยม นครราชสีมา และอ.บัวใหญ่

จดหมายของ คุณมหาถวัลย์ แจ้งรายละเอียดเรื่องอาหารที่ส่งมาสงเคราะห์ผมได้รับแล้วรู้สึกชื่นใจในเมตตาจิตของคุณมหาและบรรดาลูกหลานทุกคนที่เมตตาได้จัดของมาให้มากมาย และยังจะเมตตาต่อไปอีกเป็นการแบ่งเบาภาระกระผมมากเป็นพิเศษ

ขอขอบคุณทุกคนที่เมตตา ผมความดีที่เมตตาปรานีแด่ผม เพื่อสงเคราะห์น้องเล็กจากพี่ใหญ่คราวนี้ ขอจงดลบันดาลให้ทุกคนที่เมตตา จงมี่ความเป็นอยู่สมบูรณ์ มีความปรารถนาสมหวัง ตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด

เรื่องปลาร้าที่เกรงว่าเก็บไว้นานจะเสียนั้น เรื่องนี้เห็นจะไม่ต้องวิตกกังวลเพราะน้องเล็กของคุณมหาและพี่ใหญ่ทุกคนโปรดปรานปลาร้ามาก ๒ ปีบไม่เกิน ๑ เดือนแน่ เพราะปรากฏว่าก่อนคุณมหาส่งมา ผมซื้อมา ๒ ปีบ ปรากฏว่าไม่เต็มเดือน ปลาร้าล่องหนไปเรียบร้อยแล้ว

ที่เธอชอบปลาร้านี้ผมชอบใจมาก เพราะปลาร้ามีประโยชน์ในการรักษาไม่ให้โลหิตจางได้ และแก้โรคโลหิตจากได้ดีมาก นอกจากปลาร้า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว ยังมีปลาร้าทรงเครื่อง ปลาเจ่า และผักหญ้า ปลาป่นอีกมากมาย เป็นการที่เมตตาอย่างมหาศาล ปลาเจ่าที่กลัวจะเสียง่ายนั้น

ไม่ต้องวิตกกังวล เพราะเมื่อเธอได้รับก็จัดการเอาไปทอดกันทันที คงจะแซบอีหลีมาก รู้สึกกระปรี้กระเปร่ากันมาก เธอเป็นเด็กที่น่ารัก มาจากที่ต่างกัน เพราะโรงเรียงนี้ถ้ารับแต่เด็กรอบตัว จะมีเด็กเรียนปีละไม่ถึง ๓๐ คน

แต่นักเรียนที่เรียกอยู่เวลานี้ ๒๐๐ คนเศษ เป็นเด็กจากต่างจังหวัดเสียเป็นส่วนใหญ่ ทุกคนมีความตั้งใจเรียนดี มีความประพฤติที่แนะนำไม่ยาก ตั้งอยู่ในระเบียบวินัยดี สนใจในการเรียนดี ไม่ละทิ้งการเจริญภาวนา ผมคิดว่าคงสมแก่มูลค่าที่ทุกคนเมตตามา

เรื่องการภาวนานี้ มีนักเรียนโรงเรียนหนึ่ง เธอถามมาในนามโรงเรียกผมก็ไม่อยากจะให้เธอถูกเขม่นเรื่องที่เธอถาม ผมขออนุญาตตอบในรายการของคุณมหาเสียเลย
เธอถามมาว่า “การที่โรงเรียนให้เด็กนั่งภาวนาวันละ ๑๐ นาทีเมื่อเข้าห้องเรียนจะมีผลหรือ เพราะจิตใจไม่สงบ”

ในจดหมายของเธอ เธอแจ้งมาว่าเธอเคยฝึกกรรมฐานในหมวดของอภิญญามาแล้ว เมื่อไปพบครูในการทำสมาธิ ๑๐ นาทีในห้องเรียน และเด็กก็สนใจน้อย ทำประเภทภาวนากันครูลงโทษเพราะถ้าไม่ทำจะเป็นการขัดคำสั่งครู ตามที่เธอถามมาพิจารณาแล้ว เธอเห็นว่าไม่มีผลในการเจริญภาวนาเลย

เมื่อผมอ่านจดหมายของเธอแล้ว ผมก็คิดถึงตัวผมเองเมื่อสมัยเป็นเด็กเล็ก ท่านแม่เกณฑ์แกมบังคับให้ภาวนาว่า “พุทโธ” ก่อนจะหลับ ต้องว่าให้ท่านได้ยิน ๓ ครั้ง หรือ ๓ คำ แล้วก็หลับต่อไปได้ ผมก็ว่าตามท่านอย่างนี้เรียกว่า “ภาวนากันไม้เรียว”

เรื่องของพ่อหนูแม่หนูที่ถามมา ก็เห็นจะเป็นผู้มีอานิสงส์อย่างแน่นอน เหมือนอย่างผม คือไม่ถูกครูเขม่น เพราะไม่ภาวนา ถ้าจะว่าถึงอานิสงส์ คุณมหาคิดว่ามีอานิสงส์ไหม ผมคิดว่า คุณมหาคงตอบว่ามีอานิสงส์แน่ หรือคุณมหาจะคิดว่าอย่างอื่นไปจากนี้ก็ได้ แต่ผมขอยืนยันว่ามีอานิสงส์

ทั้งนี้เพราะอานิสงส์ที่ได้รับอันดับแรกคือ ครูจะไม่เขม่น และที่ได้ต่อไปคือ พักสมองไม่ต้องคิดเรื่องการเรียนชั่ว ๑๐ นาที แต่ก็ไม่แน่นักนะ ตอนที่ภาวนา ๑๐ นาที เธออาจภาวนาตามที่เธอต้องการก็ได้ คือคิดตามอารมณ์ที่เธอต้องการ อย่าให้บรรยายอารมณ์ที่เธอต้องการเลยนะ เพราะต่างคนต่างมีอารมณ์ตามใจชอบ

มาว่ากันถึงผลทางธรรม ถ้าเธอตั้งใจภาวนาจริง ใจสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง คิดตามอารมณ์บ้าง ตามแต่จะพึงได้ ผมว่ามีอานิสงส์ทางธรรมบ้างพอสมควร คุณครูน่าจะแนะนำว่า คนที่ภาวนาด้วยการตั้งใจอันดับแรก คำว่า “พุทโธ” นี้กันผีหลอกได้

เด็กจะเริ่มมีอานิสงส์ เพราะผีไม่หลอก นอกจากกันผีแล้ว ถ้าตั้งใจภาวนาด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้า ในช่วงเวลา ๑๐ นาที แต่มีผลคือ อารมณ์สงบสัก ๒ นาที อย่างนี้ใจจะเริ่มเยือกเย็นตามลำดับ เพราะอารมณ์สงบได้วันละ ๒ นาที มีผลไม่ใช่น้อย อารมณ์ ความสงบจะค่อยๆ รวมตัวกัน

จนในที่สุดสมาธิจะดี มีอารมณ์เยือกเย็น ความจำจะดี ความคิดอ่านด้านปัญญาจะดี จะกลายเป็นคนฉลาดและเรียนเก่งมาก จะเป็นเสน่ห์แก่ทุกคนที่ได้พบเห็น หรือคบหาสมาคมด้วย เพราะคนที่มีอารมณ์เย็นเพราะมีภาวนาช่วย หน้าตาจะแช่มชื่น ถึงรูปจะขี้เหร่ แต่ทุกคนจะเห็นว่าเป็นคนสวยและรวยเสน่ห์ เพราะเธอมีอารมณ์เย็น หน้าตาจะยิ้มแย้มแจ่มใส ใครเห็นใครชอบ

ผมอยากจะถามคุณมหาว่า คนที่พอเห็นหน้ากันแล้วพบกับอาการยิ้ม คุณมหาชอบไหม คุณมหาจะชอบหรือไม่ชอบผมก็เดายาก แต่สำหรับผมนั้นชอบมาก ตัวอย่างญาติโยมและลูกใหญ่ที่เมตตาน้องเล็กทุกคน เธอมีเมตตาภาวนา คำว่าภาวนา คือ อารมณ์ดี คิดถึงการสงเคราะห์

ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า “จาคานุสสติกรรมฐาน” การคิดว่าจะให้นี้ เป็นกรรมฐานสำคัญกองหนึ่ง ท่านเรียกว่า “จาคานุสสติ – จาคานุสสติกรรมฐาน” เป็นกรรมฐานสร้างความเป็นคนมีมหาเสน่ห์ เมื่อคิดจะให้ด้วยใจสงเคราะห์ ก็มีปกติยิ้มเสมอ

เธอมาที่วัด เธอเป็นคนน่ารัก หน้าตาสดชื่น อารมณ์รื่นเริง พบพวกเธอเมื่อไร ทำให้ผมหายป่วยไปเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะอารมณ์เธอดี สำหรับเด็กนักเรียนที่ครูให้ภาวนากันคนละ ๑๐ นาทีก็เช่นกัน ทำไประยะแรกเอากันแค่ภาวนากันครูเขม่นก่อน ต่อเมื่อมีอารมณ์เคยชิน จิตก็จะค่อยๆ มีสมาธิ เ

มื่อสมาธิเกิดขึ้น ปัญญาก็ค่อยๆ แจ่มใส ใจก็จะค่อยๆ มีอารมณ์รื่นเริง มีความสดชื่นตามสำดับ แต่ระวังครูจะสอนวิชาหน้าบูดให้เธอก็แล้วกัน คือครูอย่าทำตนเป็นคนหน้าบูด หน้าบูด คุณมหาอ่านให้ดีนะ ตัว บ. เขียนไม่เหมือนตัว ต. ไปจะอ่านออกเสียงผิดจากรูปเดิมไป กลายเป็นหน้าตูดไป

แต่คนที่ยิ้มไม่เป็นนั้น หน้าเธอเหมือนตูดจริงๆ เพราะตูดมีสัญลักษณ์พิเศษไม่เหมือนปาก ปากบึ้งยิ้ม แสยะแยกเขี้ยว เบี้ยวบูดได้ทุกอย่าง แต่ตูดเป็นนิตย์ คือ มีสภาพปกติ ยิ้มไม่เป็น ถ้าครูเอาปากเป็นตูดก่อนพูดยิ้มไม่เป็น ครูจะให้นักเรียนภาวนาเท่าไร อานิสงส์ที่ทำใจให้สดใสเยือกเย็นก็ไม่ปรากฏแน่

วันนี้ผมจะพูดมากไปแล้ว เป็นอันว่าคำถามของเธอดี ขอตอบสั้นๆ ว่ามีอานิสงส์แน่ สำคัญที่ครู ถ้าครูทำตนเป็นตัวอย่างในทางอารมณ์แช่มชื่น อานิสงส์ที่จะภาวนาก็มีผลมหาศาล แต่ทว่าครูมีหน้าไม่ชื่นบาน มีหน้าบูดอยู่เสมอ

ให้เด็กภาวนาสักกี่แสนชาติก็ตามไม่มีผลดีเลย มีแต่จะเสริมความกลุ้มให้แก่เด็ก ถ้าแม่หนูน้อยที่ถามมา ได้อ่านหนังสือนี้ ขอให้เธอเข้าใจตามนี้ด้วย เป็นการบังเอิญที่แค่คนถามเคยผึกหมวดอภิญญาให้เธอภาวนาอย่างนั้น เธอเลยเห็นเป็นของเด็กเล่นไปแก้ไขไม่ได้

ที่สุดนี้ ขอคุณมหา และญาติโยมที่เมตตา และพี่ใหญ่ของน้องเล็กทุกคนตลอดจนท่านสาธุชนที่มีเมตตาทุกท่านที่ส่งมาอุทิศ จงเป็นคนมีจิตแช่มชื่น มีความปรารถนาสมหวังตามที่ตั้งใจทุกคนเถิด

(พระสุธรรมยานเถระ)

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/12/10 at 14:40 [ QUOTE ]


11

ประมวลจดหมายจากหลวงพ่อ


ตอบจดหมายพระมหาถวัลย์

ความดีของ คณะพระมหาถวัลย์ วัดโพธิ์เมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา ความจริง คุณ มหาถวัลย์ กับคณะซึ่งมีชื่อเสียงมาก ใครบ้างก็ไม่ทราบ ตามจดหมายนี้มีมาแล้วนี่เขาพิมพ์มาด้วยก็ยังไม่ขออ่านชื่อนี้ทั้งหมด

เพราะว่าจะเป็นที่รำคาญของท่านผู้อ่าน ก็จะขอบอกถึงด้านความดีที่อนุโมทนา คิดว่า คุณมหาถวัลย์ ก็ดี คณะบริษัทก็ดี เมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๙ ได้นำคณะของท่านมาช่วยเยอะ ที่ว่ามาเยอะเพราะวันนั้นมีรถบัสมาจริง ๑๐ คัน คณะพระมหาถวัลย์ นำของมาช่วยคณะน้องเล็ก

คือว่าท่านเป็นพี่ใหญ่ คำว่า น้องเล็ก นี่คือ นักเรียน ร.ร.สุธรรมวิทยา ซึ่งเป็นภาระที่อาตมาต้องเลี้ยง เลี้ยง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นี่เกือบ ๑๐๐ คน เฉพาะปีนี้นะ ปีต่อไปก็เพิ่ม และก็เลี้ยง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมด ๑๐๐ เศษ เวลานี้มีนักเรียน ๒๐๐ เศษ

โรงเรียนนี้มีความประสงค์อย่างนี้ คิดไว้ตั้งแต่ต้นว่าจะสงเคราะห์เด็กที่ยากจนจริงๆ ตั้งแต่ให้กินถึงการศึกษา จบ ม.๖ ทุกอย่าง เรียกว่าทุกอย่างจะสงเคราะห์และในการศึกษาก่อนจะจบ ม.๖ จะให้มีอาชีพง่าย เช่น เย็บปักถักร้อย อย่างนี้เป็นต้น การเกษตร วิชาเครื่องยนต์ วิชาไฟฟ้า วิชชาพยาบาล

อย่างน้อยก็จะเลี้ยงเด็กปีต่อไป ๑,๒๐๐ คน หรือ ๒,๔๐๐ คนตามกำลังที่จะพึงทำได้ แต่ทว่าเงินทุนนี่สิมันไม่ค่อยจะมี เวลานี้ดอกเบี้ยธนาคารก็ลดลง ทำท่าจะหงายท้องอยู่แล้ว เงินที่เขาทำบุญมานี่ฝากธนาคารไว้ใช้ดอกผล ทีแรกมันก็พอ พี่ใหญ่สงเคราะห์น้องเล็ก ช่วยกันเป็นเงินบ้าง เป็นของบ้าง เยอะแยะ

ต่างคนต่างก็ช่วยกัน ก็พอประคับประคองไปด้วย แต่งานนี้ก็ไม่เลิก ถึงอย่างไรก็สู้กันเหงือกแห้งไปเลย จนกว่าจะตาย ถ้าบังเอิญมีทุนรอนมาก ก็สบายใจหน่อย ถ้ามีทุนรอนน้อยลูกกับพ่อมันก็ต้องเหมือนกัน

อาตมาซึ่งถือว่าเป็นพ่อเมื่อตอนย่อมๆ ก็ต้องกินข้าวกับน้ำปลา อย่างดีที่สุดบางวันมีปลาทูตัวเดียว กินเช้ากินเย็น ในเมื่อมีน้ำปลาผสมเค็มๆ มีพริกผสมเผ็ดๆ ซะหน่อยมันก็หมดเรื่อง กินแค่อิ่ม

นี่ท่าน มหาถวัลย์ กับ คณะอำเภอบัวใหญ่ มีชื่อว่าอะไรกันบ้างอยู่ในจดหมายฉบับนั้นแล้ว เธอก็นำของมามาก ท่านบอกว่าโอกาสนี้ ได้จัดหาสิ่งของที่พอจะประกอบเป็นอาหารสำหรับน้องเล็ก คือคณะที่มานี่เป็นพี่ใหญ่โตแล้ว น้องเล็ก นักเรียนสุธรรม

ได้นำของถวายอีกเช่นเคย มีปลากระป๋อง ๒ โหล ปลาร้า ๘ ปีบ ปลาร้านี่เธอรับว่าจะส่งเดือนละ ๒ ปีบ แบะปลาร้าดีๆ เสียด้วย ตัวใหญ่ๆ ไอ้น้องเล็กเธอก็ชอบปลาร้าทอด เจี๊ยะกันไม่มีละ วันไหนถ้าแม่ครัวแกงใส่ปลาร้าชูจมูกกันเป็นแถว ได้กลิ่นปลาร้าชอบใจมาก ไอ้ลูกนี่มันถูกใจพ่อเรื่องนี้พ่อเองก็ชอบใจปลาร้าเหมืนอัน

ผักกระป๋องอีก ๑ โหล น้ำมันพืชขวดใหญ่ ๑ โหล เส้นหมี่ ๔ ห่อ ขนมปัง ๑ ปีบ มาม่า ๓ กล่อง ฟักแฟง ๑๔ ลูก ฟักเขียว ๔ ลูก ฟักทอง ๑๘ ลูก ทั้งหมดนี้รวมถวายสังฆทานด้วย คือสังฆทาน เจตนาตั้งใจจะให้น้องเล็ก สงเคราะห์น้องเล็ก

นอกจากนั้นก็เอาเครื่องบูชามาเป็นสังฆทาน มีผ้าไตรจีวร พระพุทธรูป มีพระบรมสารีริกธาตุ โอย เอามากันใหญ่โต

รวมความว่าท่านพี่สงเคราะห์ นำทุกอย่างมาก มีเจตนาเป็นมหากุศลจริงๆ ก็ขออนุโมทนาความดีของทุกคน มี พระมหาถวัลย์ เป็นประธาน ที่มีเจตนาสงเคราะห์ลูก สงเคราะห์หลาน สงเคราะห์น้องเล็ก และสงเคราะห์อาตมา สงเคราะห์พระในวัดด้วย สงเคราะห์ทุกคนที่มาในวัดด้วย

เพราะอาหารการบริโภคของเธอ บางทีท่านก็มาเจริญกรรมฐานก็อาศัยด้วยเอาไปทำให้กินบ้างเหมือนกัน นี่สงเคราะห์เป็นสาธารณะ ขอทุกคนที่บำเพ็ญกุศลแล้ว จงมีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล และจงเจริญไปด้วยจตุพิธพรชัยทั้ง ๔ ประการ มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ ขอทุกท่านมีความปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ

และก็ พระมหาถวัลย์ นี่ได้รับอนุญาตทำพระ หรือทำเหรียญขึ้นมาเพื่อนแจกจ่ายแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ก็ขอให้ทราบว่าที่ มหาถวัลย์ ทำขึ้นมา ในนามของอาตมาปลุกเสก อันนี้ไม่ปลอม เป็นของจริง

เรื่องปลุกเสกที่วัดปิตุลาธิราช

เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๒๙ มีท่าน พระครูสง่า วัดปิตุลาธิราชรังสฤษฏ์ วัดเมือง ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา ท่านมากับทายกหวังจะนิมนต์ไปในงานของท่าน

ไอ้เรื่องนิมนต์นี้ ญาติโยมพุทธบริษัทอย่านิมนต์เลย ในวันที่ยังเดินไม่ค่อยไหว แค่ลงรับแขกนี่บางทีก็หน้ามืด ไปถึงที่รับแขกก็วิงเวียน มันเป็นบางวันเท่านั้นที่พอจะทรงกายไปได้ ท่านมานิมนต์มันก็ตรงกับวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๓๐ วันที่ ๓ มกราคม เป็น วันเป่ายันต์เกราะเพชร ที่วัดท่าซุง การเป่ายันต์เกราะเพชร นี่

จะเริ่มเวลาบ่ายโมง เริ่มเป่าครั้งแรก ทั้งนี้เพราะว่าจะเริ่มระบายคนที่มาก่อนจะได้กลับไปก่อน ไม่งั้นยัดเยียดกันมาก รถก็ออกไม่ได้ บ่าย ๔ โมงเริ่มอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็บ่าย ๖ โมงอีกครั้งหนึ่ง แล้วเลิก มีบางท่านขอกว่าขออีกครั้งหนึ่งบ่าย ๒ โมงได้ไหม จากบ่ายโมงถึง ๔ โมงนี่มันยังวุ่นอยู่เลย กว่าคนจะกลับเข้า กลับออก เพราะคนมาก

ดังนั้นของท่านที่ขอเลื่อนมาเป็นบ่าย ๒ โมง เป็นพิเศษน่ะมันไม่ได้ หนึ่งชั่วโมงนี่คนเข้าคนออกไม่เสร็จเคยทำมาแล้ว ก็ พระครูสง่าวัดปิตุลา ท่านมาขอให้ไปช่วยงานของท่าน

ก็เลยบอกว่าไปไม่ได้
ท่านบอกว่า เวลาวันงานจะตั้งที่ไว้ก็ขอบอกในที่นี้เสียเลยว่า ตั้งที่ไว้ได้ตั้งแต่วันเริ่มงาน จนกว่าจะถึงวันเลิกงาน
ได้แนะนำท่านว่าถ้าจะให้ช่วยทำเหรียญในนานของวัดนั้นให้ชื่ออาตมาปลุกเสก เอามาปลุกเสกวันเสาร์ห้า อันนี้ได้จะทำให้

ถ้าบังเอิญมีแจกที่นั่นให้ทราบว่า งวดแรกอาตมาทำให้จริง หากว่าท่านไม่เพิ่มก็เป็นของไม่ปลอม ถ้าเพิ่มมาไม่ได้ปลุกเสกเป็นของปลอม อันนี้อย่าทำแบบนั้นนะ

การที่ พระครูสง่า มาหา มาขอการสงเคราะห์อย่างนี้ช่วยได้ หลายวัดก็ช่วยได้ จะให้ไปเองน่ะไปไม่ไหว ในวัดตัวเองก็แย่แล้ว ทำอย่างนี้ดีกว่าไปโฆษณาว่าตัวเองเป็นฤาษีลิงขาว ลิงเขียว ลิงแดง ลิงดำ ลิงตุ่น ลิงเผือก ลิงโตก นั่นมันไม่ใช่ของดี เอาอย่างนี้ดีกว่าตรงไปตรงมา

ก็ขอยืนยันว่าจากคืนวันที่ ๒ มกราคม ถ้ากรรมการวัดเอาเหรียญไปที่วัด วัดปิตุลานี่ ชุดนั้นอาตมาปลุกเสกเนื่องในวันเสาร์ห้า จริงๆ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดีจงมีแต่ท่านผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี

(พระสุธรรมยานเถร)
๒๐ กันยายน ๒๕๒๙

◄ll กลับสู่สารบัญ


วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๙ ธันวาคม ๒๕๒๙

ลูกมหา และลูกๆ ทุกคน

งานที่ลูกจะตัดลูกนิมิต ผูกพัทธสีมานั้น พ่อตกลงใจมาในงานนี้ (ถ้าไม่ป่วยมากเกินไป) จะเดินทางมาวันศุกร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ แล้วพักที่กองพันทหารที่จันทึก (แผนกเสบียงสัตว์ที่ ๑) วันรุ่งขึ้น วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ฉันอาหารเช้าแล้วจึงมาในงาน กลับไปพัก จันทึก เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. รุ่งขึ้นวันที่ ๒๒ เดินทางกลับ

ขอผลงานของลูก จงสมบูรณ์แบบตามที่ต้องการ จงทุกประการ

(พระสุธรรมยานเถร)

◄ll กลับสู่สารบัญ



12

ปรารภถึงท่านผู้มีความดี

เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๐ อาจารย์ปฐม มาแจ้งให้ทราบว่า เธอมีหน้าที่จัดทำหนังสือ เนื่องใจงานถวายเพลิงศพ หลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า ขอเรียนท่านอย่างนี้ เพราะได้เรียกท่านมาอย่างนี้เป็นปกติ

วันนั้นเป็น วัน เป่ายันต์เกราะเพชร และอาตมาเองก็กำลังป่วยหนัก แต่เมื่อถึงวาระทำงานเพื่อท่านพุทธศาสนิกชน ก็ทำด้วยความเต็มใจ มันจะเป็นจะตายเรื่องของร่างกาย เมื่อ อาจารย์ปฐม เธอมาขอให้เขียนคำปรารภก็ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ขอเขียนตามความรู้สึกตามที่ได้พบกับท่านมา

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ หรืออาจจะไม่ตรงนัก เพราะนานมาแล้ว เวลานี้กำลังป่วยไม่แน่ในเรื่อง พ.ศ.ที่จะพูดถึงในปีนั้น คุณแม้นเทพ ศุภนคร มาเป็นสรรพากรจัดหวัดลำพูน อาตมามีโอกาสมาเยี่ยมเธอ ต่อมาวันรุ่งขึ้น

ได้ถามเธอว่าที่จังหวัดนี้มีพระที่ปฏิบัติธรรมชั้นดี พอมีไหม ขณะนั้นอาตมาเองยังเป็นเด็กที่เพิ่งจะลืมตาเห็นโลกได้ในระยะใกล้ มองไกลไม่เห็น เพราะยังต้วมเตี้ยมในธรรมปฏิบัติ จึงสนใจพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

เพื่อขอความรู้คำแนะนำจากท่าน คุณแม้นเทพ ศุภนคร ก็บอกว่า เห็นจะมีก็ วัดพระบาทตากผ้า ตามความรู้สึกว่าท่านปฏิบัติดีมาก
ก็บอกเธอว่า อยากไปนมัสการท่าน

ภรรยา คุณแม้นเทพ ได้ยินเข้า เธอก็ค้านว่าไม่ไหวแล้ว ท่านดีแต่ท่านไม่พูด เคยเอาผ้าป่าไปถวายตั้งหมื่นบาทท่านออกมานั่งเฉย เราพูดคำท่านก็ตอบคำ ไม่พูดต่อไป

อาตมาก็คะนองปากพูดล้อเธอว่า ถ้าไม่พูดก็เอาไม้ทิ่มปากเสียก็แล้วกัน จะได้พูดเป็น เป็นอันว่า ตกลงวันว่าวันรุ่งขึ้นไป วัดพระบาทตากผ้า เมื่อไปถึงแล้วคณะที่ไปด้วยก็เข้าไปหาท่านอาตมาก็ชมสถานที่ ดูการก่อสร้างที่มีอยู่แล้ว

ซึ่งคนนำทางบอกว่าส่วนนี้ ท่านครูบาศรีวิชัย ท่านสร้างไว้บ้าง ดูรอยเท้าที่ผู้แนะนำบอกว่า เป็นรอยพิเศษที่ท่านผู้มีอิทธิฤทธิ์แสดงรอยไว้

เป็นเวลาพอดีที่ คุณแม้นเทพ ออกมาจากที่รับแขกมาบอกว่านิมนต์เข้าไปได้แล้วครับ หลวงพ่อท่านออกมาแล้วครับ วันนี้ดีกว่าวันก่อน เพราะวันก่อนที่ผมมา ผมพูดคำท่านก็ตอบคำ วันนี้ดีกว่าวันนั้นมาก เพราะออกมานั่งหลับตาปี๋เลย ไม่พูดไม่จากับใครทั้งหมด

อาตมาฟังแล้วก็มีความรู้สึกว่า วันนี้คงพบละครโรงใหญ่ แสดงบทพิเศษแน่ ด้วยพระขนาดนั้นไม่รู้อะไรเลยไม่มีเว้นไว้แต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น เมื่อ คุณแม้นเทพ เตือน ก็เดินเข้าไป และนมัสการท่านด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ ไม่ใช่กายเคารพแต่ใจต่อต้าน เมื่อนมัสการท่านแล้ว
ท่านก็ทักทายปราศรัย คราวนี้พูดเก่งมาก พูดกับคนโน้นคนนี้ไม่หยุดปากเลย

ขณะที่ท่านพูดอยู่ อาตมาก็คิดในใจว่า ท่านบรรลุขั้นไหน ที่คิดอย่างนี้ไม่ใช่อวดวิเศษ คิดด้วยความชื่นชอบในปฏิปทาของท่าน เมื่อคิดอย่างนี้แล้วอารมณ์ใจที่ใช้เป็นปกติก็อยากรู้กำลังใจ

แต่ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เป็นเรื่องจริงที่หาได้ยาก นั่นก็คือ มองใจท่านไม่เห็น มืดตื๋อไปหมด ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ท่านมืด แต่เป็นเพราะอาตมาพบของจริงเข้า นั่นคือ เด็ก ไม่สามารถเสมอผู้ใหญ่ได้ หรือคนตามัวไม่สามารถเห็นอณูเล็กๆ ได้ นั่นก็คือ อาตมาที่อารมณ์ใจเลวกว่าท่านมากจึงไม่สามารถเห็นอารมณ์ใจของท่านได้

ทันทีที่ต้องการรู้อารมณ์ใจของท่าน ท่านก็หันมา พูดทันทีว่า คนเรานี่แปลกนะเห็นคนอื่นเขาได้ ก็คิดว่าตนเองจะได้บ้าง ท่านพูดตรงกับอารมณ์ที่นึกอยู่พอดี จึงแน่ใจว่าท่านองค์นี้เป็นพระที่ควรบูชาอย่างยิ่งองค์หนึ่ง

เมื่อลาท่านออกมาแล้ว ทุกคนต่างพูดถึงท่านด้วยความแปลกใจว่า ไม่ว่าเราจะคิดอะไร ท่านหันมาพูดเรื่องนั้นตามที่เราคิดทันที เป็นอันว่าวันนี้ทุกคนพบของแข็ง แต่ของแข็งนี้เป็นความแข็งของเพชรน้ำหนึ่งในพุทธศาสนา

คุยกันตามลำพัง

เมื่อถึงเวลาพอสมควร ทุกคนก็อำลาท่านเพื่อกลับ ก่อนกลับก็ชมสถานที่ก่อน ตอนนั้นอาตมาขออนุญาตคุยกับท่านตามลำพัง เมื่อปลอดคน

ก็เรียนถามท่านว่า “ท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือตัดตรงไปเลย”
ท่านตอบว่า “ตัดตรงไปเลยดีกว่า” เป็นอันทราบว่า ท่านมุ่งอะไร
จึงถามท่านต่อไปว่า (คำถามตอนนี้ ฟังดูแล้วเหมือนคำถาม แต่พระที่ท่านปฏิบัติได้แล้วท่านตจะทรายว่า ไม่ได้ถามเพื่อต้องการศึกษา เป็นการถามถึงผลที่ได้แล้ว) ได้เรียนถามท่านถึง สังโยชน์สิบบอกท่านว่าต้องการศึกษา

ท่านยิ้ม แล้วท่านก็อธิบายย่อ สังโยชน์ ถึงข้อห้า แล้วกลับต้นใหม่ รวม ๓ รอบ ท่านบอกว่า “ผมเข้าใจจริงๆ เท่านี้เองครับ”
ฟังแล้วเมื่อเทียบกับตำราที่เคยรับทราบมา ถ้าตำราไม่โกหก ก็ต้องยอมรับว่าท่านบรรลุ พระอนาคามี เมื่อคิดว่าเวลานี้ท่านทรง อนาคามี และกำลังอยู่ใน อรหัตมรรค มองหน้าท่านไม่ได้พูดด้วยวาจาท่านมองหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม
ท่านพูดออกมาโดยที่ไม่ได้ถามว่า “ใช่แล้ว”

เมื่อหมดความข้องใจแล้ว ก็คุยวิธีการปฏิบัติ ด้วยเวลานั้นอาตมาก็มีความรู้แค่งู ไม่ถึงปลาทั้งนี้หมายถึงความรู้ในด้านการปฏิบัติธรรม มีความรู้กระจุ๋มกระจิ๋มจริงๆ แล้วขณะนั้นก็ไปอยู่สำนัก ของปาดที่อยู่ในถ้วยน้ำพริกครอบ จึงก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า เพราะเพื่อนช่วยกันต้านทานทุกวิถีทางแต่ก็ไปได้เรื่อยๆ เมื่อขอศึกษากับท่าน

ท่านก็แนะนำ สังโยชน์ สิบ อธิบายสั้น แต่หมดข้อข้องใจแล้วท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไรนะ จากนี้ไปไม่กี่ปี อาจไม่เกินสี่ปีก็เข้าใจหมดทุกอย่าง พยายามท่องจำไว้แล้วกัน” เมื่อหมดภารกิจก็ลาท่านกลับ

ก่อนจะกลับท่านจับมือสองมือไปกำแน่นแล้วท่านก็บอกว่า “ดีใจมากนะ ที่เราได้พบกันและเข้าใจในกัน อย่าลืมนะไม่เกินสี่ปีท่องจำให้ดีจะเข้าใจ สังโยชน์ ทั้งสิบ” ในที่สุดก็ลาท่านกลับ

เมื่อพบพระดี ดีทั้งปริยัติและดีทั้งปฏิบัติ ท่านมีวิริยะ และอุตสาหะ เป็นพิเศษ ท่านบอกว่าตั้งแต่บวชท่านธุดงค์ตลอดมา เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาอยู่ใกล้วัดไหน ก็อาศัยวัดนั้นจำพรรษาออกพรรษาก็อำลาจากวัดนั้นไปอยู่ป่าอยู่เขาธุดงค์ต่อไป

เมื่ออายุ ๕๕ ปี ญาติโยมอาราธนาให้เป็น เจ้าอาวาสวัดพระบาทตากผ้า ท่านก็สงเคราะห์พุทธศาสนิกชนตลอด เวลานี้ท่านมรณะแล้ว คือกายดับ ประสาทดับ การท่องเที่ยวคงดับด้วย ข้อนี้ช่วยกันดูด้วยนะ ท่านดับการท่องเที่ยวด้วยหรือไม่ อาตมาไม่ทราบตามที่พูดกับท่าน แต่ตามความรู้สึกทางใจคิดว่า ท่านยอมแก่ด้วยประการทั้งปวงแล้วท่านคงขี้เกียจเที่ยวต่อไป

อาตมาขออนุโมทนา ที่ท่านทั้งหลายพบพระดี แต่ละท่านก็เก็บความดีของท่านมาใช้มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังใจที่พึงรับได้ ก็ต้องถือว่าทุกคนมีโชคดี ที่พบพระสุปฏิปันโนแท้ๆ ไม่ใช่ยัดใส้ หรือไม่มีอะไรปลอมไว้ภายใน เมื่อท่านพบพระดี ได้ของดีไว้ใช้ จะมากน้อยเพียงใดนั้นไม่แปลก ต้องถือว่าทุกคนมีดี จงพยายามรักษาความดีนั้นไว้อย่าให้สลายตัว

สำหรับอาตมา ต้องถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่ชี้ทางตรงให้ และก็ตั้งใจเคารพท่านตลอดเวลาขอท่านพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนหน้า จงบูชาความดีของท่านด้วยการปฏิบัติตาม ทุกท่านจะไม่พลาดจากผลของความดี คือความสุขตลอดกาล

พระสุธรรมยานเถร

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/1/11 at 13:02 [ QUOTE ]


13
วัดสะพาน ต.ท่าชัย อ.เมือง จ.ชัยนาท
๗ กันยายน ๒๕๑๐
ลูกตุ๋ย และอาทร
จดหมายของ ลูกตุ๋ย ลงวันที่ ๔ กันยายน พร้อมด้วยยาสองขนานที่ส่งมาให้นั้น ได้รับและทราบความตลอดแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๖ กันยายน เวลารับ ๑๑.๐๐ น. พอดี

ขอบใจที่ ลูกตุ๋ย ส่งยาและข่าวให้ทราบ และดีใจที่ ลูกตุ๋ย ได้ปรับปรุงเป็นนักเทศน์ชั้นดี สามารถโน้มจิตใจคนที่ไม่มีความเลื่อมใสในพระศาสนาให้เป็นคนมีความเลื่อมใสในพระศาสนา จัดว่าเป็นการทำความดีอย่างมหันต์

เพราะเป็นการให้ธรรมทานโดยตรง การให้ธรรมทานนั้นเขาก็ให้กันอย่างนั้น ไม่ใช่หมายความว่าจะต้องขึ้นธรรมาสน์เทศน์ การขึ้นธรรมาสน์เทศน์นั้น อาจไม่ใช่ให้ธรรมเป็นทานเสมอไป ในบางโอกาสผู้เทศน์อาจมุ่งไปในทางขายธรรมเพื่อเลี้ยงชีพก็ได้

เพราะถ้ามุ่งสอนธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทนเขาจะให้หรือไม่ให้ก็เทศน์เทศน์เพื่อให้ผู้ฟังหวังไพบูลย์ คือมุ่งสวรรค์นิพพานเขาให้มาก็ไม่ดีใจให้น้อยก็ไม่หนักใจ ไม่ให้เลยก็ไม่บ่น อย่างนี้เป็นธรรมทาน ถ้าเขาให้มากดีใจให้น้อยหนักใจไม่ให้เลยบ่น

อย่างนี้เป็นพวกขายธรรมเพื่อขอทาน คือขายธรรมเลี้ยงชีพ ทางศาสนาเรียกว่า อุปสมชีวิกา แปลว่า อุปสมบท (บวช) เพื่ออาศัยศาสนาเลี้ยงชีพเอาตัวไม่รอดมีอบายเป็นที่ไป

การประกาศพระศาสนา คือสอนธรรมหรือแสดงธรรมที่ดีนั้น การเทศน์บนธรรมาสน์ไม่ได้ผลเท่าที่ควร เพราะผู้เทศน์เทศน์ไปตามอารมณ์ของตนฝ่ายเดียวไม่เข้าถึงจุดประสงค์ของผู้ฟัง การเทศน์ก็ยาวเกินควร

ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนคนได้ดีและบรรลุมากมายนั้น ท่านสอนด้วยวิธีคุยกันเป็นส่วนมากแบบคุยกันนี่เองใครสงสัยก็ถามได้ เทศน์แบบนั่งธรรมาสน์ไม่ค่อยปรากฏนักนานๆ จะมีสักครั้งส่วนใหญ่ก็นั่งคุยกันอย่างเข้าถึงจิตใจผู้รับฟังได้ง่าย เพราะรู้จิตใจและความต้องการของผู้รับฟัง มีผลเกินกว่าที่คิดไว้

อานิสงส์ให้ธรรมทานโดยย่อก็คือ
๑. ผู้ฟังเข้าใจง่าย เพิ่มความสนใจเพราะสอบถามข้อสงสัยได้
๒. ผู้ฟังย่อมเต็มใจฟัง และยอมรับนับถือในข้อธรรมนั้นๆ เป็นเหตุให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงได้โดยง่าย สามารถเปลื้องมานะทิฏฐิความถือตนว่าวิเศษเพราะความเห็นผิดเสียได้

๓. ทำให้ผู้ฟังมุ่งประพฤติดีประพฤติชอบตัดความฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุเสียได้ตามสมควร เช่น เว้นสุรา เว้นการฟุ้งเฟ้อในการแต่งกาย บริโภคอาหารตามสมควร ไม่กินทิ้งกินอวด กินเพียงแค่การกินอิ่ม เป็นการลดค่าครองชีพลงได้มาก เป็นการเสริมความสุขในความเป็นอยู่ได้ไม่น้อยเลย

๔. ทำให้ผู้ฟังพ้นจากอบายภูมิได้โดยธรรม
๕. ผู้แสดงธรรมย่อมมีอานิสงส์ ทำให้ได้มรรคผลได้โดยง่าย เพราะการแสดงธรรมจิตย่อมว่างจากกิเลส เมื่อว่างบ่อยๆ หนักๆ เข้าก็ว่างไปเลย

ลูกตุ๋ยทำถูกแล้วพ่อขออนุโมทนาด้วย.........ฯลฯ.....................
พระมหาวีระ ถาวโร
◄ll กลับสู่สารบัญ



วัดสะพาน ต.ท่าชัย อ.เมือง จ.ชัยนาท
๑๗ กันยายน ๒๕๑๐

ลูกตุ๋ย และอาทร
จดหมายของลูกและธนาณัติถึงพ่อแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน เวลา ๑๑.๔๕ น. ตรง แต่พ่อมารับวันนี้พร้อมกับจดหมายและโทรเลขแจ้งให้ลูกทราบพ่อขอบใจในความห่วงใยของลูกและ อาทร ที่มีความห่วงใยในพ่อ พ่อมีความสุขใจมาก ในโอกาสที่ลูกทั้งสองให้อุปการะ เพราะไม่ต้องห่วงอาหารและยาที่เป็นภาระจำเป็นยิ่งของชีวิตพ่อ ขอความดีนี้จงสนองลูกทั้งสองให้บรรลุถึงพระนิพานในชาตินี้เถิด

ปัญหาในการปฏิบัติกรรมฐานเรื่องการสมาทานและจุดธูปเทียน ตามปกติท่านที่ปฏิบัติมาจนบรรลุผลเบื้องสูง และบรรลุแล้วท่านก็สมาทานตอนเช้าและตอนเย็นอย่างลูกทำ ในเวลาระหว่างกลางวันและกลางคืน ท่านก็ทำตามปกติหมายความว่าไม่ต้องสมาทาน และไม่ต้องจุดธูปเทียน

เว้นไว้แต่ว่าท่านจะนึกครึ้มใจขึ้นมา ท่านก็จุดท่านขี้เกียจท่านก็ไม่จุด เพราะการสมาทานตอนเช้าและตอนเริ่มค่ำ เป็นการสมาทานครบถ้วนเผื่อไว้แล้ว นักทิพยจักษุญาณ ที่เขาใช้ญาณตลอดวัน เขาก็ทำอย่างนั้นทั้งนั้น ลูกทำถูกแล้ว

อารมณ์กรรมฐานที่ถามมาว่าในขณะที่ทำสมาธิแล้ว มีอาการเคลิ้มคล้ายหลับแต่หูยังได้ยินเสียง ยังดึงอารมณ์ให้สว่างไม่ได้นั้นอย่างนี้ไม่ผิด เพราะอาการสงัดเป็นอารมณ์ของฌาน และที่มีความรู้สึกไม่ปล่อยให้หลับสนิทนั้น เป็นตัวสติสัมปชัญญะ ก็ถูกต้องแล้วไม่มีอะไรผิด

แต่ฌานนั้นยังมีอารมณ์หยาบอยู่ จะเร่งรัดให้สว่างโพลงยังไม่ได้ ค่อยทำค่อยไปจะค่อยๆ สว่างขึ้นเอง ลมหายใจในเมื่อมันละเอียดเบาลง ก็อย่าบังคับให้มันหยาบ มันเบาก็ปล่อยมันเพราะอารมณ์ที่มีลมหายใจเบามากเพียงใด เป็นระดับฌานอันดับสูงและละเอียดเพียงนั้น ความรู้ตัวไม่ลืมสติเป็นอารมณ์ของฌาน แต่เมื่อถึงที่สุดจริงๆ มันจะไม่รู้ตัวเลย ทั้งๆที่คอยระวังอยู่ อันดับนั้นเป็นฌานสี่ละเอียด

การที่ให้คอยไม่ให้เคลิ้มก็เป็นการป้องกันการปล่อยให้หลับใน การหลับในด้วยกำลังเจริญสมาธิอยู่นั้น เป็นหลับในฌาน เป็นบุญเหมือนกันแต่ผลน้อย สำนักในพระนครเคยจับเอาตัวอธิฐานหลับในสมาธินี้เป็นผลสมาบัติมาแล้ว เป็นการหลงผิดถนัด พ่อจึงเตือนลูกไว้ไม่ให้หลงผิดอย่างนั้น

ถ้าเวลายังระวังอยู่มันจะหมดความรู้สึก ทั้งๆ ที่คอยระวังนั้นเป็นความดี ไม่ผิด เป็นหนทางถูก เพราะเป็นฌานสี่ละเอียด ฌานสี่ละเอียดนั้น ต้องดับทั้งตาภายนอกและหู หูไม่ได้ยินอะไรเลย ทั้งนี้เพราะฌานสี่กายกับจิตแยกกันเด็ดขาด ไม่มีความสัมพันธ์กัน

แม้แต่ร่างกายที่มีลมหายใจเดินตามปกติ จิตใจยังไม่ยอมรับรู้ เธอจะหายใจอย่างไรก็เชิญ ฉันไม่เอาธุระด้วย ที่ว่าไม่หายใจก็เพราะจิตใจไม่ยอมรับรู้ว่าหายใจ ความจริงแล้วลมหายใจยังคงมีเป็นธรรมดา

ในฌานต้นๆ นั้น ที่มีความรู้สึกตัวน้อย คล้ายอาการเคลิ้มหลับทั้งๆ ที่คอยระวังอยู่ก็เพราะจิตเริ่มแยกจากกายไปทีละน้อยๆ เริ่มตั้งแต่ปฐมฌาน เริ่มไม่สนใจกับกาย โดยที่ประสาททางกายได้ยินเสียง จิตก็รู้ แต่จิตไม่ยอมเอาเรื่องด้วยได้ยินก็ได้ยินไป ฉันมีงานของฉัน คือการกำหนดลมหรือภาวนา ฉันก็จะทำงานของฉันตามปกติ ไม่เอาเรื่องกับเสียง จึงไม่รำคาญในเสียงเมื่อได้ยินเสียง

มาตอนฌานสอง จิตแยกออกมากหน่อย แม้แต่องค์ภาวนาที่ต้องคิดคำนึงจิตก็ไม่ต้องการวางเสียงไม่ยอมภาวนาและคิดคำนึง เอาแต่อารมณ์ชุ่มชื่นปราโมทย์ในธรรมปีติเป็นสำคัญ ตอนนี้เสียงที่ได้ยินจะรู้สึกเบากว่าฌานที่หนึ่ง ลมหายใจก็จะเบากว่าแสดงว่าจิตแยกจากายมากขึ้น

เอาแต่ความรู้สึกอิ่มเอิบไม่ยุ่งกับความรู้สึกนึกคิดในอารมณ์ต่างๆ ที่เนื่องด้วยกาย อันกิเลสจะชักนำให้ออกภายนอกสนใจแต่ธรรมปีติอันเป็นภายในโดยเฉพาะ ตอนนี้ก็มีอารมณ์ละเอียดคล้ายหลับแต่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่หลับ แต่มีอารมณ์สงัดจากอารมณ์ภายนอกมาก

ต่อมาเมื่อเข้าฌานที่สาม จิตจะแยกออกจากกายมากขึ้น จนไม่ยอมรับอารมณ์ความสุขสดชื่นทางกายอย่างในฌานสอง ปล่อยความปลาบปลื้มด้วยธรรมปีติออกเสีย เหลือไว้แต่ความสุข ที่มีอารมณ์แห้งแล้ง เป็นความสุขที่ปราศจากความปลาบปลื้ม มีอาการดังนี้

หูได้ยินเสียงแต่จิตมีอารมณ์ดิ่งในสมาธิมีลมหายใจน้อยๆ อ่อนระรวย อาการทางกายเสมือนดูเครียดมากคล้ายถูกมัดตรึงเอาไว้อารมณ์ไม่ดับสนิท แต่ความรู้สึกปล่อยอารมณ์ภายนอกหมด ใครจะกระโดดโลดเต้นอย่างไร ไม่สนใจทั้งสิ้นถ้าปล่อยไม่ควบคุมอาจหลับไป

ฌานสี่ในตอนต้น จะรู้สึกว่าไม่หายใจ แต่ความแว่วเสียงยังปรากฏเล็กน้อยได้ใหม่ๆ จะมีอาการเหมือนหลับและมืด จัดเป็นฌานหยาบใช้ไม่ได้ต้องตั้งสติสัมปชัญญะให้ดี คุมองค์ภาวนาและลมหายใจไว้

อย่าปล่อยสติให้เคลิ้ม ในที่สุดมันก็จะหยุดหายใจอีก และดับสนิทไปเลย ไม่รู้อะไรเป็นอะไรอย่างนี้ เป็นฌานสี่ที่สมบูรณ์ เพราะแยกกายกับจิตได้เด็ดขาด การที่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่เสียงขยายเสียงที่ส่งเสียงอยู่ใกล้หู นั่นเป็นอาการที่แยกกันแล้วระหว่างกายกับจิต

ลูกอยู่บ้านกลางวันจงหมั่นเปิดวิทยุแล้วทำไปด้วย พยายามเอาชนะเสียงให้ได้ อย่าตามใจตัวเอง ผัดเวลากัน ทำในยามสงัดบ้าง ทำในระหว่างมีเสียงบ้าง ถ้าชนะได้ก็เป็นปกติ คือไม่ได้ยินเสียงเลยได้แล้วจงภูมิใจได้ว่า เราก็เริ่มเป็นนักฌานปฏิบัติได้ แล้วจงซักซ้อมกับวิทยุไว้เสมอๆ ปล่อยให้เป็นกีฬาประจำวันทีเดียว ทำอย่างนี้จึงจะชื่อว่านักสมาธิปฏิบัติแท้

ถ้าชนะเพียงไม่รำคาญในเสียง ยังถือว่าใช้ไม่ได้ ต้องชนะแบบไม่รู้ว่ามีเสียงวิทยุด้วยจึงจะใช้ได้ ต่อไปก็กำหนดเวลาคิดว่าเราจะทำเพียงเวลาเท่านี้เราจะออกจากสมาธิ พอได้เวลาพอดี จิตมันจะระงับไม่ลง จะโพลงเป็นปกติ เหมือนคนตื่นจากความหลับ ถ้ากำหนดเวลาได้ ควรทำไว้เสมอๆ เพื่อผลในสมาบัติ และอย่าประมาทว่าทำได้แล้วไม่ต้องสนใจ

อย่างนี้ไม่ได้แน่ถ้าได้แล้วต้องขยันหมั่นเพียรทำทุกวันวันละมากๆ ครั้ง ตามแต่โอกาสจะอำนวย ทำทั้งวันให้จิตตั้งเป็นฌานไว้เสมอ คือเวลาสงัดก็เข้าฌานสี่ ยามมีเพื่อนพูดคุยก็อยู่ในอุปจารฌานอย่างนี้จึงจะสมควรแก่การเป็นนักปฏิบัติ เพราะแม้พระพุทธเจ้าเองพระองค์ก็ทำอย่างนี้เป็นปกติ การรักษาอารมณ์ปกติจะกำหนดลมหายใจไว้หรือภาวนาคาถาอะไรก็ได้ตามถนัดที่จะคล่อง

เวลาฟังเทปมีอารมณ์ปลอดโปร่ง รู้ลมหายใจเข้าออก และคิดตามไปด้วยนั้นถูกแล้ว ไม่ควรปล่อยให้อารมณ์เคลิ้ม เพราะฟังเทปเป็นอารมณ์วิปัสสนาเราต้องการอารมณ์โปร่งมีสติสัมปชัญญะมีสมาธิพอควรที่พอคิดตามได้

ท่านเรียกว่าอุปจารสมาธิและใคร่ครวญคิดไปตามเสียงเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงด้วย ปัญญาญาณ คือมีอารมณ์ฌานเล็กน้อยเข้าช่วยท่านเรียก ปัญญาญาณ อย่าปล่อยให้เคลิ้ม การปล่อยให้เคลิ้มนั้นผิดความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ตอนนี้ท่านให้คิด ไม่ได้ให้หลับ ควรบังคับจิตให้ทรงอยู่ในระดับนั้นเวลาฟังเทป

พระที่วัดนี้ทั้งหมดมี ๑๘ องค์และมีเณรอีกหนึ่งองค์ของจัดสำหรับพระ ๑๘ องค์ก็แล้วกัน และเณรอีกหนึ่งองค์รวมเป็น ๑๙ ชิ้น
ไตรครองควรรวมกับ คุณน้อย คนละครึ่ง เพราะเขาเป็นเจ้าภาพ เอาคนละครึ่งมีอานิสงส์เต็มด้วยกัน
ของ บิดาฉลวย ใช้พระในพิธี ๕ รูปของที่บอกมาครบแล้ว

ขณะนี้ทาง วัดสิงห์ ส่งเงินล่วงหน้ามา ๗๐๐ บาท ส่วนของ โยมละมูล เอง และ ม่วยเกี๊ยะ เขาบอกว่าจะเอามาวันทอด คิดว่าทาง วัดสิงห์ คงได้สักพันบาท

วันนั้นกลับไม่เหนื่อยนั่งสบายตลอดทาง แต่ตอนใกล้ถึง ชัยนาท ร้อนจัดหน่อย เพราะกำลังใกล้เที่ยงไม่ถูกฝนเลยเพราะขอท่านปู่ไว้อย่างนั้น ทาง อำเภอสวรรค์ ไปมาแล้วเป็นความจริงตามคาดไว้ แกขอร้องให้ไปเป็นเจ้าอาวาส ไม่รับแกหรอกเพราะเข็ดตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่จะรับเป็นที่ปรึกษาให้ในเมื่อเขาข้องใจ....ฯลฯ....
ขอยุติทีนะ ขอลูกทั้งสองจงเจริญทั้งโลกและธรรมปฏิบัติเถิด

(พระมหาวีระ ถาวโร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


วัดสะพาน ต.ท่าชัย อ.เมือง จ.ชัยนาท
๒ ตุลาคม ๒๕๑๐
ลูกตุ๋ยและอาทร
คณะเดินทางกลับจาก นครราชสีมา ได้กลับถึงที่อยู่แล้วด้วยความปลอดภัยไม่มีอะไรขลุกขลักในเวลาเดินทางเลย มาถึง ชัยนาท เวลา ๑๒.๑๕ นาทีตรง รู้สึกว่ารถวิ่งมาเร็ว เวลามาของรถตามที่ได้สังเกตระยะทางเมื่อมาได้เวลาโดยประมาณดังนี้

ออกจาก นครราชสีมา เวลา ๖.๕๐ น. ถึง ปากช่อง เวลา ๗.๓๐ น. รถจอด ปากช่อง ประมาณ ๑๐ นาที ถึงสระบุรี ๘.๓๐ น. ออกจาก สระบุรี ๘.๔๐ น.ถึง พระพุทธบาท ๙.๐๐ น. ถึง ลพบุรี ๙.๒๒ น.

จอดรถรับประทานอาหารเช้าที่ ลพบุรี ออกจาก ลพบุรี ๙.๕๒ น. ถึง โคกสำโรง ๑๐.๓๖ น. ออกจาก โคกสำโรง ๑๐.๔๕ น. ถึง ตลาดหนองม่วง ๑๑.๐๐ น. ฉันท์อาหารเพลจากตลาดตลาดหนองม่วง

มาในรถ ผัดดอกกะหล่ำปลีมีประโยชน์มากเพราะอ่อนและมีรสเค็มพอเหมาะ เคี้ยวก็ง่ายเลยกลายเป็นอาหารชูโรง เวลา ๑๑.๔๕ น. ถึงตลาดตาคลี ถึงชัยนาทเวลา ๑๒.๑๕ น. พอดี

เมื่อรถมาถึง ตลาดปากช่อง ป้ากลิ่น เกิดปวดฉี่สงสารแกมาก แกเดินกะโผลกกะเผลกไปฉี่ พอเวลาไปนิดหน่อย รถบีบแตรแป๊ด แกคิดว่ารถจะออกแกรีบเดินกลับมาที่รถ ความรีบของแกทำให้แกเดินเหมือน มโนราห์ มองดูแล้วรู้สึกสังเวชใจในความเกิดมาเป็นมนุษย์

คิดว่าเมื่อแกเป็นสาวถ้ารูปร่างอย่างนี้คงไม่มีใครต้องการแต่งงานด้วย ตอนเป็นสาวแกคงปราดเปรียวสะโอดสะองน่าพิสมัยมาก มาบัดนี้เวลาเลยมาไม่กี่สิบปี แกก็มีสภาพเป็น มโนราห์ เสียแล้ว ป้ากลิ่น มีสภาพอย่างไรเราก็มีสภาพอย่างนั้น ความทรุดโทรมมันเล่นงานไม่ว่าใคร

ไม่ช้าเราและแกตลอดจนสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตต่างก็จะกลายเป็นอดีตไปตามๆ กัน ความเสื่อมความสลายเป็นกฎธรรมดาอย่าคิดรังเกียจคนอื่นเลย ถ้าคิดว่าจะรังเกียจคนอื่นก็จงรังเกียจตัวเองก่อน เพราะความเสื่อมของคนอื่นนั้นอยู่ไกลจากเรามาก แต่เจ้าความเสื่อมที่มันเกาะตัวอยู่มันใกล้มาก หาทางรังเกียจมันให้มากๆ หาทางพ้นมันด้วยการยอมรับนับถือกฎธรรมดา

อย่าหวั่นไหวพรั่นพรึงต่อความเสื่อมและมรณภัย มันมาถึงก็รับรองมัน เมื่อมายังไม่ถึง ก็จงคิดไว้เสมอว่าสักวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้เราจะต้องพบกับมันแน่นอนคิดไว้ทุกเวลาตลอดวันตลอดคืน และทุกลมหายใจเข้าออกจะถึงนิพพานเร็ว

ประจวบ มาบอกว่าวันที่ ๔ ตุลานี้ คุณนินนา จะเอาโต๊ะหมู่ทองมาถวายทราบว่าเป็นโต๊ะหมู่ทองขนาดกลาง เขาจะมาเลี้ยงเพลพระทั้งวัด

ขณะนี้สุขภาพของพ่อดีไม่มีอะไรน่าวิตก แข็งแรงและปกติทุกอย่างไม่ต้องกังวลมากนะ เรื่องพิมพ์หนังสือแจกฉันบอกงดไปแล้ว เพราะทาง โรงพิมพ์ปากน้ำโพ เสนอราคามา ๓,๗๕๐ บาท (สามพันเจ็ดร้อยห้าสิบบาท) เห็นว่าแพงเกินและเห็นว่าความจำเป็นยังมีน้อยจึงบอกระงับไว้ก่อน

ด้วยคิดว่าถ้าแพงอย่างนี้ก็ควรให้แพงถึงสี่พันหรือห้าพันไปเลย คือแก้ไขให้ครบถ้วนเท่าที่เขียนไว้นั้น ตอนปฏิบัติจริงย่อมากเกินไป เมื่อจะพิมพ์ก็ควรมีแบบปฏิบัติครบถ้วนจึงจะสมควรจะค่อยๆเขียนต่อไป จนกว่าจะมีทุนพิมพ์

ถ้าหากทุนในเมื่อมีชีวิตไม่ได้ ลูกตุ๋ย พิมพ์แจกในงานศพพ่อก็แล้วกัน เล่มนี้จะทำให้ครบทั้งประวัติการปฏิบัติธรรมด้วยและตัวอย่างอื่นๆ ของครูบาอาจารย์ตามสมควร
มาถึงได้สักครู่ คุณน้อย แกมาพอดี แกปรารถว่าแกจะซื้อไตรครองเอง ได้บอกแกว่า ลูกตุ๋ย จะเข้าหุ้นไตรครองด้วย คือซื้อไตรเดียวกัน แต่ออกเงินกันคนและครึ่งแกตกลงด้วยแล้ว

ระยะนี้ฝนตกชุก คืนนี้มีนักปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีกหลายคน มีคนได้อภิญญา มโนมยิทธิ อีกสองคน บางคนเริ่มได้ใหม่ๆ ยังไม่เห็น แต่พอกระโดดพึบพับได้บ้าง เลยปล่อยให้แกโดดไปตามอารมณ์ พ่อโดดกันโครมครามสนุกดีเหมือนกัน

ลูกตุ๋ย และ อาทร อย่าให้เตรียมพร้อมไว้ ตามที่สมเด็จสั่งเมื่อตอนพ่อจะกลับอย่าพอใจในภาพที่เห็น จงหาความสงัดของอารมณ์เป็นสำคัญเมื่อจิตสงัดและท่องเที่ยวได้แล้วมีอะไรๆ ดีกว่าการเห็นภาพเยอะ ถ้ามัวอยากเห็นอะไรต่ออะไรอยู่แล้วจิตจะซ่านเกินสมควร สมาธิจะไม่มีกำลังและจงพยายามแก้ไขอย่าให้เคลิ้มถืออารมณ์สว่างเป็นสำคัญ แล้วถึงจะดี

ที่สุดนี้ขอลูกทั้งสองจงประสบผลไพบูลย์ในสมณธรรมสมความปรารถนา

(พระมหาวีระ ถาวโร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๖ มีนาคม ๒๕๑๑
ลูกตุ๋ย และอาทร
จดหมายของลูกได้รับแล้วและทราบความตลอดแล้ว เรื่องบวชขอให้กำหนดเอาวันที่ ๗ ก.ค. ตรงกับวันทำบุญอายุเป็นวันบวช เพราะวันนั้นมีการบวงสรวงจาตุรทิศ

ตามที่บอกมาในจดหมายฉบับแรกว่า เรื่องเงินอาหารของพ่อนั้นอย่าบอกเลิกแต่อย่าทวงถาม ปล่อยให้เป็นไปตามศรัทธาของเขาเอง เขาจะให้ก็รับเขาไม่ให้ก็เฉยไว้ เรื่องจิตใจของเขาจะเป็นอย่างไรลูกอย่าไปสนใจเพราะเรื่องของเขาปล่อยให้เป็นภาระของเขา อย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นกังวล

พ่อไม่สนใจกับความรู้สึกนึกคิดของใคร พ่อต้องการสอนให้คนเป็นคนดี แต่ถ้าเขาจะดีไม่ได้พ่อก็ไม่พยายาม ลูกก็เหมือนกันช่วยบอกแนะนำใครก็ตามแต่อย่าสนใจเขาให้มากเกินไป ต้องทราบไว้เสมอว่า คนที่เกิดมานี่มีต้นกรรมไม่เสมอกัน คนในโลกแบ่งออกเป็น ๔ ระดับคือ

(๑) คนฉลาดมากที่ทำบุญไว้เต็มแล้ว มีบารมีครบถ้วน เพียงแนะนำแต่เพียงหัวข้อย่อๆ ก็บรรลุมรรคผลทันที

(๒) บางพวกปัญญาบารมีมีหย่อนนิดหน่อย พออธิบายก็บรรลุมรรคผล

(๓) บางพวกแนะนำให้เข้าใจในกุศลเบื้องต้นได้ แต่เอาบรรลุมรรคผลไม่ได้

(๔) พวกสุดท้าย เป็นพวกเหลือขอ พูดไม่รู้เรื่องอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษหมดทางแนะนำ


คนในโลกแย่งออกเป็น ๔ พวกอย่างนี้ลูกจงอย่าคิดว่าเขาจะเหมือนเราเสมอไป การแนะนำเป็นของดี แต่อย่าเอาใจเข้าไปผูกพันถือว่าปล่อย เขาทำตามก็ดี ไม่ทำตามก็ช่าง เอาตัวเรารอดเป็นการพอแล้ว ปล่อยเขาเขาจะคิดจะพูดจะทำอย่างไรอย่าสนใจเป็นอันขาด

เรื่องหัวสูบที่บอกมาขนาดทางน้ำเข้า ๑ นิ้วครึ่ง ทางออกไม่สำคัญแต่ทว่าพ่อซื้อหมดแล้วทั้งสองหัว เพราะได้รับโทรเลขช้าไป ๑ วัน แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ เพราะความจำเป็นมีด่วน คงคอยไม่ได้ ถ้าพี่แสวง จะหามาได้โดยไม่จ่ายเงินก็ขอรับ เพราะทาง วัดยาง และ วัดหนองปลาดุก มาขอ

พ่อบอกว่าจะถวายในวันหน้า ถ้าหากพี่แสวงแกมีศรัทธาและไม่ต้องเสียเงินก็เอา แต่ถ้าต้องเสียเงินก็ไม่ควรรบกวน เพราะที่รับปากเขานั้น ยังไม่มีเวลาแน่นอน

พ่อกลับจาก ราชบุรี พบ ราเชนทร์ ที่ขบวนรถไฟ นั่งมาด้วยกัน ถามว่าไปเรียนแน่ไหม แกบอกว่าเพิ่งได้รับคำสั่งเมื่อ ๒-๓ วันนี้เอง ยังไม่ได้บอกใครเลย พอมาถึง ตาคลี แกหารถแท็กซี่ให้ดีเหมือนกัน

กลับจาก ราชบุรี ทางวัดเขาให้ค่าเดินทาง ๑,๐๐๐ บาท บ้วน ให้ ๓๐๐ บาท รวมจากกรุงเทพฯ อีก ๗๐๐ บาท เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาทพอดี พอมาถึงก็จ่ายค่าหัวสูบเสีย ๙๐๐ บาท ค่าส้วม ๗๐๐ เศษๆ และค่าจิปาถะอีก ๒-๓ ร้อย พอดี

เหลือแต่ทุนเดิมที่ลงทุนให้เขา แต่ก็ต้องจ่ายค่าไม้ค่าเสาทำส้วมอีก ทั้งหมดนี้ลงบัญชีคิดเอากับวัดเมื่อเราหาได้ กุฏิก็ไม่เสร็จ เพราะไม่ใคร่มีคนทำ ต้องคอยเวลา เวลานี้ต้องวานและจ้างบ้าง เอาช่างที่ วัดเคียน มาทำหอสวดมนต์ช่างที่วัดเขาไม่มีเลย

ต้องเอา ช่างนาก มาเป็นนายงาน เพียงวางรอด ปรุงและยกเครื่องบน ลองว่าจ้างเหมาช่างที่ ชัยนาท เขาคิดราคาตามที่เขาบอกว่าเขาไม่มีกำไร เขาขอเอา ๑๕,๐๐๐ บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาท) ตามที่เขามาช่วยทำ

มีเสียค่าแรงงานคนเดียว เขาคิดวันละ ๓๐ บาท อีก ๓ คนคิดว่าจะซื้อไฟฉายให้เป็นรางวัล รวมแล้วคงจ่ายประมาณสองร้อยบาท จะจ่ายอีกก็คงไม่มากนัก เพราะวันนี้อาการดีมากแล้ว อาการเพลียเบาบางและอาการทางอื่นก็เบาลง

เรื่องของคุณ... ปล่อยแกเถอะเพราะแกติดในวัตถุ คนเราก็ต้องอย่างนี้ก่อน ขั้นแรกก็ต้องเข้าถึงหยาบก่อน ต่อเมื่อจิตละเอียดเข้าก็จะละของหยาบลงได้ ทุกคนมีสภาพเหมือนกัน ของละเอียดเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก พวกเล่นพระ เป็นพวกที่มีจิตเป็นกุศลเหมือนกันแต่เป็นขั้นกามาวจรสวรรค์

จะไปกะเกณฑ์ให้เข้าถึงธรรมละเอียดนั้น เห็นจะยังไม่ได้ก่อนจนกว่าจิตจะมีบารมีเข้าถึงปรมัตถบารมีเมื่อไรเมื่อนั้นแหละ เขาจึงจะเห็นธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม อารมณ์ของกามาวจรจิตนั้นยังติดตัวอยู่มาก คือต้องการให้คนอื่นเห็นตนว่าดีว่าเด่น อย่างนี้เป็นอาการของกามาวจร ยังเข้าหาทางพ้นทุกข์ไม่ได้

สำหรับของรูปวจรนั้น มีความประสงค์จะแสดงฤทธิ์ด้วยตนเอง อยากแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ให้คนเป็นเป็นอัศจรรย์ อย่างนี้ก็ยังเอาตัวรอดไม่ได้ ต่อเมื่อไรจิตเข้าถึงปรมัตถธรรม คือ มีอารมณ์ละเอียดมุ่งเหตุผล เอาดีด้วยการรักษาอารมณ์ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ฮือตามเขาถือกฎของกรรมเป็นใหญ่

เมื่อมีสุขก็ไม่ลำพองใจ คิดว่าในโลกไม่มีอะไรจริง สุขทุกข์ของโลกไม่มีความยั่งยืนเป็นอารมณ์หลอน เมื่อมีสุขก็มองเห็นทุกข์ที่จะตามมาในระยะเดียวกัน พบวัตถุที่ให้ความสุข รู้ว่าทุกข์มันแฝงอยู่ในสุขนั้น เมื่อทุกข์เกิดก็เห็นเป็นของเด็กเล่น ไม่มีอะไรน่าวิตกเพราะธรรมดาของการเกิดมีกิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม บันดาลให้เกิด

แล้วจะเอาอะไรแน่นอนกับสภาพทั้งสี่ที่มีแต่ความปลิ้นปล้อนหลอกลวง ที่บัญชาให้มาเกิด มันก็ปลิ้นปล้อนหลอกลวงไปตามวิสัยของมัน อย่ากังวลใจจนเกินพอดี คนเราเกิดแค่ตายแล้วไม่ควรเกิดใหม่ ให้มันตายนั่นแหละเป็นดีจะตายเลยได้เพราะไม่อยากตายใหม่ คือตัดภาระทั้งหมดในโลกว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา

เราไม่มีภาระของโลก และภาระในโลกก็ไม่มีในเรา อย่าโกหกตัวเอง จงทำใจให้สะอาด อย่าเอาประเพณีหรือสังคมเป็นเครื่องบังหน้า ยังติดประเพณีหรือสังคม ก็เป็นอันว่า เราต้องการตายใหม่อีก และจะต้องตายไม่มีจุดจบ

อย่าไปห่วงคนอื่นเขาเลย เขามีเงินเขาก็ซื้อ เขามีเงินเขาก็เล่นต้องหยาบมากๆ จนเต็มหยาบเสียก่อน ถึงจะค่อยๆ เข้าถึงจุดละเอียด พี่....แกเป็นคนมีเหตุผล ที่ว่าแกไม่เอาไหนกับพระนั้นไม่จริง พ่อพิจารณาแกแล้ว แกเข้าถึงธรรมได้มากไม่น้อยเลยขาดนิดเดียวที่ยังไม่ได้ทิพยจักษุญาณถ้าได้อีกนิดเดียวแกก็จะดีมาก

เพราะความเข้าใจส่วนใหญ่ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่มีบางสิ่งที่ยังขาดความเห็นจริง ถ้าเข้าใจถูกและเห็นจริงด้วยจะดีมาก พ่อไม่ได้หมายความว่าแกไม่มีเงินซื้อพระราคาหมื่นแล้วแกจะไปอิจฉาคนอื่น แกมีเหตุผลสมควรจริงๆสมกับเป็นลูกของพระโพธิสัตว์

ลูกและ อาทร คิดถูกแล้ว เพราะเรามีจิตเข้าถึงธรรม การเห็นโน่นดีนี่ดี เป็นการมงคลตื่นข่าว ความดีเด่นหรือชั่วเด่นอยู่ที่จิตตัวเดียว คนจะไปสวรรค์ นิพพานได้ก็อาศัยจิต อย่าดิ้นให้เหนื่อยเปล่าเลย ยิ่งดิ้นยิ่งหนักปลดจิตดีกว่าปลดเงินจากกระเป๋า เข้าถึงธรรมดีกว่าเข้าถึงวัตถุ รู้จริงดีกว่ารู้ผิด ไม่เดือดร้อนหวั่นไหวในเมื่อมีทุกข์ดีกว่า เอะอะโวยวายในเมื่อทุกข์เข้าถึงตัว

วันนี้พ่อพอมีแรง คุยมากไปนิด ช่วยเอาจดหมายไปส่งคุณ น.ส.ฉลวย คนสวยเมื่อไทยด้วย คิดจะเขียนถึงแกนานแล้ว พ่อไม่มีแรง วันนี้เทวดาโปรดพอมีแรงก็เขียนมา
พ่อขอยุติเท่านี้ เรื่องอื่นนอกจากนี้ไม่ขอวิจารณ์ ขอความสุขจงมีแก่ลูกและหลานทุกคนเถิด


(พระมหาวีระ ถาวโร)
เรื่องของ คุณสนั่น-อู๊ด เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ได้ข่าวเลย ขณะนี้พ่อป่วยใช้แต่วิปัสสนา ไม่ใคร่รู้อะไร มีข่าวอย่างไร ส่งข่าวให้พ่อทราบบ้าง

◄ll กลับสู่สารบัญ


14
วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๑

ลูกตุ๋ย
จดหมายของลูกได้รับแล้ว เมื่อเช้าของวันที่ ๑๒ เรือไปรษณีย์ของ มโนรมย์ เขานำไปส่งให้ พระอาทร เป็นคนลงไปรับ และได้ให้แกอ่านทราบข้อความตลอดแล้ว

ดีใจด้วยกับลูก ที่พยายามสงเคราะห์คนที่มีทุกข์ คือ คุณแต๋วใหญ่ บอกคุณแต๋ว แกด้วยว่าพ่อเป็นห่วงแกมาก เพราะป็นคนที่รู้จักดีมาก่อน แต่ก็หวังในพระมหากรุณาธิคุณของพระรัตนตรัยและเทวานุภาพ ตลอดจนความดีของแกเองที่ได้สงเคราะห็สัตว์ที่จะต้องถูกฆ่าให้รอดชีวิต

ผลกรรมดีที่เรียกว่า อภัยทาน นี้ จะส่งผลให้แกหายจากโรค และจะมีความรุ่งเรืองขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ขอให้แกเบาในเรื่องโรคได้เพราะตรงกับเทพพยากรณ์พอดี ที่เขาบอกเมื่อวันไหว้ครูว่าจะต้องมีอาการทรุดหนักกว่าเดิมและจะหายสนิท ต่อไปจะรุ่งเรืองขึ้น ด้วยอำนาจจิตที่เป็นกุศล

เครื่องกระป๋องของ ฉลวย พ่อก็เห็นแล้ว ตั้งแต่วันที่ตุ๋ย กลับไปเขาวางไว้หน้ากุฎิ อยู่ในลังกระดาษ ถาม พระอาทร ว่าเป็นของใครนำมาท่าบอกว่า พี่แสวง นำมา มีนมสด เครื่องอาหารกระป๋อง บอก ฉลวย ด้วยว่าอาหารกระป๋องรสดี แต่เสียที่น้อยไปหน่อย

อาคารรับรอง เรียกชื่ออย่างนี้ไม่ผิดแต่พ่อเปลี่ยนใจใหม่ และเปลี่ยนชื่อใหม่ ขอให้ชื่อว่า อาคารอบรมกรรมฐาน เขียนอย่างนั้นจริงๆ เดิมคิดจะให้เป็นที่พักและรับแขก พอสั่งของเสร็จ เห็นว่าราคามันปาเข้าไปถึง ๔,๐๐๐ บาท รวมห้องส้วมห้องน้ำเสร็จ

มานั่งคิดว่าเงิน ๔,๐๐๐ บาทเสียได้ ถ้าจะทำพื้นให้ดีเสียเลย ก็จะเพิ่มเงินอีก ๒,๐๐๐ บาทเศษ เอาพื้นไม้แดงเพิ่มรอดตงอีก ก็ประมาณ ๒ พันเศษเล็กน้อย เลยตัดสินใจเอาอย่างนั้น ทำอะไรไม่ชอบใจมันนอนไม่หลับ เกรงว่าวิมานที่ได้ในวันหน้ามันจะกลายเป็นวิมานโกโรโกโสอย่างกุฏิที่อยู่ มันดีที่อาศัยได้ แต่ไม่ชอบใจลูกตา

ตามันติเรื่อยด้วยสร้างของเป็นแบบชั้นดีมาเสียจนเคยตัว ปรึกษา พระอาทร แกก็เห็นชอบด้วยเลยไปกันใหญ่ ของเล็กเราทำได้ดี เพราะมันแพงไม่มาก ของใหญ่ขืนทำดีก็เห็นจะต้องขายสบงใช้หนี้เป็นแน่

ขณะนี้ช่างปั้น พระสี่องค์ เขาเริ่มงานแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ก่อนหน้าจดหมายลูกมาถึงสักประมาณ ๑ ชั่วโมง เขากำลังทำแท่น พ่อให้เขาว่าราคาพระองค์ใหม่ เพราะเดิมเราพูดเรื่องรูปเหมือน แต่ไม่ได้ให้ราคาค่าทำแท่นเขาไว้ เขาบอกว่าสุดแล้วแต่พ่อจะให้

พ่อเลยเหมาเขาทั้งแท่น รูปเสร็จ ไม่ปิดทอง ขอให้เขา ๔ องค์ ๒,๐๐๐ บาทถ้วน เขาก็ตกลง รวมทั้งค่าวัสดุและค่าเลี้ยงดู พ่อคิดว่าประมาณ ๔,๐๐๐ บาท พระนี้ดีมาก เพราะเป็นปูชนียบุคคลที่หาเงินให้วัด เมื่อวัดมีรายได้คราวใด ก็ส่งผลให้ผู้สร้างมีความสมบูรณ์พูนสุขไปด้วย ยังขาดเงินอีกประมาณไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาทสำหรับปั้นพระ

ไม่คิดค่าปิดทอง เขาบอกว่าค่าปิดทองพระพุทธ องค์เดียวก็หลายพันบาท พ่อเลยคิดจะทาทองบรอนซ์ไว้ก่อน เรื่องปิดทองรอไว้ปีต่อไป สถานที่อบรมกรรมฐาน บวกที่นั่งรับแขก หรือสถานรับรองขาดเงินอีกประมาณ ๕,๐๐๐ บาท ยังหาตัวเงินไม่พบ ลองเที่ยวงมๆ ดูตามกระเป๋าผู้มีจิตศรัทธาดูด้วย

ดูไว้ อย่าเพ่อขอ รอให้เขามาดูสถานที่ก่อนให้ศรัทธาเขาเกิดเอง เพราะเป็นสถานที่ให้ความสุขทั้งกายและใจ เขาพอใจเท่าไร เขาให้เท่านั้น ดีกว่าเราตั้งราคาทั้งสองรายการนี้คือสร้างพระ เป็นดินแดนให้ความสุขเรื่องทรัพย์สิน และเพิ่มบารมี สร้างอาคารรับรองและเป็นสถานที่อบรมจิตใจ

ให้ผลในทางสบายกายใจสงบ สองสถานมีคุณค่าที่มีอานิสงส์สมบูรณ์ที่สุด ตามความปรารถนาของคนเล่าให้เขาฟัง แต่อย่าขอสตางค์เขาโดยตรง เขาศรัทธาเขาช่วยเอง อย่าบังคับกัน ศรัทธาจะทำให้เขาเสียกำลังใจ

พระอาทร มีความสุขดี แกกินอาหารไม่ยาก ถามว่าพอฉันท์ได้ไหม แกตอบว่าพอฉันท์ได้ คงจะคิดตามแบบพระเพราะแกบวชเพื่อเอาบุญ แกทำถูกแล้ว ขณะนี้พระทั้งวัด มีเจ้าอาวาสเป็นหัวหน้า ขอขึ้นกรรมฐานทั้งหมด อุบาสกอุบาสิกาทั้งวัด ที่รักษาอุโบสถ ก็ขอเรียนกรรมฐาน คิดแล้วว่ามาอยู่วัดนี้ไม่ผิด

ถึงแม้ว่าสมภารจะช้าไปหน่อย แต่ก็ตัดสินใจถูกที่นำคณะเข้ามาศึกษากรรมฐาน ถ้าเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ตลอดไปสักสามปี วัดนี้มีหวังรุ่งเรืองเพราะ วัดใดเจริญกรรมฐานมาก วัดนั้นรุ่งเรือง ทั้งนี้เพราะผลการปฏิบัติที่เป็นสมาบัติส่งผลให้ชาวบ้านมีกินมีใช้ พระเองก็สงบเสงี่ยมเป็นที่น่าเลื่อมใส เป็นเครื่องส่งเสริมศรัทธาของประชาชนทั้งหลานที่พบเห็น

ลูกจำชื่อน้ำมันที่ทาพื้นแล้วเป็นมันสวยๆ ได้ไหม พ่อจะเอามาทาพื้นสถานรับรอง เพราะหลังมันเล็ก อยากจะทำให้ดี บอก.... ด้วยว่า อยากชนะ และมีความสุขมีโชคมากๆ กว่านี้ ให้ร่วมสร้างพระ และอาคารอบรมกรรมฐานจะได้มีอานิสงส์เป็นพุทธา ธัมมา สังฆานุสสติ และมีอานิสงส์ในส่วนวิหารทานที่ให้ความสุขในการบรรลุมรรคผล จะได้ถึงพระนิพพานเร็วๆ เมื่อยังไม่ตายจะรวยและมีความสุขมากกว่านี้

จะร่วมมากร่วมน้อยพ่อไม่จำกัด มันเป็นลูกที่มีความเหน็ดเหนื่อยมาก ก็ห่วงมากหน่อย ลูกตุ๋ย เหนื่อยแต่ก็มีความสุขดีกว่า.... เพราะมีโอกาสถึงธรรม..... มันมีโอกาสปี๊ดออกอากาศมากกว่าเข้าถึงธรรมต้องให้ร่วมด้วย จะได้ตรงตามปฏิญญาเดิม ที่ตั้งมโนปณิธานไว้ในชาติอดีตไม่ต้องมาก เพียงร่วมสร้างพระ ๔ องค์ขอ ๔ สลึง อาคารหนึ่งหลังอีก ๑ สลึง ก็พอใจแล้ว

สำหรับ ลูกตุ๋ย มีทุนอยู่แล้ว เพราะเงินหลังบวชพระ พ่อตั้งงบไว้อาคารตั้งไว้ ๓,๒๐๐ บาท(สามพันสองร้อยบาท) รูปพระตั้งงบไว้ ๒,๓๐๐ บาท (สองพันสามร้อยบาท)

นอกจากนี้ ลูกยังบำเพ็ญตนไว้เป็นไวยาวัจกรเป็นอานิสงส์ใหญ่กว่าอานิสงส์ใดๆ และเป็นอานิสงส์เนื่องในการบรรลุมรรคผลอยู่แล้ว จงพยายามสงเคราะห์คนอื่นที่ยังไม่เข้าถึงเขตมรรคผล เพื่อเป็นการส่งเสริมบารมีของตนเองให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

วันนี้ขอคุยเท่านี้ มันก็มาไม่น้อยกว่าของลูก ขณะเขียน ไม่รู้ว่า คุณอาทร ไปไหน จะถามว่าจะสั่งอะไรบ้าง ถ้าท่านจะสั่งพบตัวจะต่อท้ายให้อีกสักหน่อย

จากพ่อ

ป.ล. พ่อขอส่งรูปที่สมเด็จคุม ที่ถ่ายที่ มโนรมย์ มาให้ลูกดู พ่อจะอัดขนาด ๑๒ นิ้วสัก ๑ โหล เพื่อแจกลูกหลานไว้เป็นอนุสรณ์ ตอนนั้นท่านเข้าคุมเต็มตัว ดูแล้วลูกคงแปลกใจมาก คล้ายกับวันที่ไปบ้านคุณนายโรจนวิภาตหรือไม่

ลูกดูเอาเองพ่อเองพ่อไม่เคยเห็นหน้าพ่อเวลาท่านคุม แต่รู้ตัวแต่เพียงว่าพูดน้อย อารมณ์แจ่มใส ใจรู้ว่าผิดเหลืองเท่านั้นเอง พ่อคอยช่างนาน ท่านมาท่านบอกว่า วันนี้ฉันเข้าเต็มตัวแกจะได้เห็นภาพขณะฉันมาคุมว่าเป็นอย่างไร ดูแล้วรู้สึกว่าหนุ่มขึ้นเยอะ แต่ท่านไปแล้วกลับแก่ลงเสียอีก น่าเสียดาย

เพิ่มเติม
หนังสือนี้มีใบจบลงแล้ว แต่ต้องเพิ่มเติมอีกก็เพราะเหตุดังนี้
(๑) เมื่อเขียนจบ ให้พระนำมาส่งที่ไปรษณีย์ เพื่อกันแกเอาไปทิ้งในถังขยะ ก็บังคับให้ทะเบียน บังเอิญไปตรงกับวันเสาร์เข้าเลยตกค้างส่งไม่ได้

(๒) เมื่อจดหมายกลับที่เดิม ตอนกลางคืนฝึกพระปฏิบัติกรรมฐานมียักษ์ตนหนึ่ง มาหาแล้วแจ้งว่า

ท้าวเวสสุวัณ ได้ให้นำคาถาบทหนึ่งมาให้ คาถาบทนี้เป็นคาถาของพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าเป็นคาถามหาอำนาจ ภาวนาหรือสวดมนต์ไว้ทุกวัน จะมีอำนาจ เหตุร้ายจะไม่เกิดขึ้น และเป็นคาถามหาลาภ ภาวนาตลอดไป โดยเอานำคาถาพระปัจเจพุทธเจ้ามาต่อ ว่าดังนี้ มิ เต พายุหะติ พุทธะ มะ อะ อุ นะ โม พุทธ า ยะ วิระทะโย ฯลฯ

อย่างนี้เป็นปกติ ท่านว่าเงินล้านจะเข้ามาสู่สำนัก เวลาไปหาเงินเจ้าของเงินทั้งรักทั้งเกรงใจ

พ่อขออนุญาตท่านให้ลูก ท่านก็อนุญาต บอก... มันด้วย เพราะปกครองคนมากต้องหากิน ถ้า พี่แสวง และคนอื่นที่พอใจก็ให้ได้ แต่ขอให้จัดธูปบอกท่าน ท้าวเวสสุวัณ และท่านพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระพุทธกัสสป เสียก่อน ทำจริงได้ผลจริง ทำเล่นๆ ได้ผลเล่นๆ สักแต่ว่าทำ ไม่ได้ผลเลย

ก่อนที่ยักษ์จะมาบอก พ่อพบ หลวงพ่อปาน และครูบาอาจารย์ทุกท่าน ท่านมาคุมพระปฏิบัติ พอหลวงพ่อสมัยมา ท่านบอกว่า สัมพเกสี ไม่ช้าเธอจะเดือดร้อน เพราะคนจะทำให้เดือดร้อน และจะมีหญิงสาวขาวท้วมและขาวโปร่งจะมาทำท่าเจ้าชู้ แต่เรื่องเจ้าชู้เป็นเรื่องขึ้ผง เขี่ยนิดเดียวก็หล่นไปเรื่องคนทำให้เดือดร้อนนี้ยุ่งหน่อย

และจะมีคนคิดว่าเธอรวย เขาคิดจะปล้นหรือชิงทรัพย์ พอท่านบอกเสร็จไม่ช้ายักษ์ก็มาบอกคาถา เป็นอันว่า ท่านพระพุทธบิดาพุทธกัสสป ท่านห่วง จึงให้คาถาป้องกัน และเป็นคาถาหาเงินด้วย ลูกภาวนาไว้คู่กับ คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ตามที่พ่อเขียนมาอย่าให้ขาด จะเกิดผลสบายใจ

จะปลูกบ้านได้ตามทีคิดไว้ ค่อยๆ ทำไปให้สบายอย่าเร่งรัด อย่าคิดรวย คิดเพียงอารมณ์สงัด จะรวยเอง ถ้าคิดรวย ลาภจะหาย

ขณะนี้พ่อเริ่มสร้างพระพุทธรูปตามที่บอกมาแล้วนั้น เมื่อคืนนี้ท่านมาบอกว่าให้ทำบุญบรรจุเริ่มสวดมนต์เย็น วันที่ ๒๑ กันยายน ตรงกับวันเสาร์บรรจุพระบรมธาตุและเลี้ยงพระ วันที่ ๒๒ ตรงกับวันอาทิตย์ตอนเช้า งานนี้จะบรรจุพระพรมธาตุพระพุทธรูปองค์เดียว

พ่อขอให้ลูกหาตลับทองคำ หนักหนึ่งบาทให้พ่อ ๑ ลูก ตลับเงินที่โตกว่าตลับทอง ๑ ลูก ตลับโลหะ โตกว่าตลับเงิน ๑ ลูก น้ำมันจันทน์อย่างแท้ ๒ ออนซ์ พ่อจะขอให้ นนทา ช่วยด้วย การสร้างตลับมีอานิสงส์มาก ขอให้ ฉลวย พี่แสวง และถ้าเขาพอใจ บอก พิมพ์ อู๊ด ร่วมกัน

อย่ากำหนดการเงิน ให้ออกกันคนละบาทหรือสลึงก็ตามใจ เหลือเท่าไร พ่อออกหมด ลูกหาทุนสำรองให้พ่อมาก่อน เมื่อของมาแล้ว พ่อจะจ่ายให้ ตามที่เหลือ ที่ให้บอกทั่วก็เพราะเป็นของใหญ่ บอกคนอื่นด้วยก็ได้ ใหญ่ในอานิสงส์ ไม่ใช่ราคาใหญ่ ทำแล้วถึงนิพพานเร็ว

ยังไม่ถึงนิพพาน ก็จนได้ยาก ลาภมาก จึงขอให้บอกให้ทั่วๆ กัน ตามศรัทธาเขา อย่ากะเกณฑ์ เพราะการถวายตลับทองแก่พระบรมธาตุ สมัยโบราณเขาแย่งกันถวาย พ่อและลูก พวกเราทั้งหมดก็ทำมาแล้วหลายครั้ง.....ฯลฯ.............

พระมหาวีระ ถาวโร
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๑๑

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/1/11 at 13:08 [ QUOTE ]


15
วัดจันทาราม(ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๑

ลูกตุ๋ย
จดหมายของลูกได้รับแล้ว ตั้งแต่ตอนเช้าวันที่ ๒๖ ระหว่างนี้ กำลังยุ่งเรื่องการก่อสร้าง โดยเฉพาะอาคารหลังใหม่ อาคารหลังนี้มันบานปลายน่าดู กลายเป็นอาคารมาตรฐานไป ไม่ใช่หอพักนั่งเล่น พ่อจะเล่านิทานให้ลูกฟังสักเรื่องหนึ่ง ก่อนที่จะพูดเรื่องจำเป็นที่ควรพูด

นิทานปรัมปรา
เมื่อวันที่ ๒๔ เวลาประมาณ ๒๐ น. เศษ พ่อคุมพระเจริญกรรมฐานเมื่อปลงวิปัสสนา จนมีอารมณ์ผ่องใสระดับพระนิพานแล้ว พ่อก็ออกจากร่างตามปกติที่เคยปฏิบัติมา เพื่อไปนิพพาน เพราะพ่อไม่ประสงค์อย่างอื่นยิ่งกว่านิพพาน

พอออกจากร่าง พบยักษ์ตนหนึ่ง นุ่งแดง ห่มแดง เป็นยักษ์ผู้มีศักดาใหญ่ เขาเห็นพ่อออกมา เขาเข้ามาบอกว่า ท่านต้องการพบ ขอนิมนต์พระคุณเจ้าไปพบท่านที่สำนัก คำว่าท่าน หมายถึงลุงพุฒิ ของลูก พ่อตามเขาไป

พอไปถึงเห็น ลุงพุฒิ ของลูกแกแต่งกายเต็มอัตราพรหม
พอพ่อนั่งลง ถามแกว่ามีธุระอะไร
แกบอกว่าที่ให้ตามมา ก็จะเล่าอะไรให้ฟัง แกเริ่มเล่านิยายปรัมปราดังต่อไปนี้

ผมขอบอกท่านว่า ต้นโพธิ์ที่ท่านปลูกอาคารหลังนั้น เป็นต้นโพธิ์ที่ท่านกับ อาทร พร้อมด้วยคณะลูกหลานทั้งหมดร่วมกันนำมาจากป่า เอามาปลูกเอง (สมัยสามพระยา) ท่านให้ทหารนำมา

แล้วร่วมกันตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากข้าจะได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอโพธิ์นี้จงอย่ามีอันตราย แล้วต่างก็ยึดเอาต้นโพธิ์ต้นนี้ เป็นแหล่งปฏิบัติกรรมฐาน จนท่านและ อาทร เป็นพหรม
......................ฯลฯ......................


เมื่อฟัง ลุงพุฒิ ของลูกเทศน์จบ พ่อก็กลับขึ้นมาดูพระที่เจริญกรรมฐาน เห็นสมเด็จบอกว่า อาทร มีอารมณ์เป็นแก้วล้วน และมีแสงรอบบริเวณดวงแก้ว คืออารมณ์จิต ท่านว่าเขามีหวังได้นิพพานปลายมือแน่

แลออกไปภายนอก เห็นท่าน ท้าวมหาราช ท่านหันมาพูดกับพ่อว่า วิชาเชิญวิญญาณที่ช่างปั้นบอกนั้นควรขอเรียนไว้ จะได้ให้ลูกหลานเรียนไว้ เป็นของถ่ายทอดได้

ที่ท่านได้นั้นเป็นเรื่องของกรรมฐานถ่ายทอดไม่ได้ ต่อไปท่านตายแล้ว หรือคนอื่นก็ตาม ถ้าเขาอยากทราบว่าญาติเขาไปอยู่ที่ไหน สุขทุกข์ประการใด เขาจะได้เชิญมาถามได้ ควรลงทุนเรียน เพื่อนถ่ายทอดให้ลูกหลาน
......................ฯลฯ......................


เงินที่ นายบุญถึง พ่อไปเอาแล้ว เกิดรับไม่ได้เพราะสงสารแก แกต้องย้ายสำนักพิมพ์ เพราะห้องที่อยู่ เจ้าของเดิมเป็นหนี้เขา เขาขายทอดตลาด แกประมูลแพ้เขา ต้องซื้อห้องใหม่ และจะต้องขนย้าย เลยบอกแกว่า เอาไว้ตอนปลายใกล้ออกพรรษาถึงจะเอา เพื่อให้โอกาสแก เพราะเวลาเราเป็นหนี้แกไม่เคยทวง

ถึงคราวแกต้องอับจน เราเร่งรัดก็จะน่าเกลียด แกเองก็ยืนยันว่า ถ้าต้องการจริงๆ ขอให้บอกล่วงหน้าก่อนสักสองสามวัน แสดงว่า แกต้องวิ่งกู้เขาแน่ ก็น่าเห็นใจ เพราะการย้ายห้องและต้องชำระเงินสด เป็นการซื้อขาดแกคงหนักน่าคิดทีเดียว

รูปร่างของตลับ พ่อขอให้ลูกพอใจ เรื่องพ่อเองไม่ต้องห่วง เพราะจบกิจแล้ว ขอให้ลูกพอใจจะได้สบายใจ และได้รับผลที่ตนพอใจ ที่ทำนั้นพ่อห่วงลูก ไม่ใช่ทำเพื่อตัวพ่อเอง คนที่อิ่มแล้ว ไม่มีอารมณ์อยากอะไรอีก พ่อดีใจที่ พี่แสวง และ ฉลวย เป็นธุระ สมใจที่ หลวงพ่อปาน ท่านประสงค์แล้ว ท่านห่วงลูกท่านมาก

เรือนกรรมฐานที่ต้องมีส้วม ก็เพราะต้องการให้สบาย นอกจากเป็นเรือนกรรมฐานแล้ว พ่อคิดว่าจะให้เป็นที่อยู่ยามปกติของพ่อ เพราะเป็นสถานที่พ่อเคยได้ฌานที่นั่น อยู่ใต้ต้นโพธิ์ ทำให้คิดถึงพระพุทธเจ้า พ่อไม่ชอบร้อนจัด เพราะร้อนจัดหมดแรง ที่ตรงนั้นไม่ใคร่ร้อน ถูกกับอัชฌาศัยและสุขภาพ จึงทำเพื่ออยู่เอง

ไม่ใช่เพื่อคนอื่น อาทร บอกว่า ต่อไปถ้าพักร้อน จะมาพักร้อนที่หลังนี้แทนที่จะไปบางแสน แกดีขึ้นมาก อารมณ์ใจใสมากทีเดียว พ่อตรวจดูวันแรกคิดว่า อนาคามี เสียอีก กลายเป็น สกิทาคาต้น ไป ถึงอย่างนั้นก็ดีใจ เพราะแกเลื่อนฐานะทางใจได้ภายใน ๑๕ วันที่บวช พ่อพอใจมาก

ครูนนทา ก็มาบอกว่า นานมาแล้ว เห็นวัดนี้เข้า มีความรู้สึกรักวัดนี้เป็นพิเศษ แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทั้งนี้เพราะแกร่วมสร้างด้วย สมัยนั้นแกเกิดแล้ว

พ่ออยากให้ลูกนอนพักบ้านแกสักคืน เพราะแกมาขอร้องหลายครั้งแล้ว อยากให้ไปพัก พ่อว่าถ้ามากันไม่มากนัก ไม่เกิน ๑๐ คน ควรพักบ้านแกบ้าง แกเตรียมรับมาหลายเตรียมแล้ว วันที่ หงา มาบอก แกก็มาพบ แกขอร้องให้พักบ้านแก ลองใคร่ครวญดูนะ ถ้าไม่หนักนัก ก็ควรให้กำลังใจแกสักหน่อย
พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ



16
วัดท่าซุง
๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๒

ลูกรักทั้งสอง
จดหมายที่ลูกส่งมา ถึงมือพ่อวันที่ ๒๓ แต่พ่อก็กำลังนอนเข้าตรีทูต ท้องมันถ่ายจนเกือบสิ้นกำลัง ต้องนอนแผ่ไปครึ่งวัน พอดีหมอใหญ่มาหา พ่อเลยมีแรงพอเขียนจดหมายถึงลูกได้ หมอใหญ่คือ สมเด็จองค์ปฐม ท่านมาหา

ท่านบอกว่านี่แกจะเกอีกแล้วใช่ไหม
พ่อบอกว่า ใช่ แต่ไม่ใช่พ่อเก สังขารมันเกเรพ่อก่อน พ่อก็จะเก หมายความว่าจะปลงสังขาร
ท่านว่า อ้ายแกนี่มันดื้อแพ่งจัด ข้าต้องคอยระวังแกคนเดียว คนอื่นไม่มีใครยุ่งเท่าแก

พ่อบอกว่า สัญญามีไว้ว่า ถ้าอยู่และสังขารไม่รวน ไม่ทรมานเกินไป พ่อก็อยู่ ก็ปล่อยเสียย่ำแย่อย่างนี้ สัญญาไม่เป็นสัญญาจะหาว่าเกไม่ได้ เมื่อผู้สัญญาไม่ปฏิบัติตามสัญญา จะทรมานเพื่ออะไร เรื่องอะไรจะมานอนเป็นทาสสังขาร

ท่านว่าจริงของแก ข้าจะให้แกเบาและหายละ ท่านลูบตัวสามครั้ง รู้สึกสบาย ท่านว่าหายทีนะ แต่ไม่ใช่หายเลยนะ มันก็มีมั่งแต่เบา
แล้วแกอย่าเกอีกนะ เรียนท่านว่า ถ้าเป็นเบาๆ ก็จะทน ถ้าหนักจะไม่ทนต่อไป
ท่านหัวเราะแล้วก็หายไป ขณะนี้สมองพอเริ่มใช้งานได้ จดหมายของลูกมาถึงพ่อวันที่ ๒๓ พ่ออ่านจบวันที่ ๒๔ เพราะสมองมันมึนไปหมด ชักเบื่อโลก

เรื่องที่ลูกถาม เมื่อวันทำบุญว่า ถ้าไม่หมดสัญญาพ่อจะไปได้หรือ เรื่องดื้อแพ่งพระท่านรู้ว่า พ่อเป็นคนจอมดื้อ วันนั้นถ้าไม่เกรงใจ หลวงพ่อปาน พ่อไม่รับตั้งใจว่า วันแรม ๑๔ ค่ำเดือนแปด พ่อจะละมัน เพราะสัญญาเดิมมีไว้ว่า จะละตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำเดือนแปดพอดี หลวงพ่อปาน ท่านมา พ่อเกรงใจท่านมาก

ท่านไม่เคยมาบอกก่อน อึกอักท่านก็เอาอย่างนั้น พูดไม่ออก บอกไม่ได้ จำต้องรับเมื่อเสร็จงาน
สมเด็จองค์ปัจจุบัน ท่านมา ท่านพูดว่า คุณ อย่าเพิ่งคิดตัดสินใจเร็วนัก อีกสองวันสังขารจะเป็นปกติ เมื่อครบสองวันอาการก็เป็นปกติ ไอเกือบตาย ยาอะไรก็รักษาไม่ทุเลา มันหายเฉยๆ อาการอ่อนเพลียก็หายเฉยๆ แปลกมาก
ท่านปัจจุบันท่านพูดไม่มาก ท่านบอกแล้วก็กลับ ถ้าตามท่านว่าไม่หาย พ่อคิดว่าพ่อไม่ทรมานแล้ว ขี้เกียจเต็มทน

เรื่อง เจ้าเปี๊ยก พ่ออ่านจดหมายของลูกฉบับก่อนไม่จบ และจำยากเพราะสมองเสื่อมทรามมาก เลยลืมตอบไป พ่ออ่านฉบับหลัง ถึงข้อความที่ถามถึง เจ้าเปี๊ยก เขามานั่งข้างๆ เป็นหญิงสาว รูปร่างโปร่งขาว สาวสวย เป็นนางฟ้า

เขาบอกว่า บอกแม่ด้วยว่า เจ้าเปี๊ยก เมื่อมันตาย มันคิดถึงหลวงพ่อ มันว่ามันคิดถึงทุกวันที่จากมันมา เมื่อตายเลยไปเกิดเป็นนางฟ้า บน ชั้นดาวดึงส์
เขาว่าเขาอยู่แผนกรักษา สวนนันทวัน เขาพูดแล้วเขาหัวเราะชอบใจ บอกว่า ตายจากแมวเป็นเทวดา ดีกว่าเป็นแมวเยอะพูดแล้วก็หายไป

สองสามวันนี้ แม่ศรี แกมาทุกวัน แกบอกว่าเรื่องการย้ายจงอย่าคิดต่อไป เพราะผู้บัญชาการยังตกลงใจไม่ได้ ใจหนึ่งอยากให้มาอยู่ บ.น.๒ อีกใจหนึ่งอยากให้อยู่ที่ ดอนเมือง แต่อีกใจหนึ่งอยากให้อยู่ ร.ร.การบิน แต่เกรงลูกจะว่า แกสั่งว่า อย่าคิดและอย่ากวนใจเขา อยู่ที่ไหนก็ได้เงิน

มีใครมาเป็นเสธ.หรือยัง ถ้ายัง ถ้าขาให้เป็นเสธ. ก็หมายความว่า เขาจะให้เป็นรอง.... ในวันหน้า ทำงานเอาเงินเดือนเถอะ อย่าทำงานเอาที่ทำงานเลย สบายใจดีกว่ามาก แกบอกว่าอย่างนั้น

พ่อทราบว่า พี่แสวง ติดพันเอก พ่อดีใจมาก พี่แสวง แกมีบุญ ติดพันเอกก็มีคนซื้อเครื่องแต่งตัวให้ คนอย่าง พี่แสวง ก็หาไม่พบอีกแล้ว เป็นนักบริการจริงๆ แกเป็นคนน่ารัก บอกแกด้วยว่า พ่อดีใจมาก ที่แกติดพันเอก

เมื่อวันที่ ๒๑ มนูญ คุณเขียน พร้อมด้วยนายทหารสื่อสาร ลูกน้อง นมูญ เขายกทัพสื่อสารมาหาพ่อ เขาชนะกีฬา ๔ ประเภท แกดีใจใหญ่ ยกทัพมากันเลยมีธงกีฬามาด้วย แกบอกว่า ธงนี้ปักเมื่อไร เป็นแพ้เขาเมื่อนั้น ต้องเอาไปทิ่มดินจึงชนะ แกว่าอย่างนั้น

ก่อนวันที่ ๒๑ คณะลูกน้องแกห้าคนมาหาพ่อ บอกว่าสื่อสารจะแข่งขันกีฬา อยากชนะทุกประเภท แกให้พ่อช่วย

พ่อบอกว่า พระเล่นกีฬาไม่ได้ ความจริงพ่อไม่รู้จะช่วยอย่างไร พอดีเห็น ท่านเทพฤทธิ์ เข้าเลยนึกขึ้นได้บอกให้เขาไปบอก มนูญ ให้บอก ท่านเทพฤทธิ์ แกคงไปบอกกันเวลาเชียร์เขาเล่าว่า กองเชียร์เรียก สื่อสารเทพฤทธิ์

คนภายนอกสงสัย มีนายทหารคนหนึ่งรู้พูดว่า อ้ายพวกนี้มันเอาชื่อเจ้ามาเชียร์กันนี่หว่า เป็นอันว่าอย่างอื่นในสามอย่างชนะลอยนวล แต่ลูกบอลยุ่ง เล่นอย่างไรก็ทำเขาไม่ได้ เขาก็ทำไม่ได้ ในที่สุดจวนหมดเวลา แกบอกว่า ฝ่ายตรงข้ามเกิดยิงประตูตัวเอง เลยชนะ ๐-๑ แกดีใจใหญ่

เมื่อชนะก็ถวายเครื่องสังเวย พวกนายทหารลูกช้างบอกว่า เหล้าขวดนั้นเมื่อถวายแล้วเอามาดื่ม หวานไม่มีรสเมาเลย แกบอกว่าแปลกใจ พอไปซื้อมาใหม่คราวนี้เลย หัวตำหมด เงยหัวไม่ขึ้น วันที่ ๒๐ กันยา เขานัดมาหาพ่อ จะมาทั้งคณะเห็นบ่นถึงลูกทั้งสอง ถ้าลูกมาในวันนั้นแกคงดีใจมาก เห็นแม่ศรี บอกว่าลูกจะมาเดือนหน้า

เมื่อสองสามวัน พ่อดำริจะสร้างอาคารใหม่อีกหนึ่งหลัง คราวนี้จะทำเป็นตึกอย่างแท้ ทำในรั้วยาว ๙ วา กว้าง ๕ วา จะให้มีมุ้งลวดรอบตัว มีพัดลมเพดาน ๗ ตัว คือที่อาคารจัดเป็นสองแถวๆ ละ ๓ ตัว หน้ามุข ๑ ตัว กำหนดการแล้วเสร็จไม่มีทำตามตัวเงิน เป็นการป้องกันชาวบ้านว่า ถ้าได้เงินไม่ทำอะไรเขาจะว่าเอา คิดว่าถ้าแล้วเสร็จ จะเป็นอาคารรับแขกดีที่สุด เป็นสถานที่ปฏิบัติกรรมฐานดีทีสุด

พ่อดำริจะให้เป็นอาคารรับรองและมุ่งเป็นเรือนฝึกกรรมฐาน แต่จะค่อยทำตามตัวเงิน
แม่ศรี แกรู้เข้า แกมาเตือนว่าลูกจะลำบาก
พ่อบอกว่าไม่ลำบาก เพราะคิดว่าก่อนกฐิน ถ้าไม่มีอะไรขัดข้อง จะให้ช่างเทเสาไว้ก่อน เอาแค่นี้ เพราะเสาทำยาก ต่อไปได้เงินพอทำหลังคา ก็ทำหลังคาก่อน ได้มาอีกก็ทำพื้น ทำฝา ทำไปตามแต่เงินจะมี เรียกว่าทำแบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง แกเลยสบายใจ

เพราะตอนแรกช่างมาบอกว่าอยากจะทำพื้นหลังคาให้เสร็จก่อนกฐิน พ่อเห็นว่าไม่จำเป็น ขี้เกียจเป็นหนี้ ตั้งเสาไว้เท่านั้นพอแล้ว จะได้มีเรื่องบอกเขาว่า เมื่อเหลือจากชำระหนี้เดิม เราจะทำอะไรเท่านั้นเอง ถ้าเหลือหนี้สักสี่หมื่น ก็หวังว่าพื้นหลังคาเสร็จ ถ้าไม่ถึงก็ทำแค่มี

เรื่องทหารที่พ่อปรารภว่าจะเอามาใช้ในงาน มนูญ รับแล้ว คณะนายทหารทุกคนรับรองว่าจะมาช่วยเฉพาะสื่อสาร หน่วยอื่นไม่ได้กวนเขา เพราะเจ้านายเขาไม่ได้สนใจ พ่อก็เลยไม่ยุ่ง ขี้เกียจให้เขาติว่าพระยุ่ง
ขณะนี้ บ.น.๔ กำลังออกโฆษณาเรื่องกฐิน แกมุ่งร่วมกับเจ้ากรมของแก พ่อว่า มนูญ แกแข็งแรงมาก เด็ดขาด เอาจริงเอาจัง น่ารักมากทั้งผัวทั้งเมีย
ฝ่าย ช่างโต๋ว กับเมีย ก็มารับจะทำข้าวหมูแดงขายฟรี เลี้ยงคนในงาน แกกะเอามาตั้งทำกันเลย เบาภาระครัวไปมาก เราจะทำอะไรบ้างก็ทำพอควร แกดีเกินคาด

เรื่องอาหารเวลานี้เบามาแล้ว พ่อซื้อเรือ ๑ ลำ ให้พระออกบิณฑบาตแกงล้นเรือทุกวัน แต่พ่อก็ไม่ได้ฉันท์ ฉันท์ของ นายโต๋ว ตามเดิม ผ่อนรายจ่ายเรื่องคนและหมา ต่อไป ไปไหนก็ไม่ต้องกังวลเวลาอาหารทางวัด ไม่เช่นนั้น พอออกเดินทางรายจ่ายทางวัด ถ้าลุงอยู่ไม่เปลือง แต่โยม... อยู่เปลืองยับเลย

คราวที่พ่อมาพักการเดินทางทั้งหมดประมาณ ๑๕ วัน ทางนี้หมดข้าวสารไปหกถัง อาหารครัวเหลือเยอะ พ่อเห็นว่าอาหารเหลือมาก ให้เงินไว้ ๑๒๐ บาท พอมาถึง ครูนนทา บอกว่าขอยืมแกอีก ๑๖๐ หรือเท่าไรจำไม่ชัด สอบถามแกว่าใช้วันละเท่าไร แกกลับตอบว่าเอาไปให้ลูกใช้ เป็นเสียอย่างนั้น

เรื่องหมากินจุ มาสองวันตรวจข้าวที่หุงเลี้ยงหมา หมากินไม่ถึงครึ่ง เหลือมากกว่าหมากิน เป็นอันว่า แกหุงทิ้งมากกว่าหุงให้หมากิน ต่อไปนี้ตัดปัญหาเรื่องอาหารลงไปได้มาก เพราะกับข้าวเหลือเฟือไม่ต้องทำเลี้ยงหมา ข้าวสุกก็มาก แต่ตอนพระสึกข้าวอาจจะน้อยไปบ้าง ก็ชื่อว่ายังมีช่วย

สายทางเรือ เขารู้ว่าพ่อส่งเรือออกบิณฑบาต เขาโฆษณากันใหญ่ แกใส่กันท่วมตอนนี้เจ้าอาวาสกำลังแย่ พระที่เข้ามาบวชกำลังโจมตีใหญ่ ไม่ใช่เรื่องจากพ่อ เป็นเรื่องแกหวงอาหารพระ ของดีกันไว้ข้างตัก ไม่ยอมให้ใครกิน ก็พระเด็กๆ นี่ มันเข้าบ้านมันก็สวดให้ชาวบ้านฟัง

แกกำลังไข้หนัก และกำลังไม่สบายใจเรื่องพระในกรุที่พัง เรื่องของแกนะ ไม่ใช่เรื่องของเรา บอกมาก็เพื่อทราบว่าอาหารคนในบริเวณและหมาเบาการจ่ายแล้ว เรื่องกับไม่ต้องห่วงเลย ข้าวอาจพร่องบ้างตอนฤดูแล้ง

มนูญ แกมาบอกให้พ่อไปออกอากาศ พ่อคิดจะบันทึกเสียง เครื่องของเรามันรวนใช้ไม่ได้เลย หมุนปกติ แต่เสียงไม่ออก เร่งเต็มที่ มีเสียงเท่าแมลงหวี่ร้องเท่านั้น ชักยุ่งใจ เครื่องนนทา ก็ชักหมุนตอนจวนสุดเทป ไม่ใคร่ได้จังหวะ พอจะใช้งานมันก็รวนกันไปหมด เลยต้องรอไว้พลางก่อน

ถ้าพบคุณ... ละก็บอกแกด้วยว่า พ่อป่วย เขียนจดหมายไม่ไหว ขอให้ส่งข่าวมาบ้าง ความจริง หลวงพ่อสิงห์ ท่านมาบอกแล้วว่า อีลูกแกคนนี้ มันต้องเขียนจดหมายถึงมันบ่อยๆ แต่พ่อก็แย่ จดหมายค้างเป็นปึก เขียนไม่ไหว เพิ่งจะมีสมองโปร่งตอนบ่ายวันนี้เอง

พ่อขอจบทีนะ เขียนอะไรบ้างก็ไม่รู้ มันซ้อนเรื่องกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าซ้อนเรื่องกัน ก็คิดว่าทบทวนเรื่องเพื่อจำให้มั่นก็แล้วกัน พ่อคิดว่ากว่าจดหมายของลูกจะได้รับ ลูกคงพบ นนทา แล้ว แกมาค้างทุกคืน ถ้าไม่มีงานเชิญที่ไหน

เห็น หลวงพ่อสิงห์ กับ แม่ศรี บอกว่า ลูกก็ขยันหมั่นเพียรทำกันเสมอ ขณะนี้ แม่ศรี แกมาหาพ่อ แกหัวเราะเปิดเผย ไม่หน้าบูดเหมือนสมัยก่อนแล้ว แกบอกว่า อีก ๔ ปี ลูกทุกคนก็สบายหมดแล้ว แกดีใจ แกว่า เรื่องการปลูกบ้านใกล้มาแล้วให้เตรียมตัวไว้

จากพ่อ
พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ



17
วัดท่าซุง
๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๒

ลูกตุ๋ย
จดหมายของลูกลงวันที่ ๒๒ ธันวานี้ พ่อได้รับและทราบความตลอดแล้ว พ่อดีใจที่ราคาบ้านไม่แพงเกินไป และปรากฏว่ามีคนเมตตามากพ่อถามแม่ศรีแกดูแล้วแกบอกว่าแกช่วย ลูกทั้งสองคนแกช่วยเหมือนกัน ช่วยสร้างบ้านในชาตินี้และช่วยจัดหาที่ๆ สวรรค์ให้ และก็เตรียมที่สำหรับนิพพานด้วย

แกบอกให้พ่อบอกลูกอย่างนี้ และแกตั้งใจช่วยจริงทุกอย่าง แกขอให้ทำใจให้สงบอย่าดิ้นรน เรื่องความเป็นอยู่ ทุกอย่างเป็นกฎของกรรมหนีไม่พ้นให้พยายามสร้างอารมณ์สงบกรรมจะได้ตามไม่ทัน ถึงทันก็มีผลเบา ไม่มีกำลังเต็มที่

ขณะเขียนนี้แกก็มายืนบอกอยู่ แกบอกว่า อย่าทำอารมณ์ให้วุ่นวาย อย่าใจน้อยอย่าคิดมาก จงคิดไว้เสมอว่าเราต้องตาย อย่างห่วงคนอื่นมากเกินกว่ากฎของกรรม จงนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก อย่าทะเยอทะยานเรื่องยศศักดิ์ถึงเวลามันได้ ถึงเวลามันมี ทำใจสบายจะมีความสุข เรื่องลูกก็ขอให้ตั้งอารมณ์ไว้ในฐานะแม่ที่ดีแต่อย่าดิ้นรนจนเกินพอดี จะเป็นทางตัดนิพพานให้ไกลออกไป แกบอกอย่างนี้ พ่อก็เขียนตามคำบอก

แกบอกเรื่องเทวดาต่อไป เรื่องเทวดาที่บอกให้ช่วยวันบิน ท่านมากันทุกชั้นฟ้า ท่านสงเคราะห์ด้วยกันหมด การตอบแทนความดีของเทวดามีเทวดาสองพวกพวกหนึ่งเป็นเทวดานักเลง อีกพวกเป็นเทวดาธรรมะ ให้ทำดังนี้

เทวดานักเลง ให้จัดสุราและอาหาร มีไก่ หมูและเครื่องยำ ตั้งบนโต๊ะผ้าขาว เวลาเช้าของวันใดก็ได้ จุดธูป ๓ ดอก แล้วอัญเชิญเทวดาที่กรุณาสงเคราะห์ทั้งหมดรับเครื่องสังเวย เท่านี้พวกเทวดานักเลงก็จะมารับเครื่องสังเวย เวลาทำควรเป็นเวลาสักสี่โมงเช้า

แกบอกอย่างนั้น ส่วนเทวดาธรรมะ ให้เจริญกรรมฐานทำจิตใจให้สงบที่สุด แล้วขอเชิญเทวดาที่สงเคราะห์ทั้งหมดโมทนา เท่านี้ก็สมควรแล้ว

เรื่องบ้านแกบอกว่า ไม่ต้องให้พ่อไปทำอะไร เพียงแต่เอาธงเขียวแดงผูกปลายเสาเอกเท่านั้นพอ ให้อาทร ผูกเอง เวลายกให้ช่วยกันยก

อย่ายกวันอาทิตย์เพราะบ้านจะมีอาการร้อน คือไม่ปกติ
ถ้าทำเดือนมีนาให้ใช้วันศุกร์
ถ้าทำเดือนเมษาให้ใช้วันจันทร์
ถ้าทำเดือนพฤษภาให้ใช้วันศุกร์

เป็นวันยกเสาเอก ยกเวลา ๔ โมงเช้าตรง แกให้จุดธูปบอกแก แกจะมาพร้อมด้วยท่านปู่ท่านยา และคณะทั้งหมด ไม่ต้องทำศาลให้จุดธูปบอกเท่านั้น เรื่องทำเป็นศาลหรืออย่างอื่นจะขัดทางคนอื่น แกว่าไม่ต้องเมื่อวันจะขึ้นอยู่บ้านให้เอาดอกไม้ขาวขึ้นไปบูชาพระก่อน ถ้าจะเขียนชื่อบ้านให้เขียนว่า บ้านศรีธรรมา แกบอกว่าจะมีความสุข

แกบอกต่อนี้ไป โลกจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สงครามจะหนักหน่วงขึ้นทุกวัน สมณะชีพราหมณ์จะล้มตายเพราะมือข้าศึก จงทำใจให้สงบด้วยอำนาจกรรมฐานถือว่าทุกอย่างเป็นของธรรมดา อย่าทุรนทุราย ทุกคนไม่มีใครหนีความตายได้ คิดว่าตายเมื่อ ไร เราจะไปนิพพานเราไม่ต้องการสิ่งอื่นใด

เราจะมีนิพพานเป็นที่สุดจะไม่ยอมหยุดอยู่ชั้นใดทำใจอย่างนี้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้และให้เป็นเรื่องปกติ เรื่องลูกจงรักเมื่อเรามีลมปราณ ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้สมบูรณ์และคิดไว้เสมอว่า เราต้องตายเขาต้องตายเมื่อต่างคนต่างตายมีอะไรที่เราจะเป็นทุกข์เพื่อเขา เมื่อเราหรือเขาตายหัดวางหัดคิด หัดยับยั้งใจค่อยคิดค่อยทำ ค่อยๆ อบรมตัวเอง

อย่าหวังวาจาของคนอื่นอบรม ทำอย่างนั้นเอาตัวไม่รอด ต้องคอยจับผิดตัวเองคอยลงโทษตัวเอง คอยเป็นโจทก์ฟ้องตัวเอง เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นตุลาการจงถือธรรมเป็นสำคัญ อย่าถือคน ถ้ายังติดคนก็จะไม่ถึงธรรมถ้าถึงธรรมก็พ้นจากการติดคน ถ้าติดคน ติดยศของคนติดฐานะของคนติดศักดิ์ศรีของคนไม่มีอะไรดี เราก็ไม่เข้าถึงธรรม

ทุกอย่างที่ทำไปควรปรารภธรรมอย่าเห็นแก่คน เรื่องการต้อนรับก็มุ่งเอาธรรมเป็นสำคัญทำไปด้วยใครครวญพิจารณาไปด้วย จงเข้าใจว่าทุกอย่างที่ทำเป็นเรื่องของชาวโลกแต่ก็เป็นธรรม คือการทรงตัวของชาวโลกถ้าเรายังไม่เกิดเราก็ต้องทุกข์อย่างนี้อะไรทำให้เราทุกข์ เพราะความอยากทำให้เราทุกข์ถ้าเราไม่อยากเราก็ไม่ทุกข์

ที่เราทุกข์ก็เพราะชาติก่อนเราไม่หมดอยาก และชาตินี้เราก็ยังอยาก เมื่อไรที่ความอยากสิ้นไป เมื่อนั้นก็ถึงนิพพาน อย่าเที่ยวซุกซนทำตนเป็นคนถือมงคลตื่นข่าว ความดีไม่ใช่อยู่ที่คนอื่นความดีอยู่ที่เรา ใครเขาเป็นอรหันต์เราไปเกาะเขา เราจะได้อะไรเขาเป็นกันที่เราไม่ใช่เป็นที่เกาะการเกาะคนโน้นเกาะคนนี้

เอาอะไรมาเป็นเครื่องชำระจิต จงเอาที่บ้าน ที่นั่ง ที่นอนของเราเป็นป่าช้า อย่าคิดว่ามันเป็นทิพย์วิมานเพราะที่อยู่ในชาติปัจจุบันมันมีสภาพเป็นซากศพ มันผุพังเปื่อยเน่า มันทำลายตนเองเป็นปกติ เราและสถานที่ต่างก็เป็นซากศพจะสนใจอะไรกับความสวยสดผ่องใส

มันสวยจริงหรือผ่องใสจริงหรือ โลกนี้มีอะไรดีจงอย่าหวั่นไหวกับความเป็นไปของโลก โลกต่อไปจะเป็นไฟ เราจงทำใจเป็นน้ำใช้คำว่าช่างมัน ช่างมันตลอดไป เขาให้ทำเราทำ เขาสั่งหยุดเราหยุด นี่เป็นภาวะของโลกแต่เรื่องทำใจให้เป็นต้องทำตลอดไป รักษาอารมณ์รู้จักตายรู้ว่าโลกเป็นของสลายตัวเท่านี้ก็พอแล้ว ก็จะเข้าถึงนิพพานได้

เรื่องข่าวลือว่าฤๅษีชีไพรเก่งไม่ควรสนใจ เขาลือว่าพระวิเศษไม่ควรสนใจสิ่งที่น่าสนใจคือกฎธรรมดาที่มีในตัวเรา เท่านี้ก็เป็นคนถึงท่านผู้วิเศษ พ่อเห็นว่าขณะนี้โลกเต็มไปด้วยความวิเศษที่เป็นผี หลอกหลอนคน พ่อดีใจที่ลูกไม่ดิ้นรนไม่กระเสือกกระสนไปกับเขา

พระมีแล้วคำว่าพระนั้น ควรเอาเราเองเป็นพระตามที่พระท่านบอก ไม่ใช่ไปรอใครยกยอปอปั้นให้เราเป็นพระอย่าบูชาวัตถุ จงบูชาความจริง การติดวัตถุเป็นการติดวัฏฏะ ละวัตถุได้ก็ชื่อว่าละวัฏฏะได้

เมื่อคืนวันที่ ๒๔ สมเด็จท่านตรัสให้พระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทา ๑๐ ท่านที่มีอยู่ในเมืองไทย เป็นเณรเสียสามองค์ เป็นพระ ๗ องค์ ท่านให้ช่วยบรรเทาภัยแต่ท่านก็ตรัสเองว่าพระอรหันต์ทำลายกฎของกรรมไม่ได้ห้ามโลกไม่ให้รบกันไม่ได้

วันนั้นแม่ตามท่านไปนิพพานท่านทรงกรุณาโปรดให้ติดตามไป ท่านทรงตรัสว่า นับแต่วันนี้ไปคนที่จะเข้าถึงนิพพานยุคนี้มีแสนคนเศษเท่านั้น ท่านกำหนดเวลาตั้งแต่นี้ถึงสิ้นศาสนา อีกประมาณสามพันปีดูเถอะ คนตั้งพันล้านเข้าถึงนิพพานได้แสนคนเศษและต้องรบรวมเวลาอีกสามพันปี คนที่เกิดแล้วตายเกินกว่าสี่หมื่นล้านคนนอกนั้นเป็นเหยื่อของอบายภูมิหมด

ท่านทรงมอบภาระให้ท่านพ่อ สงเคราะห์ด้วยพระพุทธมนต์คือทำหลักกันอันตราย จงให้ท่านทำให้ เมื่อไปอยู่ทุกที่ๆ ย้ายไปเท่านี้ก็พอเอาแค่ปลอดภัย ไม่ใช่กันตาย แม่ลาละวันหน้าจะคุยใหม่

เป็นอันว่าพ่อเขียนตามคำบอกเพลินเลย แกพูดแล้วแกก็หัวเราะแกบอกว่าขอสั่งอีกนิด บอกลูกของแม่เล็กๆ ด้วยว่า แม่เขาให้ทำตามที่แม่สั่ง

หมดเรื่อง แม่ศรี ก็เป็นเรื่องของ นนทา แกบอกว่าขอให้พ่อบอกด้วยว่าแกคิดถึง รายนี้ก็มีภาระหนักมาก แกว่าเมษามีโอกาสพบกันนานได้

กำหนดไปบ้าน พี่สนั่น วันจันทร์ที่ ๑๖ ก.พ. จะกลับวันพุธ เพราะไม่อยากอยู่นานด้วยมีงานที่ต้องคุม ถ้าจะพบก็พบวันจันทร์หรือวันอังคาร ถ้าบ้านอ้ายหลวยก็คงจะอยู่ไม่เกินสองวันตายเคย เพราะใกล้งานวัดยาง วันนี้คุยเท่านี้นะ เพราะแม่ศรี แกคุยพอแล้ว
พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/2/11 at 14:31 [ QUOTE ]


18
(update 5-02-2554)

วัดท่าซุง
๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๔

ลูกทั้งสอง
จดหมายของฉบับหลัง พ่อได้รับหลายวันแล้วตามที่อ่านวันที่ดูเหมือนลูกเขียนจดหมาย จะมีฤกษ์ตรงกันคือพ่อเขียนถึงลูกวันที่ ๑๘ ลูกเขียนมาวันที่ ๑๗ จดหมายคงจะชอบฤกษ์แบบเดียวกัน
.....................ฯลฯ.....................


กฐินปีนี้ ทอดวันที่ ๓๑ ตุลาคม มันยุ่งเลยไม่ได้ตอบจดหมายลูกเมื่อได้รับจดหมาย วันนี้พอว่างและมีแรง ก็เลยตอบ กฐินคราวนี้ก็เหมือนกันเมื่อก่อนรับวันที่ ๒๒ ถึง ๒๕ พ่อไปกรุงเทพฯ ทุกคนบอกว่าแย่ เราบอกเขา เขาบอกเรา เราให้เขาร้อยบาท เขาส่งให้ ๒๐ บาท แกบอกว่ารู้อย่างนี้ไม่ช่วยเขาดีกว่า อยากได้กำไร เลยกลายเป็นขาดทุน

เขาถามว่าจะได้เท่าไร
พ่อบอกว่าสมเด็จท่านบอกเมื่อก่อนมาว่า กฐินปีนี้ต้องไม่น้อยกว่าแสนสองหมื่นจะเกินหรือขาดกว่าแสนสองหมื่นก็ไม่มาก

ทุกคนคิดว่าได้สักห้าหมื่นก็บุญตัวแล้ว เมื่อรับจริง เกินกว่าแสนสองหมื่นเล็กน้อย คุณอ๋อย ดีใจจนไม่รู้จะพูดอย่างไร เมื่อได้เงินแสนสองหมื่นเหลือหนี้อีก สองหมื่นเจ็ดพันก็ไม่เห็นมีอะไรหนัก เพราะไม่สร้างหนี้ต่อ เจ้าหนี้ไม่ทวง มันก็หมดเรื่องกัน ได้เล็กน้อยหรือมาก ค่อยๆ ทยอยส่งไม่ช้าก็หมด แม้รอถึงกฐินปีหน้า เขาก็ไม่ว่าตกลงกันแล้ว

เรื่องเงินผ่านไป มาว่ากันถึงเรื่องส่วนตัว พ่อเสียท่าท่าน สมเด็จองค์ปฐม อย่างหนักด้วยในพรรษาพ่อป่วยจนพ่อรำคาญตัวเอง เมื่อพ่อตัดสินใจสร้างหีบใส่ศพเพราะสงสาร นนทา ด้วยเมื่อคราวที่ พี่วงษ์ ตาย อะไรจะมายุ่งเท่าเรื่องหีบศพไม่มีอีก มันเป็นของจำเป็นต้องใช้

ถ้าพ่อตายปัจจุบันทันด่วนคนที่หนักที่สุดก็คือ นนทา จะต้องจ่ายเงินปิดหีบไม่ลง พ่อก็เลยตัดสินใจสร้างหีบใส่ศพไว้เสียเอง ทำที่ตั้งที่ถ่ายน้ำเหลือง กันกลิ่นเหม็นด้วยไม่ต้องการให้ฉีดยา ปล่อยตามสภาพ มันจะตายเมื่อไรช่างมัน ตายเมื่อไหร่จะได้มีที่เก็บเมื่อเก็บเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรยุ่ง

เรื่องทำบุญเป็นเรื่องเป็นไปตามความพอใจของคนอยู่ เมื่อพ่อตัดสินใจจะทำหีบศพท่านมาถามว่าทำแน่หรือ
กราบทูลท่านว่าทำแน่
ท่านเลยสำทับว่าต้องทำให้ทันสิ้น พ.ศ. นี้ อย่าให้เลยไม่ได้ อันนี้เป็นพุทธบัญชา ก็ยอมรับ

ท่านถามว่าศพจะเอาไว้ที่ไหน
กราบทูลท่านว่าเอาไว้ชั้นบน
ท่านว่ามันไม่เหมาะ คนขึ้นลงยากต้องเอาไว้ชั้นล่างตรงที่เก้าอี้เหลือง ที่ลูกถวายมาทำที่ระบายน้ำเหลือง และให้เขียนพระพุทธคติว่า “สัตว์โลก เกิดเท่าไรตายหมดเท่านั้น” “ความตายเป็นกีฬาของชีวิต”

ท่านสั่งว่าพรุ่งนี้ (วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๑๔) ต้องให้พระลงมือทำหลุมระบายน้ำเหลือง และบอกว่าเจ้าต้องสร้างอาคารอีกหลังให้รื้อ อาคารสื่อสาร ทำเป็นตึกสองชั้น มีห้องนอนชั้นละ ๖ ห้อง ทุกห้องมีห้องส้วมห้องทำเสร็จค่อยทำค่อยไป มีเงินสดจึงค่อยทำ ไม่มีไม่ต้องทำ อีก ๕-๖ ปีข้าจะหาเงินให้สัก ๗ หมื่น

ฟังแล้วก็น่าขำตึกหลังเบ้อเร่อ ท่านจะหาเงินให้ ๗ หมื่น มันจะเอาไปปะตรงไหนพอ แต่ก็ไม่อยากขัดท่านรับปากท่านไปอย่างนั้นเอง พอวันรุ่งขึ้นก็สั่งพระขุดหลุมเมื่อวันขุดหลุมผ่านไป รุ่งขึ้นอาการแปลกทางร่างกายก็ปรากฏ

ปกติพ่อฉันท์ข้าวต้มไม่ได้คือตอนเช้าบางคราวตั้งอาทิตย์ผ่านไปพ่อไม่เคยแตะข้าวต้มเลย เขายกมาอย่างไรก็ยกไปอย่างนั้นมันฉันท์ไม่ลง บางวันฉันท์ได้ก็ไม่เกิน ๑๐ ช้อน ตอนกลางวัน วันไหนฉันท์ได้ครึ่งจานวันนั้นเฮงเต็มที่ มองเห็นข้าวก็เบื่อเต็มที ตลอดพรรษาพ่อฉันท์ข้าว คิดเป็นข้าวสารไม่ถึง ๒ ลิตร

เมื่อพระขุดหลุมวันแรก พอรุ่งขึ้นตอนเช้าฉันท์ข้าวต้ม ๒ จานขนาดจานเต็ม ตอนกลางวันฉันข้าวสุกขนาดเต็มจาน ๓ จาน รู้สึกว่ามันอร่อยเหลือเกิน เลิกฉันท์ข้าวแล้ว ฉันกล้วยน้ำว้าหมดไปอีก ๕ ผล พ่อแปลกใจตัวเอง ที่อยู่ๆ มันเป็นอย่างนั้นไปได้ เป็นไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีกลอง

ขณะที่กำลังฉันท์ข้าวกลางวันอย่างเอร็ดอร่อยนั่นเอง มีคนมาหาขณะฉันท์ข้าว บอกให้ไม้แปรรูป คิดเป็นเงินหลายหมื่นบาท บอกถวายลูกหีบเป็นไม้สัก ๑ ลูกโดยเขาจะซื้อให้ใหม่ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องแปลก ด้วยพ่อไม่ได้คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นมา

วันหลังพบท่านชมภู ท่านบอกว่าความคิดสร้างที่เก็บศพเป็นภาระของสมเด็จ ท่านจะประวิงเวลาเพื่อรอเด็กที่ยังไม่เข้ามาอีกสองคน อายุยังน้อยไม่ทราบว่าเป็นใคร

เรื่องทั้งหมดเป็น มรณานุสสติกรรมฐาน และ ไตรลักษณญาณ และเตรียมเพื่อคนอยู่จะได้ไม่ยุ่งยากเป็นความดีไม่มีอะไรเสีย เรื่องที่ลูกถามมาว่าจะไปอยู่ วัดสามจีน หรือเปล่า พ่อไม่คิดไป เพียงสงเคราะห์นิดหน่อยเท่านั้นเอง

ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด ถ้าเราเกิดอีก เราก็ลำบากอีก อย่าเกิดเลยดีกว่างานที่ทำขอให้คิดว่าทำเพียงหน้าที่ คือหน้าที่ๆ จะต้องเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว ทำไปอย่าติดหน้าที่ คิดวาง คิดปล่อย คลายความเมา ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรม แต่อย่าบกพร่องในหน้าที่

พระพุทธพยากรณ์เมื่อไม่ช้านี้ พ่อดีใจท่านตรัสว่า ความยาวของชีวิตพ่อมีประโยชน์กับลูกและหลาน ลูกทุกคนจะไม่มีโอกาสได้เกิดอีก พ่อดีใจ ถ้าต้องทรมานกายเพื่อความถึงที่สุดของลูกและหลาน พ่อทนได้เสมอ

บอกโยมหญิงด้วยว่า พ่อคิดถึง และรักแกมาก แกเป็นคนดีที่น่าเคารพจริงๆ ขอให้อยู่เป็นสุข ปราศจากโรคภัยเบียดเบียนเถิด และบอกสองหลานด้วยว่าพ่อขอให้พร ขอให้สำเร็จสมหวังตามที่ตั้งใจไว้ จงอย่าเป็นคนเกียจคร้าน แต่อย่าขยันเกินไปทำไปตามที่กำลังกายและกำลังสมองจะอำนวย

ที่สุดนี้..ขอลูกทั้งสองและหลาน ตลอดจนโยมหญิง จงอยู่เป็นสุข ปราศจากความทุกข์เบียดเบียนด้วยกันทุกคนเถิด
จากพ่อ

พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ


19
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๒๑ มกราคม ๒๕๑๕

ลูกทั้งสอง หลาน และโยมหญิง
หลายวันมาแล้วคิดว่าจะเขียนจดหมายมา แต่หาเวลายากเต็มที เรื่องของเวลาไม่ใช่งานมาก อาการทางกายไม่ค่อยอำนวยมันเหนื่อยง่ายแต่ก็อย่างห่วงเลยไม่มีอะไรมาก สุขภาพดีขึ้นมากใกล้กับสมัยอยู่ วัดปากคลองมะขามเฒ่า

ตอนนี้ ท่านท้าวมหาชมพู สั่งให้ฉันท์ยาคูณธาตุ ของท่านดีจริงๆ เป็นยาไทย นนทา ต้องไปเรียนกับคนขายยา แล้วจ่ายเครื่องยามาต้มกินเอง มีผลมากกินข้าวจุขึ้น เบื่ออาหารน้อยไปมีความต้องการในอาหาร เมื่อฉันท์ใหม่ๆ หยุดยาเก่า ท่านมาบอกว่ายังหยุดไม่ได้ต้องกินยาของท่านไปประมาณ ๔ เดือน ร่างกายจะดีขึ้น จนใกล้ปกติ ไม่ใช่ปกตินะ

เรื่องอื่น ไม่มีอะไรที่จะเล่าให้ฟังเลย เพราะมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทำท่าจะเพิ่มขึ้นมาก็คือเรื่องของบ้าน ท่านเจ้ากรมเสริม คนกลุ่มนี้เป็นนักบุญแบบบอกไม่ถูกเลย คาดไม่ถึง ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงเหมือนกันหมด เด็กขนาดอายุไม่ถึง ๑๐ ปี เวลาที่คุยเรื่องธรรมกัน แกนั่งฟังได้ถึงเวลา ๒๔ น

. วันหนึ่งคุยกันเห็นเด็กยังไม่ง่วงก็คุยกันเรื่อยไปคิดว่าไม่ดึก พอเอานาฬิกามาดู เวลาเลย ๒๔ น. น่าแปลกใจเด็กๆ และทุกคราวที่ไป พวกแกจะพากันขอร้องผู้ใหญ่ขอร่วมนั่งพระกรรมฐานด้วย

เรื่องนี้แม้พวกแกจะทำตามช้างแต่พ่อก็ว่าแกทำดี รู้หรือไม่รู้เมื่ออาบน้ำ แม้ไม่รู้ว่าน้ำก็มีความเย็นและชุ่มชื่น การที่พวกแกสนใจนั่งกรรมฐานก็เหมือนกัน นั่งตามเขาแม้ไม่รู้ผล แต่ผลก็เกิดจากการคารวะพระรัตนตรัยเป็นผลได้ที่มีกำไรพอควร

เมื่อคือวันที่ ๑๙ พ่อนั่งกรรมฐานออกไป จุฬามณี
พบท่านปู่ กับแม่ศรี ถามแม่ศรี ว่าลูกเป็นอย่างไรกันบ้าง
แกตอบว่าตามเคย เป็นอันรู้กันว่าไม่มีอะไรหนัก พอทนกันไปก็สบายใจ

เมื่อเข้าจุฬามณี พบ สมเด็จกัสสป ท่านบอกว่าเธออธิบายผลของบริษัทเธอบกพร่อง ที่บอกว่าทุกคนมีวิมาน ต้องบอกเขาว่า วิมานขนาดไหน วิมานมีหลายขนาด คือวิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้ว วิมานแก้วสามประการ วิมานแก้วห้าประการ วิมานแก้วเจ็ดประการ

วิมารแก้วเก้าประการ ต้องบอกให้ครบ แล้วท่านก็พาชมวิมานของบริษัทท่านชี้ให้ดูว่าบริษัทของเธอทุกคนมีวิมานอย่างต่ำเป็นวิมานแก้วเจ็ดประการ เป็นขนาดเทวดาระดับอุปบารมี ที่พรหมก็มีมากที่นิพพานก็มีมาก


ถามท่านเพราะเป็นห่วงคนที่มีวิมานแล้วถ้าทำชั่ว จะต้องลงนรกก่อน
ท่านอธิบายสั้นๆว่า ทุกคนที่เกรงว่าจะลงนรกให้คิดอย่างนี้
ก่อนหลับหรือเมื่ออาการป่วยไข้ปรากฏ ถ้าอยากไปสวรรค์ จงคิดว่าเราทำบุญมีวิมานแล้ว เราจะไปอยู่ที่วิมานของเรา ก่อนหลับคิดสักวันละ ๑๐ นาที เมื่อป่วยคิดตลอดกาล ท่านว่าตายแล้วไปอยู่แน่

เวลาก่อนคิดคือตอนก่อนจะนอน จะทำชั่วก็ตามเมื่อจะนอนหรือป่วยคิดอย่างนี้ ท่านรับรองว่าไปอยู่วิมานได้แน่
ถามถึงภาวะพรหม ไปยากทำอย่างไรจึงจะง่าย
ท่านบอกว่า ก่อนนอนทุกวันรักษาอารมณ์สมาธิวันละ 10 นาที เมื่อป่วยรักษาอารมณ์สมาธิไว้เรื่อยๆ ไปพรหมแน่

ถามถึงการไปนิพพานแบบง่ายๆ
ท่านบอกว่าก็คิดว่า เราไม่มีอะไรจะรัก ไม่มีอะไรจะชอบ แม้แต่ตัวเราก็ไม่มีอะไร ของในโลกไม่มีอะไรดีที่เราต้องการ คิดเท่านี้ทุกคืนก่อนหลับ เมื่อป่วยคิดเป็นปกติ ไปนิพพานได้อย่างสบาย ไม่มีอะไรหนัก

เรื่องอื่นไม่มีอะไรจะคุยนะ พิมพ์เข้าหน่อยมันชักเสียดท้อง วันนี้พักเท่านี้นะ เขียนน้อยแต่ค่ามาก ดีกว่าเขียนมากค่าของข้อความน้อย พี่สาวเขาจะมีข่าวคุยอะไรอีกกระมัง การส่งเป็นภาระของเขา พ่อขอจบเพียงเท่านี้

ขอทุกคนจงมีความสุขกายสบายใจ มีความปรารถนาสมหวังตลอดอายุเถิด
จากพ่อ
พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ


20
วัดท่าซุง
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๕
ลูกทั้งสอง และโยมหญิง ตลอดจนหลานๆ ที่รัก

จดหมายที่ ลูกอาทร ส่งมาได้รับหลายวันแล้ว แต่ไม่มีเวลาตอบที่ไม่ว่างไม่ใช่มีงานมาก ไม่ว่าเพราะโรคมาก คือท้องมันคอยจะเป็นพิษ ขณะนี้ แม่ศรี มาควบคุมเสมอ เมื่อเผลอไปแกก็เตือนให้กินยา บางคราวไม่ทราบว่าเป็นอะไรหรือาการยังไม่ปรากฏแต่โรคมาแล้ว

แกเตือนให้กินยาบ้างให้เคาะท้องบ้าง ปรากฏว่าอาการที่แกเตือนมีจริงๆ รู้สึกว่าบุญคุณของแกเหลือหลาย ท่านปู่สั่งมาบอกว่าท่านปู่ให้มาดูแล เป็นคนว่างจากงาน เวชยันตวิมาน

ท่านปู่ช่วยมาเป่าให้รู้สึกเบาลงเร็ว ประกอบด้วยหมอศรี คอยเตือนอยู่ เลยพอมีแรง แต่ก็เผลอไม่ได้ เผลอเมื่อไหร่มันจัดการทันที เจ้านี่มันเป็นเจ้าของขันธ์ห้า ไม่มีใครขัดใจมันได้ เมื่อมันจะบัญชาให้ขันธ์ห้ามีอาการอย่างไรก็ต้องตามใจมัน ถ้าขืนขัดใจมันก็จะเกิดทุกข์เปล่าๆ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ยอมรับนับถือมันเสีย ทำให้เป็นธรรมดาเสีย

เหมือนกับเรื่องกินข้าวประจำ เวลาคิดว่าเราต้องกินแน่เมื่อถึงเวลากินก็ต้องกิน อารมณ์ใจมันก็ปกติเพราะมีอาการเคยชิน เรื่องของร่างกายก็เหมือนกินข้าวประจำวัน ถ้าใครคิดว่าจะไม่มีอาการป่วยไข้ไม่สบาย คนนั้นก็โง่เต็มทน เรียกว่าโง่บัดซบ หาปัญญาไม่ได้เลย

โรคมีอยู่ด้วยกันหลายอย่าง โรคแปลว่าเสียดแทง คือมันสร้างความไม่สบายกายไม่สบายใจเป็นอาการของโรค อาการอย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่าทุกข์ เป็นทุกข์ในอริยสัจ แม้ความหิวกระหายในอาหาร ท่านก็เรียกว่าโรค บาลีที่ท่านตรัสไว้อย่างนี้ “ชิฆัจฉา ปรมา โรคา” (ปร อ่านว่า ประระ)

ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง เมื่อมันเป็นโรค มันก็มีอาการเป็นทุกข์แล้วก็ ความหิว ความต้องการความปรารถนามาจากไหน มันไม่มาจากร่างกายคือขันธ์ห้าหรอกหรือ ถ้าเราไม่มีขันธ์ห้าแล้วมันจะมีอะไรเป็นทุกข์การที่จะไม่มีขันธ์ห้าต่อไปไม่มีอะไรยาก เราไม่ต้องการมันเสียก็หมดเรื่อง

นั่งคุยกับมันเล่นสักวันละ ๑ ชั่วโมง ครั้งละไม่ต้องมาก ครั้งละ ๕ นาที รวมเวลาหลายครั้งให้ได้ ๑ ชั่วโมง จะนั่งท่าไหนก็ได้หรือจะนอนจะยืน จะเดินก็ได้ คุยกับมันสำรวจตรวจสอบมัน ดูมันให้ทั่วว่ามันน่ารักตรงไหน มันมีตรงไหนเป็นสุขแท้ดูเอง ให้เห็นเอง อย่ามัวรับฟังจากคนอื่นแล้วก็จำด้วยสัญญาอย่างนี้ไม่พ้นวัฏฏะ

ต้องใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง เมื่อเห็นด้วยปัญญามันก็หมดเมา เมื่อหมดเมาก็หมดทุกข์ เมื่อหมดทุกข์ก็หมดภาระที่จะมีขันธ์ห้า เมื่อขันธ์ห้าไม่มีก็หมดการเกิด เมื่อเกิดไม่มีแล้ว ก็หมดวัฏฏะ เมื่อวัฏฏะไม่มีก็ถึงนิพพาน เมื่อถึงนิพพานแล้วก็หมดธุระ เรื่องของนิพพานหมดภารธุระจริงๆ

สวรรค์หรือพรหม ต้องการอะไรยังต้องนึก พอนึกมันก็ปรากฏแต่นิพพานไม่ต้องนึก ฉันไปที่นิพพานมันสบายจริงๆ เดินเล่นแถวบริเวณที่อยู่พอคิดว่าจะนั่งก็มีแท่นแก้วมารับ พอคิดว่าจะนอนก็มีที่นอนมารับทันที ฉันแปลกใจว่ายังไม่คิดว่าต้องการมันมาได้อย่างไร

สมเด็จท่านบอกว่านิพพานเป็นอย่างนี้ อะไรเหมาะสมก็มีมาเอง ไม่ต้องหา ท่านจึงเรียกว่าเอกันตบรมสุข แปลว่าสุขอย่างเยี่ยม

คุยกันไปตามภาษาคนเบื่อโลกและเบื่อเกิดนะเมื่อคิดถึงว่าเราจะไปนิพพานก็อย่าทำมืออ่อนเท้าอ่อน ทำอะไรไม่ไหวไม่ถูกนะต้องเป็นคนเข้มแข็งต่อการงาน งานทุกอย่างในหน้าที่ต้องไม่บกพร่อง คิดว่าเราทำตามหน้าที่คนไม่บกพร่องไม่ท้อถอยเท่านั้น จึงจะไปนิพพานได้คนอ่อนแอไปนิพพานไม่ได้

ทำมันจนเต็มความสามารถทำชนิดทิ้งทวนคิดว่าชาตินี้ชาติเดียวที่เราจะจำ ต่อไปเลิกแล้ว ขอถวายบังคมลาเจ้าวัฏฏะและตัณหาทุกประการ เท่านี้ก็ไปนิพพานได้อย่างสบาย ไม่เห็นมีอะไรยาก
........................ฯลฯ........................

ขอลูกและทุกคนจงมีความสุขตลอดไปเถิด

พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ


21
วัดท่าซุง
๑๔ สิงหาคม ๒๕๑๕
ลูกทั้งสอง

จดหมายที่ลูกส่งมาคราวนี้มันเดินทางช้ามากเพราะรับเมื่อวันที่ ๙ ส.ค. นี้เอง แต่ทว่าพ่อเองก็หาเวลาตอบไม่ได้ ทั้งนี้เพราะร่างกายไม่ดี มันปวดเสียดท้องเป็นปกติ แต่อาการไม่มากและบวกกับภาระหนัก เลยตอบช้าไปหน่อย พอกำลังจะเขียนจดหมายถึง เพราะเห็นว่าหายไปไม่มีข่าวมาคิดว่าสองตายายมันเป็นอย่างไรป่วยไข้หรือว่างานยุ่งมาก

พอตั้งท่าก็พอดีได้รับจดหมายการตอบคงไม่ครบทุกข้อนะ เพราะขณะเขียนนี้ ก็กำลังเสียดท้องเอาที่จำได้ ด้วยจดหมายที่ส่งมาก็ไม่รู้เอาไปวางไว้ที่ไหน คำตอบข้อแรกก็คือ


(๑) เรื่องสมณธรรม อย่าอยากคำว่าอยากคือการดิ้นรน จะทำให้สมาธิเสื่อม เพราะอยาก เป็นนิวรณ์และตัณหา การอยากเห็นจะเกิดไม่เห็น ปล่อยใจตามสบายเอาความสงบเป็นสำคัญกว่า ขณะนี้ควรปลงสังโยชน์ให้มากมีผลดีกว่าทิพยจักษุญาณ ทิพยจักษุญาณได้แล้ว ถ้าเผลอก็ลงนรกได้ สังโยชน์ตัดได้แล้วไม่มีเสื่อม มีนิพพานเป็นที่ไป จงพอใจสังโยชน์อย่าพอใจญาณอื่นยิ่งกว่าสังโยชน์


(๒) เรื่อง น.อ.พิเศษ ทราบจาก เจ้ากรมเสริม เดือนที่เขาสั่งจ่ายเงินเดือนให้ อาทร คุณเสริม แจ้งมาว่า อาทรได้ น.อ.พิเศษแล้ว เพราะสั่งจ่ายเงินเดือนแล้ว พ่อดีใจด้วย ยศหมายถึงความเป็นอยู่เมื่อมีชีวิตอยู่ต้องกินต้องใช้มียศ ก็หมายถึงการเสริมพลังของชีวิตควรดีใจแต่อย่าเมาใจ


(๓) เรื่องงานยุ่ง จงดีใจที่เราเห็นทุกข์ในโลก เมื่อเราเป็นตัวละครในคณะละครโรงใหญ่ ก็จงแสดงไปตามบทที่ได้รับจนเต็มความสามารถและด้วยความเต็มใจ พร้อมกันนั้น จงนึกไว้เสมอว่าเรามีเวลาแสดงตามที่โต้โผสมมุติให้ชั่วคราว

ไม่ช้าก็จะถอดเครื่องถอดเคราพักการแสดง ถ้าไม่หาทางหนีเขาก็จะจับเอาไปแสดงอีก แสดงคราวไรก็เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย และความทุกข์ ในขณะที่แสดงอยู่ควรหาทางหนีการที่ต้องเป็นตัวละครไว้ด้วยเมื่อเห็นช่องทางเมื่อไรจะได้โดดหนีได้ทันท่วงที


(๔) เรื่องที่ลูกตุ๋ยบอกเรื่องส่งเงิน พ่อว่าส่งตรงมาที่พ่อดีกว่า สั่งจ่ายป.ณ.มโนรมย์ เพราะสะดวกพี่สาวเธอแกอยู่วัด ไม่ได้อยู่บ้านพ่อเอามาเก็บไว้ที่วัด เพราะถ้าขาดแกเสียแล้วพ่อก็ต้องออกแสดงละครเองทุกบท

แม้บทภารโรง การครัวก็ต้องเตรียมตัวพร้อมที่จะแสดง ขาดพี่วงษ์ เสียพ่อหนักใจมากได้พี่สาวเธอมาช่วย พอเบาใจคล้ายพี่วงษ์ อยู่ ถ้าส่งไปทางอุทัยจะขลุกขลักส่งมาที่มโนรมย์ สะดวกกว่า


(๕) ลูกกลับมาแล้ว อาจต้องอยู่ ดอนเมือง กระมัง แต่ทว่าตำแหน่ง น.อ.พิเศษไม่มี อาจต้องอยู่หัวเมืองต่อไป พ่อไม่ได้ถามใครหรือไปกำแพงแสนก็ดี จะได้ได้พลตรีสะดวก ไม่ติดอันดับได้พลตรีแล้วก็ใจเย็นมันจะได้พลโทเมื่อไรก็ช่างมัน สบายใจดี

พ่อขอพักเท่านี้เพราะท้องไม่ดี ว่างๆ เขียนมาเล่าให้พ่อฟังอีกนะ ขอลูกและหลานตลอดจนโยมหญิง จงมีความสุขตามธรรมที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นแล้วเถิด

พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ


22
วัดท่าซุง
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๖
ลูกตุ๋ยและอาทร

จดหมายของลูกจ่าหน้าซองถึงพ่อ ด้านหลังเขียนว่าจากนางมณี ทัพพรังสี โรงเรียนสมถวิล ราชดำริ ซอยมหาดเล็ก ๓ กรุงเทพมหานครได้รับแล้ว ตั้งแต่ตอนเช้าของวันที่ ๙ จดหมายลงวันที่ ๓ แสตมป์ของประเทศไทย พ่อคิดว่าคงส่งในเมืองไทย ลายมือลูก คงเขียนฝากมาให้ส่งที่กรุงเทพฯ ใจความของจดหมายบอกว่าฝากเงินน้ามณีมา เป็นอันว่าพ่อรับทราบ แต่ยังไม่ได้รับเงิน

เรื่องบ่อน้ำ เห็นผลที่เขาทำแล้วน่าปลื้มใจเพราะเขาอดน้ำ ที่ปลื้มใจไม่ใช่บ่อน้ำสวย แต่ทว่า ค่าของน้ำในบ่อมีมากเหลือเกิน ยามเช้ากับยามเย็นมีคนมายืนเข้าแถวยาวเหยียดทุกบ่อ ทั้งนี้ก็เพราะในบ่อมีน้ำ บ่อน้ำเป็นสัญลักษณ์ของน้ำที่ใสสะอาดและเยือกเย็น ทุกคนเขาไม่รู้จักเจ้าของบ่อแต่ทว่าต่างก็คิดเหมือนกันว่าบ่อนั้นๆ คือจรรโลงชีวิต

ทำให้พวกเขาสดชื่นตลอดจนสัตว์เลี้ยงก็สดใส ขณะนี้ทราบว่าเงินที่ให้ไปเขาทำบ่อเสร็จหมดแล้วดูภาพถ่ายที่เขาส่งมา เมื่อคนยืนเรียงแถวคอยน้ำ น่าชื่นใจที่เห็นเขาต้องการ แม้ว่าเขาจะพากันยืนนานสักนิด ก็คิดว่าคงจะสบายใจกว่าเดิมมาก เพราะเดิมเขาต้องหาน้ำกันมีระยะยาวเป็นกิโล

เวลานี้เสียเวลาคอยแต่ไม่ต้องเสียเวลาเดินไกล คอยแล้วได้น้ำที่ใสสะอาดแน่นอน สมัยก่อนเขาคอยน้ำแต่ความหวังที่จะได้ให้ได้ตามต้องการยากเหลือเกิน ด้วยแต่ละคนก็ต้องการมากอยากได้ให้พอใช้ แต่บ่อที่อาศัยเพียงแปลงหรือแอ่งน้ำน้อยๆ ที่คอยน้ำไหลซึมเพิ่มเติม

อานิสงส์ในการทำบ่อดีเพียงใดก็คิดเอาว่าน้ำเป็นปัจจัยในการครองชีพมากน้อยเพียงใด ใครไม่สำคัญเท่าเจ้าแหง่(ควาย) มันทั้งหิวทั้งกระหาย งานหนักร้อนมาก แต่น้ำที่จะอาศัยบรรเทาความร้อนความอ่อนเพลียหาไม่ได้ เราเองก็ไม่เหนื่อยเท่ามัน ไม่ร้อนเท่ามันขาดน้ำอาบเวลาเดียวจะบ้าตาย เป็นอันว่าบ่อของพวกเราควายก็โมทนา น่าดีใจที่มีโอกาสทำบุญกับควาย

เงินของลูกเมื่อได้รับข่าวใหม่ๆ คิดว่าจะเอารวมกันกับบ่อที่พ่อทำแล้วมาตอนนี้ได้เงินใหม่อีก ๔,๐๐๐ บาท เลยตัดสินใจไม่รวมเอาทำใหม่อีกเพราะมีเพื่อนเป็นอันว่าคงมีบ่อเพิ่มอีกไม่น้อยกว่าสามบ่อ ทำให้เขาพวกนั้นสบายใจมากขึ้น

ข่าวอื่นเวลานี้ไม่มีอะไร เพราะว่าพ่อยังไม่ได้ยินข่าวใหญ่หรือข่าวที่น่าสนใจ มีข่าวที่อรเคยถามว่า อเนก กับ ถาด มาหาบ้างหรือเปล่าถาด จึงทราบว่าแกไปอยู่ อุดร ทราบว่าจวนกลับแล้ว

หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ออกวางหน้าบ้านชาวบ้านแล้ว กลายเป็นหนังสือฮิตไป เด็ก ผู้ใหญ่ ชอบกันใหญ่ พ่อเขียนหน่อยหนึ่ง ต่อมาเขียนไม่ไหวเลยบันทึกเสียงเวลาบันทึกก็จวนจะตายอยู่แล้ว ปากไม่ตามจิตมันคอยขัดคอ คิดว่าพูดแล้วจะตายถึงได้พูด

เมื่อพูดเสร็จกลับไม่ตาย ถูกต้มเลยเสียท่า พิมพ์เขาว่าจะฝากเรือไปให้ลูกถ้ายังไม่ได้รับ จดหมายทวงเขาก็แล้วกันหนังสือหนา ๔๕ ยก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ความจริงก็เทจริงๆ เพราะขายไม่ได้เงิน[/color]

พ่อไม่ได้ออกสตางค์เลย คุณสุวัฒน์ และ จ.ส.ต. พัว กับ คุณอรอนงค์ คุณเกษม แกออกเงินกัน ข่าวนี้เป็นข่าวพิเศษ และ มหาสติปัฏฐาน แกออกทุนพิมพ์เองเลยแจกคู่กับ ประวัติหลวงพ่อปาน

วันนี้หาเรื่องคุยไม่ได้มาก เพราะท้องไม่ใคร่ดี แต่ไม่เป็นไรดีมั่งไม่ดีมั่งดีกว่าไม่ดีตลอดกาลอย่างสมัยก่อนจากโรงพยาบาล เมื่อไม่มีเรื่องพูดก็ขอจบเพียงนี้
ที่สุดนี้ขอลูกและคณะทั้งหมด จงมีความสุขตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วเถิด
จากพ่อ

พระมหาวีระ ถาวโร

◄ll กลับสู่สารบัญ


23
วัดท่าซุง
๒๓ กรกฎาคม ๒๕๑๖
ลูกทั้งสอง

จดหมายของลูกอาทรที่ลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ่อได้รับหลายวันแล้วแต่ทว่าไม่มีเวลาตอบ เพราะมีภาระเนื่องด้วยแขกทางไกลติดต่อกันมาตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน จนวันนี้ยังไม่หมดแขกเหนื่อยเหลือเกิน บางวันพับไปเลย ทั้งนี้ก็เนื่องจาก หนังสือหลวงพ่อปาน เป็นเหตุ

แต่พ่อไม่ถือว่าเหตุเสีย เป็นเหตุดี คือได้รู้เนื้อแท้ของคน หนังสือประวัติหลวงพ่อปานที่ออกไปนั้น คิดว่า ๑๐ หรือ ๒๐ ปีจึงจะมีผล แต่คาดผิดถนัด พอหนังสือออกได้ไม่เกิน ๑๐ วัน ปรากฏว่ามีคนสนใจติดต่อทาง ท่านเจ้ากรมสื่อสารท.อ.และเดินทางมาหาที่วัดกันไม่ขาดสาย

บางรายก็เสียเวลาสืบทั่วเมืองเพราะพ่อใช้นามปากกาว่า “ฤๅษีลิงดำ” หลายรายที่มาที่วัดพบพ่อเองเขาถามว่า ท่านฤๅษีดำ อยู่ที่ไหน เขาไม่กล้าใส่คำว่า “ลิง” เข้าใจว่าคงเกรงใจผู้มา ๙๙%

เป็นคนที่ต้องการธรรมปฏิบัติ ไม่ใช่มาเพื่อให้พยากรณ์โชคชะตา เป็นอันขณะนี้คนที่ต้องการธรรมมีมาก ไม่ใช่คนจะละเลยธรรมแต่ผู้แจกธรรมเท่านั้นที่ยังไม่พร้อม ผู้รับที่มีบารมีสมควรมีมากและพร้อมแล้วน่าเสียดายความหวังดีของพระพุทธเจ้า

ลูกอาทรบอกมาว่าจดหมายฉบับล่าสุดพ่อไม่ได้ตอบ พ่อสงสัยว่าฉบับล่าสุดเมื่อไร พ่อจำได้ว่าวันที่๑๓ หรือ ๑๔ มิถุนายน พ่อตอบไป ๑ ฉบับ หลังจากนั้นลูกส่งมาอีกหรือเปล่า ถ้าถึงส่งมาใหม่เป็นอันว่าไม่ได้รับ หลังจากวันที่ ๑๔ มิถุนายนแล้ว พ่อก็เดินทางไป กรุงเทพฯ ราชบุรี ประจวบ ชุมพร และเข้ากรุงเทพฯ กลับเอาวันที่ ๓๐ มิถุนายน

ถ้าจดหมายมาระหว่างนั้นคงไม่ได้รับ เรื่องทางนี้มีงานหนักเข้ามาอีกเพราะอาคารที่สร้างไว้หลังจากลูกไปแล้วอีกสองหลังไม่พอบรรจุพระ และแขกผู้มาก็ล้นที่อาศัยที่มีอยู่ ขณะนี้เลยต้องตัดสินใจสร้างอีกหลังหนึ่งยาว ๒๔ เมตร เป็นอาคารสองชั้น มีห้อง ๗ ห้อง ห้องน้ำห้องส้วมรวม๖ห้อง

รวมห้องอาศัย ๑๔ ห้องแต่ละห้องลึกห้องละ ๖ เมตร ชั้นล่างมีเฉลียงยาว ๒๔ เมตร กว้าง ๖ เมตร มีฝาหน้าต่างกระจกรอบตัว มีมุ้งลวดเพราะเป็นห้องโถงรวมแขกเมื่อจำเป็น สร้างที่อาคารสื่อสารเดิมและสร้างเตาเผา ทำแพน้ำเสริมอะไรต่ออะไรอีกตามควร

จะค่อยๆทำไปตึกใหม่เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม มีคนให้ทุน ๕ หมื่นบาท แต่ราคาจริงกะไว้ประมาณ ๓ แสนบาท ของขึ้นราคามากเหล็กขึ้นถึง ๑๘๐% ไม้กระดานขึ้นประมาณ ๕๐% ของทุกอย่างขึ้นหมดคิดว่าจะไม่ทำอะไร แต่ก็จะเป็นเพราะคนผู้มาบังคับด้วยที่ไม่พออาศัย

ข่าวทางการเมือง ฟ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ถามแม่ศรีบอกว่ามาเป็นปกติ
ถามท่านพกาพรหมเห็นบอกว่าลูกชายจะได้นายพลเร็ว เรื่องอื่นท่านบอกว่าปกติ

เลยไม่มีข่าว ลูกและหลานๆ ตลอดจนโยมหญิงคงสบายกันดี เอาสบายตามปกติแต่ลูกท่านบอกมาว่า มาเมืองนอกดีเห็นทุกข์ของโลกได้ดี และจะมีผลทางปฏิบัติมาก ขณะนี้พระท่านมุ่งให้สอน[color=red]สังโยชน์เป็นสำคัญ และคนส่วนใหญ่ก็สนใจสังโยชน์ จัดว่ามีเกณฑ์ดีมาก

เพราะสังโยชน์ เป็นตัวชนะเด็ดขาด หวังว่าลูกทั้งสองคงไม่ลืมค่อยๆ ๆ ตัดมันนะ วันนี้ว่างนิดเดียวยังเพลียมาก ขอยุติเท่านี้นะ พี่ใหญ่แกจะคุยอะไรบ้างกระมัง พิมพ์ไปตาก็ลายมากขึ้นขอพักเท่านี้
ขอลูกและหลานตลอดจนโยมหญิงจงมีสุขสมหวังตามที่ตั้งใจเถิด

จากพ่อ

(พระมหาวีระ ถาวโร)

◄ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top