Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 9/8/11 at 13:12 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 10 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๐

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดย..พระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน)



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๐

1.
ประกาศให้ทราบ
2. ข่าวรับเลื่อนสมณศักดิ์
3. จุไรและป้าน้อย ชมพระชำระหนี้สงฆ์
4. จุไรไปดาวดึงส์
5. อานิสงส์ฉลองพัดยศ
6. ไปเป็นเทวดาไม่ต้องลงทุน ตอนที่ ๑
7. ไปเป็นเทวดาไม่ต้อลงทุน (ต่อ)
8. จิญจมาณวิกา และข่าว
9. ไปเป็นเทวดาไม่ต้องลงทุน ๒


1
ประกาศให้ทราบ


เวลานี้ และก่อนหน้านี้ มีคนหลายรายแอบอ้างว่า เป็นศิษย์อาตมา บางรายก็แอบอ้างว่า เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ สามารถเข้านอกออกในได้โดยที่ไม่ต้องเคารพเวลา คือเข้าออกเมื่อไรก็ได้ ขอแจ้งให้ทราบว่า การกล่าวอ้างนั้น เป็นเท็จ เพราะอาตมาไม่เคยมีศิษย์ก้นกุฏิ ศิษย์ทุกคนที่จะมาหา ต้องพบได้ตามเวลารับแขกเท่านั้น ไม่ให้พบเวลานอกจากนั้น ที่จะพบได้นอกจากนั้น ก็มีหมอที่อนุญาตให้รักษาโรค แต่หมอก็ต้องพบได้ตามเวลาที่อนุญาตเป็นคราว ๆ เท่านั้น
ขอทุกคนโปรดทราบตามนี้
(พระราชพรหมยาน)
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ.เมือง จ.อุทัยธานี
๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๒

คำปรารภ

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๐ ที่ท่านทั้งหลายอ่านอยู่นี้ เล่มนี้มีทั้งข่าว และนิทาน สำหรับนิทานที่นำมาเขียนในเล่มนี้ เป็นนิทานจากพระสูตร ด้วยมีความคิดว่า ถ้าเอาพระสูตรมาเล่าสู่กันฟัง จะได้ทั้งความรู้ และบุญกุศล และเป็นเหตุให้เพลิดเพลิน เพราะพูดแบบนิทาน ขอท่านทั้งหลายที่อ่าน ขอจงอ่านแบบนิทานก็แล้วกัน จะได้ไม่กังวล
ส.สังข์สุวรรณ
๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๒

ll กลับสู่สารบัญ


2
ข่าวรับเลื่อนสมณศักดิ์


ท่านผู้อ่านทั้งหลาย หนังสือนี้ตามปกติ เป็นหนังสือนิทาน แต่ทว่าสำหรับในตอนต้นเล่มที่ ๑๐ นี้ ไม่ใช่นิทาน เป็นเรื่องจริง นั่นคือ เรื่องที่มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายต้องการอยากจะทราบเรื่องราวความเป็นมาของการเลื่อนสมณศักดิ์ จาก พระสุธรรมยานเถระ เป็น พระราชพรหมยาน ความเป็นมาเป็นดังนี้ คือว่า

เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๓๒ เห็นจะเป็นประมาณวันที่ ๑๐ หรือวันที่ ๑๒ ก็ไม่ทราบ จำไม่ได้นัก เพราะกำลังป่วย เวลานั้นปรากฏว่ามีข่าวจาก พระวิรัช โอภาโส วัดท่าซุง แจ้งให้ทราบตอนเช้า ขณะที่ไปที่ทำงาน บอกว่า มีข่าวดีสำหรับหลวงพ่อ เพราะว่า พระมหาดำ หรือ พระมหาสันติ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี (ขี้เหล็ก) บางกอกน้อย แจ้งมาให้ทราบว่า

เวลานี้หลวงพ่อจะได้เลื่อนสมณศักดิ์ เป็น ชั้นราช มีนามว่า พระราชพรหมยาน ก็ถามเธอว่า ทราบมาจากใคร เธอก็ตอบว่า พระมหาดำ หรือพระมหาสันติ ได้แจ้งมาให้ทราบ โทรศัพท์มาเธอก็จดไว้ ต่อมาได้พบพระมหาสันติ หรือพระมหาดำ ที่ซอยสายลม ท่านก็แจ้งให้ทราบว่า เดิมทีเดียวไม่ทราบเหตุความเป็นมาในกาลก่อน แต่ว่ามีวันหนึ่ง (จำไม่ได้ อาตมาจำวันที่ไม่ได้เองนะ จะเป็นวันที่ ๑๐ หรือวันที่ ๑๒ ไม่ทราบ พฤศจิกายน)

มี ท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ ได้ให้เลขาฯ โทรศัพท์มาถึงท่านมหาดำ หรือมหาสันติ ให้ไปพบ แต่การรับโทรศัพท์วันแรก ท่านมหาดำบอกว่า บังเอิญติดธุระ ไปไม่ได้ วันรุ่งขึ้นจึงไป เมื่อก่อนจะไปถึงวัดสระเกศ ก็แวะไปที่ วัดชนะสงคราม ก่อน อันนี้อาตมาก็จำไม่ได้นักว่า ท่านมหาดำไปพบ ท่านเจ้าอาวาส หรือเจ้าคุณราชฯ ก็ไม่ทราบ เจ้าอาวาสหรือเจ้าคุณราชฯ วัดชนะสงคราม นี้

ท่านมหาดำก็ถามความเป็นมาว่าทางวัดสระเกศนิมนต์ให้ไปพบเรื่องอะไร ทางวัดชนะสงครามก็ตอบว่า ไม่ทราบ ต่อมา เมื่อมหาดำไปพบท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาส วัดสระเกศ ท่านก็ถามว่า แจ้งไปให้หลวงพ่อทราบแล้วหรือยัง ท่านมหาดำก็ถามว่า เรื่องอะไรขอรับ ผมยังไม่รู้เรื่อง ท่านเจ้าคุณฯ ท่านก็บอกว่า เรื่องเลื่อนสมณศักดิ์ คือว่า ปีนี้หลวงพ่อได้เลื่อนสมณศักดิ์จาก พระสุธรรมยานเถระ เป็น พระราชพรหมยาน

หลังจากนั้น พระมหาดำ หรือพระมหาสันติ ก็แจ้งมาให้พระวิรัชทราบ แล้วก็เดินทางมาด้วยตนเองภายหลัง เมื่อแจ้งให้ทราบ อาตมาทราบแล้ว ก็ขอขอบคุณ คือว่า เป็นความเมตตาของพระมหาเถรานุเถระอย่างมาก ตามที่ทราบว่า ท่านบอกว่า ไม่มีใครทราบมาก่อน เห็นมหาดำบอกว่า ทางวัดสระเกศท่านบอกว่า ท่านก็ไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันว่า จะมีการเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ทั้งนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่มีความเมตตา ที่ไม่มีใครคัดค้าน

เรื่องจากนี้ต่อไปก็ขอได้โปรดทราบถึง ความเป็นมาในกาลก่อน คือ การเลื่อนสมณศักดิ์นี้ จริง ๆ แล้วอาตมาไม่เคยนี้คิด ไม่เคยคิดว่าจะมีการเลื่อนสมณศักดิ์ ทั้งนี้เพราะว่าฝ่ายวิปัสสนาธุระ เท่าที่เห็นแต่งตั้งกันมา การเลื่อนสมณศักดิ์มีน้อย ก็คิดไม่ถึง ต่อมาแต่ทว่ามีข่าวพิเศษ คำว่า ข่าวพิเศษ นี้คือ นิมิต แต่เรื่องนิมิตนี้ของดไว้ก่อน ขอพูดถึงการรับสมณศักดิ์ก่อน ในเมื่อได้ทราบว่า จะมีการเลื่อนสมณศักดิ์แล้ว

ต่อมาก็ทราบจากท่านมหาดำ บอกว่า สมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งอาตมามีความเคารพในท่านเหมือนพ่อ ความจริงมีความรู้สึกอย่างนั้น เพราะว่าท่านมีความเมตตาปรานีมาตั้งแต่สมัยมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ เวลานั้นท่านเป็นพระราชาคณะ รองสมเด็จฯ ยังไม่ใช่ สมเด็จฯ กับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม อีกองค์หนึ่ง

องค์นี้ถ้าจำไม่ผิดเวลานั้นก็เป็นพระราชาคณะ เป็นชั้นพรหม เป็นเจ้าคุณพรหมอะไร คุณาภรณ์ละมั้ง ก็จำไม่ได้ ก็รวมความว่า ทั้ง ๒ องค์นี้ เป็นพระราชาคณะชั้น รองสมเด็จฯ เหมือนกัน ท่านมีความเมตตาปรานี ให้กำลังใจในการบริหารวัดท่าซุงตั้งแต่สมัยนั้น เวลานั้นอุปสรรคต่าง ๆ ก็มีมากจนบอกไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าจะมีอุปสรรคถึงขนาดนั้น มีอุปสรรคทั้งวงนอก ทั้งวงใน

อาศัยที่กำลังใจมีความเคารพในพระพุทธศาสนา คือ พระพุทธเจ้า ก็คิดว่าวัดนี้มีสภาพเหมือนวัดร้าง กุฏิที่ดีจริง ๆ พอจะอาศัยได้ก็มีหลังเดียว กุฏิเจ้าอาวาส หลังจากนั้นก็มีอีก ๒ หลัง ก็ฝาโปร่ง หลังคาโปร่ง ถ้าอยู่ ฝนตก ก็ไม่คุ้มฝน และแดดส่อง ก็ไม่คุ้มแดด แต่ในเมื่อมาทำ เริ่มทำเข้า มันเริ่มจะดีขึ้น มาสร้างอาคารขึ้นมา สร้างศาลาที่สำหรับบำเพ็ญกุศล สร้างอาคารสำหรับพระพัก ๓ หลัง หลังใหญ่ คือ อาคารเสริมศรี

ตอนนี้ก็มีปฏิกิริยาภายใน ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาของอุปสรรค การทำงานทุกอย่างต้องมีอุปสรรค รวมความว่า ได้กำลังใจจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ ทั้ง ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา กับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม ท่านเจ้าประคุณทั้ง ๒ ท่านนี้ ให้ความเมตตาปรานีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กำลังใจในการปฏิบัติ จนกระทั่งถึง การที่ ยกช่อฟ้าก็ดี ฝังลูกนิมิตพระอุโบสถก็ดี ท่านก็เมตตามาในงานทุกครั้ง ให้กำลังใจทุกอย่าง

ต่อมาภายหลังนี้ วันที่จะรับสมณศักดิ์ ก็ทราบจากพระมหาสันติหรือมหาดำ ว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านบอกมาว่า เวลาที่ออกจากวัง ให้เข้าวัดสามพระยาก่อน จะทำการรับที่นั่น อาตมาก็รู้สึกขอบพระคุณท่าน และรู้สึกมีความปลื้มใจเป็นพิเศษ ที่ได้รับความเมตตาปรานีจากสมเด็จฯ และต่อมาได้ทราบอีกว่า ท่านจัดสถานที่ต้อนรับคนเป็นกรณีพิเศษ

มีวัดพลับพลาไชย เป็นกำลังใหญ่ ช่วยจัดงานสถานที่ และก็มีการให้การเลี้ยงดูปูเสื่อ หมายความว่า สั่งก๋วยเตี๋ยวผัดไทยลงทุนอันดับแรก หมื่นบาท และจัดสถานที่เป็นพิเศษ จัดเก้าอี้มากมายพันกว่า ดูเหมือนว่า วันนั้นมีคนบอกให้ทราบว่า ประมาณ ๑,๘๐๐ ตัว ก็รวมความว่า การจัดงานคราวนี้ คาดไม่ถึง คิดไม่ถึง ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ จะมีความเมตตาปรานีถึงขนาดนี้ แต่ความจริงความเมตตาปรานีของท่านหนักอยู่แล้ว

แต่ทว่าการจัดสถานที่แบบนี้รู้สึกว่า ทำให้มีความปีติมาก คิดไม่ถึง คาดไม่ถึง และต่อมาก็ทราบข่าวว่า ท่านสั่งมาว่า จะจัดของแจกให้ในงานนี้ ประมาณ ๒,๐๐๐ ก็ยังไม่ทราบว่า ๒,๐๐๐ ชิ้น หรือ ๒,๐๐๐ องค์ หรือ ๒,๐๐๐ ชุด ท่านมหาดำ ท่านบอกว่า เจ้าคุณศรีปริยัติบดี ก็บอกว่า ไม่ทราบว่า เป็นอะไรกันแน่ แต่ก็มีการขมวดท้ายมานิดหนึ่งว่า ถ้า ๒,๐๐๐ ไม่พอ ทางวัดท่าซุงต้องทอดผ้าป่านะ

เรื่องนี้อาตมาก็ไม่รู้สึกหนักใจ เพราะการทอดผ้าป่า เป็นไปตามกำลังศรัทธา และทรัพย์สิน ถ้าเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านลงทุนของแจก ๒,๐๐๐ ชิ้น แต่บังเอิญ วันนั้นมีญาติโยมพุทธบริษัททำบุญมาแค่ ๑๐ บาท ก็ทอดผ้าป่า ๑๐ บาท ไม่เห็นจะเป็นอะไร ทอดผ้าป่า เป็นการถวายสังฆทานแต่ทว่าความจริง อาตมาก็คิดว่า ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะว่าตามข่าวที่ปรากฏขึ้น

และการแสดงออกถึง ความเมตตาปรานี ของ เจ้าประคุณสมเด็จพระโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นเหตุให้ลูกหลานญาติโยมพุทธบริษัทดีใจมาก ต่างคนต่างดีใจกัน ในฐานะที่เลื่อนสมณศักดิ์ เพราะว่าทุกคนบอกว่า คาดไม่ถึง คิดไม่ถึง ก็เลยบอกกับเขาว่า เวลานี้หลวงพ่อสมเด็จฯ จัดการตามนี้ จัดสถานที่เป็นกรณีพิเศษ ตั้งโต๊ะ ตั้งเก้าอี้ จะมีก๋วยเตี๋ยวผัดไทยเลี้ยง มีของแจก ๒,๐๐๐ ชิ้น

ถ้า ๒,๐๐๐ ชิ้นไม่พอ ให้วัดท่าซุงทอดผ้าป่า บรรดาลูกหลานทุกคนถ้วนหน้า ที่มาพบวันนั้น ก็ต่างคนต่างบอกว่า เรื่องการทอดผ้าป่า ไม่ต้องทอดขอรับ อาตมาฟังแล้วก็สงสัยว่า ทำไมเป็นอย่างนั้นหลวงพ่อลงทุนขนาดนี้ ทำไมจึงไม่ทอดผ้าป่า เธอก็บอกว่าการทอดผ้าป่า มีการจำกัด บางคนก็จะทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ถือว่าพุ่มหนึ่งเท่าไรก็ได้ ตามใจชอบ เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ

พวกผมทั้งหมดจะรวบรวมกำลังใจกัน พระชยันโตมีกี่องค์ ผมจะรับกันไปคนละองค์ ๆ ต่างคนต่างหากัน หาได้เท่าไรแล้ว นำมารวมเข้า แล้วนำมาหาร สำหรับหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ถ้าได้เกินกว่านั้นก็จะร่วมสร้างโรงเรียนกับท่าน เงินทำบุญวันนั้นทั้งหมด ทุกคนตัดสินใจว่า ต้องถวายวัดสามพระยาทั้งหมด แล้วเขาก็หันมาถามอาตมาว่า หลวงพ่อเคยปฏิบัติอย่างนั้นใช่ไหมขอรับ

ถามว่าอย่างไร คือว่า ลาภสักการะที่หลวงพ่อได้รับ วัดไหนก็ตาม ไม่เคยรับมาวัดท่าซุง ก็ถวายวัดนั้นหมด เห็นเป็นอย่างนี้มาทุกวัด แล้วก็วัดสามพระยา ก็เลยบอกเขาว่า วัดสามพระยานี่นะ นอกจากทรัพย์สินที่ญาติโยมจะทำบุญในวันนั้นแล้ว ถ้าฉันไม่เกรงใจพวกคุณ ฉันจะเกณฑ์พวกคุณ ให้เพิ่มเติมทำบุญกับสมเด็จฯ วัดสามพระยา ในการสร้างโรงเรียนอีก

เงินวันนั้นทั้งหมด ทรัพย์สินทั้งหมดที่ได้มา ก็จะสร้างโรงเรียนกับท่าน เพราะการสร้างโรงเรียนของท่านเป็นโรงเรียนสาธารณสงเคราะห์จริง ๆ ไม่เก็บเงิน ไม่เก็บทอง พระเณรเรียนได้ เด็กฆราวาสเรียนได้ ทุกอย่างจะให้เรียนฟรีหมด ฟรี ๆ อย่างนี้ หาไม่ได้ที่ไหน ก็จะมีอยู่แห่งหนึ่ง ที่วัดท่าซุง แต่ที่อื่นอาจจะมีนะ ขออภัยนะ ญาติโยมพุทธบริษัท ที่อื่นอาจจะมี แต่อาตมาไม่ทราบ

แต่ว่านาน ๆ จะทราบสักครั้งหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่า จะพบแห่งหนึ่ง หรือ ๒ แห่ง ที่มีอยู่ ที่ทราบข่าวว่า ฟรีทุกอย่าง การสร้างโรงเรียนให้ก็ลงทุน จ้างครูมาสอนก็ลงทุน ทุกอย่างต้องลงทุนหมด ค่ากระแสไฟฟ้า อุปกรณ์การสอน น้ำประปา หนังสือเรียน ตำรับตำราต่าง ๆ ต้องลงทุนทุกอย่าง แต่ให้ฟรี อย่างนี้หายาก พวกเราจะร่วมทำบุญกัน ทุกคนก็พร้อมใจ เต็มใจกัน

แต่ว่าวันนั้น เขาจะถวายพระสวดชยันโต องค์ละเท่าไร อาตมาไม่ทราบ เขาจัดใส่ซองมาถวาย และถวายสร้างโรงเรียนกับหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เท่าไร ก็ไม่ทราบเหมือนกัน เป็นอันว่า เรื่องต่าง ๆ ของถวายพระ ดอกไม้ธูปเทียน เขาจัดกันหมด อาตมาก็ไม่รู้ เขาใส่ซองมาให้ ก็ใส่ซองต่อไป เขาเขียนมาอย่างไร ก็ว่าไปอย่างนั้น เขาเขียนว่าอันนี้ถวายใคร ก็ถวายคนนั้น

ทีนี้เงินที่ทำบุญวันนั้นญาติโยมพุทธบริษัท มาที่วัดสามพระยามากเป็นกรณีพิเศษ อาตมาคิดไม่ถึง ทีแรกคิดว่า เจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ ตั้งเก้าอี้ไว้ ๑,๐๐๐ ตัว ก็คิดในใจว่า จะได้ครึ่งเก้าอี้หรือเปล่า ก็ไม่ทราบคนอาจจะมาถึง ๒๐๐ คนหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ คิดไม่ถึง ก็คิดว่าเพราะว่าอยู่ที่กรุงเทพฯ คนบ้านนอกก็เข้าไปยาก สถานที่จอดรถก็ยาก

และวันนั้นก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ต่างคนอาจจะมีภารกิจ ไปไหนต่อไปไหนกัน ตามธรรมดาของคน คนไทยที่มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และต่อมา เอาเข้าจริง ๆ เก้าอี้ ๑,๐๐๐ ตัว ไม่พอนั่ง ท่านพระครูเจ้าอาวาสวัดพลับพลาไชย ท่านบอกว่า เพิ่มอีก ๘๐๐ ตัว ยังไม่พอเป็นอันว่า ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ลงทุนไป ๑๐,๐๐๐ บาท

พรึบเดียวไม่ทันสิ้น ๔ โมงเย็น หมดไปแล้ว แต่งานจะเข้าถึงงานจริง ๆ เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม หรือ ๒ ทุ่มเศษ จำไม่ได้ก็รวมความว่า คนมามากเป็นกรณีพิเศษ การทำบุญวันนั้น นับเฉพาะธนบัตร ส่วนสตางค์เหรียญ ก็นับไม่ทัน มันดึกมาก ก็บอกให้เจ้าคุณศรีฯ เป็นคนนับต่อไป เฉพาะธนบัตรจริง ๆ ได้ ๒๒๑,๖๐๐ บาท ก็ถวายหลวงพ่อสมเด็จฯ ไว้

แต่ท่านก็ประกาศว่า เงินทั้งหมดนี้จะทอดผ้าป่า วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๓๓ เป็น วันเกิดของท่าน ท่านจะประกาศการทอดผ้าป่า เพื่อสร้างโรงเรียนให้แล้วเสร็จ เพราะโรงเรียนเวลานี้ สร้างขึ้นไปแล้ว เห็นจะเสร็จประมาณ ๕๐ เปอร์เซ็นต์เศษ ๆ แต่ว่าการก่อสร้าง ตอนที่จะเสร็จ ติดประตู ติดหน้าต่าง ติดมุ้งลวด ติดอะไรต่ออะไรก็ตาม มันจะแพงมากกว่าตัวอาคารตึกมาก อาตมาทำอยู่แล้ว

ทีนี้การที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทบำเพ็ญกุศลวันนั้น ก็ขอขอบคุณท่านทุกคน ที่การทำบุญ เต็มไปด้วยความเมตตาอาตมา และมีศรัทธาในหลวงพ่อสมเด็จฯ ก็คุยกันต่อไป เขาอยากจะทราบการเข้าไปในวัง ก็ไม่มีอะไรมากเป็นเรื่องธรรมดา เขามีกันทุกปี แต่ญาติโยมอยากจะทราบก็บอกให้ทราบว่า ในตอนแรกก็ไปพักที่ วิหารคด วัดพระแก้ว ซึ่งใกล้ ๆ กับสถานที่ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ตอนนั้น ขณะที่ไปนั่งอยู่ก็มีพระรอคอยเวลาอยู่มาก รอรับเลื่อนบ้าง แต่งตั้งใหม่บ้าง

ก็พอดีท่านเจ้าประคุณพรหมคุณาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ องค์นี้เป็นพระที่มีความใจดีมาก องค์อื่นอาจจะใจดีเหมือน ๆ กัน พระทุกองค์พระผู้ใหญ่ ที่รู้จักหน้ากัน ทุกท่านก็ใจดีหมด แต่องค์นี้เป็นกรณีพิเศษ เจอะหน้าใครก็ทัก องค์นั้นบ้าง ทักองค์นี้บ้าง ท่านไปยืนต้นแถว หน้าแถว แล้วก็เดินเรื่อยมา ทักมาตลอด พระทุกองค์ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ ด้วยความเมตตาปรานีของท่าน ท่านยิ้มไม่ว่ากับใคร

พอท่านมาถึง บอก อ้าว นั่งอยู่ตรงนี้หรอกหรือ นี่ดีใจด้วยนะที่ปีนี้ได้เลื่อนเป็นชั้นราช ก็เลยคิดว่า การเลื่อนขึ้นเป็นชั้นราช เป็นความดี เป็นความเมตตาปรานีของท่าน หลังจากนั้น ถึงเวลา ก็เข้าไปในพระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ไปนั่งคอยรับพัด เมื่อถึงเวลา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ เมื่อพระสงฆ์สวดมนต์เสร็จ ก็ทรงถวายพัดกับพระ วันนั้นมีการแต่งตั้ง สมเด็จฯ ๓ องค์ และพระราชาคณะรองสมเด็จฯ อีกหลายองค์

ก็รวมความว่า หลังจากเสร็จพิธีแล้ว ก็สวดมนต์เย็น เมื่อสวดมนต์เย็นแล้ว ก็เดินทางกลับออกมาวัดสามพระยา มาวัดสามพระยา วันนั้น ก็รู้สึกว่าดีใจมาก ทางโปร่ง แทนที่จะติดก็ไม่ติด พอเข้าถึงวัดสามพระยาก็ตกใจ เห็นบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและลูกหลานทั้งหลายอยู่นอกวัดกันขนาดหนัก เต็มแน่นมาก อาตมาเองก็ป่วยไข้ไม่สบาย มีความหนักใจ คิดว่าจะเดินไม่ไหว

พอเข้ามาที่โบสถ์วัดสามพระยา เมื่อพระสวดชยันโตเสร็จ ขอพูดภาษาไทย ๆ การสวดชยันโต วันนั้น บังเอิญพระที่ท่านนิมนต์มา ก็มากันไม่ครบ เพราะรถติด เห็นใจท่าน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ต้องสวดด้วย และท่านเจ้าคุณรองสมเด็จฯ พรหมคุณาภรณ์ ท่านก็สวดด้วย สวดกันรู้สึกจะเหนื่อย ๆ สักหน่อย เมื่อสวดเสร็จ ก็ถวายของต่าง ๆ เครื่องสักการะตามที่ลูกหลานและญาติโยมจัดให้มา เครื่องสักการะที่เป็นดอกไม้ ธูปเทียน มีคนโทต่าง ๆ ก็ตาม

อันนี้เป็นหน้าที่ของมหาดำ หรือมหาสันติ เจ้าอาวาสวัด ขี้เหล็ก บางกอกน้อย เป็นผู้จัด ช่วยจัดให้เป็นกำลังใหญ่ แล้วก็ ท่านเจ้าคุณศรีปริยัติบดี วัดสามพระยา เป็นแม่งานจัดงาน กับพระมหาสำเริง และนอกนั้นก็ช่วยกันทุกองค์ และพระวัดพลับพลาไชย เป็นอันว่า วันนั้นทราบข่าวจากมหาดำบอกว่า สมเด็จฯ ประกาศบอกว่า พระวัดสามพระยาที่รับนิมนต์จากวัดไหนก็ตาม ขอให้คืน ช่วยจัดงานที่วัดสามพระยากันโดยเฉพาะ

ก็เป็นอันว่า งานนี้ก็สิ้นสุดลงแค่นี้ อันนี้เป็นความดีของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท และก็เป็นพระเดชพระคุณของ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ด้วย พระราชาคณะทั้งหมดด้วย พระวัดสามพระยาทุกองค์ พระวัดพลับพลาไชยทุกองค์ และญาติโยมทั้งหมดที่มาช่วยกัน เขารวมพลมาช่วยกันมาก แต่อาตมาก็ยังติดใจเขาลือกัน นี่ไม่ได้โฆษณานะ

เขาลือกันบอกว่า ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยที่วัดสามพระยาสั่งมา อร่อยมาก แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย มันเป็นเวลาล่วงเวลาหลังเที่ยงไปแล้ว เป็นเวลากลางคืน อยากจะลองฉันดูบ้าง ก็ฉันไม่ได้ไปๆ มาๆ ก็คิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้า ถ้าไปวัดสามพระยา จะไปฉันก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ก็เกรงไปว่า จะไปไม่ทันเพล ก็สรุปแล้ว รวมความว่า บุญบารมีที่จะฉันก๋วยเตี๋ยวผัดไทยข้างวัดสามพระยา คงจะไม่มีโอกาส

ถ้าญาติโยม หรือเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวผัดไทยทราบ ถ้าทราบข่าวว่า อาตมาจะไปที่ซอยสายลม ถ้าโอกาสดี ๆ มีความเมตตาปรานีเป็นกรณีพิเศษ ลอง ๆ ส่งก๋วยเตี๋ยวผัดไทยไปสักห่อก็จะดีหรอก จะลองพิสูจน์ดู ถ้าดีจะขอใหม่ต่อไป แต่ไม่ซื้อนะ ขอใหม่ ถ้าหากว่าไม่ดี ก็ไม่ขอใหม่ต่อไป ถ้าดีจะขอทุกเที่ยว ก็รวมความว่า ขอเลี้ยวเข้านิมิต เหลือเวลาประมาณสัก ๗ นาที

การเลื่อนสมณศักดิ์ ข่าวจากบุคคลไม่มี แต่ว่าข่าวจากนิมิตมีคือว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๒ อาตมากลับมาจากอเมริกาแล้ว ต่อจากนั้นไป ก็แบกอาการป่วยมาจากอเมริกา คือ วันไปก็เริ่มป่วยอัศจรรย์ใจมาก เริ่มเดินทางก็เริ่มป่วย ไปถึงแคลิฟอร์เนียก็เริ่มดีขึ้น ที่ชิคาโกน่ะ ป่วยมาก ที่เดนเวอร์ เกือบใช้อะไรไม่ได้ พูดเพิดไม่ออก ก็รวมความว่า กลับมาก็เริ่มป่วยใหม่ ป่วยมีอาการเครียด หนักใจ

มีอาการหายใจถี่ขึ้น รู้สึกเหนื่อยมาก ก็คิดว่า วันนี้อาจจะตาย ก็รวบรวมกำลังใจ นึกถึงศัพท์ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปฺปาทวยธมฺมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป อุปฺปชฺชิตวา นิรุชฺฌนฺติ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เตสํ วูปสโม สุโข การเข้าไปสงบกาย นั่นชื่อว่า มีความสุข การเข้าไปสงบกาย คือ ไม่มีร่างกาย ก็มองดูร่างกายว่า ส่วนไหนมันดีบ้าง

เห็นว่าทุกส่วนไม่ดี ถ้าไม่ดีอย่างนี้ ถ้ามันเลิกหายใจ เราจะมีความสุขมากกว่านี้ จิตก็นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ที่เรียกว่า พุทธานุสสติ แล้วจับลมหายใจเข้าออก เวลานั้นจิตสงบดี มีความเยือกเย็น ก็มีอารมณ์วูบหนึ่งปรากฏขึ้น ปรากฏพระขึ้นองค์หนึ่ง
ท่านบอกว่า เธอคิดว่า จะตายวันนี้หรือ

ก็กราบเรียนท่าน บอกว่า จะตายวันนี้ และอาจจะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ก็ได้ เพราะอาการอย่างนี้ไม่ดีมาก อาการของลมหายใจมันสั้นมาก ลงไปไม่ถึงสะดือ และไม่ถึงครึ่งท้อง
ท่านก็บอกว่า เธอยังตายไม่ได้นะ ปีนี้เขาจะมีการเลื่อนสมณศักดิ์ให้

ถามว่า สมณศักดิ์อะไรขอรับ
ท่านก็บอกว่า เขาจะเลื่อนเธอขึ้นเป็นชั้นราช
เลยกราบเรียนกับพระท่านบอกว่า การเลื่อนสมณศักดิ์ กับการจะตาย มันมีความสัมพันธ์กันหรือ เวลานี้กระผมจะตาย จะเลื่อนสมณศักดิ์ สมณศักดิ์ให้เดือนธันวาคม มันจะรับกันทันหรือ

ท่านบอกว่า ต้องทัน เธอยังจะตายไม่ได้
ก็บอกว่า ถ้าร่างกายไม่ทรงตัว ก็จะต้องตาย ทั้งนี้ไม่ใช่มีการฝ่าฝืน
แล้วพระท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าอย่างนั้นเธอก็จับ อานาปานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ไว้ พอจิตเป็นสุข เดี๋ยวจะรู้เอง
แล้วท่านก็หายไป อาตมาก็ทำอย่างนั้น

อารมณ์ที่เป็นสุขจริง ๆ คือ อานาปานุสสติ แล้วร่างกายที่เราไม่ต้องการมัน เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์ ไม่เห็นความดีของร่างกายที่มีเนื้อ มีกระดูก มีหนัง มีน้ำ ต้องการอย่างเดียว คือ ร่างกายที่ไม่มีธาตุ เมื่อเจอะอารมณ์เป็นสุข คิดว่า ร่างกายที่มีธาตุมันพัง เราจะมีร่างกายไม่มีธาตุ มีความสุข พอคิดเพียงเท่านี้ จิตเป็นสุขมาก

ก็มีเสียงปรากฏที่ศีรษะว่า ตั้งใจให้ดีนะ อาการทั้งหมดจะคลาย เวลานั้นก็รู้สึกมีลมเย็น ๆ จากศีรษะ แล้วเย็นไปทั่วตัว เหมือนกับใครเป่า แต่ไม่เห็นตัว อาการทั้งหมดค่อย ๆ คลายตัวทันทีทันใด เวลาผ่านไปประมาณสัก ๒ นาที อาการดีทั้งหมด กระปรี้กระเปร่า คล่องแคล่วทุกอย่าง ก็เป็นอันว่า การพ้นการตายมาครั้งหนึ่ง

ต่อมา เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ ก็เกิดอาการป่วยหนักมาก อาเจียน สลบไปหลายนาที ถึงขั้นสลบ ครั้งแรก จิตออกจากร่างไปนั่งคุยกับเทวดา ๒ องค์ อย่างมีความสุข พอกลับเข้ามาในกายรู้สึกว่า สถานที่นั่งที่นั้น มีเสมหะเต็ม อาเจียนเป็นเสมหะมาก จะเกินกว่า ๑ กระโถน หลังจากนั้นไป ก็สลบที่หน้าประตูส้วม เป็นในส้วม พอฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนกลางคืน นอนภาวนา ก็ปรากฏว่า จิตใจพ้นไปจากร่าง

ขอสรุป เพราะเวลาเหลืออีก ๒ นาทีเศษ ๆ เป็นอันว่า ไปพบพระท่าน เมื่อจิตหลุดไปจากร่างกายก็คิดว่า เราจะไปเลย ร่างกายที่ไม่ดีอย่างนี้ ไม่อยู่กับมันอีกต่อไป เมื่อขึ้นไปแล้ว ก็ไปพบพระ
พระก็ถามว่า เธอจะไปไหน
ก็กราบเรียนท่านบอกว่า ร่างกายมันเริ่มไม่หายใจแล้วขอรับ ขอไป

ท่านก็บอกว่า ยังไปไม่ได้นะ ปีนี้เขาจะเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ต้องอยู่รับสมณศักดิ์ก่อน
ก็ถามท่านบอกว่า สมณศักดิ์เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มีความสุข หรือมีความทุกข์ ถ้าสมณศักดิ์ให้มีความสุขได้ ก็จะอยู่ ถ้ารับสมณศักดิ์แล้ว ยังไม่พ้นกฎธรรมดา ก็อยากจะตาย
ท่านบอกว่า ต้องสุข จะสุข หรือไม่สุข ก็ต้องมีความสุข เพราะผลของการกระทำ นั่นคือ งานที่จะต้องทำมีอยู่ อยู่ก่อนนะ กลับไปก่อน

ก็เลยบอกท่าน บอกว่า เวลานี้ร่างกายไม่ดีแล้ว หายใจไม่ทั่วท้อง
ท่านบอก คอยที่นี่ประเดี๋ยว ประเดี๋ยวจิตจะเป็นสุข ร่างกายจะปกติ แล้วก็เป็นจริงตามนั้น
บรรดาท่านผู้ฟังและท่านผู้อ่านทั้งหลาย เวลาใกล้ ๆ นั้น ปรากฏว่ามายืนอยู่ที่ศีรษะแล้วก็มี เทวดา กับพรหมยืนข้างๆ ประเดี๋ยวหนึ่งร่างกายก็ปกติ

ท่านก็บอกว่า เวลานี้ร่างกายปกติแล้ว กลับไปที่เดิม ก็กราบลาท่านเอาละบรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย เวลานี้มองดูนาฬิกา เห็นว่าเหลือเวลาอีกประมาณสัก ๑ นาทีเศษ ๆ ก็จะหมดเวลา ว่าไป ว่ามา ก็เหลืออีกนาทีเดียว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/8/11 at 13:13 [ QUOTE ]


3
จุไรและป้าน้อย ชมพระชำระหนี้สงฆ์


ท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับตอนที่ ๑ ผ่านมา ก็ปรากฏว่า เป็นเรื่องราวที่เป็นงานเป็นการเกินไป และเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้บรรดาท่านผู้อ่านมีความรำคาญ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญชวนบรรดาท่านทั้งหลาย มาอ่านเรื่องนิทานกันดีกว่า นิทานคุยง่าย ฟังง่าย ไม่ต้องคิดมาก นิทานตอนนี้ก็ขอนำท่านมาพบกับ จุไร

เป็นอันว่า วันที่ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๒ เป็นวันที่คุยกันระหว่าง ป้ากับหลาน เมื่อป้ากับหลานคุยกันมาแล้วในวันก่อน ๆ หลังจากนั้นก็จากกันไปนาน เป็นเวลาเกิน ๑ เดือน วันนี้มีโอกาสมาพบกัน เพราะว่า วันนี้ ท่านเถ้าแก่สุวรรณ วีระผล กับบรรดาลูกสาว ลูกชาย ลูกสะใภ้ ลูกเขย และบรรดาญาติมิตรของท่านต่างคนต่างพากันมาบำเพ็ญกุศล นำรูปหล่อจำลองของ ท่านเจ๊จันทนา วีระผล

ภรรยาท่านสุวรรณ วีระผล และ อัฐิธาตุ คือกระดูก มาบรรจุที่มณฑป ที่ท่านสร้าง วันนี้ก็มี มังกรจากนครสวรรค์ มี นักรำผู้หญิงเผ่าต่าง ๆ ของจีน แต่เป็นคนไทย บรรดาสาวจีนทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถามแล้ว เสียงเป็นคนไทยชัด และผิวของเธอก็เป็นผิวไทย แต่แต่งตัวเป็นจีน มาแสดง คนมากมาย ทางโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา ก็นำ โยธวาทิต กับ ปี่พาทย์มอญเครื่องใหญ่ เอามาช่วยในงาน

เพราะว่าปี่พาทย์มอญนี้ คณะท่านสุวรรณ วีระผล กับเจ๊จันทนา เป็นหัวหน้าในการก่อสร้าง พร้อมทั้งลูกหลาน และเพื่อนพรรคพวกพี่น้อง ก็รวมความว่า เมื่องานผ่านไป ล่อโก้วก็ผ่านไป เล่าเก๊ก็ผ่านไปแล้วก็สิงโต หรือมังกรก็ผ่านไป หลังจากนั้นก็เหลือแต่เด็ก ๆ กำลังกินข้าวผัด คือ เด็กนักเรียนโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา กำลังกินข้าวผัดกันตอนเย็น จุไรมองแล้วก็รู้สึกสดชื่น

ว่า เวลานี้เห็นนักเรียนทุกคนมีความสดชื่นมาก ในตอนต้นก็บรรเลงรับงานศพ เวลาที่มังกรแสดงก็ดี ล่อโก้วแสดงก็ดี นางฟ้าจำแลงของชาวจีนแสดงก็ตาม ต่างคนต่างก็ดูกันแบบสบาย ตอนเย็นวันนี้ปรากฏว่างานผ่านไป ก็กำลังกินข้าวผัดกัน มีความสุข เธอมองแล้วก็มองหน้าคุณป้าน้อย เธอพูดกับคุณป้าว่า คุณป้าเจ้าขา วันนี้ดูนักเรียน และทุก ๆ คนที่มาในงาน มีความสุขมาก

เราก็หาความสุขกันต่างหาก เรามาชมบริเวณกัน คุณป้าน้อยเจ้าคะ วันนี้ออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตร ไปก็แล้วกันนะ แล้วต่างคนต่างเดิน ป้าก็เดิน หลานก็เดิน ออกจากวิหาร ๑๐๐ เมตร แล้วก็ปรากฏมองดูข้างล่าง ขณะที่คุยกันตอนต้น ในงานคราวก่อนที่ผ่านมา ลานของวิหาร ๑๐๐ เมตร ด้านหน้า ยังเป็นดงหญ้าอยู่เวลานี้ทั้งหมด กลายเป็น คอนกรีต และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ในที่คอนกรีตที่เขาหล่อไป เขาเทไป ปรากฏว่า มีเป็นที่แหว่ง ๆ สี่เหลี่ยมห่างกันประมาณ ๘ เมตร ๆ ห่างกันช่องละ ๘ เมตร เป็นระยะ ๆ จุไรก็แปลกใจถามว่า คุณป้าเจ้าขา นี่หลวงปู่ท่านทำอะไร สมัยก่อนหนูมา เห็นดงหญ้าเขียวชะอุ่ม แต่เวลานี้กลายเป็น หญ้าคอนกรีตไปแล้ว ความจริงหนูคิดว่า บริเวณหน้า ๑๐๐ เมตรนี่ น่าจะเป็นสนามหญ้า

ป้าน้อยก็ยิ้ม แล้วก็บอกว่า หลานรัก เรื่องนี้หลวงปู่ท่านเคยคิดมาก่อน ท่านบอก คิดว่าจะทำสนามหญ้าบ้าง จะทำสวนดอกไม้บ้าง เมื่อต่อมา ผลปรากฏว่า เวลาน้ำท่วมลงมาก็ดี ฝนตกน้ำมากก็ดี น้ำขัง รถราไม่สามารถจะวิ่งในสนามนี้ได้ ในลานหญ้าได้ ท่านก็ตัดสินใจคิดว่า ถ้าวัดทำสนามหญ้าก็ดี สวนดอกไม้ก็ดี วัดก็ต้องใช้เงินทุกวัน แต่ละวันนี่วัดต้องใช้เงิน ใช้ค่าคนงานบ้าง ค่าวัตถุต่าง ๆ บ้าง ค่าน้ำบ้าง ค่าไฟบ้าง เป็นต้น

เป็นอันว่า วัดต้องใช้ แต่เงินที่วัดใช้ ก็เป็นเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัทบำเพ็ญกุศลมา ถ้าจะนำเงินบำเพ็ญกุศลมาบำรุงต้นหญ้า ก็เห็นว่า ไม่เหมาะสม แต่ว่าสถานที่อื่นอาจจะเหมาะสมก็ได้ แต่เฉพาะอย่างยิ่ง วัดท่าซุง ท่านบอก ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ก็เพราะว่า บริเวณมีรถจอดมากเวลามีงานจริง ๆ สถานที่ก็เต็มไปด้วยรถ ถ้าทำเป็นสนามหญ้า รถก็จอดไม่ได้ ฝนตกน้ำท่วมขัง รถก็จอดไม่ได้ เวลาน้ำหลากมา รถก็จอดไม่ได้ การบำรุงรักษาก็ต้องเสียทุกวัน

จึงคิดว่า ถ้าอย่างนั้น เทเป็นคอนกรีตดีกว่า ให้เป็นลานแข็ง น้ำท่วม รถก็จอดได้ น้ำหลากมารถก็จอดได้ ไม่ต้องมีใครบำรุงหญ้าคอนกรีต หญ้าคอนกรีตจะงอกงามตามสภาพของหญ้าเอง คือ แข็งเสมอ แล้วที่เป็นจุดแหว่ง ๆ จุดแหว่ง ๆ นั้นไม่ใช่อะไร นั่นคือว่า เป็นหลุม เฉพาะท่านจะปลูกไม้พุ่ม ไม่ใช่ไม้ดอก หรือไม่ใช่ไม้ผล เอาไว้รักษาร่ม ๘ เมตร ปลูก ๑ ต้น ๘ เมตร

ปลูก ๑ ต้น ขนาบกับทางเดินออก แล้วต่อไป ด้านหน้าวิหารพระชำระหนี้สงฆ์ ก็จะปลูกเป็นแนวไป ๘ เมตร ๑ ต้น ๘ เมตร ๑ จุด ๆ จุดหนึ่งอาจจะเป็น ๒ ต้น ๓ ต้น ก็ได้ เป็นพุ่มเรื่อยไปตลอดแนว แล้วทางเดินเข้า วิหารพระชำระหนี้สงฆ์ หรือวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ตาม ก็จะปลูก ๒ ข้างทาง ห่างกัน ๘ เมตร ๆ เหมือนกัน ต่อไปเมื่อต้นไม้ขึ้นดีแล้ว จะมีความเขียวชะอุ่ม และมีความเยือกเย็น เป็นที่น่าเป็นสุขสำหรับคนที่พัก

จุไรก็ถามว่า หนูถามนิดเดียว ป้าอธิบายเสียยาว ป้าก็เลยบอกว่า ถ้าไม่อธิบายยาว หนูก็ไม่เข้าใจ ก็เลยคิดว่า แค่นี้ ถึงแม้จะยาวขนาดนี้ หนูอาจจะยังไม่เข้าใจก็ได้ จุไรก็บอกว่า หนูเข้าใจแล้ว
แล้วจุไรก็มองต่อไปว่า ใต้บริเวณอาคารที่ประดิษฐานพระชำระหนี้สงฆ์ พระชำระหนี้สงฆ์บริเวณนั้น ปรากฏว่ามี ๖๔ องค์ ใต้อาคารของท่านมีส้วม ๓๐ ห้อง จุไรก็ถามป้าว่า ทำไมหลวงปู่สร้างส้วมมากนัก

คุณป้าก็บอกว่า การสร้างนี่ ถ้าปกติจะเห็นว่ามาก แต่ว่าเวลางานกฐินก็ดี เป่ายันต์เกราะเพชรก็ดี งานประจำปี มีนาคม ก็ดี ส้วมทั้งหมดที่มีอยู่ไม่มาก คือว่า ส้วมทุกหลังจะมีคนคอย ๔-๕ คน ทุกห้อง แสดงว่า ส้วมไม่พอกับปริมาณคน
จุไรก็บอกว่า สบายใจนะ วัดนี้ ปวดอุจจาระปัสสาวะเมื่อไร ไปก็ได้ เธอก็หันไปมองดูอีกทีว่า

ข้างมณฑปใหม่ของท่านสุวรรณ วีระผล ที่นั่นมีโครงสร้างพระรูป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ รัชกาลที่ ๖ รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๑ จุไรก็ถามว่า หลวงปู่จะสร้างไว้ทำไม
คุณป้าน้อยก็บอกว่า หลานรัก หลวงปู่ท่านสร้างไว้ให้เพื่อมนัสการ ไหว้สักการะบูชา คือ

๑. วันจักรี
๒. วันปิยะมหาราช
๓. วันลูกเสือของ ร.๖ แล้วก็
๔. วันเฉลิมพระชนมพรรษาของรัชกาลที่ ๙

เด็ก ๆ นักเรียนตามปกติต้องไปรวมกัน มนัสการที่โน่น ถวายพวงมาลัยที่นี่ ก็ลำบาก จัดไว้สถานที่นี้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัชกาลที่ ๙ ทำเป็นป้ายถวายพระราชกุศล จุไรก็ถามว่า ป้า หลวงปู่ถวายพระราชกุศลทั้งหลังวิหาร ๑๐๐ เมตรนี่หรือ คุณป้าก็บอกว่า หลวงปู่ทำมาหลายจุดแล้ว เฉพาะจุดนี้ ถวายเป็นกรณีพิเศษ ถวายทั้งวิหาร ๑๐๐ เมตรด้วย มณฑปด้วย แล้วก็อาคารรอบ ๆ วิหาร ๑๐๐ เมตร วิหารคด

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระชำระหนี้สงฆ์อีก ๖๔ องค์ จุไรก็ตื้นตันใจ แล้วมองไปมองมา เธอก็มองพระชำระหนี้สงฆ์ก็ถามว่า คุณป้า พระชำระหนี้สงฆ์นี้เมื่อไรหลวงปู่จะปิดทอง คุณป้าน้อยก็บอกว่า เวลานี้กำลัง เร่งรัดช่างให้ทำความเรียบร้อยกับผิว แต่ว่า ตั้ง ๖๔ องค์นี่หลานรัก เร่งเท่าไรมันก็ไปเร็วไม่ได้ แต่แล้วเสร็จเมื่อไร จะปิดทองเมื่อนั้น จุไรก็ถามว่า ปิดทอง หรือทาทอง

ป้าน้อยก็บอกว่า ต้องปิดทอง ลูก เพราะการทาทอง ทำมาแล้วที่ ๑๒ ไร่ ดูเหมือนว่า จะเป็นห่มผ้าสีกรักไป ความงามสง่าดีไม่พอ ฉะนั้น สีทองที่ทาไม่ดีจริงเท่าปิดทอง ท่านก็เลยจะปิดทอง
จุไรก็ถามว่า ใช้ทององค์ละกี่แผ่น คุณป้าก็บอกว่า เป็นพัน ๆ นะลูกนะ อาจจะเป็นหมื่น ๆ แผ่น เพราะองค์ใหญ่มาก ทั้งแท่นด้วย

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ที่เขาทำบุญมา พอไหม
คุณป้าน้อยก็บอกว่า สำหรับหลวงปู่ของหลาน พอทุกอย่าง ให้มาก็เท่าไรก็พอ ให้พอดีกับราคา ก็พอ ให้ไม่พอดีกับราคา ก็พอ เพราะในฐานะที่ท่านคิดว่า ถ้าตัดสินใจจะทำอะไรแล้ว ต้องทำ คำว่า ขาดทุน ไม่มี ถ้าให้ไม่พอ ก็เอาเงินที่บรรดาท่านพุทธบริษัททำบุญมาไม่จำกัดประเภท เข้าร่วม

ถือว่า ทุกคนมีส่วนร่วมด้วย ก็พอ เธอก็ถามว่า อาคารสำหรับพระชำระหนี้สงฆ์ก็เป็นตึก ๒ ชั้น อยากจะถามว่า มีเจ้าของหรือยัง คุณป้าน้อยก็บอกว่า ยังไม่มีสักนิ้วหนึ่งเลยลูก แม้แต่ ๑ ตารางนิ้วก็ยังไม่มีเจ้าของ เธอก็บอกว่า โอ้โฮ เป็นร้อย ๆ ห้องนะคุณป้านะ แล้วหลวงปู่เอาสตางค์ที่ไหนมา ป้าน้อยก็บอกว่า ป้าบอกแล้วว่า เงินที่ทุกคนทำบุญมาวางเฉย ๆ นี่ หลวงปู่นำมาร่วมสร้างหมด ก็รวมความว่า หลวงปู่ไม่ได้เก็บสตางค์ไว้

เธอก็แหงนไปดูพระชำระหนี้สงฆ์ คือ พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก เธอก็ถามว่า คุณป้า พระชำระหนี้สงฆ์ก็ดี หรืออีกอย่างหนึ่งเรียกว่า พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ตามที่ป้าเคยบอกมาแล้วว่า หลวงพ่อปานบอกว่า พระขนาดนี้ เป็นพระประธานมาตรฐาน หนูอยากจะถามว่า ถ้าไม่เกินวิสัยคุณป้านะว่า คนที่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์แล้วนี่ จะตกนรกไหม
คุณป้าก็ยิ้ม คุณป้าก็ตอบแบบนักปราชญ์

บอกว่า หลานรัก ถ้าคนนั้นเขาสร้างพระภายนอก คือ องค์นี้ วางตรงนี้แล้ว ก็สร้างพระภายในไว้ด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้านึกถึงพระองค์นี้อยู่ในใจไว้เสมอ เป็นประจำใจ คือว่า ไม่ต้องทุกวินาที เอากันแค่ก่อนหลับ นึกสัก ๒-๓ นาที นึกถึงภาพพระ ตื่นใหม่ ๆ นึกสัก ๒-๓ นาที แค่นี้พอแล้ว หรือว่าจะทำงาน ทำการอะไรก็ตาม นึกถึงภาพพระที่เราสร้างไว้ สัก ๒-๓ นาทีก็พอ

ทำงานหมายถึง จัดการทำบุญนะ ไม่ใช่งานถางหญ้า หรือทำงานประจำ หรือว่า ถ้าเดินทางไปไหน ถ้าบังเอิญจะคิดได้ ก็นึกสัก ๒-๓ นาทีก็พอ ด้วยความเคารพ อย่างนี้ ทุกคนที่นึกอย่างนี้ จะตกนรกไม่ได้ คุณหลานก็แสนจะดี ถามว่า คุณป้า ที่พูดมานี้ น่าเลื่อมใส อยากจะถามเหตุผลความเป็นมา ที่คนสร้างพระภายนอกกาย แล้วนึกถึงพระภายในใจ ที่ไม่ตกนรก มีที่ไหน มีตัวอย่างไหมป้า คุณป้าน้อยก็บอกว่า ตัวอย่างนั้นมีเยอะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

แต่ป้าก็จำไม่ค่อยได้นะ เป็นแต่เพียง หลวงปู่ท่านพูดไว้หลายเรื่อง ป้าก็จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ประเดี๋ยวก่อน ป้าชักจะเปรี้ยวปากสักนิด ขอน้ำบ้วนปากสักหน่อย หลานสาวก็ยิ้ม เมื่อคุณป้าหันไปหยิบน้ำจะมาดื่ม คุณหลานก็มอง สายตากวาดไปดูพระพุทธรูป แล้วก็เหลือบตาลงต่ำ ปรากฏว่า เห็นคน ๒ คนอ้วน พุงปลิ้น คล้าย ๆ กับพ้อม นุ่งผ้าเตี่ยว ถือกระบองคนละอัน รูปร่างใหญ่โตมาก ผิวก็ไม่ขาว ไม่ดำ ค่อนข้างขาว ผิวเกลี้ยง ๆ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เดินเข้ามา คุณหลาน คือ จุไร ก็ถามคุณป้าน้อยว่า คุณป้าเจ้าขา นั่นใคร ๒ คน น่าจะเป็นนักเลงโตนะ ถ้าเป็นนักเลงด้วย ก็ต้องโตด้วย

เพราะตัวก็โต พุงก็โต นุ่งผ้าเตี่ยว ต เหมือนกัน ต โต กัน ต เตี่ยว เดินเข้ามา ป้าน้อยก็เหลือบหน้ามอง แล้วก็ยิ้มยกมือไหว้ท่านทั้งสอง ก็เลยบอกว่า หลานรัก ใครเสียอีกล่ะ เมื่อคราวก่อน หลานก็พบดีแล้วนะ นั่นคือว่า ท่านองค์หน้า คือ ท่านปิยะเทวา หรืออีกนัยหนึ่งที่เรียกว่า ปิยะยาวี แต่องค์ที่เดินตามมาข้างหลัง เหลื่อมกันนิด ๆ รูปร่างขาว ๆ นั่นคือ ท่านบุเรงนองเทวดา จุไรฟังก็นึกขึ้นมาได้ว่า

คราวก่อนเจอะครั้งหนึ่งแล้ว ก็ยกมือไหว้ ท่านทั้งสองเข้ามาใกล้ ท่านทั้งสองก็ยิ้ม แล้วถามว่า หลานรัก คุยเรื่องอะไรกัน จุไรก็เลยบอกว่า หนูกับป้า กำลังคุยเรื่อง อานิสงส์สร้างพระพุทธรูป คนสร้างพระพุทธรูป ขนาดเล็กก็ตาม ขนาดใหญ่ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานี้คุยกันถึงเรื่องพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ที่เรียกว่า พระชำระหนี้สงฆ์ เป็นอันว่า พระชำระหนี้สงฆ์นี้ องค์โต แล้วบางคนมีสตางค์ไม่พอ

ถ้ามาร่วมกันทำก็ดี หรือว่าไม่ร่วมทำ แต่สร้างพระองค์เล็ก ๆ อย่างขนาดพระถวายสังฆทาน หน้าตัก ๓ นิ้วบ้าง ๔ นิ้วบ้าง ๕ นิ้วบ้าง ๑๐ นิ้วบ้าง ๑๒ นิ้วบ้าง โตกว่านี้บ้าง เอาเล็กที่สุด คือ หน้าตัก ๔ นิ้ว ถ้าทำบุญอย่างนี้ สร้างพระอย่างนี้ ถวายวัด หนูอยากจะถามลุงทั้งสองว่า เขาทั้งหลายจะตกนรกไหม ลุงทั้งสองลุงปิยะยาวีก็หันไปหาลุงบุเรงนองว่า หน้าที่อย่างนี้นะลูกรักนะ เป็นหน้าที่ของบุเรงนองเขาจะตอบ จุไรก็หันไปถามคุณลุงบุเรงนองถามว่า คุณลุงเจ้าคะ จะตอบได้ไหม

ลุงก็บอก เรื่องตอบเป็นของไม่ยาก หลานรัก ก็ตอบได้ทันทีว่า คนที่ทำบุญอย่างนี้ นั่นก็คือสร้างพระพุทธรูปถวายไว้ในพระพุทธศาสนา เมื่อสร้างพระภายนอกแล้ว คือ นอกกาย ก็เอาใจ คือ กายภายใน คือ ใจของเรานี่เอง นึกถึงพระที่เราสร้างไว้ อย่างคนที่ถวายสังฆทาน เขามีพระพุทธรูปอยู่ด้วย ก็นึกถึงพระพุทธรูปนั่นก็ดี นึกถึงผ้าเหลือง หรือผ้าไตรก็ดี

นึกถึงของใช้ ของกินก็ตาม นึกประจำใจไว้ จุไรก็ถาม นึกตลอดเวลาใช่ไหม คุณลุง คุณลุงบุเรงนองก็บอกว่า ไม่ใช่นึกตลอดเวลา นึกเฉพาะเวลา คือเวลาก่อนจะหลับ นึกเสียหน่อย ภาพที่เราถวายสังฆทานมีอะไรบ้าง ภาพที่สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ รูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร นึกนิดหนึ่ง สัก ๒-๓ นาที หรือ ๑ นาทีก็พอ นึกด้วยความเคารพ และก็ประการที่สอง เมื่อตื่นใหม่ ๆ ตื่นปั๊บ นึกปั๊บ หรือตื่นสักหน่อย

นึกต่อไปก็ได้ว่า เราสร้างพระ เราทำบุญอะไรมาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถวายสังฆทานที่มีพระพุทธรูป หรือว่าสร้างพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้กับวัดหรือว่าสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ทั้งหมดนี้ อานิสงส์จะทำให้คนนั้นไม่ลงนรก จุไรก็ถามว่า มีตัวอย่างไหมเจ้าคะ คุณลุง ท่านบุเรงนองก็บอกว่า ตัวอย่างน่ะมี เป็นของไม่ยาก หลวงปู่ของหลานเคยเทศน์ให้ฟังบ่อย ๆ ใช่ไหมเรื่อง ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร

จุไรก็บอกว่า เป็นความจริง หนูเคยฟัง แล้วก็จำได้บางตอน บางตอนก็จำไม่ได้ หลวงปู่บางที พูดไปพูดมา ท่านก็เอาเรื่องอื่นเข้ามาแทรกนิด ๆ หน่อย ๆ ชวนหัว เลยลืมไปเลย ก็อยากจะทราบจากคุณลุง คุณลุงบุเรงนองก็บอกว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ตระกูลนี้ทั้งตระกูล ไม่เคารพพระพุทธศาสนา เพราะว่า เป็นพราหมณ์ พ่อเป็นครูสอนของพราหมณ์

เขาไม่เคยไหว้พระพุทธเจ้า ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ แต่ทว่าขณะที่ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร จะตายจากความเป็นคน เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ พ่อก็ช่วยไม่ได้ แม่ก็ช่วยไม่ได้ ทรัพย์สมบัติที่เป็นมหาเศรษฐีก็ช่วยไม่ได้ แต่นึกว่า ชาวบ้านเขาลือกันว่า องค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้า พระสมณโคดม มีเมตตาสูง สงเคราะห์ไม่เลือกว่าใคร

ก็นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า ขอให้มาช่วยรักษาโรคให้หายเพียงเท่านี้ ตายจากความเป็นคน ผลแห่งการนึกถึงพระพุทธเจ้าบันดาลให้ท่านผู้นี้ ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร ต่อมาได้พบพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่เป็นเทวดา ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียว เป็น พระโสดาบัน

ท่านบุเรงนองพูดแล้วก็บอกว่า หลานรัก เชื่อไหม จุไรก็บอกว่า เชื่อ แต่ว่าคติโบราณมีอยู่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ ท่านบุเรงนองก็บอกว่า เอาแล้วหลาน ยุ่งแล้ว ทำลุงยุ่งแล้วนะ คำว่า บุเรงนอง ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทโปรดทราบว่า การพูดตอนนี้ เป็นเรื่องของ นิทาน นะ เอาชื่ออะไรมาใช้ก็ได้ หลังจากนั้น

จุไรก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณลุงเจ้าคะ หนูอยากจะพบ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เวลานี้ท่านอยู่ หรือท่านไปไหน หรือท่านนิพพานไปแล้ว
ลุงบุเรงนองก็บอกว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ยังไม่ไปนิพพาน ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าแล้ว เป็น พระโสดาบัน พระพุทธเจ้าทรงรับรองแบบนั้น แต่ต่อมาท่านจะเป็นพระอริยเจ้าขั้นไหน ลุงไม่ทราบ ทราบแต่เพียงอยู่ว่า เวลานี้ท่านเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

จุไรก็ถามว่า คุณลุงเคยไปชั้นดาวดึงส์หรือ
คุณลุงก็บอกว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราชทั้งหมด เป็นทหารของพระอินทร์ เป็นเทวดาที่มีกำลังใหญ่ ก็ต้องไปดาวดึงส์เป็นปกติ ทุกวันต้องไปเฝ้าพระอินทร์กัน ไปรับโอวาท และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันโกน ของวันพระสิ้นเดือน หรือวันพระกลางเดือน ก็ต้องไปรวมกันที่เทวสภา ไปรับโอวาทจาก เทวราชา คือ พระอินทร์ หรือไม่อย่างนั้นก็ฟังเทศน์จากพระโพธิสัตว์

เป็นอันว่า ท่านบุเรงนองท่านยืนยันว่า เคยพบท่านมัฏฐกุณฑลี จุไรก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงเจ้าคะ เวลาพอมี มองดูเวลาแล้วเห็นว่า ตะวันรุบหรู่เต็มที แต่ยังไม่ค่ำ ลุงพาไปหาท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรได้ไหม ท่านบุเรงนองกับท่านปิยะยาวีก็บอกว่า ได้ ที่ลุงมาวันนี้ ลุงพร้อม เพราะทราบแล้วว่า หลานจะต้องการแบบนี้ จึงมากัน จุไรก็ถามว่า คุณลุง ถ้าไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่ คุณลุงจะนุ่งผ้าเตี่ยวไปแบบนี้หรือ พุงของลุงก็เหมือนพ้อม และผ้าก็นิดเดียว ทำไมเทวดาชอบนุ่งผ้าแบบนี้

คุณลุงก็บอกว่า หลาน อย่ายุ่งกับเรื่องของเทวดา การแต่งตัวจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องของเทวดา ไม่เกี่ยวกับมนุษย์ แต่ว่าถ้าหลานต้องการให้ลุงพาไปสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ลุงก็ต้องเปลี่ยนเครื่องแบบใหม่ คือ เครื่องแบบชุดนี้เป็นเครื่องแบบอยู่ยาม เวลานี้ก็ไปหาเทวดาผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นพระอริยเจ้า ลุงก็ต้องล่อให้แหลมเปี๊ยบ จุไรก็ถามว่า อะไรแหลม ลุงก็เลยบอกว่า หัวแหลม จุไรก็ยิ้มแล้วก็หัวเราะหึ ๆ คุณลุงบุเรงนองก็ถามว่า หัวเราะทำไม

จุไรก็บอกว่า หัวแหลมนี่ เขาเรียกกันว่า หัวลิง นะลุงนะ ท่านบุเรงนองก็เอามือลูบหัว บอกว่า หลานรัก ทำไมพูดกับลุงแบบนั้นล่ะ เห็นเทวดาเป็นลิงอย่างนั้นหรือ จุไรก็บอก หนูเห็นเขาพูดกันแบบนี้นี่ว่าหัวแหลม ก็เหมือน หัวลิง ท่านลุงทั้งสองก็บอกว่า การหัวแหลมนี่ไม่ใช่ แหลมลิง นะลูกนะ เป็นแหลมเทวดา ต่อไปในพริบตาเดียวรูปร่างหน้าตาท่านก็เปลี่ยน ทรวดทรงก็เปลี่ยน ชะโอดชะอง สวยสดงดงาม

มีเครื่องประดับแพรวพราวเป็นระยับ มีพื้นเป็นทองคำประดับประดาไปด้วยแก้วแพรวพราว สวยสดงดงามมาก คุณลุงก็บอกว่า นี่เครื่องแบบเต็มยศของลุงนะ เวลาที่จะไปดาวดึงส์ เขาต้องแต่งตัวกันแบบนี้ ไอ้เครื่องแบบนี่ เขาแต่งกันเป็นชุด ๆ อย่างพวกข้าราชการก็ดี นายทหารก็ดี นายตำรวจก็ดี เขามีเครื่องแบบเต็มยศกัน แต่ไม่มีใครเขานุ่งกันทุกวัน

เวลาอยู่บ้านเขาอาจจะนุ่งผ้าขาวม้าก็ได้ ผ้าเตี่ยวก็ได้ หรือว่ากางเกงในตัวเดียวก็ได้ อยู่ตามลำพัง หรือเวลาทำงาน ทำการ ดายหญ้า ฟันดิน ฟันฟืน เขาก็นุ่งตามสบาย ไม่ใช่เครื่องแบบเต็มยศมาแต่งกัน แต่เวลาที่วันเฉลิมพระชนมพรรษาก็ดี เฝ้าพระเจ้าอยู่หัวก็ตาม ในบางโอกาสก็ต้องแต่งเครื่องแบบเต็มยศฉันใด เทวดา นางฟ้าทั้งหลาย ก็มีสภาพแบบนั้น เวลานี้ลุงกำลังแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว

เห็นไหมว่า เมื่อกี้ลุงแต่งตัว ดูทันไหม จุไรก็บอกว่า ไม่ทัน ก็ถามว่า ทำไมการแต่งตัวของลุงจึงเร็วนัก ท่านทั้งสองก็บอกว่า ลุงน่ะไม่ได้แต่งตัวด้วยมือ ลุงแต่งตัวตามความรู้สึก พอนึกว่า จะให้เป็นอย่างไร มันเป็นอย่างนั้นทันที อย่างนี้อารมณ์เป็นทิพย์ จุไรก็ถามว่า คำว่า ทิพย์ นี่หมายความว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามต้องการเสมอ ใช่ไหม

ลุงก็บอกว่า ใช่ คำว่า ทิพย์ แปลว่า เล่น ถ้าภาษาไทยนะ ทำแบบเล่น ๆ คือ ไม่ต้องตั้งใจนัก ไม่ต้องใช้กำลังแรง ทำแบบเบา ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ปรากฏตามความต้องการของใจ
จุไรก็บอกว่าถ้าอย่างนั้น คุณลุงทั้งสองพาหนูไปเถิด
ท่านลุงก็บอกว่า ไอ้ตัวของหลานมันหนัก ลูก เวลานี้ มีหนัง มีเนื้อ มีตับ ไต ไส้ ปอด มีขี้ มีเยี่ยว โอ้ย มันเหม็น เลอะเทอะ เอาอย่างนี้ดีกว่า ทิ้งผิวไว้ตรงนี้นะ

ทิ้งเปลือกไว้ตรงนี้ ธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ หนังก็ดี เนื้อก็ดี กระดูกก็ดี นี่เป็น ธาตุดิน ของเหลวภายใน เป็น ธาตุน้ำ ลมหายใจเป็น ธาตุลม ความอบอุ่นภายใน เป็น ธาตุไฟ ทิ้งไว้ตรงนี้ เอากายใน คือ กายทิพย์ ไปกับลุงดีกว่าลุงพร้อมแล้ว จุไรก็บอกว่า ถ้าลุงต้องการแบบนั้น ลุงก็ดึงกายทิพย์หนูออกซิ ดึงไปกับลุง ผลที่สุด ท่านลุงก็บอก ตกลง ก็เป็นอันว่า นับ ๑, ๒, ๓ ถ้า ๓ ปั๊บ ต้องเคลื่อนปุ๊บทันทีนะ

จุไรก็บอก พร้อม ป้าน้อยก็บอกว่า พร้อม เป็นอันว่า ท่านทั้งสองก็นับพร้อมกันว่า ๑, ๒, ๓ ปั๊บ พอถึง ๓ ปั๊บ ทุกคนเคลื่อนจากกายทันที มีกายเป็นทิพย์ ทุกคนก็แพรวพราวเป็นระยับสวยสดงดงาม ตามกำลังของบุญ ในที่สุด ท่านทั้งสองก็พาคนทั้งสองไป สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก อันดับแรก ไปแวะที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ก่อน มนัสการ คือ กราบไหว้ ท่านพระอินทร์ ซึ่งท่านเป็น ปู่

หลังจากนั้นขออนุญาตท่านปู่ ไปขอพบท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัท สำหรับตอนนี้ก็ต้องขอยุติเพียงเท่านี้ เพราะเวลาหมดแล้ว พระท่านมาไล่ ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/8/11 at 14:49 [ QUOTE ]


4
จุไรไปดาวดึงส์


ท่านผู้อ่านทั้งหลาย สำหรับต่อนี้ไป ท่านทั้งหลายก็จะได้พบกับ จุไร ตามเดิม เป็นอันว่า หลังจากตอนที่แล้ว จุไรก็ได้ติดตามท่านทั้งสอง คือ ท่านปิยะยาวี และท่านบุเรงนอง เทวดาทั้งสอง พาคุณป้าน้อยและจุไรหลานรัก เดินทางขึ้นไปในทางอากาศ แพล็บเดียวก็ถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ในเมื่อไปถึงแล้วก็เข้าไปในเขต บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์

เวลานั้นปรากฏว่า ท้าวโกสีย์สักกเทวราช คือ พระอินทร์กับชายา ท่านนั่งอยู่ มีเทวดา และนางฟ้าที่เป็นบริวารมากมาย ด้านทางขวาก็มี ท่านปัญจสิกขเทพบุตร และต่อมาก็มีเทวดามาก เยอะ เรียกว่า มากมาย ก็แล้วกัน ทั้ง ๔ ท่านเข้าไปใกล้ท่านปิยะยาวีเทวดา กับท่านบุเรงนองเทวดา ก็บอกทั้งสองคนบอกว่า ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของเทวราชา

และตัวท่านเองทั้งสอง ก็มีหน้าที่รับบัญชาจากพระอินทร์ และท่านท้าวมหาราช ให้ไปรักษาการณ์ในเขตของวัดท่าซุง นอกจากวัดท่าซุง ก็มีเขตไกลไปอีกหลายกิโลเมตร ก็ถือว่าเป็น หัวหน้ายาม ในเมื่อหัวหน้ายามมาที่นี่ ท่านจะหาว่าหนียาม ก็ขอให้ท่านทั้งสอง คือ ท่านน้อย กับท่านจุไร ทั้งสองท่านเรียก ท่านที่นี่ เพราะแต่งตัวเป็นนางฟ้า เข้าไปหาท้าวสักกเทวราชเอง

ไปขออนุญาตว่า ต้องการจะไปพบเทวดา หรือนางฟ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม ทั้งสองได้รับคำแนะนำแบบนั้นแล้ว ก็เข้าไปหาท่านท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ ไปถึงก็กราบท้าวสักกเทวราช และกราบชายาของท่าน เมื่อกราบแล้ว ท้าวโกสีย์สักกเทวราชก็มีบัญชาถามว่า สองป้าหลานนี่ มาธุระอะไรหรือ คุณหลานก็กราบเรียนท่านบอกว่า ขออภัยนะเจ้าคะ หนูขอเรียกพระคุณท่านว่า ปู่ ก็แล้วกัน

เพราะไม่ทราบจะ เรียกว่าอะไร ท่านท้าวโกสีย์สักกเทวราชท่านก็ยิ้ม ท่านก็บอก ดีแล้วเรียก ปู่ นะดีแล้ว การใช้ศัพท์ว่า ปู่ ถือว่าเป็นคนใกล้ชิดกัน เป็นญาติสนิท คุยกันถนัด แล้วเธอก็หันไปหาชายาของท่าน กราบท่านบอกว่า หนูขออนุญาตเรียก ย่า ก็แล้วกันนะเจ้าคะ ท่านก็ทรงอนุญาตทั้งสองท่าน ท่านปู่ และท่านย่า แล้วต่อไป

จุไรก็ถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า ท่านปู่ ทำไมถึงสวยงามกว่าเทวดาทั้งหมด เวลานี้เครื่องทรงของท่านปู่ก็สวยมาก จะเปรียบเทียบกับเทวดาทั้งหลาย เทวดา และนางฟ้าทั้งหมด สู้ไม่ได้ แล้วก็แท่นที่ประทับของท่านปู่ก็แพรวพราวเป็นระยับ สวยสดงดงามเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งไม่เคยเห็นมาจากในสถานที่ใดเลย แล้วท่านย่าก็เหมือนกัน

ท่านย่าก็สวยสดงดงามเป็นพิเศษเหมือนกัน แพรวพราวเป็นระยับ ยิ่งกว่านางฟ้าคนใดทั้งหมด อยากจะถามว่า ท่านปู่ กับท่านย่า ทำบุญอะไรกันมา ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านปู่ ท่านย่าฟังแล้วก็ยิ้ม ชอบใจหลานว่า หลานเป็นคนช่างพูด หลานเป็นคนช่างสงสัย ท่านย่าก็หันไปพูดกับท่านปู่ บอกว่า อธิบายให้หลานฟังซิ วันนี้เป็นเรื่องของท่านแต่ผู้เดียว ฉันไม่พูดเพราะว่า ในฐานะที่ท่านเป็นราชาของเทวดาทั้งหมด ถ้อยคำของท่านทั้งหมด คนเชื่อ เชื่อมากกว่าฉันพูด ขอท่านอธิบาย

ท่านปู่ก็พูดให้ฟังว่า หลานรัก เวลานี้ปู่อยู่ในฐานะของพระอินทร์ คำว่า พระอินทร์ แปลว่า เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหมด ที่ตามบาลีท่านเรียกว่า เทวราชา เพราะตามสวรรค์จริง ๆ ก็มี ๖ ชั้น ตามที่เขาทราบกันแล้ว แต่ที่นี่เรียกว่า ดาวดึงส์ คุณสมบัติที่ทำให้ ปู่ เป็นพระอินทร์ได้ ก็คือ

๑. มาตาเปตติภรัญชันตุง การเคารพในบิดามารดาด้วย และพยายามปฏิบัติบิดา-มารดาให้มีความสุข ท่านต้องการอะไร เราหาให้ตามกำลังที่จะพึงหาได้ คำว่า ความสุขนั่นหมายถึงว่า ไม่เกินวิสัยที่เราจะพึงหาได้ ถ้าเราหาไม่ได้ บังเอิญคนอื่นเขาหาได้ เขาสามารถทำได้ เราขอ ไหว้วานเขา ขอความสงเคราะห์เขา ให้เขาช่วยอย่างนี้ก็ใช้ได้ต้องทำ

๒. เคารพในบุคคลผู้มีอายุสูงกว่า เขาจะมีอายุสูงกว่าเราสัก ๑ วัน ๒ วัน ๓ วันก็ตาม ให้ยอมรับนับถือว่าเขาเป็นพี่ เราซึ่งมีอายุน้อยกว่า ต้องยอมรับนับถือ ถ่อมตนมาในฐานะที่เราเป็นน้อง ทั้งนี้ก็เว้นไว้แต่ว่า คนนั้น ถ้าเป็นคนไร้ความดี ไร้คุณธรรม ได้ความดี ถึงแม้เขาจะไร้คุณธรรม ไร้ความดี ถ้าเรานั่งอยู่ใกล้ ๆ เราก็แสดงความเคารพในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า

แต่ว่า ความประพฤติชั่วร้ายของเขา เราจะไม่นำมาปฏิบัติตาม อย่างนี้เรียกว่า มีการเคารพในบุคคลผู้มีอายุสูงกว่า ปู่ปฏิบัติมาตามนี้ แล้วต่อไป ก็ชอบการให้ทาน มีการให้ทานเป็นปกติ การให้ทาน ก็เป็นการให้ที่ไม่เกินวิสัยที่เราจะพึงให้ได้ การให้ทาน ไม่ใช่ว่าเราจะทุ่มเทเสียทุกอย่าง มีเท่าไรให้หมด อย่างนี้ไม่ควร ต้องดูในการให้ว่า พอจะให้ได้ไหม

ถ้ามันเหลือเกิน เหลือใช้ตามความจำเป็นแล้ว ก็แบ่งให้ ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่เหลือกิน เหลือใช้แล้ว ก็ให้ทั้งหมด เพราะความจำเป็นนอกจากกิน นอกจากใช้ธรรมดามันมีอยู่ เช่น การป่วยไข้ไม่สบาย เป็นต้น มันเกิดขึ้นภายหลัง เราทราบไม่ได้ เราก็ต้องเตรียมทรัพย์ของเราไว้ ถ้าบังเอิญทรัพย์สินที่มีอยู่นอกเหนือที่เรามีความจำเป็นตามนี้ เราก็ให้ ให้ตามควร

ให้มาก หรือให้น้อย อยู่ที่เหตุผลในการให้ ที่ชื่อว่า การให้ทานนี้ ปู่ก็ชอบให้ทาน แล้วต่อไป ปู่ก็มี ความเมตตาปรานี ขึ้นชื่อว่า ความโกรธของปู่มีเหมือนกัน อารมณ์ขุ่นใจบางขณะ ก็มีเหมือนกัน แต่ปู่ยับยั้งไว้ ถึงแม้ว่าใครเขาจะพูด เขาจะทำให้เราไม่ชอบใจ เราก็ยิ้ม พยายามฝึกยิ้ม สู้กับความไม่ดีของเขา ต่อไปจิตใจก็ชุ่มชื้น ต่อมาเมื่อเจอะคนทั้งหลาย เขาปฏิบัติไม่ถูก ไม่ต้องขึ้นมา

ก็ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เกิดมา ย่อมมีความดี และความชั่ว แต่ทุกคนมีความต้องการในด้านของความดี ที่ทำทุกอย่าง คิดว่า ดีจึงทำ แต่อาศัยกรรมที่เป็นอกุศล คือ บาปในชาติก่อนสนับสนุนใจ ควบคุมใจ ต้องการให้เขาผู้นั้น เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องไปอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น ก่อนจากเป็นสัตว์นรก ก็มาเป็นเปรต จากเปรต เป็นอสุรกาย

จากอสุรกาย มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน จากสัตว์เดรัจฉานมาเป็นคนที่มีความลำบากยากแค้น กรรมที่เป็นบาปในชาติก่อนควบคุมใจเขา เขาไม่สามารถจะมีอิสระในความคิด ในความอ่าน เป็นอันว่า ความชั่ว ควบคุมใจให้ทำความชั่ว เพื่อเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามีความเข้าใจตามนี้ คือ การที่ทำของเขาทุกอย่าง เขาต้องการดี แต่มันไม่ดี เราก็ให้อภัย

นั่นหมายความว่า ถ้าเขาพูดไม่ดี เขาทำไม่ดี ต่อหน้าเรา เราไม่ชอบใจ แต่เราก็ยิ้มได้ ต้องฝึกยิ้ม อย่างนี้เป็นต้น อีกประการหนึ่ง จงทำตนเป็นคนไม่ขี้เหนียว มีเมตตาอารี พอใจในการให้ทาน ปู่ปฏิบัติมาตามนี้ จึงเป็นพระอินทร์ได้ แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ย่าก็เหมือนกัน เป็นคู่บารมีของปู่มาตลอด ทุกชาติเกิดแต่ละชาตินี่ ย่าเขาจองตำแหน่งนี้ไว้เสมอ

ตำแหน่ง เมียหลวงเป็นของเขาแน่ ทุกชาติต้องเป็นเมียหลวง
จุไรก็แปลกใจ จึงถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ แล้วท่านปู่มีเมียน้อยไหม
ท่านปู่ก็บอกว่า ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ปู่ไม่เคยมีเมียน้อยลูก
จุไรก็ถามว่า ก็ในเมื่อไม่มีเมียน้อย ทำไมท่านย่าถึงต้องเป็นเมียหลวงด้วยล่ะ

ท่านปู่ก็บอกว่า ที่ปู่บอกว่าไม่เคยมีเมียน้อย ก็เพราะปู่ไม่เคยมีเมียคนเดียว แต่ละชาติ ๆ อย่างน้อยที่สุด ปู่ก็มี ๔ คน บางชาติ เผลอ ๆ ลืมไป ลืมนับ ปู่ก็มีตั้งหลายสิบ บางชาติปู่มีเมียเกินร้อยคน จุไรก็ชำเลืองไปหาท่านย่า ท่านย่าก็ยิ้ม
แล้วจุไรก็ถามว่า แล้วท่านย่าไม่หึงหรือเจ้าคะ

ท่านปู่ก็เลยบอกว่า เขาหึงหรือไม่หึง ปู่ก็ไม่มีเวลาดู เพราะปู่มีหน้าที่ต้องควบคุมภรรยา ให้อยู่ในกรอบ และขอบของการปฏิบัติงาน ภรรยาทุกคน ต่างคนต่างมีงานประจำ ฉะนั้น เธอก็ไม่มีเวลาจะหึงกัน ถ้าเขาจะทะเลาะกันบ้าง เขาจะด่ากันบ้าง เขาจะขัดคอกันบ้าง ก็ไม่ถึงปู่ เพราะปู่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่ ไปอยู่คนนั้นนิด ไปหาคนนี้หน่อย แต่ละวัน ๆ ต้องเฉลี่ยความรักกัน ทุกวัน ให้ทั่วถึงกัน

จุไรก็สงสัยคำว่า เฉลี่ยความรัก หมายถึงอย่างไรเจ้าคะ
ปู่ก็บอกว่า ต้องไปเยี่ยมทุกคนเป็นประจำ เวลาไหนไป เยี่ยมคนไหน วันไหนไปเยี่ยมคนไหน คณะไหนต้องไปตามนั้น ไม่ขาด
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านปู่ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบายหรือ

ท่านบอก ถ้าเวลาไหนป่วยไข้ไม่สบาย ก็แจ้งให้เขาทราบว่า เวลานี้ป่วย ต้องหยุดภารกิจชั่วคราว ก็เป็นอันว่า จุไรก็หมดสงสัย ถ้าขืนสงสัยไปจะมาก ก็เลยถามท่านปู่ท่าน
บอกว่า บุญกรรมอะไร ที่ทำให้ปู่มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ความจริง พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี้รู้สึกว่าสวยสดงดงาม เป็นกรณีพิเศษ ดูสภาพเหมือนว่าเป็นแท่นหิน

แต่ก็เป็นหินที่แปลกแพรวพราวเหมือนเพชร แล้วก็นุ่มนิ่มเหมือนกับที่นอน นั่งก็สบาย ใหญ่ก็ใหญ่ นั่งสบาย
ท่านปู่ท่านฟังแล้วก็ยิ้ม ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นี่ ความจริงปู่ไม่ได้สร้างเองในฐานะที่ปู่เป็นพระอินทร์

ปู่ก็มาอาศัยที่นี้ เพราะเป็นตำแหน่งที่อยู่ของพระอินทร์ แต่ความจริง ท่านที่สร้างอานิสงส์ได้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ คือ ท่านมฆมาณพ ท่านมฆมาณพนี่ ท่านเป็นพระอินทร์ก่อนปู่หลายสมัย เวลานั้นปรากฏว่า ท่านเป็นคนมีใจบุญปฏิบัติ วัตตบท ๗ ประการ มีการปฏิบัติบิดามารดาให้มีความสุข มีความกตัญญูรู้คุณ อันนี้หลานรักจำไว้นะจ๊ะ

คนที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดานี่ท่านแนะนำอะไร ปฏิบัติตามท่านสอน ท่านห้ามอย่างไหน เว้นและปฏิบัติให้ ท่านมีความสุข เทวดาที่มีบุญเฉพาะมีความกตัญญูอย่างเดียวมาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก และบนสวรรค์อีก ๕ ชั้น เยอะแยะ มากมายเหลือเกิน เขามีความดีอย่างเดียว เฉพาะความกตัญญูรู้คุณ รู้จักเอาใจพ่อเอาใจแม่

เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ให้มีความสุข นี่ก็ขอหลานรักฟังแล้วปฏิบัติตามนะหลานนะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นพระอินทร์ จะไม่ได้เป็นชายาของพระอินทร์แต่ก็เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลกได้ ท่านก็บอกว่า ท่านมฆมาณพท่านสร้างถนน ท่านสร้างถนนหนทางแล้ว ท่านก็มีความรู้สึกว่า ระหว่างกลางทาง จากต้นทาง ถึงปลายทาง ระยะทางมันไกล หลายกิโลเมตร

คนเดินแล้วก็ต้องเหนื่อย ท่านจึงคิดว่า ถ้ามีที่พักระหว่างทางจะเป็นการดี จึงได้ชวนพรรคพวกเพื่อนอีก ๓๒ คน จัดหาหินมาวาง ๆ วางเข้าให้เรียบร้อย เรียบจนกระทั่งเป็นที่นอนเล่นได้สบาย ๆ ตั้งใจให้คนเดินทางมา ได้พักผ่อนแรงที่เหน็ดเหนื่อย อานิสงส์ที่ทำที่พักระหว่างทางให้แก่บรรดาประชาชนที่เดินผ่านไปผ่านมา ปรากฏว่า บุญอันนี้เป็นเหตุให้เกิดบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์

เป็นอานิสงส์ เมื่อท่านตายจากความเป็นคนแล้ว ก็มีบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เป็นที่ประทับของพระอินทร์ต่อ ๆ กันมา แต่ว่าการที่ท่านสร้าง สร้างด้วยหินธรรมดา ๆ แต่ว่าผลที่ได้มาก็คือ เป็นแก้ว เป็นเพชร แพรวพราวเป็นระยับ ตามที่หลานเห็น
จุไรก็ถามว่า การสร้างบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไม่ต้องลงทุนหรือเจ้าคะ รู้สึกว่าท่านไม่มีการลงทุนเลย

ท่านปู่ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลานั้นท่านมฆมาณพท่านเป็นชาวป่า ทุนรอนของท่านไม่มีท่านก็ใช้กำลังกายกำลังปัญญา ช่วยกันทำ ความจริงการบำเพ็ญกุศล ไม่จำเป็นต้องลงทุนเสมอไป ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ต้องใช้ทองเสมอไป ถ้าเรามี เราก็ใช้ ไม่มี เราก็ไม่ใช้ ถ้าเรามีเงิน มีทองจำกัด เราก็ยังไม่ใช้ ใช้กำลังแรงกาย แรงใจ ช่วยกัน

และอีกอย่างเพื่อน ๆ ของท่าน ๓๒ คน และก็ เอราวัณเทพบุตร และนายช่าง ต่างคนต่างก็มาเกิดเป็นเทวดาเหมือนกันหมด ก็รวมความว่า ท่านปู่ยืนยันว่า การสร้างที่พักของคนที่ขณะเดินทาง มีอานิสงส์อย่างนี้
แล้วจุไรก็ถามต่อไปว่า ต้นไม้ข้างหลัง ต้นไม้อะไรเจ้าคะ

ท่านปู่ก็บอกว่า เขาเรียกว่า ต้นปาริชาติ หรือ ในเมืองมนุษย์เขาเรียก ไม้แคฝอย คือ เป็นต้นไม้ที่มีร่มเงามาก
จุไรก็ถามท่านปู่บอกว่า ถ้าอย่างนั้นต้นไม้ต้นนี้ ได้มาด้วยอานิสงส์อะไร ทำไมถึงแพรวพราวเป็นเพชรไปหมด ใบก็เป็นเพชร ดอกก็เป็นเพชร ก้านก็เป็นเพชร กิ่งก็เป็นเพชร ต้นก็เป็นเพชร ทุกอย่างเป็นเพชรหมด

ท่านปู่ก็บอกว่า อานิสงส์นี่ หลานรัก คือ ในสมัยท่านมฆมาณพ ในเมื่อท่านสร้างแท่นหินแล้ว ให้คนพัก ท่านก็มีความรู้สึกว่า ถ้าคนทั้งหลายมาพักตรงนี้ ถ้ามีร่ม มีเงาพัก มีความเย็น จะมีความสุขมากกว่านี้ จึงช่วยกันปลูกต้นแคฝอยขึ้นข้าง ๆ กับแท่นหิน ฉะนั้น ต้นไม้ทิพย์ที่เรียกกันว่า ต้นปาริชาติ จึงเกิดขึ้นมา เพราะอานิสงส์ของการปลูกต้นไม้

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้ามีคนปลูกต้นไม้ หรือต้นไม้ที่มีอยู่แล้วก็เอาม้าหินก็ดี เอาม้าไม้ก็ดี ไปวางให้เขานั่ง จะมีอานิสงส์เหมือนอย่างนี้ไหม
ท่านปู่ก็ยืนยัน บอกว่า ถ้าเจตนาเป็นอย่างนั้น ตั้งใจให้เป็นทาน ตั้งใจสงเคราะห์ให้คนมีความสุข จะเป็นระหว่างทางเดิน หรือที่พักธรรมดา ๆ

ในเขตบ้านก็ตาม ถ้าทำแล้วคิดว่า เป็นสาธารณประโยชน์ ใครจะนั่งพักก็ได้ มีอานิสงส์อย่างนี้เหมือกัน คือ ถ้าไปเกิดเป็นเทวดา ไปเกิดเป็นนางฟ้า หรือเกิดเป็นพรหม หรือเกิดในนิพพานก็จะมีแท่น และก็มีต้นไม้อย่างนี้

จุไรก็ยิ้ม แล้วจุไรก็บอกว่า ที่บ้านหนูมีต้นไม้ มีต้นสะดือใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง แต่ไม่ได้ปลูก เกิดเองอย่างนี้ แล้วก็เป็นร่ม เป็นเงาดี ถ้าหนูกลับลงไป หนูจะพยายามหาม้าหินมาวางไว้ให้ใครมานั่งก็ได้ อย่างนี้จะได้อานิสงส์อย่างนี้ไหม

ท่านปู่ก็บอกว่า นั่นแหละ เป็นอานิสงส์ใหญ่ไพศาลมาก ถ้าตายจากความเป็นคน จะมาเป็นเทวดาหรือเป็นนางฟ้าก็ตาม จะได้แท่นสวย ๆ อย่างนี้ จะมีต้นไม้สวย ๆ แบบนี้เป็นร่มเงา
จุไรก็คิดว่า อยากจะบันทึก ล้วงกระเป๋า ไม่มีสมุด

ท่านปู่ก็ถามว่า หนูล้วงอะไร เพราะบนนี้เครื่องแต่งกายของหนูทั้งหมด ไม่มีกระเป๋า
จุไรก็บอกว่า หนูเผลอไป หนูคิดว่ามีกระเป๋า หนูเอาสมุดพกมีไว้ในกระเป๋า เพื่อจดเวลาป้าน้อยบอกอะไร หนูเกรงจะจำหัวข้อไม่ได้

ท่านปู่ก็บอกว่า ไม่เป็นไร เวลานี้กายของหลานเป็นกายทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์ การจดจำจะดีมากเป็นกรณีพิเศษ จะไม่ลืมเลือน หลังจากนั้น จุไรก็มองไปเห็นวิมานของท่านปู่ใหญ่มาก
เธอก็ถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ วิมานของท่านปู่นี่ มีกี่ชั้น

ท่านปู่ก็ยิ้มแล้วก็บอกว่า วิมานของปู่มีพันชั้น
เธอก็ถามว่า ในวิมานของท่านปู่ มีนางฟ้ากี่คน
ท่านปู่ก็บอกว่า ในวิมานของปู่มีนางฟ้าที่เป็นบริวารจริง ๆ แสนคน
เธอก็ถามต่อไปว่า นางฟ้าที่เป็นบริวารนี่ ท่านปู่สถาปนาให้เป็นภรรยาบ้างไหม

ย่าฟังแล้วก็หัวเราะ ยิ้มชอบใจ ท่านปู่ก็ยิ้ม แล้วก็ตอบว่า หลานรัก บริวาร ก็ต้องเป็น บริวาร ชายาหรือภรรยาก็ต้องเป็นภรรยา
จุไรก็บอกว่า มนุษย์นี่เขามักจะสถาปนาคนรับใช้ให้เป็นแม่บ้าน แต่ความจริง คนรับใช้ทั้งหลาย หรือลูกจ้างก็ตามทีก็ไม่สวยอย่างนางฟ้าทั้งหลาย นางฟ้าทั้งหลายนี่ สวยสดงดงามมาก ทำไมท่านปู่ไม่สถาปนา

ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรักเอ๊ยที่เมืองเทวดานี่เขามีระเบียบ จะไปสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นไม่ได้ คนที่เป็นภรรยาก็ต้องเป็นภรรยา เขาเกิดมาเพื่อความเป็นภรรยา เขาเกิดมาเพื่อเป็นลูก เขาเกิดมาเพื่อการเป็นบริวาร
จุไรก็ถามถึงระเบียบของเทวดา

ท่านก็บอกว่า ถ้าบุคคลใดทำบุญบารมีไว้มากพอสมควร อย่างนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อย่างนี้ ถ้าตายจากความเป็นคน ก็เกิดมาเป็นเจ้าของวิมาน มีร่างกายเป็นทิพย์ มีบริเวณแวดล้อม แต่ถ้าบุคคลใด ถ้าต้องการจะเกิดเป็นสามีหรือภรรยา ของเจ้าของวิมาน ก็ไปเกิดบนที่นอนของเจ้าของวิมาน อย่างท่านย่านี่ พอมาเกิดปุ๊บปั๊บ อยู่บนที่นอนเลย

ถ้าเกิดบนที่นอนนี่ก็ถือว่าเป็น ภรรยาของเจ้าของวิมานหรือเป็นสามีของเจ้าของวิมาน
จุไรฟังแล้วก็ยิ้ม จุไรก็ถามต่อไป ถ้าอย่างนั้น มีลูกไหมเจ้าคะ
ท่านปู่ก็ยิ้ม ท่านย่าก็ยิ้ม ก็บอก มี ลูกก็ต้องมี ลูก จุไรก็ถามว่า บนดาวดึงส์นี่ มีโรงพยาบาลไหม มีหมอไหม มีหมอคลอดบุตรไหม เพื่อช่วยการคลอดบุตร ท่านปู่ ท่านย่าหัวเราะชอบใจ

ท่านก็บอกว่า ที่นี่ไม่มีหมอ ลูก จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เวลาตั้งครรภ์ จะฝากครรภ์ที่ไหน ท่านก็บอกว่า เทวดา กับนางฟ้าเขาไม่มีครรภ์ คือ นางฟ้าไม่มีท้องโตเหมือนมนุษย์ จุไรก็ถามต่อไปว่า ถ้าไม่มีท้องโต มีลูกได้อย่างไร แล้วลูกจะออกมาทางไหน ลูกจะอยู่ที่ไหน

ท่านก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ปู่จะเล่าให้ฟัง ถ้าบุคคลใดที่จะเกิดเป็นลูกชายก็ตาม ลูกหญิงก็ตาม ของเทวดา หรือของนางฟ้าองค์ใด เวลาตายจากความเป็นมนุษย์ก็มาเกิดปุ๊บปั๊บ บนตักของเทวดาหรือนางฟ้าองค์นั้น ก็แสดงว่า เทวดา หรือนางฟ้าองค์นั้นมาเป็นบุตรหรือลูกสาว ลูกชายของเทวดา หรือนางฟ้าที่เป็นเจ้าของวิมาน

จุไรก็บอกว่า โอ๋…หนูแปลกใจ ทำไมถึงไม่มีท้องเหมือนมนุษย์ ทำไมไม่ต้องท้องโต มันเกิดเอง ถ้าอย่างนั้นเด็กเกิดใหม่ ๆ จะต้องมีหมอคอยประคับประคองไหม จะมีพี่เลี้ยงอุ้มไหม ท่านปู่ก็บอกว่า ที่เมืองเทวดานี่ลูกรัก หลานรัก เขาไม่มีคำว่า เด็ก เกิดมาปุ๊บปั๊บก็เป็นหนุ่มเป็นสาวทันที ร่างกายก็ไม่เปลี่ยนแปลง หนูก็ดูปู่ซิ ปู่เกิดครั้งหลังนี้ความเป็นพระอินทร์ อายุประมาณ ๒,๕๐๐ ปีเศษ ปู่แก่ไหม

จุไรมองแล้วก็หาความแก่ไม่ได้ รู้สึกว่าหน้าของปู่จะแก่กว่าจุไรนิดหน่อย จะเทียบกับผู้ชายในเมืองมนุษย์ที่อยู่ในร่มเงา ก็เห็นจะเป็นอายุประมาณ ๑๕–๑๖ ปี เท่านั้นเอง ท่านย่าก็เหมือนกัน ก็บอกว่าไม่แก่

ท่านปู่ก็เลยบอกว่า ปู่เกิดมาครั้งแรกก็เท่านี้ แล้วต่อไปเบื้องหลังอีกนานเท่าไรก็ตาม ปู่จะไม่มีคำว่า แก่ อายุมากน่ะ มากได้ แต่แก่ไม่ได้ นางฟ้า เทวดาทุกองค์ก็มีสภาพเหมือนกัน
จุไรฟังแล้วก็ชอบใจ แหม…อยากจะเกิดเป็นนางฟ้า เป็นเทวดา เพราะว่าไม่ต้องกินนมสด ไม่ต้องกินนมกระป๋อง ไม่ต้องคลานต้วมเตี้ยม ไม่ต้องร้องเมื่อเวลาหิว

ท่านปู่ก็บอกว่า อาการอย่างนั้นไม่มีแก่เทวดา และนางฟ้า จุไรเธอก็ถามต่อไปว่า แล้วนางฟ้าที่เป็นบริวารล่ะ นางฟ้าที่เป็นบริวารของท่านปู่นี่ตั้งแสนคน เธอมาเกิดได้อย่างไร แล้วมาจากไหน คำว่า บริวาร แปลว่า พวกพ้อง หรือลูกจ้าง หรือว่าคนรับใช้ ท่านปู่ไปรับคนรับใช้มาจากไหนมากมาย

ปู่ก็บอกว่า คำว่า บริวาร มันเป็นอย่างนี้นะ ปู่จะเล่าให้ฟัง ถ้าบุคคลใดตายจากเมืองมนุษย์ไปเกิดในเขตของเทวดาหรือนางฟ้าองค์ใด เขาผู้นั้นก็ต้องเป็นบริวารของเทวดา หรือนางฟ้าองค์นั้น ถ้าเกิดนอกเขตวิมาน แต่ใกล้วิมานของเทวดา หรือนางฟ้าองค์ไหน ก็เป็นบริวารของเทวดา หรือนางฟ้าองค์นั้น ถ้าเกิดระหว่างกลาง คือว่า จะวัดวิมานโน้น วิมานนี้ ก็เท่ากันหมด

แต่ดูว่าถ้าหันหน้าไปทางวิมานไหน ก็ต้องเป็นบริวารของเทวดา หรือนางฟ้าวิมานนั้น ทีนี้คำว่า บริวาร นี่ไม่ได้หมายความว่า ลูกจ้างหรือขี้ข้าเสมอไป บริวาร หมายความถึง พวกพ้องคนที่อยู่ร่วมกัน คนที่อยู่ใกล้เคียงกัน หรือเป็นพวกเพื่อนกัน แม้แต่อยู่คนละวิมาน ก็เป็นเพื่อนกันได้

จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี มีบริวารมาก ๆ อยากจะทราบว่า บริวารทุกคนน่ะ มีงานอะไรจะทำ
ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก งานของเทวดาไม่มีเลย งานจริง ๆ ไม่มี อย่างต้นไม้นี่ก็ไม่ต้องรดน้ำ บริเวณสถานที่ทั้งหมด แพรวพราวเป็นระยับ ก็ไม่มีผง ไม่มีละออง

ไม่ต้องกวาด รวมความว่า งานของเทวดา งานของนางฟ้าจริง ๆ ไม่มี
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ถ้างานไม่มี พวกนั้นไม่รำคาญตายหรือเจ้าคะ ท่านก็บอกว่า ไม่รำคาญ เป็นภาวะของเทวดา หรือภาวะของนางฟ้า ทุกคนมีความสุข ทุกคนไม่มีกังวล
จุไรก็ถามต่อไปว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ในเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วอย่างนี้

ถ้ามีญาติหรือมีพวก มีพ้อง ที่ยังไม่ตายจากความเป็นคน เขาจะมีความรู้สึกนึกคิดถึงบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นบ้างไหม
ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก ทุกคนมีสภาพเหมือนกัน ถ้าเขามีความสุข เขาก็ห่วงคนที่ยังมีความทุกข์ คือ คนที่เกิดเป็นมนุษย์ทุกคน มีความทุกข์ทั้งหมด ไม่มีใครที่มีความสุขจริง

คือ ทุกข์จากความหนาว ทุกข์จากความร้อน ทุกข์จากหิว ทุกข์จากความกระหาย ทุกข์จากความป่วยไข้ไม่สบาย ทุกข์จากความแก่ ทุกข์จากความปรารถนาไม่สมหวัง ทุกคนมีทุกข์หมด แต่เทวดาทั้งหมดที่เกิดมาแล้ว ก็มีความเป็นห่วง อยากจะช่วยให้คนทั้งหลายมีความสุข ตามกำลังของตน

เอาละ บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ปู่กับหลานคุยกันไม่ทันจะจบหมดเวลาพอดี ก็ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/8/11 at 15:33 [ QUOTE ]


5
อานิสงส์ฉลองพัดยศ


ต่อนี้ไป ขอท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน อ่าน หรือฟัง เรื่องของจุไรต่อไป ในเมื่อจุไรกำลังนั่งคุยกับท่านปู่ ท่านย่า แต่ความจริงที่แล้วมาเป็นเรื่องของเด็กทั้งหมด กับผู้ใหญ่ทั้งหมด ใหญ่ที่สุด กับเล็กที่สุด คือ พระอินทร์ ท่านใหญ่ที่สุดบนสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น แต่ จุไรก็เล็กที่สุดในระหว่างคนที่ไป ขอคุยกันต่อไป

นั่นก็หมายความว่า หลังจากที่จุไร ถามเรื่องราวที่ผ่านมาพอสมควร เธอก็นึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้สักเรื่องหนึ่ง นั่นคือว่าเมื่อ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒ มีการเลื่อนสมณศักดิ์ของ พระสุธรรมยานเถระ ขึ้นเป็น พระราชพรหมยาน หลังจากนั้น เมื่อออกจากวังแล้ว สมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ซึ่งมีความกรุณาให้เข้าไปทำพิธีรับที่วัดสามพระยา

แล้วมีพระราชาคณะผู้ใหญ่ สวดชยันโต มี พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ เป็นต้น และก็หลังจากนั้นมา วันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๒ ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้เป็นหัวหน้าจัดการฉลอง พระราชพรหมยาน ที่วัดท่าซุง ก็เป็นอันว่า งานทั้ง ๒ งานนี้เป็น การฉลองสมณศักดิ์ คือ ถ้าพูดภาษาไทย ๆ ก็คือว่า ฉลองเจ้าคุณ

จุไรก็มีความสงสัยว่า การตั้งเจ้าคุณก็ดี หรือตั้งพระครูก็ดี มีการฉลองกัน การฉลองจะมีอานิสงส์ไหม จุไรจึงได้ถามท่านปู่บอกว่า ท่านปู่เจ้าคะ ระหว่างเดือนธันวาคม วันนี้ก็ปรากฏว่าเป็นวันที่ ๑๘ ที่คุยกับท่านปู่นี่ เป็น วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๒ แต่ว่า เมื่อย้อนหลังขึ้นไปเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒ หลวงปู่ที่วัดท่าซุงได้รับเลื่อนสมณศักดิ์

จากพระราชาคณะชั้นสามัญขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นราช ที่ พระราชพรหมยาน ก็อยากจะทราบว่า ความดีอันนี้ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ซึ่งมีความเมตตาหลวงปู่มาก หลวงปู่ก็เคยปรารภกับทุกคนว่า มีความเคารพในสมเด็จฯวัดสามพระยา คล้าย ๆ กับพ่อ คือ ท่านมีความเมตตาคล้าย พ่อกับลูก และอย่าง พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ ก็มีความเมตตาสูงสุด

และพระราชาคณะชั้นรองสมเด็จฯ อีกหลายองค์ ชั้นธรรมก็เยอะ พระราชาคณะทุกองค์ ส่วนใหญ่ มีความเมตตาปรานีในหลวงปู่มาก ถ้าจะลำดับชื่อ ก็เกรงว่าจะเสียเวลามาก ทุกท่านมีพระคุณยิ่งใหญ่ ฉะนั้น เวลาที่ประชุม มหาเถรสมาคม เมื่อตามข่าวเขาบอกว่า สมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ท่านปรารภถึงหลวงปู่วัดท่าซุงว่า เวลานี้มีอายุมากแล้ว

ความจริง หลวงปู่ที่วัดท่าซุงมีอายุเกือบ ๘๐ ปีแล้ว อายุใกล้ ๘๐ ปีเข้าไปเต็มที แก่มาก วัดวาอารามก็สร้างยังไม่เสร็จ สร้างใหญ่โต ท่านถามว่า วัดท่าซุงนี่ถ้าบังเอิญตายไปเวลานี้ ตามข่าว ใครจะดูแลวัดบ้าง ทุกองค์ต่างเป็นพระผู้ใหญ่ ท่านมีที่อยู่สบายแล้ว มีสำนักงานของท่าน พระผู้ใหญ่จริง ๆ ที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมควรจะอยู่ในกรุงเทพฯ การที่จะมาอยู่ที่วัดท่าซุง มันไกลแสนไกล

ท่านทุกองค์ก็นิ่ง เมื่อทุกองค์นิ่ง ทางวัดสระเกศก็บอกว่า ถ้าไม่มีใครไป ก็เลื่อนขึ้นไปเสียเลยก็แล้วกันครับ เลื่อนขึ้นไปเป็นชั้นราช ในเมื่อเป็นชั้นราชแล้ว ก็จะมีอำนาจตั้งพระครูฐานานุกรมได้ ๔ องค์ จะได้จัดการกันภายในว่า ถ้าหากเวลาท่านตายไปแล้ว ใครจะเป็นเจ้าอาวาส ใครจะเป็นรองเจ้าอาวาส ใครจะมีหน้าที่อะไร เขาจะได้วางกันไว้ในฐานะที่ พระครูฐานานุกรม

ก็เป็นอันว่า ทุกองค์เงียบ เมื่อเงียบก็ถือว่า มติไม่มีใครค้าน ก็ถือว่า เป็นการเห็นชอบ ตามข่าวเขาบอกว่า สมเด็จฯวัดสามพระยาท่านก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น ก็ให้ชื่อเสียเลย ก็เป็นการให้ชื่อกันในที่สุดเมื่อรับพัดออกมาแล้ว ก็ปรากฏว่า สมเด็จฯ วัดสามพระยา ท่านรับเป็นภาระเมตตามาก ส่งข่าวบอกว่า ออกจากวังแล้ว ให้เข้าวัดสามพระยา แล้วก็นิมนต์พระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่

มีสมเด็จฯ หนู จะเรียกว่า สมเด็จฯ วัดสระเกศนะ เผลอไป ก็เลยคิดว่าไหน ๆ ก็พลั้งไปแล้ว เวลานี้ยังไม่ได้เป็นสมเด็จฯ เป็นพระราชาคณะรองสมเด็จฯ มีนามว่า พรหมคุณาภรณ์ แต่มีความเข้าใจคิดว่า ท่านก็มีอายุมากแล้ว ความดีของท่านก็สูง ก็อาจจะเป็นสมเด็จฯ ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ ก็ได้ ธันวาคม อันนี้หนูเดาเองนะ

ก็รวมความว่า ที่วัดสามพระยา เมื่อหลวงปู่เข้าไป ก็ปรากฏว่ามีคนมาก สมเด็จฯ วัดสามพระยาท่านก็จัดภาระทุกอย่าง เอาเก้าอี้ตั้งไว้ ๑,๐๐๐ ตัว แต่ปรากฏว่า เสริมแล้วอีก ๘๐๐ ตัวไม่พอ แล้วก็เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวผัดไทย หมื่นบาท ไม่ทราบว่าเท่าไร กี่ถุง ปรากฏว่า ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ไม่เกิน ๔ โมงเย็น หมด แต่คนทุกคนต้องรอกันอยู่ ๒ ทุ่มเศษ ๒๐ นาฬิกาเศษ คนแน่นขนัดมาก ล้นวัด

ทีนี้พอหลวงปู่วัดท่าซุงรับพัดแล้ว เข้าไป สมเด็จฯ ท่านเข้าไปถึงก่อน พอเข้าไปแล้วก็ไปนั่งที่ที่สมเด็จฯ ท่านจัดไว้ให้ ท่านมีความเมตตา จัดทุกอย่าง ทำทุกอย่างไว้ให้เพียบพร้อมหมด หลวงปู่ไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วก็มีบรรดาประชาชนทั้งหลายเข้าไปแสดงมุทุตาจิต คนล้นวัด เบียดเสียดกันมาก ต้องจัดแนวการเดิน

คนที่แสดงมุทุตาจิตไม่มีเวลาพูดอะไรเลย พูดกันไม่ได้ ต้องเดินเข้าไป และมุทุตาจิตที่ให้ ก็คือของบ้าง ส่วนมาก เป็นเงิน คนละ ๑๐ บาทบ้าง ๒๐ บาทบ้าง ๑๐๐ บาท ๕๐๐ บ้าง บางคนก็ถึง ๑,๐๐๐ บางคนก็ถึง ๒,๐๐๐ ทำบุญกันยาวเหยียด ประมาณเกือบ ๒ ชั่วโมงจึงหมดคน รวบรวมเฉพาะธนบัตรในวันนั้น ถ้าหนูจำไม่ผิด ก็เป็นจำนวนเงินถึง ๒๒๑,๖๐๐ บาท ถ้าจำไม่ผิด ถ้าจำผิดก็ขอประทานอภัย

เฉพาะธนบัตร แต่เงินเหรียญต่างหาก หนูอยากจะทราบว่า คนที่ทำบุญในงานฉลองสมณศักดิ์หลวงปู่ หรือทำบุญในงานฉลองสมณศักดิ์ของท่านผู้ใดก็ตาม งานประเภทเดียวกัน การทำบุญฉลองสมณศักดิ์แบบนี้ คนที่ทำบุญจะได้บุญอะไรบ้าง จะมีโอกาสมาเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าไหม เพราะสมณศักดิ์ ก็ถือว่าเป็น ยศ ประเภทหนึ่ง อาจเป็นเรื่องของโลกียวิสัยประกอบอยู่ด้วย แต่เป็นการส่งเสริมพระให้มีกำลังใจ

ท่านปู่ฟังแล้วก็ยิ้มว่า หลานรัก ปู่จะคุยให้ฟัง อย่าถือว่าเป็นการสอน อย่าถือว่าเป็นการเล่าบรรยาย ถือว่าเป็นการคุยกัน การคุยกันนี่มีประโยชน์ การฉลองสมณศักดิ์ที่วัดสามพระยา คนทำบุญกันจริง ๆ เกินหมื่นคน คนทำบุญมากบ้าง ทำบุญน้อยบ้าง เขาแสดงมุทุตาจิต มุทุตา คือ มีจิตอ่อนโยน ยินดีด้วย แต่ทว่าความจริงแล้ว ไม่มีโอกาสพูดกัน

เดินยัดเยียด เบียดเสียดด้วยความยากลำบาก ถ้าจะดูภาพจะรู้สึกว่า น่าหนักใจ ปู่ก็มองเห็น แต่หลานอย่าลืมว่า เงินทั้งหมด ที่หลวงปู่วัดท่าซุงรับแล้ว ก็ไปถวายสมเด็จฯ วัดสามพระยา คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ทั้งหมด เพราะนิสัยของหลวงปู่เป็นอย่างนั้น ทำมาตั้งแต่ต้น ดึกดำบรรพ์ หลายชาติมาแล้ว ถ้าลาภเกิดขึ้นที่ไหน ลาภอันนั้นต้องอยู่ที่นั่น

แต่ว่าท่านต้องพิจารณาก่อนว่า ควรหรือไม่ควร ถ้าสถานที่ใดไม่ควร ท่านก็ไม่ให้ เอากลับวัดท่านเหมือนกัน ถ้าสถานที่ใดสมควร ท่านก็ให้ ทีนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ท่านเป็นพระที่มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องมาก ทางด้านจิตใจ

อย่างนี้ทางเมืองเทวดา ทางเมืองพรหม เขาก็รู้กันหมด แต่ว่าความจริงแล้วท่านพยายามปกปิด ท่านปกปิดความจริงเกือบทุกอย่างด้านจิตใจของท่าน เพราะท่านทราบดีว่า คนที่ยังไม่ยอมรับอารมณ์ทางใจ ยังมีอยู่มาก ในเมื่อคนที่ยังไม่ยอมรับอารมณ์ทางใจยังมีมาก ถ้าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ สร้างแต่ความเดือดร้อน ท่านก็เฉย

แต่ว่าหลวงปู่ของหนูที่วัดท่าซุง ท่านรู้เรื่องกัน รู้เรื่องกันมาก เรื่องนี้ รู้เรื่องกันดี ต่างคนต่างรู้เรื่องกัน ก็เป็นอันว่า เมื่อทำบุญกับหลวงปู่วัดท่าซุง อานิสงส์อันหนึ่งก็ได้แล้ว คือ ปาฏิบุคคลิกทาน ทานส่วนบุคคล อันนี้ได้แน่นอน ได้ไป ๑ จุด ต่อหลวงปู่ก็ถวายสมเด็จฯ วัดสามพระยา แต่การถวายนี้ไม่ได้ถวายเป็นส่วนบุคคล ถวายเพื่อร่วมสร้างโรงเรียน

แล้วโรงเรียนที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยาท่านสร้าง เป็นโรงเรียนสาธารณประโยชน์จริง ๆ สงเคราะห์จริง ๆ พระ เณร เรียนได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เสียทอง และฆราวาสก็เรียนได้ ไม่ต้องเสียเงิน เสียทอง ฟรีหมดทุกอย่าง อุปกรณ์การศึกษาก็ให้ แต่ก็ปู่ไม่แน่ใจว่า ท่านจะให้อาหารหรือเปล่า ไม่ได้ถามท่าน จุไรก็ยิ้ม ยกมือไหว้ แล้วก็กราบว่า

ถ้าอย่างนั้น ปู่ใช้อารมณ์เป็นทิพย์ได้ไหม อยากจะรู้ว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ท่านจะเลี้ยงอาหารด้วยหรือเปล่า ท่านปู่ก็ยิ้มบอกว่า สำหรับสมเด็จฯ องค์นี้นะ ถ้ามีเท่าไรนะหมด ไม่มีเก็บเป็นส่วนตัว ปู่ก็มองดูตลอดเวลาแล้ว ปัญจสิกขเทพบุตร เขาก็จด ท่านสวดมนต์เย็น สวดมนต์เช้า ท่านเทศน์มา ใครถวายท่านก็เก็บ ๆ ๆ เก็บเงิน เก็บทอง คิดว่าจะสะสม แต่เปล่า เอาไว้ทำการก่อสร้าง

แล้วปกติไม่ค่อยจะเอ่ยปากเรี่ยไรใคร เป็นอันว่า ใครรู้ ใครก็ช่วย ถ้าไม่รู้ ท่านก็เก็บเงินของท่านที่เขาให้ไว้ เป็นอันว่า ทรัพย์สินส่วนตัวจริง ๆ โดยเฉพาะของท่าน ท่านไม่เก็บไว้เพื่อส่วนตัวเลย ท่านทำเพื่อสาธารณประโยชน์ทั้งหมด และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงินที่ท่านมีอำนาจจะพึงเบิกได้จากกระทรวงศึกษาธิการ ท่านก็ไม่ค่อยจะเบิก

ท่านถือว่า นั่นเป็นเงินส่วนกลาง จะเบิกเมื่อไรก็ได้ ตามสิทธิที่มีอยู่ แต่ยังไม่เบิกก่อน ถ้าไม่จำเป็น ไม่เบิก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังใจของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นกำลังใจที่ใสสะอาดมาก ต้องคิดว่ามากถึงที่สุด แจ่มใสถึงที่สุด แต่คำว่า ถึงที่สุดนี้ ปู่จะไม่บอกว่า ขั้นไหน แต่ว่าเป็นกำลังใจที่เทวดา ที่นางฟ้า ที่พรหม หรือพระอริยเจ้าพอใจก็แล้วกัน

ในเมื่อท่านมีกำลังใจสะอาดมากอย่างนั้น หลวงปู่เอาเงินทั้งหมดที่ลูกหลานให้ไป ไปถวายกับท่านที่มีจิตสะอาดมาก อานิสงส์ได้อีกชั้นหนึ่ง เพราะความสะอาดของจิตของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ นอกจากนั้น เอาไปสร้างโรงเรียน โรงเรียนนี่เป็น ปัญญาบารมี และเป็นอาคารด้วย การให้อาคารโรงเรียน เป็น วิหารทาน เป็นเหตุให้ได้วิมาน โรงเรียนเป็นปัจจัยให้คนเกิดความรู้

นั่นเป็นการเกิดปัญญา และบรรดาทุกคนบริจาคทรัพย์สมบัติของส่วนตัวบริจาคเข้าไป เป็น ทานบารมี ฉะนั้น ทั้งหมดนี้อานิสงส์ที่จะพึงได้ของทุกคน ทุกคนต้องมาเกิดเป็นเทวดา ต้องมาเกิดเป็นนางฟ้า ถ้าเขามีบารมีไม่เกินกว่านั้น ถ้ามีบารมีเกินเทวดา เกินนางฟ้า ก็ไปเป็นพรหม ถ้ามีบารมีเกินพรหม ก็ไปนิพพาน

จุไรก็ถามว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า สมมุติว่าเขาจะมาเกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เขาจะเป็นบริวาร หรือเป็นเจ้าของวิมานเพราะว่า โรงเรียนหลังไม่โตนัก จะโตขนาดไหนก็ตาม คนตั้งหมื่นคนนี่ ถ้าจะมีวิมานหลังเดียวยัดเยียดกันอยู่ไม่ไหวแน่ ท่านปู่ท่านก็ยิ้ม

ท่านก็บอกว่า ท่านมฆมาณพ สร้างศาลาสาธารณะหลังเดียว เพื่อน ๓๓ คน กับนายช่าง กับช้าง ต่างคนต่างมี วิมานคนละหลัง ภรรยาที่ร่วมบุญบารมีด้วย ก็มีวิมานคนละหลัง ฉะนั้น คนสักกี่หมื่นคนก็ตาม ที่เขาทำบุญในวันนั้น ถ้าเขาตายจากความเป็นคนขึ้นมา เขาไม่มีสิทธิ์ไปเป็นบริวารใครเลย ทุกคนจะมีวิมานเป็นที่อยู่ของตัวเองหมด เป็นเจ้าของวิมาน แต่ทุกคนก็จะมีบริวารรับใช้

จุไรก็ถามว่า บริวารจะมาจากไหน ท่านปู่ก็บอกว่า บริวารก็มาจากคนที่ทำบุญเล็กน้อย ไม่มาก แต่ไม่เคยร่วมในการสร้างวิหารทาน หรือว่าไม่เคย ถวายสังฆทาน ไม่เคยบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเคยเคารพพระพุทธเจ้าก็ดี เคารพพระธรรมก็ดี เคารพพระอริยสงฆ์ก็ดี อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเคยถวายสังฆทานก็ดี

ท่านประเภทนี้ ตายจากความเป็นคน มามีทิพยสมบัติ และมีวิมานของตัวเอง แต่คนบางคนที่มีบุญบารมีเล็กน้อย ไม่เคยทำอย่างนี้ ไม่เคยเคารพอย่างนี้ ตายมาแล้วมาเป็นเทวดาบ้าง มาเป็นนางฟ้า ก็ต้องเป็นบริวารเขา แต่บริวารก็มีความสุข

เธอก็ถามต่อไปว่า ท่านปู่เจ้าคะ แล้วการที่ ดร.ปริญญา นุตาลัย ลูกศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่วัดท่าซุง อีกคนหนึ่ง เมื่อทางวัดสามพระยากระทำแล้ว ก็ประกาศที่บ้านซอยสายลมว่า วันที่ ๑๓ หลวงพ่อกลับไปวัดท่าซุง จะทำการต้อนรับ และฉลอง ดร.ปริญญา นุตาลัย ซื้อผ้าแจกบ้าง ซื้อเสื้อแจกบ้าง กับ ปาน ชาลินี เนียมสกุล ช่วยกันลงทุนมาก

ปานนี่อุตส่าห์ถึงวัดท่าซุงแล้ว อุตส่าห์ถวายเงินหลวงปู่แสนบาท เป็นเช็ค แต่คงคิดว่าจะเซ็นต์ หมื่นบาท แต่เผลอ เติมไปอีกศูนย์ หลวงปู่เลยไม่คืนเลย แต่เธอบอกว่า เธอเต็มใจ เพราะว่าบัญชีเล่มนั้นมีเงินอยู่ ๑๑๐,๐๐๐ บาท เธอเซ็นต์ให้หลวงปู่ไป ๑๐๐,๐๐๐ บาท ยังเหลืออีก ๑๐,๐๐๐ บาท นี่ทำบุญอย่างหนัก


แล้วก็หลาย ๆ คนร่วมกันทำบุญบ้าง ออกแรงบ้าง เย็บผ้าตัดเสื้อกันบ้าง ล่อกันนุงหมด ทุกคนทำกันหนัก ทุกคนอย่าง ดร.ปริญญา นุตาลัย นี่ เขาเป็นหัวหน้าอาศัยบุญบารมีอย่างนี้ ถ้าตายจากความเป็นคน จะเป็นอย่างไร จะมีอานิสงส์ขนาดไหน ท่านปู่ก็บอกว่า เขาเป็นหัวหน้าในการประกอบทานครั้งนั้น เวลามาเป็นเทวดา ก็เหมือนปู่นี่แหละ เป็นหัวหน้าเทวดาแบบนี้ เขาต้องเป็นหัวหน้าทีม

เธอก็ถามต่อไปว่า เวลาวันนั้น คนทำบุญก็เยอะเหมือนกัน ท่านปู่ก็รีบตัด คนทำบุญเยอะ ปู่ก็ขอบอกว่า อานิสงส์เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้ว จุไรก็ถามว่า วันนั้นก็มีเด็ก ๆ นักเรียนช่วยกันมาก ท่านบอกเด็กนักเรียนทุกคนไม่มีสตางค์ทำบุญ แต่บางคนก็มี ที่ไม่มีสตางค์ทำบุญ แต่อย่าลืมว่า เขาร่วมงาน เป็น ไวยาวัจกร ร่วมในงานบุญ งานกุศลแล้วการแห่ก็ดี

การรำก็ดี ร้องรำทำเพลงก็ตาม บรรเลงปี่พาทย์ บรรเลงมโหรี มโหรีไม่มี ก็บรรเลงแตรวงบ้าง รำถวายบ้าง ช่วยงานทุกอย่างบ้าง ผัดข้าวผัดเค็มเกินไปบ้าง อย่างแม่เจ้าหมวยนี่ วันนั้นมันเห็นอาจารย์มันนุ่งผ้าผืนที่ ดร.ปริญญาแจก มันดูอาจารย์มัน แปลกใจจนกระทั่ง เผลอใส่น้ำปลามากเกินไป ข้าวผัดเค็ม ท่านบอกว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนี้ อานิสงส์เขาก็มี ตามกฎ นั่นคือ ทุกคนมีสิทธิ์มาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า เป็นเจ้าของวิมานหมด

จุไรก็ถามว่า นักเรียนไม่ได้ทำบุญในด้านวิหารทาน ท่านปู่ก็บอกว่า การที่เขาโมทนาแสดงความยินดี กับการได้รับความดีจากที่ท่านปู่วัดท่าซุงได้รับแล้วเงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่คนทำ ท่านปู่วัดท่าซุงก็นำไปสร้างหมดเหมือนกัน พวกนี้ก็ยินดีในการก่อสร้าง คือ ยินดีในการทำบุญของเขา ในเมื่อยินดีแบบนี้ทุกอย่างได้หมด ที่เรียกว่า ไวยาวัจกร พวก ไวยาวัจกรนี้มีอานิสงส์มาก

ท่านปู่บอกว่า อานิสงส์ของไวยาวัจกรมีอย่างนี้ ปู่จะเล่าให้ฟัง ท่านที่บวชเณร และปฏิบัติตน บริสุทธิ์ผุดผ่อง และก็ตายจากความเป็นคน ตายจากความเป็นเณร มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก จะมีวิมานเป็นที่อยู่ มีนางฟ้าเป็นบริวาร ๑๐,๐๐๐ คน ที่มีอานิสงส์รองจากนั้น ก็คือ พวกไวยาวัจกร ช่วยเหลือการงาน งานทุกอย่างที่เป็นบุญ เป็นกุศลอะไรก็ตาม

ถ้าไม่เกินวิสัยของตัวจะพึงทำได้ ก็ทำทุกอย่าง ช่วยเหลือทุกอย่างตามกำลังด้วยศรัทธา ท่านผู้นี้ตายจากความเป็นคนแล้ว มาเกิดเป็นเทวดาก็ดี เกิดเป็นนางฟ้าก็ดี จะมีบริวาร ๘,๐๐๐ คน รองจากสามเณร ฉะนั้น คนทุกคนที่มาในงาน และช่วยงานมาในงานด้วย แต่บังเอิญ สมมติว่า ไม่มีสตางค์จะทำบุญ ไม่มีของจะมาให้ในงาน แต่ว่าช่วยงานด้วยกำลังแรงงาน

ไม่เฉพาะนักเรียนคนอื่นก็หลายคน อย่างนี้เรียกว่า ไวยาวัจกร ขวนขวายในความดี คือ ในบุญกุศล ถึงแม้ว่าการฉลองสมณศักดิ์ จะเป็นเรื่องประกอบด้วยโลกธรรมร่วมกัน คำว่า โลก หมายความว่า การแต่งตั้ง เป็น โลก แต่การส่งเสริมพระที่ทำความดี เป็นธรรม และสร้างกำลังใจของบรรดาลูกหลานลูกศิษย์ลูกหา ให้มีความสุข มีกำลังใจเกิดขึ้น เต็มใจในการบำเพ็ญความดีมากขึ้น

อย่างนี้เป็น ธรรมะ ในเมื่อของทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นโลกธรรม คือ โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย โลกไม่ช้ำ หมายความว่า ความดีทำขึ้นมาโลกสนับสนุน แต่งตั้งเป็นอย่างนั้น แต่งตั้งเป็นอย่างนี้ ธรรมไม่เสีย หมายความว่า ท่านผู้นั้นรับการแต่งตั้งแล้ว ก็ไม่เมาในยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่เมาในสมณศักดิ์ที่ตนได้ เคยปฏิบัติตนแบบไหน ก็ทำแบบนั้น หรือว่าทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น

อย่างนี้เรียกว่า โลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ในเมื่อโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ก็เป็นบุญ บุญทั้งหมดที่ทุกคนทำแล้ว ก็ได้เหมือนตามที่กล่าวมาแล้ว คือ
ประการที่ ๑ ตายจากความเป็นคน จะเกิดเป็นเทวดา จะเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้เลย
ประการที่ ๒. ทุกคนจะต้องมีวิมานเป็นที่อยู่ แล้วก็

ประการที่ ๓. ทุกคนจะมีบริวาร ตามกำลังที่กล่าวมาแล้ว
จุไรก็ถามว่า วิมานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ดี สวรรค์ทุกชั้นก็ดี วิมานอันดับไหน ชื่อว่าเป็นวิมานอันดับต่ำที่สุด แล้ววิมานอันดับไหนเป็นวิมานที่สูงที่สุด

ท่านปู่ก็บอกว่า ถ้าดาวดึงส์ขึ้นไปนะ จากดาวดึงส์ขึ้นไป วิมานที่ต่ำที่สุด คือ วิมานทองคำ วิมานที่สูงที่สุด คือ วิมานแก้ว ๙ ประการ
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ทุกคนที่เขาทำบุญในงานฉลองหลวงปู่ เขาจะได้วิมานแบบไหน จะได้วิมานทองคำไหม

ปู่ฟังแล้วก็ยิ้ม ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก บุญของเขาเกินกำลังอย่างนั้นนะ เพราะเงินของเขาทุกบาท ทุกสตางค์ เป็นสังฆทานด้วย เป็นวิหารทานด้วย เป็นธรรมทานด้วย เป็นหลายทาน ที่เรียกว่า เป็นสังฆทาน เพราะว่าหลวงปู่เอาไปเลี้ยงพระ เป็นอาหารเลี้ยงพระบ้าง ช่วยกระแสไฟฟ้าแสงสว่างบ้าง เสียค่าแสงสว่าง ค่าน้ำมัน อย่างนี้เป็นสังฆทาน

แล้วก็น้อมไปในการก่อสร้าง ก็เป็น วิหารทานส่วนใดของธรรมะที่บกพร่อง อย่าง เทปที่ทางวัดท่าซุงจัดขาย เมื่อคิดสรุปจริง ๆ แล้วมันขาดทุน ในเมื่อมันขาดทุน หรือว่าพอดีกับทุน จะต้องซ่อมแซม แล้วเอาเงินจำนวนนี้เข้าไปซ่อม เป็น ธรรมทาน คือว่า ทานทั้ง ๓ อย่างนี้ทั้งหมด จะมีวิมานทองคำไม่ได้ ต้องวิมานอย่างต่ำที่สุดแก้ว ๓ ประการ แก้ว ๗ ประการ หรือแก้ว ๙ ประการ

แต่ส่วนใหญ่ของคณะที่ช่วยในงาน เป็นนักปฏิบัติมีมาก ที่มีจิตประกอบไปด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเจริญสมาธิวิปัสสนาญาณ มีความรู้จริง ตามความเป็นจริง แต่ยังละกิเลสไม่หมด ก็ไม่เป็นไร บางขณะรู้จริง บางขณะก็รู้ไม่ค่อยจริง ก็ไม่เป็นไร เวลารู้จริงมัน มีอยู่ เขาถืออานิสงส์ในการรู้จริง ในเมื่อความรู้จริงมีอยู่อย่างนั้น จิตก็ผ่องใส ตายแล้วย่อมมีอานิสงส์

ท่านประเภทนี้ ถ้าเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก อย่างต่ำต้องมีวิมานแก้ว ๗ ประการ หรือแก้ว ๙ ประการ เป็นอย่างสูงสุด แต่จริง ๆ แล้ว คนคณะที่เขาไปร่วมในการฉลอง คนที่เกิดสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีเยอะ แต่ก็ไม่ใช่มากที่สุด คนที่เกิดในพรหมก็มีเยอะ แต่ไม่ใช่มากที่สุด ส่วนใหญ่เขาจะแบ่งไปนิพพานกัน เพราะคนทั้งหลายเหล่านี้มีความเข้าใจ เรื่องนิพพาน

จุไรก็ถามว่า คนเข้าใจเรื่องนิพพานนี่ท่านปู่ ท่านปู่เคยไปเที่ยวนิพพานบ่อยไหม ท่านปู่ก็บอกว่า ปู่ไปเที่ยวเสมอที่นิพพาน เพราะอยู่ไม่ไกล จุไรก็บอกว่า ตามหนังสือเขาเขียนว่า นิพพานสูญ ท่านปู่ก็ย้อนถามว่า หนูเคยไปแล้วใช่ไหม จุไรก็บอกว่า หนูไปทุกวัน ท่านปู่ก็ถามว่า ถ้ามันสูญ แล้วหนูเห็นไหมว่า นิพพานมีอยู่ จุไรก็ตอบท่านปู่ว่า เห็นเจ้าค่ะ หนูก็เห็น เห็นที่อยู่ของหนูด้วย

ท่านปู่ก็บอกว่า คนที่จะไปนิพพาน ตามที่ปู่เคยเห็นพระพุทธเจ้าท่านสอนหรือว่าท่านที่เคยตายจากความเป็นคนแล้วไปนิพพาน มันก็ไม่หนัก บางคนขณะที่มีชีวิตอยู่ ก็ปฏิบัติเหลวแหลกต่าง ๆ เยอะแยะ แต่ว่าพอใกล้จะตายเข้าจริง ๆ มีความรู้สึกตามความเป็นจริง เห็นทุกข์ในร่างกาย มีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นของไม่ดี มีทุกข์ มีอาการป่วยไข้ไม่สบาย เลยมีความเบื่อหน่ายในร่างกาย ก็เลยไปนิพพาน

อย่างกับพระที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำ ๖๐ องค์ ท่านพวกนี้เคยเป็นพราน ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาหลายชาติ ชาติปัจจุบันก็เป็น พราน ต่อมาวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ กายคตา นุสสติ กับ อสุภกรรมฐาน ให้เห็นว่า ร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ไม่มีการทรงตัว ในที่สุดก็ตาย เมื่อพระพุทธเจ้าท่านเทศน์จบท่านก็เข้าไปพักในถ้ำ

ท่านก็บอก ต่อนี้ไป ห้ามคนไปพบ ห้ามพระไปพบ นอกจากพระนำอาหารไปถวาย ท่านพักอยู่ ๑๕ วัน ในช่วงเวลา ๑๕ วันนี้ พระพวกนั้นเจริญกรรมฐาน กองนี้ได้รวดเร็วมาก เกิด นิพพิทาญาณ มีความเบื่อหน่ายในร่างกาย เป็นที่สุด เกลียดร่างกาย รังเกียจมาก ในที่สุดก็ ฆ่าตัวตายบ้าง หนีความสกปรก จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง แต่ว่า ในเมื่อทุกองค์มีความเบื่อหน่ายแบบนั้น ฆ่าตัวตายบ้าง

จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง ท่านตายแล้วก็ปรากฏว่า ไปนิพพานหมดทุกท่าน เพราะความเบื่อหน่ายในร่างกาย นี่รวมความว่า คนที่มีความประพฤติเหลวแหลกอย่างไรก็ตาม ในด้านของอกุศล แต่ว่าบุคคลคนนั้นเวลาจะตาย เกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายขึ้นมา ก็ไปนิพพานได้ เรื่องไปนิพพานเป็นของไม่ยากลูก

ท่านปู่ก็บอกกับหลานว่า เรื่องการไปนิพพานเป็นของไม่ยาก ถ้ามีความเข้าใจนี่ไม่ยาก แล้วจุไรก็ถามว่า แล้วท่านปู่ละเจ้าคะ ท่านปู่ ถ้าตายจากความเป็นเทวดา จะไปนิพพานไหม ท่านย่าหัวเราะชอบใจ ย่าบอกว่า หลานรักเอ๊ย เขาไม่เรียก ตาย เทวดาเขาเรียก จุติ แล้วมนุษย์ก็เหมือนกัน เขาไม่เรียก ตาย เขาเรียก กาลํ ภตวา ถึงกาลเวลาที่ต้องไป

ก็รวมความว่า หลานถามปู่ ย่าตอบแทนก็ได้ ย่าคันปากมานานแล้ว ปู่น่ะพูดไม่ค่อยทันหลาน เป็นอันว่า ปู่ท่านพูดผู้ใหญ่เกินไปเอาย่าดีกว่า เวลามันจะหมด ก็เป็นอันว่า เวลานี้ ถ้าปู่ก็ดี ย่าก็ดี จุติ หรือเคลื่อนไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ปู่กับย่าก็ไม่ไปเมืองมนุษย์ ไม่เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดเป็นนางฟ้า ไม่เกิดเป็นพรหม

ปู่กับย่านิยมนิพพาน ลูก เพราะปู่กับย่าเห็นแล้วว่า พรหมก็ดี สวรรค์ก็ดี มีความสุขไม่เท่านิพพาน ยิ่งเมืองมนุษย์มันเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก คนทุกคนเหล่านี้ ปู่กับย่าก็ดี เทวดาทั้งหลายก็ดี มีความเหน็ดเหนื่อยจากคนที่มีความดี แต่อกุศลเข้าแทรก กรรมที่เป็นอกุศลเข้าแทรกเขามีความทุกข์ ปู่กับย่าก็ต้องสั่งเทวดาบ้าง ทำอะไรบ้าง ไปช่วยเขาทุกอย่าง ตามกำลังที่จะทำได้ ถ้าไม่เกินวิสัยที่จะช่วย

เอาละหลานรัก เวลาจะหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังและผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/9/11 at 13:41 [ QUOTE ]


6
ไปเป็นเทวดาไม่ต้องลงทุน ตอนที่ ๑


ท่านผู้ฟังทั้งหลาย และท่านผู้อ่านด้วย ตอนนี้ก็ขอพบกับ จุไร เป็นอันว่า จุไรคุยกับท่านปู่ถึง ระเบียบความเป็นมาของเทวดา หรือนางฟ้า หลังจากนั้น จุไรก็คิดขึ้นมาได้ว่า เวลาการมาของมนุษย์อยู่บนสวรรค์ ใช้เวลาได้ไม่มาก เพราะเวลาบนสวรรค์ มากกว่าเวลาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๑ วันของดาวดึงส์ ก็ต้องใช้เวลาในเมืองมนุษย์ถึง ๑๐๐ ปี

ก็จึงคิดว่า เวลานี้เป็นเวลาสมควรที่จะไปหาเทวดาที่มีศักดิ์ศรีใหญ่ นั่นก็คือ เทวดาที่ตายจากความเป็นคนโดยไม่ต้องลงทุน จึงกราบเรียนถามท่านปู่ว่า ท่านปู่เจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า มีเทวดาองค์ไหนบ้าง ที่มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์การทำบุญของท่าน ไม่ต้องลงทุนทุกอย่างตามที่ท่านปู่บอกมาแล้วเมื่อกี้นี้ เป็นการลงทุนทั้งหมด คนบางคนที่ไม่มีโอกาสจะลงทุนทำบุญก็มี

ฉะนั้นหากว่า สมมุติว่ามีคนบางคนไม่สามารถจะบำเพ็ญกุศลด้วยทรัพย์สิน แม้แต่อะไรสักนิดหนึ่งก็ไม่มี ฉะนั้น อยากจะทำบุญ อยากจะเป็นเทวดา อยากจะเป็นนางฟ้ากับเขาบ้าง จะมีโอกาสไหมเจ้าคะ ท่านปู่ฟังแล้วก็ยิ้ม ก็คิดในใจว่า หลานคนนี้ฉลาดจริง ๆ สมศักดิ์ศรีของที่เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกลงไปเกิด และการไปเกิดของเธอคราวนี้ ก็มีความประสงค์ว่า จะต่อบุญบารมีไปนิพพานเลยไม่กลับมาดาวดึงส์ใหม่

แต่ท่านสักกเทวราชนึกในใจ ไม่ได้พูด แต่ตอนจะพูด ก็พูดว่า หลานรัก จุไร หลานของปู่ ถ้าหลานต้องการอย่างนั้นก็ เทวดาก็มีมาก เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ที่มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย อย่าง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ดี สุปปติฏฐิตเทพบุตรก็ดี สาตกีเทพธิดา ก็ดี แต่ว่าสำหรับ ลาชเทวธิดา คนนี้ลงทุนนิดหน่อย การลงทุนเหมือนไม่ได้ลงทุน เพราะว่านำของไปกิน แล้วก็ใส่บาตร ก็เป็นอันว่า

ต่อแต่นี้ไป ปู่ก็ต้องการอยากจะให้หลานได้พบกับเทวดาทั้งหลาย ตามที่กล่าวมาแล้ว และก็ยังมีอีกมาก จุไรก็กราบเรียน กราบท่าน แล้วก็บอกว่า ขอท่านปู่นำไปด้วยเจ้าคะ ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรักถ้าปู่นำไปนะ หลานจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรจากเทวดาทั้งหลายเลย ไม่มีโอกาสจะคุยกัน เพราะว่า ถ้าปู่ไปที่นั่น เทวดาทุกท่าน นางฟ้าทั้งหมด จะไม่มีโอกาสพูด ทั้งนี้ ไม่ใช่ปู่ห้ามพูด เป็นแต่เพียงว่า เขาเกรงใจปู่ ไม่มีใครพูด

ถ้าหลานอยากจะพูด จะคุยกับเทวดากับนางฟ้าเฉพาะโดยตรงแล้ว ไปกับท่านอินทกะก็แล้วกัน ขอท่านอินทกะทั้งสอง ช่วยโปรดนำหลานของฉัน ไปพบเทวดา หรือนางฟ้าต่าง ๆ ที่บำเพ็ญบุญบารมีมาพอสมควรที่จะคุยกันได้ แต่ความจริง เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ที่ทำบุญซ้ำ ๆ กัน ก็มีมาก เอาเฉพาะที่ไม่ซ้ำกันก็แล้วกัน เป็นอันว่า ท่านอินทกะทั้งสอง คือ ท่านบุเรงนองกับท่านปิยะยาวี ก็กราบ

คือ ยกมือไหว้ น้อมศีรษะรับคำท่านแล้ว ก็เรียกจุไรกับน้อยว่า น้อยเอ๊ย กับจุไรหลานรัก ไปกับลุง พอท่านอินทกะทั้งสองท่านใดท่านหนึ่งบอกว่า ไปกับลุง ท้าวสักกเทวราช คือ พระอินทร์ ท่านก็ยิ้ม ท่านก็ถามว่า ท่านอินทกะ จุไรนี่เคยเป็นลูก เป็นหลานมาในชาติก่อนใช่ไหม ท่านอินทกะก็บอกว่า ใช่เคยเป็นลูกก็เคย เคยเป็นหลานก็เคย สำหรับน้อยนี่ เคยเป็นน้องก็เคยเป็น เคยเป็นเพื่อนก็เคยเป็น

เป็นอันว่า ทั้ง ๒ คนก็ถือว่า เป็นญาติ แต่ ๒ คนระลึกชาติยัง ไม่ได้ หรือยังไม่ได้นึก ก็เลยยังไม่รู้เป็นอันว่า จุไร กับน้อยก็ลาท่านปู่ ท่านอินทกะทั้งสองก็พาไปวิมานแรกที่ไป ก็คือวิมานของ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร คือว่า ท่านเทวดาองค์นี้ เวลานี้เป็น พระอริยเจ้า การฟังเทศน์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จบแรกเป็น พระโสดาบัน และปัจจุบันนี้จะเป็นพระอริยเจ้าชั้นไหนนั้น ก็ไม่มีใครบอกใคร

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เป็นอันว่า ท่านอินทกะทั้งสองคือ ท่านบุเรงนอง กับท่านปิยะยาวี ได้พาสองศรีคือ น้อยกับจุไร เข้ามาใกล้วิมานของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร พอเข้ามาใกล้ ยังไม่ทันถึง ท่านก็ชี้ให้ดูว่า หลานรัก ดูวิมานหลังนี้มีความวิจิตรพิสดาร พื้นเป็นทองคำ ทองคำทั้งหลัง แล้วประดับประดาไปด้วยแก้ว ด้วยเพชรนิลจินดาต่าง ๆ แพรวพราวเป็นระยับ มีทั้งมุข มีทั้งซุ้ม มีทั้งวิมานเล็กวิมานน้อย มีรั้วรอบขอบชิด

มีสวนดอกไม้ มีสระโบกขรณี มีทุกอย่างที่ต้องการ แพรวพราวเป็นระยับ ทั้งสองคน มองแล้วก็ตะลึง คิดในใจว่า คล้าย ๆ กับวิมานที่ปู่สร้างไว้ที่วัดท่าซุง แล้ววิมานหลังใหญ่ก็คล้ายกัน และวิมานหลังย่อม ๒ หลังด้านหน้า ก็คล้ายกัน ทำไมจึงคล้ายกันแบบนี้ แต่ว่าวิหารของท่านปู่ที่สร้างไว้ที่วัดท่าซุง เนื้อแท้จริง ๆ เป็นคอนกรีต เป็นทราย เป็นหิน เป็นเหล็ก เป็นปูนซีเมนต์ แต่ว่าวิมานทั้งหมดนี้

เนื้อแท้จริง ๆ ภายในเป็นทองคำ เป็นช่วงทองคำเป็นช่วง ๆ แล้วก็มีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ บริเวณก็กว้าง สระโบกขรณีก็สวยแท่นที่ข้างสะโบกขรณีก็สวย ต้นไม้ข้างสระก็สวย และเดินเข้าไปใกล้ ๆ รั้วรอบขอบชิดก็สวยสดงดงาม เป็นเพชรแพรวพราวไปหมด เมื่อเดินเข้าไปใกล้จริง ๆ ปรากฏว่า ท่านเจ้าของมายืนอยู่ข้างประตูรั้ว ยิ้มแล้วก็ยกมือโบกให้เข้าไป เมื่อทั้ง ๔ ท่านเข้าไป ท่านอินทกะทั้งสอง ก็ทำความเคารพท่านเจ้าของวิมาน

น้อย กับจุไรก็ทำความเคารพท่านเจ้าของวิมาน ท่านเจ้าของวิมานท่านบอกว่า ฉันคอยเธอมาพักใหญ่แล้วนะ ตั้งแต่เธอเริ่มจะขึ้นมา ทั้ง ๒ คนปรารภกันอยากจะพบเทวดาที่ทำบุญไม่ต้องลงทุนแม้แต่ข้าว ๑ ทัพพี ก็ไม่ได้ให้ กำลังใจก็ไม่ได้นอบน้อม มือก็ไม่ได้ยกมือไหว้ เทศน์ก็ไม่ได้ฟัง เพียงตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียว มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกได้ เธอคิดอย่างนั้น คิดว่า คนที่จน ๆ ที่ไม่มีโอกาสจะถวายทาน

คือ ใส่บาตรนั้นมีอยู่ คนไม่มีสตางค์จะซื้อธูปมาจุดก็มีอยู่ คนที่ไม่มีเวลาจะบูชาสมเด็จพระบรมครูด้วยธูปเทียนดอกไม้ก็มีอยู่ ทั้งนี้เพราะว่า ในสมาคมนั้นเขาไม่นิยม เขาไม่เคารพนับถือ ถ้าจะยกมือไหว้ น้อมใจนึกถึง แล้วกล่าววาจาสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ สมาคมเขาก็จะว่าเอา อันนี้เป็นเหตุจนใจ ทำอะไรไม่ได้ ก็นึกเฉพาะในใจ นึกมีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตร อย่างนี้ก็สามารถจะมาได้

จุไรฟังท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรพูดยาว พอเข้าไปครึ่งตอน เธอก็ยกมือไหว้ แล้วก็กราบ กล่าววาจาขัดตอนว่า ท่านเทวลุง เจ้าคะ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรสะดุ้งเฮือก ถามว่า หนูจุไร เรียกลุงว่าอย่างไร จุไรก็แปลกใจ ถามว่าท่านเทวลุง เจ้าคะ รู้จักชื่อหนูหรือ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็บอกว่า มนุษย์ทุกคนในจักรวาลที่ลุงไม่รู้จักชื่อนั้น ไม่มี เพราะว่ามีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ แต่ที่เรียกนำหน้าศัพท์เมื่อกี้นี้ลุงตกใจหลานรัก

เมื่อกี้หลานเรียกว่าอย่างไร จุไรก็บอกว่า เรียกว่า เทวลุง เจ้าค่ะ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็ถามว่า ทำไมจึงเรียกว่า เทวลุง จุไรก็บอกว่า ถ้ามนุษย์ธรรมดาก็เรียกว่าคุณลุง แต่ว่า นี่ลุงเป็นเทวดา ต้องเรียกว่า เทวลุง ท่านมัฏฐกุณฑลียิ้ม แล้วก็บอกว่า ทีหลังไม่ต้องนะหลานนะ เรียกลุงเฉย ๆ เป็นใช้ได้ ถ้าขืนเรียกว่า เทวลุง ลุงจะกินข้าวไม่ไหว จะกลืนข้าวไม่ลง จุไรก็ถามว่า เมืองเทวดา เขากินข้าวด้วยหรือเจ้าคะ

ท่านเทวลุงก็บอกว่า เป็นการเปรียบเทียบ หลานรัก ถ้าเรียก เทวลุงหรือคุณลุง หรือท่านลุงก็ตามจะเป็นคนห่างกัน ขอให้เรียก ลุง เฉย ๆ ก็แล้วกันนะ เพราะว่า จุไรก็ดี น้อยก็ดี ลุงเคยรู้จักมาตั้งแต่สมัยอดีตในบางชาติ เราเคยเกิดอยู่ร่วมกัน ใกล้กัน คำว่า ร่วมกัน ไม่ได้ หมายความถึง เป็นสามีภรรยากัน คือ อยู่ข้างเคียงกันบ้าง อยู่บ้านเดียวกันบ้าง เป็นเพื่อนกันบ้าง เป็นพวกพ้องกันบ้าง ทีนี้เรารู้จักกันมาก่อน ถือว่า เราเป็นกันเอง

จุไรก็ปลื้มใจ ก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ หนูอยากจะทราบประวัติความเป็นมาของคุณลุงว่า คุณลุงจริง ๆ วันนี้อยากจะให้ท่านลุงอินทกะทั้งสอง คือ ท่านปู่สั่งมาให้พบเทวดาที่มาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกได้ โดยไม่ต้องลงทุน แม้แต่ข้าว ๑ ทัพพี ก็ไม่เคยใส่บาตร มือ ก็ไม่เคยยกมือไหว้ เทศน์ก็ไม่เคยฟัง และอยากจะทราบว่า คุณลุงมาได้อย่างไรเจ้าคะ

ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ก็บอกว่า อยากจะฟังหรือหลาน อยากฟัง ลุงจะเล่าให้ฟัง ความเป็นจริงเป็นอย่างนี้นะ ลุงจริง ๆ สมัยเป็นมนุษย์ เวลานั้นก็เป็นสมัยที่พระพุทธเจ้ายังพระชนม์อยู่ ในขณะนั้นสมเด็จพระบรมครูเสด็จเทศน์โปรดพุทธบริษัท ก็ใกล้ ๆ กับบ้านลุง มาที่เมืองนั้นทีไร ก็มาพักไม่ไกลกับบ้านลุง แล้วก็เดินบิณฑบาต ก็ผ่านบ้านลุง แต่ก็หลาน จงเห็นใจลุงว่า ตระกูลของลุง เป็นตระกูลพราหมณ์

พราหมณ์นี้ถือตัวผิด มีความคิดว่า ตนเองมีสภาพจากพรหม ในเมื่อนึกว่า มีสภาพจากพรหม ก็เป็นคนสูงกว่าคน ตระกูลใด ๆ ก็ตาม นอกจากตระกูลกษัตริย์ จะเสมอตระกูลพราหมณ์ ไม่มี พราหมณ์ก็เลยไม่ยอมรับนับถือบุคคลใดทั้งหมด คือคิดว่า ตนใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อของลุง ท่านก็เป็นอาจารย์สอนวิชาของพราหมณ์ พราหมณ์ต่าง ๆ ในเขตนั้น ต้องเป็นลูกศิษย์ท่านทั้งหมด ในเมื่อสมเด็จพระบรมสุคตเสด็จไปที่นั่น

ท่านพ่อท่านก็ไม่เคารพ แล้วก็สอนให้ทุกคน ที่เป็นลูกศิษย์ก็ดี ลูกหลานก็ดี คนในบ้านก็ตาม ห้ามเคารพพระสมณโคดม โดยต่างคนต่างมีการเหยียดหยามว่า พระสมณโคดมนี้ ไม่มีความรู้ การประกาศตนบรรลุ อภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ของพระสมณโคดม ก็เป็นโมฆะ คำว่า โมฆะ นี่แปลว่า เหลวไหล นี่ลุงแปลนะ คนอื่นเขาจะแปลว่า เปล่า ๆ หรือไร้ประโยชน์ก็ช่างเถิด ลุงขอใช้ศัพท์ธรรมดาว่า เหลวไหลไร้ประโยชน์ ไม่เป็นความจริง ความจริง พระสมณโคดมหนีออกจากบ้าน หนีไป หรือใครเขาไล่ไปก็ไม่ทราบ นี่พ่อของลุงบอกอย่างนี้

แล้วก็ไปพักอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ในเมื่ออยู่ที่โคนต้นโพธิ์แล้ว ต่อมาก็ประกาศตนเองว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศน์โปรดสอนพุทธบริษัท บรรดาพราหมณ์ทั้งหมด เหยียดหยามพระสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้าของเรา เวลานี้ลุงเคารพพระพุทธเจ้านะ นี่ลุงเล่าประวัติความเป็นมา ในเมื่อคนในตระกูลก็ดี ในพรรคพวกทั้งหลายก็ดี เขาไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า และก็ยังแนะนำให้ลุงเอง ไม่เคารพในพระพุทธเจ้าด้วย

ห้ามยกมือไหว้ ห้ามใส่บาตร ห้ามฟังเทศน์ ถ้าจะถามว่าเวลานั้น ลุงมีความรู้สึกอย่างไร ก็ในฐานะที่ลุงรับคำสอนมาจากพ่อหรือจากเพื่อนของพ่อ จากคณะของพราหมณ์ รับฟังมาตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ก็มีความเข้าใจว่า องค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้าไม่มีความรู้จริง สืบหาประวัติความเป็นมาก็ตาม ก็ปรากฏว่า ท่านออกจากบ้าน จากวัง ไปอยู่โคนต้นโพธิ์ ครูบาอาจารย์ก็ไม่มี แล้วจะเรียนกับใคร วิชาความรู้ต่าง ๆ นี่มันต้องเรียนกัน

แล้วท่านมัฏฐกุณฑลีก็หันมาบอกจุไรว่า หลานรัก ตอนนี้ลุงขอพูดยาวหน่อยนะ จุไรก็กราบลง บอกว่า เจ้าค่ะ พูดยาวก็ได้เจ้าค่ะ ก็เป็นอันว่า ในเมื่อทุกคนเขาไม่เคารพ ด้วยเหตุ ด้วยผลตามนั้น ลุงก็ไม่เคารพ มือก็ไม่เคยยกมือไหว้ แถมกำลังใจคิด เหยียดหยามท่านด้วย เวลานั้นนะ หลานรักนะ ไม่ใช่เวลานี้นะ แล้วต่อมาหลังจากนั้น ลุงน่ะเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ พ่อแม่เป็นตระกูลมหาเศรษฐี

ตามบาลี ท่านเรียกชื่อพ่อของลุงว่า อทินนกปุพพกพราหมณ์ แปลว่า พราหมณ์ผู้ไม่เคยให้อะไรใครในกาลก่อน นั่นหมายความว่า ขึ้นชื่อว่า ทานการกุศล ตระกูลของลุงนี่ไม่เคยให้ใครเลย ขี้เหนียวที่สุด ก็ขอพูดง่าย ๆ ว่า โง่ที่สุด จุไรยิ้ม แล้วยกมือไหว้ ถาม คุณลุงเจ้าคะ ไปว่าตระกูลว่าตระกูลทั้งตระกูลโง่ นี่ คุณลุงไม่ว่าคุณพ่อของคุณลุงด้วยหรือเจ้าคะ ท่านมัฏฐกุณฑลีก็บอกว่า ลุงว่าทุกคน ที่เขาโง่ แต่คนไหนที่ไม่โง่ ลุงไม่ได้กล่าวถึง

จุไรก็ถามว่า คุณพ่อของลุง โง่หรือเปล่า เจ้าคะ
ท่านก็เลยบอกว่า เดิมทีเดียว พ่อของลุง โง่ แต่ตอนหลัง เมื่อลุงเป็นเทวดาแล้ว พ่อก็เลิกโง่ ฟังต่อไปนะหลานรัก หลังจากนั้น ลุงก็ป่วยไข้ไม่สบาย พ่อกับแม่ของลุง ขี้เหนียวที่สุด จะจ้างหมอมารักษาก็เกรงจะเสียสตางค์ จะซื้อยาเอง ก็เกรงราคาแพง ซื้อยาจากร้านหมอ ร้านตลาด

จึงไปถามหมอ บอกว่า โรคผิวเหลือง คือ ลุงเป็นโรค วัณโรค คือ โรคฝีในท้อง และก็มีโรคแทรก หมอเขาบอกว่ามีหลายโรค แต่ไปถามเขา เขาก็บอกยากลางบ้านมาให้ ในเมื่อพ่อของลุงรับฟังแล้ว ก็มาหายากลางบ้าน หาต้นยาต้มเอาเอง เป็นยาสมุนไพร มันก็ไม่ถูกกับโรค ทุกขเวทนาก็หนัก ในที่สุด ลุงก็ใกล้จะตาย ทุกขเวทนามาก ขณะนั้น นอนอยู่ในห้อง ในเรือนที่มีเครื่องประดับประดามาก พ่อก็มีความรู้สึกว่า

ลุงป่วยมากอย่างนี้ ดีไม่ดีญาติทั้งหลายเขารับทราบว่า ลุงป่วย ก็จะมาเยี่ยม ประเดี๋ยวคนที่มาเยี่ยมเห็นของที่มีราคาสูง ๆ สวย ๆ จะขอ ก็เกรงใจกัน จะต้องให้ ขี้เหนียวของทั้งหลายในห้องนอน เลยยกลุงมาวางไว้ที่เพิง ใกล้นอกชาน เพิงมันมีหลังคา แต่ไม่มีฝา ลุงก็คิดในใจว่า เวลานี้ พ่อก็ดี แม่ก็ดี ทรัพย์สินทั้งหลายก็ดี ไม่เป็นที่พึ่งของลุง แต่ว่า เขาลือกันว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ พระสมณโคดม ท่านเดินไป เดินมา บิณฑบาตผ่านหน้าบ้านอยู่เสมอ เขาบอกว่า ท่านใจดี มีความเมตตาปรานี

ไม่เลือกว่าใคร ลุงจึงคิดในใจว่า ในเมื่อ พ่อกับแม่ไม่เป็นที่พึ่ง ทรัพย์สินทั้งหลายไม่เป็นที่พึ่งแล้ว ก็นึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว หลานอย่าลืมนะว่า เวลานั้นลุงนึกแต่เพียงว่า ขอให้ท่านมาเป็นหมอรักษาลุง ความดีท่านมีอยู่เพียงไร ให้ตั้งใจมารักษาลุงให้หายจากโรค ลุงไม่ได้มีศรัทธาด้านธรรมะ ธัมโม หรือ ธรรมวินัย อาศัยที่กำลังใจนึกถึงท่าน วันนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์ กับพระอานนท์

เดินผ่านหน้าบ้านเวลาบิณฑบาต สมเด็จพระบรมโลกนารถก็ฉาย ฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ เป็นแสงสว่างกระทบนัยน์ตาของลุง ลุงยกมือก็ไม่ไหว ขยับกายก็ไม่ได้ มันป่วยมากแล้ว ใกล้จะตาย ก็นึกว่า แสงสว่างนี้ ไม่ใช่แสงสว่างของใคร เป็นแสงขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ช่วยเราให้หายจากโรค อารมณ์ก็มีความปลื้มใจ มีปีติเกิดขึ้น มีความอิ่มใจเกิดขึ้น นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ก็พอดีตายเวลานั้น

แต่ก่อนจะตาย หลานรัก ลุงเห็นเทวดา เห็นนางฟ้าในอากาศเต็มไปหมด สวยสดงดงาม ต่างคน ต่างก็เชิญว่าไปอยู่กับฉันซิเจ้าคะ ไปอยู่กับผมซิขอรับ ผมอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ลุงก็ดีใจ ตามเขามา พอตามเขามาแล้ว ก็ปรากฏมีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ คน เป็นบริวาร คอยอยู่แล้ว หลังจากนั้น ลุงเองก็มีเครื่องประดับประดาเป็นทิพย์ แต่ว่ามันเกลี้ยงทั้งหมด

หลานรักวิมานก็เป็นทองคำเกลี้ยง ไม่มีเครื่องประดับ ไม่มีแวววาวเป็นระยับ เครื่องแต่งกายก็เป็นทองคำล้วน ไม่มีแก้วประดับต่างหู ก็มีต่างหูเกลี้ยง
จุไรฟังแล้วก็แปลกใจ ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ ที่คุณลุงพูด ตอนต้นอาจจะตรงตามความเป็นจริง แต่ว่าตอนหลังนี้ หนูสงสัยเจ้าค่ะ คุณลุงบอกว่า วิมานทองคำเกลี้ยง แล้วเครื่องประดับก็เป็นทองคำเกลี้ยง ต่างหูก็เกลี้ยง

แต่เวลานี้หนูเห็นแล้วว่า วิมานแพรวพราวเป็นระยับด้วยแก้ว สวยสดงดงามมาก สว่างไสวมาก แล้วเครื่องแต่งกายที่เป็นทองคำ ก็เป็นพื้นมีแก้วประดับภายนอก ต่างหูก็มีเพชรประดับ มีแก้วประดับ แล้วคุณลุงทำไมถึง เรียกว่าเกลี้ยง เจ้าคะ หรือว่า เกลี้ยง ไม่มีสนิม
ท่านลุงมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็ยิ้ม ว่า หลานรัก ที่ลุงพูดตามนั้นน่ะ ลุงพูดตามกำหนดกาลเวลาที่ลุงขึ้นมาใหม่ ๆ เวลาที่ลุงขึ้นมาใหม่ ๆ ก็ไม่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระจอมไตร

คือ พระพุทธเจ้าจริง แต่ว่าได้มีกำลังใจนึกถึงท่านขอให้ท่านช่วย ท่านก็ช่วย ท่านช่วยให้ลุงพ้นจากความตาย คือ คำว่า ตาย ในความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องตายกันอีก เวลานี้ลุงเป็นเทวดาแล้ว ลุงก็ไม่กลับไปเป็นมนุษย์ให้ตายอีก จุไรก็สงสัยว่า ลุง ทำบุญนิดเดียว จะไม่กลับเป็นมนุษย์อีกหรือ ลุงก็บอกว่า บุญสมัยนั้นมันน้อย หลานรัก ลุงจะทำให้ดูนะว่า ที่ลุงเกิดขึ้นมาใหม่ ๆ บนวิมานนี้มีอะไรบ้าง

พอท่านพูดจบปรากฏว่า แก้วแพรวพราวเป็นระยับหายไปหมด ต้นไม้ที่เป็นเพชรก็ไม่มี สระโบกขรณีก็ไม่ปรากฏ รั้วรอบขอบชิดวิมานก็ไม่มี เครื่องประดับประดาทั้งหลายในร่างกายก็มีแต่ทองคำล้วน เป็นอันว่า วิมาน ก็เป็นวิมานอยู่โดดเดี่ยว คล้าย ๆ กับวิมานกลางทุ่ง ไม่มีรั้วรอบขอบชิด แต่ว่ามีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร นางฟ้าเวลานั้น รูปร่างหน้าตาสวย แต่เครื่องประดับก็ไม่สวย มีผ้าเรียบ ๆ สีเขียว ๆ อ่อน ๆ

ท่านลุงก็บอกว่า หลานรัก เมื่อลุงขึ้นมาใหม่ ๆ สมบัติมีแค่นี้นะ ต่างหูของลุงก็เกลี้ยงไม่มีเพชรเป็นเครื่องประดับ เขาจึงเรียกว่า มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เป็นเทพบุตรที่มีต่างหูเกลี้ยง
แล้วจุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ลุงเอาเครื่องประดับที่เป็นแก้วมาจากไหน เจ้าคะ ต้องลงทุนหรือเปล่า

ท่านลุงมัฏฐกุณฑลีก็บอกว่า ลุงไม่เคยลงทุนมาในกาลก่อน การมาสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ลุงไม่เคยลงทุนเลย แม้แต่เงินสักบาทหนึ่ง ข้าวสักเม็ดหนึ่ง ก็ไม่เคยถวายพระพุทธเจ้า มือก็ไม่ได้ยกมือไหว้ เทศน์ก็ไม่เคยฟัง เป็นแต่แค่เพียงนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มารักษาโรคเท่านั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ปรากฏว่า ลุงมาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ โดยไม่ต้องลงทุน

การที่จะมีเครื่องประดับแพรวพราว มีรั้วรอบขอบชิดเป็นเพชรทั้งหมด รั้วก็เป็นเพชรประดับ มีพื้นเป็นทองคำ มีสระโบกขรณี มีต้นไม้แก้วแพรวพราว มีแท่นแก้ว แล้วก็มีวิมานแพรวพราวเป็นระยับ เมื่อท่านลุงพูด อาการทั้งหมดก็เกิดขึ้น ก็มีทุกสิ่งทุกอย่างในเขตวิมานนี้ เป็นเครื่องเพลิดเพลินเจริญใจ ที่มีขึ้นมาได้ เพราะอาศัย ตอนหลัง ลุงมีความเคารพในพระพุทธเจ้า จุไรก็ถามว่า ลุงเคารพเมื่อไรเจ้าคะ

ท่านลุงก็บอกว่า เคารพเมื่อสมัยที่ลุงเป็นเทวดาแล้ว จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น เรื่องราวความเป็นมาเป็นอย่างไร ขอลุงบอกให้ทราบด้วย ท่านลุงก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้น หลานตั้งใจฟังนะ ลุงจะพูดให้ฟัง เรื่องมันยาวนิดหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อลุงมาเป็นเทวดาแล้ว ก็ตรวจดูสภาพความเป็นเทวดา ดูวิมานทองคำ เครื่องแต่งกายก็ทองคำ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทองคำล้วน มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวารสวยสดงดงามมาก

สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ ลุงยังไม่ได้แต่งงาน เป็นชายโสด แต่เวลานี้ลุงเป็นเทวดาเป็นเทวดาโสด ยังไม่ได้แต่งงาน
จุไรก็ถามว่า ท่านนางฟ้าตั้ง ๑,๐๐๐ คน ลุงจะแอบ ๆ แต่งงานได้ไหมเจ้าคะ
ท่านลุงฟังหลานสาวแล้วก็ยิ้มบอก หลานรัก ที่เมืองเทวดานี่เขามีระเบียบนะ แล้วเทวดาหรือนางฟ้าทุกองค์ไม่มีใครฝืนระเบียบ ระเบียบ ถ้าใครจะมาเป็นภรรยาต้องมาเกิดบนที่นอนของลุง แต่นี่ทุกคนเขาอยู่ก่อน เขาเกิดในเขตของวิมานไปยุ่งกับเขาไม่ได้ หลานรัก

จุไรก็ยิ้ม จุไรก็บอกว่า คุณลุงเจ้าคะ น่าสงสารเทวดานะสาว ๆ สวย ๆ มีตั้ง ๑,๐๐๐ คน แล้วเทวดาก็ยังนั่งหิวอยู่ ท่านลุงยิ้ม ก็ถามหลานว่า หิวอะไรหลาน หลานก็เลยบอกลุง หิวรัก เจ้าคะ ท่านลุงก็ยิ้ม บอก ไม่เป็นไร ลุงอดทนได้เป็นอันว่า ลุงเล่าให้ฟังต่อไปนะ หลังจากนั้น เมื่อลุงเช็คสมบัติดีแล้ว ขอใช้ศัพท์ว่า เช็ค คือ ตรวจ ตรวจดูว่า เห็นว่าทรัพย์สมบัตินี่มีแพรวพราวแบบนี้ มีทองคำ

มีบ้านสวย ๆ มีนางฟ้าสวย ๆ มีร่างกายเป็นทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่างมันดี ก็คิดในใจว่า สมบัติทั้งหลายเหล่านี้ เราได้มาจากอะไร ก็ทราบด้วยกำลังใจเป็นทิพย์ว่า ก่อนที่เราจะตาย เอากำลังใจนึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระพุทธเจ้านิดเดียว ขอให้มาช่วยรักษาให้หายจากโรค องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็เปล่งฉัพพรรณรังสีให้ปรากฏ เวลานั้นอารมณ์ชุ่มชื่น มีความปลื้มปีติเกิดขึ้น แล้วก็ตายเวลานั้น

ได้สมบัติอย่างนี้ จึงได้มองดูในพื้นปฐพี คือ ที่เมืองมนุษย์ เห็นว่าร่างกายของลุง ที่เป็นมนุษย์ มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ลุงไม่เคยนึกถึงมัน ไม่อยากได้มัน เห็นเขาฝังอยู่ที่หลุมฝัง ตามประเพณีของพราหมณ์ แล้วก็เห็นพ่อไปยืนร้องไห้บ่นเพ้อ ขอให้ลุงไปเกิดใหม่ ลุงก็คิดในใจว่า พ่อของลุงนี่เป็นคนโง่แสนโง่ ในฐานะที่ประกาศตนว่าเป็นครูของพราหมณ์ แต่ว่า พ่อของลุง โง่จริง ๆ เอาคนโง่ไปสอนคนนี่

ลูกศิษย์จะฉลาดได้อย่างไร ในเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเป็นสัพพัญญูวิสัย คือ เป็นพระพุทธเจ้า รู้ทุกอย่าง บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระองค์เอง พ่อก็ไม่ยอมเชื่อ กลับถือตัวว่า ตนเองดีกว่า และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกพราหมณ์มีความรู้สึกว่า ตนเองมาจากตระกูลของพรหม แต่ความจริงมันก็ไม่ใช่ เป็นลูกชาวบ้านธรรมดา ๆ เวลาเกิดมาก็ต้องกินนมแม่ ต้องให้คนเขาเช็ดผ้าขี้ สีผ้าเยี่ยวช่วยตัวเองก็ไม่ได้

ทุกอย่างเหมือนกับคนธรรมดา แต่เพ้อฝันไปว่า ตนเองมาจากพรหม นี่เป็นการเพ้อฝัน เข้าใจผิด เป็นความโง่หนัก แล้วเวลานี้เวลาที่ลุงป่วยไข้ไม่สบาย จะรักษาโรค ก็ไม่ยอมหาหมอ กลัวเสียเงิน จะซื้อยาก็กลัวแพง จึงจัดหายาเอง มารักษา เป็นอันว่า ขี้เหนียวทุกอย่าง แต่ว่าเวลานี้พ่อของลุง กำลังไปยืนอยู่ที่ปากหลุม ร้องไห้ ต้องการให้ลุงไปเกิดใหม่ ต้องการเป็นลูกตามเดิม ลุงก็คิดว่า เวลานี้

คุณควรจะสนองคุณบิดามารดา ผู้มีพระคุณใหญ่ ให้ท่านมีความเข้าใจในองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า พระพุทธเจ้ามีพระคุณสูง ควรจะทำบุญด้วย และช่วยให้ท่านได้ฟังเทศน์ ได้ใส่บาตร มีความเคารพในพระพุทธศาสนา จึงแปลงกายกายาของลุงเอง เป็นรูปร่างเดิม ลงไปที่นั้น เอาละหลานรัก เวลานี้ลุงก็เมื่อยขานะ ขอพักสักประเดี๋ยว รอสักหน่อยก่อน เดี๋ยวคุยกันต่อไป

เอาละบรรดาลูกหลานที่รักทั้งหลาย เวลานี้ก็หมดเวลาแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 19/9/11 at 20:26 [ QUOTE ]


7
ไปเป็นเทวดาไม่ต้องลงทุน (ต่อ)

ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง โปรดรับฟังต่อไป หรืออ่านต่อไป ตอนนี้เป็นตอนที่ จุไร คุยกับท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร เป็นอันว่า มัฏฐกุณฑลีบอกกับหลานรักว่า คอยประเดี๋ยวนะ ลุงเมื่อย จะขอพักสักหน่อยหนึ่ง เวลานี้ก็พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะถามว่า เทวดามีเมื่อยหรือ ก็ขอตอบว่า เทวดาไม่เมื่อย แต่ในฐานะที่หมดเวลา ก็เลยเทวดาต้องเมื่อย ตอนนี้เมื่อมีเวลาแล้ว ก็คุยกันต่อไป

ท่านมัฏฐกุณฑลีก็บอกว่า ต่อนี้ไป ลุงจะเล่าความเป็นมาให้ฟังแล้วก็จะทำภาพให้ปรากฏด้วย สำหรับภาพที่ลุงลงไปทรมานพ่อ คือ คำว่า ทรมาน ก็หมายความว่า การแนะนำ แนะนำให้ท่านมีความเข้าใจ ในการบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนา ก็ตามศัพท์ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า ทรมาน ต่อนี้ไป ขอดูภาพนั้น และลุงก็จะอยู่ตรงนี้ แต่จะแสดงภาพต่าง ๆ ให้ปรากฏ เหมือนกับที่สมัยที่สมัยที่ลุงแสดงกับท่านพ่อ

จุไร กับน้อยก็รับฟัง เป็นอันว่า ท่านมัฏฐกุณฑลีก็บอกว่า หลังจากที่ลุงตรวจทรัพย์สินสมบัติ ที่เป็นทิพยสมบัติเรียบร้อยแล้ว ก็ทราบว่า เรามีบุญเล็กน้อยที่นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงนิดเดียว ก็รวมความว่า ลุงไม่ได้ลงทุนในการทำบุญอะไร เอาแค่นึก มีทิพยสมบัติปานนี้ แต่พ่อของเราเป็นคนโง่ เมื่อสมัยที่เรามีชีวิตอยู่ จะหาหมอมารักษาโรคลุง ก็กลัวเสียเงิน

ครั้นจะซื้อยาจากร้านบ้านหมอ ก็กลัวจะแพง กลัวเสียสตางค์ จึงเก็บยาป่า คือ สมุนไพรมาต้มให้ มันก็ไม่ตรงกับโรค ลุงก็ตาย ในเวลานี้เขาเอาศพไปฝัง ขอหลานรักดูตามว่าบ้านของลุงอยู่ตรงโน้น เห็นไหม มีบ้านหลังหนึ่ง หลังใหญ่ มีอาคาร ๗ ชั้น และมีบ้านบริเวณล้อมรอบ หลายสิบหลัง มีข้าทาสหญิงชายนับเป็นร้อยคน รวยมาก แต่คนที่เดินเกลื่อนกล่นนั้น เป็นข้าทาสหญิงชายทั้งนั้น แต่ลูกของบ้านนั้น

ก็มีลุงคนเดียว มีพ่อ กับแม่ จริง ๆ แล้ว บ้านนั้นมีแค่ ๓ คน แต่เวลานี้ เหลือ ๒ คน ที่หลานรักเห็นมาก ๆ นั่นคือ ข้าทาสหญิงชาย คำว่า ทาส ไม่ใช่ ลูกจ้าง ใช้หักค่าดอกเบี้ย ขัดดอกเบี้ย คือ ไม่ขึ้นดอกกับบรรดาพ่อแม่ ที่เป็นพ่อแม่ของทาส ต้องหาต้นมาใช้ แต่ความจริง เขาบอกว่า พราหมณ์ มาจากพรหมนี่ไม่จริง ตามธรรมดา คนที่มาจากพรหม ต้องมี พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา ความรัก กรุณา ความสงสาร

มุทิตา มีจิตอ่อนโยน ไม่อิจฉาริษยาใคร ใครได้ดี พลอยยินดีด้วย อุเบกขา วางเฉย แต่ในเมื่อเอาคนมาเป็นทาส นี่ขาดความเมตตา ขาดกรุณา คือ ขาดความรัก ความสงสาร ขาดอุเบกขา เมื่อสรุปแล้ว พราหมณ์ ก็ไม่ใช่เชื้อสายของพรหม นี่ลุงอธิบายให้ฟัง และทางด้านทิศใต้ของบ้าน จุดโน้น เป็นป่าทึบ ที่นั่นเป็นที่ฝังศพพราหมณ์แล้วเขาก็เอาร่างกายของลุงไปฝังที่ตรงนั้น ดูภาพเห็นไหม หลานรัก เขาแห่ไปแห่แหนกันไปมาก

ลูกของอาจารย์ตายนี่ ก็แห่ศพไป แต่เขาจะแห่ไปอย่างไร ลุงเองก็อยู่บนวิมานนี้แล้ว ไม่ได้สนใจกับการแห่ของเขา
ดังนั้น จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เวลาที่คนตาย เขาจัดการศพต่าง ๆ นี่ คนตายเขาไม่สนใจศพใช่ไหม

ท่านลุงก็ตอบว่า บางคนก็สนใจ บางคนก็ไม่สนใจ แต่โดยส่วนใหญ่ท่านที่มาเป็นเทวดาแล้วไม่สนใจ เพราะมีความสุข ทราบแต่เพียงว่า เขาแห่ศพไปฝัง ไอ้ร่างกายที่เราไม่ต้องการแล้ว จะทิ้งที่ไหนก็ได้ ตามใจชอบ เวลานี้เป็นเทวดาแล้ว เวลานี้เป็นนางฟ้าแล้ว ก็เป็นอันว่า ท่านลุงก็เล่าต่อไป หลังจากนั้น ท่านพ่อของลุง ก็ยืนที่ปากหลุมศพ ร้องไห้บนบานศาลกล่าว ให้ลุงไปเกิด

ลุงจึงได้เนรมิตกายของลุงเหมือนกับรูปร่างเดิม ท่านก็ทำภาพให้เห็น ก็ไปยืนร้องไห้ใกล้ ๆ ฝ่ายท่านพราหมณ์ผู้เป็นพ่อเห็นว่า เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนลูกชายของตนสมัยก่อน ก็คิดว่า ถ้าได้เด็กหนุ่มคนนี้ไปไว้เป็นลูก แทนลูกที่ตาย ก็จะดีมาก จึงเข้ามาใกล้ แล้วก็ถามว่า ท่านผู้เจริญ หรือลูกรัก หรือหลานรัก ผู้เจริญ อยากจะถามว่า เธอร้องไห้ทำไม ชายหนุ่มคนนั้นก็ถามว่า คุณลุงร้องไห้เพื่ออะไร

ลุงก็ตอบว่า เวลานี้ ลูกชายของลุงตาย รูปร่างหน้าตาคล้าย ๆ กับเธอ ลุงอยากจะให้เขากลับมาเกิดใหม่ เพราะลุงมีลูกชายคนเดียว แต่ถ้าบังเอิญเขาไม่เกิด หลานมาเป็นลูกของลุงได้ จะดีมาก ลุงน่ะเป็นมหาเศรษฐีนะ มีทรัพย์ไม่เกินกว่า ๘๐ โกฏิ มีข้าทาสหญิงชายหลายร้อยคน มีความสุขมาก ท่านก็บอกกับ จุไรว่า ฟังถ้อยคำอันนี้นะ เห็นภาพแล้ว ภาพพูดกัน นั่นเป็นความจริงเหมือนเดิมทุกอย่าง ท่านบอกว่า

ท่านก็มีความรู้สึกว่า สมัยที่ท่านเป็นลูก แม้แต่เงินจะหาหมอมารักษาก็เสียดาย จะซื้อยาก็เสียดาย เวลานี้ไปชวนคนอื่นเขามาเป็นลูกแล้วท่านลุงก็ถามว่า หลานรัก ร้องไห้ทำไม ลุงต้องการพบลูก หลานต้องการอะไร ถ้าสิ่งนั้นถ้าไม่เกินวิสัยของลุง ลุงจะหาให้ ท่านมัฏฐกุณฑลีท่านก็บอกว่า ท่านก็ชี้ให้ดูพระอาทิตย์แล้วก็ชี้ให้ดูพระจันทร์ที่ยังค้างโลก มีพระจันทร์ บอกว่า ผมมีรถทองคำอยู่คันหนึ่ง

สวยสดงดงามมาก แต่ยังไม่มีล้อ อยากจะได้ล้อรถ ยังหาไม่ได้ ท่านลุงก็คิดในใจว่า เราเป็นมหาเศรษฐี ถ้าได้ชายคนนี้ไว้เป็นลูก เราจะมีความสุขใจมาก แทนลูกของเรา จึงบอกว่า ลูกต้องการอะไร บอกลุงมา จะต้องการล้อทองคำ หรือว่าต้องการล้อแก้วมณีก็บอกมา จะให้ทุกอย่างตามใจชอบ ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่า ขอให้หลานเป็นลูกของลุงก็แล้วกัน ทรัพย์สมบัติทั้งหมด จะมอบให้ทั้งหมด เพราะลุงไม่มีลูกแล้ว

ท่านมัฏฐกุณฑลีท่านก็คิดว่า เราเป็นคน ท่านเสียดายแม้แต่ค่าหมอ ค่ายา แต่นี่คนอื่นแปลกหน้าเข้ามา ก็จะให้ทุกอย่าง แม้แต่แก้วมณีหรือทองคำ เป็นล้อรถ อยากจะทรมานพ่อ จึงชี้ให้ดูพระอาทิตย์ และชี้ให้ดูพระจันทร์ บอกว่า ทองคำก็ดี แก้วมณีก็ดี ขอรับ ค่าไม่ควรกับรถของผม รถของผมมันสวยงามเป็นพิเศษเป็นทองคำล้วน สวยงามมาก สิ่งที่คู่ควรเป็นล้อรถได้ มี ๒ อย่าง คือ พระอาทิตย์ กับ พระจันทร์

ถ้าได้พระอาทิตย์มาเป็นล้อข้างหนึ่ง ได้พระจันทร์มาเป็นล้อข้างหนึ่ง ถึงจะคู่ควรกับรถมาก ท่านพราหมณ์ฟังแล้วก็นึกในใจว่า ไอ้หนุ่มนี่มันดี หรือมันบ้า เรามีความเมตตาปรานีแต่มันก็คิดเลยเถิดไปอีก จึงถามว่า หลานรัก มีใครบ้างไหม ที่เขาต้องการพระจันทร์ และพระอาทิตย์มาเป็นล้อรถ เพราะคนที่ต้องการสิ่งที่เกินวิสัยอย่างนั้น เขาเรียกว่า เป็นคนโรคประสาท ถ้าใช้ภาษาไทย ๆ เขาเรียกว่า เป็นคนบ้า

ตามภาพที่มัฏฐกุณฑลีแสดง เห็นว่า ชายคนนั้นก็ยกมือไหว้ แล้วก็ถามว่า คุณลุงขอรับ เวลานี้คุณลุงต้องการให้ลูกชายมาเกิด คุณลุงทราบไหมว่า ลูกชายอยู่ที่ไหน ลุงก็ตอบว่า เขาตายไปแล้ว ลุงไม่ทราบ ชายคนนั้นก็บอกว่า คุณลุงขอรับ บุคคลที่ต้องการสิ่งที่มองเห็น กับคนที่ต้องการสิ่งที่มองไม่เห็น คนประเภทไหน บ้ามากกว่ากันครับ

ก็เป็นอันว่า ลุงก็ยอมจำนน พูดไม่ออก ผู้ใหญ่แพ้เด็ก ต่อมาก็ปรากฏว่าท่านมัฏฐกุณฑลี ท่านเองท่านก็แสดงภาพเวลานั้น ภาพเวลานั้น ท่านก็กลายจากความเป็นคน เป็นเทวดาก็บอกท่านพ่อ บอก พ่อขอรับ ผมนี่คือ มัฏฐกุณฑลีลูกชายของพ่อ เวลานี้ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร มีกายเป็นทิพย์ มีเครื่องประดับอันเป็นทิพย์

มีที่อยู่อันเป็นทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทิพย์หมด เพราะอาศัยบุญบารมีเล็กน้อย พ่อก็ถามว่า เจ้าบำเพ็ญกุศลอะไร หรือว่าบุญที่เป็นพราหมณ์ อานิสงส์ที่เป็นพราหมณ์ เป็นเหตุให้เจ้าได้เป็นเทวดามีวิมานอยู่ ท่านมัฏฐกุณฑลี ภาพนั้นก็บอกว่า การที่ผมเป็นเทวดาไม่ใช่สภาวะของความเป็นพราหมณ์ อานุภาพความเป็นพราหมณ์ยังเป็นเทวดาไม่ได้ มีสิทธิ์จะลงนรก แต่ว่าเท่าที่ผมได้มา

เพราะเวลาใกล้จะตาย นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตร คือ พระสมณโคดม ขอให้ท่านมาช่วยสงเคราะห์ให้หายจากการป่วย แต่ก็เป็นการบังเอิญ มันไม่หาย นึกถึงองค์สมเด็จพระจอมไตรเฉย ๆ ตายเวลานั้น ก็เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ฉะนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอพ่อจงละมิจฉาทิฐิ คือ ความเห็นผิด ที่มีความรู้สึกว่า พราหมณ์ดีน่ะเลิกกันเสีย

ขึ้นชื่อว่า ความดี ไม่ใช่อยู่ที่คำว่าพราหมณ์ ความดีอยู่ที่การกระทำ การกระทำความดี ชื่อว่า มีความดี เวลานี้คณะของเราทั้งหมด ความดีไม่พอ ถ้าตายจากความเป็นคน ไปเกิดบนสวรรค์ไม่ได้ ความดีที่จะมีได้ก็
๑. ยอมยกมือไหว้ พระสมณโคดม และสาวก ด้วยความเคารพจริง

๒. ถวายอาหารบิณฑบาต
๓ ฟังเทศน์ และปฏิบัติตามท่าน ขอให้เลิกล้มลัทธิพราหมณ์เสีย จะไปนรกกันหมด
เป็นอันว่า มัฏฐกุณฑลีแนะนำบิดาแล้วก็เหาะขึ้นอากาศกลับวิมาน ตามภาพนั้น ต่อไปท่านก็บอกให้จุไร กับน้อย ดูภาพต่อไป หลังจากที่ลุงแนะนำท่านพ่อแล้ว ท่านพ่อก็กลับบ้าน ไปบอกท่านแม่บอกว่า

ให้ช่วยกันทำอาหารมาก ๆ แกงมาก ๆ หุงข้าวมาก ๆ ทำขนมมาก ๆ วันนี้จะถวายภัตตาหารกับพระสมณโคดม และพระสาวก แล้วเราตั้งใจจะฟังเทศน์ แม่บ้านก็แปลกใจ แต่ต้องทำ เพราะไม่เคยเห็นตาพราหมณ์คนนี้แกให้อะไรใครมาก่อนเลย วันนี้บอกว่า ตั้งใจจะไปนิมนต์องค์สมเด็จพระชินวร พร้อมด้วยพระสาวกมาฉันเพลที่บ้าน แม่บ้านก็ทำ เวลานั้นข่าวเร็วมาก ที่ได้ยินข่าวว่า

พราหมณ์คนนี้จะไปนิมนต์พระพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหารที่บ้าน พร้อมด้วยสาวก คนที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าก็พากันประชุม เดินตามพราหมณ์ไป คิดว่า วันนี้เราจะดูลีลาของพระพุทธเจ้าทรมานพราหมณ์ ส่วนคนที่ไม่เคารพพระพุทธเจ้า คือ พวกพราหมณ์ ก็ตามไปเหมือนกัน คิดว่า วันนี้เราต้องการจะดู อทินกปุพพกพราหมณ์ ย่ำยีพระสมณโคดม อารมณ์ของคน ๒ พวกไม่เสมอกัน

เมื่อภาพของพราหมณ์นั้น คือ พ่อของลุง เดินไปนั่น เดินไปก็ตั้งใจจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตร ด้วยความเคารพ เพราะรู้แล้วว่า ลูกชายเป็นเทวดาได้ เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้า ไม่เคยยกมือไหว้ ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ แต่ว่าบรรดาคนทั้งหลายตามไป เมื่อไปถึงที่องค์สมเด็จพระจอมไตรประทับ พ่อของลุง ดูภาพนะจ๊ะ เดินเข้าไปแล้วก็ไม่นั่ง

ไม่แสดงความเคารพ ยืน แม้แต่มือก็ไม่ยกมือไหว้ ยังแข็งอยู่ ถามองค์สมเด็จพระจอมไตรว่า พระสมณโคดม คนที่ไม่เคยยกมือไหว้ท่าน คนที่ไม่เคยใส่บาตร คนที่ไม่เคยฟังเทศน์ ปฏิบัติตามเทศน์ของท่าน เพียงแค่นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียว ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์มีไหม

สมเด็จพระจอมไตรทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า พราหมณะ ดูกร พราหมณ์ คนที่ไม่เคยยกมือไหว้ตถาคต ไม่เคยใส่บาตร ไม่เคยฟังเทศน์ เพียงแค่นึกถึงชื่ออย่างเดียว ตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ ไม่ใช่นับร้อย นับพัน นับเป็นโกฏิ หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงโปรดเรียกลุงให้ไปพร้อมด้วยวิมาน อย่าลืมนะ

เวลานั้น ลุงมีรูปร่างแบบนี้นะ แต่งกายเกลี้ยง ไม่มีเพชรเป็นเครื่องประดับ มีเครื่องทิพย์ แต่ไม่มีแก้ว มีแต่ทองคำกับผ้า วิมานก็เป็นวิมานทองคำเกลี้ยง ๆ นางฟ้าก็สวย แต่ว่าเครื่องประดับไม่สวย เมื่อลุงได้ทราบว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการพบ ลุงก็ไปพร้อมด้วยวิมาน ลอยไปในอากาศ ดูภาพซิหลานรัก เห็นไหม องค์นั้น คือ พระพุทธเจ้า งามสง่า มีฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ สวยสดงดงามมาก

ด้านหลังของพระองค์เป็น พระอรหันต์ล้วนประมาณ ๕๐๐ องค์ ด้านหน้าขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ก็มี พ่อของลุง กับบรรดาประชาชนทั้ง ๒ พวก ยืนอยู่ ในเมื่อวิมานของลุงเข้าไปใกล้สำนักองค์สมเด็จพระบรมครู ลุงจึงได้ลงจากวิมานแล้วไปกราบองค์สมเด็จพระพิชิตมารที่พระบาท คือ ที่เท้าของพระองค์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์โปรด เทศน์ในเรื่อง มรณานุสสติ คือว่า ไม่ลืมความตาย การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่ลืมพระไตรสรณาคมน์ ไม่ลืมศีล ๕ กรรมบถ ๑๐ เป็นต้น

เมื่อลุงฟังจบ ลุงก็เป็น พระโสดาบัน พร้อมด้วยคนทั้งหลายเหล่านั้น มีพ่อของลุงด้วย ก็เป็นพระโสดาบันเหมือนกัน องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงสงเคราะห์เป็นพิเศษ หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็พาบรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายไปฉันภัตตาหารที่บ้าน แล้วลุงก็กราบองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ขอลากลับวิมาน เมื่อลุงเป็นพระโสดาบันแล้วหลานรัก การที่ลุงเป็นเทวดา ก็เป็นเทวดาประเภทไม่ลงทุน

นั่นคือ หมายความว่า นึกอย่างเดียว ให้ ไม่เคยให้ ข้าวเม็ดเดียวไม่เคยถวายพระพุทธเจ้า ไม่เคยถวายพระสงฆ์ ทานหน่อยเดียว ก็ไม่เคยให้ ศีลก็ไม่เคยรักษา ภาวนาก็ไม่เคยทำ แต่ว่านึกถึงพระพุทธเจ้าหน่อยเดียว ก่อนจะตาย พอตายแล้วก็เกิดเป็นเทวดามีวิมานทองคำเกลี้ยง มีต่างหูเกลี้ยง มีเครื่องประดับเกลี้ยง ๆ ทั้งหมด นางฟ้ารูปร่างหน้าตาสวยเหมือนแบบนี้ แต่ว่าเครื่องประดับไม่มี ผ้าผ่อนท่อนสไบก็เกลี้ยงหมด

แต่ว่าตอนหลัง เมื่อลุงเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็ปรากฏว่า วิมานเปลี่ยนทันที จากวิมานขนาดย่อม เป็นวิมานขนาดใหญ่ ตามที่หลานเห็นนี้ ส่วนใดที่เป็นทองคำที่เห็นเกลี้ยง ๆ เมื่อกี้นี้ ก็เป็นเพชรแพรวพราว ตามที่เห็นเวลานี้ เวลานี้เป็นแก้ว เป็นระยับแพรวพราวคล้าย ๆ กับมณฑปหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร ของของปู่เอ็งที่ทำ ที่เมืองมนุษย์ ที่วัดท่าซุง จุไรมองแล้วก็คล้ายจริง ๆ โปร่ง สวยสดงดงาม

แก้วแพรวพราวเป็นระยับ แล้วก็มีรั้วรอบขอบชิด รั้วรอบขอบชิดก็เป็น ทองคำผสมแก้ว พื้นก็เป็น ทองคำผสมแก้ว มีสระโบกขรณี มีต้นไม้ มีแท่นแก้ว น้ำใสสะอาด สวยสดงดงาม สรุปแล้ว ท่านมัฏฐกุณฑลีก็บอกว่า ลุงเป็นคนไม่ลงทุน เมื่อเป็นเทวดา ก็เป็นเทวดาได้โดยไม่มีการลงทุน ไม่เสียของ ตอนเป็นพระโสดาบันนี้ ลุงก็ไม่ต้องลงทุนเหมือนกัน เพียงแค่ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบ

แต่ความจริงก็ไม่ได้ไปหาพระพุทธเจ้าเอง ไม่ได้ไปค้นคว้าหาท่าน ท่านเรียกไปเสียอีก ท่านมีความเมตตาปรานี เรียกไปแล้วก็เทศน์สอน พอเทศน์จบ ลุงก็เป็นพระโสดาบัน แล้วก็วิมานของลุงก็ดีเครื่องแต่งกายของลุงก็ดี ก็เปลี่ยนแปลงเป็นแพรวพราวเป็นระยับอย่างนี้ ไม่ต้องลงทุนเหมือนกัน จุไรฟังแล้วก็ยิ้มก็เลยถามว่า คุณลุงเจ้าคะ คุณลุงร่ายเวทย์มาเสียยาวนาน ถามว่า เหนื่อยไหม

คุณลุงก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่า เทวดานี่ไม่เหนื่อย จุไรก็บอกว่า ถ้าไม่เหนื่อยหนูจะถามต่อไปได้ไหมเจ้าคะ ท่านมัฏฐกุณฑลีก็บอกว่า พร้อม หลานมีอะไร ถามได้เลย จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เมื่อคุณลุงฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเป็นพระโสดาบันเวลานานจากนี้ไปกี่ปีเจ้าคะ ก่อนวันนี้กี่ปี คุณลุงก็บอกว่า ถ้านับเวลาในมนุษย์นะ ก่อนจากวันนี้ไป ๒,๕๐๐ ปีเศษ แล้วจุไรก็ถามว่า ถ้าเป็นวันเวลาของดาวดึงส์

คุณลุงก็บอกว่า ถ้าเป็นวันเวลาของดาวดึงส์ ดาวดึงส์นี่ ๑๐๐ ปีมนุษย์ เป็น ๑ วันของดาวดึงส์ เมื่อ ๒,๕๐๐ ปี ก็ได้แค่ ๒๕ วัน ยังไม่ถึงเดือน
จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงจะอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้นานเท่าไร
คุณลุงก็ตอบว่า ไม่แน่นอนนัก หลาน ถ้าลุงมีวาสนาบารมีดีกว่านี้ ถ้าตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้เมื่อไร ก็ไปนิพพานเมื่อนั้น

เอาเวลาแน่นอนไม่ได้ แต่ว่าเวลาของดาวดึงส์จริง ๆ เทวดาทุกองค์ มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ๑๐๐ ปี เป็น ๑ วันของเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ๓๐ วันเป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนเป็น ๑ ปี แล้วก็ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ ตามอายุของเทวดา จุไรก็ถามว่า อยากจะทราบว่า ขอประทานอภัยนะเจ้าคะ เวลานี้คุณลุงเป็นพระอริยเจ้าชั้นไหน ฟังเทศน์มา ๒,๕๐๐ ปีแล้ว เป็นพระโสดาบัน แล้วหลังจากนั้นคุณลุงฟังเทศน์จากใคร หรือเปล่า

คุณลุงก็บอกว่า หลังจากนั้นแล้ว คุณลุงก็ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าบ้าง จากพระอรหันต์บ้าง จากใครต่อใครมากมาย ฟังกันมาเรื่อย ๆ จุไรก็ถามว่า เฉพาะเวลานี้ ในช่วงระยะเวลาปัจจุบันนี้ คุณลุงฟังเทศน์อีกไหม คุณลุงก็บอกว่า เทวดาที่มีความไม่ประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่เป็นพระอริยเจ้า หรือเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ เขาฟังกันเรื่อย ๆ

จุไรก็ถามว่า การฟังเทศน์ของคุณลุงก็ดี เทวดาทั้งหลายก็ตาม สำหรับเทวดาทั้งหลาย หนูไม่สนใจ อยากจะทราบว่า การฟังเทศน์ของคุณลุงแล้วนำมาปฏิบัติบ้าง หรือเปล่า
คุณลุงก็บอกว่า เทวดาน่ะสบายกว่ามนุษย์ ปฏิบัติในธรรมะง่ายกว่าแล้วก็เห็นของจริงทุกอย่าง อย่างนรกนี่ เราต้องการอยากจะทราบว่า คนทำบาปอะไร ตกนรกขุมไหน เห็นได้ทันที หนูดูตามลุงซิ

พอท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ชี้ปั๊บ นั่นคือ นรก ภาพนรก ปรากฏชัด เห็นทั้งหมด แล้วจุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ ถ้าคุณลุงไม่ไปนิพพาน แล้วถ้าคุณลุงไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า คือ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป คุณลุงจะต้องมีโอกาสไปนรกไหม
ลุงก็ยิ้ม การยิ้มของลุงไม่ใช่สดชื่นนัก

ก็บอก ดูภาพซิหลาน ดูภาพก่อนที่ลุงจะตาย ชาตินี้ถึงแม้ไม่ได้ทำบาปมาก เป็นลูกมหาเศรษฐี แต่สิ่งที่มีความสำคัญของเด็กก็คือ บี้แมลงเล่น ตีแมลงเล่น แมลงบินมาก็ตีเล่น โทษของการตีแมลงหลานรัก ดูขุมนั้น เขาเขียนหนังสือไว้ชัดว่า นี่โทษแห่งการตีแมลงของมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ถ้าพ้นเทวดามาเมื่อไร ลงขุมนี้ทันที แล้วก็ประการที่ ๒ ดูอีกขุมหนึ่ง มีต้นไม้มาก ต้นไม้มาก แต่ต้นไม้มีหนาม

ที่เขาเรียกกันว่า ต้นงิ้ว สำหรับนรกขุมต้นงิ้วนี่ ลุงก็มีโอกาส ดูซิ หลานรัก ดูภาพสมัยเมื่อลุงยังเป็นมนุษย์ ในภาวะของความเป็นหนุ่ม ตั้งแต่หนุ่มเล็ก ๆ อายุ ๑๒–๑๓ ปี ก็เริ่มมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศ กับสตรีเพศ และต่อมาถึงความเป็นหนุ่ม ในฐานะที่เป็นลูกของมหาเศรษฐี หลานรัก อะไรก็ได้ตามใจชอบ หญิงสาวทั้งหลาย ที่เขานำมาให้ที่บ้านน่ะ มีเยอะ แต่ความพอ ของความต้องการของคนที่มีกิเลส มันไม่มี

ในเมื่อความพอไม่มี ก็ต้องการกันเรื่อย ๆ ไป เป็นอันว่า ลูกใครหลานใครก็ตาม ถ้าเป็นที่พอใจ ถึงแม้ว่าจะไม่หักล้าง ไม่ระราน ก็ตามที ไม่บังคับ แต่ว่าต่างคนก็ต่างชอบใจ นั่นหมายความว่า ไม่ได้รับอนุญาต จากบิดามารดาของเขา จากผู้ปกครอง เราก็ต้องมีโทษต้องไป สิมพลีนรก คือ ต้นงิ้ว และสิ่งนอกเหนือจากนี้มันก็ไม่มีหลานรัก เพราะเป็นลูกมหาเศรษฐี แต่ถอยหลังไปสัก ๒-๓ ชาติ

ก็มี ปาณาติบาต ต้องไปตกนรกขุมใหญ่ ไฟไหม้คึ่ก ๆ มีแหลนหลาวแทง นั่นเห็นไหม ขุมนั้นลุงต้องลง แล้วขุมนี้ลุงก็ต้องลง ก็ชี้ไป ชี้มาหมดทุกขุม ขอเล่าย่อ ๆ ก็รวมความว่า ในเมื่อเป็นเทวดานี่ เห็นแท้ เห็นจริงทุกอย่างว่า กฎของกรรมความชั่วที่เราทำไว้ ที่เรียกว่า บาป มันจะทำให้โทษในเมื่อเราพ้นจากความเป็นเทวดาไปแล้ว ฉะนั้น ลุงจึงมีความแน่วแน่ ในขณะที่ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เป็นพระโสดาบันแล้ว

ต่อไปก็เช็คร่างกายเสมอว่า บุญใดใดที่เราทำไว้ จากการฟังเทศน์ก็ดี จากการฟังเทศน์ก็ดี จากการปฏิบัติธรรมก็ตาม จะมีโอกาสลบล้าง หรือหนีบาปนั้นพ้นไหม เวลานี้ก็ทราบแล้ว การหนีบาป หนีพ้นแน่ เพราะผลของความเป็นพระโสดาบัน ก็มีการปฏิบัติไม่ยาก เทวดาไม่มีอะไร นึกถึงความตาย ลุงก็เห็น เพราะคนเขาตายให้เห็นกัน เห็นสภาพการจุติของคน เทวดาหรือนางฟ้าก็ตาม

ท่านก็จุติ คือ ตายเหมือนกัน ทำให้เห็น เราก็ไม่ประมาท คิดว่า เราตายแน่ การเคารพในพระไตรสรณาคมน์ มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ อันนี้ไม่ต้องเตือน เพราะลุงมาด้วยกำลังของพระพุทธเจ้าเอง แค่นึกนิดเดียวเป็นเทวดาได้ ฟังเทศน์จบเดียวเป็นพระโสดาบันได้ ลุงก็มีความเคารพแน่นอน ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ต่อไป ศีล ๕ ต้องบริสุทธิ์ หรือกรรมบถ ๑๐

ต้องบริสุทธิ์ มันก็เป็นของไม่ยาก เพราะเทวดาไม่มีอะไร ปาณาติบาต จะฆ่าสัตว์มากิน นี่ไม่จำเป็น เพราะไม่ต้องกิน อทินนาทาน จะขโมยของใคร ก็ไม่มีความจำเป็น เพราะนึกได้ตามใจชอบ ของทิพย์มีเยอะแยะพอแล้ว กาเมสุมิจฉาจาร ต้องไปแย่งลูกใคร เมียใคร ก็ไม่จำเป็น นางฟ้าเยอะแยะตั้ง พันสองพันคน มากมายเหลือแหล่ มุสาวาท ก็ไม่จำเป็นต้องโกหกใคร การดื่มสุราเมรัย ก็ไม่มี นี่การเป็นเทวดาดีอย่างนี้หลาน

ในเมื่อเห็นโทษแล้ว ก็มองถึงคุณ คือ ความดีในการเจริญ มรณานุสสติ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ และสีลานุสสติ เป็นของทำไม่ยาก เวลานี้หลานรัก ลุงขอบอกหลานว่า ลุงเบื่อหน่ายโลกเสียแล้ว คือ นิพพิทาญาณเกิดกับลุงมากมาย ความต้องการใดใดในอิสตรีเพศไม่มี ตั้งแต่ก่อนหน้าเวลานี้ หรือเวลานี้ หรือเวลาต่อไปก็ตาม ลุงเลิกความโกรธ โทษใดใดจากความโกรธก็ไม่มี

เอาละหลานรัก เวลานี้ก็เห็นจะหมดเวลาแล้ว นะหลานนะ กลับไปเมืองมนุษย์สักนิดหนึ่ง ประเดี๋ยวก็จะสว่างมาก ลุงก็ขอยุติเพียงแค่นี้นะ ขอความสุขสวัสดี จงมีแด่ลูก และหลานทุกคน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/9/11 at 20:20 [ QUOTE ]


8
จิญจมาณวิกา และข่าว


สำหรับตอนนี้ ก่อนที่ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง ได้อ่านและได้ฟังเรื่องราวของจิญจมาณวิกา ตอนนี้เป็นตอนของ จิญจมาณวิกา แต่ทว่า ขอท่านทั้งหลายได้โปรดทราบข่าว ซึ่งมีข่าวจากหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่มีชื่อว่า รายสัปดาห์ภาพยนตร์บันเทิงปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๖๗๒ วันพุธที่ ๑๓-๒๐ หน้า ๑๖ ตอนที่ลงข่าวว่าอย่างนี้

บรรดาสานุศิษย์ หรือพระสุธรรมยานเถร จะสะดุดใจบ้างไหมที่ ภัสสร บุญยเกียรติ ได้ชื่อว่าเป็น ลูกศิษย์ก้นกุฏิ ชนิดเข้าในออกนอกได้โดยแทบไม่ต้องนัดหมายเวลา นี่ตามข่าวเขาว่าอย่างนี้นะ ทั้งนี้ขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ภัสสร บุญยเกียรติ เธอไม่ได้เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ หรือว่าศิษย์ประจำเลย ถ้าจะว่าไป เป็นศิษย์หน้ากุฏิก็ยังใช้ไม่ได้

เพราะว่า ตามปกติ ก็ไม่ได้พบหน้าเธอเป็นปี ๆ และก็เธอไม่ได้ขออนุญาตให้พบตามความต้องการของเธอเป็นพิเศษ ข่าวที่ลงไปนั้นเห็นว่า คาดเคลื่อนจากความเป็นจริงทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ให้ข่าวหรือผู้ได้ข่าวมา อาจจะได้ข่าวมาจากสถานที่ผิดพลาดจากความเป็นจริงมาแล้ว ฉะนั้น จึงขอประกาศให้ทราบว่า ภัสสร บุญยเกียรติ ที่เธออ้างว่า เป็นศิษย์ก้นกุฏิ

หรือบางทีเธออาจจะไม่ได้พูด แต่อาจจะมีบางคนพูดแทนก็ได้ อันนี้ก็ทราบไม่ได้เหมือนกัน และก็สามารถเข้านอกออกในได้ โดยไม่ต้องนัดหมายเวลา ข้อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะภัสสร บุญยเกียรติ ไม่เคยอยู่ที่วัดท่าซุง และไม่เคยเป็นศิษย์ใกล้ชิด แม้จะเป็นศิษย์หน้ากุฏิคือ แบบที่ญาติโยมพุทธบริษัทมาก็ตาม เธอก็ไม่เคยปรากฏกาย

เพราะว่า บรรดาศิษย์หน้ากุฏิทั้งหลาย เมื่อมาตอนกลางวัน ก็พากันถวายสังฆทานบ้าง ฟังธรรมบ้าง เจริญกรรมฐานบ้าง กลางคืนก็อยู่เจริญกรรมฐาน อันนี้ศิษย์หน้ากุฏิ แต่ว่าภัสสร บุญยเกียรติ เธอไม่ได้ปฏิบัติตามนี้ จึงขอแจ้งให้ทุกท่านทราบว่าข่าวที่กล่าวมานั้น คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงขอทุกคนรับทราบตามนี้ด้วย ต่อนี้ไปก็มาคุยกันถึง เรื่องความเป็นมาของ จุไรกับป้าน้อย และท้าวมหาราชทั้งสอง

เป็นอันว่า จุไรเมื่อลาจากท่านเทวดามัฏฐกุณฑลีเทพบุตรแล้ว แทนที่จะกลับลงมาสู่ร่างกายเดิม ก็หันไปหาท่านปู่ใหม่ เข้าไปกราบท่านปู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ หลังจากนั้น ก็กราบถามท่านปู่ว่า ท่านปู่เจ้าคะ หนูอยากจะทราบว่า ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เวลานั้น สมเด็จพระบรมครูได้สัมผัสกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่มีสตรีบางคน บางคณะ บางเหล่า อ้างเหตุว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยได้เสียกับตน มีไหม เพราะว่า ในสมัยปัจจุบันนี้ ปรากฏว่า ข่าวประเภทนี้มีมากประเดี๋ยวก็ลือกันว่า พระองค์นั้นคบผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงคนนี้คบพระองค์นั้น ได้เสียติดต่อกันบ้าง อยู่ร่วมรักกันบ้าง อะไรอย่างนี้ เป็นต้น แต่ไป ๆ มา ๆ การสอบสวนจริง ๆ ก็ไม่มีผล เพราะ พระองค์นั้นไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น

ก็ไม่ทราบว่า ข่าวมีได้อย่างไร อย่างนี้ ท่านปู่เจ้าคะจะถือว่า เป็นกฎของกรรมอะไร กรรมของพระองค์นั้น หรือว่ากรรมของบุคคลผู้ให้ข่าว ท่านปู่ฟังหลานสาวแล้วก็ยิ้ม แล้วตอบว่า หลานรัก เรื่องนี้มีทุกสมัย ในสมัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็มี คืออย่าง พระสุนทรสมุทร ก็ถูกหญิงแพศยาประเล้าประโลม ให้เป็นสามีของเธอ เป็นอันว่า เขาแสดงตัว อย่าง พระอนุรุทธ ก็ถูกแม่หม้ายเกี้ยว

ต้องการให้เป็นผัวอย่างนั้น เขาเป็นตัวเป็นตนจริง ๆ คือว่า ท่านทั้งหลาย อย่างพระสุนทรสมุทร ท่านยังไม่ได้อรหันต์ ท่านพิจารณาคำของหญิงแพศยาแล้วก็สลดใจ ในที่สุด ก็เป็นอรหันต์เวลานั้นเหาะหนีไป สำหรับพระอนุรุทธ ท่านเป็นอรหันต์แล้ว เกี้ยวอย่างไรก็ไม่มีผล ทีนี้มาต่อเรื่ององค์สมเด็จพระทศพล คือ องค์พระพุทธเจ้าเอง พระพุทธเจ้าเมื่อทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว

สมเด็จพระประทีปแก้วก็มีลูกศิษย์ลูกหามาก การสอนของพระองค์ ไม่หักล้างใคร ใครเขาดี ก็ว่าดี ใครเขาว่าไม่ดี ก็เฉยไว้ มีขันติอดทน และมีอุเบกขา วางเฉย แต่ในฐานะที่องค์สมเด็จพระทศพลสอน มีผลจริง ๆ บรรดาพุทธบริษัททั้งชาย ทั้งหญิง ภิกษุ สามเณร ภิกษุณี บรรลุมรรคผลกันมาก ในเมื่อเขาเห็นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสอนได้ผลตามนั้น คนส่วนมากก็มีความเคารพในพระองค์ ตอนนี้ละหลานรัก

เป็นเหตุให้บรรดาพวกเดียรถีย์ทั้งหลาย ขาดลาภสักการะ ก็เกิดอารมณ์อิจฉาริษยาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำทุกอย่างให้พระพุทธเจ้าเสื่อมจากความดี และก็มาในตอนหนึ่งเขาก็จ้างสตรีคนหนึ่ง มีนามว่า จิญจมาณวิกา จิญจมาณวิกานี่ เป็นสาวกของบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลาย คำว่า สาวก คือ ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ของบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายเหล่านั้น เธอก็แนะนำพร้อมทั้งค่าจ้างว่า ตอนกลางคืนจงเข้าไปนอนในวัด

คำว่า วิหาร ก็คือ วัด ในขอบเขตวิหารพระสมณโคดม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปนอนกับพระสมณโคดม ไปนอนกับท่านไม่ได้แน่นี่ พระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม ไม่สามารถไปนอนกับท่านได้แน่ เพราะพระทุกองค์ที่บวชเข้ามาหวังมรรค หวังผล ให้ไปนอนในเขตวิหารของพระทศพลเฉย ๆ ตอนเช้าก็ออกมา เขตวิหาร ก็คือ เขตวัด มันกว้างขวางใหญ่โต พระวิหารเวลานั้นจุพระ ๕๐๐ องค์บ้าง ๑,๐๐๐ องค์บ้าง ๑๐,๐๐๐ องค์บ้าง

เขตท่านกว้างขวางมาก จะนอนที่ตรงไหนก็ได้ เธอก็ไปนอนอาจจะนอนกับโยมชี หรือคุณชีทั้งหลายอยู่ในนั้นบ้าง หรืออุบาสิกาก็ตามเถอะ ไปนอนแล้วพอตอนเช้าก็ออกมาจากเขตวัด ใครเขาถามเข้า เธอก็ประกาศว่า เมื่อคืนนี้ฉันไปนอนกับพระสมณโคดม เวลานี้พระสมณโคดมกับฉันน่ะ เป็นผัวเป็นเมียกัน ได้เสียเป็นผัวเป็นเมียกันมานานแล้ว เธอก็ทำอย่างนั้นเรื่อย ๆ

ถ้าหลานจะถามว่า องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว คือ พระพุทธเจ้าทรงทราบไหม ก็ต้องตอบว่า พระพุทธเจ้าทราบ แต่ที่ทรงนิ่งอยู่ก็เพราะว่าเหตุยังไม่ปรากฏ ยังไม่มีโจทก์มาร้อง ต่อมานาน ๆ เข้าบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาจะลือขนาดไหนก็ตาม เขาลือกันว่า สำหรับพวกของเดียรถีย์นะ บางทีก็บอกว่า พระสมณโคดมเป็นผัวของนางจิญจมาณวิกา นางจิญจมาณวิกาเข้าไปนอนในวิหารทุกคืน

แต่ความจริง หลานรักวิหารของพระพุทธเจ้า การจะเข้าถึงพระพุทธเจ้าเองเป็นของแสนยาก ก็เหมือนหลวงปู่ของเอ็งนั่นแหละ หลวงปู่ของเอ็งก็ตามทีเถอะ การเข้าหาน่ะแสนยาก เพราะเวลาที่ท่านพักอยู่ ต้องผ่านด่านถึง ๓ ชั้น ต้องผ่านด่านพระถึง ๓ ชั้น ถึงจะเข้าไปได้ เวลารับแขกของท่านจริง ๆ ก็มีเวลา บ่ายโมง แล้วเลิกบ่าย ๓ โมง นอกจากนั้นแล้ว ท่านไม่รับใครทั้งหมด แม้แต่ลูกศิษย์เองจะเข้าไปหา ก็แสนลำบาก

ต้องขออนุญาตกันก่อน ต้องใช้โทรศัพท์ภายในขออนุญาตเข้าไป จึงจะอนุมัติให้เห็นควรจะให้เข้า ก็ให้เข้า แต่ว่าตามปกติแล้ว เวลานอกจากเวลารับแขกก็ไม่มีพระองค์ใดเข้าไปหาท่าน นอกจากท่านจะเรียกก็เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระพุทธเจ้าหนักยิ่งกว่านี้ กว่าจะผ่านด่านไปถึงองค์สมเด็จพระชินสีห์ได้น่ะแสนยาก ฉะนั้น จิญจมาณวิกา จึงไม่มีโอกาสเข้าไปใกล้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่ว่าเขาก็พยายามออกข่าว เมื่อออกข่าวนานเท่าไรก็ตามทีก็ปรากฏว่าไม่มีผล บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกคนมีเหตุมีผล ในเมื่อเขามีเหตุมีผล เห็นว่าเขาเข้าไปใกล้สถานที่พระพุทธเจ้า เขาไม่เคยเห็นจิญจมาณวิกา ก็เป็นอันว่า เขาก็เชื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นจอมอรหันต์ เขาก็ยังบูชากันอยู่ ในเมื่อบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลายเห็นว่า สมเด็จพระบรมครูยังไม่เสื่อมจากการนับถือของคนทั้งหลาย

ก็ตั้งป้อมใหม่เอาให้หนัก จึงทำไม้กลึงกลม ๆ คล้าย ๆ กับท้อง แปะกับท้องแล้ว ท้องนูน ๆ เหมือนกับคนท้อง แล้วก็ทุบมือ ทุบเท้าของนางจิญจมาณวิกา ให้บวม ๆ ทำทีเหมือนว่า นางจิญจมาณวิกาท้องกับพระสมณโคดม คือ พระพุทธเจ้า ต่อมาในวันหนึ่ง ในเมื่อกิจการของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วปรับปรุงกันดีแล้ว มองดูแล้ว ตรวจดูแล้ว เอาไม้เข้าไปผูกข้างในท้องเอาผ้าคลุม นุ่งผ้าทับ เห็นว่าท้องนูน ๆ ดี

แล้วคล้าย ๆ กับคนท้องแก่ใกล้จะออก ผิวพรรณเนื้อหนังก็ตึง เต่งตั่ง เหมือนกับคนท้องแก่ วันนั้นปรากฏว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ นางจิญจมาณวิกาก็เข้าไปใกล้องค์สมเด็จพระบรมครู เพราะกำลังเทศน์ คนก็นั่งเงียบสงัด เขาเข้าไปใกล้ แต่ใกล้ไม่ชิดนัก เป็นแต่เพียงว่า ห่างกันประมาณสัก ๔-๕ วา เธอก็ร้องตะโกนว่า พระสมณโคดมจ๋า จะมานั่งหน้านวลเทศน์อยู่ทำไม เวลานี้ฉันมีท้องมีไส้

ใกล้จะออกแล้ว ทำไมถึงไม่ไปตัดฟืน ตัดตอง เพื่อเป็นการอยู่ไฟของฉัน ลูกมันจะออก ฉันจะอยู่ไฟ เธอกล่าวพอจบ บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มีความเคารพรักในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กำลังเทศน์อยู่ เขาฟังเทศน์อยู่ เห็นว่านางจิญจมาณวิกา โจมตีสมเด็จพระบรมครูแบบนั้น ก็ลุกขึ้นไล่ เอาดินขว้างบ้าง เอาไม้ขว้างบ้าง ถ้าจะถามว่า ทำไมสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรจึงเป็นอย่างนั้น

ก็ต้องตอบว่า สาวกขององค์สมเด็จพระภควันต์ไม่ใช่พระอรหันต์ทุกคน ยังเป็นปุถุชนก็มีมาก เห็นว่า คนที่มีการกลั่นแกล้งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค และกล่าววาจาจ้วงจาบอย่างนั้น เขาก็โมโห แต่ว่า ตอนก่อนที่บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นจะขว้าง จะตี จะไล่นางจิญจมาณวิกา เมื่อนางจิญจมาณวิกาบอกว่า พระสมณโคดม จะมานั่งหน้านวลเทศน์อยู่ทำไม เวลานี้ฉันท้อง ฉันไส้ ลูกในท้องก็เป็นลูกของท่าน

ทำไมไม่ช่วยกันตัดฟืน ตัดตอง เพื่อการอยู่ไฟ เมื่อกล่าวจบ คนขยับตัวขึ้นจะทำร้ายจิญจมาณวิกา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงห้ามไว้บอก ช้าก่อน แล้วองค์สมเด็จพระชินวรก็ตรัสว่า ภคินิ ดูกรน้องหญิง ถ้อยคำที่เธอพูดทั้งหมด ที่กล่าวมาแล้วนั้น เธอกับฉันสองคนเท่านั้นรู้กัน การพูดแบบนี้บรรดาท่านพุทธบริษัท อาจจะทำให้คนฟังงง คิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นสามีของจิญจมาณวิกาจริง ๆ

นี่แหละหลานรัก เวลานั้นบรรดาชาย และหญิงที่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าก็ลุกขึ้นจะทำร้ายอีกวาระหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงห้ามก่อน เมื่อองค์สมเด็จพระชินวร ทรงห้ามคนแล้ว เข้ายับยั้งอยู่ ก็ปู่นี่แหละ ปู่ขอเล่าให้ฟัง นี่ปู่เอง คำว่า ปู่ นี่หมายถึง พระอินทร์ ท่านบอกว่า จุไรหลานรัก เวลานั้นปู่ทนไม่ไหว เพื่อเป็นการรักษากำลังใจ และประกาศความจริงให้บรรดาพุทธบริษัทชายหญิงทราบ

ปู่จึงแปลงเป็นหนูตัวเล็ก ๆ คลานเข้าไปในร่มผ้าของจิญจมาณวิกา แล้วก็กัดสายเชือกที่ผูกที่เขาผูกกระดาน หรือผูกไม้ท่อน ที่ทำเป็นท้องให้หล่นลงมา เมื่อความจริงปรากฏ บรรดาสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคตทุกคนก็พากันไล่ขว้างนางจิญจมาณวิกา ขว้างด้วยไม้บ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยก้อนหินบ้าง เวลานั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่ห้าม นางจิญจมาณวิกาหลบภัย คือ ความตาย

เป็นอันว่า บาปของเธอน่ะ บาปใหญ่มาก วิ่งมาวิ่งไป ความหนักของบาปแผ่นดินทนไม่ไหว ในที่สุด นางจิญจมาณวิกาก็ลงอเวจีมหานรกทั้งเป็น นี่แหละหลาน สมัยองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ก็มีอย่างนี้เหมือนกัน อย่างหลวงปู่ของหลาน ที่มีคนกล่าวอ้างว่า เป็นศิษย์ก้นกุฏิน่ะมีเยอะ ไม่ใช่มีรายสองราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่กล่าวอ้างว่า เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ มักจะเป็นคนที่หลวงปู่ของเธอไม่รู้จัก

หรืออาจจะเห็นมาบ้าง การกล่าวว่า เป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิ อาจจะหวังผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ถือว่า ถ้าเป็นคนใกล้ชิดหลวงปู่ของเธอ เขาอาจจะมีประโยชน์ จากการบอกบุญบ้าง จากชื่อเสียงบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ก็รวมความว่า เรื่องราวที่ถามมา เรื่องนางจิญจมาณวิกานี่ก็หมดแค่นี้นะ แล้วหลานต้องการอะไร ตอนนี้จุไรฟังเงียบสงัด รู้สึกสลดใจว่า

แม้แต่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ก็ยังมีคนแอบอ้างว่า พระพุทธเจ้าเป็นผัวของเขา พระพุทธเจ้าทำให้เขาท้อง แล้วก็บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายในปัจจุบัน ทำไมจะไม่มีข่าวอย่างนี้ ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่า ข่าวมันก็ต้องเป็นข่าว เขาอาจจะหวังดี หรือหวังร้ายอย่างไรก็ได้ ต่อมาท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก เวลานี้นะ หลวงปู่ของหลานกำลังมีมรสุม คนที่มุ่งร้ายมีหลายกลุ่ม ต้องการทำลายให้เสื่อมเสีย

เพราะว่าเป็นคนที่มีลูกศิษย์ลูกหามาก เขาทำลายให้เสื่อมเสียเพื่อหวังประโยชน์อะไร เรื่องนี้ปู่ก็ไม่ทราบ หรืออาจจะทราบก็บอกไม่ได้ นี่ปู่ไม่ได้หมายความถึงว่า บุคคลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนะ นี่หมายถึงว่า มีคนอีกกลุ่มหนึ่ง ปู่จะเล่าให้ฟังว่า เมื่อ วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๓๒ วันนั้นปู่ของหลาน คำว่า ปู่ของหลาน คือ หลวงปู่ที่วัดท่าซุง ไปในภารกิจที่มีความสำคัญอย่างหนึ่ง ในสถานที่หนึ่ง สถานที่นั้นเป็นที่สำคัญ มีชื่อเสียงมาก เป็นดินแดนที่มีคนเคารพนับถือมาก

แต่ว่าพอเสร็จภารกิจแล้ว หลวงปู่ของหลานก็เดินทางกลับ กลับมาจวนจะถึงรถ อีกประมาณสัก ๙ วาหรือ ๑๐ วาเศษ ๆ ตอนนี้ก็มีบุคคลคนหนึ่ง เขาเห็นเข้า เขาก็ร้องตะโกนถามว่า เป็นราชพิเศษใช่ไหม หลวงปู่ของเธอท่านก็บอกว่า ท่านแปลกใจ คำว่า ราชพิเศษ ไม่ทราบว่าหมายความว่าอะไร คือว่า ถ้าเลื่อนเป็นชั้นราช เป็นพระราชาคณะชั้นราช แต่ก็ไม่ทราบว่า ทำไมจึงเรียกว่า พิเศษ เขาก็เดินเข้ามาหาใกล้ ๆ

เขาก็บอกว่า เวลานี้ คนที่วัด บางนมโคก็ดี คนที่อำเภอบางปลาม้าก็ดี กำลังบ่นถึง ทำไมไม่ไปหาเขา หลวงปู่ของเธอก็มองหน้าดูว่า คนคนนี้เคยรู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไร วาจาที่กล่าว และการแสดงออกมีอาการคล้ายเพื่อน แต่อายุจริง ๆ เห็นจะอ่อนกว่าหลวงปู่ของเธอมาก จะอ่อนกว่าเกิน ๒๐ ปี หลวงปู่ท่าน
ก็เฉย แล้วก็ยิ้ม ๆ ท่านนึกในใจว่า เอ๊ะ...อะไร คนคนนี้เราเคยพบที่ไหน เคยชอบพอกันมาตั้งแต่เมื่อไร

คิดสงสัยแค่นี้ ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นศัตรู และต่อมาบุคคลคนนี้ก็มาเดินกระแซะข้างว่า ขอพระองค์ซิ พระที่ติดรถมาน่ะ ขอองค์ซิ ต่อมา นกเอี้ยง ซึ่งเดินตามไปด้วย เขาเข้ามากันออกไป เขาบอกว่า หลวงพ่อจะล้ม เป็นอันว่า บุคคลที่กล่าวมานี้ ถ้ามองดูเจตนาแล้ว คล้ายกับมีเจตนาดี แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เป็นบุคคลกลุ่มหนึ่ง เป็นคนของบุคคลกลุ่มหนึ่ง ที่มีความประสงค์ร้ายต่อหลวงปู่ของเธอ

แต่หลวงปู่ของเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ามันเป็นกฎของกรรม ก็ต้องเป็นเรื่องของกรรม แต่ท่านก็ตัดสินใจแล้วว่า ในสถานที่ใดถ้ามีอันตราย สถานที่นั้นจะไม่ไปอีก ก็รวมความว่าที่ที่นั้นไม่ไปกัน จุไรก็ถามว่า การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกจิญจมาณวิกากล่าวร้ายแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่องค์สมเด็จพระภควันต์เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ก็อยากจะทราบว่า

เป็นกรรมของพระพุทธเจ้าทำไว้แต่ชาติไหน ที่มีการอิจฉาริษยาใครต่อใครเขาไว้ อารมณ์อิจฉาริษยาจึงบังเกิดขึ้น เป็นเหตุให้เดียรถีย์ทั้งหลายก็ดี จิญจมาณวิกาก็ดี มีความเกลียดชังในพระพุทธเจ้า ท่านปู่ก็ตอบว่า หลานรักความจริงกรรมอันนี้ ไม่ใช่กรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นกรรมของพวกเดียรถีย์ทั้งหลาย และก็เป็นกรรมของจิญจมาณวิกา

เพราะอาศัยความโลภเข้าครอบงำจิต เมื่อเห็นว่าองค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์มีบริษัท มีบริวารมาก มีคนเคารพนับถือมาก ตนเองเสื่อมลาภลงไป ความจริงการบวชของเขา การตั้งสำนักของเขาเป็นการตั้งเพื่อหวังลาภสักการะ หวังยศฐาบรรดาศักดิ์ ในเมื่อลาภเสื่อมลงไป ก็มีความเดือดร้อน จิญจมาณวิกาก็หลงเหยื่อ ที่เขาว่า มีกรรม คือ การหลงเหยื่อ กรรม คือ การกระทำ เขาจ้าง เห็นแก่ค่าจ้างรางวัล ปฏิบัติตามนั้น ก็เพราะ เขาอยากจะได้ค่าจ้าง

ในที่สุด กรรมของจิญจมาณวิกา เธอก็ต้อง ลงอเวจีมหานรกทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย สำหรับบรรดาเดียรถีย์ทั้งหลาย ที่มีความอิจฉาริษยาพระพุทธเจ้าเวลานั้นยังไม่มีโทษ เพราะเหตุผลยังไม่มี ต่อมา เมื่อเขาฆ่าพระอัครสาวกเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระชินสีห์ คือ พระโมคคัลลาน์ ตอนนี้แหละ ถูกจับประหารชีวิตทั้งหมด นี่เป็นกรรมของเขานะ หลานรัก

จุไรฟังแล้วก็สลดใจก็ถามท่านปู่ว่า ในเมื่อ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาถูกกล่าวหาอย่างนั้น สมเด็จพระภควันต์ทำอย่างไร กำลังใจของพระองค์ ท่านปู่ก็บอกว่า หลานรัก พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเป็นผู้มีอารมณ์สงบแล้ว มีจิตสงบจากกิเลส ความหวั่นไหวไม่มี สิ่งใดที่ไม่เป็นความจริง ท่านก็ไม่สะดุ้ง ก็รวมความว่า พระพุทธเจ้าถูกนินทาฉันใด สาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ก็ถูกกล่าวอ้างนินทา ฉันนั้น อันนี้น่าสลดใจ

ต่อนี้ไป ขอท่านผู้ฟัง ฟังเรื่องราวต่อไปอีกนิดหนึ่ง เพราะเวลาเหลือน้อย ๆ ตอนนี้ก็ให้ชื่อว่า เป็นเรื่องของ สุปปติฏฐิตเทพบุตร ความจริง สุปปติฏฐิตเทพบุตรนี่ ก็เป็นคนที่ไปเกิดเป็นเทวดาได้ ประเภทไม่ต้องลงทุนเหมือนกัน นั่นก็หมายความว่า ในสมัยที่เขาเป็นมนุษย์ เขาไม่เคยทำบุญทุกอย่าง ขึ้นชื่อว่าบุญ ว่ากุศล ทานก็ดี ไม่เคยให้ ศีลก็ดี ไม่เคยรักษา ภาวนาก็ไม่เคยทำ

แต่สิ่งที่เขาทำประจำก็คือ ทำลายศีลทุกข้อ ศีล ๕ ข้อ คือ ปาณาติบาต เขาหากินปาณาติบาตเป็นอาจิณ วันดีไม่ละ วันพระไม่เว้น ประการที่ ๒ อทินนาทาน มีโอกาสเมื่อไร ขโมยเมื่อนั้น ประการที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจาร มีอารมณ์เมื่อไร ปลอดเมื่อไร ทำเมื่อนั้น ประการที่ ๔ มุสาวาท มีโอกาสเมื่อไร โกหกเมื่อนั้น ข้อที่ ๕ สุราเมรัย มีโอกาสเมื่อไร ดื่มเมื่อนั้น เขาไม่เคยละ

นอกจากนั้น อารมณ์ของสุปปติฏฐิตเทพบุตรยังมีอารมณ์ร้าย คือ ใครเขาทำบุญทำกุศลที่ไหน มักจะกลั่นแกล้งเขา เช่น เขาฟังเทศน์กัน เขาฟังธรรมะกัน ก็แกล้งไปส่งเสียงกลบ ถ้าเขาทำความดี ทำบุญ ทำกุศลกัน เขาบอกแล้ว เห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น เขาพูดกันเรื่องธัมมะธัมโม เรื่องบุญเรื่องกุศล ได้ยินแล้ว แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่าความชั่วทุกอย่าง สุปปติฏฐิตเทพบุตร ทำหมด ครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ว่าในเมื่อเขามีการหากินแบบนั้น อาศัยปาณาติบาตเป็นพื้นฐาน และมีอทินนาทานเป็นของควบคู่กัน คือ ทั้งขโมย และทั้งโกง เป็นปัจจัยให้สุปปติฏฐิตเทพบุตรขณะที่เป็นคน มีความร่ำรวยพอสมควร มีฐานะอยู่ในขั้นของ อนุเศรษฐี ไอ้กาลเวลามันก็ผ่านไปหลานรัก กฎธรรมดาของคนที่ในโลก มีเหมือนกันหมด เกิดขึ้นแล้วในเบื้องต้น มีความเสื่อมไปทุกวันในท่ามกลาง มีการแตกสลายในที่สุด

ในที่สุด สุปปติฏฐิตเทพบุตร เวลาที่เป็นคนเวลานั้นก็แก่ลงเหมือนกับคนแก่ทั้งหลาย ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา ก็มีการป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกับคนทุกคน และการป่วยไข้ไม่สบายของเขานั้น มันยังไม่ถึงขั้นอับจน ยังไม่ถึงตาย ต่อมาในขั้นสุดท้าย เมื่อสุปปติฏฐิตเทพบุตร แก่มาก ถึงแม้ว่าแก่มาก ก็ยังทำปาณาติบาตได้ ทำอทินนาทานได้ ดื่มสุราเมรัยได้ กลั่นแกล้งชาวบ้านเขาได้

ใครเขาฟังธรรมกัน สนทนาธรรมกัน เห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น เขาพูดได้ยินแล้ว แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ส่งเสียงกลบ สิ่งใดที่เป็นบุญ เป็นกุศล ที่เขาเคลื่อนมา แกล้งบังหน้าเขา ไม่ต้องการให้เขาเห็น อย่างนี้เป็นต้น เอาละหลานรัก เวลามันหมดแล้ว ขอลาก่อน ประเดี๋ยวคุยกันใหม่ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่หลานรักและน้อย และทุก ๆ ท่านทุกคนที่รับฟัง

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/10/11 at 10:35 [ QUOTE ]


9
ไปเป็นเทวดาไม่ต้องลงทุน ๒

ตอนนี้ขอผู้อ่านโปรดทราบ ขอให้ชื่อว่า ไปสวรรค์ไม่ต้องลงทุน ครั้งที่ ๒ เป็นอันว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของ สุปปติฏฐิตเทพบุตร เมื่อความเป็นมาของสุปปติฏฐิตเทพบุตร ที่ท่านทั้งหลายรับทราบมาแล้ว ในตอนนั้น ตอนนี้จุไรได้เข้ามาหาท่านปู่ กราบเรียนถามว่า ท่านปู่เจ้าคะ เวลานี้สุปปติฏฐิตเทพบุตรอยู่ที่ไหน ท่านปู่ก็ชี้ไปด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ว่า วิมานของสุปปติฏฐิตเทพบุตรอยู่ที่โน้น

ถ้าหลานอยากจะไปก็ชวนท่านอินทกะทั้งสองให้นำไป แล้วท่านปู่ก็มอบหมายงานต่าง ๆ ให้กับท่านอินทกะ ขอให้ท่านอินทกะทั้งสอง โปรดนำไปที่วิมานของสุปปติฏฐิตเทพบุตร ในเมื่อทั้งสี่ท่านไปถึงวิมานสุปปติฏฐิตเทพบุตรแล้ว ก่อนที่จะเข้าถึงเขตวิมาน ก็ปรากฏว่ามีท่านเจ้าของวิมาน คือ สุปปติฏฐิตเทพบุตร มายืนคอยอยู่แล้ว เมื่อเข้าไปใกล้ท่านก็ยิ้มรับ แล้วก็เชิญให้ทุกคน ชมบริเวณวิมานก่อน

ท่านก็มีลีลาเหมือน ๆ กับ อังกุรเทพบุตร หมายความว่า มีลีลาเหมือนกับ มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร คือ ท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ให้ชมวิมานฉันใด ท่านสุปปติฏฐิตเทพบุตร ก็ให้ชมวิมาน ฉันนั้น ก็รวมความว่า วิมานของท่านสุปปติฏฐิตเทพบุตร คล้าย ๆ ของท่านมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน ครั้นเข้าไปถึงเขตวิมานแล้ว ท่านเจ้าของวิมานก็เชิญให้ทุกคนไปนั่งที่แท่น แท่นก็เป็นพื้นทองคำ ประดับไปด้วยเพชร

ดูท่าทางเหมือนจะแข็ง แต่นั่งนิ่มนวลจริง ๆ ท่านเจ้าของนั่งอยู่แท่นหนึ่ง ทั้งสี่ท่านนั่งอีกแท่นหนึ่ง
แล้วจุไรก็ถามความเป็นมาของท่านว่า ท่านเจ้าคะ อยากจะทราบความเป็นมาจริง ๆ ของท่านว่า ท่านบำเพ็ญกุศลอะไร มีปฏิกิริยาอย่างไร ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านจึงมาเป็นเทวดาที่นี้ได้

ท่านสุปปติฏฐิตเทพบุตร ก็บอกว่า สมัยที่เป็นมนุษย์ ฉันเป็นคนที่มีความประมาทมาก แล้วก็ทำความชั่วทุกอย่างศีล ๕ ประการ ทำลายหมด คุณธรรมความดีที่เขาปฏิบัติกัน ก็ไม่ได้ทำ ยังแถมกลั่นแกล้งคนที่เขาสร้างความดี เห็นแล้ว ทำเป็นไม่เห็น ได้ยินแล้ว แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ส่งเสียงกลบการฟังธรรมของเขา

แล้วจุไรก็ถามว่า แล้วก็เวลาท่านจะตาย ท่านทำบาปขนาดนี้ทำไมถึงตายแล้วมาเป็นเทวดาได้
ท่านบอกว่า จะกล่าวถึงบุญ มันก็เป็นบุญเหมือนกัน เพราะฉันเป็นคนเลวขนาดนั้น ขณะที่ป่วยไข้ไม่สบาย เมื่อยามแก่มากแล้ว อาการมันเครียดหนัก เจ็บในท้องร้อนในทรวงอก แล้วก็ปวดทั้งร่างกาย ตาพร่า หูฝ้าตาฟางหมด

เวลานั้น จิตใจจะกำหนดอะไรก็ไม่ได้ ขึ้นชื่อว่า บุญ ไม่ต้องพูดกัน เพราะขึ้นชื่อว่า บุญ ไม่เคยทำ แล้วก็ไม่เคยสนใจ แม้แต่จิตใจจะนึกถึงภรรยา นึกถึงบุตรธิดา นึกถึงข้าทาสหญิงชาย หรือทรัพย์สินก็ทำไม่ได้หมด มันปวดแสนปวด ร้อนแสนร้อน ร่างกายเจ็บไปทั้งหมด ในเวลานั้น ก็บังเอิญ มีสติตั้งขึ้นมาได้จุดหนึ่ง อาการทางร่างกายคลายตัวนิดหนึ่งปวดน้อยลง ร้อนน้อยลง

ก็คิดว่า เวลานี้เขาลือกันว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ใกล้ ๆ แล้วเขาก็ลือกันอีกว่า สมเด็จพระจอมไตรใจดีมาก ไม่ว่าใครพระองค์ก็ทรงเมตตา สงเคราะห์คนทั้งหลายให้มีความสุข เราเวลานี้มีความทุกข์หนัก ก็เลยนึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ถ้าพระองค์มีบุญบารมีจริง มีอานุภาพจริง ขอให้พระองค์ช่วยให้เราพ้นหายจากโรคภัยไข้เจ็บเวลานี้

เพราะเวลานี้ มีทุกขเวทนามาก เวลานั้น จิตก็รำพึงรำพันถึงพระพุทธเจ้าอยู่ครู่เดียว ต่อมา การปวดเสียวก็เกิดขึ้นทางร่างกาย ลมหายใจเบาลง ตาพร่าลง ในที่สุดตาก็มืด มองไม่เห็นอะไรหมด จิตใจก็กำหนดนึกว่า ขอให้พระพุทธเจ้ามาช่วย ๆ คิดเท่านี้เอง ในที่สุดจิตก็ออกจากร่าง อาศัยที่นึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นความดีสูงสุดในพระพุทธศาสนา

กำลังบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็บันดาลให้ฉันมาเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร แต่ก็วิมานที่มาอยู่ครั้งแรก ก็ไม่ได้สวยขนาดนี้ มันมีเป็นทองคำเกลี้ยง ๆ เครื่องประดับประดา ร่างกายก็ไม่สวย รั้วรอบขอบชิดก็ไม่มี สระโบกขรณีก็ไม่มี อะไรก็ไม่มีทั้งหมด ต้นไม้ทิพย์ก็ไม่มี

แล้วจุไรจึงกราบถามท่านบอกว่า ท่านเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้น ในกาลต่อมา ท่านมีทรัพย์สมบัติอะไร จ้างช่างหรือว่าซื้อวัตถุก่อสร้างมาจากไหน เพชรนิลจินดาถึงแพรวพราวทั่ววิมานหมด ร่างกายก็ดี รั้วรอบขอบชิดก็ดี มีเพชรประดับหมด แล้วก็พื้น บริเวณวิมานทั้งหมด ก็เหมือนกับทองคำผสมแก้วแพรวพราวเป็นระยับ ถามว่า ราคาเท่าไรเจ้าคะ

ท่านสุปปติฏฐิตเทพบุตร ฟังแล้วก็ยิ้ม ก็บอกว่า หลานรัก ในเมืองสวรรค์เขาไม่มีของขายกัน สิ่งที่จะมีขึ้นมาได้ต้องเป็นบุญ เป็นกุศลอย่างเดียว ถ้ามีบุญ มีกุศลพอ อย่างนี้ก็มีขึ้นเอง บุญกุศลมีขนาดไหนก็มีของขนาดนั้น ไม่ใช่เราจะสร้างขึ้นมาได้ จุไรก็กราบเรียนถามว่า ท่านเจ้าคะ แล้วท่านมาทำบุญอะไรบนสวรรค์วิมานจึงได้สวย มีการประดับเพชร รั้วรอบขอบชิดก็สวยแพรวพราวไปด้วยเพชร มีสระโบกขรณี มีต้นไม้เพชร มีแท่นเพชร

ท่านก็บอกว่า ในตอนต้นฉันขึ้นมา ฉันไม่ใช่เป็นเทวดาดี ฉันเป็นเทวดาชั้นเลวที่เรียกว่า เทวดาพาล คำว่า พาล นี่แปลว่า โง่ นั่นก็หมายความว่า ฉันมัวเมาในความเป็นทิพย์ ไม่ได้คิดถึงความดีว่า ความดีใด ๆ ก็ตามที่เขาสร้างให้เทวดามีความดีสูงส่งขึ้น ไม่ได้คิด มัวเมาทิพยสมบัติ ในร่างกายที่เป็นทิพย์ ในนางฟ้าที่เป็นทิพย์ เมาต่าง ๆ ไม่สร้างความดี ไม่สร้างบุญบารมีต่อ

แต่บุญบารมีที่ฉันได้มา จากการนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบุญบารมีที่มีอานุภาพมาก แต่ก็ทำประเดี๋ยวเดียว มีปริมาณน้อย ฉะนั้น การเป็นเทวดาของฉันจึงหมดอายุเร็วในระหว่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนา อยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เวลานั้น บังเอิญมีเทวดาใจดีท่านหนึ่ง มีนามว่า อากาสจารีเทพบุตร ท่านได้เหาะมาป่าวประกาศให้ทราบ

บอก เวลานี้พระพุทธเจ้ามาเทศน์โปรดแล้ว ทำไมถึงไม่ฟังเทศน์ ท่านประกาศมา ฉันก็เคย ฉันก็ไม่สนใจ ต่อมาท่านทักว่า ใครเป็นเจ้าของวิมานนี้ เวลานี้เครื่องทิพย์เศร้าหมอง ร่างกายท่านก็เศร้าหมอง มีเหงื่อไหลจากรักแร้ ท่านจะต้องตายภายใน ๗ วัน ทำไมท่านจึงไม่ไปสร้างบุญบารมีต่อ คือ ไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า พอท่านอากาสจารีพูดเท่านั้น ฉันก็ตกใจ ก็มองดูเครื่องทิพย์เห็นเครื่องทิพย์เศร้าจริง ๆ

เมื่อดูร่างกาย เห็นเหงื่อไหลจากรักแร้ เป็นอาการแสดงถึง การต้อง จุติ คือ ตาย จากความเป็นเทวดา แต่ถึงกระนั้นก็ดี ในฐานะที่ฉันเป็น คนดื้อ เป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ดื้อ ไม่เชื่อฟังความดีของใคร คำแนะนำของใคร ฉันไม่เชื่อฟัง ทีนี้ฉันเป็นเทวดา ก็เป็นเทวดาดื้ออีกต่อไป จึงคิดในใจว่า เราเป็นเทวดา ถ้าต้องตายจากความเป็นเทวดา ก็ต้องเป็นเทวดาต่อ ไม่มีที่อื่นไปไหน

แต่ก็อยากจะทราบว่า การตายจากตรงนี้ คือ จุติ ได้แก่ ตายหรือเคลื่อน แล้วจะไปไหน ก็ทราบทันทีว่า ตายจากเทวดานี้แล้ว บาปเก่าทั้งหมดมันปรากฏชัด มีการฆ่าสัตว์เป็น อาจิณกรรม เป็นต้น พาลงอเวจีมหานรก ต้องมีหอกเสียบ ขยับตัวไม่ไหว ไฟไหม้กระดูกแดง หลังจากนั้น ก็ผ่าน นรกบริวารอีก ๔ ขุม แล้วไล่เบี้ยนรกทั้ง ๘ ขุม ทั้งหมดแต่ละขุม ๆ ก็ต้องไล่เบี้ยนรกบริวาร ทีละ ๔ ขุม ๆ

แล้วก็มาตก ยมโลกียนรก อีก ๑๐ ขุม หลังจากนั้น มาเป็น เปรตอีก ๑๒ จำพวก มาเป็น อสุรกาย มาเป็น สัตว์เดรัจฉาน ตอนเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องใช้หนี้เขา ฆ่าปลากี่ตัว ต้องเกิดเป็นปลาเท่านั้น ให้เขาฆ่า ฆ่านก ฆ่าไก่เท่าไร ก็เหมือนกัน เมื่อชำระหนี้บรรดาสัตว์ทั้งหลายครบถ้วนแล้ว ก็เกิดเป็นสัตว์พิเศษ อีก คือ เป็นแร้ง ๕๐๐ ชาติ เกิดเป็นแร้ง ตายจากความเป็นแร้ง เกิดเป็นแร้งทั้งหมด ๕๐๐ ชาติ เกิดเป็นกา ๕๐๐ ชาติ เป็นสุนัขบ้า ๕๐๐ ชาติ

พ้นจากความเป็นสัตว์ เศษของกรรมยังไม่หมด ก็เกิดเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ ที่เป็นคนตาบอด ก็เพราะว่า เขาสร้างความดี เห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะว่า เวลาเขาสนทนาธรรมก็ดี เขาฟังธรรมก็ดี แกล้งส่งเสียงกลบ แล้วก็ เป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ เพราะการดื่มสุราเมรัย เป็นง่อย ๕๐๐ ชาติ เพราะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หลังจากนั้นไปเป็นคน

พ้นจากนี้แล้ว ก็เป็นคนไม่สู้จะปกตินัก จึงเป็นคนยากจนเข็ญใจ ทุพพลภาพด้วยอาการต่าง ๆ เมื่อฉันเห็นภาพอย่างนี้แล้ว ฉันก็สลดใจ จุไรถามว่า ตอนนั้นนึกตกใจไหม ท่านก็บอก ตกใจมาก เหงื่อที่ไหลจากรักแร้ มันก็ไม่แค่รักแร้แล้ว มันท่วมตัว ฉันจึงถามอากาสจารีเทพบุตร ขอให้ท่านช่วยว่า ฉันมีกรรมหนักต้องสนองกรรมตามนี้ เพราะตายมาแล้ว คว้าบุญมานิดเดียว แต่บาปคอยอยู่มาก

ท่านอากาสจารีเทพบุตรก็บอกว่า ฉันก็เป็นเทวดาเหมือนท่าน ช่วยท่านไม่ได้ คนที่จะช่วยได้ เห็นจะมีคนเดียว คือ พระอินทร์ ทั้งสองท่านก็พากันไปหาพระอินทร์ แล้วก็กราบเรียนให้ท่านทราบ พระอินทร์ก็บอกว่าฉันก็เป็นเทวดาเท่าเธอ ถึงแม้จะเป็นเจ้านายของเธอ ก็เป็นแค่เทวดา ฉะนั้น หากว่าต้องการให้ช่วยเหลือ ฉันช่วยไม่ได้ แต่มีท่านหนึ่ง ถ้าท่านผู้นี้ช่วยไม่ได้ ก็หมดทางกัน ท่านผู้นี้ก็คือ พระพุทธเจ้า ทั้งสามท่านก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

เวลานั้น พระพุทธเจ้าทรงเทศน์อภิธรรมอยู่ พระอินทร์ก็กราบทูล ให้องค์สมเด็จพระบรมครูให้ทรงทราบ ถึงความเป็นมาของ สุปปติฏฐิตเทพบุตร พระพุทธเจ้าฟังแล้ว พิจารณาแล้วว่าเขา ถ้าจุติจากนี้ไปเป็นตามนั้นจริง ๆ มีอเวจีมหานรก เป็นต้น แล้วองค์สมเด็จพระทศพลคิดว่า ตถาคตจะช่วย แต่ว่าถ้าจะช่วย ด้วยการเทศน์อภิธรรม จะมีประโยชน์กับเธอไหม ก็ทรงทราบว่า อภิธรรม เป็นธรรมะสูงเกินไป ไม่เหมาะสมกับสุปปติฏฐิตเทพบุตร

เธอจะฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อฟังยังไม่ทันจะจบอภิธรรม เธอก็ต้องจุติก่อน ไปอเวจี เป็นต้น ก็พิจารณาด้วยกำลังฌานขององค์สมเด็จพระทศพล ก็ทราบว่า ถ้าเทศน์ อุณหิสวิชัยสูตร จะเป็นที่ถูกใจ และพอใจของเธอ เมื่อเทศน์จบ เธอจะเป็นพระโสดาบัน ตายปุ๊บ เกิดปั๊ป เป็นเทวดาตามเดิม ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อฟังเป็นที่ถูกใจ พอเทศน์จบ ก็เป็นพระโสดาบันทันที แล้วก็จุติ และก็เกิดเดี๋ยวนั้น

ท่านก็บอกว่า จุไรหลานรัก ลุงนี่ความจริงเป็นคนเลวมาก แต่ว่าการมาสวรรค์ของลุง ก็ดีมากเหมือนกัน เป็นเทวดาที่มาสวรรค์โดยไม่มีการลงทุน บุญนิดหนึ่ง การยกมือไหว้พระพุทธเจ้าก็ไม่มี การใส่บาตรก็ไม่มี การฟังเทศน์ก็ไม่มี เจริญภาวนาเหมือนกับท่านทั้งหลายที่ทำกันก็ไม่มี มีแต่ความเลว มีการทำลายศีล ไม่เคยให้ทาน เป็นต้น ขาดเมตตาบารมี แต่ทว่า ก่อนจะตาย ลุงมาเป็นเทวดาได้

ก็เพราะนึกถึงองค์สมเด็จพระชินสีห์ คือ พระพุทธเจ้า นิดเดียว หลานจำไว้นะ ถ้ากลับไปบ้าน ก็บอกชาวบ้านชาวเมืองเขาให้ทราบว่า ถ้าโอกาสที่จะทำบุญไม่มี แต่ว่าอย่าเอาอย่างลุงนะ เวลาลุงจะตาย ลุงนึกถึงพระพุทธเจ้า แต่ทว่าคนทุกคน อย่าคิดอย่างนั้น อย่าคิดว่า ถ้าจะตายค่อยนึกถึง อย่างนั้นมันไม่ควร อย่างลุงมีทุกขเวทนาหนัก ก็บังเอิญทุกขเวทนามันคลายนิดหนึ่ง จึงได้นึกถึง ขอให้พระพุทธเจ้ามาช่วยได้ ถ้าทุกขเวทนาไม่คลาย ก็ไม่มีโอกาส

จึงขอคนทุกคนจงอย่าประมาท ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ ให้ภาวนา พุทโธ ก็ได้ สัมมา อรหัง ก็ได้ อะไรก็ได้ ตามใจชอบแต่ก่อนจะภาวนา นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนจะใช้เวลาวันละไม่มาก ก็ไม่เป็นไร น้อย ๆ ก็ได้ แต่ทำให้เป็นอาจิณ อารมณ์จิตจะชิน เวลาจะตาย จิตจะได้ไม่ฟั่นเฝือ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ นี่อย่างน้อย ก็มาสวรรค์ได้อย่างลุง

จุไรก็ถามว่า เมื่อกี้นี้ลุงบอกว่า มาใหม่ ๆ วิมานก็ไม่สวย เครื่องประดับประดาก็ไม่สวย แล้วรั้วรอบขอบชิดก็ไม่มี เวลานี้มีเพชรแพรวพราว มีสระโบกขรณีด้วย มีแท่นแก้วด้วย มีต้นไม้แก้วด้วย อยากจะทราบว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มาเพราะอะไร
ท่านสุปปติฏฐิตเทพบุตร ก็บอกว่า หลานรัก ที่ได้อย่างนี้ เพราะอาศัยฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า

เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์แล้ว ก็ได้บรรลุพระโสดาบัน อันนี้เป็นบุญของพระโสดาบันกำลังความดีที่ได้นี้ เพราะเป็นพระโสดาบันจึงได้ ไม่อย่างนั้นวิมานก็เกลี้ยง ๆ ตามเดิม ไม่มีรั้ว
จุไรก็ถามท่านสุปปติฏฐิตเทพบุตรว่า อุณหิสวิชัยสูตรมีเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ท่านก็บอกว่า อย่าฟังเลยหลานรัก จะเฝือ คือว่า ลุงไม่ได้ปิด ไม่ได้บัง แต่การฟังมาก ๆ มันก็เฝือเหมือนกัน

เอาอย่างที่หลานได้ไว้ก็แล้วกัน หลานสามารถมาที่นี่ได้ ที่มาได้คล่องก็เพราะความดีที่หลานฝึก หลานมีทาน หลานมีศีล หลานมีภาวนา หลานมีความกตัญญูรู้คุณ หลานรู้จักเคารพบุคคลผู้เป็นผู้ใหญ่ อย่างท่านอินทกะทั้งสอง ท่านเป็นผู้ใหญ่ เพราะหลานดี ท่านจึงมีเมตตา ในเมื่อท่านมีเมตตา เห็นหลานดี ท่านก็ใช้กำลังของท่าน ช่วยกำลังของหลาน ในที่สุด ก็มาเที่ยวสวรรค์ได้แบบสบาย ๆ กำลังเท่านี้พอ

แต่ก็จงอย่าหยุดเท่านี้ การเกิดเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เกิดเป็นพรหมก็ดี ยังไม่หมดภาระกิจที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จะต้องมีความลำบาก ขอหลานรักมองดูข้างล่าง ดูร่างกายของหลานเวลานี้หลานขึ้นมาที่นี่ ทิ้งร่างกายที่เป็นธาตุ ๔ ไว้ มันมีลมหายใจอ่อนมาก ชาวบ้านชาวเมืองเขาอาจจะคิดว่า ตาย แต่ดีว่าเทวดาทั้งหลาย ที่เป็นบริวารของท่านอินทกะทั้งสองห้อมล้อมไว้ ไม่ให้ใครเข้ามาใกล้

คนเห็นก็ยืนห่าง ๆ ไม่สามารถจะเข้ามาใกล้ได้ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เห็นเทวดา แต่อำนาจของเทวดาสามารถกัน ยับยั้งกำลังใจของเขาได้ ถ้าบางคนเขาเข้ามาใกล้ได้ ดีไม่ดีเขาเอาไปที่เมรุ เมรุที่หลวงปู่ของหลานทำ ยังไม่ได้เผาใครเลยเมรุหลังนี้ เป็นเมรุกำพร้าจริง ๆ ตั้งแต่สร้างมาไม่เคยเผาใคร ถ้าดีไม่ดี ถ้าคนทั้งหลายเขาเห็นเข้า เขาจับหลานทั้งสองคน จับยัดใส่เมรุ ก็ถือว่า เป็นศพแรกที่เมรุนี้ได้เผา

เมื่อดูแล้วว่า ร่างกายของเราที่เป็นธาตุ ๔ ไม่มีอะไรดี เมื่อสิ้นลมปราณแล้ว ก็ต้องทิ้งธาตุ ๔ กองไว้ การที่มีธาตุ ๔ ทรงตัวนั้น เต็มไปด้วยความทุกข์ หลานเป็นเด็ก ก็ทุกข์แบบเด็ก ๆ พี่น้อยเป็นผู้ใหญ่ ท่านเรียก พี่น้อย ก็ทุกข์อย่างผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ทุกข์มาก เด็กทุกข์น้อย เพราะภาระต่างกัน อารมณ์ต่างกัน ในเมื่อทุกข์แสนทุกข์ขนาดไหนก็ตาม ในที่สุด ก็ต้องตายเหมือนกันหมด

ตอนตายแล้ว ถ้าทุกข์ต่อไปนี่ไม่ดี อย่างเช่น ตัวอย่างของลุง ท่านก็ชี้ อเวจีมหานรก สมมุติภาพขึ้นมา สมมุติถ้าลุงลงอเวจีมหานคร มันจะมีสภาพอย่างนี้ คือ สภาพของอเวจีมันดิ้นไม่ได้ หอกเสียบหมด เสียบบน เสียบล่าง เสียบข้างหน้า เสียบข้างหลัง เสียบข้างซ้าย เสียบข้างขวา เสียบหมด ติดกับกำแพงข้าง ๆ กำแพงข้างบน ทั้ง ๔ ทิศ ๖ ทิศ คือ ด้านข้าง ๔ ข้าง ด้านหน้า ด้านหลัง ข้างซ้าย ข้างขวา

มีไฟพุ่งเข้าประสานกัน ไฟนี่ละเอียดมาก มีความร้อนสูง แล้วไฟข้างล่าง ไฟข้างบนก็พุ่งเข้ามาหาอีก พื้นเป็นเหล็กแดงโชน ขยับกายไม่ไหว เห็นกระดูกแดง เหมือนกับเผาเหล็กสุกแดง ๆ โดยเฉพาะจุดอเวจี มันมีทุกอย่าง ร้องก็ไม่ออก และต่อมา ดูนรกบริวาร ๔ ขุมจะต้องผ่านมาหาขุมที่ ๗ ก็แสนจะลำบาก เข้าขุมที่ ๗ ที่ ๖ ที่ ๕ ที่ ๔ ที่ ๓ ที่ ๒ ที่ ๑ ดูหมดทุกขุมไม่มีขุมไหนมีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์

นั่นเพราะความชั่วนิดเดียว ที่เห็นแก่ตัว ฆ่าสัตว์เอามากิน ขโมยของเอามาใช้ ใช้กำลังใจทำให้ผู้อื่นหลงรัก ทำกาเมสุมิจฉาจาร และชอบโกหกมดเท็จ ชอบดื่มสุราเมรัย ชอบแกล้งเขา ชอบทำไม่ได้ยินบ้าง ชอบทำไม่เห็นบ้าง นี่ความชั่วของลุง ถ้าลุงพลัดลงไป ต้องเสวยทุกขเวทนาแบบนี้ ก็ขอให้บอกทุกคน ถ้าหลานลงไปว่า พวกเขาทั้งหลายโอกาสดีกว่าลุง มีเยอะ คนที่เขาเรียกว่า บุญน้อยจริง ๆ ก็ยังดีกว่าลุง

เขายังมีบุญน้อย เขายังชื่อว่ามีบุญ ถึงแม้ว่าจะน้อย บุญก็มี แต่ลุง ที่เวลาเป็นคนมันเลวเต็มที ไม่มีคำว่าบุญ มีแต่คำว่า บาป บาป แปลว่า ชั่ว บุญ แปลว่าดี แต่ว่าอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์นิดเดียว ชั่วนิดเดียว คือ ก่อนจะตายนึกถึงท่าน แล้วก็ตาย ความจริงการตายที่เรานึกว่า เราตาย ๆ ความจริง ขณะที่มันตายจริง ๆ เราไม่รู้สึก ขณะที่จิตออกจากร่าง ไม่ใช่เหมือนกับคนเดินออกจากบ้าน

หรือคนเดินออกจากกระท่อม หรือคนเดินออกจากถ้ำ ไม่ใช่อย่างนั้น มันปุ๊บปั๊บออกไปทันที ไม่รู้ออกไปเมื่อไร ออกไปแล้ว จึงปรากฏกาย รู้ว่าเวลานี้อยู่ที่ไหน สภาพของความตายมีอย่างนี้ มันไม่สามารถจะยับยั้งได้ ถ้ารู้ว่าเราตายเหมือนกับเดินออกจากบ้าน เราก็จะได้หาทางว่าทางไหนไปนรก เราไม่ไปทางนั้น ทางไหนไปสวรรค์ ทางไหนไปพรหม ทางไหนไปมนุษย์ เราเลือกเอาตามชอบใจ

อันนี้ความจริงเป็นไปไม่ได้ มันเหมือนกับใครเขาจับเหวี่ยงออกมาทันทีทันใด ฉะนั้น หลานรักมาที่นี่ มากี่วิมานแล้ว ท่านก็ถาม จุไรก็บอกว่า มาหลายวิมานแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าสนใจวิมาน ที่การมาเป็นเทวดา มาสวรรค์ได้โดยไม่ต้องลงทุน ถือว่าเป็นเทวดาที่ฉลาดในการมีบุญ ท่านสุปปติฏฐิตเทพบุตรฟังแล้วก็ยิ้ม บอกว่า หลานรัก ถ้าลงไปเมืองมนุษย์อย่าพูดอย่างนี้นะ คือ

อย่าพูดว่า คนที่มีความฉลาดในการไม่ต้องลงทุน ไปสวรรค์ดี อย่าพูดอย่างนั้น นั่นเป็นเรื่องของความประมาทในชีวิต จงคิดว่า บุคคลถ้ามีอารมณ์ฟั่นเฝือนิดหน่อย แม้แต่ทำบุญมาก ๆ ก็สามารถจะลงนรกได้ เพราะกำลังใจเวลาจะตายไม่ผ่องใสมีอารมณ์ขุ่นมัว แต่บางคน ที่บุญกุศลเก่าส่ง เวลาอยู่ปกติทำบาปความชั่ว แต่เวลาจะตายนึกถึงบุญกุศลอันนี้ก็ใช้ได้ แต่ก็จงอย่าลืมว่า คนที่นึกถึงบุญได้จริง ๆ ก่อนตายน่ะ หาน้อยเต็มที

จุไรก็ถามว่า ทางที่ดี คุณลุงเจ้าคะ จะทำอย่างไร เอาแบบเบา ๆ เอาแบบคุณลุงดีไหม แค่นึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียว คุณลุงก็บอกว่า ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียวก็ดี แต่ลุงคิดว่า ดีไม่พร้อม ทางที่ดี ควรจะดีให้พร้อม การนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่างเดียว อย่างลุงก็ดี ท่านมัฏฑกุณฑลีเทพบุตรก็ตาม เมื่อเกิดเป็นเทวดาแล้ว ถ้าบังเอิญจุติจากเทวดาไปเป็นมนุษย์ หมายความว่า ไม่ต้องลงนรก

ถ้าไปเป็นคน ก็จะกลายเป็นคนรูปสวย เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ พุทธานุสสติ ทำให้คนเป็นคนสวย และอาจจะมีกำลังใจเฉลียวฉลาดพอสมควร แต่ทว่า จะจนทรัพย์สิน สวยก็ดี ฉลาดก็ตาม แต่จน ไม่มีทางดีเลย ทางที่ดีขอให้ทุกคนทำให้มันครบ คือ ทาน การให้ เกิดเป็นเทวดาก็ดี เกิดเป็นนางฟ้าก็ดี เกิดเป็นพรหมก็ดี มีทิพยสมบัติมาก ท่านก็ชี้ให้ดูวิมาน ข้างหน้าวิมานของท่าน ด้านทิศตะวันออกว่า

ดูวิมานหลังนั้นซิ ของเขาใหญ่โตมาก บริวารก็มาก แพรวพราวเป็นระยับสวยสดงดงาม นั่นเขามีทั้ง สังฆทาน และวิหารทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดูวิมานข้างขวาของลุง กลุ่มวิมานข้างขวา เป็นกลุ่มใหญ่ กลุ่มวิมานนี้ทั้งหมดใสสะอาด แพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วทั้งหลังเป็นกลุ่มใหญ่ เป็นวิมาน ๓ ยอด มีมณฑป และมีวิมานย่อม ๆ อยู่หัว กับท้าย และสวยสดงดงามมาก เป็นวิมานมาก หลายจำนวน ไม่จำกัด นับไม่ได้

จุไรก็ถามว่า นั่นวิมานของใครเจ้าคะ ท่านสุปปติฏฐิตเทพบุตร ก็บอกว่า นั่นเป็นวิมานกลุ่มบุคคลที่สร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร กับมณฑป ๒ หลัง ด้านหน้า ฉะนั้น จึงปรากฏเป็นวิมานแบบเดียวกัน สีแบบเดียวกัน ขาวใสเป็นแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ ข้างในก็มีไฟสว่าง ข้างนอกก็มีไฟสว่าง ข้างในสวยสดงดงามมาก ความสว่างแพรวพราว พื้นที่เดินก็เป็นแก้ว เป็นเงิน เป็นทอง แล้วก็มีรั้วรอบขอบชิดถึง ๓ ชั้น ต่างกับวิมานอื่นทั้งหมด

จุไรก็ถามว่า วิมานเหล่านี้ มีเจ้าของแล้ว หรือยัง ท่านบอก บางหลังมีเจ้าของแล้ว บางหลังวิมานกำลังคอยเจ้าของอยู่ ฉะนั้นหลานรัก เวลามันจะหมดเวลาแล้ว นี่เราคุยกันนะ เวลาข้างล่างจะหมดแล้วขอหยุดไว้ก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่หลานรักทุกคน
สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top