Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 8/10/11 at 05:49 [ QUOTE ]

แม่นหรือมั่ว..นารีขี่ม้าขาวกับ “สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยว” (โพสต์ในเว็บอื่น)


แม่นหรือมั่ว! นารีขี่ม้าขาว กับเรื่องราว....
“สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ”

เขียนโดย nattawat_86 โพสต์เมื่อ วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม 2554

......Mthainews: ภายหลังจากเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมา การลงรับสมัครของแคนดิเดตอย่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้เกิดความสนใจ ด้วยการประโคมข่าวของ “นารีขี่ม้าขาว” ที่ผู้หญิงจะเปลี่ยนผ่านการเมือง สร้างประวัติศาสตร์จารึกชื่อ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ความเปลี่ยนแปลงหลังเข้ารับตำแหน่ง หลายๆ อย่าง เป็นความคาดหวังของประชาชน และเป็นแรงกดดันให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องพิสูจน์ความสามารถให้ประชาชนได้เห็น

สิ่งหนึ่งที่หลายคนกำลังสนใจก็คือ คำทำนายที่อ้างว่า เป็นของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ “จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง” ทั้งที่เข้ารับตำแหน่งเพียงไม่กี่เดือน คำทำนายก็ดูเหมือนจะคล้องกันไปเสียทุกอย่าง เมื่อหลายๆ จังหวัดประสบอุทกภัย จนคำทำนายถูกหยิบยกมากล่าวกันอีกครั้ง ตามที่ได้มีคำทำนาย ต่อมาว่า

“ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ”

อย่างไรก็ตาม ตามที่มีการร่ำลือกันว่า เป็นคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำนั้น นายศุภเดช สืบตระหง่าน ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจากวัดจันทาราม (ท่าซุง) ได้ออกมาปฏิเสธว่า คำทำนายดังกล่าวว่า เป็นคำทำนายที่ถูก “กล่าวอ้าง” ขึ้นเท่านั้น ไม่ได้มาจากหลวงพ่อฤาษีลิงดำแต่อย่างใด

คำทำนายทั้งหมดที่กล่าวขึ้นมาเป็นความเชื่อ ที่บ้างก็เข้าใจกันไปต่างๆ นานา หลายคนยังไม่ปักใจเชื่อว่า "นารีขี่ม้าขาว" จะเป็นนายกรัฐมนตรี ยิ่งลัษณ์ ชินวัตร บางคนตีความไปอีกแง่ว่า ผู้ปกครองจะเป็นหญิง (ให้) พึงระวัง ฟังดูแล้วไม่ดีเท่าไหร่นัก หรือบ้างก็เชื่อว่ามีการแต่งเติมเพื่อหวังผลบางอย่าง การเชื่อมโยงคำทำนายให้สอดคล้องกัน เป็นการจับแพะชนแกะ ให้เข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น



เกิดคำถามขึ้นมาว่า หากไม่ใช่ของ "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" แล้วคำทำนายนี้ มาจากแหล่งใด?

.......ไม่มีหลักฐานอ้างอิงที่แน่ชัดว่า ถึงที่มาของคำทำนายนี้ แต่มีการเผยแพร่ ส่งต่อกันในแวดวงอินเตอร์เน็ตมานานหลายปี จนเริ่มปรากฎให้เห็นในช่วง 3-4 ปีมานี้ เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่แบ่งแยกออกเป็นฝักฝ่าย กลายเป็นสิ่งเชื่อมโยงกันให้สอดคล้อง เพราะบางเหตุการณ์ ตรงจังหวะกับคำนายอย่างแม่นยำ

แม้ว่าจะเชื่อคำทำนายหรือไม่นั้น เหตุการณ์ความวุ่นวายได้ก้าวผ่านไปแล้ว หากจะพิสูจน์ให้เห็นจริง คงต้องรอเวลาว่า ประเทศไทยจะเป็นดั่งคำทำนายที่ว่า...

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา


แน่นอน...คนไทยก็ต่างหวังให้เป็นเช่นนั้น หลังจากประชาชนชาวไทย ประสบเคราะห์กรรม ทั้งการเมือง ภัยพิบัติ หากฟ้าหลังฝนของคำทำนาย จะนำประเทศก้าวไปสู่ความศิวิไลซ์จริง ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ


เวลา เท่านั้น คือสิ่งเดียว ที่สามารถพิสูจน์ได้…

อ้างอิงจาก - http://news.mthai.com/hot-news/134956.html


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/10/11 at 15:02 [ QUOTE ]


☺....การที่ทีมงานฯ ได้นำเรื่องราวเหล่านี้มาให้อ่านกัน นั่นเป็นความเห็นที่โพสต์ไว้ในเว็บไซด์ดังกล่าว คิดว่าทางวัดท่าซุงคงไม่มีความเห็นอะไร เพราะวางตัวเป็นกลางอยู่แล้ว แต่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในวังวน แต่ชื่อเสียงเกียรติคุณของคำว่า "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" ยังถูกนำเข้าไปในกระแสเหล่านี้บ่อยๆ โดยเฉพาะระหว่างที่มีน้ำท่วมอยู่นี้ ปรากฏว่ามีผู้เยี่ยมชมเข้ามาอ่านเรื่อง "หลวงพ่อฤาษีลิงดำบรรยายเรื่อง "อนาคตของประเทศชาติ" กันมากมายทุกวัน

ทั้งนี้ คิดว่าสภาพจิตใจของคนไทยในเวลานี้ ถ้าเป็นคนที่มีความเข้มแข็งหน่อยก็พอทนได้ แต่คนที่ไม่มีอะไรเหลือ คงตกอยู่ในสภาวะจิตใจที่ย่ำแย่อย่างแน่นอน อาจจะต้องแสวงหาที่พึ่งพาทางจิตใจบ้าง หรือหาคำพูดของผู้ที่เราเคารพนับถือ ว่าท่านเคยพูดอะไรเกี่ยวกับเมืองไทยไว้บ้าง ซึ่งท่านก็ได้พูดไว้เท่าที่ได้นำลงมาให้อ่านกันแล้ว แต่ที่มีคำทำนายนอกเหนือจากคำพูดของท่านไปนั้นก็แล้วแต่จะวิเคราะห์กัน

แต่ถ้าจะถามความเห็นของทีมงานฯ ละ คงจะต้องออกตัวก่อนว่าไม่มีความเห็นอะไรมากนัก นอกจากคำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เคยพูดไว้สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ทำนายอนาคตของวัดท่าซุงไว้ว่า วัดท่าซุงจะอยู่ถึงประมาณปี พ.ศ. 4500 หลังจากนั้นจะเสื่อมโทรมไปตามกาลสมัย ส่วนผู้ที่เกิดจะมาสืบต่อภายหลังนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะลงมาลาพระโพธิญาณ เพื่อดำรงพระศาสนาให้รุ่งเรืองสืบต่อไป สำหรับเมืองไทยก็จะมีพระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์ตลอดไปเช่นกัน อีกทั้งแร่ธาตุธรรมชาติเช่น น้ำมัน ทองคำ แร่ใส จะบังเกิดขึ้นอย่างมากมาย แต่มีข้อแม้ว่าคนไทยต้องดีและสามัคคีกันกว่านี้

ฉะนั้น ถ้าเมืองไทยเป็นอะไรไป วัดท่าซุงก็คงอยู่ไม่ได้เหมือนกัน แต่จะไม่ให้เกิดอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่กฎแห่งกรรมบ้าง ซึ่งจะต้องอ้างคำทำนายโบราณว่า

"ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา จะมีภัยเหมือนกันแต่ไม่ร้ายแรงนัก"

ซึ่งมีหลักฐานยืนยันได้ว่าภัยพิบัติครั้งนี้ เมืองไทยก็ได้รับการช่วยเหลือจากผู้ที่มองไม่เห็นตัว จากหนักเป็นเบา คิดว่าผู้อ่านคงจำเหตุการณ์ได้ว่า พายุที่พัดผ่านประเทศฟิลิปปินส์ จีน เวียดนาม ลาว กัมพูชา ได้สร้างเสียหายมากมาย โดยเฉพาะชื่อพายุที่พัดผ่านไปมีชื่อดังนี้

1. พายุนกเต็น,
2. พายุไหหม่า,
3. พายุไห่ถาง,
4. พายุเนสาด,
5. พายุนาลแก และลูกสุดท้ายคือ
6. พายุบันยัน


ถ้าผู้อ่านไปย้อนเหตุการณ์ จะเห็นว่าพายุแต่ละลูกมีศูนย์กลางที่ไหน แล้วพัดผ่านสร้างความเสียหายประเทศไหนบ้าง โดยเฉพาะเส้นทางของพายุรุนแรงมาก แต่พอเข้าเขตประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเป็นดีเปรสชั่น นั่นหมายถึงเหลือแค่ฝนเท่านั้น เท่าที่สังเกตเมืองไทยถือว่ายังโชคดี (บนความโชคร้าย) ที่เราโดนพายุกระหน่ำแค่ 3-4 ลูกเท่านั้น ส่วนอีก 2 ลูก คือ "นาลแก" และ "บันยัน" สร้างความเสียหายให้ประเทศอื่น แต่พอจะเข้าถึงประเทศไทย กลับสลายหายไปเฉยๆ

เดิมทีทีมงานฯ วิตกกังวลมาก หาก "พายุนาลแก" เข้าซ้ำเติมอีก ในขณะที่น้ำในเขื่อนทุกเขื่อนในประเทศไทยเต็มหมด แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหากสมมุติว่าเขื่อนใดเขื่อนหนึ่งพัง นี่นับว่าประเทศไทยโชคดีที่คนไทยยังมีความเคารพนับถือ "พระสยามเทวาธิราช" อีกทั้งพระบารมี "ในหลวง" ของปวงชน จึงได้ดลบันดาลให้พายุลูกหลังอีก 2 ลูก หายไปในทันที

ด้วยเหตุผลเช่นนี้ จึงขอให้กำลังใจทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ ถึงแม้บางท่านจะประสบภัยน้ำท่วมกันมาแล้ว เพราะน้ำหลากครั้งนี้รุนแรงมาก สร้างความลำบากไปทุกหย่อมหญ้า พบกันหลายจังหวัดเกือบทุกภาคของประเทศ ตอนนี้น้ำก็หลั่งไหลเข้าสู่เขตรอบนอกของเมืองหลวง กำลังตีโอบล้อมเข้าไปทุกขณะ ผู้ที่อยู่ใกล้ประตูระบายน้ำ หรือมีบ้านชั้นเดียว (นอกคันกั้นน้ำของกทม.) ควรจะเก็บสิ่งของและย้ายไปที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวได้แล้ว ส่วนผู้ที่อยู่ภายในคันกั้นน้ำของกทม. ก็อย่าประมาทหรือตื่นตกใจ ต้องคอยฟังข่าวและตรวจสอบน้ำอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเตรียมตัวไว้เช่นเดียวกัน ส่วนภาคใต้คงเป็นลำดับต่อไป.

ทีมงานฯ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 19/10/11 at 14:49 [ QUOTE ]


นับถอยหลัง..กรุงเทพฯ เสี่ยงต่อภัยน้ำท่วมแล้ว


.......วันนี้คงมาพบกับผู้เยี่ยมชมอีกเป็นวันที่สอง หลังจากได้เสนอความเห็นบางอย่างผ่านไปแล้ว อาจจะต้องพูดอ้อมไปอ้อมมาบ้าง เพราะเหตุการณ์ข้างหน้าต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นกับเมืองหลวงของประเทศบ้าง หลังจากกระแสน้ำได้ไหลเข้าทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง นับตั้งแต่นครสวรรค์เรื่อยลงมาถึงอยุธยา

จนกระทั่งเข้าโจมตีจังหวัดรอบนอกของกรุงเทพฯ คือ นนทบุรี ปทุมธานี มีนบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ เป็นต้น ในเวลานี้ได้เข้าท่วม "นวนคร" ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทางรัฐบาลและ กทม. พร้อมด้วยหน่วยราชการต่างๆ ช่วยกันทำแนวกั้นบริเวณ "คลองหกวา" ซึ่งมีระยะทาง 6 กิโลเมตรเศษ เพื่อให้ทันเวลาที่กำหนดไว้ 48 ชั่วโมง ในตอนนี้เหลือเวลาไม่มากนัก

เห็นภาพคนไทยที่ช่วยเหลือกันแล้วน่าชื่นใจเหลือเกิน แต่ก็ยังหนักใจในเรื่องการวางกระสอบทราย เห็นแล้วทำให้นึกย้อนไปตั้งแต่นครสวรรค์ลงมาถึงอยุธยา ยังไม่สามารถจะขวางกั้นน้ำได้จริงจังนัก ส่วนใหญ่กระแสน้ำจะทำลายไปหมดสิ้น จนยากที่จะเข้าไปซ่อมแซมได้ทันการณ์

โดยเฉพาะกระแสน้ำปีนี้ นับว่าโชคร้ายที่น้ำฝนตกลงสู่ภาคเหนืออย่างหนัก จึงทำให้น้ำเต็มทุกเขื่อน ซึ่งเป็นมวลน้ำที่ไหลออกมาจากเขื่อนใหญ่ แล้วพุ่งตัวลงมาตามลำน้ำ ถ้าเป็นเขื่อนภูมิพลจะไหลลงสู่แม่น้ำปิง และเขื่อนสิริกิตจะไหลลงสู่แม่น้ำน่าน เป็นต้น แล้วแม่น้ำปิง วัง ยม น่าน ต่างก็ไหลมารวมกันที่แม่น้ำเจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ มวลน้ำทั้งหมดต่างก็ไหลล้นผ่านลงมาตามจังหวัดตอนล่าง น้ำเหล่านี้ไหลบ่ากระจายเข้าบ้านเข้าทุ่งนา แล้วก็ไหลลงมาสู่ที่ต่ำอย่างแรงไม่เป็นทิศเป็นทาง น่าจะเรียกว่า "น้ำทุ่ง" ประกอบกับในระหว่างทางมีการขวางกั้นจากคันน้ำบ้าง มวลน้ำยิ่งทวีความรุนแรงและไหลเชี่ยว

ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าหากวางกระสอบทรายแบบที่เคยทำ นั่นเป็นการวางกั้นสำหรับน้ำที่ล้นเอ่อขึ้นมาจากที่ต่ำ ที่เรียกว่า "น้ำหนุน" การวางกระสอบทรายแบบง่ายๆ ก็ยังพอทำได้ แต่ในเวลานี้เป็นกรณีที่แตกต่างกัน นั่นก็คือเป็นการไหลของ "น้ำทุ่ง" ที่มาจากที่สูงเพื่อไหลลงที่ต่ำ (หมายถึงไหลมาจากทางเหนือเพื่อลงสู่ทะเล) จึงมีความรุนแรงมากยากที่จะเอาอะไรมาขวางกั้นได้

ด้วยเหตุนี้ ทีมงานฯ รู้สึกเป็นห่วงผู้ที่อาศัยอยู่ภายในและปริมณฑลทั้งหมด หากสามารถจะเตรียมย้ายก็จะเป็นการดี เพราะคิดว่าแนวคันที่ทำกั้นไว้นั้น คงไม่สามารถจะยืนอยู่ในระยะยาวนานได้ ในไม่ช้าก็ต้องพังลงไป ดังตัวอย่างที่เห็นมาแล้วหลายแห่งแล้วนั่น อีกทั้งบางแห่งน้ำอาจจะผุดเข้าทางท่อระบายน้ำ จึงยากที่จะป้องกันได้

ในขณะนี้อุตสาหกรรมบางกระดี, อุตสาหกรรมลาดกระบังก็เริ่มมีสภาพเช่นนี้ ผู้ว่าฯ ก็ได้เตือน 7 เขตให้เตรียมขนย้ายได้แล้ว คิดว่ามหาอุทกภัยในครั้งนี้ เราจำเป็นต้องเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตให้ปลอดภัยไว้ก่อน โดยเฉพาะคำทำนายที่บอกว่า ปี 2012 โลกจะเกิดภัยพิบัติ แต่ปรากฏว่าประเทศไทยถูกอุทกภัยเข้าทำลายตั้งแต่ปี 2011 ไปแล้ว

.......ด้วยเหตุนี้ ตามความเห็นของคณะทีมงานฯ จึงขอเตือนให้ผู้ที่อยู่บริเวณจุดเสี่ยง (ส่วนที่ไม่ใช่จุดเสี่ยง ควรเตรียมตัวไว้ด้วยก็ดี) ไม่ใช่แค่เก็บของขึ้นที่สูงอย่างเดียว ควรจะหาที่พักพิงชั่วคราวในที่ปลอดภัยอีกด้วย พร้อมทั้งการติดตามข่าวสารกับสติที่มั่นคง นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป...ด่วน..!!!

ทีมงานฯ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/10/11 at 14:38 [ QUOTE ]


สู้พลาง..ถอยพลาง


.....วันนี้ได้พบกับท่านผู้อ่านในยามบ่าย เพราะเห็นว่าสถานการณ์ "มหาอุทกภัย" ครั้งนี้ร้ายแรงยิ่งนัก แต่ความจริงภาพเหตุการณ์เช่นนี้ ถ้ายังไม่ลืม..ชาวไทยได้เห็นการหอบลูกจูงหลาน พร้อมแบกวัตถุสิ่งของต่างๆ มากมาย ทั้งรถทั้งเรือต้องวิ่งเข้าออก เพื่อรับส่งผู้ที่ติดค้างอยู่ภายในตลอดเวลา นับตั้งแต่นครสวรรค์เป็นต้นมา ตัวอย่างที่เห็นนี้เป็นภาพที่คนไทยหมดสิ้นทุกอย่างจริงๆ

และในเวลานี้ ภาพเหตุการณ์เช่นนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่ปทุมธานี นนทบุรี เป็นต้น ภาพน้ำทะลักทำลายแนวคันกั้นน้ำ จนไม่สามารถหยุดยั้งได้เลย น้ำไหลเชี่ยวแรง และไหลอย่างรวดเร็ว จนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ ไม่สามารถจะหลีกหนีได้ทัน ทีมงานฯ รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมาก และก็ไม่อยากให้ภาพเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ อีกทั้งเป็นห่วงสถานที่สำคัญต่างๆ รวมทั้งสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น น้ำประปา และไฟฟ้า ตลอดถึงยวดยานพาหนะต่างๆ ที่จะใช้สัญจรไปมา อาจจะได้รับความเสียหายไปด้วย

โดยเฉพาะเมื่อคืนนี้น้ำได้ไหลเข้ามาทางคลองประปาแบบไม่ทันตั้งตัว คงคิดว่าเป็นวอเตอร์เวย์กระมัง แต่ก็สามารถแก้ไขได้ ยังไม่รู้ว่าน้ำจะทะลวงเข้ามาทางไหนอีก เป็นอันว่าเวลานี้กรุงเทพฯ ถูกน้ำล้อมไว้หมดแล้ว ยากที่จะต่อต้านได้ จึงคิดว่าน่าจะ "สู้พลาง..ถอยพลาง" ดีกว่า พอดีได้เห็นนักวิชาการหลายท่านแนะนำทางทีวี ซึ่งมีวิธีแก้ไขด้วยกันหลายวีธี เช่น...

.......การปล่อยน้ำให้ไหลผ่านเข้ามาในคูคลองต่างๆ ของกทม. พร้อมกับการผันน้ำไปทางทิศตะวันตกและตะวันออกไปด้วยกัน เพื่อลดกระแสน้ำที่ไหลลงมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เตรียมเก็บของหรือขนย้ายออกไปจากที่อยู่ของตนเอง (ถ้าใครมีบ้านอยู่ต่างจังหวัดที่น้ำไม่ท่วมก็ย้ายไปอยู่ชั่วคราวได้เลย) เวลานี้ประชาชนกำลังช่วยกันบรรจุถุงทรายเพื่อวางกั้นแนวคลองหกวา


สรุปข้อคิดเห็นของทีมงานฯ

☺.......คิดว่าควรปล่อยให้น้ำไหลผ่านกรุงเทพฯ ลงทะเลไปเลย เพื่อจะได้ควบคุมกระแสน้ำได้บ้าง ดีกว่าปล่อยให้น้ำไหลบ่าแบบไร้ทิศทาง และเราก็สามารถเตือนภัยให้ประชาชนที่อยู่แต่ละเขต สามารถอพยพได้ทันท่วงที และขอเตือนศูนย์พักพิงฯ บางแห่ง และศูนย์ ศปภ. เตรียมย้ายไปอยู่ที่ถาวรกว่านี้ด้วย แน่นอนละ..ถ้าถามความเห็นว่าจะท่วมไหม คงจะมีคำตอบเหมือนกับท่านผู้อ่าน นั่นก็คือ...ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก คงยากที่จะหลีกพ้นได้ ต้องทำใจรับทุกข์กันทั้งประเทศ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คงต้องนับถอยหลังกันได้แล้วละครับ...!


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/10/11 at 09:42 [ QUOTE ]


Water Way (ทางระบายน้ำ)


☺......พบกันยามเช้าเท่าที่ดูสถานการณ์จากของจริง และจากการวิเคราะห์ของนักวิชาการ รวมถึงการทำงานของภาครัฐและประชาชน นับว่าทุกท่านต่างก็มีความตั้งใจจริง (จะมีความเห็นต่างกันบ้างก็เป็นธรรมดา) โดยเฉพาะการที่มีนโยบายผันน้ำลงคลองผ่านชั้นในกรุงเทพฯ เพื่อลดแรงของน้ำที่จะปะทะบริเวณแนวกั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าน้ำก็ยังทะลุผ่านคลองประปามาได้อีก

ทึมงานฯ คิดว่าน่าจะถือเอา "วิกฤติเป็นโอกาส" แต่ต้องหาวิธีเอาน้ำประปาจากแหล่งอื่นมาทดแทน วิธีนี้คงต้องทำเป็นตอนสุดท้าย หากการระบายน้ำผ่านคลองต่างๆ จำนวน 3 คลอง อันมีคลองแสนแสบ เป็นต้น อาจจะไม่สามารถระบายได้ทัน เนื่องจากปลายเดือนนี้จะมีมวลน้ำมากมายมหาศาล 3 ทาง คือ

- น้ำทุ่งที่ไหลบ่ามาจากอยุธยา
- น้ำเหนือ (น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา) ที่ไหลสมทบมาเรื่อยๆ
- น้ำทะเลหนุนปลายเดือนนี้


จึงคิดว่าระหว่างวันนี้ถึงวันที่ 2 พ.ย. 54 กรุงเทพฯ คงรับภาระหนักแน่ ดีไม่ดีน้ำจะไหลท่วมท้นแบบไร้ทิศทาง เหมือนน้ำที่มาจากอยุธยาอีก ยากที่จะควบคุมได้ตามที่วางแผนไว้ หากจำเป็นจริงๆ ขอเสนอแผนสองเผื่อไว้ ไหนๆ คลองประปาเป็นเหมือนคลองระบายน้ำ (ซึ่งเป็นคำพูดของท่านผู้ว่าฯ กทม.) ทีมงานฯ ก็ถือเอาวิกฤตเป็นโอกาส คือระบายมวลน้ำลงคลองประปา ระยะทางที่ไหลผ่าน 26 ก.ม. ทำเป็นวอเตอร์เวย์ (Water Way) ไปเลย

ช่วงนี้ชาวกรุงเทพฯ หรืออาจจะรวมถึงฝั่งธนบุรีเกือบทั้งหมดก็ได้ (ภายในอาทิตย์นี้) อาจจะต้องทำใจฝึกฝนการอาศัยอยู่กับน้ำนานนับเดือน จนกว่าน้ำจะไหลลงทะเลทั้งหมด ทีมงานฯ เห็นด้วยที่จะให้ย้ายศูนย์ ศปภ. กลับมาอยู่ภายในกรุงเทพฯ เพื่อจะถอยร่นลงมาช่วยส่วนกลาง รวมทั้งฝั่งธนฯ ได้ทันท่วงที (นี่เป็นการคาดเหตุการณ์เอาไว้ล่วงหน้า)

อย่าเพิ่งตกอกตกใจนะครับ นี่เป็นการสันนิษฐานเท่านั้นเอง อาจจะไม่เป็นจริงก็ได้ เพียงแค่ให้เตรียมตัวเตรียมใจไว้เท่านั้น ถือว่าเป็นการไม่ประมาท หากไม่เกิดจริงก็ไม่เสียหายอะไร แต่ถ้าเกิดขึ้นมาเราก็จะเตรียมตัวได้ทัน ตัวอย่างที่บางบัวทองเป็นต้น ทางที่ดีคิดว่าย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดก่อนก็ดี ลองดูคลิปความเห็นนักวิชาการกันบ้างนะครับ (ตอนต่อไปพบกับ "ซึนามิน้ำจืด")


แนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพชั้นใน



แผนที่คลอง แผนผังคลอง คลองในภาคกลาง คลองระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและบางประกง คลิกที่นี่
สถานะจุดควบคุมเฝ้าระวังคลองส่งน้ำประปา คลิกที่นี่


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/10/11 at 16:34 [ QUOTE ]


สึนามิน้ำจืด...ถล่มเมืองหลวง


ภาพถ่ายดาวเทียมน้ำท่วม 2 มวลน้ำก้อนใหญ่ ล้อมรอบกรุงเทพฯ


คลิกชม..ภาพถ่ายดาวเทียม แผนที่น้ำท่วมประเทศไทย


........เมื่อท่านได้เห็นภาพถ่ายทางดาวเทียมนี้ อย่าเพิ่งตกอกตกใจกันนะครับ เพราะมวลน้ำมหาศาลไม่ได้ลงมาถล่มแบบม้วนเดียวจบ เหมือนกันซึนามิที่มาจากทะเล แต่มันดาหน้าเข้ามาล้อมรอบเหมือนข้าศึกประชิดติดพระนคร หากเข้าโจมตีพร้อมกันในขณะที่น้ำทะเลหนุนในปลายเดือนนี้ ต้องเรียกตามที่ได้ตั้งหัวข้อไว้ว่า "สึนามิน้ำจืด" นั่นเอง


อ้างอิงข้อมูลจาก : มติชนออนไลน์ , ระบบบูรณาการข้อมูล กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (MICT)

พวกเราชาวไทยต้องทำจิตใจให้มั่นคง เหมือนชาวญี่ปุ่นที่เจอกับซึนามิทางทะเลแบบเต็มๆ มาแล้ว เขามีสติที่เข้มแข็งมาก ไม่เอะอะโวยวายทะเลาะวิวาทกัน..ไม่แย่งชิงกันในขณะยืนเข้าคิวรอรับอาหาร ต้องชื่มชมว่าเขาสงบมาก ทั้งๆ ที่บางครอบครัวสูญเสียหมดสิ้นทุกอย่าง ทั้งทรัพย์สินสิ่งของและชีวิตของญาติพี่น้อง

จึงอยากจะเชิญชวนให้ทุกคนอดทนต่อสู้กับความทุกข์ยากลำบากในครั้งนี้ ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ อย่าตกใจจนลนลาน ตรวจดูทรัพย์สินมีค่า และไฟฟ้าที่อยู่ในบ้านเรือน หากไม่ปลอดภัยจริงๆ ควรอพยพออกมาทันที ตัดสินใจให้เด็ดขาด อย่าห่วงทรัพย์สินบ้านเรือนจนเกินไป ถ้าหากน้ำท่วมไปแล้ว เจ้าหน้าที่จะเข้าไปช่วยเหลือลำบาก ต้องเห็นใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วย

ดังจะเห็นว่ามหาอุทกภัยในครั้งนี้ ชาวไทยไม่คิดว่าจะต้องประสบพบเห็นกัน ถ้าจะย้อนภาพเหตุการณ์เมื่อปี 2485 จนถึงปี 2554 นับเป็นเวลาครบรอบ 70 ปีพอดี นับเป็นชะตาของประเทศจริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการทำนายกันว่า ปี 2012 โลกจะประสบภัยพิบัติ โดยเฉพาะเมืองหลวงของประเทศไทย มีตำแหน่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เหมือนกับเมืองหลวงของประเทศเมียนม่าร์ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิรวดีเช่นกัน ที่เรียกว่า เมืองเนปิดอว์ (Naypyidaw)

แต่เหตุใด ทำไมพม่าจึงย้ายกรุง ไม่เพียงแต่ชาวโลกที่อยากรู้คำตอบ แต่ชาวพม่าเองก็สงสัยเหมือนกันว่า รัฐบาลทหารคิดอะไรอยู่กันแน่ เพราะแผนการย้ายเมืองหลวงมีขึ้นแบบฉุกละหุก ทั้งที่เนย์ปิดอว์ยังสร้างไม่เสร็จ เหตุผลหลักของการย้ายเมืองแบ่งได้เป็น 2 เหตุ ได้แก่ เหตุแห่งความมั่นคง และ เหตุผลด้านโหราศาสตร์

โดยเฉพาะหมอดูในเมืองพม่า คนไทยบางคนก็ต้องยอมรับและเชื่อถือ แม้แต่นักการเมืองของไทยยังต้องบินไปหา จึงเชื่อว่าน่าจะมีกุนซือในเรื่องการย้ายเมืองหลวงอย่างแน่นอน แต่จะมีสาเหตุอะไรคงจะต้องไปถามเขาเอง สำหรับชาวไทยในเวลานี้ ถือว่าเมืองหลวงกำลังจะมีภัยใหญ่ หากได้ฟังเรื่องนี้ที่ได้ออกอากาศทางโมเดรินไนท์ทีวีไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 22 ต.ค. นี้เอง ตามข่าวบอกว่า....

ดร.สมิทธ ธรรมสโรช เคยเตือนล่วงหน้าไว้เรื่องคลื่นยักษ์สึนามิในพื้นที่ทะเลชายฝั่งอันดามันของไทย เมื่อปี 2547 ล่าสุด ดร.สมิทธ ออกมาเตือนว่าภายใน 8-9 ปี ข้างหน้า กรุงเทพฯ จะถูกน้ำท่วมเต็มทั้งพื้นที่ สูง 1-2 เมตร รวมทั้งได้วิเคราะห์ถึงเหตุการณ์น้ำท่วมหนักในปัจจุบันไว้ด้วย สาเหตุและปัจจัยต่างๆ เป็นเพราะอะไร ติดตามพร้อมกันช่วงเล่าเรื่อง. - สำนักข่าวไทย

กรุงเทพฯ เสี่ยงจมน้ำถาวร


Mcot Channel ประจำวัน วันเสาร์ ที่ 22 ต.ค. 54


ในระหว่างนี้คิดว่าคนไทยไม่ควรทะเลาะกันเอง ควรหันหน้ามาแก้ไขอย่างที่ทำกันในเวลานี้ คือร่วมแรงร่วมใจช่วยกันแก้ไขปัญหาใหญ่ให้ผ่านไปได้ คิดว่าให้เสียหายน้อยที่สุด จะบอกว่าไม่ให้น้ำท่วม ไม่ให้เสียหายเลยคงเป็นไปไม่ได้ แต่คงจะไม่ได้ล่มจมหายไปจากแผนที่โลกอย่างที่ว่ากัน เพราะตามหลักฐานบอกว่า ประเทศไทยจะดำรงพระพุทธศาสนาครบ 5000 ปี

แต่ก็ขอเตือนว่าอย่าได้ประมาทจนเกินไป ถ้าศึกษาตามประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ในอดีตเมืองเคยล่มจมน้ำมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ตัวอย่าง "ทะเลสาบเชียงแสน" ตามตำนานบอกว่าเคยเป็นที่ตั้ง "เมืองโยนก" มาก่อน ต่อมาได้ล่มจมน้ำไปจนกลายเป็นทะเลสาบไป แม้ในสมัยพุทธกาลผ่านมาสองพันกว่าปีมาแล้ว ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกบอกว่า

......ณ นครสาวัตถี สถานที่สร้างพระมหาวิหารเชตวัน โดยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี บุพพาราม โดยวิสาขามหาอุบาสิกา ตั้งอยู่ในแคว้นโกศล ภายใต้การปกครองของกษัตริย์นามว่า "พระเจ้าปเสนทิโกศล" พระพุทธองค์เสด็จประทับอยู่ในมหานครแห่งนี้รวมแล้ว ๒๕ พรรษา

สมัยต่อมา "พระเจ้าวิทูฑภะ" ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ขึ้นปกครองต่อจากพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้ที่มีความอาฆาต นำกองทัพไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แห่งศากยวงศ์ พระประยูรญาติของพระพุทธเจ้าแทบจะสิ้นตระกูล พระเจ้าวิทูฑภะฆ่าล้างเผ่าเจ้าศากยะ สาเหตุมาจากการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากเจ้าศากยะในเรื่องชาติกำเนิด

เรื่องนี้พระพุทธเจ้าเสด็จมาทรงห้ามกองทัพพระเจ้าวิทูฑภะถึงสองครั้งสองครา แต่เมื่อถึงครั้งที่สามพระพุทธองค์ทรงเห็นว่ามันเป็นเรื่องของกรรมเก่าของพวกเจ้าศากยะไม่อาจจะทรงห้ามได้ จำเป็นต้องที่จะให้เป็นไปตามกรรม สุดท้ายแล้วเพราะไม่มีอภัยทานซึ่งกันและกัน จึงเกิดการนองเลือดต้องล้มหายตายจากกันจำนวนมาก

และเมื่อพระเจ้าวิทูฑภะยกกองทัพกลับ ระหว่างทางก็แวะพักที่ริมฝั่งแม่น้ำอจิระวดี คืนวันนั้นเกิดฝนตกหนัก และเกิดการไหลบ่าของน้ำจากทางตอนเหนือลงสู่แม่น้ำอจิระวดีอย่างรวดเร็ว และท่วมทำลายกองทัพของพระเจ้าวิทูฑภะ พระองค์พร้อมทหารเป็นจำนวนมากได้สิ้นพระชนม์ในคืนวันเดียวกันนั่นเอง.....และนี่แหละหนา... พระเจ้าวิทูฑภะก็พบกรรมทันตาเห็นเช่นกัน

พระโมคคัลลานะ จึงทูลถามพระพุทธองค์ถึงสาเหตุแห่งมหาภัยครั้งนี้ พระพุทธองค์ตรัสว่า นี่เป็นวิบากกรรมยากจะแก้ไข เพราะเมื่อนานมาแล้ว ที่ใกล้เมืองกบิลพัสดุ์มีหมู่บ้านประมง ภายในหมู่บ้านมีสระน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ชาวบ้านในหมู่บ้านได้ใช้แหอวนจับปลาที่อยู่ในสระทั้งหมดมากิน ปลาใหญ่ตัวสุดท้ายก็ถูกฆ่ากินด้วย มีเพียงเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่ได้กินเนื้อปลา เพียงแต่เคาะเล่นที่หัวปลาสามที

พระพุทธองค์ตรัสอีกว่า ปลาใหญ่ในครั้งนั้น ก็คือพระเจ้าวิทูทะภะในปัจจุบัน พวกปลาเล็กคือกองทหารของเขา คนในหมู่บ้านนั้นก็คือ คนเผ่าศากยราชที่ถูกพวกเขาฆ่าในปัจจุบัน เด็กคนที่ไม่ได้กินเนื้อปลาคนนั้นก็คือเรา เพราะครั้งนั้นเราไปเคาะหัวปลาสามที ตอนนี้เราจึงต้องปวดหัวเพราะเรื่องนี้ ๓ วัน ทุกท่านลองคิดดู แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังไม่อาจหลีกเลี่ยงกรรมนี้ได้เลย


"พื้นที่สูง-ต่ำ จุดเสี่ยงในกทม.


Nation Channel ประจำวันที่ 22 ต.ค. 54

.......กรุงเทพฝั่งธน ชั้นใน และทางด้านตะวันตก เป็นพื้นที่ระดับต่ำกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาเสี่ยงถูกน้ำท่วม รัฐบาลมีมาตรการป้องกันอย่างไร ติดตามการวิเคราะห์โดย บัญชา แข็งขัน เนชั่นทีวี

☺.....เป็นอันว่า ชาวพุทธได้เรียนรู้ประวัติความเป็นมาในอดีต เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพราะ "กรรมลิขิต" เป็นของแต่ละคน ใครทำกรรมดีก็ย่อมได้รับผลดี ไม่ควรทำกรรมชั่วแม้แต่เพียงเล็กน้อย ดังตัวอย่างกรรมของพระเจ้าวิทูทะภะและไพร่พล ที่จะต้องมาสนองผลในชาตินี้

แต่ถ้าจะคิดให้ดีน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเป็นผลกรรมหรือไม่ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมา คนไทยไม่มีความสงบเหมือนเดิม มีแต่ทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องการเมืองการปกครองทั้งสิ้น แบ่งฝักแบ่งฝ่ายแย่งชิงกันเอง แน่นอน..จะบอกว่าเป็นกรรมดี เป็นผลบุญคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ปากบอกว่ารักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แต่อารมณ์ใจคนไทยเหล่านั้น มีแต่ความจงเกลียดจงชังกันทั้งสิ้น

แล้วคิดว่า "พระสยามเทวาธิราช" จะช่วยเหลือนั้นคงเป็นไปได้ยาก เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ผู้คนที่เข้ามาในวิถีทางการเมือง ส่วนใหญ่ก็มีเจตนาดี มุ่งหวังสร้างความดีให้แก่บ้านเมือง แต่ก็มีบางส่วนที่มีความเห็นต่าง เพราะคนไทยยอมรับกฎกติกาแบ่งแยกเป็น ๒ ขั้วอำนาจ ที่เหมือนขมิ้นกับปูน หรือเปรียบเช่นกับแม่น้ำสองสาย หรือถนนสองเส้นที่ไม่มีวันบรรจบหรือปรองดองกันได้

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องแสวงหาผลประโยชน์เพื่อเป็นทุน ที่เปรียบเสมือนแบ่งหม้อข้าวออกเป็น ๒ หม้อ จนประเทศชาติพังยับเยิน หม้อข้าวหม้อแกงแตกไม่มีชิ้นดี ที่มัวแต่แก่งแย่งกันแบบไม่มีวันที่สงบสุขกันได้ นับเป็นเวลาสี่ห้าปีมานี้ที่ชะตาบ้านเมืองไม่ดี มีทั้งจันทรคราสและสุริยคราสเกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.54 ที่เป็นลางบอกเหตุแห่งความหายนะมาก่อนแล้ว

แต่คนที่หน้ามืดตามัวหวังในอำนาจราชศักดิ์ ยังไม่รู้สำนึกในหน้าที่ ต่างแบ่งสีแบ่งแยกขั้วอำนาจกัน น้ำท่วมคราวนี้คนไทยจึงต้องเป็นหนี้กันทั่วหน้า น้ำได้พัดพาเอาทรัพย์สินสิ่งของไปหมดแม้แต่เสื้อผ้า บางคนหมดตัวจนไม่มีเสื้อผ้าใส่ จะเป็นเสื้อสีแดงสีเหลืองหรือเสื้อหลากสี คงไม่เหลือสีอะไรอีกแล้ว เพราะน้ำท่วมคราวนี้เหลือแต่ตัวล้อนจ้อนจริงๆ จนไม่รู้จะใส่เสื้อสีอะไรกันดี

แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีคนดีส่วนใหญ่ ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันทั้ง ๓ หวังจะสร้างผลบุญความดี เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนจริงๆ คงจะได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานขอบารมี "พระสยามเทวาธิราช" และพระบามีของ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ขอได้โปรดอำนวยอวยชัยให้เมืองหลวงและทุกเมืองของประเทศ จงได้ผ่านพ้นวิกฤตการณ์จากภัยธรรมชาติ และขอให้ชาวไทยจงพ้นจากทุพภิกขภัย คือภัยจากความอดอยาก ไปได้ตลอดปลอดภัยในครั้งนี้ด้วยเถิด

ณ โอกาสนี้ ขออนุโมทนาในน้ำใจไมตรีที่ "คนไทยไม่ทิ้งกัน" ต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี...ก่อนจะจากกันไป กรุณาเตรียมเก็บทรัพย์สินสิ่งของมีค่าเพ็คเข้ากระเป๋า แล้วล็อคกุญแจบ้านให้ปลอดภัย ตัดไฟปิดน้ำ ดูสัตว์เลี้ยงให้ดี แล้วเดินออกจากบ้านไปด้วยกัน คิดว่าออกไปปิคนิคต่างจังหวัดกันสักเดือนสองเดือน อย่าไปห่วงอะไรเลย ตัดสินใจเสียตอนนี้เลยนะครับ ถ้าช้าไปจะหาคนมาช่วยยาก ผลที่สุดจะเหลือแต่น้ำตาและสิ่งของที่เหลืออยู่ในมือเท่านั้น ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพและโชคดีตลอดไปครับ


ทีมงานฯ

22 ตุลาคม 2554


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/10/11 at 13:46 [ QUOTE ]


(Update 29-10-54)

รายการ "บอกเก้าเล่าสิบ" ทางโมเดรินไนท์ทีวี
"เชื่อหรือไม่น้ำท่วมกรุงเทพฯ ต้องย้ายเมืองหลวง ?" ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ออกอากาศ วันที่ 27 ตุลาคม 2554




(เรื่องนี้มี 3 ตอน กรุณากดปุ่ม ► แต่ละตอนที่เครื่องเล่น Youtube)


รายการ "เรื่องเด่นเย็นนี้" (24 ตุลาคม 2554)

ข่าวน้ำท่วมกรุงเทพ มาเร็วกว่าที่คิด

น้ำท่วมกรุงเทพ เหมือนแบบจำลองอีก 10 ปี ข้างหน้า






[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/11/11 at 15:30 [ QUOTE ]


☺.......อ้างอิงจาก "บทความ" ที่เขียนไว้ข้างบนนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2554 มีใจความตอนหนึ่งว่า....

คนที่หน้ามืดตามัวหวังในอำนาจราชศักดิ์ ยังไม่รู้สำนึกในหน้าที่ ต่างแบ่งสีแบ่งแยกขั้วอำนาจกัน น้ำท่วมคราวนี้คนไทยจึงต้องเป็นหนี้กันทั่วหน้า น้ำได้พัดพาเอาทรัพย์สินสิ่งของไปหมดแม้แต่เสื้อผ้า บางคนหมดตัวจนไม่มีเสื้อผ้าใส่ จะเป็นเสื้อสีแดงสีเหลืองหรือเสื้อหลากสี คงไม่เหลือสีอะไรอีกแล้ว เพราะน้ำท่วมคราวนี้เหลือแต่ตัวล้อนจ้อนจริงๆ จนไม่รู้จะใส่เสื้อสีอะไรกันดี

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 10 พฤศจิกายน 2554 จาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมการ กยน. ได้ให้ข้อคิดไว้ดังนี้...

........คนไทยเวลานี้ ขอบอกตรงๆ ว่าโคตรคิดมาก คิดพิสดาร คิดแยกสี ผมไม่มีอะไรเลย...

ความคิดง่ายมาก ในภาวะอย่างนี้รู้หรือเปล่าว่าเรากำลังเผชิญอะไรอยู่ รู้ไหมว่าน้ำท่วมบ้านเวลานี้ มันรุนแรงแค่ไหน ถ้ารู้แล้วจะสยองขวัญ ปัญหามันใหญ่โตกว้างขวางเกินภาวะปกติ ถ้าเรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

น้ำเป็นพันๆ ล้านลูกบาศก์เมตร เท่ากับอ่างเก็บน้ำ 1 อ่าง กองอยู่เหนือกรุงเทพฯ เวลานี้บ้านเมืองกำลังเดือดร้อน ถ้าใครมาขอให้ช่วยอะไร ยังมาคิดโน่นคิดนี่อีก ก็ไม่รู้จะว่าไง ฉะนั้น จะเป็นใครมาขอให้ผมทำอะไร ผมทำให้ได้ทั้งนั้น ในฐานะที่รับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คนกำลังเดือดร้อน จะมาเลือกอะไรไม่ได้นอกจากยึดชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ฉะนั้น ถ้าขอให้ช่วยชาติบ้านเมืองแล้ว...ได้ แต่ถ้าขอให้ไปทำอะไรเพื่ออย่างอื่นนั้น...ให้ไม่ได้ จะปฏิเสธได้อย่างไร บ้านเมืองกำลังจะพินาศอยู่แล้ว

เวลานี้...สังคมกำลังวิปริตมากในเรื่องความคิด ค่อนข้างจะใช้ความคิดที่ไม่ค่อยจะเป็นปกติ ไม่ใช้สติปัญญา ไม่ได้คิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก ยังคิดแบ่งแยก แบ่งสี เรื่องของประเทศชาติใครขอได้ทั้งนั้น ถ้าทำได้นะ และต้องรู้ฐานะด้วย ถ้ามาขอให้เป็นประธาน ผมรับไม่ได้ เพราะยังมีความรับผิดชอบอยู่ที่มูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งเป็นงานหลักของผม นอกเหนือจากนี้ให้ผมรับผิดชอบอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นโดยตำแหน่งหน้าที่ใดๆ จึงไม่เคยรับ แต่หากให้เป็นที่ปรึกษา ถ้าใช้สติปัญญาคิด ย่อมรู้สถานะของที่ปรึกษาว่าไม่มีความรับผิดชอบอะไรจะต้องรับทั้งสิ้น ดังนั้น งานที่ปรึกษาบทบาทจึงมีจำกัด แต่เหตุผลกลใดไม่รู้ สื่อเกือบทุกประเภทมาชูที่ปรึกษา เหมือนไม่ได้ใช้ปัญญาเขียน

นายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เป็นคนโทรศัพท์มาทาบทามผมเอง บอกว่า "เข้ามาช่วยปูหน่อยเถอะ ช่วยชาติบ้านเมืองหน่อยเถอะอาจารย์" ใครจะไปปฏิเสธได้ หลังจากนั้นอีกไม่นาน คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็โทรศัพท์มาอีกรอบ

ประเด็นที่ตั้งผมไม่มีอะไร เขาอยากรู้ว่าสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เคยมีพระราชดำรัสไว้มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง อย่าลืมนะผมจบรัฐศาสตร์การทูต ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านน้ำ แต่ในคณะทำงานก็มีคนที่ทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายคน เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น อาทิ คุณปราโมทย์ ไม้กลัด ดร.รอยล จิตรดอน ดร.เสรี ศุภราทิตย์ บุคลากรเหล่านี้ส่วนหนึ่งอยู่ภายใต้ระบบราชการ ต้องเข้าไปร่วมงานอยู่แล้ว

เกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งมานานกว่า 30 ปี รัฐบาลจึงอยากรับทราบรายละเอียดจากผม เพราะได้ถวายงานมาโดยตลอด สิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งมาโดยตลอดเวลา 65 ปี พระองค์ทรงทำให้ดูหมดแล้ว แต่พวกเราไม่ได้ประมวลกันเอง

เรื่องน้ำปัญหาอยู่ที่ไหน เราก็ตอบกันแบบเด็กเรียนหนังสือ น้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ไหลจากเหนือลงใต้ ฉะนั้น ปัญหาต้องเริ่มจากทางเหนือ เวลานี้ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาโดนจังๆ น้ำเจ้าพระยามาจากไหน ก็มาจาก ปิง วัง ยม น่าน แต่วันนี้ป่าถูกทำลายหมดแล้ว เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการน้ำโดยธรรมชาติจึงขาดหายไป ป่าอนุรักษ์ตามยอดเขาทางเหนือเกือบจะเกลี้ยงแล้ว แทนที่น้ำส่วนหนึ่งจะถูกเก็บไว้โดยระบบของธรรมชาติ โดยรากไม้ ต้นไม้ ป่าธรรมชาติก็ทำไม่ได้ น้ำจึงไหลไปรวมกันโดยไม่มีอะไรขวางไว้ รวมกันที่ปิง วัง ยม น่าน

พระองค์ท่านได้แสดงให้ดูที่ห้วยฮ่องไคร้ เรื่องฝายชะลอน้ำ การบูรณะป่าต้นน้ำ เพื่อให้ช่วยอมน้ำ พอน้ำลงด้านล่าง พระองค์ก็รับสั่งเรื่องหนอง คลอง บึง พื้นที่ลุ่มจะจัดการตัวเองให้เป็นสระ หนอง คลอง บึง เพื่อเก็บน้ำ คำถามคือ แล้วสภาพวันนี้เป็นอย่างไร ก็ถูกละเลย ตื้นเขิน มีการบุกรุกยึดไป มีกรรมสิทธิชอบธรรมหรือไม่ ก็ไม่รู้ เช่น กว๊านพะเยา สรุปว่าแหล่งกักน้ำธรรมชาติอยู่ในสภาพแย่

ประเด็นต่อมาคลองธรรมชาติ คลองขุด ลำธาร คำถามวันนี้เป็นอย่างไร ได้ข่าวเจ้าหน้าที่บอกว่าสูบไม่ออกเลย เพราะมีที่นอน ยางรถยนต์อยู่ในน้ำ บ้านสร้างขวางคลองเข้าไป เห็นกันชัดๆ เพราะไม่มีการบริหารจัดการ แหล่งน้ำเหล่านี้จึงไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่

เมื่อจบปัญหาน้ำท่วม พระองค์รับสั่งเรื่องแก้มลิง น้ำท่วมคราวนี้ก็ไม่ได้เป็นครั้งแรก ธรรมชาติเตือนเรามาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจทำ พระองค์แนะให้สร้างแก้มลิงตามลำน้ำใหญ่ๆ ผมตามเสด็จฯพระองค์ท่าน เกือบทุกลำน้ำหน้าแล้งเดินทางได้ พอหน้าน้ำขึ้นไปถึงยอดไม้

ประเด็นคือ ขณะที่มีน้ำมาก ทำอย่างไรให้น้ำที่ทะลัก เป็นการทะลักโดยการบริหารจัดการ อย่าให้ทะลักโดยธรรมชาติ เพื่อจะได้บริหารจัดการได้ ถ้ามีแก้มลิงบริเวณลำน้ำใหญ่ๆ ทุกแห่งจะช่วยได้ แก้มลิงจะทำหน้าที่อมน้ำไว้ ถ้าสามารถทำได้สองข้างทางช่วยได้ และจะต้องทำประตูน้ำเปิดปิด เพื่อให้น้ำเข้าออกได้ แต่อย่าไปรวมกับเขื่อน เพราะคนละเรื่องกัน จะเก็บไว้ในป่า เก็บไว้ตามหนอง คลอง บึงธรรมชาติหรือเขื่อนก็ได้ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ได้แล้ว น้ำจะปริมาณมหาศาลแค่ไหน ส่วนหนึ่งก็จะถูกจัดเก็บไว้ ไม่ทะลักออกมาพร้อมๆ กัน ซึ่งจะทำให้เราได้มีเวลาบริหารจัดการ เพื่อทุเลาบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

วันนี้น้ำที่ค้างอยู่ในแผ่นดินเหนือกรุงเทพฯ ไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านลูกบาศก์เมตร มันเท่ากับน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ถึง 8 เขื่อน เป็นเทวดาก็ต้องยอมแพ้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีรับสั่งมาตลอดว่า อย่าให้น้ำมามากขนาดนั้น ทั้งหมดนี้คือแนวพระราชดำริ

ถ้ารัฐบาลจะให้ผมเข้าไปให้คำปรึกษา ผมก็จะทบทวนเรื่องนี้ เล่าแบบนี้ให้ฟัง ส่วนจะเข้าใจหรือไม่ ทำหรือไม่ทำ หรือทำได้แค่ไหนนั้น ก็สุดแล้วแต่รัฐบาล เพราะเกี่ยวกับงบประมาณ

ผมไม่ใช่นักเทคนิคจึงให้คำปรึกษาได้เพียงเท่านี้ แต่หากจะถามว่าแล้วจะนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่าในเรื่องป่าต้นน้ำนั้น 1.รักษาของเดิมที่มีอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เจ้าหน้าที่อุทยานฯ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานอย่างเข้มแข็ง รักษากฎหมาย หากขาดอุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ ก็ต้องสนับสนุน และที่ขาดไม่ได้คือความร่วมมือของประชาชน ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย ก็ไม่มีทางรักษาได้ ฉะนั้น ท้องถิ่นก็ต้องเข้ามามีบทบาท

2. ฟื้นฟู พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แสดงให้เห็นแล้วว่าภายใน 7-8 ปี ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ตัวอย่างที่ห้วยฮ่องไคร้ ดอยตุง ฯลฯ ป่าทุกป่าที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากทหาร ท้องถิ่น โรงเรียน ชาวบ้าน ถ้าทำจริงไม่เกิน 10 ปีก็จะเห็น และรูปแบบนี้จะต้องทำตั้งแต่ที่สูงลงสู่ที่ต่ำ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังให้การบ้านอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุดินถล่มว่าให้ศึกษาว่าต้นไม้ชนิดใด ที่สามารถยึดหน้าดินไว้ได้ดีที่สุด เบื้องต้นคณะทำงานพบแล้วแต่ยังไม่ได้รายงาน ว่าต้นไม้ที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้คือ ต้นไทร ไม่ใช่ต้นยาง หรือต้นไม้ที่ปลูกกันทั่วไปแล้วทำให้ดินถล่มลงมา ต้นไทรใช้เวลาไม่นานก็เห็นผล ถ้าเริ่มทำอีกไม่นานก็เห็นผล และจะต้องหาต้นไม้ชนิดอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติแบบนี้ด้วย เพราะพระองค์ท่านระมัดระวังมาก ไม่ใช่ว่าต้นไทร หญ้าแฝก จะปลูกได้ทุกพื้นที่ แต่จะต้องดูความเหมาะสมของสภาพดินด้วย

3. ศึกษาทางน้ำ น้ำท่วมครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งให้ไประเบิดถนนหลายแห่ง เพื่อให้เป็นทางผ่านน้ำ ประเด็นคือว่า ในการสร้างถนนแต่ละแห่ง จะมีท่อระบายน้ำขนาดเล็ก ไม่เหมาะสมกับปริมาณน้ำที่หลาก โดยเฉพาะจุดที่ขวางทางน้ำ เมื่อน้ำหลากมากต้องหาทางให้น้ำผ่านไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ถนนขาด ตัวอย่างที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี พระองค์ก็ได้แสดงให้เห็นว่าบางแห่งให้มีท่อระบายน้ำลอดใต้ถนน บางแห่งทำถนนให้ลุ่มต่ำ เพื่อรองรับในช่วงน้ำหลาก ทำให้น้ำไหลลงทะเลให้เร็วที่สุด ถนนจะได้ไม่ขาด น้ำอาจจะท่วมบ้าง แต่ไม่นาน สรุปคือ ต่อไปนี้หากมีการสร้างสาธารณูปโภคใดๆ ให้ศึกษาและคำนึงถึงเรื่องทางน้ำไหลหลากด้วย

4. ต้องสงวนพื้นที่สีเขียว ที่เราทราบกันขณะนี้คือทางน้ำผ่าน หรือฟลัดเวย์ (Flood way) ถ้าน้ำหลากมากจะได้ให้น้ำผ่านไปได้สะดวก ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการกำหนดพื้นที่สีเขียว ระหว่างน้ำไม่ท่วมให้ทำไร่ทำนา แต่เมื่อเกิดน้ำท่วมก็ให้น้ำไหลลงทุ่งไปได้ อาจไปทำถนนกว้างๆ หรือที่นาไร่ ในด้านตะวันออก ด้านตะวันตก ชาวบ้านจะได้ไม่เดือดร้อน

เดิมย่านรามคำแหงกำหนดให้เป็นป่า แต่ระบบผังเมืองไม่เข้มแข็งวันนี้ก็เลยกลายเป็นเมืองไปหมดแล้ว วันนี้ก็ต้องใช้กระสอบทรายเพราะขวางทางน้ำอยู่ กลับมาใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านได้หรือไม่ ถ้าจะสร้างบ้านยกใต้ถุนสูง

ถามว่า ฟลัดเวย์จะมีได้หรือไม่ ในเมื่อวันนี้มีแต่บ้านเรือนเต็มไปหมด ก็แล้วทำไมยังเวนคืนไปสร้างถนน รถไฟฟ้าได้ กลับแค่เวนคืนไปทำฟลัดเวย์แค่นี้ไม่ได้หรือ ถ้าเห็นว่ามีความสำคัญ และคุ้มค่าก็ต้องทำได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล

ทั้งหลายทั้งปวงต้องบริหารจัดการแบบองค์รวม ไม่ใช่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งทำ แต่จะต้องให้เป็น "วาระแห่งชาติ" หน้าที่ผมก็มีเท่านี้ ต้องพูดประวัติศาสตร์เพื่อไปสู่อนาคต

ถามว่าจะใช้เวลากี่ปีในการฟื้นฟู ผมไม่ทราบ แต่เวลานี้ผมอายุ 72 ปีแล้ว ผมคงไม่ได้เห็น แต่ถ้าทำเสียแต่วินาทีนี้ ทั้ง 62 ล้านคนรับผิดชอบร่วมกันทำอย่างจริงจัง ภายใน 5 ปี อาจจะยังพอมีหวัง แต่ถ้ายังทำแยงกันไป ตัดขากันไปอย่างนี้...ยาก แค่ผมรับการแต่งตั้ง ยังมีทั้งคนโทร.มาเชียร์ โทร.มาตัดพ้อ

วันนี้...เศรษฐกิจ การเมือง ภัยธรรมชาติ เตือนเราแล้วนะ ร่วมมือร่วมใจกันทำเพื่อบ้านเมืองซะทีเถอะ..!


(ที่มา - หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 10 พฤศจิกายน 2554)


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top