Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 11/8/11 at 21:00 [ QUOTE ]

หลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับแม่ท่านมาก....เล่าโดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ)


12 สิงหาคม นี้เป็นวันแม่ ผมก็เลยนำคำสอนของหลวงพ่อที่ได้เล่าไว้ในประวัติหลวงปู่ปาน เรื่องความกตัญญูกตเวทีของหลวงปู่ ไว้ให้บรรดาลูกๆทั้งหลายได้อ่านกัน
หลวงพ่อ:
เมื่อพูดถึงเรื่องแม่ของท่าน บรรดาลูกหลานทั้งหลายก็เลยจะเอาเรื่องแม่ของท่านมาพูดให้ฟัง เพราะมีเรื่องอยู่นิดเดียวมาเล่าต่อกันฟังเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเข้ามาอายุมากแล้ว ประมาณ ๓๐ หรือ ๔๐ ปีแล้ว ใกล้จะ ๔๐ แม่ท่านตาย แต่มันจะข้ามตอนไปบ้างก็ช่างมันเถอะนะ จะได้ไม่เอาไปคั่นกับเรื่องอื่นเข้า คือว่าหลวงพ่อปานท่านมีความกตัญญูกตเวทีกับแม่ท่านมาก ทั้งพ่อ ทั้งแม่นั่นแหละ พ่อก็ดีแม่ก็ดี เวลาป่วยท่านไม่ยอมให้อยู่ที่บ้าน ท่านเอามารักษาตัวที่วัดให้นอนในกุฎิท่าน ผ้านุ่งแม่ของท่าน ๆ ซักเอง ท่านเอาผ้านุ่งแม่ของท่านไปตากไว้บนขื่อ ไอ้ขื่อบ้านนี่มันสูงนะลูกหลานนะ มันสูงกว่าหัวคนนะ เวลาเดินไปเดินมาหัวคนก็ต้องลอดขื่อ แต่ผ้านุ่งแม่ของท่าน ท่านไปตากไว้บนขื่อ เวลาแม่ท่านลุกไม่ถนัดท่านก็อุ้มลุกอุ้มนั่ง ถึงได้บอกว่าแม่ท่านเป็นผู้หญิง แต่ว่าเวลานั้นท่านเป็นพระ มีคนหลายคนเขามาตำหนิท่าน ผู้หญิงเขาติว่า คุณปาน โยมของคุณน่ะเป็นผู้หญิง ผ้านุ่งเอาไปตากบนขื่อ ซักผ้านุ่งแม่เอง อุ้มลุกอุ้มนั่งเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเองอย่างนี้แม่จะบาป ท่านก็เลยบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่บาปนี่ พระพุทธเจ้าท่านว่าดีนี่ ท่านก็ตอบกับคนพูดว่า เวลานี้ไม่ใช่คนแล้ว ฉันเป็นพระ พอฉันมาเป็นพระฉันเป็นลูกของพระพุทธเจ้า ในเมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นพ่อว่าไม่บาปเป็นความดี ฉันก็เลยทำตามท่านน่ะซิ หากว่าฉันจะทำตามคนอื่นพูดก็ชื่อว่าฉันไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ฉันทำตามคำของพระพุทธเจ้าชื่อว่าฉันไม่เชื่อคนอื่น หากว่าฉันเป็นฆราวาสฉันจะเชื่อชาวบ้าน แต่ว่าเวลานี้ฉันเป็นพระฉันต้องเชื่อพระพุทธเจ้า

เมื่อเขาสงสัยก็ถามว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ที่ไหน ว่าอย่างไร ท่านก็บอกว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกมีอยู่ แต่ว่าถ้าจะหาให้ง่ายจงไปหาในพระธรรมบท แล้วดูเรื่องราวในเรื่องของทศชาติ คือเรื่องของสุวรรณสามก็ได้ แล้วท่านเลยกล่าวเอาเรื่องของพระที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ในธรรมบท คำว่า ธรรมบทนี้คือบทที่กล่าวถึงธรรม บทแปลว่า ถึง เรื่องที่เข้าถึงธรรม เข้าถึงความดี ธรรมคือสิ่งที่คงสภาพและทรงไว้ซึ่งความดี เรียกกันว่าธรรม ถ้าจะแยกออกไปก็ต้องแยกเป็น กุศลธรรมและอกุศลธรรม ถ้ากุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายความฉลาด ความดี อกุศลธรรมก็เป็นธรรมฝ่ายชั่ว หากเรียกกันว่าธรรมเฉย ๆ ก็ต้องหมายความกันว่าความดีเฉย ๆ หมายเอาความดีโดยเฉพาะกัน แล้วก็นำเรื่องราวของพระลูกเศรษฐีที่ปรากฏมาในธรรมบทมาเล่าให้ฟังว่า
ในครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประกาศพระศาสนา ในตอนนั้นปรากฏว่ามีลูกเศรษฐีคนหนึ่งฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า แล้วก็มีความเลื่อมใส อยากจะบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พ่อแม่ก็มีลูกคนเดียว มีทรัพย์ตั้ง ๑๖๐ โกฎิ ๑๖๐ โกฎินะ ไม่ใช่ ๑๖๐ ล้าน ต้องเอา ๐ เติมเข้าไปอีกศูนย์หนึ่ง มีลูกคนเดียวก็อยากจะให้ลูกรักษาทรัพย์สินเอาไว้เพื่อปกครองทรัพย์ แต่ลูกชายมีความเลื่อมใสมาก ไม่ยอม จะบวชท่าเดียวนี่ การมีลูกมีเต้าระวังไว้นะ อย่าคิดว่าเขาตามใจเราทุกอย่างน่ะ มันไม่ได้ เขาก็มีใจเราก็มีใจ คิดเอาไว้ให้ดีนะเตรียมตัวเตรียมใจไว้ด้วย เผื่อว่าลูกหลานจะขัดใจ ลูกที่เราเลี้ยงมาด้วยความเหนื่อยยาก เราต้องการให้เรียนอย่างนี้ เขาจะเรียนอย่างโน้น เขาจะเรียนอย่างนั้น เราต้องการให้เรียนอย่างนี้ เขาจะทำอย่างโน้น นี่มันขัดใจกัน ยากเหมือนกันนะ นี่ดูสมัยโบราณก็เหมือนกันนะ นั่นท่านมีลูกคนเดียว ทรัพย์ตั้ง ๑๖๐ โกฎิ เป็นมหาเศรษฐีใหญ่ เวลาเขาต้องการจะบวช เมื่อไม่ให้เขาบวช เขาก็นอนเฉยไม่กินข้าวกินปลา ไปเอาเพื่อนมาปลอบยังไงก็ตามไม่ยอมฟัง แกบอกว่าสิ่งที่แกต้องการมีอย่างเดียวคือการบวช ถ้าแกไม่ได้บวชแกจะตาย แกจะนอนให้มันตายลงไปตรงนี้แหละ ตามใจ พ่อแม่ไม่ให้บวชก็ตาย ข้าวไม่กิน น้ำไม่กิน ใครไปให้อะไรก็ไม่กิน ไม่กินจริง ๆ ตานี้ทำอย่างไร บรรดาเพื่อนทั้งหลายก็มาบอกมหาเศรษฐีผัวเมีย บอกว่าคุณพ่อคุณแม่อย่าฝืนใจเลยครับ ลูกชายของคุณพ่อคุณแม่น่ะเคยเป็นลูกมหาเศรษฐี เป็นคนมีทรัพย์ มีความปรารถนาสมหวังอยู่เสมอ

การบวชในพระพุทธศาสนามีความลำบากมาก เวลาได้ข้าวปลาอาหาร เวลาจะกินต้องไปขอชาวบ้านเขาต้องการข้าวร้อน อาจจะได้ข้าวเย็น ต้องการข้าวเย็นอาจจะได้ข้าวร้อน ต้องการอาหารเปรี้ยวอาจจะได้อาหารหวาน ต้องการอาหารหวานอาจจะได้อาหารเค็ม ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่เป็นไปตามความประสงค์ ไม่เหมือนอยู่เป็นฆราวาส ถ้าแกไปโดนความลำบากแบบนั้นเข้า ทนไม่ไหวแกก็สึกมาเอง และอย่างน้อยถึงแม้ว่าแกไม่สึก แกก็ยังมีชีวิตอยู่ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นหน้า ถ้าขืนขัดใจกันแบบนี้ล่ะก็ แกตายแน่ แกไม่ยอมกินอะไรทั้งหมด บรรดาเพื่อน ๆ มาแนะนำ ท่านมหาเศรษฐี ๒ คน ตายายเห็นชอบก็เลยยอมให้บวช เมื่อพ่อแม่ยอมให้บวช แกก็ลุกจากที่นอน กินข้าวกินปลา กราบพ่อกราบแม่ ลาพ่อลาแม่ แล้วก็ไปบวช ไปสำนักพระพุทธเจ้า เฉพาะต่อหน้าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าเป็นอุปัชฌาย์เอง แหม นี่เฮงจริง ๆเมื่อบวชแล้ว ท่านเรียนกรรมฐานถึงขั้นอรหัตผล

ท่านลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในป่าลึก สมัยก่อนเขาปฏิบัติกันอย่างนี้นะลูกหลานนะ เขาถามความเข้าใจว่า การรักษาจิตใจในขั้นต้นทำอย่างไร ขั้นกลางทำอย่างไร ขั้นสุดท้ายทำอย่างไร ถึงจนจบอรหัตผล ถามถึงความเข้าใจแล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้สอนนาน ท่านสอนเดี๋ยวเดียว อย่างมากก็ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมงเป็นอย่างมาก ไม่ยังงั้นก็ไม่ถึงชั่วโมง เขาพูดกันแบบลัด ๆ ย่อ ๆ ไม่ใช่มานั่งท่องแบบกันเป็นร้อยเล่มอย่างสมัยฉันเรียนหรอกฉันเรียนนี่น่ะ ไอ้แบบที่ฉันท่อง ๆ นี่แหละนะ เฉพาะที่ท่องฉันแบกก็ไม่ไหว แล้วที่ดูจำก็ต่างหาก อย่างนี้เขาเรียกว่าเรียนเลยตำรามันมากไป เลยเอาดีไม่ได้ สมัยพระพุทธเจ้าท่านสอนกันประเดี๋ยวเดียว ไม่ได้สอนนานสร้างความเข้าใจกับบุคคลผู้ฟัง เมื่อท่านลูกเศรษฐีฟังเข้าใจแล้ว ก็ลาพระพุทธเจ้าไปจำพรรษาในป่าเจริญสมณธรรม แต่ว่าก่อนเข้าพรรษา มีพระที่ไปข้างหลังไปจำพรรษาในป่าเดียวกับท่าน ท่านก็ถามว่าท่านมาจากไหนพระก็บอกว่ามาจากเมืองสาวัตถี ท่านก็ถามว่ารู้จักท่านมหาเศรษฐีพ่อแม่ท่านไหม แต่ท่านไม่ได้บอกว่าพ่อแม่ท่าน ถามว่าคุณรู้จักท่านมหาเศรษฐี ๒ ตายาย ชื่อนั้นชื่อนี้บ้างไหม พระก็บอกว่ารู้จัก ท่านก็ถามว่าทั้งสองท่านมีความสุขดีรึ พระก็บอกว่าไม่สุขแล้วเวลานี้ ได้ยินข่าวว่าลูกชายออกบวช ข้าทาสชายหญิงในบ้านมันก็ลักมันก็ขโมย แกเป็นคนแก่สองคนหูตาไม่ดี ทรัพย์สินในบ้านก็หมด คนที่กู้หนี้ยืมสินไปก็โกงหมด ไม่มีใครมาชำระหนี้ บ้านช่องถูกเผาหมด เวลานี้เป็นขอทานถือกระเบื้องแตกนั่งอยู่ตามฝาเรือน พระองค์นั้นพอรู้ข่าวว่าพ่อแม่ไม่มีความสุข พรรษานั้นทั้งพรรษาเจริญฌานไม่ได้ อย่าว่าแต่อรหันต์เลย คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ คิดว่าถ้าเราไม่บวชพ่อแม่ก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้ อาศัยมีจิตกังวลท่านเลยไม่มีความสุข ในเมื่อไม่มีความสุข ความกังวลมันเกิดขึ้น สมาธิมันก็ไม่เกิด ปัญญามันก็ไม่เกิด นี่บรรดาลูกหลานฟังไว้นะ เวลาเจริญสมาธิ หมายความว่าทำสมถกรรมฐานให้เกิดก็ดี เจริญวิปัสสนาญาณก็ดี ต้องตัดกังวลเสียให้หมด เวลาที่เราจะใคร่ครวญ ตัดกังวลทุกอย่างเสียให้หมด อะไรที่ยังทำไม่เสร็จทำมันเสียให้เสร็จ อย่าให้มันคั่งค้างไว้ ถ้าคั่งค้าง ถ้าจิตเป็นกังวล ผลมันไม่เกิด
พอเวลาออกพรรษาท่านก็กลับมา เมื่อกลับมาก็ตั้งใจว่าจะไปหาใครก่อน ไปถึงทาง ๓ แพร่ง ทางข้างซ้ายไปหาพระพุทธเจ้า ทางข้างขวาไปหาพ่อแม่ แต่พอคิดว่าเวลานี้เราเป็นพุทธสาวก เราควรจะไปหาพระพุทธเจ้าก่อนเมื่อไปถึงสำนักพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงเทศน์เรื่องกตัญญูกตเวที เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านคงรู้ ไม่ใช่ท่านไม่รู้ แต่ท่านไม่บอก ท่านก็เทศน์เรื่องกตัญญูกตเวที ว่าบิดามารดาเป็นผู้มีคุณสูง คนเราจะสนองคุณบิดามารดาให้เต็มที่ เอาพ่อมาวางไว้บนบ่าขวา เอาแม่มาวางไว้บนบ่าซ้าย ให้พ่อแม่ขี้บนนั้นเยี่ยวบนนั้น นอนบนนั้น สมมติว่าถ้าจะทำได้นะ สมมติเอาว่าถ้าจะทำได้จนกระทั่งตลอดชีวิต จะชื่อว่าเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ให้ครบถ้วนน่ะ ยังไม่ได้ ยังไม่เท่าความดีที่พ่อแม่มีอยู่ ความดีที่พ่อแม่มีอยู่นั้นเกินกว่านั้นมาก จะเอาความดีเพียงเท่านั้นไปเทียบกับความดีของพ่อแม่ไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่าบุคคลใดถ้าพ่อแม่มีความทุกข์หาความสุขมาเสนอสนองท่าน ถ้าท่านเป็นมิจฉาทิฐิ กลับใจให้เป็นสัมมาทิฐิ ปฏิบัติถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คือมีแดนสวรรค์ มีแดนพรหม มีแดนนิพพานเป็นที่ไป และหากว่าท่านเป็นสัมมาทิฐิอยู่แล้ว เป็นคนใจบุญสุนทร์ทานอยู่แล้ว ก็สนับสนุนบุญทานของท่านให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ท่านเป็นโลกียชน ก็นำท่านให้เป็นโลกุตตระ คือ นำท่านให้เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ถ้าทำได้อย่างนี้ ชื่อว่าความดีที่สนองใกล้เคียงกับความดีของพ่อแม่
นี่ท่านไม่ได้บอกว่าใช้ให้หมดนะ ท่านบอกใช้ได้ใกล้เคียงกับความดีของพ่อแม่ที่มีอยู่ พระองค์นั้นฟังแล้วก็ชื่นใจ เมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบก็ลา บอกว่าจะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาต เมื่อไปเห็นพ่อแม่อยู่ในสภาพนั่งขอทานอยู่ก็เข้าไปหา ทีแรกพ่อแม่จำไม่ได้ ก็บอกชื่อบอกเสียง บอกว่าฉันนะเป็นลูกของพ่อแม่ เวลานี้ทราบว่าพ่อแม่ไม่มีความสุข จะมาหาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พ่อแม่ก็บอกว่าเจ้าเป็นพระ จะมาเลี้ยงพ่อแม่ได้อย่างไร ท่านก็บอกว่าทำได้ กิจที่พึงทำได้ ก็พาพ่อแม่ไป เข้าไปอยู่ในป่าละเมาะใกล้ ๆ บ้านปลูกโรงเล็ก ๆ ให้อยู่

เวลาเช้าท่านก็บิณฑบาต เมื่อได้ข้าวมาก็ให้พ่อแม่กินก่อน ถ้าพ่อแม่กินเหลือท่านก็ได้ฉัน ถ้าไม่เหลือท่านก็ไม่ได้ฉัน ได้ผ้าใหม่มาท่านก็ทำลายสีเสีย ทำให้เป็นสีเขียวสีแดงแล้วก็เอาไปให้พ่อแม่นุ่งเอาผ้าเก่า ๆ ของพ่อแม่มาเย็บมาปะเข้าย้อมฝาดนุ่งเสียเอง ทำอย่างนี้จนอาการซูบผอมลงไปมาก ต่อมาพระสมัยนั้นท่านได้ยินข่าวเข้า ท่านก็ไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระองค์นี้ประจบฆราวาส ทำตนไม่สมควรกับความเป็นพระ เอาข้าวมาให้คนกินก่อนตัวกินทีหลัง ได้ผ้าใหม่มาเอาไปให้คนแก่นุ่ง ตัวเองเอาผ้าของคนแก่มานุ่งแทน พระพุทธเจ้าเมื่อได้ทรงทราบก็มีรับสั่งให้พระองค์นั้นเข้าเฝ้า เมื่อพระองค์นั้นเข้าเฝ้าแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ตรัสถามว่า ภิกษุ เธอทำอย่างนั้นหรือ ท่านก็กราบทูลพระพุทธเจ้าว่าเป็นความจริง ทำอย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็ถามว่าตาแก่สองคนตายายนั้นเป็นใคร ท่านก็บอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่พระพุทธเจ้าข้า พ่อแม่ของข้าพระพุทธเจ้าเอง ข้าพระพุทธเจ้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ พระพุทธเจ้าบอกว่า แหม เธอทำอย่างนั้นนี่มันทำถูกแล้วนี่ ทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว ยกมือขึ้นท่วมศีรษะพนมมืออย่างเราพนมขึ้นเหนือศีรษะว่า สาธุ สาธุ สาธุ เอาเข้า ๓ เที่ยว ดีละ ๆ ๆ สาธุเขาแปลว่าดีละ ที่เธอทำดีอันนี้ตถาคตไม่ห้าม ทำได้ อนุญาต เธอมีความกตัญญูรู้คุณคนดีมาก แล้วมีกตเวทีตอบแทนคุณท่าน เธอทำอย่างฉันสมัยเป็นพระโพธิสัตว์มีนามว่าสุวรรณ

แล้วพระพุทธเจ้าก็นำเรื่องของสุวรรณสามมาเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ไม่เล่านะ ลูกหลานที่รัก ถ้าเล่าเรื่องสุวรรณสามล่ะก็ ๓ เดือนไม่จบหรอก ถ้าพูดอย่างหลวงตาแก่นี้ เดี๋ยวเอาอะไรเข้ามาแทรก เป็นเรื่องยาวมาก ไปซื้อ ทศชาติมาอ่านเอานะ พระเจ้าสิบชาติน่ะ สุวรรณสามมีในนั้นแล้ว ก็เป็นอันว่าปลอดไป ไม่ถูกลงโทษ ได้รับคำสรรเสริญ นี่หลวงพ่อปานท่านบอกว่าเอาเรื่องขึ้นมาโต้กะเขา พอโต้แล้วคนคัดค้านก็ถอยหลังกรูด เท่าที่ท่านประคบประหงมพ่อแม่ของท่านนั้น หาว่าทำผิด ไปซักผ้าขี้ผ้าเยี่ยวผู้หญิง เอาผ้าผู้หญิงไปตากบนขื่อ อุ้มผู้หญิงลุกอุ้มผู้หญิงนั่ง เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเอง ป้อนข้าวเอง หาว่าทำผิด พระทำผิดประเพณี พอโดนเรื่องนี้เข้าหลวงพ่อปานบอกว่าถอยหลังกรูดยอมแพ้ยกมือขอขมาท่าน ท่านเลยบอกเรื่องขอขมาท่านไม่ถูกหรอก ธรรมะนี่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า เรื่องส่วนตัวของท่านไม่มีหรอก ท่านทำตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้า แล้วคนที่คัดค้านนั่นเป็นการค้านธรรมะ ของพระพุทธเจ้า การขอขมาต้องไปขอขมาต่อพระพุทธรูปในโบสถ์โน่นมันถึงจะพ้น ขอขมากับท่านไม่พ้นอีตานั่นกลัวลงนรกก็เลยต้องไปขอขมากับพระพุทธรูปในโบสถ์ แล้วพระพุทธรูปจะว่ายังไงบ้างก็ไม่รู้เหมือนกันนะตอนนี้ไม่รู้เหมือนกัน นี่เล่าให้ลูกหลานฟัง แต่ว่าปฏิบัติของท่านน่ะ ท่านมีความกตัญญูกตเวทีจริง ๆแล้วก็มีความห่วงใยในด้านบุพการีของท่านดีมาก หมายความว่าในฐานะท่านเป็นผู้ใหญ่ เวลาอยู่กับท่านน่ะเวลาจะฉันข้าว ท่านเดินตรวจกับข้าวก่อน วงไหนถ้าพร่องไปท่านจัดแบ่งให้ครบถ้วน แม้แต่ลูกเด็กเล็กแดงก็เหมือนกัน นี่ในฐานะท่านเป็นบุพการี คนในวัดทั้งหมด คนงานทั้งหมด ท่านสนใจเป็นพิเศษ คนไข้ทั้งหมดคนที่มารักษาโรคกับท่าน จะมีกินหรือไม่มีกินท่านตรวจหมด ถ้าไม่มีกินให้ข้าวสุกกับข้าวสารไปเลย ถ้าไม่มีใครหุงหาให้เป็นเรื่องเดือดร้อนของพระ พระกับเด็กจะต้องจัดให้ นี่ท่านมีทานบารมีสูง เป็นบุพการีอย่างสูงเป็นสาธารณประโยชน์หายาก

แล้วท่านก็บอกว่า ตอนที่ฉันโตขึ้นมาแล้วฉันก็ไปเทศน์ให้แม่ฉันฟังพ่อฉันฟัง ถึงเรื่องอรหังและพุทโธ ว่าไม่ใช่เรื่องของคนตายจะพูดคนเดียว ต้องพูดกันก่อนตาย ภาวนากันก่อนตาย พ่อแม่ของท่านก็รับฟัง แล้วท่านก็ลงท้ายเรื่อง ท่านบอกว่า ตอนท้ายเมื่อตอนพ่อแม่ฉันตายนะ ฉันดีใจ ไม่ใช่ดีใจเพราะพ่อแม่ตายจะรับทรัพย์มรดก ไม่ใช่ยังงั้น ท่านบอกว่า พ่อแม่ฉันตาย ฉันดีใจมาก ตอนนั้นฉันก็เป็นขั้นลิงเท่านั้น ฉันไม่เข้าใจว่าท่านดีใจอย่างไร ก็เลยถามว่า หลวงพ่อดีใจอย่างไรขอรับ หลวงพ่ออยากจะรับมรดกยังงั้นรึ ท่านหัวเราะชอบใจ ท่านบอกว่าเจ้าลิงดำมันสงสัยอะไร มีเอ็งคนเดียวเท่านั้นพูดน่ะ ในที่ประชุมนี่น่ะไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ฉันพูดอะไรก็หาคนสงสัยไม่ได้ บางทีเขาสงสัยเขาไม่ถามฉัน แล้วก็ไปวิพากษ์วิจารณ์กันว่าพูดทิ้งไว้แค่นั้นพูดทิ้งไว้แค่นี้ นี่มีเอ็งคนเดียวมันปากอยู่ไม่สุข ไอ้ปากเอ็งน่ะมันมุบมิบ ๆ ไม่ต่างกับปากลิง นั่นไป ๆ มา ๆ ก็นวดเราเข้าอีก เลยบอกว่าหลวงพ่อตั้งให้ผมเป็นลิงนี่ครับ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ตั้ง เอ็งมันเป็นลิงตั้งหลายชาตินี่หว่า แล้วก็มันเป็นลิงของข้าเสียด้วย ไอ้ลิงตัวอื่นไม่เท่าไหร่ เอ็งมันเป็นลิงระยำมาก เผลอเป็นลักของทุกที เผลอไม่ได้ ไม่ว่าอะไรล่ะลักดะ ถ้าของหายเป็นไม่พ้นไอ้ลิงดำละ ข้าไม่เคยบาป ข้าโทษทีไรมันตรงทุกที แล้วก็หัวเราะชอบใจ พูดไปพูดมาก็บอกว่า แม้แต่ชาตินี้ก็เหมือนกันละวะ เอ็งมาบวชนี่ เอ็งขโมยคาถาอาคาของข้าไปกี่บทแล้ว นี่ข้ารู้นาไอ้ลิงดำนา ไม่ใช่ข้าไม่รู้นา เอ็งคนเดียวนาขโมยตำราข้านา พูดแล้วก็ชอบใจ แล้วไม่ว่าอย่างไร ไม่รู้จะตอบท่านอย่างไร ก็เลยยิ้มแหย ๆ ไปอย่างนั้น ท่านก็เลยบอกว่าเอ็งคนเดียวแหละดี เอ็งถามอย่างนี้แหละดี ไม่ถามเสียมันก็ไม่คลายสงสัย มันก็ต้องสงสัยกันเรื่อยไป รายอื่นก็เหมือนกันฉันพูดอะไรไปสงสัยก็ควรถาม อย่าไปนิ่งกันไว้จะไปเกรงใจฉันทำไม ไอ้เรื่องที่ฉันพูดนี่นะฉันพูดให้รู้ ไม่ใช่พูดให้สงสัย แล้วท่านก็ว่าไป บอกว่าที่ฉันดีใจน่ะมันยังงี้ คือว่าทั้งพ่อแม่ฉันก่อนที่ท่านจะตายได้ญาณทั้งหมดนะ ท่านทรงญาณละเอียด แล้วก็ได้วิปัสสนาญาณละเอียด ท่านทิ้งไว้แค่นี้แหละ ท่านบอกว่าพ่อแม่ของฉันได้ทรงญาณละเอียด และวิปัสสนาญาณละเอียดแต่ว่าท่านทั้งสองก็ต้องมาเกิดอีกวาระหนึ่ง แล้วฉันต้องเป็นลูกท่านอีกทีหนึ่ง แล้วต่อจากนั้นไปท่านก็ไม่มีโอกาสจะเกิดอีก นี่ท่านรู้ของท่าน ท่านดีใจตรงนี้ ดีใจว่าพ่อแม่ของท่านมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิตั้งมั่น มีวิปัสสนาญาณละเอียด


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top