Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 30/6/12 at 15:41 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 2 (ตอนที่ 4)





ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒

จัดพิมพ์โดย..คุณ มาลิดา ปานทวีเดช และคุณทวีทรัพย์ ศรีขวัญ

( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )


สารบัญ

61.
แน่งน้อย ดอกบัว
62. บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์
63. จตุรงค์ จารุพันธ์พานิช
64. เพชร ประทูลทอด
65. พ.ท.เสริญ ทับพงษ์
66. ทันตแพทย์หญิงวัลลภา ไชยยศ สุวภา นิยม
67. น.พ.สบสันต์ วงษ์ภักดี
68. สุกัญญา ตั้งศุภวัฒนกิจ
69. กาหลง สายบรรดาศักดิ์
70. ครรชิต วงศาโรจน์ (แฝด)
71. เยาวลักษณ์ มิตรศรัทธา
72. ลือชา ประทุมพันธ์
73. บัญชา พาชิต
74. ประเสริฐ เหลืองโพยมนิมิต
75. มาลา คำปาน
76. สมพงษ์ – พิสมัย หลุนประยูร
77. บัวจันทร์ รอนไพริน
78. องุ่น นิตยาจาร
79. อภิชัย – อัจฉรา สาธุ
80. อรพินท์ วิทยวิโรจน์
81. จาลิจี (แอ๊ว) ศรีนิล
82. อุดม อ่อนแช่ม



61

หลวงพ่อของลูก


แน่งน้อย ดอกบัว


๑๑ มิถุนายน ๒๕๓๓
กราบเท้า นมัสการหลวงพ่อที่เคารพรักและบูชายิ่ง
ลูกไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี ลูกเรียนน้อย จบประถม ๔ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ จากโรงเรียนเล็กๆ ประจำตำบลทางภาคเหนือ พ่อแม่เป็นคนยากจนมากๆ แต่ก็เป็นคนดี สอนลูกๆ ทุกคนให้เป็นคนดี มีศีลธรรมเป็นปกติชนทั่วไป ให้หุงข้าวใส่บาตรเป็นนิจ

เมื่อแต่งงานแล้วก็ย้ายตามสามีมาอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี เหตุที่จะได้พบหลวงพ่อก็เพราะเพื่อนบ้านที่ใส่บาตรด้วยกันชื่อคุณหมู ถามว่า พี่น้อย ชอบอ่านหนังสือพระไหม หนูมีอยู่ ๑ เล่ม เป็นหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน เมื่อได้ยินแล้ว พุทโธ ธัมโม สังโฆเอ๋ย อ่าน ๓ วันได้ ๒ จบ อ่านไปที่ติดใจมาก็ที่ท่านนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิต ได้เรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า

ทำให้นายห้างร่ำรวยจนไม่รู้ว่ารายได้วันละเท่าไหร่ คือตอนนั้นลูกยากจนมาก ลูก ๓ คนกำลังกิน กำลังเรียน สามีทำงานเงินเดือนน้อย อยู่บ้านหลวงห้องแถวเล็กๆ และเขาเป็นคนใจกว้างรักเพื่อนร่วมคอเดียวกัน เงินเดือนจึงเหลือน้อยนิด แต่ลูกไม่เคยย่อท้อพยายามทำงานหาเงินช่วยเหลือครอบครัว พับถุงกระดาษขาย รับซักผ้าและทำขนมเล็กๆ น้อยๆ ขายได้กำไรวันละ ๒๐ – ๓๐ บาท

ให้ลูกไปโรงเรียน ๓ คน ๒๐ บาท เหลือ ๑๐ บาทต้องให้พอค่ากับข้าว ๑ วัน ก่อนนอนลูกสวดมนต์ไหว้พระอธิษฐานขอให้ได้พบหลวงพ่อสักครั้งหนึ่งในชีวิตก็พอใจแล้วค่ะ และแล้วประมาณเดือนสิงหาคม ๒๕๒๓ ลูกใส่บาตรตอนเช้า ก็พบพระภิกษุองค์หนึ่งท่านมาบิณฑบาต ลูกก็ใส่บาตรท่าน ท่านมาครั้งที่ ๓ ลูกใส่บาตรแล้วก็นั่งไหว้ท่าน ท่านพูดกับลูกว่า หนูใส่บาตรทุกเช้าหรือ

ลูกตอบว่า ปกติแล้วจะใส่ทุกเช้าค่ะ อือลำบากมานานนะ อาตมาจะให้คาถาดีหาเงินคล่องเอาไหม ลูกถามว่า คาถาอะไรค่ะ ท่านบอกว่าคาถาหลวงพ่อปาน อาตมาได้มาจากหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ท่านเป็นอาจารย์ของอาตมา ลูกได้ยินแล้วดีใจจนหาอะไรเปรียบไม่ได้ รีบตอบว่า หนูต้องการมานานแล้วค่ะ ท่านก็บอกว่าเอาละพรุ่งนี้เช้าอาตมาจะเอามาให้ แต่ขอยาฉุนกับใบจาก (๕ บาท)

และให้สามีหนูเขียนแผนที่ให้ท่าน ออกพรรษาแล้วท่านจะธุดงค์ไปทางอำเภอสังขละบุรี ลูกก็รับปากท่าน ก่อนออกพรรษาลุกและครอบครัวก็ไปฝึกมโนมยิทธิกับท่าน ๑ ครั้ง (ท่านบอกชื่อแต่ลืม) ออกพรรษาแล้วลูกไปหาอีกไม่พบท่านอีกเลย (วิทยาลัยสงฆ์เขาพรุรางกาญจนบุรี) ลูกได้มากราบหลวงพ่อครั้งแรกปี ๒๕๒๕ อ่านพบจากหนังสือธัมมวิโมกข์ของเพื่อนว่า

หลวงพ่อมาสอนมโนมยิทธิที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม เลขที่ ๙ ซอยสายลม ๑ กรุงเทพฯ มาครั้งแรกมีอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่ลูกเริ่มออกจากบ้าน ประมาณ ๔.๓๐ นาฬิกา จะมาขึ้นรถโดยสารที่ท่ารถ ห่างจากบ้าน ๔ กม. ให้คนมาส่งไม่ยอมลุก (ใช้มอเตอร์ไซค์) น้อยใจจนน้ำตาซึม ลูกออกมายืนที่ปากซอยทั้งมืดและเปลี่ยว ตัดสินใจว่าเอาละจะเดินไปคนเดียว จะถูกฉุดถูกจี้ถูกฆ่าตายไปเดี๋ยวนี้ก็ยอม ขอให้ได้ไปหาหลวงพ่อในวันนี้ให้ได้

พอดีมีรถสามล้อผ่านมาส่งแม่ค้า เขาบอกว่าวันนี้เจ๊ขายกับข้าวทำไมกลับแต่เช้าก็ไม่รู้ ทุกทีผมมาส่งแก ๖ โมงเช้า บุญของลูกที่จะได้มาพบหลวงพ่อ ลูกมาถึงกรุงเทพฯ พบกับลูกสาวที่นัดกันแล้วก็เข้ามาที่ซอยสายลม เดินหาบ้านท่านเจ้ากรมเสริม เห็นบ้านเลขที่ ๙ ก็เข้าไปเห็นรองเท้าวางอยู่มากมาย จึงถามคนใช้เขาว่าหลวงพ่ออยู่ไหม เขาบอกว่าพ่อไม่อยู่ อยู่แต่แม่กำลังมีเพื่อนมาหา

ไม่ใช่แน่แล้วรีบขอโทษโดดออกมาโดยเร็ว เดินหาจนเหนื่อย (ตอนนั้นไม่มีรถรับจ้าง) จึงพบบ้านท่านเจ้ากรมเสริม ลูกตื่นเต้นดีใจจนแน่นหน้าอกไปหมด โอหนอวาสนาของลูกจะได้กราบองค์จริงของหลวงพ่อแล้ว เดินไปยืนร้องไห้หน้าศาลพระภูมิให้หายแน่นหน้าอกก่อน ปล่อยให้ลูกสาวเดินล่วงหน้าเข้าไปก่อน ใครๆ เดินผ่านมาก็มอง ช่างเถอะไม่อายใครแล้ว คนร้องไห้ดีใจเคยเห็นไหม

เข้าไปกราบหลวงพ่อ เจ้าประคุณเอ๋ย ดูในรูป หลวงพ่อแก่มากแล้ว แต่ลูกเห็นหลวงพ่อทำไม รูปสวยอย่างนี้ ยังหนุ่มอายุไม่ถึง ๓๐ ปี ผิวสวย ขาวนวลเหมือนทองดอกบวบกลมกลืนกับจีวรของหลวงพ่อ ในชีวิตนี้ของลูกไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอมอบกราบถวายชีวิตเพื่อรักษาศีล ๕ บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเข้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และโดยเฉพาะหลวงพ่อปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ขอเกาะท้ายต่อหางแถวเข้าสู่เมืองแก้วพระนิพพานไปกับหลวงพ่อในชาติปัจจุบันนี้เถิด สาธุ ปัจจุบันนี้ ลูกค้าขายเล็กๆ น้อยๆ เป็นหนี้ไม่เกินครึ่งแสน สบายๆ ไม่เดือดร้อน มาถวายสังฆทานและฝึกมโนมยิทธิที่บ้านท่านเจ้ากรม ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ทุกเดือนค่ะ

ll กลับสู่สารบัญ


62

มหากรุณาอันเปี่ยมล้น


บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์


ดิฉันเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันอยู่ที่นครสวรรค์ เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่วิทยาลัยครูนครสวรรค์ ไม่เคยรู้จักหลวงพ่อมาก่อนเลย ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ มาวัดท่าซุงครั้งแรก เพราะมางานบวชหลานชายคืออาจารย์ทวีสิทธิ์ พงษ์ประดิษฐ์ พอมาถึงก็เกิดความรู้สึกว่า มีความผูกพันกับสถานที่เหมือนเป็นที่เก่า หรือคล้ายกับบรรยากาศที่เคยอยู่มาก่อน มีความรู้สึกเหมือนมีใครคุม

ดิฉันมาร่วมเดินเวียนรอบโบสถ์งานบวชหลานชายเสร็จก็กลับบ้าน ช่วงนั้น (ช่วงฤดูร้อน มีนาคม – เมษายน) ที่วิทยาลัยครูเปิดอบรมครูภาคฤดูร้อน (อ.ศร.) เพื่อให้ครูเลื่อนวิทยฐานะของเขา ช่วงว่างจากการให้การอบรม ดิฉันเหมือนกับไม่รู้ตัว ตั้งใจจะขับรถมาทำธุระที่อำเภอพยุหะคีรี แต่อยู่ๆ ก็ขับเลยมาจนถึงวัดท่าซุง มาถึงก็มากราบพระตามมณฑปต่างๆ มาไม่พบหลวงพ่อและไม่ทราบด้วยว่าหลวงพ่อลงรับแขก

เป็นเช่นนี้สัปดาห์ละ ๒ – ๓ ครั้งตลอดเดือนเมษายน ดิฉันมาที่วัดโดยไม่รู้ตัว มีความรู้สึกรักและผูกพัน แต่ไม่เคยพบหลวงพ่อ ตอนนั้นยังไม่ได้ยินกิตติศัพท์ความมีชื่อเสียงของท่าน ต่อมาหลานสาวคืออาจารย์รัชดา พงษ์ประดิษฐ์ เคยมาฝึกกรรมฐานที่วัดท่าซุงมาก่อน เธอก็มาชวนดิฉันฝึกกรรมฐานดิฉันไม่ว่าง เพราะทำธุรกิจหอพักและจัดสรรที่ดิน ตอนนั้นธุรกิจกำลังคล่องตัวมาก ปลีกตัวไปไหนไม่ได้

ยิ่งช่วงต้นเดือนเป็นช่วงเก็บเงิน ไปไหนไม่ได้ (ถ้าเก็บไม่ได้จะถูกผลัดไปเรื่อยๆ) จึงไม่มาวัด ให้ลูกสาวมาแทน ช่วงนั้นที่วิทยาลัยก็เปิดสอนกรรมฐาน โดยคุณแม่ศิริ กรินชัยเป็นผู้มาสอนก็สมัครชื่อไว้เสียค่าสมัคร ๕๐๐ บาท นับเป็นครั้งแรกที่เขามาเปิดการสอน ดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องการปฏิบัติธรรม แต่รู้สึกอยากจะลองเพราะเริ่มศรัทธาหลวงพ่อ แต่ยังไม่มีเวลาว่าง เลยใช้วิธีเลี่ยงมาที่ใกล้ๆ บ้านก่อน

พอถึงเวลาก็ปล่อยวางงานที่มีอยู่ไม่ได้ จึงไม่ได้ไปแต่ว่าสามี (อาจารย์ประเสริฐ พงษ์ประดิษฐ์) ไปเพียงคนเดียว พอที่วิทยาลัยเปิดสอนกรรมฐานครั้งที่ ๒ ก็สมัครอีกแต่ไม่ได้ไปอีกเช่นเคย ช่วงที่ลูกสาว ๒ คนคือเอ๋ (ภวนันท์) , อ้อ (ปาริฉัตร) และคุณแม่ของดิฉันมาฝึกกรรมฐานที่วัดท่าซุงพร้อมกับหลานสาว (อาจารย์รัชดา) พอฝึกไปได้ ๒ – ๓ วันสามีดิฉันก็ขับรถมาเยี่ยมลูกสาวและคุณแม่ของดิฉัน

พอสามีดิฉันเยี่ยมลูกแล้วกลับถึงบ้าน ก็เล่าให้ดิฉันฟังว่า ลูกเอ๋ฝึกกรรมฐานได้แจ่มชัด ได้เห็นคุณตา (คือคุณพ่อของดิฉัน) ที่เสียชีวิต ดิฉันเป็นห่วงพ่อเพราะตอนเป็นครู ขณะมีชีวิตอยู่ เป็นคนมีนิสัยเจ้าชู้ และชอบดื่มเหล้า แต่ท่านรักดิฉันมาก ท่านถูกยิงตาย จับผู้ร้ายไม่ได้ คาดว่าคงไปเจ้าชู้ลูกเมียเขา ลูกเอ๋เห็นคุณตา ไม่เชิงอยู่ข้างล่าง (หมายถึงตกนรก) แต่เห็นคุณตาแต่งตัวขมุกขมอม

แล้วก็มีคนถือหอก ๔ คนจ้องจะแทงตลอดเวลา แต่ก็ไม่แทง เห็นทีไรก็เป็นอยู่เช่นนั้น จริงๆ แล้วลูกเอ๋ไม่เคยเห็นคุณตา (เพราะคุณตาเสียชีวิตก่อนที่ลูกเอ๋จะเกิด) แต่จิตของลูกเอ๋รู้ว่านั่นคือคุณตา ลูกเอ๋เห็นภาพนั้นเสมอ ก็ถามว่าคุณตาว่าจะช่วยคุณตาได้ยังไง คุณตาตอบว่า “ช่วยถวายสังฆทานให้ซิลูก” ลูกเอ๋จึงพูดกับคุณตาว่า

“บุญกุศลที่เอ๋ทำมาทั้งหมด ขออุทิศให้คุณตาสิงห์ บุญมี เพียงผู้เดียว” ลูกเอ๋นั่งสมาธิทีไร พอหลับตาก็จะเห็นภาพคุณตาเสมอ ช่วงที่ลูกเอ๋มาวัดตรงกับช่วงที่พระวัชรชัยบวชพอดีในปี พ.ศ.๒๕๒๕ (ก่อนเข้าพรรษา) ลูกเอ๋จึงไปร่วมเดินเวียนโบสถ์ในการบวชครั้งนี้ด้วย ลูกเอ๋เห็นคุณตามาโมทนาส่วนกุศลด้วย ลูกเอ๋สงสารคุณตามาก จึงได้เล่าให้พ่อฟัง สามีดิฉันจึงตอบลูกไปว่า “จะบอกให้คุณแม่จัดการให้”

ส่วนลูกอ้อและคุณแม่ดิฉันนั่งกรรมฐานก็เห็นคล้ายๆ ลูกเอ๋ แต่ว่ามัวๆ เห็นไม่ชัดอย่างลูกเอ๋ พอสามีเล่าให้ดิฉันฟัง วันรุ่งขึ้นดิฉันก็มาวัดท่าซุงเลย ตอนนั้นหลวงพ่อไม่อยู่ ดิฉันจึงฝากเงินไว้ให้ลูกสาวถวายสังฆทาน ลูกเล่าให้ฟังว่า ได้อธิษฐานให้คุณตามาอนุโมทนาการถวายสังฆทานให้ครั้งนี้ ขณะที่ถวายสังฆทานเขาได้นั่งสมาธิกัน มีลูกเอ๋ ลูกอ้อ และคุณตุ๋ย (อาจารย์รัชดา)

และให้คุณแม่ดิฉันไปถวายกับหลวงพ่อเขาบอกว่าขณะถวาย พอกล่าวถวายเสร็จ เขาก็เห็นคุณตาแต่งตัวสะอาดสะอ้านขึ้น เห็น ๔ คนเดินคุมมาเฉยๆ ไม่เอาหอกทำท่าจะแทงอีกแล้ว เพียงแต่ถือมาเฉย ตอนถวายจริงคุณยายเป็นผู้ถวายหลวงพ่อ แต่ในสมาธิที่เขาเห็นกลายเป็นคุณตาถวาย พระพุทธองค์แล้วคุณตาก็เปลี่ยนเป็นใส่ชฎาขึ้นมาแทน มีความแวววาวสวยงาม ในวันที่ดิฉันมาติดตามผลที่ลูกเอ๋เล่าให้ฟัง

ได้ให้ลูกช่วยดูก๋งและคุณย่า ๒ คน (พ่อสามีมีภรรยาที่เมืองจีน ๑ คนและที่เมืองไทย ๑ คน) ทั้ง ๓ คนเสียชีวิตหมดแล้ว ลูกเอ๋ดูแล้วบอกว่า ก๋งเป็นเทวดา บอกขอบใจ ผลบุญที่อุทิศไปให้ได้รับแล้ว ส่วนย่าที่อยู่เมืองจีนก็เหมือนกัน ส่วนย่าที่อยู่เมืองไทยนั้นลูกพูดว่า คุณย่าอยู่ข้างล่าง เขาก็ถามคุณย่าว่าจะให้ช่วยยังไง คุณย่าบอกว่าให้ถวายสังฆทาน ลูกก็อุทิศบุญกุศลทั้งหมดให้คุณย่า พอกลับมาบ้าน

ตอนแรกลูกยังไม่กล้าเล่าให้คุณพ่อฟัง กลัวคุณพ่อจะเสียใจ ดิฉันจึงเล่าให้สามีฟังก่อน แล้วลูกจึงเล่าให้ฟังอีกที สามีดิฉันฟังแล้วค่อนข้างจะเชื่อ เขาบอกว่า คุณแม่เขาขณะที่มีชีวิตอยู่ ขายปลาทุบหัวปลาเสมอๆ เรื่องการทำบุญก็ชอบทำ ส่วนแม่ทางเมืองจีนเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน ก๋งก็อยู่บ้าน ไม่ได้ทำบาปอะไร ดิฉันชวนสามีมาฝึกกรรมฐานที่วัดท่าซุง พร้อมด้วยลูกสาวคนเล็กคือลูกอร สามีก็มา

ตอนนั้นดิฉันอยากมาวัดเต็มที ไม่ห่วงงานบ้าน ทั้งที่ช่วงต้นเดือนต้องไปเก็บเงินแต่ตัดสินใจเด็ดขาดว่าเป็นยังไงก็เป็นกัน ก่อนไปได้จุดธูปก่อน ขอให้พระช่วย เพราะว่าความห่วงทรัพย์สินที่ต้องไปเก็บจากผู้อื่นยังมีอยู่ ดิฉันตั้งใจจะไปฝึกกรรมฐานและยึดมั่นว่าจะต้องไป แต่ขอพระให้ช่วย ๒ ข้อ

๑) ช่วงนี้ขออย่าให้ลูกค้าคนใดเอาเงินมาชำระ ขอให้ลูกค้ามีเหตุอะไรก็ตามไม่เอาเงินมาชำระในช่วงนี้ ขอให้เขาเอามาให้หลังจากช่วงกลับจากวัดแล้ว
๒) เด็กๆ ที่เช่าหอพักขอให้ทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อยปกติ อย่าให้มีเรื่องไม่ดี ไม่งามเกิดขึ้น
ในวันที่ตัดสินใจจะมาวัด พอจะออกเดินทางมา ก็มีหนังสือจากสรรพากรจังหวัดตามตัวดิฉันให้ไปพบ เพื่อทวงภาษีเพิ่ม ทั้งๆ ที่ภาษีหอพักและภาษีที่ดินก็จ่ายไปแล้ว

เขาเรียกไปเพื่อให้เสียเพิ่มอีกมากมาย และจะให้จ่ายค่าภาษีเพิ่มในวันนั้น ถ้าไม่ทำตามจะดำเนินการตามกฎหมาย ดิฉันจึงเข้าบ้าน เข้าไปจุดธูปใหม่ ขอเป็นข้อที่ ๓ ว่ายังไงๆ จะต้องไปให้ได้ในวันนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่เลื่อนวัน จะไปขอผ่อนผัน ขอบารมีพระช่วยให้เขายอมอนุโลมเรื่องต่างๆ ที่เขาเสนอมา ซึ่งดิฉันยังไม่ทราบว่าเรื่องอะไรบ้าง พอไปถึงเจ้าหน้าที่ก็ส่งรายการให้มากมายมีค่าที่ดิน

ค่าหอพัก ค่าอะไรหลายอย่าง ดิฉันบอกว่าเสียแล้ว และเสียทุกปี ขายที่ดินก็หักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว แต่เขาว่าดิฉันขายมากกว่านี้ เรื่องเก่าที่ยังไม่เก็บภาษีก็ยังมีอีก เขาจะให้เสียวันนั้น ๓ หมื่นบาทเศษ ดิฉันก็บอกไม่ยอมเสียให้ เพราะได้เสียตามกฎหมายแล้วทุกครั้งที่มีการเรียกเก็บ ถ้าเรื่องนี้ต้องติดคุกก็ยอมเพราะทำตามกฎหมายแล้ว พอดิฉันเสียงแข็งเขาก็อ่อนลง เขาก็ลดลงมาเหลือ ๒ หมื่นบาทถ้วน

ดิฉันก็ไม่ยอม ดิฉันจึงขอพบสรรพากรจังหวัดเอง เขาบอกว่าตกลงกับเขาที่นี่ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องพบ เพราะท่านมอบอำนาจให้แล้ว ดิฉันก็ยืนยันจะขอพบ ในที่สุดเขาก็อ่อนลง ดิฉันจึงขอเลื่อนเวลาว่า หลังจาก ๗ วันไปแล้ว จะมาคุยใหม่ วันนี้ดิฉันมีธุระ เขาก็ยอม พอไปวัด ๗ วันกลับมา ปรากฏว่าเรื่องที่จุดธูปขอพระไว้ ได้ครบทุกอย่าง ถือว่าเป็นเรื่องแปลก

๑) ไม่มีใครเอาเงินมาให้ก่อน คนที่เคยค้าง ก็เอามาให้หลังจากกลับจากวัดทุกราย
๒) เหตุการณ์ที่บ้านปกติทุกอย่าง
๓) จ่ายเงินสรรพากรแค่ ๒ พันบาท (จากเดิมที่เขาว่าจะต้องเสีย ๓ หมื่นเศษ)

ในช่วงที่ไปปฏิบัติพระกรรมฐานที่วัดท่าซุง มีผู้แนะนำให้ดิฉันแผ่เมตตาให้ทุกคน และพวกที่ไม่เป็นมิตรก็แผ่ให้เขาด้วย ดิฉันจึงตั้งใจแผ่ให้เขาทั้งหมด ปรากฏว่ากลับมาบ้าน ผลที่ได้เป็นจริง พวกที่เคยทำตัวเป็นศัตรูเขาก็มาพูดดีด้วย ซึ่งก็เห็นผลอย่างคาดไม่ถึง

ช่วงที่ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดนั้น ไปฝึกวันแรกก็ได้เลย แต่ต้องใช้คน ๒ คนฝึกให้ คนแรกเป็นแม่ชี อธิบายให้ตัดร่างกาย ก็คล้อยตาม แต่อารมณ์หนัก แม่ชีก็พูดว่าทำอารมณ์ไม่ถูกต้อง เอาไว้วันหลัง คนที่สองเป็นผู้หญิงอ่อนวัยกว่า ทราบชื่อภายหลังว่า “ติ๊ก” เป็นผู้สอน เกิดรู้สึกพอใจ ที่ฝึกได้ ได้ไปกราบพระพุทธองค์แท้ๆ พาไปหาท่านปู่ ท่านย่า หลวงพ่อและท่านแม่ศรี

พระพุทธองค์บอกว่าเป็นลูกหลวงพ่อท่าน พอเข้าไปหาท่าน ก็กอดกันทั้งพ่อแม่ลูก ดิฉันก็ร้องไห้ท่านบอกว่า “จากกันนาน แม่ (แม่ศรี) ตามหา” ในขณะนั้นดิฉันเกิดความเข้าใจทันทีว่าผู้ที่คุมดิฉันมาวัดโดยไม่รู้ตัวคือท่านแม่นี่เอง แต่ก็ยังเกิดสงสัยแว้บขึ้นมานิดหนึ่งว่า ดิฉันมีบุญพอที่จะเป็นลูกท่านหรือ ช่วงมาปฏิบัติกรรมฐานที่วัด ไม่พบหลวงพ่อ เพราะว่าท่านไปสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม

พอวันที่ ๕ หลวงพ่อก็กลับมา ท่านรับแขกบนศาลานวราช ดิฉันขึ้นไปกราบท่าน ท่านก็ทักทายดี เกิดความรู้สึกรักท่านมาก หลวงพ่อเรียก “ลูก” ทันที ปกติดิฉันเป็นคนชอบใส่เครื่องประดับ แต่ตอนที่มาวัดไม่ใส่เลย แม้กระทั่งสร้อยคอ แต่หลวงพ่อก็ทักถูกต้องและถามถึงการปฏิบัติ ดิฉันเล่าให้ท่านฟังว่าจะไปปฏิบัติกับคุณแม่ศิริ ๒ ครั้ง ก็ปล่อยวางภาระการงานไม่ได้ จึงไม่ได้ไปทั้ง ๒ ครั้ง

ถามหลวงพ่อว่าเป็นเพราะอะไร และมาที่วัดท่าซุงนี่วันแรกทำไมทำได้เลย คาดไม่ถึง หลวงพ่อบอกว่าเป็นของเดิม ที่ไม่ไปทางนั้นเพราะว่า กรรมฐานมี ๔๐ แบบ อันนั้นเป็นสุกขวิปัสสโก เราเคยผ่านมาแล้วและไม่ถูกจริต ส่วนทางด้านนี้เป็นของเดิมที่เราฝึกมานาน เป็นวิชชาสาม ซึ่งเราเคยทำมาแล้วเหมือนของมีอยู่แล้ว มาทบทวนเดี๋ยวเดียวก็จำได้ จึงทำได้วันเดียว

ถามท่านว่าพอขึ้นไปหาพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นลูกหลวงพ่อและท่านแม่ศรีเป็นไปได้หรือ หลวงพ่อบอกว่า “พระพุทธองค์ตรัสเช่นไร ให้เชื่อตามนั้นไม่ผิด” หลวงพ่อเล่าเรื่อง ร.๑ และถามดิฉันว่า “เห็นเอ็งเกิดในสมัยนั้นไหม” ก็ตอบว่าเห็น แล้วท่านถามว่ารู้ไหมว่าใครเป็น ร.๑ จึงตอบท่านว่า ตามตำราก็ต้องเป็นพระยาจักรี

ท่านบอกว่า “นายจันหนวดเขี้ยวคือ ร.๑” ดิฉันก็กราบเรียนท่านว่าอ่านจากตำราเหมือนไม่ใช่ หลวงพ่อก็พูดว่า “ไอ้ขี้หมา นายจันหนวดเขี้ยวนั่นแหละคือ ร.๑ จำเอาไว้” ท่านบอกว่า “ประวัติศาสตร์บางครั้งก็ต้องทำอะไรให้เพี้ยนๆ ไปบ้างเพราะความจำเป็นในสมัยนั้น”

ท่านบอกว่า “จำไว้ เสือ ถ้ารู้ว่าตนจะแพ้แล้ว ต้องถอยไปตั้งหลักใหม่เพื่อรวบรวมกำลังไพร่พล เพื่อเอาชนะให้ได้” หลวงพ่อเล่าเรื่องพระเจ้าตากสินให้ฟัง ที่มีการเข้าทรง เขาบอกว่าทหารเสือพระเจ้าตากสินสมัยนั้น เวลานี้มาเกิดกันเกือบหมดแล้ว ท่านก็บอกว่ามีใครบ้าง (ขอสงวนนาม) ท่านก็พูดถึงการเข้าทรงพระเจ้าตาก ท่านอธิบายว่าการปฏิบัติ เราสามารถพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่

แต่อันนี้จริง ท่านชวนไปดูการเข้าทรงและถามว่าจะไปไหม ถ้าไปพบท่านๆ จะเอ่ยชื่อเก่าๆ วันที่หลวงพ่อชวนไปนั้นไปไม่ได้ เพราะต้องไปธุระที่เพชรบูรณ์ ท่านก็บอกว่า ถ้าไม่ไปครั้งนี้ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้วนะลูก แต่สรุปแล้วก็ไม่ได้ไป ต้องไปส่งพี่ชายสามีซึ่งย้ายราชการ ถ้าไม่ไป ก็ดูจะน่าเกลียด หลังจากนั้นได้มากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อได้ไปหรือเปล่า

หลวงพ่อบอกว่าท่านไม่ได้ไปเพราะที่นัดกันไว้ไปไม่ครบทุกคน ในช่วงที่มาหาหลวงพ่อ ท่านมักเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผนให้ฟังบ่อยๆ ท่านบอกว่า ในหนังสือที่เขาเขียนขึ้น เขียนไม่ถูกต้องหรอก ความจริงขุนช้างและขุนแผนเป็นเพื่อนรักกัน ขุนช้างดีมาก ไม่หล่อ แต่รวย ส่วนขุนแผนรบเก่ง หล่อด้วย มีเมียมีลูกเยอะ เพราะขุนช้างและขุนแผนรักกันมาก ทุกเช้าและก็ทุกวัน

ขุนช้างให้บ่าวไพร่ลุกขึ้นหุงข้าวให้ลูกขุนแผนรับประทาน ซึ่งความจริงตรงกันข้ามกับในหนังสือ นี่เป็นเรื่องที่หลวงพ่อเล่าให้ฟังบ่อยๆ อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสะดุดใจ หลวงพ่อพูดถูกจุด ท่านถามว่า เป็นไง ชอบไหม พวกเพชร พวกทอง ชอบมากหรือพวกเครื่องประดับ ดิฉันก็สะดุ้ง ถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อไปสำรวจที่บ้านหนูมาหรือ หนูไม่ยอมใส่มาหลวงพ่อยังพูดถูก”

คุยไปคุยมาหลวงพ่อก็ชี้ที่ดิฉันว่า “ไอ้คนนี้มันไม่เรียบร้อยทุกชาติ อยู่กับพ่อแม่พี่น้องเป็นคนรักสนุก พูดคุยสนุกสนาน แต่ถ้าเข้าหาผู้ใหญ่ไม่ต้องห่วง เขาทำได้ดีมาก” ซึ่งก็ถูกอุปนิสัยดิฉันจริง หลังจากนั้นดิฉันมีความรู้สึกผูกพันและรักท่านมาก ทุกครั้งที่มากราบหลวงพ่อๆ จะเล่าอาการเจ็บป่วยให้ฟังเสมอๆ พระวัชรชัยอยู่บนศาลานวราชสมัยนั้น

ก็บอกว่า ให้ดิฉันมาบ่อยๆ เพราะว่าเวลาดิฉันมาหลวงพ่อท่านจะคุยเรื่องเหล่านี้ละเอียด พระวัชรชัยบอกว่ามาแล้วพระจะได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อมากๆ เพราะปกติพระไม่ค่อยทราบ เนื่องจากดิฉันมีความรู้สึกผู้พันและรักหลวงพ่อมาก จึงตั้งจิตอธิษฐาน “ขอบารมีบรรพชน ท่านปู่ท่านย่าท่านแม่ศรีและหลวงพ่อ หากมีสิ่งใดที่ดิฉันสามารถจะปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อได้ ขอให้ดลใจ รวมทั้งแม้เรื่องการฉันอาหารของหลวงพ่อ”

ซึ่งหลวงพ่อบอกว่าท่านฉันอาหารตามพระสั่ง หรือท่านแม่มาบอกก็เลยตั้งใจอธิษฐานขอ ก็จริงเพราะเวลาดิฉันนำอาหารมาถวายหลวงพ่อ ท่านก็พูดให้ฟังว่า เออวันนี้พระท่านสั่งให้ท่านฉันอาหารชนิดนี้ ก็เกิดความมั่นใจมาก เพื่อร่างกายหลวงพ่อ อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ดิฉันทำเนื้ออบ ก็นึกถึงหลวงพ่อ ก็เลยคิดจะเอาไปถวายหลวงพ่อ แต่ใจหนึ่งก็มีความเอะใจ เกิดอารมณ์สัมผัสขึ้นมาว่าหลวงพ่อฉันไม่ได้

แต่ดิฉันเองชอบ ก็อยากถวายให้หลวงพ่อฉัน แต่พอตักใส่ปิ่นโตได้กลิ่นเท่านั้น ดิฉันก็อาเจียน ก็เลยไม่เอาเนื้ออบนั้นไปถวายหลวงพ่อ จึงได้แต่มากราบหลวงพ่อเฉยๆ ไม่มีอาหารถวายและกราบเรียนถามท่านว่า หลวงพ่อฉันเนื้อได้ไหม ท่านบอกว่าช่วงนี้พระไม่ให้ฉัน ฉันทีไรอาเจียนทุกที ก็ตรงกับที่สัมผัสอีกจึงเกิดความรู้สึกว่าตนเองนี้ดื้ออีกแล้ว เพราะสัมผัสครั้งแรกแล้วไม่เชื่อ ยังดื้ออยู่อีก

แต่พร้อมกันนั้นก็เกิดความมั่นใจในความรู้สึกสัมผัสของตนเองยิ่งขึ้น พระคุณหลวงพ่อนั้นสูงส่ง ดิฉันมีความซาบซึ้งมาก ท่านชี้นำให้พวกเราตั้งใจไปนิพพานให้ได้ในชาตินี้ ท่านเจ็บไข้ได้ป่วย อันที่จริงแล้วท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่แต่ท่านห่วงลูก ท่านสอนไว้ว่า “อย่าติดสังขารของพ่อ ให้ติดความดีที่พ่อพยายามทำ พยายามสอน ตามคำสอนของพระพุทธองค์”

ท่านบอกว่า “ไม่ต้องห่วงพ่อหรอก ทำตามคำสอนของพระพุทธองค์ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัส ผู้ใดนึกถึงตถาคต ตถาคตก็อยู่กับผู้นั้นทุกเมื่อ” เพราะนั้นหลวงพ่อก็เช่นกัน ถ้าจิตนึกถึงท่านๆ ก็อยู่ใกล้และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดูเหมือนท่านจะทราบตลอดเวลาว่าเราทำอะไรอยู่ เมื่อไรที่ดิฉันจะทำอะไรไม่ดีไม่งาม จะเห็นท่านมาเตือนสติไม่ให้ทำเพราะมันไม่ดี ท่านจะบอกไว้

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นช่วงย่ำรุ่ง ไม่เชิงหลับ คล้ายๆ เพิ่งตื่นอยู่ เห็นท่านทั้งกายเนื้อมายืนอยู่ที่หัวเตียง ท่านมาบอกว่า “จะเกิดเหตุการณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับเจ้า (ขอสงวนไม่เล่าว่าเป็นเรื่องอะไร) ซึ่งสิ่งนั้นจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจมากจนคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ลูกก็จะไม่อยู่ละ”

ท่านถามว่า “จะไปไหน”
ก็กราบเรียนว่า “จะมาอยู่กับหลวงพ่อ”
ท่านก็บอกว่า “ไม่ได้”
ดิฉันจึงกราบเรียนถามท่านว่าเพราะอะไร

ท่านก็บอกว่า “เกิดเป็นคนต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เจ้าเป็นแม่ มีหน้าที่ต้องเลี้ยงลูก เจ้าก็รู้ดีว่าสามีของเจ้านั้นสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถจะเลี้ยงลูกได้ตลอดรอดฝั่งได้ด้วยตัวคนเดียว” เสร็จแล้วท่านก็หายไป ดิฉันก้มลงกราบท่านด้วยความซาบซึ้ง ด้วยความงง และก็แปลกใจว่าเป็นไปได้หรือที่หลวงพ่อท่านจะมาแบบนี้

และเป็นไปได้หรือที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ท่านบอก แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังเพราะเป็นเรื่องน่ากลัว และเหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นจริงๆ ในอีก ๒ – ๓ วันต่อมา พอเหตุการณ์นี้กระทบใจเข้า ก็เกิดความรู้สึกว่าทนไม่ได้ ก็จะฆ่าตัวตายโดยวิธีรับประทานยา ก็นึกถึงคำสอนของหลวงพ่อแต่ก็ยังดื้อจึงตั้งจิตกราบขอขมาหลวงพ่อ และไปซื้อยามารับประทาน ซื้อยาแวเลี่ยมมาได้ ๒๕ เม็ด กับคลอเฟนิรามีน ๑๐๐ เม็ด

เมื่อได้มาแล้วก็จุดธูปบอกหลวงพ่อว่า “ลูกขอขมาที่ดื้อรั้น ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ลูกรู้ว่าหลวงพ่อรักและเป็นห่วงแต่ขอหลวงพ่ออย่าได้เป็นห่วงลูกเลย และขอโปรดได้ยกโทษให้แก่ลูกในการกระทำครั้งนี้ด้วย ลูกยังจดจำคำสอนที่หลวงพ่อที่เคยสอนลูกว่า การฆ่าตัวตายเป็นอัตวิบากกรรม จะไม่ไปเกิดในที่ดีแน่ แต่หลวงพ่อก็เคยสอนไว้อีกว่าก่อนตายถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์ ให้จับภาพให้ได้ ก็สามารถไปสู่สุคติ ไปขึ้นสวรรค์ได้ เพราะฉะนั้นก่อนตายลูกมั่นใจว่า

ลูกนึกถึงพระพุทธองค์และหลวงพ่ออยู่ตลอดเวลา ตรงที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดนึกถึงตถาคต ตถาคตก็อยู่กับผู้นั้นทุกเมื่อ เพราะฉะนั้นลูกคิดว่า การที่ลูกต้องตายไปในครั้งนี้ ลูกต้องไปในที่ดีก่อนและขอสัญญาว่าจะไปสร้างความดีที่นั่น เพื่อให้หลุดพ้นจากความชั่วที่ลูกได้กระทำในครั้งนี้ และประการสุดท้าย ลูกขอรับประทานยาตาย ขอบารมีหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์อย่าให้ลูกได้รับทุกข์ทรมาน

จากผลของยา เพราะเกรงว่าลูกๆ จะอายเขา ขอให้ไปในลักษณะหลับเฉยๆ คิดว่าลูกๆ คงไม่อายเพราะความตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนทั่วไป” ที่ขอในข้อสุดท้ายนั้นเพราะว่า ก่อนหน้านี้ มีคนที่รู้จัก กินแวเลี่ยม ๒๐ เม็ดเพื่อฆ่าตัวตาย น้ำลายฟูมปาก ต้องเอาไปโรงพยาบาล ก็อายเขา แต่เห็นเขาไม่ตาย เลยซื้อมากกว่า ๒๐ เม็ดได้มาแค่ ๒๕ เม็ด (เพราะเขามีแค่นั้น) กลัวไม่ตาย

ก็เลยซื้อคลอเฟนิรามีนอีก ๑๐๐ เม็ด (เป็นยาลดน้ำมูก และช่วยให้นอนหลับ ไม่ทราบว่าจะซื้ออะไร ก็เดาเอา) พอขอขมาหลวงพ่อและอธิษฐานเสร็จแล้ว ก็รับประทานยาทั้งหมดและเอารูปหล่อหลวงพ่อมาวางไว้หัวเตียง ตั้งใจทำสมาธิ ตัดสินใจเด็ดขาด แป๊บเดียวเท่านั้นเร็วมากเกิดความรู้สึกว่าจิตเลื่อนออกจากกลางศีรษะรวดเร็วจริงๆ แล้วก็ไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งเช้า จึงค่อยรู้สึกตัว

ก็แปลกใจว่าทำไมดิฉันจึงไม่ตาย (ตอนออกไปก็ว่างเฉยๆ ไม่เห็นอะไร เหมือนกับนอนหลับ และก็ไม่ฝันเห็นอะไรด้วย) พอตื่นขึ้นมาก็งง ร่างกายอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีน้ำลายฟูมปาก มีแต่อาการเพลียเล็กน้อยเท่านั้น จึงไปทำงานตามปกติ พอดีวันนั้นไม่มีชั่วโมงสอน พอเซ็นชื่อเสร็จ ก็ชวนน้องที่ทำงานด้วยกันและเป็นศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน เพราะดิฉันเป็นคนพาเขามาหาหลวงพ่อ

วันนั้นดิฉันจึงชวนเขามาหาหลวงพ่อ ให้เขาขับรถให้ ซึ่งปกติดิฉันจะขับเอง เขาก็สงสัย และถามว่า “พี่เป็นอะไรหรือ พี่มีลักษณะไม่สบายเหมือนคนเพิ่งร้องไห้มา” เมื่อเขาถามอย่างนี้ ก็เลยเล่าเรื่องให้เขาฟังในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับดิฉันและบอกเขาว่าดิฉันจะไปพบหลวงพ่อให้ได้ในวันนี้ พอมาถึงปรากฏว่า หลวงพ่อไม่ได้ลงมารับแขกที่ศาลานวราชตามปกติ

พระชัยศรีบอกว่า หลวงพ่อเพิ่งกลับมาจากบ้านซอยสายลม ป่วยหนัก กำลังให้น้ำเกลืออยู่ ดิฉันตกใจมาก ก็ถามว่าจะพบหลวงพ่อได้ไหม ดิฉันอยากพบท่านมาก พระท่านบอกว่าพบไม่ได้ให้มาพรุ่งนี้ จึงขอว่าขอมากราบหลวงพ่อที่บันไดกุฏิ ท่านก็อนุญาต เมื่อมาถึงก็มากราบตรงบันไดที่ตึกริมน้ำ “ก็ตั้งจิตขอท่านอีก ขอเหมือนเดิม ขอขมา และขอกินยาตายเหมือนเดิม”

เสร็จแล้วกลับมาบ้าน ก็แวะซื้อแวเลี่ยมได้ ๕๐ เม็ด ทานยาเป็นวันที่ ๒ ติดกัน เมื่อทานยาเสร็จ ก็ตั้งใจทำสมาธิ เดี๋ยวเดียวจิตก็ออกจากกลางศีรษะรวดเร็วเหมือนเดิมออกไปก็เห็นตนเองแต่งตัวเป็นนางฟ้าใส่ชฎาสวยงาม มีวิมานด้วย ก็ไปแวะที่วิมาน แต่เป็นวิมานสีชมพู ไม่ได้เป็นวิมานแก้ว หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว เช้าตื่นขึ้นมาก็ไม่ตาย ไม่เป็นไร ร่างกายปกติเหมือนเดิม มีอาการเพลียเล็กน้อย

เช้าก็ไปทำงานตามปกติ แล้วก็มาวัดอีก วันนั้นเป็นวันก่อนวันเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งที่ ๑ เพียงวันเดียว ผู้คนมากันเต็มศาลานวราช แน่นไปหมดเลย พอเห็นคนเต็มไปหมดเช่นนั้นก็ตกใจ ขณะที่มาก็หวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานหลวงพ่อป่วยหนัก มีความรู้สึกว่าคงเป็นเพราะหลวงพ่อช่วยดิฉันไว้ ท่านจึงเป็นเช่นนี้ ดิฉันขอตาย ท่านก็ไม่ให้ตาย เกิดความรู้สึกว่าดิฉันเป็นลูกที่แย่มากทีเดียว

เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าจากนี้ไป จะไม่ทำชั่วให้หลวงพ่อต้องหนักใจอีกแล้ว เพราะสงสารท่าน พอมาถึงวัดคนแน่น ดิฉันก็คิดว่าคงเข้าไม่ถึงหลวงพ่อเป็นแน่ แต่ก็อยากเข้าไปใกล้มากที่สุดเพราะตั้งจิตไว้ แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ พอดิฉันเดินถึงประตูบนศาลานวราช พอเปิดประตูปั๊บ หลวงน้าอรุณในขณะนั้นนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อ พอเห็นดิฉันเปิดประตูขึ้นมา ท่านก็บอกคนที่นั่งกันแน่นศาลา ให้แหวกทางให้ดิฉันเดินเข้าไป

พอเข้าไปถึงก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ท่านก็พูดในลักษณะห่วงใยในน้ำเสียงมีเมตตาและสงสารมาก ท่านถามดิฉันว่า “เป็นไงลูก” ท่านพูดเสียงอ่อนโยน พอฟังปั๊บดิฉันตื้นตันใจถึงที่สุด จึงร้องไห้อย่างเดียว หลวงพ่อก็หยุดนิดหนึ่ง ไม่พูดอะไร เพียงแต่พูดว่า “เอ้า ทยอยโอดไป” แล้วท่านก็คุยกับญาติโยมที่นั่งกันอยู่ ท่านก็พูดอะไรตลกๆ กับผู้คนที่นั่งอยู่ข้างหน้า

ดิฉันได้ยินเรื่องตลก ก็ขำ จึงหัวเราะพอหลวงพ่อเห็นดิฉันหัวเราะ ท่านก็หันมาทักว่า “ว่าไงลูก มาแล้วว่าไงลูก” ดิฉันตั้งใจจะพูด ก็พูดไม่ออก ร้องไห้ต่อไปอีกท่านก็ปล่อยให้ดิฉันร้องไห้ต่อไป แล้วท่านก็คุยกับคนอื่น ท่านคุยเรื่องตลกขำๆ เรื่อยไป จนกระทั่งดิฉันตั้งสติได้แล้ว ท่านก็หันมาถามว่า “เป็นไงลูก” ก็เล่าให้ท่านฟังว่า

“เวลาจะเกิดอะไรไม่ดีไม่งามกับลูก หลวงพ่อจะไปบอกคล้ายฝันแต่เหมือนเห็นองค์จริง แล้วก็เกิดเรื่องจริงตามที่หลวงพ่อบอก แล้วจึงเล่าเรื่องทานยาให้ท่านฟัง ว่าวันแรกทานยาอะไรบ้าง แล้วก็ไม่เป็นไร วันที่สองทานยาอีก ก็ไม่เป็นไรอีก”
หลวงพ่อก็พูดมาคำหนึ่งว่า “แล้วเอ็งขออะไรล่ะ”

ก็เลยก้มลงกราบท่าน ไม่กล้าเล่ามาก เพราะมีคนเยอะ ก็เลยกราบเรียนท่านสั้นๆ ว่า “ลูกได้ขอไว้ว่า ขออย่าให้ลูกได้รับทุกข์ทรมานจากผลของการทานยา เพราะกลัวลูกๆ จะอายเพื่อน”
หลวงพ่อก็เลยบอกว่า “เอ้าก็ให้แล้วไง แต่เอ็งจำไว้อย่างหนึ่งว่า เอ็งจะตายไม่ได้ ถ้าหลวงพ่อยังไม่ตายก่อนจำไว้นะลูก”

ท่านสอนอีกว่า “ขอให้ยึดมั่นในความดี”
ก็เลยบอกท่านว่า “ต่อไปนี้จะเชื่อฟังหลวงพ่อ ไม่ดื้อและไม่ทำความชั่วอีกเพราะเห็นแล้วว่าผลที่ลูกทำความชั่ว หลวงพ่อช่วยลูกแล้ว หลวงพ่อต้องเหน็ดเหนื่อยและไม่สบายอย่างที่เป็นอยู่นี่” แล้วท่านก็นิ่งไปสักพักหนึ่ง ท่านก็คุยแต่เรื่องสนุกๆ ฟัง เรื่องนี้ก็จบ

มีอีกตอนหนึ่ง เมื่อครั้งที่หลวงพ่อสั่งให้ทำยาพระนอนใหม่ๆ สมัยนั้นไม่ได้บดยา เพราะใช้หม้อดินต้ม จุดประสงค์ทำยาของท่าน เพื่อให้ลูกหลานมีสุขภาพดี พ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งคุณไสยซึ่งกำลังระบาดมากในระยะนั้น ในงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งนั้น (จำไม่ได้ว่าครั้งที่เท่าไร) ทำยาครั้งแรกคนสั่งจองยามามาก ตัวยาบางตัวหาไม่ได้ ต้องขับรถตระเวนหาทั่วไปหมด

แต่เวลาจะไป จะตั้งจิตอธิษฐานถึงพระพุทธองค์ ท่านปู่ท่านย่า หลวงพ่อท่านแม่ศรีขอให้ดลใจให้ที่ไหนที่มียาชนิดนั้น ขอให้ดิฉันไปที่นั่น บางครั้งดิฉันตั้งใจขับรถจะไปทางหนึ่งก็หลงทาง และการหลงทางเป็นการช่วยให้ไปได้ตัวยา จะเป็นได้ว่าพระพุทธองค์ท่านปู่ท่านย่าหลวงพ่อท่านแม่ศรี ช่วยให้หลงไป แต่ไปได้ตัวยามา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พอ คืนวันพฤหัสก่อนที่จะถึงวันศุกร์ที่เป็นวันปลุกเสกยาในโบสถ์

ต้องชั่งยาทั้งคืนไม่ได้นอนเลย ดิฉันชั่งยาที่ตึกธัมมวิโมกข์ชั้น ๒ หลวงพี่อาจินต์จัดที่ให้ที่นั่น รุ่งเช้าก็ไปหาตัวยาเพิ่ม ขณะขับรถไปทางโกรกพระเลยอุทัยไปนิดหน่อยมีเนินเขาลูกหนึ่ง พอลงจากเขาก็เห็นคล้ายแมววิ่งผ่าน แล้วก็หลบแมวรถตกถนนลงไปข้างทาง ลงไปท้องนา ตกจากที่สูงมากและมีน้ำทะลักเข้ามาในรถ แต่รถไม่คว่ำ ทันทีที่ตกลงไปปรากฏว่ามีหญิงชายคู่หนึ่งลงมาช่วย

เขาถามว่า พี่เป็นไงบ้าง เขาบอกว่าดิฉันขับรถหลบพวกเขา ถ้าไม่หลบต้องชนเขาแน่ เขาขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมา แทนที่จะเป็นแมวอย่างที่ตาดิฉันเห็นก่อนที่รถจะพุ่งลงไปกลายเป็นคน ๒ คนขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนกันมา ถังน้ำมันรถดิฉันรั่ว ชาวบ้านมาช่วย เอาสบู่มาอุดให้ ช่วยยกรถขึ้นมา มีเด็กนักเรียนชายนั่งรถมาเป็นเพื่อน พาไปร้านซ่อมที่ศูนย์การค้าที่จังหวัดอุทัยธานี

ใช้เวลาซ่อมอยู่จนบ่ายโมงจึงเสร็จๆ แล้วก็ไม่ท้อ ไปหายาต่อ จนกระทั่งเย็น ไปเอาตัวยาเพิ่มที่บ้านพี่สาวที่อำเภอพยุหะคีรี ได้โทรศัพท์กราบเรียนหลวงพี่ชัยศรีในขณะนั้นว่า ขอความกรุณาอย่าเพิ่งปิดโบสถ์ ตอนนี้กำลังนำยาไปที่วัด ขณะที่พูดโทรศัพท์อยู่ อาจารย์พรนุชก็พูดโทรศัพท์สวนขึ้นมา ถามว่า
“พี่โอ๋ๆ (หมายถึงดิฉัน) ตอนนี้พี่โอ๋อยู่ที่ไหน หลวงพ่อท่านเป็นห่วง”

ก็เลยบอกว่าอยู่ที่หยุหะคีรี ไม่เป็นไรหรอก ไม่กล้ากราบเรียนทางโทรศัพท์ว่าเป็นอะไรมา จนกระทั่งมาถึงวัดก็ไปกุฏิกลางน้ำพบหลวงพ่อ เล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่า “รู้แล้ว แม่ศรีมาบอก แล้วแม่ศรีไปช่วยไว้” ดิฉันมาคิดเอาเองว่า สายใยแห่งความเป็นพ่อแม่ลูก ไม่ว่าจะเกิดชาติไหนหาใดก็ตาม ปัจจุบันจะเป็นลูกหรือไม่เป็นก็ตาม ท่านคอยติดตามช่วยเหลือตลอดเวลา

ซึ่งได้ประสบมาด้วยตัวดิฉันเอง ก่อนที่จะทำยา เป็นช่วงที่หลวงพ่อป่วย ท่านคิดจะทิ้งสังขารอีกครั้งหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า ขณะที่ท่านจำวัดอยู่ ท่านก็ภาวนาของท่านไปเรื่อยๆ พอออกจากร่างไป ท่านก็เห็นร่างกายของท่านบิดเบี้ยว ปากเบี้ยว ลักษณะแบบคนเป็นอัมพาต ท่านก็เลยขึ้นไปกราบพระและท่านย่าตามปกติ ท่านคิดว่าจะไม่กลับมาอีก เพราะว่าถ้ากลับมา สภาพร่างกายท่านเป็นแบบนี้

ไม่สามารถที่จะทำงานได้ ท่านก็จะไม่กลับ แต่พระพุทธองค์กับท่านย่าบอกให้ท่านรีบกลับ เดี๋ยวร่างกายก็จะดี เพราะถ้าหากพระที่มารับ (พระครูปลัดอนันต์เวลานี้) เห็นสภาพร่างกายท่านเป็นแบบนี้ ท่านจะตกใจ (ตอนนั้นท่านพักอยู่ที่ตึกกลางน้ำ) ท่านจึงกลับ และให้อาจารย์พรนุชสั่งให้ดิฉันบดยารักษาโรคอัมพาต โดยท่านบอกส่วนผสมของยาให้เรียบร้อย ดิฉันได้จดส่วนผสมของยาไปให้พี่สาวที่อยู่อำเภอพยุหะคีรีบดยาให้

และนัดจะไปรับยาเพื่อมาถวายหลวงพ่อในวันจันทร์ (วันที่สั่งไม่แน่ใจว่าเป็นวันศุกร์หรือวันเสาร์) แต่ปรากฏว่าเช้าวันอาทิตย์ก่อนถึงวันจันทร์ ขณะที่บูชาพระอยู่ เห็นภาพและได้ยินเสียงของพระพุทธองค์ชัดเจนมาอย่างผิดปกติ (โดยปกติเป็นคนปฏิบัติไม่แจ่มใส) ท่านเมตตาสั่งว่า ให้ไปหาหลวงพ่อวันนี้ เพราะหลวงพ่อจะสั่งงาน

ดิฉันก็กราบขอต่อพระพุทธองค์ว่า “ลูกตั้งใจจะไปวันพรุ่งนี้ เพราะจะได้เอายาไปถวายหลวงพ่อตามที่ท่านสั่งไว้ ก็ขออนุญาตว่าเอาไปพรุ่งนี้ได้ไหม” พระพุทธองค์ตรัสว่า “ไม่ได้ ต้องไปวันนี้” เกิดความสงสัยว่าใช่หรือไม่ นึกว่าตนเองผิดปกติไป แต่ก็ไปหาหลวงพ่อตามที่พระสั่ง โดยไปเอายาที่อำเภอพยุหะคีรีก่อน ปรากฏว่าไปถึงยาก็บดเสร็จก่อนแล้ว และก็ไปกราบหลวงพ่อที่ตึกกลางน้ำในตอนเย็นวันนั้น พอไปถึง หลวงพ่อก็สั่งให้ทำยาพระนอน

เป็นยาที่พระพุทธเจ้าสั่ง ซึ่งตรงกับที่ดิฉันได้ยินเสียงมา (ซึ่งไม่แน่ใจตนเองในตอนนั้น แต่ไม่กล้ากราบเรียนหลวงพ่อจนบัดนี้) ท่านสั่งให้ทำยาพระนอน โดยบอกส่วนผสมมาให้ ครั้งแรกคิดว่าท่านคงสั่งเล็กน้อย ฟังไปฟังมา เอ๊ะ ท่านสั่งให้ทำจำหน่ายเพื่อสงเคราะห์ลูกหลานด้วย โดยกำหนดราคาจำหน่ายและแบ่งส่วนทำบุญบำรุงวัดเรียบร้อย โดยให้ลงทุนเอง ดิฉันกำลังจะเอ่ยปากว่า ไม่เอา

ท่านรีบทักไว้ก่อนว่า อะไรก็ต้องใช้จ่ายทั้งนั้น ไม่ใช่น้อยนะ แม้กระทั่งค่ากระดาษ ค่าถุง ค่าเชือก ก็ต้องใช้จ่าย พอดิฉันจะเอ่ยปากขึ้นอีก ท่านก็บอกว่า “พระสั่ง” เลยต้องเงียบและถือปฏิบัติมาจนบัดนี้ ว่าอย่างน้อยต้องเท่าที่พระสั่ง ส่วนมากกว่านั้นเป็นเรื่องที่ดิฉันจะทำบุญ ดูที่ตนเองไม่เดือดร้อน ระยะนั้นได้ทราบว่าหลวงพ่อเป็นโรคท้องผูก ซึ่งปกติดิฉันก็เป็นโรคนี้เป็นประจำ

และก็ได้ทำยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่บังเอิญได้ตัวยามารับประทานเป็นประจำทุกวันเป็นเวลาหลายปี ช่วยให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น จึงลองทำมาถวายหลวงพ่อ เผื่อว่าจะช่วยให้ความทุกข์ทรมานของท่านเบาบางลงไปได้บ้าง ครั้งแรกไม่กล้าเพราะทราบว่ายาของหลวงพ่อต้องระมัดระวัง และอยู่ในความควบคุมของหมอตลอดเวลา แต่ก็ลองดู ปรากฏว่า หลวงพ่อฉันแล้วบอกว่ายานี้ดีมาก ช่วยให้อาการท้องผูกของหลวงพ่อดีขึ้น

อาการป่วยต่างๆ ก็เบาตามด้วย หลวงพ่อเลยตั้งชื่อยานี้ว่า “ยาฤาษีหายป่วย” ต่อมามีอยู่เช้าวันหนึ่ง ที่ตึกกลางน้ำ ดิฉันได้มากราบหลวงพ่อขณะที่หลวงพ่อนั่งฉันอาหารเช้าอยู่ ท่านก็พูดขึ้นว่า นั่นแน่ หมอใหญ่มาแล้ว แต่ดิฉันไม่เห็นใครแต่ความเข้าใจว่าคงเป็นท่านปู่ชีวกหรือไม่ก็หลวงปู่ปาน อีกสักครู่หลวงพ่อก็พูดว่า ท่านปู่ชีวกท่านมา หลวงพ่อนิ่งไปพักหนึ่งเหมือนหยุดฟัง

แล้วท่านก็บอกว่าไอ้โอ๋เอ๊ย เอ็งเคยถือย่ามหรือล่วมยาตามท่านปู่ชีวก และตามท่านแม่ศรีมาตลอดแล้วท่านก็หัวเราะเสียงดังมากว่า “มิน่าเล่า ย่าถึงได้สั่งให้เอ็งเป็นคนทำยา” โดยเอ่ยชื่อมาเลย ให้ไอ้โอ๋นั่นแหละเป็นผู้ทำยา เพราะท่านรู้ว่าหน้าที่นี้เป็นของใคร (ก็เป็นเรื่องแปลกที่ดิฉันไม่เคยมีความรู้เรื่องยามาก่อนในชาตินี้ แต่ก็พอใจในงานที่พระพุทธองค์และหลวงพ่อสั่ง และไม่เหน็ดเหนื่อยด้วย

ทั้งๆ ที่ยาบางตัวที่จะประกอบเป็นตัวยาพระนอนในสมัยนั้นหายาก ต้องขับรถตระเวนหาตัวยา ซึ่งดูแล้วมันก็ไม่คุ้มแต่ไม่เคยท้อ คิดแต่เพียงขอให้ได้ยามา จนหลวงพ่อว่า เอ็งน่ะมันขี่ช้างจับตั๊กแตน) อีกสักครู่ท่านก็พูดต่อไปอีกว่า ท่านปู่ชีวกบอกว่ายาตัวนี้ เป็นยาของเอ็ง ที่เอ็งเคยทำมาก่อนในอดีตชาติแต่คนที่รับมาทีหลัง ก็เปลี่ยนสัดส่วนในการผสมยาไป ทำให้ผลของยาไม่ดีเท่าที่ควร

หลวงพ่อพูดอีกว่า ท่านปู่บอกว่าเอ็งกินยาตัวนี้มาตลอดใช่ไหม ดิฉันตอบว่าใช่ค่ะ ท่านก็บอกว่าสัดส่วนจริงๆ ของมันเป็นอย่างนี้ แล้วท่านก็บอกสัดส่วนในการผสมตัวยาบางตัวเท่านั้น ยาชนิดนี้มีส่วนผสมด้วยสมุนไพร ๓๐ กว่าชนิด แต่สัดส่วนที่ท่านบอกเป็นสัดส่วนของสมุนไพรบางตัวเท่านั้น ท่านเพียงแต่บอกเป็นสัดส่วนไม่ได้บอกเป็นน้ำหนัก และบอกว่ารักษาโรคบ้าได้ ดิฉันนั่งงงกลัวจำไม่ได้

อาจารย์พรนุช จึงได้ให้ไปเอากระดาษมาจด ก็จดตามที่ท่านบอก (ท่านบอกว่าท่านปู่มาบอก) ท่านพูดว่ารักษาโรคบ้าได้ คนที่เป็นโรคบ้า ๑๐๐% กินยานี้ไปได้ ๑๕ วัน ความบ้าลดลงเหลือ ๑๕% คราวต่อมาก็มีคนเล่าให้ฟังที่ซอยสายลมว่าเป็นโรคบ้าเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญามา ๓ ครั้ง แต่ไม่หายพอรับประทานยานี้อาการก็หายเป็นปกติ จึงดีใจและโล่งอกไปมาก

เลยตั้งชื่อยาตัวนี้ว่า ยาบำรุงประสาท หลวงพ่อบอกว่าคนเราเป็นโรคประสาทหรือโรคบ้ากันทุกคน จะมากหรือน้อยเท่านั้นแหละ โรคปวดศีรษะหลงๆ ลืมๆ ก็คือโรคบ้า เรื่องของการทำยา พระท่านเคยมาบอกว่าเป็นงานที่ท่านเมตตาสั่งให้ทำ เพื่อสงเคราะห์ลูกหลาน เพื่อให้มีสุขภาพดีจะได้ช่วยกันทำนุบำรุงศาสนาได้อย่างเต็มที่ให้ทำไปเถอะอย่าท้อถอย

ท่านจะเมตตาควบคุมดูแลให้ตลอดและความจริงแล้ว ผลของยาที่ทำไปแต่ละชนิดก็ได้ผลจริงๆ คงจะเป็นผลของตัวยา และผลของพุทธคุณร่วมด้วย ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ ที่ทุกคนที่ได้รับยาไป ไม่เสียเงินเปล่า และดิฉันก็มั่นใจว่า ท่านควบคุมจริงๆ เพราะมีอยู่ครั้งหนึ่ง ดิฉันผสมยาชนิดหนึ่งขาดไป ๑ ตัวโดยไม่รู้ตัวทำยาเสร็จบรรจุกล่องจะนำมาวัดแล้ว ขณะที่จุดธูปบูชาพระอยู่

ก็ได้เห็นภาพตัวยาที่ลืมไป กองสูงอยู่เบื้องหน้า ก็ตกใจเอ๊ะทำไมสมุนไพรตัวนี้จึงมาปรากฏให้เห็นทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดมาก่อน หรือว่าเราลืมไป จึงไปเช็คในบิลส่งขอที่สั่งมา ปรากฏว่าลืมสมุนไพรตัวนี้จริงๆ จึงต้องเทออกจากกล่องบดใหม่ ปั้นและทำใหม่ ขอให้ทุกท่านที่รับประทานยามั่นใจว่ายานี้พระท่านคุมอยู่จริงๆ หลวงพ่อมีพระคุณต่อดิฉันอย่างเปี่ยมล้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการให้กำลังใจก็ดี

การสั่งสอนธรรมะก็ดี และอื่นๆ ที่ผ่านมา นับได้ว่าท่านได้สงเคราะห์โดยแท้ พระคุณท่านมากเกินกว่าที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ ถึงแม้ดิฉันจะทดแทนพระคุณท่านกี่ชาติๆ ก็ไม่สามารถกระทำได้หมดสิ้น ดิฉันจึงตั้งจิตไว้ว่าจะปฏิบัติตนเพื่อทรงไว้ซึ่งความดี อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อให้หลวงพ่อไม่ต้องเป็นห่วง และขอถวายชีวิตอุทิศเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนาและองค์หลวงพ่อด้วยความเต็มใจ

เพราะชีวิตของดิฉันหากไม่มีหลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ในครั้งที่รับประทานยาดังที่กล่าวแล้วข้างต้น ป่านนี้ไม่ทราบว่าจะไปอยู่นรกขุมไหน คงไม่ได้มีโอกาสทำความดีเพื่อผลของพระนิพพานในชาติปัจจุบันตามแนวทางที่หลวงพ่อได้พยายามพร่ำสอนอยู่ทุกวันนี้เป็นแน่ อีกอย่างหนึ่งที่ดิฉันประทับใจมากก็คือ ความเมตตาของหลวงพ่อท่านได้แผ่ไปสงเคราะห์ทุกคนในครอบครัวดิฉันโดยทั่วถึงกัน

แม้กระทั่งลูกๆ ก็ซาบซึ้งในพระคุณ ในมหากรุณาอันเปี่ยมล้นของหลวงพ่อ มีคำกล่าวคำหนึ่งที่ดิฉันซาบซึ้งและดีใจมาก ในฐานะที่เกิดเป็นแม่ เพราะลูกๆ ทั้ง ๓ คนเคยพูดให้ฟัง โดยเขาพูดกัน ๓ พี่น้องว่า “พวกเราดีใจที่เกิดมาเป็นลูกคุณแม่” จึงถามพวกเขาว่าเพราะอะไร เขาบอกว่า “เพราะถ้าไม่ได้เป็นลูกคุณแม่ คงไม่ได้เข้าใกล้หลวงพ่ออย่างนี้ คงไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมะจากหลวงพ่อ

คงไม่ได้ปฏิบัติพระกรรมฐาน และไม่ได้พบพระพุทธองค์อย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้” สิ่งนี้คือสิ่งที่ประทับใจมาก เพราะที่สุดที่ผู้เป็นแม่ต้องการ คือต้องการให้ลูกตั้งอยู่ในความดี ส่วนจะมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับกรรมของเขา เพราะเราพยายามอย่างที่สุดแล้ว และลูกก็พูดต่ออีกว่า โดยปกติแม่จะรักลูกมากที่สุด แต่เขารู้ว่าจริงๆ แล้ว พวกเขารู้ว่าแม่ไม่ได้รักเขามากที่สุด

เพราะเขารู้ว่าที่แม่รักที่สุดคือสมเด็จพ่อกับหลวงพ่อ และรองลงมาคือพวกเขา เขาไม่เสียใจหรอก เขาดีใจและสำหรับพวกเขาก็เหมือนกัน ที่เขารักมากที่สุดคือ สมเด็จพ่อและหลวงพ่อ รองลงมาคือคุณแม่ (ปกติเวลาขึ้นไปกราบพระพุทธองค์ๆ ท่านจะแทนตัวว่าพ่อ เราจึงเรียกท่านว่าสมเด็จพ่อกันทุกคน)

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/7/12 at 15:44 [ QUOTE ]


63

เมตตาจากหลวงพ่อถึงลูก


จตุรงค์ จารุพันธ์พานิช


เมื่ออ่านธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๕๐ หน้า ๔๖ ย่อหน้า ๒ เกี่ยวกับงานทำบุญประจำปีวัดท่าซุง และงานฉลองสมณศักดิ์หลวงพ่อ (จากพระมหาวีระ ถาวโร เป็นพระสุธรรมยานเถระ) หลวงพ่อ “ขอคุยอีกนิดเถอะ ท่านที่มาในงาน ใครเห็นพระองค์ที่ ๑๐ บ้าง ความจริงพระองค์ที่ ๑๐ ท่านเมตตามาสงเคราะห์ โดยที่ไม่ได้นิมนต์ท่าน ถ้าเห็นก็เห็น หรือไม่เห็นก็ไม่เห็น

ถามว่าถ้าเห็นแล้วจะมีอะไรดีบ้างก็ต้องตอบว่า...ไม่ทราบ...เพราะไม่ทราบความรู้สึกของผู้เห็น คิดตามความรู้สึกของอาตมาเอง คิดว่าหลายท่านคงไม่เห็น เพราะพระองค์ที่ ๑๐ เป็นพระ “ผี” คือไม่แสดงตนเองว่าเป็นใคร ก็ต้องขอตอบว่า ท่านเป็นพระองค์ที่ ๑๐”

ผมจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน ต่อเบื้องพระพักตร์ พระวิสุทธิเทพ และหลวงพ่อที่พระนิพพาน “ขอได้โปรดสงเคราะห์ลูกและคุณแม่เฮงจู แซ่เอี้ยว (มารดาผมเอง) ได้รับพระเมตตาจากพระองค์ที่ ๑๐ ให้ได้เห็นด้วยตาเนื้อด้วยเถิด”

๒๓ มี.ค. ๒๕๒๘ ผมและคุณแม่เดินทางร่วมกับคณะบ้านสายลม เมื่อถึงจุดหมายจึงนำคุณแม่ไปนมัสการในจุดต่างๆ
๒๔ มี.ค. ๒๕๒๘ได้ทำกุศล ณ ศาลา ๒ ไร่ ได้กราบพระอริยะหลายท่าน ที่รู้จักและจำได้ มีหลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย หลวงปู่ชัยวงค์ ขณะที่ท่านใช้ไม้เท้าแตะที่ศีรษะของผู้ที่มาขอพร ผมได้ถ่ายภาพหลวงปู่ชัยวงค์ และเมื่ออัดภาพออกมา เบื้องหน้าท่านมีดวงกลมรี สีขาวนวล เป็นที่ชื่นชมบารมี

หลวงปู่ชัยวงค์และหลวงพ่อ เสียงหลวงพ่อออกเครื่องขยายเสียงมีใจความว่า “วันนี้เป็นวันดี มีพระในพระพุทธศาสนาที่จบหลักสูตรของพระพุทธเจ้ารวมทั้งสิ้น ๗ องค์ เป็นพระป่า ๖ องค์ เป็นพระเมือง ๑ องค์” ผมจึงขอโมทนาด้วยครับ

เมื่อบำเพ็ญกุศลแล้ว ก็มุ่งที่จะไปนมัสการพระองค์ที่ ๑๐ จากการสอบถามหลายท่าน ท่านหนึ่งได้ไปนมัสการท่านแล้ว เธอผู้นั้นกล่าวว่า “ท่านประทับ ณ โคนโพธิ์ หลังวิหารหลังเก่า (โคนโพธิ์หน้ามณฑปแก้วในปัจจุบัน)” ไปถึงมิได้พบจึงถามผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้น เธอบอกว่าท่านประทับอยู่โคนโพธิ์ ริมแม่น้ำข้างๆ ศาลาหลังเก่า

เมื่อผมไปถึงมีผู้คนมากพอประมาณ ผมเองกับคุณแม่อยู่หลังสุด มือเคยครับ ยกกล้องถ่ายภาพบันทึกไว้ ๑ ภาพทันที พอจะถ่ายภาพองค์ท่านให้เต็มจอช่องมอง ก็พลันได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ที่ต้อนรับท่านบอกว่า “ห้ามถ่ายภาพ” ผมจึงตั้งจิตขอขมาที่พระนิพพานทันที และขอพุทธานุญาต “ภาพที่บันทึกแล้วขอให้มีภาพปรากฏ” จึงได้ภาพมาหนึ่งภาพ (ต่อมามีเพื่อนให้ภาพที่เต็มจอภาพมาอีกหนึ่งภาพ)

จากนั้นมีชายผู้หนึ่งมีคำถามแด่องค์ท่าน “ผมนั่งสมาธิแล้วฌานระเบิดจะเป็นอย่างไรบ้างครับ?” ผมฟังแล้วสะดุ้งอยู่ในใจว่า...ตั้งแต่ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อมาในพระกรรมฐาน ๔๐ มิได้กล่าวไว้ นี่ก็คงมากระทงเดียวกับพวกอัดขันธ์เสียกระมังนี่...(ในความคิดผมขณะนั้น สงสัยเธอผู้นั้นคงมาจากสำนักที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าของเราเสียแล้ว)

พระองค์ที่ ๑๐ ท่านให้คำตอบพอจำใจความว่า “ฌานระเบิดพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนไว้” ... จากนั้นได้กล่าวขมาแด่พระองค์ที่ ๑๐ แล้วสดับพระธรรมที่ท่านสอน เป็นพระธรรมที่ประณีต ใช้ถ้อยคำที่ง่ายแก่การรับฟัง แต่ลึกซึ้ง ถึงเวลาจะน้อยนิดที่ได้โปรดสงเคราะห์ ในขณะนั้นจิตก็ตั้งมั่นในการสดับพระธรรมอย่างมิเคยเป็นมาแต่กาลก่อน

ท่านกล่าวพระธรรมด้วยเสียงปรกติ ในระยะที่ผมนั่งนั้นโดยปรกติผมได้ยินเบามาก แต่ปรากฏว่าเสียงพระองค์ที่ ๑๐ คล้ายว่าท่านอยู่ห่างจากผมประมาณหนึ่งวาเศษ (นี้คงเป็นการเทศน์แบบปาฏิหาริย์อย่างแน่ๆ) รวมความว่าในวันนั้น ด้วยพระบารมีพระองค์ที่ ๑๐ และหลวงพ่อ ทำให้ผมพบในสิ่งที่ไม่เคยพบ เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ยินในสิ่งที่ไม่เคยไดยิน คงจะมิมีสิ่งในที่ลูกจะสนองคุณท่านได้ครบถ้วน

นอกจากปฏิบัติตามแนวที่ท่านได้วางไว้ให้บรรลุจุดที่ท่านได้สอนไว้สูงสุดคือพระนิพพาน เมื่อใดจิตมีกำลังอ่อนลงความเลวจะเข้าสิงใจ ได้ยินเสียงหลวงพ่อมาเตือนทุกครั้ง
ของขวัญจากพ่อ
มอบแด่ลูกรักของพ่อทุกๆ คน

“ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พ่อไว้ พ่อถ่ายทอดให้แก่ลูก ทรัพย์สมบัติทั้งหมดนี้ ขอลูกจงถือว่านั่นคือตัวแทนของพ่อ เพราะว่าชีวิตของพ่อนี่ พ่อไม่แน่ใจนักว่าจะมีอายุยืนยาวอีกสักกี่ปี ขอลูกทั้งหลายจงอย่าถือขันธ์ ๕ ของพ่อนี้เป็นสำคัญ ปฏิปทาใดที่เป็นที่ชอบใจ ไม่เกินวิสัยลูก ขอลูกจงทำและจงรักษาอภิญญาสมาบัติไว้

ขณะใดที่ใจลูกยังรักษาอภิญญาสมาบัติไว้ รักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ขณะนั้นลูกจงภูมิใจว่า พ่ออยู่กับลูกตลอดเวลา ถึงแม้ว่าร่างกายกายาของพ่อจะสลายไป แต่ใจของพ่อยังอยู่กับใจของลูก ลูกจะไปไหนก็ชื่อว่าพ่อไปด้วย ช่วยลูกทุกประการ”
เมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๓

 ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/8/12 at 15:59 [ QUOTE ]


64

พบเทวดาที่วัดพระแก้ว


เพชร ประทูลทอด


ก่อนอื่น ผู้เขียนขอขมาต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหมด หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ทั้งหมด พรหมและเทวดา ตลอดจนท่านผู้มีคุณทุกๆ ท่าน เรื่องของพระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านมีเมตตาจิตแก่ผู้เขียนมากมาย จนไม่รู้ว่าจะเขียนบรรยายเป็นตัวหนังสือได้อย่างไรดี เพราะผู้เขียนไม่ถนัดเลย

เมื่อปี ๒๕๑๘ ผู้เขียนได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ซึ่งต่อมาหลังจากได้อ่านแล้ว ทำให้ผู้เขียนเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ ค่อยๆ ห่างจากสิ่งมึนเมา สิ่งเสพติดต่างๆ พอห่างจากสิ่งเหล่านี้ ผู้เขียนก็อยากจะกราบแทบเท้าท่านผู้เขียนประวัติ ที่ท่านมีเมตตาได้ชี้ทางชีวิตให้ผู้เขียนได้รู้จักผิดชอบชั่วดี ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อบอกไว้หมด นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน มีหมด

ชอบแบบไหน ตามใจเลือกเอาและท่านหลวงพ่อยังท้าให้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติอีกด้วย ยิ่งทำให้ผู้เขียนอยากเห็นองค์จริงของท่าน จนกระทั่ง พ.ศ.๒๕๒๕ ผู้เขียนได้ไปทอดผ้าป่าที่วัดบางพะยอม จังหวัดพิษณุโลก บังเอิญท่านพี่ประเสริฐ นิมมลกุล ท่านได้เปิดเทปธรรมคำสอนของหลวงพ่ออยู่เก้าอี้ด้านหลังผู้เขียน ทำให้ผู้เขียนได้ฟังธรรมไปด้วย จนกระทั่งถึงวัดพะยอม จากการที่ผู้เขียนได้ฟังเทปนั้น

ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าเคยฟังที่ไหนมาก่อนอย่างนั้นแหละ พอถึงวัดผู้เขียนจึงได้ถามท่านว่า “ท่านเอาเทปมาจากไหน ผมอยากจะได้บ้าง” ท่านพี่ประเสริฐจึงบอกว่า “เอามาจากบ้านซอยสายลม” และท่านได้ชวนผู้เขียนว่า “ไปกราบหลวงพ่อกับผมไหมล่ะ ตอนนี้ท่านมาอยู่บ้านซอยสายลมพอดีเลย” ผู้เขียนดีใจมากจะได้กราบองค์จริงของหลวงพ่อสักครั้ง ซึ่งผู้เขียนรอคอยมานานแล้ว

ผู้เขียนคิดว่าท่านไม่มีชีวิตอยู่เสียแล้ว ตอนอ่านประวัติหลวงปู่ปาน ท่านบอกว่าท่านป่วยหนักมากพอมาถึงบ้านซอยสายลม หลวงพ่อท่านกำลังนำไหว้พระสมาทานพระกรรมฐานอยู่พอดี และทำให้ผู้เขียนตื่นเต้นดีใจมาก ที่ได้รับฟังโอวาท คำแนะนำของท่านเป็นครั้งแรกแบบสุกขวิปัสสโก ผู้เขียนนั่งภาวนาว่า พุท – โธ พร้อมจับลมหายใจเข้าออก สักพักหนึ่งก็เกิดแสงจ้าต่อหน้าผู้เขียน ทำให้ผู้เขียนลืมคำภาวนาไปชั่วขณะและมีความรู้สึกเบาและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก และเวลาก็รู้สึกว่าหมดไวจริงๆ

พอกริ่งหมดเวลา ท่านผู้อ่านครับ หลวงพ่อท่านพูดออกมาว่า คนที่มาปฏิบัติวันนี้ดีมาก และลูกที่ตั้งใจมาจากแดนไกล วันนี้วางอารมณ์ได้ถูกต้องแล้ว แล้วลูกต้องพยายามต่อนะ เท่านั้นแหละครับ ทำให้ผู้เขียนเกิดดีใจน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว แต่นั้นมาผู้เขียนก็เล่าให้เพื่อนฟังบ่อยๆ และเอาหนังสือไตรภูมิมาให้อ่าน และหลายอย่างที่ท่านพวกนั้นก็อยากรู้จักท่านหลวงพ่อ ผู้เขียนเองก็มาเรื่อยๆ

จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๒๙ ผู้เขียนและครอบครัวได้ไปรับยันต์เกราะเพชรครั้งที่ ๗ ได้ไปเห็นวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ผู้เขียนรู้สึกว่าสะดวกสบายทุกอย่าง และก็ดีใจด้วยว่าได้ทำบุญกับหลวงพ่อ ปี พ.ศ.๒๕๓๐ พี่ประเสริฐ นิมมลกุลได้ชวนผู้เขียนเป็นเพื่อน ไปสอนธรรมะและแนะนำท่านผู้สนใจธรรมะปฏิบัติแบบมโนมยิทธิตามต่างจังหวัด วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๓๐ ผู้เขียนได้รับคำแนะนำจากท่านพี่ประเสริฐ เป็นอย่างมากทั้งที่บ้านพักของท่านและต่างจังหวัด

แต่ใจของผู้เขียนมันก็ไปไม่ได้สักที ดูท่านจะอ่อนอกอ่อนใจในตัวผู้เขียนมาก ท่านพี่บอกว่าใจมันดื้อมันด้านเหลือเกิน ก็จริงของท่าน ทำให้ผู้เขียนนึกถึงตอนไปบ้านซอยสายลมใหม่ๆ ครูท่านเมตตาแนะนำตั้ง ๓ – ๔ ท่าน ผู้เขียนก็ไม่เอาไหนเลย ท่านว่าเครียดเกินไป บางท่านว่าศีล ๕ ไม่ดีพอ ทำให้ผู้เขียนคิดว่า เราคงจะไม่มีกุศลพอ ผู้เขียนเลยคิดว่าจะปฏิบัติแบบสุกขวิปัสสโก

จนกระทั่งพี่ประเสริฐท่านพาผู้เขียนไปต่างจังหวัด ที่โรงเรียนและวัดจัดที่พัก ผู้เขียนและท่านพี่ประเสริฐเข้าไปนอนพักกันตามสบาย ผู้เขียนมาคิดว่าจะได้ไม่ได้ก็ตามแต่ จะขอทำใจให้สบาย ผู้เขียนนอนภาวนา นะมะพะธะ พร้อมกับจับลมหายใจเข้า – ออก พอสบายไม่คิดเรื่องอะไร ไม่กังวลในเรื่องต่างๆ ในอดีต ใจมันเกาะแต่คำภาวนา ต่อจากนั้น ผู้เขียนก็มีความรู้สึกว่า ตัวผู้เขียนมันวูบไปเป็นอีกตัวหนึ่ง

แล้วก็เดินไปเจอพระท่านหนึ่งอยู่ข้างทาง ผู้เขียนเข้าไปกราบท่านแล้ว รู้สึกว่าแปลกมาก ผู้เขียนนอนคิดทบทวนว่ามันเป็นมาอย่างไร พอดีท่านพี่ประเสริฐท่านพูดขึ้นว่า “บางคนแปลกนะ นอนไป” แทนที่จะนั่งไปแบบคนอื่นเขาแล้วท่านก็ไม่พูดอะไรเลย พอได้เวลาฝึก มีคนมาฝึกประมาณ ๕๐ คนเห็นจะได้ เวลาฝึกจริงๆ แบ่งออกเป็น ๒ วง ผู้เขียนอยู่วงที่ท่านให้นั่งติดกับท่านด้วย และท่านก็แนะนำให้ตัดขันธ์ ๕

และให้เห็นทุกข์ในการเกิด แล้วก็เปิดเทปสมาทานพระกรรมฐาน แล้วก็ให้ภาวนา นะมะพะธะ พอใจสบาย เห็นท่านนำคณะที่มีฝึกไปพระจุฬามณีแทบทุกคน ท่านว่าผู้เขียนเข้าฌานลึกเกินไป ท่านทั้งลากทั้งจูงผู้เขียนสารพัด จนกระทั่งท่านพูดขึ้นว่า “ทุกคนเห็นชายคนนี้อยู่พระจุฬามณีไหม” ทุกคนตอบคำเดียวกันว่า “เห็น” เท่านั้นแหละผู้เขียนจึงค่อยเห็นตัวเอง อยู่ข้างบนและท่านบอกให้ผู้เขียนไปบ้านตัวเอง แต่ก็เห็นแบบไม่แจ่มใสและก็ยังไปไหนไม่รอดอยู่ดี

อยู่มาวันหนึ่ง ช่วงต้นๆ ปี ๒๕๓๓ นี้เอง ผู้เขียนกลับจากบ้านมหาชัย มาทำงานที่บางบอน ตอนเช้าไหว้พระสวดมนต์ ถวายน้ำผลไม้ตามปกติ แล้วก็นั่งสมาธิต่อด้วย ท่านผู้อ่านครับ ในนิมิตของผู้เขียน ผู้เขียนถูกหลวงพ่อไล่ตีด้วยไม้กวาดและท่านก็บอกด้วยว่า ฉันไม่รับของจากคนใจชั่ว ใจไม่ดีหรอก ท่านผู้อ่านครับ วันนั้นทั้งวัน ผู้เขียนไม่มีความสุขใจเลย คิดแต่เรื่องเดียว คือเรื่องในนิมิต ผู้เขียนจึงคิดว่าใจผู้เขียนคงจะชั่วมากจริง ยังเลวอยู่มาก

จากวันนั้นมา ผู้เขียนจึงตั้งใจว่าจะไม่กินข้าวเย็น ถึงตอนเย็นผู้เขียนจะไหว้พระสมาทานศีล ๘ อยู่มา ๒ วันหลวงพ่อถึงให้กราบใกล้ และเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นแก้วมาให้กราบทีละองค์ ผู้เขียนถึงได้สบายใจขึ้น นี่แหละครับท่านผู้อ่าน ที่องค์หลวงพ่อเมตตาเตือนสติด้วยไม้กวาด (ในนิมิต) ผู้เขียนมักจะหาที่สงบนั่งสมาธิเป็นประจำ ในนิมิต ทำให้ผู้เขียนร้องไห้น้ำตาไหลอยู่บ่อยๆ

อยู่มาวันหนึ่งท่านพี่ประเสริฐได้เอาม้วนเทปคำสอนของหลวงพ่อมาให้ผู้เขียน ๑ ตลับ ชื่อว่านวสี ๙ ท่านย้ำว่าให้ฟังตอนตื่นเช้าก่อนนอนเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่ง ผู้เขียนไปนั่งสมาธิที่วัดพระแก้วกับหลานอีก ๒ คน พอไปถึงก็หาที่นั่ง ได้ที่เหมาะคือหลังพระอุโบสถ และบอกให้หลานหาที่นั่งตามสบาย จากนั้นจึงได้บอกหลานนั่งจับลมหายใจเข้าออกและเชิญองค์สมเด็จ หลวงพ่อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ และเจ้าที่เจ้าทางมาเป็นพยานในการเจริญพระกรรมฐานด้วย

จากนั้นผู้เขียนจึงได้เจริญพระกรรมฐาน พอปฏิบัติไปนานพอสมควร ผู้เขียนก็รู้สึกว่า มีคนมานั่งอยู่ตรงหน้า ผู้เขียนรู้สึกว่าเขาจะกราบผู้เขียนด้วย ผู้เขียนจึงคิดในใจว่า ผมมีดีอะไร ท่านจึงมากราบผม ผู้เขียนจึงนึกต่อไปว่า ขอให้ท่านไปกราบพระแก้ว พอผู้เขียนลืมตาขึ้นดู ท่านผู้อ่านครับ ชายคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว ตาข้างซ้ายใสแจ๋วไม่กระพริบ แถมมีประกายน่ากลัวอีกด้วย

แต่ตาข้างขวาผู้เขียนเห็นดูเหมือนจะพองโต เหมือนจะถลนออกมาอย่างนั้นแหละ ผู้เขียนมานึกอีกที ชายคนนี้คงจะเป็นคนเกเร ไม่อยู่ในศีลธรรมเป็นแน่ คงจะถูกชาวบ้านต่อยตีมา หน้าตาถึงได้เป็นแบบนี้ คงจะมาขอความช่วยเหลือจากผู้เขียนเป็นแน่ ผู้เขียนจึงคิดว่าอย่าไปยุ่งเรื่องชาวบ้านเลย ฟังเสียงธรรมของหลวงพ่อเราต่อดีกว่า ชายคนนี้ จะทำอะไรต่อไปก็ปล่อยเขาไปตามเรื่องขอเขา เราอย่าไปยุ่งดีกว่า

ผู้เขียนคิดในใจ เท่านั้นแหละครับท่านผู้อ่านพอผู้เขียนหลับตา และปรับเสียงของหลวงพ่อให้ดังขึ้น ปรากฏว่าเสียงของชายผู้นั้นดังแทรกเข้ามาในหูผู้เขียนเป็นการใหญ่ เสียงนั้นเป็นภาษาพูดและสวดมนต์ที่ไพเราะมาก แต่ผู้เขียนพยายามไม่เอาใจใส่ในเสียงนั้นอีก ฟังแต่เสียงหลวงพ่อ จนกระทั่งเทปหมด ๒ หน้า ผู้เขียนรู้สึกว่า ชายคนนั้นเอาดอกบัวมาวางบนหัวเข่าด้านขวามือ

พอผู้เขียนลืมตาขึ้นมาดูว่าชายคนนั้นจะทำอะไรต่อไป เท่านั้นแหละชายคนนั้นหายไปกับตาเลยไม่เห็นตัวตนอีกเลย เห็นแต่ดอกบัวที่วางอยู่บนหัวเข่าและมือขวาของผู้เขียนที่วางทับอยู่ ผู้เขียนเองก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ผู้เขียนจะประมาทเกิดไป ฟังธรรมะของหลวงพ่อไม่ได้เชิญผู้ที่ต้องการฟัง พรหมหรือเทวดามาร่วมฟังด้วย

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/8/12 at 14:49 [ QUOTE ]


65

ความประทับใจเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อ


พ.ท.เสริญ ทับพงษ์


ก่อน พ.ศ.๒๕๒๕ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” ในความคิดของข้าพเจ้ามีความรู้สึกไม่มีอะไรมากไปกว่าหลวงพ่อต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไป ยิ่งได้อ่านบทความจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวถึงท่านไปในทางลบ เกี่ยวกับวัดและสมภารเก่า ทำให้เกิดความคิดโน้มเอียงไปตามความในหนังสือพิมพ์นั้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๖ มีการประชุมพุทธศาสนาทั่วราชอาณาจักรครั้งที่ ๓๑ ระหว่าง ๑๖ – ๑๘ ธันวาคม ๒๕๒๖

ซึ่งจัดให้มีขึ้นที่วัดท่าซุง ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปร่วมประชุมด้วย เมื่อไปถึงวัดเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว มีความคิดร่วมกันว่าควรจะพากันไปกราบคารวะท่านตามธรรมเนียม ส่วนท่านจะเป็นอย่างไรแค่ไหนก็เป็นเรื่องของท่าน จึงพากันไปที่กุฏิริมน้ำ แต่ไม่พบท่านจึงเดินทางกลับมาสวนทางกับท่านที่กลางทาง เพียงแต่เห็นท่านเดินมา กิริยาท่าทาง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา

และอะไรๆ อีกหลายประการในความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ถูก ทำให้คิดได้ในทันทีนั้นว่าท่านคงไม่ได้เป็นไปตามข่าวที่ได้มา จึงพากันนั่งลงกราบ เสียงท่านถามพอได้ยินว่า “มาจากไหนกันล่ะ ครั้นตอบท่านว่า “มาจากเมืองเพชรครับ” แล้วท่านก็เดินผ่านไปพร้อมกับผู้ติดตาม ข้าพเจ้าได้แต่มองตาม และนึกขอขมาอยู่ในใจที่ได้มีความคิดล่วงเกินท่านผิดไปจากความเป็นจริงมาแต่แรก

ในตอนกลางคืนได้ไปร่วมฝึกมโนมยิทธิบนตึกด้วย แต่คงเพราะบารมีสะสมมาน้อยจึงไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็ดีใจที่ได้เข้ากราบใกล้ๆ อีกครั้ง เมื่อสิ้นสุดการประชุม ก่อนเดินทางกลับได้เลือกซื้อหนังสือต่างๆ เทปคำสอน บอกรับหนังสือธัมมวิโมกข์ ในช่วงเดินทางกลับ จะเป็นร้านอาหารหรือคนขับรถโดยสารก็ตามได้ลองถามถึงความเป็นมาของหลวงพ่อ เพื่อทราบข้อมูลประดับความรู้ และผลจากการที่ได้สอบถามดู ทำให้เกิดความเคารพในองค์หลวงพ่ออีกเป็นทวีคูณ

หลังจากนั้นก็มีโอกาสไปร่วมงานอีกหลายครั้ง ความประทับใจในหลวงพ่อเป็นพิเศษก็คือ จากการฟังเทปคำสอนและจากการอ่านคำสอนของท่านจากหนังสือธัมมวิโมกข์ก็ตาม ท่านสามารถยกคำอรรถเป็นภาษาบาลีที่ฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ถอดออกมาพูดเป็นภาษาชาวบ้านๆ จนเข้าใจได้ดี ข้าพเจ้าสนใจในพระพุทธศาสนาคนหนึ่ง แต่พอพบกับคำอรรถต่างๆ ที่เป็นคำบาลีก็แทบหมดความพยายามเพราะไม่เข้าใจถึงความลึกซึ้งของคำนั้นๆ

แม้แต่คำที่เคยได้ยินอยู่บ่อยๆ เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา อนิจจํ ทุกขํ อนตฺตา โลภ โกรธ หลง ฯ เป็นต้น แต่หลังจากพบหลวงพ่อ ได้ฟังเทป ได้อ่านหนังสือ ซึ่งท่านได้ถอดแต่ละคำออกมาอธิบายเช่นคำว่า โลภ โกรธ หลง ท่านจะยกออกมาแต่ละคำว่า โลภ คือ การกระทำอย่างไร ในภาวะจิตเป็นอย่างไรจึงเรียกว่า โลภ โกรธก็เช่นเดียวกัน สำหรับหลง เคยเข้าใจแต่เพียงว่า หลงทาง หลงคำพูดสรรเสริญเยินยอ หลงในรัก หลงด้วยเสน่หายาแฝดฯ

แต่หลวงพ่อได้อธิบายว่าความหลงข้างนอกไม่สำคัญหลงในตัวเราเอง เช่น หลงว่าเกิดมาแล้วจะให้คงเป็นหนุ่มสาว หลงในความสุขชั่วครั้งชั่วคราว หลงในความทุกข์ เมื่อไม่สมปรารถนา เจ็บไข้ได้ป่วย เสียของรักของชอบใจ หลงจนกระทั่งไม่เคยนึกว่าตัวเองจะต้องตายในวันหนึ่งข้างหน้า จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจให้คนที่มีภูมิปัญญาต่ำอย่างข้าพเจ้าเข้าธรรมะเบื้องต้นได้

เสมือนท่านได้ช่วยแหวกดินโคลนออก เพื่อให้ดอกบัวที่อยู่ใต้ดินโคลนได้มีโอกาสโผล่ขึ้นรับแสงอรุณในวันหนึ่งข้างหน้า ฉะนั้น นี่คือความประทับใจข้อหนึ่งที่ข้าพเจ้ามีในองค์หลวงพ่อ

ll กลับสู่สารบัญ


66

คณะศิษย์เพชรบูรณ์


ทันตแพทย์หญิงวัลลภา ไชยยศ สุวภา นิยม


ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการแทบเท้าองค์หลวงพ่อ “พระราชพรหมยาน” ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ในความรู้สึกของข้าพเจ้า หลวงพ่อเป็นพ่อที่มีความเมตตาต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นพระอาจารย์ฝ่ายธรรมะที่ประเสริฐของศิษย์ ข้าพเจ้าฟังหลวงพ่อเทศน์ อ่านหนังสือหลวงพ่อทุกเล่มเข้าใจไม่เคยเบื่อ เพราะหลวงพ่อแปลไทยเป็นไทยไว้ให้พร้อม ดีสำหรับลูกศิษย์โง่อย่างข้าพเจ้าผู้เขียนนี้

ข้าพเจ้าเคยอ่านเรื่อง หลวงพ่อ “ฤาษีลิงดำกู้ชาติ” ที่ลงในสกุลไทยเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วติดตามอ่านจนจบ ความรู้สึกขณะนั้นอยากพบองค์จริงหลวงพ่อมากเป็นพิเศษ ตั้งใจว่ามีโอกาสเมื่อไรจะไปกราบให้ได้ แต่ก็ไม่ทราบว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน จนน้องสุวภาไปส่งน้องชายที่บวชเพื่อปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุง บูชาหนังสือพระเมตตา เล่ม ๑ ไปให้อ่านต่อด้วยประวัติหลวงพ่อปานและมรณะสัญญา ฯลฯ

วันเกิดหลวงพ่อ พ.ศ.๒๕๒๖ ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อครั้งแรกที่ซอยสายลม วันนั้นไฟฟ้าดับในห้องร้อนเหงื่อหยด แต่แปลกข้าพเจ้าไม่รู้สึกว่าร้อนจนอึดอัด กลับตรงกันข้ามรู้สึกสบายใจ และโล่งใจมาก ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำ หลวงพ่อถามว่าอยู่ในถ้ำดีไหม จากการพบหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจธรรมะดีขึ้นมาก เข้าถึงไตรสรณาคมณ์ ทราบในพระไตรลักษณ์ ซึ่งข้าพเจ้าได้นำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และแนะนำผู้อื่นเสมอมา

พ.ศ.๒๕๒๗ ข้าพเจ้าไปวัดท่าซุงตั้งใจฝึกมโนมยิทธิ และฌาน ๘ ได้แล้วจึงทราบว่าเพราะอะไร ข้าพเจ้าจึงมีจิตผูกพันกับองค์หลวงพ่อมาก และทราบกฎของกรรมชัดเจนยิ่งขึ้น วิชามโนมยิทธินี้ได้นำมาปฏิบัติและแนะนำผู้อื่น อาจารย์วิเชียร ชมพู เป็นมะเร็งตับทำผ่าตัด ๒ ครั้งแล้ว หมอพยากรณ์จะมีชีวิตอยู่ได้ ๖ เดือน ขณะนอนอยู่ที่โรงพยาบาลปวดมาก หงุดหงิด ข้าพเจ้าแนะนำมโนมยิทธิ อาจารย์ฝึกได้ดีมาก หายหงุดหงิดทำใจได้ มีชีวิตอยู่ต่ออีก ๒ ปี ขณะนี้เสียชีวิตแล้ว

พ.ศ.๒๕๒๘ ปรึกษากับน้องสุวภา ตกลงกันว่าเราจะขายอาหารที่หลวงพ่อเป่ายันต์เกราะเพชรทุกครั้ง เพราะคนมา ในนาม “คณะศิษย์เพชรบูรณ์” เพื่อถวายหลวงพ่อ แม้เพียงน้อยนิดก็ตาม เพราะเราทั้งสองตั้งใจมอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอเข้าพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าและน้องสุวภา เอาต้นสะเดาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อพูดว่า ถวายต้นสะเดาได้อานิสงส์ อะไรเอ่ย เกาะกิ่งสะเดาไปเป็นเทวดา

เราทั้งสองพูดพร้อมกันว่า ไม่เอาเจ้าค่ะขอไปพระนิพพาน หลวงพ่อว่าสะเดามีแก่นนะไปได้ๆ เราทั้งสองประทับใจหลวงพ่อมากค่ะ ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงศาลารับแขกริมน้ำไปกัน ๖ คน หลวงพ่อถามว่ามากี่คนตอบหลวงพ่อว่า ๕ คน หลวงพ่อ เอา หายไปไหนคนหนึ่งลืมนับตัวเอง วันนั้นมีคนไปกราบหลวงพ่อมากหลายคณะ หลวงพ่อก็ทราบว่าลืมนับตัวเอง

ข้าพเจ้าทราบว่าหลวงพ่อป่วย แต่ไปกราบหลวงพ่อบ่อยครั้ง ทุกครั้งไม่เหมือนครั้งนี้ หลวงพ่อกลับจากจันทบุรีเท้าบวมทั้งสองข้าง หลวงพ่อพูดเหมือนเหนื่อย ข้าพเจ้าตั้งใจจากบ้านว่าจะถามปัญหาหลวงพ่อ ๒ ข้อ หลวงพ่อหันมาถามข้าพเจ้าหลายครั้งว่า มีอะไร หลวงพ่อช่างรู้ใจข้าพเจ้าด้วย พระเมตตาจากหลวงพ่อนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าเอาไว้ถามคราวหลังดีกว่า เพราะคนมากถามหลวงพ่อพูดไม่หยุดเลย

อยากให้หลวงพ่อได้พักและอยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกๆ และศิษย์ต่อไปอีกนานๆ เมตตาบารมีของหลวงพ่อที่มีต่อทุกๆ คนเสมอมามิได้ขาด ธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ของหลวงพ่อก่อให้เกิดความผูกพันทางใจ ทำให้คิดอยู่เสมอว่าความตายเป็นของเที่ยง และพิจารณาอยู่เสมอทุกวัน เพื่อจะไปนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

ll กลับสู่สารบัญ


67

หลวงพ่อมีฤทธิ์และมีเมตตาต่อลูก


น.พ.สบสันต์ วงษ์ภักดี


ผมได้รับจดหมายจากพี่อัญเชิญ (อัญเชิญ มณีจักร) บอกว่าพวกลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้จัดพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง เพื่อเป็นที่ระลึกและเทิดทูนหลวงพ่อ เนื่องในงานสมโภชสมณศักดิ์ และบอกว่าจะเขียนเรื่องอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ หรือเรื่องที่ได้รับการอบรมสั่งสอนมา ผมก็ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยไป เพราะการงานค่อนข้างยุ่งอยู่เสมอ พอได้รับหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มที่หนึ่งที่ลูกศิษย์จัดพิมพ์เสร็จพร้อมกับจดหมายอีกฉบับจากพี่อัญเชิญ ผมก็เลยรีบเขียนเรื่องมาลงพิมพ์ทันที

การที่ผมใช้หัวข้อเรื่อง หลวงพ่อมีฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์อะไรนั้น ก็เพราะว่าหลวงพ่อมีฤทธิ์จริงๆ ตามที่ผมได้ประสบมาด้วยตัวเองรวมทั้งเพื่อนลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้เล่าให้ผมฟังด้วย เรื่องฤทธิ์เดชนี้ผมมีความสนใจมานานแล้ว แต่ตัวเองก็ไม่เคยมีฤทธิ์เดชเลย ผมมาพิจารณาดูว่าหลวงพ่อคงจะรู้ใจผมก็เลยแสดงให้ลูกเห็นสมกับที่สนใจมานาน ข้อความตอนใดที่เป็นการลบหลู่หลวงพ่อเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผมขอกราบขอขมาต่อหลวงพ่อด้วย

เขียนเรื่องนี้ก็ด้วยใจรักและเคารพหลวงพ่อจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของผม ผมได้รู้จักหลวงพ่อในชีวิตครั้งแรกก็ เมื่อได้อ่านหนังสือประวัติของหลวงพ่อปานนั่นเอง เพราะหนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึงเทวดา พรหม การมีหูทิพย์ ตาทิพย์และเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆ นานา เมื่อผมอ่านจบแล้วมีความประทับใจมากต่อหลวงพ่อ ได้ตั้งใจไว้ว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องมากราบหลวงพ่อให้ได้ ภายหลังผมมาทราบจากการบอกเล่าของลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหนึ่งว่า

หลวงพ่อได้แต่งหนังสือเล่มนี้ก็เพื่อให้ลูกหลานอ่านเท่านั้น เมื่อลูกหลานอ่านจบแล้วจะเกิดจิตศรัทธาต่อหลวงพ่อจะติดตามมาทำบุญทำงานกับหลวงพ่อในชาตินี้ด้วย ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกหลานหรือที่ไม่ได้ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อมาในอดีตชาติ เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วก็ไม่ติดใจในหนังสือเล่มนี้ผมได้มากราบหลวงพ่อเป็นครั้งแรกที่เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการเดินทางครั้งแรกของหลวงพ่อ และคณะที่จะมาสอนธรรมะแก่คนไทยในสหรัฐอเมริกา โดยกำหนดมาสอนด้วยกันหลายเมือง

ผมดีใจมากที่จะมีโอกาสอันดีงามมากราบหลวงพ่อเพราะผมยังไม่มีโอกาสมากราบที่เมืองไทยเลย เมืองชิคาโกก็ยังไม่ห่างไกลนัก จากการเดินทางโดยเครื่องบินโดยสาร เพียงใช้เวลาเป็นหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น การติดต่อกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อได้ทราบว่าหลวงพ่อและคณะจะมาพักอยู่ที่บ้านหลวงพี่อมร (ขณะนั้นยังไม่ได้บวชพระ) และพี่โต (คุณสุภรณ์ แทนศิริ) ผมได้รับความเอื้อเฟื้อและเมตตาอย่างมากจากท่านทั้งสองนี้และยังมีอีกครอบครัวที่มีเมตตาต่อผมมากคือ

ครอบครัวคุณกริฟฟี่และคุณบุษกร ที่ได้รับผมมาพักที่บ้านขณะที่อยู่ชิคาโกด้วย ผมขอเล่าย้อนในอดีตชีวิตของผมสักหน่อย ก่อนจะมาพบหลวงพ่อ ผมชอบทำสมาธิมานานแล้ว แต่ไม่เคยไปเรียนจากสำนักใดเลย เพียงอ่านหนังสือธรรมะเกี่ยวกับการปฏิบัติกรรมฐาน การทำสมาธิแล้วผมก็เริ่มฝึกด้วยตัวเองเลย เมื่อทำสมาธินานๆ เข้า รู้สึกมีจิตใจสงบดี นอกจากมีจิตใจสงบแล้ว ยังพบว่ามีอะไรผ่านมาในจิตด้วย คือมีความรู้สึกว่าเหมือนมีใครเดินผ่านหน้าเราไปขณะนั่งสมาธิหรือแสดงให้ดูแต่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นอะไร

เมื่อทำสมาธินานๆ เข้า แม้กระทั่งมาอเมริกาผมก็ยังปฏิบัติทำสมาธิอยู่ไม่ขาด ก็มีความรู้สึกว่าคงจะเป็นเทวดาก็ได้ที่รู้จักกับเรา มาหาเราเพื่อต้องการคุยกับเรา แต่ก็ไม่สามารถติดต่อหรือพูดทางจิตได้เพราะผมไม่มีความรู้จะทำได้ บางครั้งผมมีเรื่องยุ่งๆ ใจและกลุ้มใจในการทำงานในสหรัฐอเมริกา ทุกท่านคงจะทราบดี ผมได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในจิตว่า “ทำใจให้ดีไว้ลูก” ผมก็ตกใจมาก เพราะได้ยินขณะที่ทำงานโดยไม่ต้องทำสมาธิเลยก็ได้ยิน

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่ผมได้เล่ามาแล้วเป็นที่สงสัยของผมอยู่เสมอว่า เป็นเสียงของท่านเทวดาจริงหรือเปล่า ถ้าเป็นจริง ท่านคือใคร และมีความเกี่ยวพันกับผมอย่างไร ผมได้ตั้งใจไว้เสมอว่า ถ้ามาพบหลวงพ่อเมื่อใดก็จะกราบเรียนเรื่องนี้ให้หลวงพ่อทราบและคิดว่าหลวงพ่อองค์เดียวเท่านั้นที่จะตอบให้ผมทราบได้ ก่อนเดินทางมากราบหลวงพ่อสามวัน ผมเกิดเจ็บป่วยกะทันหันโดยเป็นไข้หวัด มีไข้ขึ้นสูงมาก ทำงานไม่ได้ต้องนอนซมอยู่กับบ้านจิตใจก็พะวงถึงเรื่องการเดินทางมาหาหลวงพ่อ

เพราะกลัวจะเดินทางมาไม่ได้ ก่อนนอนทุกคืนจะกราบไหว้พระ ขอพรให้เดินทางมากราบหลวงพ่อให้ได้ ไข้ก็ขึ้นๆ ลงๆ ตามเคยทุกวัน แต่พอวันเดินทางไข้กลับลดได้อย่างประหลาด เป็นอันว่าได้เดินทางมากราบหลวงพ่อได้ในวันนั้น ผมมากราบหลวงพ่อที่สนามบินชิคาโก ก็ด้วยความเตตาจากหลวงพี่อมร (ขณะนั้นยังไม่ได้บวชพระ) ได้พามาที่สนามบิน พบว่ามีพวกลูกศิษย์ พุทธบริษัท รวมทั้งพระภิกษุมากมายมาต้อนรับหลวงพ่อ ถึงแม้จะมีคนมาต้อนรับมากมายหลวงพี่อมรก็ยังอุตส่าห์แนะนำผมต่อหลวงพ่อจนได้

เมื่อหลวงพ่อรู้จักชื่อผมและมองมาที่ผม ผมได้ก้มลงกราบ พอเงยหน้าขึ้นมา ท่านก็พูดว่า “อ้อเป็นหมอก็ไม่สบายได้เหมือนกัน” พอหลวงพ่อพูดจบ ผมไม่ได้ตอบอะไรอีกเพราะมีคนอื่นจะต้องพูดกับหลวงพ่ออีกมากมาย ผมแปลกใจมากวันนั้นว่าทำไมหลวงพ่อทราบว่าเราไม่สบายหรือว่าหน้าตาของเราซีดเซียวกระมัง แต่ว่าหน้าตาซีดเซียวนั้น อาจเกิดจากการอดนอนหลายๆ วันก็ได้ หรือว่าไปดื่มสุราเมายาก็ยังได้ แต่หลวงพ่อท่านบอกว่าผมไม่สบาย ซึ่งเป็นเรื่องจริง ทำให้ผมแปลกใจมาก

เมื่อหลวงพ่อมาถึงบ้านหลวงพี่อมร มีผู้คนมากมายมากราบหลวงพ่อจนล้นหลามออกมาข้างนอกจนไม่มีทางเดินกันเลย หลวงพ่อก็ยังไม่ยอมพักผ่อน ก็เลยได้ฟังหลวงพ่อคุยและตอบปัญหาธรรมะ พอผมได้ยินหลวงพ่อตอบปัญหาธรรมะแล้ว ผมร้องโอ้โฮในใจเลย เพราะผมไม่เคยได้ยินหรือเห็นพระภิกษุหรือหลวงพ่อองค์ใดตอบปัญหาธรรมะได้เด็ดมาก คือหลวงพ่อนอกจากจะมีความรู้แตกฉานในธรรมะแล้ว ยังตอบได้ทั้งทางโลกและทางธรรม พร้อมยังมีลูกตลก ขำ ทำให้คนฟังฮากันตึง

ฟังแล้วไม่เบื่อและยังได้ความรู้ด้วย ขณะที่ผมฟังหลวงพ่อตอบปัญหาธรรมะบางครั้งก็มีคำถามผุดขึ้นในใจ จะถามบ้างแต่ก็ไม่กล้าถามเพราะเรายังเป็นคนใหม่ในที่นั้น เลยฟังคนอื่นเขาถามกันดีกว่า พอฟังไปนานๆ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรมให้คนอื่นที่ถามมาฟัง แต่ตอนจบจะแถมตอบปัญหาตรงกับที่ผมตั้งคำถามไว้ในใจ ผมดีใจเลยไม่ต้องถามหลวงพ่อต่อไปอีก พอฟังนานๆ เข้าผมก็ตั้งคำถามในใจอีก แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาอีกหลวงพ่อก็ตอบปัญหาแถมรวมกับปัญหาของคนอื่นอีก

พอมาถึงตอนนั้นผมก็เอะใจทันทีว่าหลวงพ่อรู้คำถามของเราได้อย่าไร หลังจากเลิกคุยกับหลวงพ่อแล้ว ตกตอนเย็นผมได้มาพบลูกศิษย์ของหลวงพ่อคืออาจารย์ดอกเตอร์ปริญญา นุตาลัย ระบายความสงสัย และความแปลกใจมากที่หลวงพ่อตอบปัญหาของผมได้โดยที่ผมไม่ต้องออกปากถาม คิดว่าหลวงพ่อรู้จิตผู้อื่นได้ใช่ไหม อาจารย์ก็ตอบว่าใช่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดาของหลวงพ่อ หลังจากนั้นก็คุยกับอาจารย์เรื่องอื่นกันสนุกไปเลย

ท่านผู้อ่านคงจะทราบแล้วว่าปัญหาของผมที่อุตส่าห์ดั้นด้นมากราบหลวงพ่อก็คือปัญหาเจ้าของเสียงของเทวดา ถ้าเป็นเสียงของเทวดาจริงๆ ท่านนั้นคือใคร เกี่ยวข้องกับผมอย่างไร ก็ยังเป็นปัญหาครุ่นคิดในใจผมอยู่เสมอ แม้แต่นั่งอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ แต่ผมก็ไม่กล้าปริปากถามหลวงพ่อได้ เพราะมันเป็นคำถามที่ไม่สมควรจะถามขณะนั้น ก็เลยเก็บไว้ในใจมาตลอด คิดว่าถ้าผมมีโอกาสเข้ามานั่งใกล้ๆ หลวงพ่อก็อาจจะกระซิบถามเบาๆ ได้ โดยคนอื่นไม่ได้ยิน

มีอยู่ขณะหนึ่งหลวงพ่อเดินเข้ามาในห้อง แล้วมองมาที่ผมแล้วก็พูดกับผมต่อหน้าคนอื่นว่า หมออย่าสงสัยให้มากนัก ทำใจให้คล้อยตามแล้วจะดีเอง เมื่อหลวงพ่อพูดจบผมก็ตกใจมาก และคนอื่นที่อยู่ที่นั่นก็มองมาที่ผม เขาคงคิดว่า ผมคิดอะไรไม่ดีต่อหลวงพ่อกระทัง ผมก็เลยถามเขาว่า หลวงพ่อท่านหมายถึงอะไร เขาก็ตอบว่า ถ้าท่านพูดอะไรก็อย่าไปสงสัยท่านก็แล้วกัน

ผมเลยมานั่งใคร่ครวญอยู่สักพักว่าเราคิดไม่ดีต่อหลวงพ่อเรื่องอะไร และก็ระวังตัวอยู่แล้วจากปัญหาในใจ แต่หลวงพ่อก็ตอบให้เราได้ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าหลวงพ่อรู้วาระจิตผู้อื่นได้ นั่งสักพักก็มาถึงบางอ้อก็เลยนึกขึ้นได้ก็คือเรื่องเทวดานั่นเอง คือหลวงพ่อคงจะรู้วาระจิตของเรา ไม่เชื่อเรื่องเทวดานั่นเอง ถึงแม้จะได้ยินเสียงแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของท่านเทวดา

ผมพยายามหาโอกาสให้ได้เพื่อเรียนถามเรื่องเทวดากับหลวงพ่อจนกระทั่งวันหนึ่งหลวงพ่อมายืนที่โรงรถ เพื่อจะออกไปชมเมืองชิคาโก โดยไม่มีใครอยู่ใกล้หลวงพ่อเลย ผมก็เลยรีบมาคุยกับหลวงพ่อทันที พอถามเสร็จหลวงพ่อก็ตอบว่า “ก็มีอยู่ละ แต่เขาไม่ยอมบอกชื่อ” มาทราบภายหลังว่า การที่หลวงพ่อไม่ยอมบอกชื่อท่านเทพนั้น ทั้งๆ ที่หลวงพ่อรู้แล้ว แต่หลวงพ่อต้องการให้ผมทราบเองหลังจากได้รับการฝึกมโนมยิทธิแล้ว

สุดท้ายผมก็พบท่านผู้นั้น ท่านยังบอกว่าฉันติดตามเธอมานานแล้ว ท่านผู้นั้นก็คือท่านแม่ศรี (พรรณวดี ศรีโสภาค) นั่นเอง ผมได้เริ่มฝึกมโนมยิทธิคืนแรกกับคุณครูเปี๊ยก (คุณสมพร บุณยเกียรติ) หลังจากสมาทานศีลแล้วก็เริ่มนั่งสมาธิทันทีเป็นกลุ่ม พอครูถามมาที่ผมว่าเห็นอะไรไหมอยู่ข้างหน้า ผมก็ตอบทันทีว่ามีครับ ลักษณะเป็นคนแต่งตัวสีดำไม่ชัดนัก ซึ่งลักษณะแบบนี้ผมเห็นมาบ่อยครั้งตอนนั่งสมาธิที่บ้าน

ก็เลยได้ความรู้ว่าที่เราเห็นแบบนี้ที่บ้านนั้นเป็นการเห็นจริงในสมาธิไม่ใช่ตาจิตฝาดไป ซึ่งเป็นที่สงสัยมานานก็หมดความสงสัยไปเลย คืนนั้นผมฝึกมโนมยิทธิไม่ได้ผลคือขึ้นไปจุฬามณีไม่ได้เลย เลยต้องปล่อยให้คนอื่นเขาไปกัน เพราะผมยังเหนื่อยและยังอ่อนเพลียจากไข้หวัดเพิ่งค่อยทุเลามาวันสองวัน คืนที่สองผมได้เริ่มฝึกใหม่อีกโดยฝึกกับหลวงพี่อาจินต์ ปรากกว่าเห็นในจิตได้ชัดเจนกว่าวันแรกและได้พาผมท่องเที่ยวไปแดนสวรรค์ ที่จุฬามณีและที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง รู้สึกว่าได้ความรู้ดีมาก

นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ที่มีประสบการณ์แบบนี้ มีความรู้สึกสนุกและครึ้มใจมาก หลังจากออกจากสมาธิแล้ว ผมก็อยากจะทดสอบทางจิตต่อไปอีก จึงพูดกับหลวงพี่อาจินต์ว่า เมื่อผมกลับไปที่พักแล้ว ผมจะทดสอบโดยส่งจิตมาหาหลวงพี่นะครับ อยากจะรู้ว่า การพูดในจิตจะติดต่อกับหลวงพี่อย่างไร หลวงพี่ก็บอกว่า หมออย่าส่งมาให้ผมเลย ส่งมาให้หลวงพ่อจะดีกว่า พอตกกลางคืนหลังจากฝึกมโนมยิทธิเสร็จแล้วกลับมาที่พัก ดึกพอควร นึกถึงคำแนะนำของหลวงพี่อาจินต์ที่ควรส่งจิตมาถึงหลวงพ่อ

พอนั่งสมาธิสักพักก็ส่งจิตมาหาหลวงพ่อ พบว่าหลวงพ่อจำวัดแล้วแต่ก็เอาจิตมากราบที่หน้าเตียงนอนของหลวงพ่อ ขณะที่ผมกำลังก้มกราบอยู่หลวงพ่อลืมตาแล้วก็พูดมาทางผมว่า “เออ รู้แล้วน่ากลับไปเถอะ” ผมได้ยินชัดเจนแล้วก็เอาจิตออกมานอกห้อง ดีใจมาก ที่ติดต่อกับหลวงพ่อได้ทางจิต เพิ่งรู้ว่าเอาจิตออกจากร่างแล้วยังสามารถพูดกันได้อีก แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้ยินแน่นอน ก็ตัดสินใจเข้าไปกราบหลวงพ่ออีกครั้ง หลวงพ่อก็ตอบมาอีกเช่นเดิมแล้วก็จำวัดต่อไปอีก

ทุกครั้งเมื่อผมมานึกถึงเรื่องที่เอาจิตมากราบหลวงพ่อทีไร อดอับอายตัวเองไม่ได้ เพราะผมทำเหมือนเด็กอมมือ ไม่ได้คิดเลยที่ทำไปนั้นเป็นการรบกวนหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อเพิ่งเดินทางไกลมาอดหลับอดนอนพร้อมทั้งสุขภาพไม่แข็งแรงด้วย แต่หลวงพ่อยังมีเมตตา ไม่ดู หรือไล่ออกไปนอกห้องเพียงแต่บอกให้กลับไปเท่านั้น หลวงพ่อคงนึกขำในใจว่าลูกอ่อนหัด พอทำมโนมยิทธิได้ก็อยากจะแสดงฤทธิ์บ้างเพื่อให้พ่อดู

วันสุดท้ายของการฝึกมโนมยิทธิจะต้องฝึกญาณแปด แต่ผมจะต้องเดินทางกลับบ้าน เพราะไม่ทราบมาก่อนว่าจะต้องฝึกถึงสามคืน ที่ต้องเดินทางกลับบ้านเพราะได้กำหนดการผ่าตัดคนไข้ไว้แล้ว เมื่อมากราบหลวงพ่อเพื่อขอลากลับบ้าน หลวงพ่อบอกว่ายังกลับไม่ได้ จะต้องฝึกญาณแปดเสียก่อน เพราะเป็นการฝึกขั้นที่สำคัญที่สุดของการฝึกมโนมยิทธิ หลวงพ่อบอกว่าทุกคนจะต้องฝึกขั้นนี้ให้ได้

แต่ผมได้กราบเรียนว่า ผมได้นัดผ่าตัดคนไข้ไว้แล้ว เดี๋ยวจะผิดนัดเขา พอพูดจบหลวงพ่อก็มองหน้าผม ซึ่งผมไม่เคยเห็นหลวงพ่อมองแบบนี้มาก่อน แล้วหลวงพ่อก็บอกว่าไปได้ เมื่อผมกลับมาถึงบ้านแล้วมาคิดดูว่าทำไมหลวงพ่อต้องมองจ้องหน้ามองผมแล้วก็อนุญาตกลับบ้านได้ มาคิดได้ว่าหลวงพ่อดูจิตของเรานี่เอง ดูซิว่าผมโกหกท่านหรือเปล่าคงทราบว่าผมไม่ได้โกหกก็เลยอนุญาตให้กลับบ้านได้

ปีต่อมาหลวงพ่อและคณะก็มาสอนธรรมะที่ชิคาโกอีก ผมก็เลยถือโอกาสพาภรรยาและบุตรสองคนมากราบหลวงพ่อด้วย ทั้งครอบครัวได้รับการฝึกมโนมยิทธิกันทุกคน ทุกคนฝึกกันได้คล่อง มีจิตไวมากเห็นได้ชัดเจนกว่าผมเสียอีก โดยเฉพาะลูกสาวฝึกได้ดีมาก สามารถเห็นและพูดในจิตได้แม่นยำและชัดเจนดีมาก ผมมากราบหลวงพ่อหลายครั้ง ครั้งหนึ่งได้เดินทางโดยรถยนต์กับภรรยาเพียงสองคน ขณะขับรถกลับบ้าน ขับมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงได้กลิ่นยาฉุนเล็กน้อยในรถ คล้ายกลิ่นยานัตถุ์

ผมได้ถามภรรยาว่า เธอได้กลิ่นอะไรบ้างไหมในรถ เขาบอกว่าได้กลิ่น รู้สึกว่าจะเป็นกลิ่นยานัตถุ์ พอพูดจบผมก็เลยทำสมาธิทันทีขณะยังขับรถอยู่ เพื่อเอาจิตมาดูในรถก็พบว่าหลวงพ่อมานั่งอยู่ที่เบาะหลังอยู่แล้ว ยิ้มให้ด้วย ผมเลยบอกกับภรรยาว่าหลวงพ่อมานั่งอยู่ที่หลังรถแล้ว เขาก็ดีใจมาก แล้วก็เอาจิตมากราบ หลวงพ่อท่านนั่งอยู่สักพักแล้วก็กลับไป ภรรยาของผมได้รับการบอกเล่าจากลูกศิษย์ของหลวงพ่อว่า ถ้าหลวงพ่อมาหาจะได้กลิ่นยานัตถุ์ ถ้าหลวงพ่อต้องการให้เป็นเช่นนั้น คราวนี้ก็ได้ประสบเหตุการณ์ที่แท้จริงทั้งสองคน

เรื่องยานัตถุ์นี้คุณหมอประสิทธิ์ ฟูตระกูลได้เล่าให้ผมฟังจากประสบการณ์ของคุณหมอเอง ว่าครั้งหนึ่งได้ไปเล่นกอล์ฟ ขณะที่เอาไม้เล่นกอล์ฟออกจากหลังรถยนต์ก็ได้กลิ่นยานัตถุ์คลุ้งไปหมดเลย คุณหมอประสิทธิ์รู้สึกแปลกใจว่ากลิ่นยานัตถุ์เข้ามาอยู่ในหลังรถได้อย่างไร เพราะไม่เคยใช้ยานัตถุ์เลยเคยเห็นก็มีหลวงพ่อเท่านั้นที่ใช้ คิดในใจว่าหลวงพ่ออาจจะมาหาเราหรือส่งข่าวอะไรก็ได้ เมื่อมาพบหลวงพ่อได้กราบเรียนเรื่องนี้ให้ทราบ

และยังได้ถามว่าหลวงพ่อมาที่นั่นใช่ไหมครับ หลวงพ่อไม่พูดอะไร แต่พยักหน้าก็เป็นอันรู้กันว่า หลวงพ่อได้ไปที่นั่นจริง คุณหมอประสิทธิ์ยังได้เล่าเรื่องอื่นต่อไปอีก สมัยนั้นคุณหมอประสิทธิ์ได้ติดสอยห้อยตามคอยรับใช้หลวงพ่อ เพื่อเยียวยารักษาหลวงพ่อทุกครั้งที่หลวงพ่อไม่สบาย บางครั้งก็มาดูแลไม่ได้เพราะติดอยู่เวรแพทย์และการติดต่อกับหลวงพ่อก็ลำบาก คุณหมอประสิทธิ์ได้เป็นแพทย์ประจำตัวหลวงพ่อนานพอสมควร จนคุณหมอประสิทธิ์บอกว่าถ้าหลวงพ่อป่วยทีไรและจะมาหาหลวงพ่อ

จะต้องมีนกมาร้องที่บริเวณหน้าต่างทุกที และเป็นเรื่องจริงทุกครั้งเสมอไป เป็นที่รู้กันในครอบครัวเลยทีเดียว เกี่ยวกับนกมาร้องมีอยู่วันหนึ่งคุณหมอประสิทธิ์ยังไม่กลับบ้าน นกก็มาร้องอีกและลูกสาวคุณหมอได้ยินนกร้อง ก็เลยมารายงานให้คุณหมอประสิทธิ์ได้ทราบ และบอกว่าหลวงพ่อคงไม่สบายอีกแล้ว พ่อต้องมาหา เรื่องนกร้องนี้คุณหมอประสิทธิ์ได้กราบเรียนให้หลวงพ่อทราบด้วย หลวงพ่อบอกว่าเป็นนกปลอม ท่านหมายถึงเทวดาเขาปลอมตัวเป็นนกเพื่อจะมาส่งข่าวให้ทราบ

เมื่อหลวงพ่อเจ็บป่วย คุณหมอประสิทธิ์ก็ได้รับความแปลกใจเท่านั้น ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ผมฝึกมโนมยิทธิไม่ครบสามวันคือขาดการฝึกญาณแปด พอกลับมาเมืองไทยมาเยี่ยมบ้าน ผมก็ตรงแน่วมาฝึกอีกที่วัดหลวงพ่อเลย ผมได้ชวนพี่ชายคือนายสมทรง และเพื่อนอีกคนคือ หมอวิทูร (ทันตแพทย์วิทูร สมประสงค์) มาฝึกด้วยกันสามคน วันสุดท้ายเป็นการฝึกญาณแปดกับคุณครูพรนุช (คุณพรนุช คืนคงดี) เมื่อฝึกเสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก

อาบน้ำเสร็จแล้วก็ยังไม่ง่วงก็ชวนกันคุยกันถึงเรื่องที่ฝึกมโนมยิทธิมารวมทั้งเรื่องราวในธรรมะ คุณหมอวิทูรมีความรู้ในเรื่องพระสูตรมาก ได้เล่าเรื่องต่างๆ ในพระสูตรให้ฟังได้ความรู้ดีมาก โดยไม่ต้องไปหาหนังสือธรรมะอ่าน ขณะที่คุยกันอยู่ก็เลยนึกถึงหลวงพ่อเพราะวันรุ่งขึ้นก็จะเดินทางกลับบ้านแต่ไม่มีโอกาสได้กราบลาหลวงพ่อ เลยเอาจิตไปกราบลาหลวงพ่อ ได้กราบหลวงพ่อที่กุฏิสามครั้ง พอกราบเสร็จหลวงพ่อก็มาหาที่ที่พักทันที

พี่ชายกับคุณหมอวิทูรยังไม่เห็นในจิตเพราะยังคุยกันเพลิน ผมก็เลยบอกว่าหลวงพ่อเข้ามาอยู่ในห้องแล้วนะ ทุกคนหยุดคุยกันลงกราบทันทีทั้งสามคน หลวงพ่อยืนอยู่เห็นได้ชัดในจิต ยิ้มแป้นเลย ยังชี้มือมาที่คุณหมอวิทูร แล้วหลวงพ่อพยักหน้าด้วย ผมเข้าใจทันทีว่าหลวงพ่อหมายถึงอะไร หลวงพ่อบอกว่าคุณหมอวิทูรรู้เรื่องพระสูตรเก่งมาก แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คุณหมอวิทูรยังทำไม่ได้คือวันนั้นฝึกญาณแปดไม่ได้ ที่ทำไม่ได้เพราะวันนั้นไม่ค่อยสบายนัก

คุณหมอวิทูรยังเล่าเรื่องในพระสูตรต่อไป ขณะที่หลวงพ่อยังอยู่ในห้องนั้น หลวงพ่อคงจะต้องได้ยินหมดว่าเราคุยอะไรกัน สักพักหลวงพ่อเปลี่ยนรูปมานั่งเก้าอี้ทั้งๆ ที่เห็นครั้งแรกก็ยังยืนอยู่ หลวงพ่อนั่งสักพักแล้วก็กลับไป เรื่องหลวงพ่อเปลี่ยนรูปมานั่งเก้าอี้ ผมก็มีความสงสัยนานแล้วแต่ก็ลืมกราบเรียนถามทุกครั้งความสงสัยก็คือว่า ทำไมหลวงพ่อจะต้องเปลี่ยนรูปหลวงพ่อมานั่งเก้าอี้ เพราะหลวงพ่อมาในจิตนั้นไม่ต้องออกแรงอะไรมาก เพียงแต่นึกแล้วหลวงพ่อก็ปรากฏเลย

ผมหมายถึงหลวงพ่อยืนในจิตก็ได้ เพราะหลวงพ่อไม่เมื่อยหรือเหนื่อยแรงที่จะต้องนั่งเก้าอี้ ขอโทษครับท่านผู้อ่านผมพูดนอกเรื่องไปนิดหน่อย เรื่องขี้สงสัยนี้แหละหลวงพ่อจึงเรียกผมว่า เด็กชายสบสันติ์ ขี้สงสัย ท่านผู้อ่านคงจะทราบแล้วว่า หลวงพ่อของเรามีบุญญาธิการมาก เพราะได้ทำบุญกุศลมามากมายในอดีตชาติ ปัจจุบันท่านจึงมีผู้เคารพ นับถือมาก มีลูกศิษย์มากมายไม่เพียงแต่เป็นที่เคารพในหมู่มนุษย์

ยังเป็นที่เคารพของหมู่เทพ เทวดาในสรวงสวรรค์อีกด้วย ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังเมื่อคราวมาสอนธรรมะในอเมริกา คืนหนึ่งมีเทวดาหนึ่งองค์ได้เข้ามากราบขอส่วนกุศลจากหลวงพ่อและยังขอให้หลวงพ่อถวายพระพุทธรูปให้เขาด้วย รุ่งเช้าหลวงพ่อได้บอกบุญให้พวกลูกศิษย์ทำบุญด้วยได้บอกบุญจนได้เงินครบและเช่าพระพุทธรูปมาได้ในวันนั้น และได้แผ่ส่วนกุศลให้กับเทวดาองค์นั้นตามความปรารถนาที่ได้ขอมา หลวงพ่อได้เล่าว่า เทวดาองค์นั้นก็คือท่านอดีตประธานาธิบดีทรูแมนนั่นเอง

ท่านผู้นี้เคยเป็นลูกหลานของหลวงพ่อในอดีตชาติ ท่านคงรู้ว่าจะมีภัยอันตรายภายภาคหน้า ท่านก็เลยเร่งทำบุญทำกุศลโดยมาขอทำบุญกับหลวงพ่อ เพราะทำบุญกับหลวงพ่อแล้วจะได้กุศลมากมาย ผมมาคิดเอาเองอาจจะผิดก็ได้ ว่าภัยอันตรายที่ท่านเทวดานี้จะต้องได้รับเพราะเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านเป็นผู้สั่งให้ทิ้งลูกระเบิดปรมาณู ที่ประเทศญี่ปุ่นทำให้ผู้คนล้มตายเป็นอันมาก เมื่อพูดถึงบุญญาธิการของหลวงพ่อแล้ว

ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า ถ้าเราทำบุญกับหลวงพ่อแล้วเราจะได้รับผลบุญกุศลมากมายในชาตินี้และชาติหน้า แต่ถ้าพูดในด้านตรงกันข้าม หรือพูดง่ายๆ ว่าทำบาปต่อหลวงพ่อ ก็จะได้รับผลบาปมากมายด้วย พวกลูกศิษย์ทุกๆ คนคงจะได้ประสบการณ์จากการฝึกมโนมยิทธิแล้วว่า เมื่อเราเอาจิตออกจากร่างมาชั้นสวรรค์ หรือชั้นนิพพาน ทุกคนจะได้เห็นที่อยู่ของตัวเอง เครื่องทรงของตัวเองแตกต่างกันไป บางท่านมีเครื่องประดับของตัวเองและที่อยู่ วิมานสวยงาม

บางท่านไม่สวยงามลดหลั่นตามผลบุญที่ทำในอดีตชาติ และปัจจุบันชาติ ส่วนที่เป็นปัจจุบันชาตินี้ก็คือการร่วมทำบุญต่างๆ นานากับหลวงพ่อ เช่นทำบุญทอดกฐิน ทำสังฆทาน บริจาคทรัพย์ สร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์และวิหารต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นผลบุญที่เราจะไปรับภายภาคหน้า ถ้าเป็นเทวดา พรหม ก็จะมีที่อยู่และเครื่องประดับอันสวยงามดั่งที่ได้เห็นจากมโนมยิทธิ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นคนมั่งมีศรีสุข มีสมบัติมากมาย

ถ้าเราทำบาปกับหลวงพ่อเราก็จะได้รับผลบาปเกิดขึ้น ผมก็เลยขอเล่าเรื่องหนึ่งเป็นตัวอย่างอันดีต่อผู้อ่าน ผมได้ยินข่าวว่ามีลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่งได้ถวายของให้หลวงพ่อแล้ว ต่อมาไม่ทราบเรื่องอะไร ขอของนั้นคืนจากหลวงพ่อกลับไป ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่อยากไปยุ่งนักเพราะเป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว ใครทำใครได้ก็แล้วกันแต่ใจหนึ่งก็อยากศึกษาดูว่า ถ้าทำแบบนี้ผลกรรมจะได้รับอย่างไร หรืออาจจะเป็นเศษกรรมเล็กน้อยแล้วส่งผลอย่างไร

ก็เริ่มทำมโนมยิทธิโดยภาวนาขอให้ท่านเบื้องบนช่วยแสดงให้เห็น เพราะถ้าผมภาวนาให้เห็นเองอาจผิดได้ โดยทำตามหลวงพ่อแนะนำไว้ พอท่านแสดงให้เห็นผมก็ร้องโอโฮในใจเลย แล้วก็ออกจากสมาธิทันที เพื่อนำเรื่องนี้มาเล่าให้ภรรยาผมฟัง เพราะเป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับผมมาก ท่านแสดงให้เห็นว่า ท่านผู้นั้นมีบ้านหลังใหญ่พอควร เสร็จแล้วบ้านนั้นก็เกิดไฟไหม้ใหญ่ จนหมดทั้งหลังไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย

ผมก็เลยเข้าใจในจิตทันทีว่า ผลกรรมที่ถวายของให้หลวงพ่อแล้วเอากลับคืนไป กรรมที่ได้รับชดใช้ ก็คือทรัพย์สมบัติก็สูญหายไปด้วย คือบ้านถูกไฟไหม้หมด สรุปแล้วผู้ใดทำดีกับหลวงพ่อคือการทำบุญทำกุศล ก็จะได้รับกรรมดี ทำบาปก็จะได้รับผลบาปเช่นเดียวกัน เรื่องที่จะเล่าต่อไปเป็นเรื่องการลองดี (หรือไม่ดี) กับหลวงพ่อ มีลูกศิษย์อาวุโสของหลวงพ่อท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า ก่อนที่ท่านจะมาเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ท่านได้ยินชื่อหลวงพ่อมีคนกล่าวขานกันมาก

บางคนก็มาเล่าว่าหลวงพ่อมีฤทธิ์ด้วยจึงได้ชื่อว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านผู้นี้เล่าว่าการมีฤทธิ์เดชอะไรนั้น ท่านไม่ค่อยเชื่อนัก ถ้าพิสูจน์ให้เห็นด้วยตัวเองก็จะเชื่อ มีวันหนึ่งลูกน้องของท่านเองจะมาทำบุญกับหลวงพ่อ พอได้ข่าวก็เลยฝากเงินมาทำบุญด้วย แต่ในใจก็จะทดสอบหรือลองดีกับหลวงพ่อว่าจะแน่จริงไหม ก็เลยอธิษฐานใส่มากับเงินที่จะถวายด้วย ท่านไม่ได้เล่าให้ผมฟังว่าอธิษฐานอะไร พอลูกน้องถวายเงินของท่านผู้นี้ให้กับหลวงพ่อเมื่อหลวงพ่อรับเงินแล้ว

หลวงพ่อก็ฝากด่ากลับไปทันทีบอกว่า ขออย่าให้เจ้านายของคุณทำอย่างนี้ มันไม่ดี อย่าอธิษฐานแบบนี้อีกต่อไป ท่านผู้นี้ที่รู้เรื่องเข้าตกใจมาก เพราะนึกไม่ถึงเลยว่าหลวงพ่อจะล่วงรู้คำอธิษฐานของท่านแบบนี้ เลยรีบเดินทางด่วนมาพบหลวงพ่อเพื่อมาขอขมาต่อคำอธิษฐานที่ไม่ดีต่อหลวงพ่อ หลังจากขอขมาแล้วและได้รู้จักหลวงพ่อเป็นอย่างดีก็เลยมอบตัวเป็นลูกศิษย์อยู่จนทุกวันนี้

เรื่องอธิษฐานนั้น ผมก็เคยทำมาเหมือนกัน แต่ผมอธิษฐานดีนะครับ คราวหนึ่งภรรยาของผมกลับมาเยี่ยมบ้านเมืองไทย ผมไม่ได้มาด้วย บอกกับภรรยาให้มากราบหลวงพ่อ ผมได้ฝากเงินมาถวายหลวงพ่อ และได้อธิษฐานเรื่องอะไรแต่บอกกับภรรยาว่าหลังจากถวายเงินหลวงพ่อแล้ว ขอให้จำไว้ด้วยว่าหลวงพ่อจะพูดอะไรกับเธอถ้าหลวงพ่อถามเกี่ยวกับตัวฉัน ก็ตอบหลวงพ่อว่า หลวงพ่อก็รู้อยู่แล้ว

พอภรรยาของผมถวายเงินกับหลวงพ่อเสร็จ ท่านก็พูดกับภรรยาของผมทันทีเลยว่า “หมอเขาจะเอาอะไรนะ” ภรรยาของผมก็ตอบว่า “เขาบอกว่าหลวงพ่อก็รู้อยู่แล้วค่ะ” หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก ผมขอเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังก็ได้ว่าผมอธิษฐานอะไรลงบนเงินที่ถวาย ผมอธิษฐานขอนิมนต์หลวงพ่อมาโปรดผมที่บ้านในอเมริกาเท่านั้นเอง เป็นอันสรุปได้ว่าหลวงพ่อมีจิตสูงมาก

รู้วาระจิตของพวกลูกศิษย์ได้ทุกคนที่มากราบท่าน คิดอะไรก็ต้องระวังตัวอยู่ทุกขณะ ถ้าคิดไม่ดีก็มีผลเสียต่อตัวเอง ก่อนจบขอเล่าเรื่องเกี่ยวกับการทำสมาธิที่เกี่ยวกับเรื่องของหลวงพ่อสักหน่อย เมื่อไม่นานมานี้ พวกหลานๆ ของผมที่ได้มาศึกษาต่อในอเมริกาได้มาเยี่ยมที่บ้านผมหลายคน ได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องในพุทธศาสนาและก็มีหลายคนสนใจจะทำสมาธิกัน บางคนก็อยากจะรู้ว่าการเห็นในสมาธินั้นเขาเห็นกันอย่างไร ตกกลางคืนก็นั่งสมาธิกัน

ผมได้สอนวิธีนั่งให้จับลมหายใจเข้าออกแต่ก่อนนั่งก็สมาทานศีลกันทุกคน ผมบอกเขาว่าจะนั่งเพียง ๔๕ นาที ถึงหนึ่งชั่วโมง ผมมาคิดในใจว่าบางท่านไม่มีพื้นฐานในการทำสมาธิมาก่อนเป็นการยากที่จะมีจิตเป็นตาทิพย์ได้ แต่ก็จะพยายามทำแบบสั่งสมาธิธรรมดาไม่ทำแบบมโนมยิทธิ เพราะผมยังสอนเขาไม่ได้แบบมโนมยิทธิ มีอยู่ทางเดียวที่จะช่วยเขามีตาทิพย์ได้ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากท่านเทวดานั่นเอง

คือผมขอให้ท่านเทวดาจงมาปรากฏต่อหน้าผู้นั้น แล้วบันดาลให้เขาเห็นเทวดาท่านนั้นที่มาปรากฏต่อหน้าเขา ทุกคนก็นั่งสักพัก เขาก็สงบกันทุกคน แต่ผมก็พยายามเอาจิตดูว่าจะมีท่านเทวดาลงมาบ้างไหม ปรากฏว่าท่านมาจริงตามคำที่ผมได้ขอไว้ ท่านมาสององค์ แต่ย่อตัวลงมา ผมก็กราบท่านและกราบขอบพระคุณที่ลงมาช่วยในการทำสมาธิ ผมได้เอาจิตกวาดไปรอบๆ ห้อง ผมดีใจมากหลวงพ่อมาแอบนั่งอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ หลวงพ่อยิ้มให้ผมและก็กราบท่านด้วย

เมื่อเราออกจากสมาธิกันแล้ว ทุกคนก็บอกว่ามีคนมายืนข้างหน้าทุกคน ผมก็ดีใจมากที่ช่วยให้เขาทำสมาธิแล้วมีตาทิพย์ได้ มีหลานอีกคนตาดีมาก บอกว่าผมยังเห็นหลวงพ่อฤาษีมาอยู่ในบ้านด้วย ผมก็บอกว่าถูกต้องแล้วเพราะเขาบอกว่าได้เคยมาฝึกมโนมยิทธิกับหลวงพ่อแล้ว มิน่าจึงคล่องมาก เรื่องที่เล่ามานี้ผมก็มารำพึงกับตัวเองว่า อัศจรรย์ใจมากว่าทำไมหลวงพ่อของเราอยู่ห่างไกลจากบ้านผมเป็นพันๆ ไมล์หรือเป็นหมื่นกิโลเมตร รู้ได้อย่างไรว่าผมกำลังทำสมาธิกับหลานๆ อยู่

และที่หลวงพ่อมานั้น ก็จะมาช่วยในการสอนมโนมยิทธิ แต่ผมก็ยังสอนไม่ได้ แต่ก็ยังบันดาลโดยอิทธิฤทธิ์ของหลวงพ่อได้ช่วยให้หลานๆ เห็นเทวดาได้โดยเกิดตาทิพย์ในขณะนั้น เวลาทำสมาธิก็ประมาณ ๑๑ นาฬิกา กลางคืนของสหรัฐอเมริกา ก็เท่ากับ ๑๑ นาฬิกากลางวันของเมืองไทย ซึ่งขณะนั้นหลวงพ่อกำลังวุ่นในการทำธุรกิจหรือฉันภัตตาหารอยู่ก็ได้ แต่หลวงพ่อก็ยังแยกกระแสจิตอันแรงกล้ามาถึงบ้านผมเพื่อช่วยหลานๆ ในการทำสมาธิได้อีกด้วย

สรุปแล้วหลวงพ่อของเรามีฤทธิ์ต่างๆ ตามที่ผมได้เล่ามาแล้ว สุดท้ายนี้กระผมและครอบครัวขอกราบแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานพร พิทักษ์รักษาหลวงพ่อ เพื่อให้มีพลานามัยสมบูรณ์ มีอายุยืนนาน เพื่อเป็นมิ่งขวัญ ที่เคารพบูชา เป็นร่มโพธิ์แก้วเป็นที่พึ่งของลูกหลานต่อไปกาลนานเถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/8/12 at 16:43 [ QUOTE ]


68

หลวงพ่อของลูก


สุกัญญา ตั้งศุภวัฒนกิจ


ก่อนเริ่มต้นเขียนเรื่องราว ความประทับใจ หรือ ประสบการณ์ของข้าพเจ้าที่ได้พบหรือได้รับเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อนั้น ต้องขอออกตัวก่อนว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียน หรือถ้าเขียนขาดตกบกพร่องหรือผิดพลาดส่วนใดไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่เขียนบทความนี้มาลงก็เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ ความดีของหลวงพ่อ ซึ่งหาที่สุดมิได้ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ

ข้าพเจ้าตั้งใจจะถวายเงินค่าพิมพ์หนังสือนี้ ๑,๐๐๐ บาท ซึ่งก็ดีใจที่ได้เขียนและได้ทำบุญในครั้งนี้ ถือว่าได้ธรรมทานอีกต่างหากด้วย ที่นี้ขอเริ่มเรื่องเลยดีกว่านะคะ ราว ๘ ปีก่อน ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี และมโนมยิทธิ ซึ่งก่อนหน้านี้ ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน

พอได้อ่านหนังสือก็มีความรู้สึกว่าคุ้นๆ กับชื่อ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” อ่านหนังสือไปก็นึกอยากไปกราบหลวงพ่อ อยากไปทำบุญ อยากไปฝึกมโนยิทธิ ในที่สุดก็สมดังตั้งใจ คือได้ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ (ที่ซอยสายลม) และฝึกมโนฯ ได้ แต่ยังไม่คล่อง หลวงพ่อบอกว่า ถ้าจะให้คล่องต้องไปฝึกที่วัดอย่างน้อย ๓ วันติดต่อกัน

ตอนนั้นคนไปฝึกที่วัดมีไม่มากเหมือนทุกวันนี้ และครุฝึกมีเวลาให้เราได้มาก ก็เลยหาวันหยุดไปวัดข้าพเจ้าไปวัดพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่ง (คือคุณงามเพ็ญ ธนบดีภัทร) ไปถึงวัดประมาณบ่ายโมงกว่าๆ ซึ่งหลวงพ่อกำลังรับแขกอยู่ที่ศาลานวราชเก่า จึงเข้าไปกราบหลวงพ่อ ท่านได้ซักถามพูดคุยกับข้าพเจ้าคนเดียว จากนั้นก็ลาหลวงพ่อเข้าที่พัก เก็บกระเป๋าและสัมภาระต่างๆ เมื่อไปถึงที่พัก

เพื่อนก็บ่นด้วยความน้อยใจว่า เรามากัน ๒ คนนะ หลวงพ่อทักอยู่คนเดียวน้อยใจจัง” หลังจากจัดแจงเรื่องที่พักเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็กลับไปกราบหลวงพ่ออีก พอคลานเข้าไปกราบท่าน เงยหน้าขึ้นมา หลวงพ่อก็ทักถามเพื่อนข้าพเจ้าแล้วท่านก็หันมาพูดกับข้าพเจ้าว่า “ต้องพูดกับไอ้นี่หน่อย เดี๋ยวมันจะน้อยใจ หาว่าพ่อลำเอียง” ข้าพเจ้าและเพื่อนต่างก็ตกใจหันมาถามกันว่าหลวงพ่อทราบได้ยังไงนะว่า เพื่อนเราน้อยใจ

ก็รู้สึกแปลกใจตอนนั้นทั้งข้าพเจ้าและเพื่อนก็ยังไม่ทราบอะไรมากเกี่ยวกับหลวงพ่อท่าน เพราะเพิ่งจะไปกราบท่านได้ไม่นาน ก็หาคำตอบกันไม่ได้ แต่ก็มีความรู้สึกเชื่อมั่นว่าหลวงพ่อเราเก่งนะ เก่งมาๆ ด้วย พูดอยู่ที่หนึ่งซึ่งไกลจากที่ท่านอยู่มาก แต่ท่านก็ทราบได้ ต่อมาในปี ๒๕๓๑ ราวเดือนตุลาคม ข้าพเจ้าได้ไปช่วยงานกฐินวัดโขงขาว จ.เชียงใหม่ กลางคืนมีเวลาว่างก็นุ่งคุยเรื่องราวต่างๆ รวมถึงประวัติวัดโขงขาวอย่างคร่าวๆ ว่า

ท่านแม่จามะเทวีเป็นผู้มาสร้างและบูรณะ สมัยนั้นหลวงพ่อได้มาบวชเป็นพระอยู่ที่วัดนี้ จนกระทั่งท่านมรณภาพที่วัดนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ ข้าพเจ้าก็เล่ามาค้างถึงตอนนี้ก็จบ ไม่จบก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ ตอนเช้าข้าพเจ้าพร้อมเพื่อนๆ แม่ครัววัดโขงขาว มีคุณบี ลัดดา แอน วรรณ ต่างพากันวิ่งไปขึ้นรถที่หลวงพ่อจะพาไปเที่ยว ซึ่งขณะนั้นทุกคนในคณะหลวงพ่อต่างก็ขึ้นนั่งกันเรียบร้อยอยู่บนรถแล้ว

แต่หลวงพ่อและผู้ติดตามบางส่วนกำลังเดินดูรอบวัด ขณะที่ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ กำลังจะวิ่งไปขึ้นรถ หลวงพ่อได้หันมากวักมือเรียก พวกข้าพเจ้าให้เข้าไปหา แล้วพูดว่า “ไปเดินดูวัดกันกับพ่อนะ” พวกเราดีใจกันใหญ่ รีบตามท่านไปทันที พอเดินไปถึงหน้าโบสถ์ วัดโขงขาว หลวงพ่อก็หยุดแล้วพูดว่า “สมัยท่านจามะเทวีนั้น พ่อบวชอยู่ที่วัดนี้ และตายอยู่ที่นี่”

แล้วท่านก็ใช้ไม้เท้าชี้ไปในโบสถ์ และพูดอีกว่า “ศพของพ่อ แม่เค้าฝังไว้อยู่ใต้โบสถ์นี้ ล้อมรอบศพเต็มไปด้วยของมีค่ามากมาย โดยเฉพาะทองคำมีมากนับเป็นพันตัน” แล้วหลวงพ่อก็หันไปพูดกับหลวงพี่บุญรัตน์ กันตจาโร (เจ้าอาวาสวัดโขวขาว) ว่า “ศพของพ่อและสมบัติต่างๆ ที่นี่มีเทวดาชื่อท่านคำแสนเป็นผู้ดูแล ท่านคำแสนนี้เป็นลูกแฝดคนหนึ่งของท่านจามะเทวี ซึ่งเป็นน้องของคุณ ถ้ามีอะไรเกี่ยวกับการสร้างวัดให้บอกท่านคำแสนให้ช่วยได้นะ”

นี่ก็เป็นเหตุการณ์อีกตอนที่ให้ได้ทราบว่า หลวงพ่อมีความสามารถอย่างไร พวกเราพูดคุยกันอยู่คนละตึกกับที่ท่านพักอยู่ มีอะไรข้องใจ ท่านก็สามารถทราบและช่วยไขข้อข้องใจให้พวกเราได้ทราบ บ่อยครั้งที่เคยได้ยินหลวงพ่อท่านพูดว่า “คนแก่หูยาวตายาวนะ” และ “พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณนั้น สามารถรู้ถึงอารมณ์จิต ความนึกคิดของคนนับเป็นพันๆ ล้านๆ คนได้ในขณะเดียวกัน ถ้าต้องการรู้หรือว่าใครพูดอะไรก็รู้หมด ตอบได้หมด”

ซึ่งความหมายของคำพูดนี้พวกเราลูกหลาน หลวงพ่อ ย่อมทราบกันดีมากอยู่แล้ว ทีนี้ขอย้อนไปยังวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๘ ในงานทำบุญประจำปีวัดท่าซุง เมื่อครั้งที่พระองค์ที่ ๑๐ (เรียกตามหลวงพ่อ) ได้เสด็จไปที่วัดท่าซุง ฝั่งโบสถ์เก่าประทับอยู่ใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งน้ำ ก่อนอื่นขอกล่าวถึงพระองค์ที่ ๑๐ ก่อนว่า ท่านเป็นใคร มาจากไหน ผู้อ่านหลายท่านทราบว่าท่านเป็นใคร แต่บางท่านก็อาจจะยังไม่ทราบ

จึงขอกล่าวถึงเพื่อความเข้าใจ เมื่อข้าพเจ้าและเพื่อนได้ทราบข่าวว่ามีพระสงฆ์ที่ความสำคัญมากองค์หนึ่ง มาอยู่ที่ฝั่งโบสถ์เก่า และมีลูกหลานหลวงพ่อไปทำบุญกันมาก จึงรีบพากันไป ข้าพเจ้าและเพื่อนเข้าไปไม่ถึงท่าน เพราะมีคนมาก จึงยืนกราบท่านอยู่ห่างๆ และมีความรู้สึกว่าพระองค์นี้คุ้นจังเลย เหมือนเคยรู้จักมาก่อน แต่นึกไม่ออก เสียงท่านเพราะกังวานจับใจ นึกอยากทำบุญ เอามือล้วงกระเป๋าจะหยิบเงินขึ้นมาเห็นพระท่านมองสบตาแล้วพูดว่า

“พอ...ทำบุญด้วยการโมทนาก็ถือว่าใช้ได้แล้วล่ะ เธอกับฉันมีธรรมเสมอกัน คือมีความตายเป็นที่สุดเหมือนกัน” ท่านพูดอย่างนี้ก็ยังอยากทำบุญถวายปัจจัย (ตอนนั้นคนแย่งกันเข้าไปทำบุญกันมาก ฝุ่นตลบไปหมด) ขยับตัวจะเข้าไปกับเพื่อน ท่านก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พอ.... “ท่านพูดถึง ๓ ครั้ง แล้วหยุดนิ่ง ก็สะกิดใจ เอ๊ะ! ลีลาการพูดคล้ายพระพุทธเจ้าเลย

เพราะเคยได้ยินหลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า พระพุทธองค์จะตรัสเตือน ๓ ครั้ง ถ้าไม่ฟังท่านจะหยุดนิ่ง ก็มีความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า พระองค์นี้ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่ๆ จึงบอกเพื่อนว่า เราอย่าขัดคำสั่งพระท่านนะ ขนาดหลวงพ่อเรายังไม่กล้าขัดคำสั่งท่านเลย นี่พระพุทธเจ้านะ ขณะที่คุยกับเพื่อนนั้น ก็ได้ยินพระท่านบอกว่า “อย่านั่งเฝ้าฉันเลยให้ไปช่วยงานวัดดีกว่า”

เมื่อได้ยินดังนั้น ข้าพเจ้าและเพื่อนจึงถอยออกไปข้าหลังแล้วนั่งลงกราบตั้งจิตอธิษฐาน พอหลับตาลง ทันใดนั้นก็เห็นภาพพระสงฆ์ที่อยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้นมาปรากฏอยู่ข้างหน้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ใหญ่มาก (ขนาดเท่าพระชำระหนี้สงฆ์) ทั้งองค์เป็นสีเหลืองทองมีฉัพพรรณรังสี เป็นสีรุ้งประกาย วับๆ แวววาวสวยงามมาก และต้นโพธิ์ก็เป็นสีทองอร่ามงามตามาก เป็นอันสรุปได้ว่าพระองค์ที่ ๑๐ ก็คือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั่นเอง

การเสด็จของพระพุทธองค์ในคราวนั้น มีผู้คนแย่งกันทำบุญกันอย่างหนักเป็นจำนวนมาก บ้างก็ถวายเป็นเงิน เป็นแหวน เพชร ทอง สร้อยคอและเครื่องประดับต่างๆ มากมาย พระองค์ได้ตรัสตอนหนึ่งว่า “ความจริงที่มานี่ ต้องการมาแสดงมุทิตาจิตกับเขาเท่านั้น ไม่ต้องการจะมาแสดงตัว แต่พวกเราทำตัวเหมือนนางฟ้า เทวดาบนดาวดึงส์

เห็นพระแล้ววิ่งเข้าใส่ รู้สึกว่าเขาบริวารมากจริงๆ ฤาษีนี่บุญเค้ามากจริงๆ นะ ข้าวของฤาษีหมดยุ้งหรือยัง นาจะไม่มีที่หว่านแล้ว” (ข้อความทั้งหมดนี้ รับฟังได้จากเทป “เสียงธรรมจากพระองค์ที่สิบ”) นอกจากนั้น พระองค์ได้ทรงประทานพร สอนธรรมแก่ลูกหลานที่ไปเฝ้าด้วย บางคนเข้าไปขอพรว่า “ขอไปนิพพาน”

พระท่านทรงตรัสว่า “จิตสงบ จิตเป็นสุข การทำจิตให้ว่าง สะอาดผ่องใส นั่นคือพระนิพพาน พระนิพพานไม่ใช่คำพูด พระนิพพานคือการปฏิบัติ การมีศีลบริสุทธิ์ สมาธิก็เกิด เมื่อสมาธิเกิดปัญญาย่อมมี ปัญญามี ตัวราคะ โทสะ โมหะย่อมหายไป เมื่อราคะ โทสะ โมหะ หายไปนั่นแหละ คือ พระนิพพานที่สุดของจิต” นี่คือ ธรรมของพระพุทธองค์ทรงประทานแก่ลูกหลานในวันนั้น

ซึ่งหลวงพ่อของเราได้เมตตานำธรรมของพระพุทธองค์สอนพวกเรามาตลอด จะเห็นได้ว่าหลวงพ่อท่านมีอุบายที่แยบยลในการที่จะสอนลูกหลานให้ได้ทำความดี ซึ่งมีทั้งพูดสอนโดยตรง สอนทางเทปคาสเซ็ท อีกทั้งทางหนังสือ เพื่อให้พวกเราได้ปฏิบัติอยู่ในความดี เจริญอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ยึดมั่นอยู่ในทาน ศีล ภาวนา เพื่อจุดหมายอันสูงสุดนั่นคือ “พระนิพพาน”

จะเห็นว่าหลวงพ่อมีความเมตตาต่อลูกหลานมากเพียงใด แม้ในยามเจ็บป่วย ซึ่งปกติท่านก็ป่วยเป็นประจำแทบทุกวันอยู่แล้ว ท่านก็ไม่เคยเว้นในการสอนและโปรดลูกหลาน เคยเห็นหลวงพ่อฉันยาจำนวนมากหลายชนิดใส่วางเต็มถาด กว่าจะฉันยาหมดร่วมครึ่งชั่วโมง มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อให้ฉีดยาแก้ไข้ให้ เมื่อเห็นกล้ามเนื้อบริเวณที่จะฉีดของหลวงพ่อแล้วตกใจและรู้สึกสงสารท่านมาก

เพราะกล้ามเนื้อบริเวณนั้น จับตัวเป็นพังผืดหนาแข็ง เวลาจะฉีดยาต้องคลำหากล้ามเนื้อบริเวณที่ไม่เป็นไตแข็ง จะได้ฉีดและเดินยาได้สะดวก ซึ่งแสดงว่าหลวงพ่อต้องไม่สบายมาตลอดและถูกฉีดยาบ่อยมาก จนกล้ามเนื้อบริเวณนั้นแข็งเป็นไต เห็นแล้วรู้สึกสงสารหลวงพ่อจับใจ อยากร้องไห้ มาคิดถึงว่าโอ้หนอ หลวงพ่อท่านป่วยมากอย่างนี้ ท่านยังเมตตาสงเคราะห์สั่งสอนลูกหลานอย่างชนิดไม่ห่วงในร่างกาย

ซึ่งถ้าคนปกติทั่วไปป่วยแบบนี้ก็ไม่มีใครทนได้แน่ๆ แสดงถึงความเมตตาอย่างสูงสุดหาที่เปรียบไม่ได้เลย วัตถุประสงค์ของท่านก็เพื่อให้ลูกหลานของท่านได้เข้าสู่กระแสแห่งความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด ดังนั้นพวกเราลูกหลานหลวงพ่อควรตอบแทนพระคุณท่าน ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และน้อมเอาคำสอนธรรมของพระพุทธองค์ที่หลวงพ่อพร่ำสอนพวกเรามาตลอด นำมาปฏิบัติ เพื่อความสุขสงบของจิต และจะได้มีโอกาสก้าวเข้าไปสู่จุดหมายสูงสุดที่ทุกคนปรารถนานั่นคือ “พระนิพพาน”

ท้ายที่สุดนี้ ขอกราบอาราธนา บารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทวดาทั้งหมด พร้อมด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน ขอได้โปรดสงเคราะห์ให้หลวงพ่อหายจากอาการเจ็บป่วย หายจากทุกขเวทนาที่มีอยู่โดยฉับพลันด้วยเถิด และขอให้หลวงพ่อมีขันธ์ห้าที่สมบูรณ์แข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลานและพุทธศาสนิกชน ประชาชนชาวไทยตลอดไป ตราบเท่าเข้าสู่นิพพาน

ll กลับสู่สารบัญ


69

หลวงพ่อจ๋า


กาหลง สายบรรดาศักดิ์


ลูกได้ไปวัดหลวงพ่อ (ท่าซุง) ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๒๗ ซึ่งทางวัดมีงานประจำปี มาตามเสียงเล่าลือว่าหลวงพ่อท่านสามารถสอนให้เห็น นรก สวรรค์ พรหม และนิพพานได้ เพราะว่าลูกมีความเชื่อมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วว่า นรกสวรรค์มีจริงๆ สมัยเด็กๆ นั้นชอบดูตามวัดที่เขาแสดง เปิดโลก โดยปั้นภาพ นรกและสวรรค์และภาพเขียนบ้าง ลูกจึงกลัวนรกเป็นที่สุด (น่ากลัวว่าคงเคยตกมามากจึงเข็ด)

มาเห็นวัดครั้งแรกก็ชอบใจยิ่งมาได้ฟังและอ่านคำสอนของหลวงพ่อท่านยิ่งถูกใจมาก เพราะลูกไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่า คนที่ไม่ได้บวชเป็นพระ จะไปนิพพานได้ เคยได้ยินแต่ว่าต้องบวชเป็นพระมีศีล ๒๒๗ ข้อ จึงจะไปนิพพานได้ ต่อมาลูกก็ได้สมัครเป็นสมาชิกธัมมวิโมกข์ อ่านแล้วก็ปฏิบัติตามทุกๆ อย่างที่หลวงพ่อท่านสอน ปัจจุบันนี้ก็ถือศีล ๕ ได้ครบ และพยายามรักษากรรมบถ ๑๐ ด้วย

เพื่อต้องการหนีอบายภูมิ และต้องการหนีการเกิดเป็นมนุษย์ เพราะว่าลูกเกิดมาพบแต่ความลำบากมาตลอด หาความสบายกับเขาไม่ค่อยจะได้เลยจึงเบื่อความเป็นคน จะเป็นนางฟ้าหรือพรหมหลวงพ่อท่านบอกว่า พอหมดบุญวาสนาก็ต้องมาเกิดเป็นอะไรอีกก็ไม่รู้ ลูกจึงไม่ปรารถนาอีก สิ่งที่ปรารถนามากที่สุดก็คือ พระนิพพาน เพราะถ้าได้ไปพระนิพพานแล้วก็เป็นอันว่าไม่ต้องเกิดกันอีกต่อไป

ลูกได้พบคำสอนที่ลูกต้องการแล้ว ฉะนั้นลูกจึงขอยึดวัดท่าซุงเป็นแหล่งทำบุญที่สำคัญที่สุด ซึ่งลูกถือว่าเป็นนาบุญที่ทำแล้วได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และขอยึดถือท่านหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นสังฆานุสสติตลอดไป (ขณะนี้วันที่เขียนบันทึก ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๓) ลูกได้มาทำบุญที่วัดท่าซุงได้ถึง ๔๒ ครั้งแล้ว และก็พยายามมาเรื่อยๆ จนกว่าจะมาไม่ไหวหรือตายเสียก่อน

ตั้งแต่งานทอดกฐินปี ๒๕๓๑ เป็นต้นมาลูกได้จัดรถบัสเล็ก (เมล์แดง) ซึ่งบรรจุคนประมาณ ๓๐ – ๔๐ คน มาร่วมในงานหลวงพ่อเกือบทุกครั้งที่มีงาน เงินที่เหลือจากค่ารถก็นำมาทำบุญกับหลวงพ่อหมด ซึ่งบางครั้งเจ้าของรถ (อ.ศิริ กิติมานนท์) ซึ่งนับถือหลวงพ่อมาก็ไม่เอาค่ารถเลยเก็บได้ก็ทำบุญหมด ท่านเป็นคนทำบุญดีจริงๆ ซึ่งเมื่อก่อนงานหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นลูกได้จัดรถมาทำบุญที่วัดท่าซุง

ท่านได้ให้ลูกเก็บเงินค่ารถไว้หมด (๒ ครั้ง) เพื่อไว้ซื้อทองคำมาร่วมหล่อพระปัจเจกพุทธเจ้า และก็มีพรรคพวกให้สมทบอีกบ้าง ปรากฏว่า ซื้อทองคำมาถวายหลวงพ่อได้ถึง ๑ บาท ๒ สลึง ซึ่งผลบุญวันนี้ทำให้ลูกดีใจมากที่สุด ที่คณะของลูกเป็นคณะเล็กๆ เท่านั้น แต่สามารถซื้อทองคำได้ถึง ๑ บาท ๒ สลึก และท่าน อ.ศิริ ก็ได้ให้ลูกนำไปถวายหลวงพ่อเอง ถวายก่อนวันหล่อ ๑ วัน

ขณะนี้ก็ทราบข่าวจากท่านหลวงพ่ออีกแล้วว่าจะมีการหล่อพระพุทธเจ้า (องค์ปฐม) อีก ก็คิดกันอีกแล้วว่าจะพยายามรวบรวมเงินไว้ซื้อทองคำอีกดีใจจริงๆ ก่อนจะจบนี้ขอฝากคำกลอนที่ลูกได้แต่งขึ้นมาเอง เพื่อถวายให้ท่านหลวงพ่อผู้มีพระคุณอันสูงสุดของลูกดังนี้

หลวงพ่อจ๋าหลวงพ่อพระฤาษี
พระคุณนี้ท่วมท้นในดวงใจฉัน
ท่านเป็นพระสุดประเสริฐเลิศทางธรรม์
จิตพ่อนั้นเปี่ยมเมตตาบารมี

สอนศิษย์ให้มุ่งตรงส่งนิพพาน
หวังลูกหลานเป็นสุขเกษมศรี
ขอกราบเท้าหลวงพ่อด้วยภักดี
ชาตินี้ให้ได้นิพพานตามท่านเทอญ

สุดท้ายนี้ ลูกขอบารมีของคุณพระรัตนตรัย พร้อมทั้งพรหม เทวดาทั้งหลาย จงมาช่วยปกปักรักษาหลวงพ่อจ๋าของลูกให้หายเจ็บป่วย มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรงเสียที และลูกก็สวดอิติปิโสฯ ถวายให้ท่านหลวงพ่อทุกวัน กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพรักอย่างสูง

ll กลับสู่สารบัญ


70

สมเด็จพ่อในดวงจิต


ครรชิต วงศาโรจน์ (แฝด)


สิ่งที่ผมได้เขียนและบรรยายถึงความรู้สึกในดวงจิตนี้ เพราะผมมีความรู้สึกสำนึกในพระคุณอันใหญ่หลวงขององค์หลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ที่ท่านได้นำทางสว่างในแนวทางคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประกอบด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา องค์หลวงพ่อได้ทำให้แจ้งแล้ว ซึ่งพระนิพพาน อันเป็นคำสั่งสอนที่สูงสุด เลิศแล้ว ขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนำมาสั่งสอนผมและสานุศิษย์ทั้งหลาย

ผมมีความเชื่อมั่นและศรัทธา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่สมัยเรียนประวัติพระพุทธศาสนาอยู่ก่อนแล้ว จึงทำให้ชีวิตสำมะเลเทเมาของผมควบคู่ไปด้วยการแสวงหาธรรมะ ช่วงนั้น ก็ซื้อหนังสือธรรมะอ่านคือ นิตยสารพลังเหนือโลกและนิตยสารโลกทิพย์ เรียกว่าติดตามตั้งแต่ฉบับแรกๆ เลย ถ้ามีเวลาว่าง ก็หาอ่านเกี่ยวกับพระไตรปิฎกบ้าง เท่าที่ติดตามอ่านมาพอสมควรเล็กน้อย

ผมก็เริ่ม ซาบซึ้งถูกใจมาก ซึ่งทำให้ทราบว่า ประเทศไทยนั้นมีอริยเจ้าสำเร็จพระอรหัตผลไม่ขาดหาย ยิ่งอ่านเรื่องเกี่ยวกับพระไตรปิฎกยิ่งไม่สงสัยเลยว่าพระไตรปิฎกจะผิด เพราะมีแต่พระอริยเจ้าสำเร็จปฏิสัมภิทาญาณทุกองค์เป็นผู้ชำระพระไตรปิฎก เรื่อง นรก สวรรค์ พรหม นิพพาน และภพภูมิต่ำกว่าย่อมเป็นความจริงทุกประการ และยังได้ทราบถึง พระอริยเจ้าที่เป็นเนื้อนาบุญในปัจจุบันนี้

ทั้งทราบปฏิปทาครูบาอาจารย์ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ เช่น ครูบาเจ้าศรีวิชัย (ภาคเหนือ) หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซึ่งท่านมีมหากรุณาธิคุณอันเปรียบประมาณมิได้เลย และผมยังทราบเกี่ยวกับพระคุณเจ้าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งท่านได้ลาพุทธภูมิ คือการไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตแล้ว แต่บุญญาบารมีท่านเต็มในสาวกภูมิแล้ว ท่านสำเร็จมรรคผลนิพพานแล้วครับ

ลูกศิษย์ของท่านที่ท่านได้อบรมมา จึงเป็นเนื้อนาบุญในปัจจุบันหลายองค์ซึ่งที่ได้ปฏิบัติจริง จึงเป็นสิ่งที่ไม่แปลกใจเลยที่องค์หลวงพ่อท่าน พูดถึงการที่ท่านเคยปรารถนาพุทธภูมิ และท่านก็ได้กราบลาแล้วในชาตินี้ แต่บารมีเต็มในสาวกภูมินานแล้ว ท่านจึงเป็นองค์พระอริยเจ้า เนื้อนาบุญโดยแท้ เหมือนหลายๆ องค์ในปัจจุบัน ที่ท่านปฏิบัติจริง ผมเติบโตมาทางเหนือ

พบเห็นนมัสการพระอริยเจ้ามาหลายองค์ ก็ยังไม่พบพระอริยเจ้าองค์ใดเลย จะมีปฏิปทา บุญญาบารมี กล้าพูดกล้าสอนอบรมให้เข้าใจ ถูกใจ และซาบซึ่งปิติใจเท่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อองค์นี้เลย อีกทั้งการทำงานเพื่อพระศาสนา สงเคราะห์เพื่อชาติ และองค์พระมหากษัตราธิราชเจ้าเลย ไม่มีจริงๆ องค์หลวงพ่อฉลาดและแจ้งในโลกในธรรม ดังที่ท่านได้พาญาติโยมรุ่นแรกๆ ที่เป็นลูกศิษย์

ได้ขึ้นไปนมัสการพระสุปฏิปันโนทางภาคเหนือ เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว เช่น หลวงปู่คำแสนใหญ่ หลวงปู่คำแสนเล็ก ครูบาพรหมจักร หลวงพ่อสิม หลวงปู่แหวน เป็นต้น และที่สำคัญที่สุด ก็คือ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก ซึ่งท่านชอบเข้านิโรธสมาบัติ หลวงปู่ท่านบอกองค์หลวงพ่อเพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นกฎของพระอริยเจ้าที่จะเข้านิโรธสมาบัติ คือ ต้องบอกพระอริยเจ้าเหมือนกันที่ได้ตั้งแต่วิชชาสาม เป็นต้น

ผมได้อ่านโลกทิพย์เล่มที่ลงเรื่องนี้นี่เองจึงทำให้ทราบว่าองค์หลวงพ่อท่านสำเร็จแล้ว แต่ผมเข้าใจว่าท่านสำเร็จแค่วิชชาสาม แต่ก็สำเร็จมรรคผล นิพพาน ผมเข้าใจมาตลอด เรียกว่าสำคัญท่านผิดมานาน เพิ่งจะมาทราบว่าองค์หลวงพ่อท่านสำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ จากการอ่านหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๑ นี่เอง จากเรื่องของ อาจารย์ ปริญญา นุตาลัย ท่านเขียนให้ทราบว่า

สงสัยมานานเหมือนกัน ซึ่งองค์หลวงพ่อท่านก็ปิดมานานเป็น ๑๐ กว่าปี เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ผมก็ยิ่งปิติในจิตใจมาก ชุ่มชื่น ชุ่มเย็นในชีวิตมากเลย เพราะเคยอยากแสวงหาอาจารย์อยากพบท่านที่ปฏิบัติจริงอย่างนี้ ก็มาทราบแล้วอย่างนี้ ก็มั่นใจในบุญบารมีที่ได้มีส่วนร่วมบุญร่วมมหากุศลอันไพศาล ที่องค์หลวงพ่อท่านแนะนำทุกประการ มั่นคงในดวงจิตมากยิ่งๆ ขึ้น

ผมก็ขอดำเนินรอยตามปฏิปทาของท่าน ถึงแม้เพียงกระพี้ของพระศาสนา ซึ่งดวงจิตของผมเกาะได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ก็ถือว่าเริ่มถูกทางแล้วล่ะ ก็ขอปรารถนาติดตามองค์หลวงพ่อ แม้เศษผลธุลี ขอถึงที่สุดของความสุขที่ไม่ต้องมีขันธ์ ๕ อีกเลย ในชาตินี้ และก็ขอลาทุกสิ่งทุกประการที่ได้ปรารถนาไว้ เพราะทราบดีว่ากำลังน้อย รุ่นพี่ๆ กำลังใจดีกว่าผมหลายเท่า

ก็ลาตามองค์หลวงพ่อหมดหลายคนนะ และก็ขออนุโมทนาท่านที่ยังไม่ได้ลา และผมก็มีความภาคภูมิใจ ยินดีต่อทุกท่านที่มาร่วมบุญร่วมกุศลที่วัดท่าซุงนี้จริงๆ ครับ ผมก็เลยอยากเขียนเล่าถึงประสบการณ์ในวัดท่าซุงนี้เพื่อเป็นอุทาหรณ์และธรรมทานครับ คิดว่าคงจะเป็นความรู้บ้างครับ ผมได้ไปวัดท่าซุงครั้งแรกต้นๆ ปี ๒๕๒๗ โดยการเขียนแผนที่ให้จากเพื่อนสนิทคือ โอ๋ (พาณิชย์ สดสี)

ครั้งแรกพบองค์หลวงพ่อท่าน ผมก็ประทับใจแล้วครับ ท่านทราบและพูดในสิ่งที่ผมคิด ตั้งแต่นั้นมาการสำมะเลเทเมาก็หายไปจากในจิตใจเลย จนหลายๆ คนแปลกใจและดีใจ กลางๆ ปีผมก็มางานที่วัด ได้มาพบพี่ต๋อย กลุ่มป้าๆ น้าๆ พี่ๆ น้องๆ ที่นับถือ ที่ศาลา ๔ พระองค์ ผมก็ได้เริ่มเข้ามาช่วยงานองค์หลวงพ่อ ทางกำลังกายเป็นที่สุด เพราะช่วงนั้นผมยังไม่ได้ทำงาน

มีแต่เงินค่ารถมาและกลับ (อยู่กรุงเทพฯ เรียนรามคำแหงปีที่ ๒) การเงินจึงมีเพียงเล็กน้อยที่จะทำบุญ ผมก็เลยต้องช่วยด้านกำลังกายให้มา ผมชอบทำงานทุกอย่าง และทำอย่างไม่เคยทำมาก่อน ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มันสุขใจปิติใจนะ ผมมาทำงานทุกงานไม่ขาดเลย เพราะผมรู้ซึ่งถึงความผูกพันต่อวัดนี้เสียแล้ว รู้ว่าพวกป้าๆ น้าๆ พี่ๆ น้องๆ มาช่วยวัด มาปฏิบัติเพื่ออะไร และปรารถนาอะไรกัน

กำลังใจช่วงนั้น มันดีใจ ปิติ สุขใจเหลือเกิน เหมือนกับพบญาติที่จากกันไปนานแล้วมาร่วมบุญ ร่วมกุศลกันดีใจบอกไม่ถูก รู้แต่เพียงว่ายินดีและอนุโมทนา ความรู้สึกผูกพันมากนะ องค์หลวงพ่อท่านก็มิใช่จะสงเคราะห์ผมเท่านั้น แต่ความผูกกันนั้นมีทั้งตระกูลเลยนะ เพราะมาทราบทีหลังว่า พี่ชายปู่ คือ ปู่พล วงศาโรจน์ อดีตผู้ว่านครปฐมและอุทัยธานี ได้สร้างถนนมาวัดนี้

และผู้รวมรวบสกุลผมคือ พล.ต.ต.จำรัส วงศาโรจน์ ท่านก็เป็นลูกศิษย์องค์หลวงพ่อรุ่นแรกๆ ก็ยิ่งให้ผมปิติและภาคภูมิใจด้วยในความผูกพันต่อวัดท่าซุงนี้กับต้นตระกูลจากราชบุรีของผม ผมได้มาช่วยงานองค์หลวงพ่อไม่นานก็พบเหตุการณ์แปลกและคาดการณ์ไม่ถึงในชีวิต ในงานทำบุญประจำปี เดือนมีนาคม ๒๕๒๘ องค์หลวงพ่อบอกให้ฟังว่า จะมีพระองค์ที่ ๑๐, ๑๑ มาในงานนี้แบบกายเนื้อ

ทีนี้เอาแล้วซิ คนมันอยากรู้นี่ อยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ช่วยกันวิ่งพล่านเลย สงสัยไปหมด และก็พบจนได้ที่ศาลาเก่า วันนั้นคนมีมาก มามากนะ ผมก็ไปกัน แต่ผมยืนดูห่างๆ ๑๐ กว่าเมตรได้ มีคนมาบอกองค์นี้แหละองค์ที่ ๑๐ ด้านหน้าท่าน ผมก็เห็นครูหลายท่าน มีทั้งครูเปี๊ยก ครูพรนุช อ.ปริญญา ผมก็เลยยืนดูเพราะเข้าไม่ถึง พระองค์ที่ ๑๐ ท่านก็ไม่มองมาเลยนะ

(ผมก็มองไปใจสบาย ก็เลยมีจิตยินดีนะ มีคนมามากสนใจธรรมะมากในวันนี้ ขนาดครูกรรมฐานยังมาด้วย) เท่านั้นแหละได้เรื่องเลย พระองค์ที่ ๑๐ หันขวับมาเลยจ้องมองมาที่ผม ผมตกใจใหญ่ไม่รู้จะทำอย่างไร รีบยกมือไหว้ท่านใหญ่เลย นี่แหละครับผมแอบอนุโมทนาบุญ บุญใหญ่ด้วยซิ โดยไม่รู้ตัวมารู้ทีหลัง เมื่อหลวงพ่อท่านเทศน์ให้ทราบ

หลังจากงานนี้ไม่นานองค์หลวงพ่อท่านก็บอกข่าวดีอีกว่า พระองค์ที่ ๑๐ จะมาอีก แต่มาแบบพระหนุ่ม ในงานวิสาขบูชา ปี ๒๕๒๘ งานนี้ผมก็มาอีกเช่นเคย งานนี้ตั้งใจมาก เพราะงานที่แล้ว พบท่านแต่ไม่ได้พูดกับท่านเลย เพราะช่วงนั้นยังปรารถนาที่ ๑ อยู่ ก็อยากที่จะได้รับการพยากรณ์จากองค์ท่าน ถึงแนวทางการบำเพ็ญพระโพธิญาณ ว่าจะมีความสำเร็จหรือไม่ ยังปรารถนาอยู่

หลังจากองค์หลวงพ่อทำพิธีที่โบสถ์เสร็จทุ่มกว่าๆ พวกผมก็เดินกันมา ๔ คน ที่ศาลาพระองค์ที่ ๑๐, ๑๑ ที่ท่าน้ำ เหมือนท่านจะสงเคราะห์ ที่ศาลากำลังก่อสร้าง มีแต่พื้นและหลังคา ผมเห็นพระหนุ่มองค์หนึ่งกำลังเดินจงกรมอยู่ ผมก็บอกกับเพื่อนๆ ว่า ใช่แน่นอน ผมก็รีบเข้าไปนั่งใกล้ๆ ท่าน และก้มลงกราบท่าน พอกราบเสร็จเพื่อนๆ ผมก็นั่งสมาธิกันใหญ่ แต่ผมนั่งจ้องมองท่านเดินจงกรม เพราะในใจคิดว่า

ถ้าเกิดหลับตากันหมด ท่านหายตัวไปก็ไม่ได้พูดกับท่านอีก พอท่านเดินจงกรมกลับมาผมก็เอาผ้าขาว ๒ ผืนปูลาดไว้ทางเดิน ท่านก็ถามว่า วางทำไม ผมตอบว่า ต้องการเอาไปบูชาครับ ท่านว่า จะดีหรือ ผมตอบ ดีครับ ท่านก็เหยียบให้ และพอดีเพื่อนๆ ได้อธิษฐานดังๆ ดังว่า “ธรรมใดที่พระองค์ท่านตรัสรู้ดีแล้ว ขอให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมด้วยครับ” ผมก็อธิษฐานตามแล้ว สาธุ

ท่านก็หันมามองผมยิ้มน้อยๆ ท่านก็มองทุกคนอีก แล้วมองมาที่ผมแล้วบอกว่า ท่านอยู่รามคำแหงปี ๓ เพิ่งบวชพรรษานี้แหละ ผมช่วงนั้นยังประหม่าอยู่ พอท่านบอกว่าเป็นรุ่นพี่ ก็เลยเชื่อเลย ดูซิ ความโง่ หรือปัญญาน้อย แบบกามนิตอีกแล้ว ผมก็เลยคุยกับท่านแบบไม่ประหม่าอีกหลายคำ แถมนึกในใจว่า ดูท่านปฏิบัติเดินจงกรมน่าเลื่อมใสนะ ขอให้ท่านถึงนิพพานนะ แน่ะดูซิความโง่ซื่อมาบรรจบกัน

ยังไม่พอนะ บอกท่านไปว่า นี่ผมตามหาพระองค์ที่ ๑๐ ครับ แหม คิดว่าท่านซะอีก นี่ความโง่นะ มานึกทีหลังยังเจ็บใจไม่หาย น่าเอาตะพดหวดกะโหลกมากเลย นี่ถ้าไม่ใช่พระองค์ที่ ๑๐ ท่านคงหัวเราะใหญ่แน่ๆ เลย หลังจากนั้นผมก็ลาท่านไปกวนข้าวทิพย์ บรรจุซอง ทำจนถึงตี ๒ พอเช้าฝนตก หลังจากช่วยงานกันเสร็จ รับประทานอาหารเช้าแล้ว ผมก็พากันมาที่โบสถ์เก่าอีก ที่นี้มีคนบอกมีพระ ๕ องค์ในโบสถ์

ผมก็วิ่งกันไปดู ก็พบท่านหน้าโบสถ์ ๕ องค์ องค์กลางก็มองผม ผมก็เดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ ท่าน แล้วยกมือไหว้ท่าน ก็มองดูจำได้ นี่หลวงพี่องค์เมื่อคืนนี้นี่ มีสิวที่จมูกด้วย ท่านก็มองยิ้มน้อยๆ แล้วถามผมว่า ทานข้าวหรือยัง ผมก็ยิ้มแล้วตอบว่าทานแล้วครับ แล้ว ๒ องค์หน้าท่านก็เดินท่านก็เดินกลางมี ๒ องค์เดินท้าย ท่านไปที่เมรุเก่า แล้วท่านก็หยุดมองพิจารณา

แล้วหันมามองผมเหมือนท่านทำให้ผมและเพื่อนๆ ทราบว่า ความตายเป็นของเที่ยง ผมก็พิจารณาตาม แล้วท่านเดินไปศาลานวราชใหม่ ซึ่งยังก่อสร้างอยู่ แต่ยังไม่เสร็จ ผมก็เลยไม่อยากรบกวนท่านอีก เพราะเริ่มคิดได้ และปิติในจิตใจ เมื่อคืนท่านคงไม่อยากให้ผมเกิดความประหม่าจึงบอกว่า เป็นรุ่นพี่ ผมก็เชื่อด้วยซิ ผมโง่เอง พออีกงาน ๒ งาน ศาลาพระองค์ที่ ๑๐, ๑๑ และที่วิหารแก้วเสร็จ ผมก็ไปกราบท่านและก็ตกใจเลย

แต่ก็ไม่แปลกใจมาก เพราะพระองค์ที่ ๑๐ ลักษณะเดียวกับพระหนุ่มองค์นั้นทีเดียว หลังจากนั้นผม น้ากัลยา พี่ปรานี ป้าๆ พี่ๆ เพื่อนๆ ก็ประจำวิหารแก้วเป็นกลุ่มแรกพร้อมหลวงน้าสัมฤทธิ์เป็นพระผู้ใหญ่บนนั้น (ปัจจุบันต่างคนก็มีภาระ ผมก็มีงานทำก็เลยไม่ได้รวมกลุ่มกันบ่อย นานๆ จะครบพร้อมหน้าตากันที ผมก็ขออนุโมทนา ท่านที่ยังมาช่วยเหลืองานหลวงพ่อครับ)

หลังจากนั้นมา รู้สึกว่าผมจะใช้อารมณ์ระลึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดมา คือ อิติปิโส ฯลฯ จนกระทั่งองค์หลวงพ่อท่านได้บอกให้ทราบว่า อารมณ์แบบนี้เข้านิพพานง่ายที่สุดเลยนะ นี่ผมประทับใจอีกแล้ว จับจิตเหลือเกินครับ ไม่ว่าผมสงสัยอะไรท่านจะคอยสอนคอยเตือน ท่านใช้คำว่าพ่อ และลูกกับผมเลยยิ่งทำให้ผมอบอุ่นมาก ท่านทราบทุกวาระจิต และแนะแนวทางให้ผมเสมอ

ปฏิปทาขององค์ท่านต่อให้พระอาทิตย์ประชุมกัน ๗ ดวง หรือ ๑๐๐๐ ดวง ก็ไม่สามารถทำลายได้ องค์หลวงพ่อท่านวาจาศักดิ์สิทธิ์มากนะ เพราะผู้คอยช่วยเหลือท่านมิใช่เฉพาะหลวงปู่ปาน มิใช่พระศาสดาองค์ปัจจุบัน แต่นี่คือต้นปฐมวงศ์สัพพัญญูเจ้าคือสมเด็จองค์ปฐมนะ คำสั่งสอนอบรมของท่านจึงเป็นจริงทุกประการ ตรงตามพระธรรมวินัย พิสูจน์ได้ด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ซึ่งอดีตถึงปัจจุบันนี้

ก็ยังมีพระอริยเจ้าอยู่เสมอ เพราะท่านปฏิบัติจริง องค์หลวงพ่อท่านสอนไว้เสมอว่า กำลังใจคนมี ๔ ประเภท ๑.สุกขวิปัสสโก ๒.เตวิชโช ๓.ฉฬภิญโญ ๔.ปฏิสัมภิทัปปัตโต ซึ่งอย่างแรกมีความศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยไม่สมารถติดต่อภพภูมิได้ แต่สำเร็จนิพพานได้ ส่วน ๓ อย่างหลังมีจิตเป็นทิพย์มีฤทธิ์มีจิตใจเข้มแข็งกว่ามากนะครับ

นี่ทั้งหมดนี้เป็นกำลังใจกำลังจิตอของแต่ละบุคคลที่เข้าวัดมาทำบุญกุศลกัน ท่านทั้งหลายผู้มีปัญญา ก็จงใช้ปัญญาให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองเถิด ผมในฐานะมีปัญญาเล็กน้อย พบเห็นและมีประสบการณ์มาเพียงเล็กน้อย ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง ถึงปฏิปทาขององค์หลวงพ่อท่าน ถึงคำอบรมสั่งสอนที่เป็นไปตามพระไตรปิฎกทุกประการ นี่แหละท่านทั้งหลาย ผู้มีใจเป็นบุญมหากุศล มีเจตนาที่ดี

มีความปรารถนาที่ดี มีความเชื่อมั่น ศรัทธา จะปรารถนาคล้ายผมหรือไม่คล้ายกันก็ตาม แต่ท่านกำลังดำเนินตามแนวทางคำสั่งสอนขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมก็ขออนุโมทนาคุณความดีด้วยความจริงใจ ก็ขอให้ทุกท่านมีพรหมวิหาร ๔ มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นที่ตั้ง มีการอภัยซึ่งกันและกัน ปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงในชาติปัจจุบันนี้ครับ

ตามหลักคำสอนขององค์หลวงพ่อท่านที่ท่านได้ดำเนินรอยตามปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ด้วยศีล สมาธิ ปัญญาตรงตามในพระไตรปิฎกที่องค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ทุกประการ นี่คือสิ่งที่ผมได้ไตรตรองพิจารณาด้วยปัญญาอันเล็กน้อยนี้ เพื่อประโยชน์มหากุศลอันยิ่งใหญ่ไพศาล เพื่อท่านทั้งหลายได้ทราบว่า องค์หลวงพ่อท่านเป็นเนื้อนาบุญโดยแท้

สุดท้ายนี้ ผมก็ขออาราธนาพระบารมี พระรัตนตรัย ปฐมวงศ์สัพพัญญูเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกประการ มาบำรุงรักษา ปกป้อง คุ้มครอง สุขภาพ สังขาร พลานามัยองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน จงแข็งแรง เพื่อเป็นร่มฉัตรแก้วอันไพศาล ได้เป็นเนื้อนาบุญมหากุศลต่อลูกๆ หลาน และผู้มีจิตเคารพเลื่อมใสตลอดไป เพื่อเป็นกำลังจิต กำลังใจ และองค์ท่านคือ “สมเด็จพ่อในดวงจิต” ของผมตลอดไปด้วยเทอญ

“พุทธบูชา มหาเตชะวันโต”
“ธรรมบูชา มหาปัญโญ”
“สังฆบูชา มหาโภคะวะโห”
“พุทธานัง ชีวิตตัสสะนะ สักกา เกนะจิ อันตราโย กาตุง ตถาเมโตหุ”

“อันชีวิตพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันใครๆ ไม่อาจทำอันตรายได้ฉันใด ขอชีวิตความเป็นอยู่แห่งข้าพเจ้า จงเป็นเหมือนอย่างเช่นนั้น” สาธุ

ด้วยดวงจิตดวงหนึ่งของลูก

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/8/12 at 14:00 [ QUOTE ]


71

เมื่อได้รับหมายเกณฑ์


เยาวลักษณ์ มิตรศรัทธา


ดิฉันได้รับการทาบทามจาก ดร.ปริญญา นุตาลัย และคุณกานดา อมาตยกุล ให้เขียนเรื่องลูกศิษย์บันทึก ตั้งแต่วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒ แต่ด้วยความที่เป็นคนเขียนไม่เก่ง เป็นแต่โม้เลยไม่กล้าเขียน จนกระทั่งลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๑ พิมพ์เสร็จ ดิฉันก็ยังได้อ่านที่เพื่อนๆ พี่ๆ เขียนแล้วชอบมาก เพราะทำให้ได้รู้เรื่องราวอภินิหารหลายๆ อย่างของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังที่ใดมาก่อน

ดิฉันมากราบหลวงพ่อเมื่อไหร่ และทำไมจึงมา?
เมื่อกลางปี ๒๖ เพื่อสนิทของดิฉันคนหนึ่งซึ่งมีครูอาจารย์ดี เขามักจะเล่าถึงว่าคุณแม่ของเขาพาเขาไปกราบอาจารย์ที่โน่นที่นี่ และเขาได้พบความอัศจรรย์ใจต่างๆ เช่น พระทายใจและเหตุการณ์ต่างๆ แม่น หรือมีกุมารทองมาเข้าทรง ตลอดจนเรื่องราวอภินิหารของเทวดา เจ้าที่ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันชอบมากๆ และใฝ่ฝันอยากมีอาจารย์เก่งๆ หรืออาจารย์ที่รู้อนาคต (หมอดูแม่นๆ) หรือพระอภิญญาและเทวดา

ไว้เป็นที่ปรึกษาและคุ้มครองตัวให้อุ่นใจ ครั้นจะไปฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ของเพื่อน ก็เกรงใจแม่เพื่อนจะดุว่าเอาดิฉันมาจุ้นจ้านไม่เป็นเรื่อง ตอนนั้นดิฉันก็ได้คิดหวังว่าสักวันหนึ่งก็จะได้พบครูดี จนกระทั่งประมาณปี ๒๗ ได้มีเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งถามว่า สนใจอยากมีอาจารย์ดีไหม? เขาเคยอ่านเรื่องของหลวงพ่อฤาษีลิงดำว่า เอาบาตรแขวนต้นไม้แล้วมีเทวดาเอาข้าวมาใส่ให้ อยากจะไปกราบไหม

พอเขาบอกชื่อหลวงพ่อว่า ชื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ดิฉันคิดว่าพระองค์นี้ยังไม่มรณภาพอีกหรือ เพราะดิฉันไม่คิดว่าในยุคนี้จะมีพระอภิญญาหลงเหลืออยู่ (ตอนนั้นดิฉันยังโง่ไม่เสร็จ) ดิฉันจึงถามสถานที่ เขาก็ไม่ทราบแน่ชัด รู้เพียงว่าอยู่แถวซอยสายลม ไปถามๆ ดูแล้วกัน คงเป็นเพราะบุญเก่าที่ได้ติดตามรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ มาหลายอสงไขยกัป ทำให้ดิฉันขวนขวายขับรถไปหาซอยสายลม และแวะถามร้านกาแฟกลางซอยว่า กุฏิหลวงพ่อ อยู่ที่ไหน จนพบกับซอยสายลม

แต่หลวงพ่อยังไม่มากรุงเทพฯ จึงได้ซื้อหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมาอ่าน ซึ่งนับว่าเป็นบุญเก่าจริงๆ ที่ได้พบหมายเกณฑ์ (ดิฉันเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า หมายเกณฑ์) เพราะสังเกตดูถ้าใครเป็นลูกหลานท่าน พออ่านหนังสือปั๊บจะกลายเป็นกะละแม ติดหลวงพ่อแจทุกรายไป ยิ่งเมื่ออ่านแล้วก็เลยตะลุยอ่าน นั่งอ่านนอนอ่านถึงตี ๓ ตี ๔ ไม่ต้องหลับต้องนอน อ่านมันยิ่งกว่ากำลังภายใน

ซึ่งกำลังติดงอมแงม และอ่านเสร็จก็อยากมีอภิญญาบ้าง จึงหมายมั่นว่าดิฉันจะต้องไปกราบให้จงได้
วันแรกที่ซอยสายลม ดิฉันงงมากที่คนเยอะจนตาลาย ยิ่งดิฉันมาเองโดยไม่มีใครพามายิ่งงง พอได้ถวายสังฆทานเสร็จ ก็คิดอยากคุยกับท่าน แต่คนเยอะมาก จึงได้หารือเพื่อนผู้ที่เขาบอกว่าเคยไปวัดท่าซุง ให้พาไปวัดท่าซุงจะได้มีคนน้อยๆ เพื่อจะได้ขอกราบคุยกับท่านให้ชุ่มใจ

อีก ๒๐ วันต่อมาดิฉันจึงมีโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่อุทัยธานีและเป็นที่อัศจรรย์ว่า โดยปกติหลวงพ่อจะรับแขกแค่ ๑๖.๐๐ น. ตอนนั้นดิฉันถึงวัดราว ๑๖ นาฬิกากว่า ทหารรีบบอกว่า เร็วๆ หลวงพ่อกำลังจะขึ้น เพื่อนดิฉันก็บอกว่า ท่านรออยู่เห็นไหม ท่านรู้จริงสมกับที่ดิฉันได้จุดธูปบอกท่านก่อนเดินทางหลายวันในช่วงเวลานั้นซึ่งดิฉันไม่เชื่อหรอกว่า หลวงพ่อจะขึ้นตรงเวลาและรอดิฉัน

แต่จากการกราบท่านมา ๗ ปี จึงได้ตระหนักว่าท่านเป็นคนตรงต่อเวลาแค่ไหน ท่านตรงต่อเวลานาทีต่อนาที แต่บัดนี้ต้องกราบขอบคุณในความเมตตาสงเคราะห์เป็นกรณีพิเศษที่ท่านอุตส่าห์อยู่คอยให้ดิฉันได้กราบคุยกับท่านในวันนั้นดิฉันตื่นเต้นจนลืมไปว่าได้เตรียมดอกไม้ ธูปแพเทียนแพไปกราบท่าน ดิฉันเอาเครื่องเทปไปบันทึกการคุยกับท่าน แต่ด้วยความตื่นเต้นดิฉันจำไม่ได้ว่าท่านคุยว่าอะไรบ้าง

ท่านถามว่าร้องเพลงเป็นไหม? ดิฉันแปลกใจที่ทำไมท่านถามอย่างนั้น เพราะดิฉันมีอาชีพผลิตเทปเพลงขาย แต่เพื่อนๆ ชอบว่าดิฉันร้องเพลงแย่มาก ถ้าไม่ผิดเนื้อก็ผิดทำนอง ดิฉันจึงตอบว่าร้องไม่เป็น ท่านถามว่า ทั้งหมดนี้อยู่ที่ใครเป็นคนตัดสิน ถ้าเราตัดสินเราก็ว่าเราร้องได้ แต่ถ้าเพื่อนตัดสินเพื่อนก็ว่าใช้ไม่ได้ (ท่านให้ธรรมในด้านการมองปัญหา โดยดิฉันไม่เคยรู้) นับแต่วินาทีที่ได้กราบหลวงพ่อในวันนั้นทำให้ดิฉันได้กราบหลวงพ่อทุกเดือนมาจนทุกวันนี้

ความแตกต่างก่อนและหลังพบหลวงพ่อ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ๓๐ ปี ดิฉันไม่เคยมีความสุขใจลึกๆ และไม่เคยมั่นใจในเหตุผลของการเกิดในชาตินี้ ดิฉันเป็นชาวพุทธแต่เพียงในนามคือโรงเรียนสอนว่าศีลคืออะไร พระพุทธเจ้าสอนอะไร ถ้าสอบข้อเขียนพอจำ จำได้ แต่ถ้าจะเอากันจริงก็คิดว่าชาตินี้ตายไปลงนรกแน่ๆ ตั้งแต่เล็กจนโตศีลไม่เคยเข้าใจ ไม่เคยรักษา และดิฉันมีความสงสัยว่า คนที่เขาถือศีล ๕ เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?

แต่หลังจากที่ดิฉันมากราบหลวงพ่อ และท่านได้อธิบายถึงบาปและโทษ ทำให้ดิฉันเกรงกลัวต่อบาปเก่าๆ ที่ทำมา เลยอยากทำความดีหนี จึงเริ่มต้นที่การรักษาศีลวันละชั่วโมง ตามที่หลวงพ่อท่านแนะนำ ไปๆ มาๆ ก็ถือศีลเป็นกิจวัตรได้ ตอนนี้ดิฉันเลยเกิดความสงสัยใหม่ว่า คนที่เขาไม่ถือศีลเขามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? เพราะว่าเวลานี้ดิฉันรังเกียจคนทุศีลทุกประเภทและเห็นโทษ จนคิดว่าเขาน่าสงสาร

เขาต้องไปรับกรรมที่ทำไว้ ทำให้ยิ่งเห็นความน่ากลัวในการที่ใช้ชีวิตอย่างทุศีล นอกจากตัวดิฉันเองจะรักษาศีล ๕ แล้วผลดีข้างเคียงก็คือ เมื่อดิฉันกลัวบาปก็เที่ยวเล่าผลบาปของการละเมิดศีลให้บุตร – สามีฟัง จนทั้งบุตรและสามีก็พลอยกลัวบาปจากการละเมิดศีลด้วย ไปๆ มาๆ สามีดิฉัน (แม้จะไม่ค่อยมากราบหลวงพ่อที่วัด) เขากลับมีศีล ๕ ที่ละเอียดมาก ทำให้ชีวิตครอบครัวของดิฉันเป็นครอบครัวที่เป็นปกติสุข ไม่ต้องหวาดระแวงต่อกันว่าจะทำอะไรนอกลู่นอกทาง

เดิมทีเดียวเมื่อดิฉันรู้สึกว่าเคยไม่ดีทำบาปไว้มาก ถ้าตายก็ไปไม่ดี จะทำอะไรก็แล้วแต่เฮงแต่ซวย พอหลวงพ่อท่านแนะนำเรื่อง เทวดา พรหมมีจริง และถ้าเราเคารพบูชาท่าน ท่านจะคุ้มครองเรา ดิฉันก็พยายามทำตนเป็นคนดี และแสดงความเคารพบูชาเทวดา พรหม ทำให้บางครั้งก็รับสัมผัสถึงความสงเคราะห์ที่ท่านมีให้ ทำให้คลาดแคล้วจากเรื่องร้ายๆ มากมาย (ซึ่งดิฉันคงมีโอกาสมาเล่าให้ฟังในคราวต่อไป)

ท้ายนี้ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อที่ได้ให้ชีวิตใหม่ ที่มีความหมายและสดใสแก่ดิฉันและครอบครัว ดิฉันจะทำความดียิ่งๆ ขึ้น เป็นการแทนคุณหลวงพ่อที่ท่านได้เมตตาสงเคราะห์ครอบครัวของเราตลอดไป

ll กลับสู่สารบัญ


72

ถ้าไม่เจอกันก็ซวยซิ


ลือชา ประทุมพันธ์


กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง
ผมนายลือชา ประทุมพันธ์ เริ่มแรกได้รู้จักหลวงพ่อ ในหนังสือธัมมวิโมกข์ปี พ.ศ.๒๕๒๗ คือผมพักร้อนได้เดินทางไปเยี่ยมพี่สาวที่ แอล.เอ. รัฐคาลิฟอร์เนีย อเมริกา ส่วนผมอยู่ที่วอชิงตัน รัฐเวอร์จิเนีย ห่างกัน ๓๐๐๐ ไมล์ เมื่อผมไปถึง แอล.เอ.แล้ว พี่สาวผมได้มอบหนังสือธัมมวิโมกข์ให้ผมอ่านประมาณ ๒๔ เล่ม เมื่อผมอ่านแล้วก็เกิดศรัทธาอยากจะกราบเท้าและเห็นตัวจริงหลวงพ่อ

เมื่อกลับจากพักร้อนที่ แอล.เอ.แล้ว ผมก็วางแผนกลับกรุงเทพฯ เพื่อจะได้ไปกราบเท้าหลวงพ่อและเห็นตัวจริงท่าน ประมาณปลายปี ๒๕๒๗ ผมก็ได้กลับกรุงเทพฯ สมความปรารถนาและเมื่อผมถึงกรุงเทพฯ แล้ว ผมก็ได้เดินทางไปวัดท่าซุง จ.อุทัยธานีทันที ครั้นเมื่อผมไปถึงวัดท่าซุงแล้ว ผมไม่รู้กฎระเบียบอะไรต่างๆ ของวัดที่จะเข้ากราบหลวงพ่อได้ เพราะผมเพิ่งไปเป็นครั้งแรก ผมก็ได้เดินดูรอบๆ วัดและได้ถามพระที่วัดท่านบอกว่า

หลวงพ่อฉันเพลเสร็จแล้วจะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เลยไม่ลงรับแขกแล้ว ผมก็นึกในใจว่าผมเดินทางมาไกลจากสหรัฐอเมริกามาวัดท่าซุงเพื่อจะได้พบและกราบหลวงพ่อ ผมดูเวลาเหลืออีกประมาณ ๑๕ นาทีจวนหลวงพ่อฉันเพลแล้ว ผมก็เลยถามพระท่านว่าที่ท่านจำวัดที่ไหนพระท่านก็บอกให้ กว่าผมจะถึงก็จวนเวลาฉันเพล เหลืออีกประมาณ ๑๐ นาที

ผมจึงได้อธิษฐานในใจ ขอให้หลวงพ่อรู้จิตของผมที่ได้เดินทางมาไกลเพื่อจะได้มากราบหลวงพ่อ อนุญาตให้ผมเข้าพบได้ เมื่อผมไปถึงที่พักของหลวงพ่อก็เห็นสารวัตรทหารอากาศเฝ้าอยู่หน้าที่พัก ผมก็เข้าไปบอกเขาว่าผมจะมากราบหลวงพ่อ เขาบอกว่าหลวงพ่อจะต้องรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด่วนเมื่อฉันอาหารเพลเสร็จแล้ว ผมก็ขออนุญาตเขาเคาะประตูหน้าของหลวงพ่อ

เขาก็บอกว่าแล้วแต่คุณลองดูก็ได้ ผมก็ได้อธิษฐานในใจขอให้ได้พบหลวงพ่อตลอดเวลา แล้วผมก็เคาะประตู เมื่อผมเคาะประตูแล้วสักครู่ก็มีแม่ชีเดินมาแง้มประตู แล้วถามผม ผมก็เรียนแม่ชีว่าอยากจะพบหลวงพ่อสัก ๑ – ๒ นาที เพราะผมเดินทางมาไกล แม่ชีก็บอกผมว่าจะลองไปเรียนถามหลวงพ่อได้หรือไม่ ในระหว่างที่ผมรอคอยอยู่นั้น ผมก็อธิษฐานในใจใหญ่เลย ขอให้พบหลวงพ่อให้ได้โดยใจผมเต้นโครมๆ ตลอดเวลา

เพราะกลัวจะไม่ได้พบหลวงพ่อ สักประมาณครูหนึ่ง แม่ชีก็เกินกลับมาบอกผมว่าหลวงพ่อได้อนุญาตให้ผมพบได้ ผมก็ดีใจมากๆ และได้เดินตามแม่ชีไปเพื่อกราบหลวงพ่อ เมื่อผมไปถึงแล้ว เห็นหลวงพ่อนั่งอยู่บนเก้าอี้และหน้าหลวงพ่อยิ้มมีเมตตา ผมก็กราบเท้าหลวงพ่อท่าน ท่านก็บอกผมว่า ถ้าไม่เจอกันก็ซวยซิ ผมก็นึกในใจว่าทำไมหลวงพ่อพูดอย่างนี้ ในเมื่อผมก็มาดีๆ แล้วจะซวยได้อย่างไร

แต่ผมก็ไม่ได้ถามหลวงพ่อท่าน ท่านก็บอกว่าผมเป็นคนพูดตรง และท่านก็ให้แหนบทองชุบของหลวงพ่อแก่ผม และบอกให้ผมไปดูตึกกรรมฐาน ระหว่างที่ผมได้กราบหลวงพ่ออยู่ ใบหน้าหลวงพ่อท่านยิ้มและมีเมตตาอยู่ตลอดเวลา และผมก็กราบเท้าหลวงพ่อกลับเพราะขอท่านไว้เพียง ๑ – ๒ นาทีเท่านั้น แต่หลวงพ่อก็ใจดีบอกไม่ต้องรีบร้อนหรอก แต่ผมรักษาคำพูด ผมก็กราบเท้าท่านลากลับและจะกลับมากราบเท้าท่านอีก

หลังจากที่กราบเท้าหลวงพ่อแล้ว ผมก็ไปดูตึกกรรมฐานซึ่งตอนนั้นกำลังสร้างอยู่ แล้วผมก็ได้เดินทางจากวัดท่าซุงไปเชียงใหม่ ระหว่างทางผมได้แวะให้คนขับรถเติมน้ำมันให้เต็มถัง ถนนในระหว่างทางไปเชียงใหม่ อากาศร้อนมากและคนขับรถขับด้วยความเร็ว ๙๐ – ๑๒๐ กม./ชม. เมื่อเข้าใกล้เขตตัวเมืองเชียงใหม่ ผมก็ได้กลิ่นน้ำมันฟุ้งไปหมด แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นรถผมที่นั่งมากระทั่งเครื่องยนต์เริ่มเดินกระตุกกระตัก

เครื่องดับบ้างผมก็ดูเข็มน้ำมันเห็นเกือบหมดถัง ผมก็นึกในใจว่าผมเพิ่งเติมน้ำมันมาเต็มถัง หมดเร็วได้อย่างไร ผมก็บอกคนขับให้หาโรงแรมที่จะค้างคืน ผมก็บอกคนขับให้เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาจนไปถึงโรงแรมเพรสซิเดนท์ ผมก็ให้คนขับขับรถเข้าไปในโรงแรมไปจอดในทางช่องจอดรถพอดี และเครื่องยนต์ดับทันที สตาร์ทอีกก็ไม่ติดผมดูเข็มน้ำมัน น้ำมันหมดเกลี้ยงเลย ผมเปิดฝากระโปรงรถตรวจดูเครื่องยนต์

ปรากฏว่า “น็อตที่อยู่ใต้คาบิวเรเตอร์หลุดไป” (น็อตตัวนี้ใช้ถอดสำหรับล้างคาบิวเรเตอร์ให้สะอาด) ผมจึงนึกถึงคำหลวงพ่อที่บอกผมว่าถ้าไม่เจอกันก็ซวย ก็เป็นความจริงถ้าไม่ได้หลวงพ่อช่วยผมก็คงลำบาก บาดเจ็บ หรือตายก็ได้ เพราะรถวิ่งด้วยความเร็วสูง อากาศร้อนมา เครื่องยนต์ร้อนมาก ในเมื่อน็อตที่คาบิวเรเตอร์ค่อยๆ คลายเกลียวออกมา น้ำมันก็หยดลงใส่เครื่องยนต์และรถยนต์วิ่งด้วยความเร็ว

เครื่องยนต์จะลุกไหม้หรือระเบิดก็ได้ทำให้รถลงข้างทาง ถ้าโชคดีก็บาดเจ็บและนอนข้างทางนั้นเองจนกว่าจะมีรถยนต์ผ่านมาเห็นและช่วยเหลือ ถ้าโชคร้ายก็ตายหมดทั้งคันรถ ตามที่หลวงพ่อได้บอกผมว่าถ้าไม่เจอกันก็ซวย และหลวงพ่อก็ได้ช่วยผมไม่ให้ตาย แม้แต่บาดเจ็บเลยและส่งผมเข้าพักโรงแรม “เพรสซิเดนท์” โดยผมไม่ต้องลำบากเข็นรถเลยตามที่ผมได้เล่ามาแล้ว และหลวงพ่อก็หาโรงแรมที่อยู่ที่ผมได้มาพักเมื่อ ๒ ปีก่อนนั้นด้วย

ในโอกาสนี้ ผมจะไม่ลืมพระคุณของหลวงพ่อที่ช่วยผมให้รอดชีวิตและพ้นความบาดเจ็บได้จนได้มากราบ และรู้จักหลวงพ่อตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ll กลับสู่สารบัญ


73

แปรเปลี่ยนชีวิตได้เพราะบารมีและความเมตตาของหลวงพ่อ


บัญชา พาชิต


ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องลำดับเหตุการณ์การแปรเปลี่ยนชีวิตของข้าพเจ้าเอง เพราะบุญบารมีและความเมตตาของหลวงพ่อ และเหตุการณ์ผลของการปฏิบัติกับหลวงพ่อ ก่อนที่จะประสบผลสำเร็จของความดี ข้าพเจ้าเองคิดว่าทุกๆ คนต้องผ่านมรสุมของชีวิตพบกับความยากลำบากมาเหมือนๆ กันทุกคน แล้วแต่จะมากหรือน้อย เรื่องที่ข้าฯ จะเล่าให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อหรือพี่ – น้องทุกคนฟังนั้น ขอยืนยันว่าเป็นความจริง

และข้าฯ เองสามารถให้ลูกศิษย์ของหลวงพ่อมาพิสูจน์ได้ทุกคนตามที่ข้าฯ ได้แจ้งที่อยู่ไว้ในเรื่องนี้ เรื่องของข้าฯ อาจจะไปตรงกับชีวิตของใครแล้ว ข้าฯ เองขอประทานอภัยมา ณ ที่นี้ถือเสียว่าเวรกรรมแต่ชาติก่อนเราสร้างมาร่วมกัน ก่อนที่จะทราบกันเรื่องที่เป็นในสิ่งที่ดี ข้าฯ ขอลำดับเหตุการณ์ในสิ่งที่เลวมาให้พี่ – น้องได้ทราบก่อน ข้าฯ เป็นลูกคนที่ ๖ ของพ่อเผ็น แม่สมปอง ต.บ้านน้อย อ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี

ชีวิตของข้าฯ เกิดมายากจน ต้องพบกับความลำบาก ในบางวันข้าวจะหุงกินก็ไม่ค่อยจะมี ในบางครั้งเห็นเขารวยก็อยากจะรวยอย่างเขา ในบางครั้งเห็นเขามีกินก็อยากจะมีกินอย่างเขา แต่มานึกอีกทีคนเราเลือกเกิดได้เสียเมื่อไหร่ นึกถึงบุญบารมีที่สร้างสมมาไม่เท่ากัน กลับมาหวนนึกว่าในเมื่อเราไม่มีจะกินแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำบุญ ในตอนนั้นข้าฯ นึกว่าในเมื่อเอาเงินที่จะทำบุญเราเอามากินเสียไม่ดีกว่าหรือ

ต่อมาอายุข้าฯ ได้ ๑๘ ปี พี่ชายก็ให้แต่งงานแยกครอบครัวมาอยู่ตามลำพังที่ ต.ทุ่งลูกนก บ้านหนองศาลา อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ในตอนนั้นก่อนที่ข้าฯ จะออกจากบ้านมา ข้าฯ ได้ไปขอพรจากแม่ ที่ข้าฯ คิดว่าเป็นร่มโพธิ์ ร่มไทร เป็นพระองค์หนึ่ง แม่ได้ให้พรขอให้ลูกร่ำรวยโดยที่แม่ให้เงินติดตัวมาเพื่อสร้างตัวเอง ๔๐๐ บาท พร้อมกับข้าวสารอีก ๑๕ ลิตร

และต่อมาในระยะหลังชีวิตการเป็นอยู่เริ่มเสื่อมทรามลง เงินทองที่แม่ให้มาหมดไป ข้าฯ ก็หวนกลับเข้าบ้านขอความช่วยเหลือจากพี่ชายโดยที่พี่ชายได้ให้เงินมาลงทุน ๖๐๐ บาท ข้าฯ ได้ถามแม่ว่า ข้าฯ จะทำอะไรกิน แม่บอกข้าฯ ว่าให้ลองค้าขายดู ข้าฯ ได้ขอยืมรถจักรยานยนต์ของแม่มาเพื่อค้าเศษเหล็กไปวันๆ แต่ก็ไม่ค่อยจะพอกิน ก็เลยเข้ากรุงเทพฯ โดยหาเงินทางขายกางเกงใน แถวๆ สำโรง สมุทรปราการ

อาศัยพักอยู่บ้านพี่สาวและในระยะนั้น พี่น้องทางภรรยาเริ่มดูถูก เหยียดหยามในเมื่อค้าขายในช่วงนี้ก็พบกับความล้มเหลวอีกเช่นเคย ก็หันกลับเข้าบ้านขอให้แม่ช่วยพูดกับพี่ชาย ขอให้พี่ชายได้ช่วยเหลือข้าฯ อีกสักครั้งก็สมหวัง โดยที่พี่ชายให้การช่วยเหลือเป็นเงินมาอีกก้อนหนึ่ง ก็เอามาดาวน์รถยนต์เป็นเงินผ่อน ชีวิตของข้าฯ นี้มันไม่พ้นกับหากินทางของแข็งๆ นี้มันจึงรวย หลังจากที่ดาวน์รถยนต์ออกมาแล้วก็หันมาค้าเศษเหล็ก, ยางรถยนต์เก่า อีกตามเคย

มาในระยะหลัง ชีวิตเริ่มดีขึ้นชักจะลืมไปว่าเมื่อก่อนเราเป็นอย่างไรมา มาในระยะนี้ เริ่มดื่มเหล้า เที่ยวผู้หญิง การพนัน พูดกันง่ายๆ ว่า ในระยะนั้นเรื่องบุญไม่ต้องพูดถึงกัน ข้าฯ ไม่สน เข้าวัดคิดไปก็เข้าไปอย่างนั้นแหละ คิดว่าสนุก คิดไปในครั้งชีวิตที่กำลังตกอับ ว่าเราจน บุญก็ช่วยเหลืออะไรเราไม่ได้ ในครั้งหนึ่ง เพื่อนชวนร่วมไปทอดผ้าป่ากับเพื่อนที่วัด

เช้าเราก็ไปกับเขามิหนำซ้ำซื้อเหล้าเข้ามากินในวัดเสียอีก ต่อมาก็มามีแฟนใหม่เข้าอีกหนึ่งคน เพื่อประชดที่ญาติของแฟนเก่าดูถูก มาในคราวนี้แหละที่ข้าฯ มาพบกับแสงสว่างในด้านของการทำบุญ รู้จักคำว่าธรรมะ โดยที่ภรรยาของข้าฯ คนนี้เป็นคนที่ชอบทำบุญ ประกอบกับญาติของภรรยาคนนี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ ตามที่ข้าฯ เองได้ทราบจากการเล่าขานกันต่อๆ มาว่า

หลวงพ่อองค์นี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน ข้าฯ เองขอกราบประทานอภัยมา ณ ที่นี้ที่ใช้คำพูดว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งในตอนนั้นข้าฯ เองรู้จักท่านในนามนี้ ซึ่งเป็นที่เลื่องลือกล่าวขานว่าหลวงพ่อมีคาถา มหาลาภ ถ้าใครปฏิบัติมาโดยตลอด คำว่าผิดหวังจะไม่เกิดต่อผู้ยึดถือเป็นอันขาด และในขณะนั้น ข้าฯ เองมานึกดูแล้วว่า อันข้าฯ เองก็มีมือ มีเท้าเหมือนเขาทุกๆ คนทั่วไป แล้วเราไม่สบาย ไม่รวย เหมือนๆ คนทั่วไป

เมื่อมานึกขึ้นเช่นนี้ ก็ขอติดตามแฟนและญาติไปกราบหลวงพ่อที่ ซอยสายลม ในตอนนั้น ข้าฯ จำได้ว่าราวปี พ.ศ.๒๕๒๘ เห็นจะได้ ได้ทำบุญถวายสังฆทานตามที่แฟนและญาติได้แนะนำ หลังจากนั้นกลับมาก็เอาเทปธรรมะ หนังสือ ของหลวงพ่อมาอ่านบ้าง แต่แล้วความเลวของข้าฯ มันก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด หลังจากทำบุญมา ตกเย็นก็มานั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนอีกเช่นเคย จิตใจมันยังคิดว่าการที่เรามากราบไหว้หลวงพ่อในครั้งนั้นแล้ว หลวงพ่อเองจะช่วยอะไรเราได้

พี่ น้องทั้งหลายครับ ใครเลวอย่างที่ข้าฯ เล่ามาให้ฟังบ้างหรือเปล่า เท่าที่ได้รับฟังจากการที่ฟังหลวงพ่อเทศน์สอน แล้วเก็บมาคิดว่าความเชื่อเกิดขึ้นเพียง ๕๐% เท่านั้นเอง ใจมันมุ่งแต่อยากจะรวยลูกเดียวแต่บุญไม่ค่อยอยากจะทำ ในบางครั้งอยากจะรวยก็มาคิดเอาว่าลองเอาหนังสือของหลวงพ่อเปิดท่องคาถา พุทธะมะอะอุ (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า) ตามที่หลวงพ่อสอนให้ท่องวันละ ๓ จบบ้าง ๙ จบบ้าง แล้วแต่จะมีเวลา

ในขณะนั้นชีวิตเริ่มทรุดต่ำลงอีก ครอบครัวต้องทะเลาะกันมาโดยตลอด ต่อมาย้ายมาอยู่ที่หนองแขม ผิดศีลข้อกาเม และสุราไม่เคยขาด ชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้นต้องมาติดคุกติดตะรางอีก การค้าที่มีอยู่เริ่มขาดทุน พอประสบปัญหาแบบนี้ก็หวนมานึกถึงหลวงพ่ออีก ต้องการที่จะให้หลวงพ่อมาช่วย โดยเริ่มขอบารมีหลวงพ่อ ขอให้ข้าฯ ยึดถือศีล ๕ ที่ข้าฯ เองตั้งใจมาแล้วแต่ครั้งที่แฟนและญาติของแฟนพามากราบหลวงพ่อในตอนนั้น

โดยมาในระยะนั้น เริ่มนำเทปของหลวงพ่อมาเปิด อ่านหนังสือ ยึดถือตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อ แต่ก็ยังไม่เป็นที่จริงจังเท่าที่ควร ใจมันก็ยังคิดแต่ อยากจะรวยอยู่ดีแหละ มาในระยะหลัง เริ่มปฏิบัติตามที่เขาแนะนำให้ฟังบ้าง ได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อที่ซอยสายลมบ้าง ในระยะหลังเริ่มมากราบหลวงพ่อ ขอพรจากหลวงพ่อมากขึ้น บ่อยครั้งได้ร่วมทำบุญถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ในทุกครั้งที่ข้าฯ ได้ถวายสังฆทาน ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ ทุกๆ ครั้งข้าฯ จะลืมเสียไม่ได้

ที่จะขอพรจากหลวงพ่อให้ข้าฯ ได้ร่ำรวย พบแต่ความสำเร็จสิ่งอันพึงปรารถนา ในระยะนั้นข้าฯ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาได้สักประมาณ ๘ เดือนเห็นจะได้ ก็สังเกตถึงการค้าขายของข้าฯ ที่กำลังทำอยู่รู้สึกว่าดีขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาก็ได้ขยับขยายมาเช่าตึกแถว ๑ คูหา แถวๆ ถนนราชวิถี – นครชัยศรี ที่อยู่ปัจจุบันนี้เปิดกิจการยางรถยนต์และล้อแม็กรถยนต์

พี่ น้องและลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่เคารพทุกๆ คน ข้าฯ จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่ข้าฯ เองได้ประสบผลสำเร็จ กับการที่ข้าฯ ได้ปฏิบัติยึดถือคำสั่งสอนของหลวงพ่อมาตลอด และบารมีและความเมตตาที่หลวงพ่อได้เมตตาแก่ข้าฯ มา ซึ่งข้าฯ พึ่งมาได้รับความสว่างจากคำสั่งสอนของหลวงพ่อ หลังจากที่ข้าฯ มาเช่าตึกแถว เพื่อเปิดกิจการค้าขายดังที่กล่าวมาแล้วในตอนเริ่มต้น เรื่องทุนรอนก็ยังน้อยอยู่ แต่ไม่เคยลืมเลยเรื่องคำสั่งสอนของหลวงพ่อ ข้าฯ ลืมบอกไปว่ามาเริ่มค้าขายในตอนนั้น

ราวปี พ.ศ.๒๕๓๒ เห็นจะได้ รวมเวลาแล้วก็ประมาณ ๑๓ – ๑๔ เดือนที่ผ่านมา ข้าฯ ได้สังเกตการค้าขายของข้าฯ เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ มา ต้องการอะไรเป็นต้องได้ไปเสียหมดเกือบทุกอย่าง ซึ่งในตอนนั้น ทุนในการค้าขายของข้าฯ เองยังไม่มากพอ ก็ต้องดิ้นรนขอกู้เงินจากธนาคารมาเพื่อลงทุน แต่การกู้เงินนั้น ถ้าเราไม่มีอะไรเป็นเครื่องค้ำประกันเขา เขาก็ไม่ให้เราเป็นแน่ หวนกลับมานึกถึงหลวงพ่ออีกแล้ว ผิดกับเมื่อก่อน

ถ้าเป็นแบบนี้ต้องดื่มเหล้าก่อนละ ก็ขอบารมีหลวงพ่อ ขอให้ธนาคารให้ข้าฯ กู้เงินมาเพื่อลงทุน ก็ทำเรื่องเสนอกู้ไป พอธนาคารเขาขอตรวจสอบหลักทรัพย์ เราเองก็พูดไปตามที่เรามีอยู่ ใจก็ขอบารมีหลวงพ่อไป เป็นอันว่าธนาคารตอบตกลงให้กู้เงิน ต่อมาก็มาดำเนินการตามที่กู้เงินมาแล้ว หลังจากนั้นมาก็ค้าขายของข้าฯ ตามที่มีอยู่ สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้คือ ก่อนที่จะทำการเปิดร้านค้าขายของแต่ละวัน ข้าฯ เองต้องจุดธูปวันละ ๑๙ ดอก

เอาขันมาทำน้ำมนต์ขอพร ขอบารมีหลวงพ่อให้ข้าฯ ได้ค้าขายกำรดีๆ แล้วพรมไปทั่วร้านก่อนเปิด พอเปิดร้านแล้วต้องทำบุญใส่บาตรก่อน ถ้ามีโอกาสก็ปล่อยปลา ปล่อยนกแล้วแต่โอกาสจะมี ปล่อยเต่า ปล่อยตะพาบ ปล่อยสัตว์ใหญ่ และปล่อยวัว ครั้ง ๑ ตัว ถึง ๓ ตัว ปล่อยปลาครั้งละ ๑๐๐ ตัว ถึง ๒๐๐๐ ตัว ทำอย่างนี้ประจำ โดยอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเป็นประจำ

ข้าฯ ลืมบอกไปว่าตึกที่ข้าฯ เช่าอยู่นั้น ห้องหนึ่งข้าฯ จัดเป็นห้องพระโดยเฉพาะ มีแต่รูปหล่อของหลวงพ่อปาน และหลวงพ่อเท่านั้น ในทุกๆ คืน ต้องปฏิบัติกรรมฐานตามที่หลวงพ่อได้สอนมา โดยมีภรรยาของข้าฯ คนนี้เป็นผู้แนะนำ การค้าของข้าฯ เริ่มเจริญขึ้น หวนมานึกถึงแม่ที่เคยให้พร และแนะนำให้ข้าฯ ค้าขาย ในตอนนี้ก็สมใจของข้าฯ แล้ว และหลังจากเพียงชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ตึกที่ข้าฯ เช่าเขาอยู่ก็ขอซื้อเขา

โดยที่เจ้าของเขาเสนอขายให้ในราคา ๗ ล้าน ๕ แสนบาท แต่ระยะนั้น ข้าฯ เองมีเงินประมาณ ๕ ล้านกว่าบาทเท่านั้นเอง มานึกดูว่าตึกหลังนี้ทำให้ข้าฯ ทำการค้าได้เจริญและลืมตาอ้าปากได้ ถ้าไม่ซื้อเดี๋ยวคนอื่นเขาก็มาซื้อเสีย เราก็จะไม่ได้ ใจอยากจะได้ แต่เงินมีไม่พอ หวนกลับมาพึ่งหลวงพ่ออีกแล้ว ในวันที่ข้าฯ จะไปทำการตกลงกับเขา ได้ตั้งใจว่าจะขอลดหย่อนเขาเหลือสัก ๕ ล้าน แต่พี่ น้องครับ เงินตั้ง ๒ ล้าน ๕ แสน จะมีใครที่ไหนเขาลดให้มากถึงขนาดนั้น

ก่อนที่ข้าฯ จะเดินทางไปตกลงเรื่องตึกที่ข้าฯ เช่าอยู่นั้น ลืมเสียไม่ได้คือต้องจุดธูป ๑๙ ดอก ขอพรบารมีขอให้เจ้าของตึกขายให้ข้าฯ ในราคา ๕ ล้าน เป็นอันว่าในตอนนั้น การตกลงราคาเจ้าของก็เต็มใจขายตามที่ข้าฯ เสนอให้ ๕ ล้านบาท พี่ น้องครับ มันอะไรจะขนาดนั้น พร บารมีของหลวงพ่อนี้ เปี่ยมล้นไปด้วยความสำเร็จเสียทุกอย่าง

มีเรื่องที่เกิดขึ้นโดยปาฏิหาริย์อีกเรื่องคือ ในครั้งหนึ่งไฟเกิดไหม้ห้องเก็บยางของข้าฯ ลูกน้องของของข้าฯ อยู่ในอาการตกใจ รวมไปถึงภรรยาและลูกๆ ของข้าฯ ด้วย ไฟเริ่มจะก่อตัวแรงขึ้นเรื่อย พวกลูกน้องก็นำน้ำบ้างอะไรบ้างตามที่หาได้เพราะความตกใจ ส่วนข้าฯ ก็มานึกขึ้นได้ ก็ยกมือขึ้นขอบารมีหลวงพ่อ วิ่งขึ้นไปห้องพระพร้อมจุดธูปบอกหลวงพ่อปาน หลวงพ่อ ขอบารมีช่วยให้ไฟที่ไหม้ห้องเก็บยางดับ

หลังจากขอบารมีหลวงพ่อแล้ว ข้าฯ ก็หยิบเอาขันที่ข้าฯ ทำน้ำมนต์ทุกๆ วันนั้น มาพรมไปที่ไฟที่กำลังลุกอยู่ พี่ น้องครับ ลองนึกว่ายางถูกไฟไหม้ ดับง่ายๆ เสียเมื่อไหร่เล่า หลังจากที่ข้าฯ เอาน้ำมนต์พรมไปแล้วไม่อยากเล่าให้ฟังเลยครับ ราวกับหลวงพ่อมาช่วยจริงๆ ไฟได้ดับราวปาฏิหาริย์จริงๆ นี่ข้าฯ เองก็คิดอีกประการหนึ่ง ที่นึกถึงความดีผลบุญที่เราเคยได้สะสมไว้เมื่อชาติก่อนก็ว่าได้ และเป็นที่บารมีของหลวงพ่อได้ช่วยเมตตาให้ลูกได้พ้นจากความหายนะ

ตั้งแต่นั้นมา ข้าฯ ได้ลด เลิกหมดทุกอย่างสิ่งที่ไม่ดีไม่ถูกต้องที่ผิดต่อศีลธรรมหรือผิดจากคำสั่งสอนของหลวงพ่อที่เคยสั่งสอนลูกศิษย์ทุกๆ คน รวมมาจนถึงข้าฯ ทำให้ข้าฯ เองได้มีฐานะแปรเปลี่ยนชีวิตของข้าฯ จากเงินแค่ ๔๐๐ – ๖๐๐ บาท จนกระทั่งทุกวันนี้ข้าฯ มีพร้อมไปหมดเสียทุกอย่างรวมไปถึงทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งมีทรัพย์สินหลายสิบล้านบาท และที่ข้าฯ เองไม่เคยลืมเลือนจนตราบเท่าชีวิตของข้าฯ เองจะสูญสิ้นไปจากโลกนี้ ทุกลมหายใจเข้าออกของข้าฯ นึกถึงแต่คำสั่งสอนของหลวงพ่อ

ปฏิบัติตามคำสั่งสอนมาตลอด สะสมแต่ทำบุญ นึกถึงความตายทุกๆ ๒๔ ชั่วโมงไม่เคยประมาทในชีวิตนี้ คิดเอาชีวิตของข้าฯ นี้เป็นตัวอย่างว่าเพียงชั่วระยะเวลาปีเศษ บารมีของหลวงพ่อแปรเปลี่ยนชีวิตของข้าฯ จากดำมาเป็นขาวได้ ขอฝากข้อคิดจากข้าฯ นายบัญชาฯ เจ้าของและผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด “แบค์กลการ” ในฐานะที่ข้าฯ เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่ออีกผู้หนึ่งมาเล่าให้พี่ น้องลูกศิษย์ของหลวงพ่อฟังว่า

“ทุกๆ คนที่ยึดถือหรือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของหลวงพ่อแล้ว คำว่าจนหรือผิดหวังเป็นไม่มีเกิดขึ้นเป็นอันขาด” ข้าฯ ขอยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าฯ ได้นำมาลงใน หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มที่ ๒ นี้ เป็นเรื่องที่เกิดมาจากเหตุการณ์ในชีวิตของข้าฯ และครอบครัว ทุกอย่างเป็นความจริง ขอยืนยัน

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/9/12 at 14:41 [ QUOTE ]


74

คณะศิษย์หลวงพ่อคล้าย


ประเสริฐ เหลืองโพยมนิมิต


บันทึกความจำอันหนึ่งที่จะไม่มีวันลืมเลือนไปจากใจของข้าพเจ้า ข้าฯ ตื่นเต้นและอิ่มในผลบุญกุศลที่ได้ร่วมกันกระทำ คณะของข้าฯ จะทำบุญที่ใดก็ตามจะใช้ชื่อว่า คณะศิษย์หลวงพ่อคล้าย แห่งจังหวัดสุพรรณบุรี นำโดย นายประเสริฐ นางวรรณเพ็ญ เหลือโพยมนิมิต (ข้าฯ และภรรยา) และนายสนั่น – นางพูลศรี จันทวงษ์ และญาติๆ ของข้าฯ อีก ๕ – ๖ คน เริ่มแรกจากการเลี้ยงอาหารพระหมดทั้งวัด

ที่จิตตะภาวันวิทยาลัย ทุกเดือนเริ่มตั้งแต่วันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๕ ถึง ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ (หมายเหตุ ๒๐ เม.ย. ถึง ๒๐ พ.ย. เลี้ยงทุกเดือน) แต่ภายหลังที่หลวงพ่อคล้าย ท่านมาเข้าฝันให้พวกข้าฯ นำอาหารมาเลี้ยงพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อท่านให้พวกข้าฯ เว้นเลี้ยงพระที่จิตตะภาวันวิทยาลัยเป็น ๔ เดือนต่อ ๑ ครั้ง จนกระทั่งทุกวันนี้ จากการที่หลวงพ่อคล้ายท่านมาเข้าฝัน ให้คณะศิษย์ท่านมาเลี้ยงพระทำบุญทุกๆ เดือนที่วัดท่าซุง

เป็นประจำไม่เคยได้ขาดเลย บางครั้งพวกข้าฯ ติดธุรกิจก็จะมาปลายเดือน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะประมาณวันที่ ๑๔ หรือ ๑๕ ของทุกเดือน คณะของศิษย์หลวงพ่อคล้าย บางครั้งไปทำบุญเลี้ยงพระที่ใดๆ ก็ตาม จะเป็นการฝันว่าหลวงพ่อคล้ายท่านบอกให้ไปทำบุญที่โน้นบ้าง ที่นี่บ้าง และบอกชื่อวัดและหลวงพ่อให้ด้วย ตอนแรกๆ พวกข้าฯ ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง จึงต้องไปพิสูจน์กัน พิสูจน์อย่างไรนั้น ข้าฯ จะเล่าให้ฟัง

มันเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก ท่านให้มาทำบุญกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุง พวกคณะของข้าฯ ไม่เคยมากันเลยและไม่เคยได้รู้จักกับหลวงพ่อเลย มาข้ามเรือที่มโนรมย์ จ.ชัยนาท ได้ตระเตรียมอาหารมาจากทางบ้าน ตอนหลังแม่ครัวทางวัดท่าซุง โดยการนำคณะแม่ครัวของคุณพี่ละเมียด เห็นความยุ่งยากที่จะต้องนำเตาและอาหารไปจากบ้าน (สุพรรณบุรี) เป็นการลำบาก คุณพี่ละเมียดจึงรับอาสาทำอาหารให้คณะศิษย์หลวงพ่อคล้ายทุกๆ เดือน

ตั้งแต่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๘ จนกระทั่งทุกวันนี้ พวกข้าฯ ขออนุโมทนาในผลบุญนี้ด้วย และจะจดจำชื่อคุณพี่ละเมียดตลอดไป หันกลับมาเข้าเรื่องดีกว่า พวกข้าฯ รอพบหลวงพ่อที่รับแขก แต่ก่อนหลวงพ่อจะลงรับแขกที่เก่า คือฝั่งตรงข้ามกับหอฉัน (คนละฟากถนน) ไม่ใช่ที่รับแขกทุกวันนี้ พบกับหลวงพ่อพระเดชพระคุณท่านรู้แล้วว่า จะมีคณะของพวกข้าฯ ไป คุยกับหลวงพ่อนานพอสมควรจึงรู้ว่า หลวงพ่อคล้ายท่านมาบอกกับหลวงพ่อว่า วันนี้จะมีลูกๆ หลานๆ มาเลี้ยงภัตตาหารเพล

เรื่องนี้แปลกแต่จริง พวกคณะศิษย์หลวงพ่อเชื่อทุกตัวคนและมีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกข้าฯ มาเลี้ยงพระวันนั้นตรงกับวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๓๒ พอพบกับหลวงพ่อท่านก็เรียกชื่อข้าฯ นี่คุณประเสริฐ เมื่อเช้ามืดหลวงพ่อคล้ายท่านมาบอกคาถา หลวงพ่อ (พระราชพรหมยาน) ถามว่า คุณประเสริฐอนุญาตให้บอกในที่นี้หรือเปล่า ตอนนั้นแขกหลวงพ่อมากันมากพอประมาณ ข้าฯ จึงได้บอกหลวงพ่อไปว่าอนุญาต ดีเสียอีกจะได้เอาคาถานี้ไปใช้กันทุกคน

หลวงพ่อท่านจึงพูดว่า คาถานี้ใช้แล้วจะชนะศัตรู คาถาว่า คะสะชะนะ (๔ คำ) หลวงพ่อท่านเลยเติมให้อีกว่า สัมปะติจฉามิ ให้ท่องติดต่อกันไปเลย และยังมีอีกหลายเรื่องหลายประการที่ยังไม่ได้เขียนเล่ามา ณ ที่นี้ ข้าฯ เกรงว่าจะรบกวนหน้ากระดาษมากไป จึงขอจบแต่เพียงเท่านี้ และต้องกราบขออภัยกับหลวงพ่อที่เรียกท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หวังในความกรุณาท่านคงให้อภัยด้วย

ll กลับสู่สารบัญ


75

ทันเวลาพอดี


มาลา คำปาน


บุญที่ลูกได้มากราบหลวงพ่อทันเวลาพอดี ขอกราบแทบเท้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วยความรักเคารพยิ่งชีวิต ลูกได้มีโอกาสมากราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ซึ่งตั้งใจใฝ่ฝันร่ำร้องอยากมาหามากราบหลวงพ่อ อยากมาฝึกมโนมยิทธิตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสก่อนที่จะมาวัด ได้ให้เด็กใกล้บ้านไปกราบหลวงพ่อที่บ้านสายลม

ครั้งหนึ่งเมื่อไปแล้วได้ซื้อหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาเล่ม ๑ – ๒ – ๓ และวิธีทำสมาธิแบบง่ายๆ หรือรัชนีท่องสวรรค์ อีกเล่มหนึ่งก็จำไม่ได้แน่ และณุได้ให้ยืมธัมมวิโมกข์มาอ่านอีกหลายเล่ม (ณุคือผู้พระคุณมากที่พามากราบหลวงพ่อครั้งแรก ขอขอบคุณไว้ในที่นี้ด้วยอย่างมาก) ซึ่งกว่าจะได้ไปกราบหลวงพ่อก็สั่งณุสั่งแล้วสั่งอีกว่าอย่าลืมพาน้าไปด้วยนะ เจอหน้าเมื่อไรเป็นสั่งจนกลัวณุจะรำคาญ

แต่ความที่อยากไปกราบหลวงพ่อมากเพราะกลัวณุจะลืมพาไป ก็เลยจำเป็นต้องสั่งทุกครั้งที่เจอหน้าณุ แค่นั้นยังไม่พอยังไปสั่งแม่กับพี่ๆ น้องๆ ของณุอีกต่างหากอีกหลายครั้ง..เฮ้อ..อ่านหนังสือแล้วซาบซึ้งมาก บางครั้งก็ร้องไห้บางครั้งก็หัวเราะเหมือนร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย ยิ่งอยากไปวัดไปกราบหลวงพ่อหลวงปู่ปานมาก อยากไปฝึกมโนมยิทธิให้เห็นนรก สวรรค์ ให้มีฤทธิ์มีเดชบ้าง โน่นไปใหญ่เลย

คิดไปเรื่อยอยากไปมากจนร้องไห้ก็เคยหลายครั้งแต่จนใจเพราะติดธุระ เมื่อเสร็จธุระตอนห้าทุ่มของวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ กลับมาบ้านนอนไม่หลับเพราะตอนเช้าจะได้ไปวัด กลัวตื่นไม่ทัน ผลสุดท้ายเลยแทบจะไม่ได้หลับก็ว่าได้ ตีสามรีบลุกขึ้นเตรียมตัวไปขึ้นรถ ไปถึงวัดด้วยความตื่นเต้นดีใจมาก แต่กว่าจะฝึกมโนมยิทธิได้ใช้เวลาหลายวัน เพราะติดโง่ คือสงสัยเห็นคนอื่นเขาตอบครู ก็ไม่ตอบครู

กลับนึกในใจว่าจำคนอื่นมาตอบทั้งๆ ที่รู้สึกรู้อย่างเขาแต่ไม่เห็นชัดเลยไม่กล้าตอบกลัวมุสา ฝึกมา ๑๒ วันถึงจะมาได้ โง่ขนาดไหนคิดดูแล้วกัน พอฝึกได้ก็คิดว่าบ้าว่าเพี้ยนไปแล้วอีก เพราะคุยกับรูปปั้นหลวงปู่ปานได้ถามอะไรท่านก็ตอบ ขอพรท่านก็ให้ทุกองค์ ซึ่งท่านเป็นพระพุทธรูปเป็นรูปปั้นทุกองค์ ถามหลวงปู่ปานว่าลูกเป็นบ้าไปแล้วยัง ท่านก็บอกว่าให้หยิกขาดูซิว่าเจ็บไหม มือหนึ่งกวาดศาลาท่านมือหนึ่งก็หยิกหมับขาตัวเอง..โอ๊ยเจ็บ...หลวงปู่ปานท่านว่า เออ..ไม่บ้าหรอกปู่คุยกับเอ็งจริงๆ

บ้าก็บ้ามีฤทธิ์เหมือนพ่อเอ็งไง บางทีก็ร้องเพลงให้ท่านฟัง (มันครึ้มใจน่ะ มีความสุขมาก) ถามท่านว่าหนูร้องเพลงให้ฟังเพราะไหม ท่านบอกว่า เออ..ดีกว่าหมามันหอนหน่อย คุยล้อเล่นล้อหัวอยู่ในใจกับท่านมากมายหลายอย่างเหมือนเด็กที่ติดปู่ รักปู่มากๆ นอนตักบ้างกอดคอขี่หลังบ้าง นึกขึ้นได้กลัวบาปก็กราบขอขมาท่าน ท่านบอกไม่เป็นไรไม่มีใครมาคุยแบบนี้กับปู่นานแล้วสนุกดี

บางครั้งคุยๆ กันแล้ว ขัดคอโต้แย้งกันว่าใครถูกก็ถามหลวงปู่ใหญ่ศาลาตรงข้างๆ กันท่านตอบว่า ไม่รู้โว้ยเวลาคุยกันไม่ชวนเวลาเถียงกันจะให้ตัดสินไม่รู้ด้วยหรอก ขอยุติเรื่องนี้ไว้ก่อนมาเข้าเรื่อง ทันเวลาพอดี กันก่อนจะดีกว่า กลับมาบ้านแล้วก็มาบอกให้เตี่ยให้แม่ทำสมาธิท่องพุทโธ เวลาทำบุญก็ให้อธิษฐานไปนิพพานชาตินี้ เตี่ยไม่สบายนอนโรงพยาบาลก็บอกให้ท่องพุทโธไว้จะได้หายเร็วๆ ไม่เจ็บไม่ปวดซึ่งท่านก็รับปาก

ต่อมาหมอให้กลับบ้านเพราะรักษาไปก็เท่านั้น ก็เลยหาวิธีที่ให้จิตท่านเกาะนิพพานก็คุยกับแม่ว่าหลวงพ่อฤาษี ท่านสอนว่าคนเราน่ะให้นึกถึงพระนิพพานไว้เป็นอารมณ์ จะอยู่ก็สบายจะตายก็เป็นสุข ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าท่านรับรู้รับฟังหรือเปล่า เพราะท่านป่วยมากพูดไม่ได้ไม่หือไม่อือ ต่อมาท่านก็ตายเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ ซึ่งเป็นวันพระพอดีระหว่างที่รอรดน้ำอยู่ที่วัดบางขวาง นนทบุรี เวลาบ่ายก็มีเทศน์ก็เลยไปฟังเทศน์โดยทำสมาธิฟังแล้วก็เชิญเตี่ยไปฟังด้วยใช้มโนมยิทธิเรียกเตี่ย

ก็เห็นเตี่ยลุกจากที่ขึ้นบันไดมาช้าๆ ทีละขั้นๆ แล้วอ้อมมานั่งขวามือพนมมือฟังเทศน์ ฟังไปพอใกล้จะจบก็คิดขึ้นว่ากลัวเตี่ยจะไปนิพพานไม่ถูกก็ขอกราบอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า ได้โปรดเมตตามารับเตี่ยของลูกไปพระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า ก็เห็นพุทธองค์เสด็จมาจูงมือขวาของเตี่ยด้วยพระหัตถ์เบื้องซ้ายลอยลิ่วเรื่อยๆ ไปทางตะวันออกจนสุดสายตา ก็พอดีพระท่านเทศน์จบก็อุทิศกุศลให้เตี่ย แล้วถอนสมาธิมาคอยแขกรดน้ำศพ

พอตอนกลางคืน พระสวดก็ทำสมาธิฟังและเรียกเตี่ยมาฟังว่านี่เป็นพระอภิธรรมชั้นยอดนะฟังแล้วได้บุญมากเตี่ยฟังนะ ก็เห็นเตี่ยมาฟังในชุดพระนิพพานสวยงามมากนั่งบนตั่งแก้วพอดีตัว ใสสวยระยิบระยับมงกุฎแหลมสูงเห็นชัดแม้ลายผ้านุ่งเป็นดอกสี่เหลี่ยมเล็กๆ เห็นแล้วน้ำตาไหลขนลุกซู่ซ่าตลอดเวลาคืนแรกผ่านไป แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าที่เห็นน่ะจริงหรือเปล่าหรือเรานึกเอาเองเพราะอยากให้เตี่ยไปนิพพานมาก พอคืนที่สองก็ทำแบบเดิมอีกทำสมาธิฟังสวดแล้วเรียกเตี่ยอีก

ทีนี้เตี่ยมานั่งบนตั่งตรงหน้าเลยแล้วมีสองร่าง ร่างหนึ่งเป็นชุดนิพพาน อีกร่างเป็นชุดกางเกงเสื้อธรรมดาที่เตี่ยเคยใส่แล้วสลับสับเปลี่ยนเข้าร่างกัน แว้บไปแว้บมาหลายทีแล้วบอกว่า นี่เตี่ยเองลูกอย่าสงสัยเดี๋ยวจะเป็นบาปโดยไม่จำเป็น เตี่ยเองลูกอย่าสงสัยเลย ขอบใจนะลูกที่สอนเตี่ย ถามว่าแล้วเตี่ยไปได้ไง เตี่ยบอกว่าที่เอ็งบอกแม่ให้เอาในใจนึกถึงนิพพานน่ะเตี่ยได้ยินตลอด

ที่เอ็งสอนอะไรน่ะเตี่ยจำได้ทุกอย่างแล้วก็ทำตามขอบใจนะลูก ก็ดีใจมากที่เตี่ยไปได้ แต่ยังอดเลวไม่ได้คือ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เชื่ออีก ๑ เปอร์เซ็นต์ ยังสงสัยในใจตลอดเวลาเพราะไม่มีท่านหูดีตาดีช่วยยืนยัน จนเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๓ นั่งสมาธิอยู่ที่หน้าหลวงปู่ปานนั่งแป๊บเดียวก็รู้สึกสบายและตัวสูงใหญ่กว่าปกติ มือก็หายๆ ไปก็เห็นองค์สมเด็จในตอนที่ทรงโปรดพุทธเมตตาให้พระมหากัสสปขอขมาที่ยื่นพระบาทออกมาจากโลงทอง

ก็เลยขอขมาด้วยทั้งสัพพังทั้งคำไทยๆ แล้วทูลถามท่านว่าทรงโปรดเมตตาให้ลูกเห็นภาพนี้ ลูกมีความผิดใดพระพุทธเจ้าข้าเพราะปกติลูกขอขมาอยู่ทุกวันอยู่แล้วจนตัวหนังสือสัพพังสีน้ำเงินที่หน้าพระพุทธเจ้าในวิหาร ๑๐๐ เมตร ลูกเห็นเป็นแก้วหมดแล้ว ท่านตรัสว่าก็จิตเจ้าคิดสงสัยอยู่ตลอดมาใช่ไหมว่าเตี่ยเจ้าไปนิพพานได้จริงหรือเปล่า วิมานเตี่ยเจ้าอยู่ทางขวามือห่างจากวิมานเราไปหนึ่งโยชน์

ที่นี้ถ้าสงสัยอีกอยากถามใครก็ถาม ไม่สงสัยแล้วพระพุทธเจ้าข้าแต่เล่าให้คนอื่นฟังได้ไหม ท่านก็ตรัสอนุญาตให้เล่าเขาจะได้โมทนากัน นับว่าเป็นบุญอย่างใหญ่หลวงที่ลูกได้มากราบหลวงพ่อได้มาฝึกมโนมยิทธิได้บอกทางให้เตี่ยได้ทันเวลาพอดี เพราะลูกมากราบหลวงพ่อได้สองเดือนกว่าเองเตี่ยลูกก็ตาย ลูกขอกราบขอบคุณแทบพระบาท อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์

พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี พรหม เทวดาทั้งหมด ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ และผู้มีพระคุณทั้งหมดทุกพระองค์ทุกชั้นทุกท่านทุกสถานที่ทุกชาติจนถึงชาติปัจจุบัน ด้วยกายทิพย์ด้วยจิตทิพย์ที่สะอาดผ่องใสและขอถวายดอกไม้ ธูปเทียนทิพย์และกุศลผลบุญกรรมดีทั้งหมด ที่ลูกได้บำเพ็ญเพียรมาแล้วทุกชาติตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน

เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่ทุกท่านทุกพระองค์ด้วยความเคารพนอบน้อมทั้งกาย วาจา ใจ ขอทุกท่านทุกพระองค์ทรงโปรดเมตตารับและอนุโมทนาบุญของลูกด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า ลูกขอถวายกุศลผลบุญทั้งหมดเพื่อบูชาพระคุณ ขอเพิ่มเติมอีกนิดคือ พอขอขมาเสร็จแล้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงโปรดพระเมตตาเปลี่ยนพระรูปพระโฉม ให้เห็นเป็นตอนที่พระองค์ทรงตรัสรู้ประทับนั่งอยู่ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์

สมเด็จพระจอมไตรท่านทรงพระเมตตาแก่ลูกอย่างใหญ่หลวงหาที่เปรียบมิได้ ที่ทรงได้โปรดให้ลูกเห็นภาพเองโดยที่มิได้ขอเห็น เพราะก่อนนั่งก็อธิษฐานจิตว่าขอปฏิบัติเป็นพุทธบูชากับทุกพระองค์ ถ้าลูกย่อหย่อนข้อใดขอได้โปรดเมตตาสอนลูกด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า แล้วภาพเหตุการณ์ที่เล่ามาแล้วนี้ก็เกิดขึ้น นับว่าเป็นมหาอุดมมงคลกับลูกอย่างยิ่งใหญ่ไพศาล ลูกกราบแทบพระบาทสำนึกในพระคุณเหนือเกล้าเหนือกระหม่อมอย่างที่สุดพระพุทธเจ้าข้า

รวมทั้งหลวงพ่อด้วยเจ้าค่ะ ถ้าลูกไม่มีหลวงพ่อลูกก็คงไม่มีวันที่จะได้พบกับเหตุการณ์อย่างนี้และอีกหลายๆ อย่างที่ได้ประสบมาแล้ว ขอกราบเท้าขอบคุณพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างสูงสุด และในโอกาสนี้ขอส่ง ส.ค.ส.๒๕๓๔ ให้กับทุกท่านในฐานะที่มีพ่อองค์เดียวกัน ในวาระโอกาสนี้ขออาราธนาบารมีพระคุณศรีรัตนตรัย ทรงโปรดเมตตาประทานพรให้พี่น้องชาวไทยเป็นสุขศรี

ปรารถนาสิ่งดีใดจงได้ในทันที หมดหนี้หมดทุกข์ หมดโศกหมกโรคหมดภัย พรใดที่หลวงพ่อให้สุดแสนดี ขอให้ท่านได้รับโดยฉับพลัน แม้ปรารถนาพระนิพพานขอให้ได้ไปกันทุกท่านเทอญ

ll กลับสู่สารบัญ


76

ถ้าไม่ได้พบหลวงพ่อฤาษี ชาตินี้ไร้ค่า


สมพงษ์ – พิสมัย หลุนประยูร


เมื่อ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ เวลา ๑๙.๐๐ – ๒๑.๐๐ น. เพราะบารมีขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีแห่งวัดท่าซุง อุทัยธานี ทำให้ข้าพเจ้า ได้รับเชิญไปสนทนาธรรมท่ามกลางพระภิกษุสามเณรอุบาสกอุบาสิกา ที่มาร่วมกันบำเพ็ญภาวนาบวชศีล ๘ ณ วัดต้นสน (มงคลโสภิต) อ.บ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา

ก่อนสนทนาธรรมได้อาราธนาบารมี องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษีแห่งวัดท่าซุง มาช่วยประสิทธิประสาทให้เกิดความรู้ความสามารถเพื่อสงเคราะห์พุทธบริษัทให้ดีที่สุด ในหัวเรื่องที่ตั้งไว้ว่า “ตายแล้วไปไหน?” หลังจากการบรรยายแล้ว หัวหน้าผู้ปฏิบัติชื่อ คุณลุงจำเลย ได้เป็นผู้รวบรวมคำถามมาถามหลายข้อประการ

มีคำถามหนึ่งที่จำได้แม่นยำ ทำให้ผลของการตอบสร้างเกียรติคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษี ได้ขจรขจายไปในหมู่นักปฏิบัติและหันเข้ามาเป็นศิษย์ของวัดท่าซุง อุทัยธานี จนกระทั่งทุกวันนี้เป็นจำนวนมาก คุณลุงจำเลยได้ถามว่า “การอุทิศส่วนกุศลนั้น ผู้ล่วงลับไปแล้วจะได้รับหรือไม่ มีอะไรเป็นเครื่องยืนยัน ช่วยตอบให้หายข้องใจด้วย”

ได้ฟังคำถามข้อนี้แล้วรู้สึกพอใจ เพราะจะได้พิสูจน์ให้พุทธบริษัทในคืนนั้น ได้รู้จักกับคำว่า “มโนมยิทธิ” ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อของรา นำมาพร่ำสอนให้แก่ลูกหลายเพื่อพระนิพพานได้ดียิ่งขึ้น จึงได้ตอบคำถามของคุณลุงผู้นั้นว่า การอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วย่อมมีผลได้รับแน่นอน ขอยืนยันด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง ซึ่งจะขอเล่าให้ฟังต่อหน้าพุทธบริษัทหลายท่านที่เข้ามาบวชศีล ๘ คืนนี้และก็เป็นผู้ร่วมกันช่วยเหลือในเหตุการณ์ครั้งนั้นอีกด้วย

มีข่าวจากผู้ที่มาปฏิบัติเป็นประจำได้พูดคุยให้ฟังก่อนว่า จะมีคนพาเอาคนที่ถูกผีตายโหงเข้าสิงมาให้ช่วยไล่ออกให้ด้วย ข้าพเจ้าปฏิเสธทันทีฝากผู้พูดไปให้ช่วยบอกด้วยว่าข้าพเจ้าไม่ใช่หมอไล่ผี ต้องไปหาผู้ชำนาญการในเรื่องนี้ดีกว่า แต่...อยู่มาคืนหนึ่งใกล้จะถึงเวลาทำกรรมฐาน คุณน้าจวงซึ่งเป็นเพื่อนบ้านได้พาลูกหลานและน้องๆ เดินเข้ามาหาประมาณ ๕ – ๖ คนมีคนหนึ่งเป็นผู้หญิงวัยรุ่นผอมดำโกนหัว

ท่าทางซึมๆ จึงนึกรู้ได้ทันทีว่ามาแล้ว ผู้ที่เรากลัวว่าจะมาหาหญิงสาวผู้นี้ชื่อ “โสภา” จากปากของโสภาเล่าให้ฟังว่า คนข้างบ้านของโสภา อยู่ที่ ต.แปลงยาว อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ถูกยิงตายโสภาก็ไปดูกับเขาด้วย จึงได้ถูกผีของเจ้าหนุ่มที่ถูกยิงตายเข้าสิงมาตั้งแต่วันนั้น โสภาบอกว่าหนูกลัวมากเพราะเขาจะเอาชีวิตอย่างเดียว ได้สร้างศาลให้ บวชชีให้ ยักย้ายไปหลายสำนักแล้วเป็นเวลาหลายเดือน อาการไม่ดีขึ้นเลย มาเข้าสิงทุกวันไม่เคยขาดไม่ทราบจะทำอย่างไร มีคนแนะนำให้เดินทางมาหาอาจารย์ที่นี่

ข้าพเจ้าได้พิจารณาแล้วจึงได้บอกกับเขาเหล่านั้นว่า ผมไล่ผีไม่เป็นหรอก แต่จะช่วยได้ก็อยู่ที่เธอทุกคนพร้อมใจกันปฏิบัติพระกรรมฐานในด้าน “มโนมยิทธิ” ซึ่งเป็นวิชาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ วัดท่าซุง อุทัยธานี ประสิทธิ์ประสาทให้มา ถ้าสมาธิดี จิตสะอาดดีก็จะได้พบกับผีผู้นั้นด้วยตนเองแล้วถามเขาเองว่าเขาต้องการจะเอาอะไร จะได้แก้ไขได้ถูกทาง อย่างนี้จะเอาไหม เมื่อทุกคนยินยอมพร้อมใจที่จะกระทำความดี จึงได้จัดการช่วยเหลือให้เขาได้ปฏิบัติ

โสภาและคณะญาติพี่น้องมีความแจ่มใสมากถึงพระนิพพาน จึงได้นำพาให้ระลึกชาติเพื่อแก้กรรมที่กำลังได้รับอยู่ โสภาจึงรู้กรรมที่ทำไว้ในอดีต ด้วยบารมีขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยให้โสภาได้พบกับเจ้ากรรมนายเวรในอดีต คือผู้ที่กำลังมาเข้าสิงเพื่อทวงให้ชดใช้กรรมอยู่ในขณะนั้นเอง เจ้ากรรมนายเวรผู้นี้ต้องการให้โสภา บวชศีล ๘ ปฏิบัติพระกรรมฐานในด้านมโนมยิทธิ ทำจิตให้เข้าถึงพระนิพพานให้เต็มกำลัง แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาเป็นเวลา ๗ วัน

โสภาและหมู่ญาติที่มาด้วยพร้อมใจกันบวชศีล ๘ ปฏิบัติพระกรรมฐานในด้านมโนมยิทธิทั้งหัวค่ำ และเช้ามืดทุกวัน โสภาพบกับเจ้ากรรมนายเวรผู้นี้ทุกครั้งที่ปฏิบัติเขาผู้นั้นแจ่มใสขึ้นทุกครั้งที่ได้ส่วนกุศลที่อุทิศให้ ถึงที่ ๕ ของการปฏิบัติ เจ้ากรรมนายเวรที่แจ่มใสมากอยู่แล้ว เกิดแวววาวไปด้วยเครื่องประดับสวมชฎามหามงกุฎแพรวพราว ทันทีที่เห็นโสภาอุทานออกมาดังๆ ในขณะที่อยู่ในสมาธิว่า “อาจารย์คะ เขาเป็นเทวดาไปแล้วค่ะ เขาบอกกับหนูว่าเขาเลิกจองเวรกรรมกับหนูแล้วค่ะ”

“ถูกแล้ว จิตเธอดีมาก เขาไปดาวดึงส์แล้วนะ แต่เธอต้องปฏิบัติแล้วอุทิศให้เขาครบ ๗ วันตามสัญญานะ” ข้าพเจ้ากำชับให้โสภามีกำลังใจมั่นคง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โสภา ก็เป็นปกติเหมือนเดิม อาศัยอยู่กับญาติใกล้ๆ บ้านของข้าพเจ้าระยะหนึ่งเพราะเกรงว่าจะมีอาการอีก เวลาเลยไปเป็นปีโสภามาพบกับข้าพเจ้าในสภาพของหญิงสาวผมยาวขาวสวยอิ่มเอิบ รู้ว่าเธอปฏิบัติความดีที่ได้รับเป็นประจำ...สาธุ จากเรื่องที่เล่านี้จึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า

“การอุทิศส่วนกุศล ในขณะที่จิตสะอาดบริสุทธิ์ตามแนวของการปฏิบัติในวิชา มโนมยิทธิ ของหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงแล้ว ขอรับรองว่าผู้ที่ล่วงลับไปแล้วจะได้รับและบังเกิดผลตามแรงอธิษฐานทุกประการ” ด้วยพระบารมี ด้วยความดีและความเมตตาที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อปกแผ่แก่ลูกหลานตลอดมา ทำให้ครอบครัวของข้าพเจ้ามีจุดยืนที่โดดเด่น มั่นคงในพระนิพพานซาบซ่านอยู่ในรสพระธรรมคำสั่งสอนที่หลวงพ่อนำมาป้อนให้มิรู้จักอิ่ม ยิ่งเสพยิ่งสุข

ตลอด ๘ ปีเต็มที่อยู่กับความดีของหลวงพ่อ ครอบครัวของข้าพเจ้าจึงปวารณาสถานที่พักอาศัยให้เป็นสถานที่ปฏิบัติชำระจิตเพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน สร้างอาคารปฏิบัติขึ้นอีกโดยเฉพาะ และพร้อมใจกันปฏิบัติทั้งครอบครัวร่วมด้วยสมาชิกใกล้เคียงทุกค่ำเช้าตลอดมา ข้าพเจ้าขอลัดเรื่องของความดีมาไวไว เหมือนลัดใจขึ้นพระนิพพานฉะนั้นหลังจากที่พาครอบครัวและสมาชิกเดินทางไปร่วมทอดกฐินเชียงใหม่ และขึ้นดอยตุงกับหลวงพ่อแล้ว ก็พกเอาความอิ่มเอิบใจในกองบุญกลับสถานที่พัก

แล้วก็ยังภูมิใจว่าคุณพิสมัย หลุนประยูรแม่บ้านผู้มีความมั่นคงในพระนิพพานและองค์หลวงพ่อ ถึงแม้ร่างกายจะพิการเดินไม่สะดวกระยะนี้ ยังได้นั่งรถเข็นขึ้นไปร่วมพิธีบวงสรวงบนยอดดอยตุงได้ด้วยกำลังใจ เมื่อประมาณกลางเดือน พฤศจิกายน ๒๕๓๓ ข้าพเจ้าเข้าที่บูชาจุดธูปเทียนบูชาพระและสถานที่ที่ควรบูชาตามปกติก่อนค่ำ ทำใจให้สะอาดขออัญเชิญบารมีองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มาประทับครอบกายให้แจ่มใสตามปกติ

พลันนึกถึงบุญที่ร่วมสร้างพระพุทธรูปพระพุทธสิกขีทศพล องค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้กับหลวงพ่อด้วยทองคำบ้างด้วยเงินบ้าง ก็เกิดความปิติใจขึ้นฉันพลัน ใจนึกถึง คุณพ่อ คุณแม่ คุณก๋ง คุณยายที่ล่วงลับไปแล้ว จึงตั้งจิตอธิษฐานขอบุญที่เคยสร้างสมมาแต่อดีตชาติทุกๆ ชาติรวมกัน บุญที่บำเพ็ญในปัจจุบัน โดยเฉพาะบุญที่สร้างพระพุทธรูปองค์ปฐมรวมกันทั้งหมด ข้าพเจ้าได้รับประโยชน์ ได้รับความสุขมีมรรคผลถึงพระนิพพานด้วยประการใดก็ดี

ขอบุญนี้จงบังเกิดมีแก่ คุณพ่อ คุณแม่ คุณก๋ง คุณยายของข้าพเจ้าเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับทุกประการ ณ บัดนี้ด้วยเถิด ผลที่ปรากฏกับใจก็คือ คุณพ่อ คุณแม่ คุณก๋ง คุณยาย เข้าพระนิพพานได้ทันทีทันใดที่อธิษฐานเสร็จทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจได้แน่นอนในขณะนั้นว่า ผลบุญในการสร้างพระพุทธรูปองค์ปฐมนี้ ยิ่งใหญ่ไพศาลถึงพระนิพพานจริงจริง

ลุกขึ้นจากที่บูชาพระ จุดธูปมาปักที่บูชาบรรพบุรุษและหมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้วอธิษฐานบุญซ้ำย้ำให้หมู่ญาติทุกท่าน ได้นำความปลื้มปิติ มาบอกเล่าให้เหล่าพุทธบริษัทที่มาร่วมปฏิบัติในคืนนั้นว่า ขณะนี้สถานที่ปฏิบัติของเรามีพระอรหันต์เข้าพระนิพพานแล้ว ๘ พระองค์ ต่อจากวันนั้นมาถึงวันนี้ อาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่องค์ปฐมถึงองค์ปัจจุบัน บารมีหลวงปู่ปาน บารมีหลวงพ่อฤาษีของลูกหลาน

อธิษฐานบุญซ้ำแล้วซ้ำอีกในขณะทำสมาธิเข้าถึงพระนิพพานมั่นคง อุทิศบุญนี้ให้บรรพบุรุษได้เข้าพระนิพพานกันเป็นลำดับมา นับไม่ถูกว่าจำนวนกี่องค์แล้ว ทำให้เราทุกคนที่รวมกันปฏิบัติทราบโดยไม่สงสัยว่า การสร้างพระพุทธรูปองค์ปฐมพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็คือ การมอบลูกกุญแจประตูเข้าสู่พระนิพพานแก่ลูกหลานในช่วงนี้ สุดแท้แต่ใครจะฉลาดในการใช้ลูกกุญแจดอกนี้ได้ถูกต้องเท่านั้น

ถ้าเลยปี พ.ศ.๒๕๓๕ หลังจากหลวงพ่อหล่อพระพุทธรูปองค์ปฐมแล้ว อาจจะพูดได้ว่า “สายไปหน่อยแล้วละ” เท่าที่คุยกันพอสังเขปเท่านี้ก็พอสรุปความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้ให้ไว้แก่ข้าพเจ้าแก่ลูกหลานทุกคนได้มีจิตสำนึกระลึกรู้ว่า

๑. พระพุทธเจ้ามีจริงไม่สงสัยในคำสอนของท่าน รู้ได้พิสูจน์ได้จริง
๒. ตั้งใจทำความดี งดความชั่ว รักษาศีล และกรรมบถ ๑๐ ให้เป็นปกติตลอดชีวิต
๓. ร่างกายต้องตายแน่นอน ร่างกายไม่ใช่เรา เราคือจิตเท่านั้น ร่างกายพังก็ไปนิพพาน
๔. บาปและบุญมีจริง ถ้าเรามีความดี เรื่องผีไม่ต้องไล่ ให้ความดีให้บุญแก่เขา เขาก็พอใจ
๕. กุญแจไขเข้าพระนิพพานที่หลวงพ่อมอบให้ ลูกหลานจะเก็บรักษาไว้กับใจเพื่อเข้าพระนิพพานจุดเดียว

เพราะความดี เพราะเมตตาบารมีของหลวงพ่อที่ให้แก่ลูกหลานตลอดมาอย่างนี้ จึงทำให้เราลูกๆ ทุกคนภูมิใจว่า “ไม่เสียชาติเกิด” และอยากจะร้องให้ก้องฟ้าว่า

ไม่เสียที ที่เกิด ประเสริฐแล้ว
ได้พบแก้ว มณี สีสดใส
หลวงพ่อฤาษี นี้สถิต กลางจิตใจ
ท่านสอนให้ วางทุกข์ ไม่คลุกคลี

ยึดพระนิพพาน เป็นอารมณ์ ได้ชมชื่น
อันภพอื่น ไม่ปรารถนา เมินหน้าหนี
โอ้หลวงพ่อ ถ้าเคลื่อนคลาด ในชาตินี้
คงเสียที ที่เกิดมา ไร้ค่าเอย


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/9/12 at 16:48 [ QUOTE ]


77

พระคุณหลวงพ่อมากพ้นรำพัน


บัวจันทร์ รอนไพริน


บุญได้มากราบหลวงพ่อครั้งแรกที่ศาลานวราชเก่า เมื่อ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๙ พอเงยหน้าขึ้นจากการกราบแล้ว หลวงพ่อพูดว่า “มาไง” “มาคนเดียวเจ้าค่ะ” “หลวงพ่อบอก เออดีๆ มาด้วยศรัทธาแท้จะมาฝึกมโนมยิทธิก็ไปติดต่อพระเจ้าหน้าที่ก่อนนะ พรุ่งนี้ก็ไปฝึกได้นะวันเดียวก็ได้ไม่ยากหรอก” รู้สึกประทับใจหลวงพ่อมากตั้งแต่วันนั้นมา การที่ได้มาพบครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมพร้อมกันทั้งสองอย่าง

โดยเฉพาะครูอาจารย์ที่ให้แสงสว่างชี้แนะในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร และยังสามารถรู้วาระจิตของศิษย์ที่มาปฏิบัติแต่ละคนอีกด้วย เป็นสิ่งที่หาได้ยากมากอย่างยิ่ง ก่อนจะมารู้จักหลวงพ่อลูกเที่ยวไปกับรถธรรมจารึก เพื่อเสาะแสวงพระสุปฏิปันโนสุดเหนือสุดใต้ พบพระคุณเจ้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็มากหลายองค์ แต่ก็สู้หลวงพ่อพระราชพรหมยานของลูกไม่ได้สักองค์ ถึงท่านจะรู้มากแค่ไหน ท่านก็ไม่สอนพุทธบริษัททั่วไปแบบหลวงพ่อ

ท่านจะบอกหัวข้อธรรมะนิดๆ หน่อยๆ ไปซาบซึ้งไม่เข้าใจอย่างหลวงพ่อสอน เพื่อความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอีก ลูกขอยึดหลวงพ่อเป็นที่พึ่งพระคุณหลวงพ่อนั้น สุดพรรณนาพระคุณความดีของหลวงพ่อแม้ความรู้สึกที่ล้นออกมาจากดวงจิตก็มิอาจจะบรรยายเป็นภาษาพูด ภาษาเขียนให้รู้ได้

อุปมาได้แค่เพียง
พระคุณของพระพุทธเจ้า หาประมาณมิได้ ฉันใด
พระคุณของพระธรรมเจ้า หาประมาณมิได้ ฉันใด
พระคุณของพระสังฆเจ้า หาประมาณมิได้ ฉันใด
พระคุณของหลวงพ่อที่มีต่อลูก หาประมาณมิได้ ฉันนั้น


ll กลับสู่สารบัญ


78

สนใจหลวงพ่อ


องุ่น นิตยาจาร


ดิฉันสนใจหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ตั้งแต่ก่อน พ.ศ.๒๕๒๐ จากการอ่านหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ลงเรื่อง “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” ดิฉันอยู่สุโขทัย ยังไม่มีโอกาสทำบุญกับหลวงพ่อเลย พ.ศ.๒๕๒๙ มาอยู่ในกรุงเทพฯ คุณสายใจเพื่อนบ้านที่ดี นำหนังสือที่หลวงพ่อเขียนมาให้อ่าน และเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อมาสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม ก็ดีใจ ดิฉันอ่านหนังสือช้า บางตอนก็อ่านซ้ำหลายๆ ครั้ง ฝากเพื่อนซื้อบ้าง ลูกไปยืมห้องสมุดมาให้อ่านบ้าง

เพื่อนเห็นดิฉันสนใจก็ชวนไปฝึกมโนมยิทธิ ดิฉันกลัวจะทำอะไรไม่ถูก ขออ่านหนังสือก่อน อ่านแล้วเหมือนหลวงพ่อมานั่งสอนอยู่ข้างหน้า ท่านให้กำลังใจมาก บางทีเหมือนดุว่า ถ้าไม่ช่วยตัวเองแล้วจะให้ใครช่วย ทราบว่าหลวงพ่อป่วยหนัก แต่ยังมีเมตตาสอนพระกรรมฐานอยู่เป็นประจำ หลวงพ่อมีงานอื่นๆ อีกมากที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เวลาพักผ่อนมีน้อย เรื่องป่วยหนักของหลวงพ่อมิได้เป็นอุปสรรคต่องานเลย หลวงพ่อทำทุกอย่างด้วยใจเป็นกุศล เพื่อช่วยให้ลูกหลานพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด

ดิฉันยังไม่อยากให้ท่านละทิ้งสังขารไปเสียก่อน จึงขอตามเพื่อนไปที่บ้านซอยสายลม การไปครั้งแรก ดิฉันตื่นเต้นที่จะได้พบองค์จริง ยังไม่ทราบว่ามีวิธีทำบุญอย่างไรมาก่อน กลางคืนก็เตรียมนำเงินมาใส่ซอง เขียนขอถวายหลวงพ่อพระสุธรรมยานเถระ ใจนึกว่า ขอให้ได้ถวายกับองค์ท่าน และนั่งมองเห็นท่านชัดเจนอย่างให้ไกลนัก แล้วดิฉันก็ได้กราบและทำบุญกับหลวงพ่อสมประสงค์ทุกอย่าง ไม่ลืมนึกของพระคุณท่านของสถานที่ ขอให้เจริญยิ่งขึ้นเถิด

การฝึกมโนมยิทธิครั้งแรก (ของดิฉัน) ครูฝึกถามว่า “ยังอยากฆ่ามด อยากตบยุง อยากมาเกิดอีกไหม” ทุกคำถามตรงใจหมด ตื้นตันใจเกิดปิติ (ขณะนั้นไม่ทราบว่าทำไมน้ำตาไหล) กลุ่มที่ดิฉันนั่งครูฝึกให้ลงมาชั้นล่างสี่คน มานั่งดูเขาฝึกต่อ (การสอนญาณแปด) พอดีครูฝึกบอกให้ดูลักษณะชายคนหนึ่งอยู่ พวกเราดูแต่ยังไม่กล้าพูดกลัวผิด พอครูฝึกบอกก็ตรงกับที่เราเห็นสี่คน

ที่เล่ามานี้มิได้เป็นการอวด แต่คงเป็นเพราะผู้ใดก็ตามหากมีจิตเคารพต่อคุณพระศรีรัตนตรัยด้วยความจริงใจ ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อ เชื่อฟังครูฝึก (ศิษย์หลวงพ่อ) เมื่อผ่านการฝึกแล้วไม่ทิ้งเสีย ปฏิบัติไปทุกวันได้มากหรือน้อย แต่ก็ยังมีผลให้ดีขึ้น บางครั้งนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ ต่อจากวันที่ไปฝึกมโนมยิทธิอีกสามวัน (ดิฉันยอมรับว่าไม่ได้ฝึกต่อ) ญาติของสามีโทรมาขอพบ เรายังไม่เคยเห็นกันเลย เขาเพิ่งมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ สามีดิฉันเสียชีวิตไปสอบกว่าปีแล้ว ดิฉันกลัวถูกหลอก

จึงขอใช้วิชาที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์ ภาพแรกที่เห็นเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ดิฉันแปลกใจที่ท่านเสด็จมาแต่ก็ขอบารมีท่าน ขอดูญาติว่ามีหน้าเป็นอย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันนัดพบ ลูกชายพาดิฉันไปโรงแรมแห่งหนึ่งใน กทม. ปรากฏว่าญาตินั้นหน้าตาเหมือนที่ขอบารมีเห็นไม่ผิดเพี้ยนเลย เขานำรูปปั้นพระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิมมาให้ดิฉันด้วย เราคุยกันได้อาศัยเพื่อนบ้านที่สุโขทัยอุตส่าห์เดินทางมาเป็นล่ามให้

วันหนึ่งดิฉันไปที่บ้านซอยสายลมถวายสังฆทานอย่างเคย เมื่อจะกลับบ้านจึงไปนั่งท้ายห้องกราบลาหลวงพ่อแต่ยังไม่ลุกขึ้น มองไปทางหลวงพ่อ คนก็กำลังถวายสังฆทานอยู่ พวกที่นั่งโมทนายังมีเต็มห้อง ดิฉันคิดในใจว่าตัวเองอายุ ๖๑ ปีแล้ว หากตายไป จะมีใครสอนลูกหลานหรือคนที่เป็นมิตรกับเรา (ที่อยู่ไกลหลวงพ่อ) อยากนำวิชานี้ไปสอนเพื่อนรุ่นน้องสักคน เราตายเขาจะได้สอนลูกเราบ้าง เวลานี้เราสอนลูกไม่ได้ถ้าเขาไม่เชื่อจะบาป ก็ลังเลใจ “จะบาปไหมหนอ ตัวข้าพเจ้าเองยังปฏิบัติไม่เก่งเลย จะอาจหาญไปสอนเพื่อน”

เสียงหลวงพ่อดังสวนออกมาว่า “เออ ใครจะไปสอนใครก็สอนเถอะ ไม่บาปหรอก ได้บุญด้วย” ที่ดิฉันสนใจหลวงพ่อพระราชพรหมยาน มาตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน จึงไม่ผิดหวัง คำสอนของท่านให้กำลังใจอย่างมาก ทำให้ผู้ปฏิบัติมีความมั่นใจ พระคุณนี้ ดิฉันขอตอบแทนด้วยการถวายชีวิต เพื่อตั้งใจปฏิบัติเป็นการบูชาและขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันมีคุณพระศรีรัตนตรัยมาช่วยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ให้หายเจ็บป่วยมีอายุยืน เพื่อสั่งสอนอบรมรุ่นลูกๆ หลานๆ ของพวกเราต่อไปอีกนานแสนนาน

ll กลับสู่สารบัญ


79

ก่อนจะได้มาพบหลวงพ่อฤาษีบันทึกความจำ


อภิชัย – อัจฉรา สาธุ


แต่ก่อนที่จะได้มาพบหลวงพ่อฤาษีนั้น ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์เรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ที่วัดสะแก จังหวัดอยุธยา ในการเรียนกรรมฐานครั้งนั้น หลวงพ่อดู่ สอนให้ภาวนา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ พอใจเป็นสมาธิดี ท่านก็จะนำเราไปกราบหลวงปู่ทวดและไปกราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคล้ายกับการฝึกมโนมยิทธิมาก การรู้และเห็นนั้นสัมผัสได้ด้วยใจเหมือนกัน ข้าพเจ้าฝึกอยู่หลายปี ไม่เคยได้เห็นภาพพระพุทธเจ้าชัดเจนเลย

รู้ว่าเป็นท่านก็เพราะได้เห็นรัศมีกายสว่างมาก บางครั้งกำลังสมาธิดี ก็จะได้เห็นหลวงปู่ทวดชัดๆ บ้าง เพียงไม่กี่ครั้ง ยังจำได้ว่าเห็นหลวงปู่ทวดชัดเจนราวกับท่านมายืนอยู่ตรงหน้า และเพราะได้เห็นหลวงปู่ทวดนี่เอง ก็ยังได้คุยกับท่านสองสามคำ จึงทำให้เกิดกิเลสขึ้นมาในใจมาก คืออยากจะได้เห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างชัดเจนเหมือนเห็นด้วยตาเนื้อบ้าง อยากเห็นนรก สวรรค์ พรหมและเทวดา ที่มากกว่านั้น คืออยากฟังเทศน์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตัวเอง

อยากไปหาท่าน อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงอยากได้มากถึงขนาดนั้น ในตอนนั้น มีความคิดว่า หากได้ไปหาท่าน และสามารถพูดกับท่านได้ อยาก (อีกแล้ว) จะถามถึงความสงสัยในใจของตัวเองกับท่าน ๒ ข้อ ก็คือ อยากรู้ว่า จริงๆ นั้น ท่านตั้งใจจะสอนให้พวกเรารู้อะไรกันแน่? ธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น ชาตินี้ข้าพเจ้าคงไม่มีทางรู้ได้หมดแน่ เพราะรู้ตัวว่าโง่ และอีกข้อก็คือ หลวงพ่อดู่ท่านสอนให้อธิษฐานขอไปนิพพานชาตินี้ ข้าพเจ้าก็อธิษฐานตามที่ท่านสอน

ทั้งที่ค่อนข้างจะไม่มีหวังเลยว่าจะไปได้ ข้อนี้ก็เป็นความสงสัยอีกข้อหนึ่งว่า คนธรรมดาอย่างเราๆ นี่ ถ้าอยากไปนิพพานอย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างจะได้หรือไม่ ยิ่งข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงบวชเป็นพระก็ไม่ได้ คงจะไม่มีโอกาสแน่ แล้วถ้าได้จะทำยังไง จึงจะไปได้? คำถามเหล่านี้รบกวนจิตใจของข้าพเจ้าอยู่ตลอดเวลา ในยามที่ไปฝึกกรรมฐาน ความสงสัยนี้ก็มักจะขึ้นมาในใจเรื่อยๆ ทำให้อยากเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น ยิ่งอยากมาก็ยิ่งเห็นน้อยลง ฝึกไปฝึกมากิเลสท่วมทั้งหัวทั้งตัว

ไม่ก้าวหน้าเลย ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ ยิ่งโตก็ยิ่งเซ่อเข้าไปทุกที เพราะเข้าวัดก็ทำบุญ ออกมาแล้วก็เหลวไหลเหมือนเดิม ยิ่งนานวันเข้า ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรียนแล้วไม่ได้อะไร ไม่รู้ไม่เห็นได้สักที สิ่งที่อยากได้ก็ไม่ได้ สิ่งที่ข้องใจก็หาคำตอบไม่ได้เลย ในที่สุดก็ทิ้งการปฏิบัติ กลับไปเลวเท่าเดิม เพราะคิดว่า ทำไปก็ไม่ได้รู้อะไรเพิ่ม แต่ก็ยังไปวัดสม่ำเสมอ ไปกราบหลวงพ่อดู่ ไปทำบุญ แต่ไม่ยอมทำกรรมฐาน หลวงพ่อดู่ท่านก็ว่าขี้เกียจ แล้วจะเอาดีได้ยังไง ทำได้ก็ไม่ทำ เห็นหน้าทีไร ท่านไล่ไปนั่งสมาธิ

ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธทุกครั้ง ชีวิตก็ตกต่ำ เพราะทำความดีบ้างความชั่วบ้างอยู่ตลอดเวลา (ชั่วคงจะมากกว่าดีนั่นละ) หลายปีต่อมา ราวปี พ.ศ.๒๕๒๕ – ๒๖ (จำไม่ได้) ข้าพเจ้าได้พบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน อ่านแล้วติดใจมาก วางไม่ลงเลย รู้สึกประทับใจในองค์หลวงปู่ปานและหลวงพ่อฤาษีเป็นอย่างยิ่ง ที่ชอบมากคือชอบความเก่งของท่าน ท่านมีฤทธิ์ และชอบฟังเรื่องเทวดา เรื่องผี จึงไปที่วัดบางนมโค อ.เสนา และได้ไปกราบรูปของหลวงปู่ปานและได้ทำบุญที่นั่น

แต่ก็ไม่ได้พบหลวงพ่อฤาษี จึงได้แต่อธิษฐานว่า ถ้าข้าพเจ้ามีบุญวาสนา ขอให้ได้พบท่านโดยเร็วหลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าเริ่มงานขายส่งของออกไปยังต่างจังหวัด จึงต้องเดินทางตลอดเวลา จังหวัดที่ใกล้เคียงกรุงเทพฯ นั้นก็แทบจะได้เข้าไปขายทุกจังหวัด ยกเว้นอุทัยธานีเพียงจังหวัดเดียวที่ไม่ได้ขาย วันหนึ่งได้ไปกราบหลวงพ่อดู่ ท่านคุยให้ฟังถึงหลวงพ่อฤาษี ข้าพเจ้าหูผึ่ง ดีใจมาก เป็นครั้งแรกที่ได้ทราบว่าหลวงพ่อฤาษีอยู่ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี (โธ่เอ๋ย)

ยิ่งหลวงพ่อดู่ คุยให้ฟังว่า หลวงพ่อสามารถสอนคนให้ไปเที่ยวนรก สวรรค์ นิพพานได้ สอนให้ใครๆ เห็นพรหม เทวดา เห็นพระพุทธเจ้าได้ รู้ได้หมด ยิ่งสนใจมาก หลวงพ่อดู่ท่านว่า หลวงพ่อฤาษีเป็นพระดี เป็นพระสุปฏิปันโน กราบได้สนิทใจ และท่านยังบอกว่า ไปซิ เอ็งไปกราบท่าน ไปเรียนมโนมยิทธิกับท่าน อยากรู้อยากเห็นอะไรก็จะได้เห็น จะได้เลิกขี้เกียจทำกรรมฐานเสียที แล้วท่านก็หยิบหนังสือธัมมวิโมกข์มาโยนให้อ่าน กลับจากวัดสะแกไม่นาน ก็ไปหาวัดท่าซุงที่อุทัยธานี ไปถามใครๆ ไม่มีใครรู้จัก คนอุทัยมีเต็มเมือง

ข้าพเจ้าซวยจริงๆ ไปถามเอาคนที่ไม่รู้จักวัด ไม่รู้จักพระดีเข้าจนได้ ยังคิดว่า นี่เราโง่เราก็ยังอยู่ไกลท่านนา คนอยู่ใกล้หลวงพ่อ โง่กว่าเรายังมีอีกนะ ผลที่สุดก็ต้องกลับ เพราะหาวัดไม่เจอ งงมาก ข้าพเจ้าแวะไปอุทัยอีกหลายครั้งก็ไม่ประสบผลสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่งไปขายของที่ชัยนาท แล้วเกิดอาการอารมณ์เสีย จึงคิดว่าอยากจะทำบุญ ก็เลยคิดว่าจะไปวัดปากคลองมะขามเฒ่า ปรากฏว่าไปถึงที่วัด กลับไม่พบพระเลยสักรูป วัดเงียบเหงาและวังเวงมาก เดินอยู่หลายรอบไม่พบใครเลย รู้สึกแปลกใจ

จึงไปนั่งกันที่ท่าน้ำอยู่ก็นึกถึงวัดท่าซุงขึ้นมา เลยคิดว่าขึ้นไปวัดท่าซุงดีกว่า ตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าอยู่ไหน นั่งมาในรถก็เลยอธิษฐานว่า ถ้าลูกมีบุญที่จะได้มากราบหลวงพ่อ ขอให้หาทางมาวัดถูก ลูกเป็นลูกหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ ตั้งใจจะมาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วไม่มีโอกาส ครั้งนี้ขอให้สำเร็จเถิด วันนั้นนึกอย่างไรไม่รู้ ขับรถมาข้ามแพ มาถึงวัดได้ทันทีเลย

ประสบการณ์ในการฝึกมโนมยิทธิ
มาถึงวัดแล้ว ก็มาที่ตึกรับแขกใหม่ ได้ทราบว่าหลวงพ่อป่วยมาก (ตอนนั้นเข้าใจว่าปลายปี ๒๕๒๙) ตั้งใจจะถวายสังฆทานกับท่าน ก็ไม่แน่ใจว่าหลวงพ่อจะลงรับแขกหรือไม่ ข้าพเจ้าจึงไปกราบที่รูปหลวงพ่อแล้วก็ขออีกว่า ลูกมาถึงวัดของหลวงพ่อแล้ว โปรดเมตตาลูกด้วย วันนี้ขอหลวงพ่ออย่าเป็นอะไรมากเลย โปรดมารับสังฆทานที่ลูกตั้งใจจะถวายด้วยเถิด และถ้าหากหลวงพ่อรู้ในสิ่งที่ลูกขอทั้งหมดในวันนี้ ก็ขอให้หลวงพ่อแสดงสิ่งใดให้ลูกประจักษ์กับตาว่าหลวงพ่อทราบและเมตตาลูกด้วย

สักครู่หนึ่งก็มีโทรศัพท์มาว่าหลวงพ่อจะลงรับแขก วันนั้นพอเห็นหน้าหลวงพ่อก็เอ่ยทักข้าพเจ้าเลยว่า “มารอนานไหมลูก” แล้วก็เรียกให้ข้าพเจ้าเข้าไปนั่งข้างหน้า ไต่ถามและคุยด้วย จนข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจมากและได้ประจักษ์ในความเมตตาของหลวงพ่อตั้งแต่วันแรกที่มาถึงวัดนี้ทีเดียว หลังจากที่ได้พบและนมัสการท่านในครั้งแรกนั้น ข้าพเจ้าดีใจและมีความสุขไปหลายวัน

เมื่อกลับไปถึงบ้าน ข้าพเจ้าจึงได้เล่าความประทับใจนี้ให้กับพ่อและแม่ฟัง ท่านสนใจมาก และไต่ถามเรื่องการฝึกสมาธิ (ซึ่งเรายังไม่ได้รายละเอียดอะไรมาเลย เพราะมัวแต่ปลื้ม) ก็เลยสัญญากับพ่อและแม่ว่าเอาไว้คราวหน้าจะสอบถามมาให้ละเอียดเลย ประมาณสิบกว่าวัน ข้าพเจ้าและสามี (คุณอภิชัย) เราก็ไปวัดกันอีก วันนั้นความตั้งใจของเราก็เพียงแค่ไปขอระเบียบการ เพื่อที่จะไปเล่าให้พ่อและแม่ฟังได้ถูกเท่านั้น แต่พอไปถึงตึกธัมมวิโมกข์ก็กลับถูกคุณแม่ชีชุลี จับเราสองคนไปฝึกมโนมยิทธิวันนั้นเลย

เราก็เลยตัดสินใจว่า เอ้า..ฝึกก็ฝึก ใจก็คิดว่าได้หรือไม่ได้เดี๋ยวก็รู้ พอสวดมนต์และหลังจากฟังคำแนะนำของหลวงพ่อแล้ว เราก็เริ่มฝึกสมาธิกันอย่างที่เคยฝึกที่วัดสะแก แต่เปลี่ยนคำภาวนาเป็น นะมะพะธะ เท่านั้น จิตเริ่มดิ่งลงไปทุกทีๆ จนกระทั่งเหมือนกับมีจุดแสงสว่างคล้ายดาวที่มีประกายแสงอยู่เบื้องหน้าเหมือนทุกครั้งที่เราฝึกมาแล้วก็นิ่งอยู่กับคำภาวนานั้นนานพอสมควร ขณะนั้นครูเริ่มเข้ามาสอน โดยมีครูแยกสอนเราคนละคน วันนั้น คุณอภิชัยตามครูฝึกไปได้จนถึงนิพพาน

ส่วนข้าพเจ้าหลังจากที่ครูสอนให้ตัดขันธ์ ก็เริ่มเห็นคล้อยตามว่าชีวิตนี้มีทุกข์ พอครูให้ตัดสินใจว่าจะไปนิพพานหรือไม่ ก็ตัดสินใจว่าไปแน่ ทุกข์เหลือเกินชาตินี้ เราไม่ขอเกิดอีกแล้ว ได้ประจักษ์แก่ใจว่า เราไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อน น้ำตาไหลพราก ใจรู้สึกชุ่มชื่นขึ้น เมื่อตัดสินใจว่าขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราเถิด แล้วมีความรู้สึกเหมือนไม่ได้ยินครูพูด เหมือนกับไม่เป็นตัวของตัวเอง ได้ยินเสียงครูบ้าง หายไปบ้าง เกิดความรู้สึกไม่อยากตอบ ไม่สนใจเสียงที่ครูพูด จิตตอนนั้นมีความสุขมาก

ครูคงถามซ้ำหลายครั้งแล้วไม่เห็นข้าพเจ้าตอบก็คงสงสัยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผลสุดท้ายก็ตามครูไปไม่ได้ ฝึกกลางวันวันนั้นแล้วกลับไปพักกันที่ชัยนาท ข้าพเจ้าคุยอยู่กับคุณอภิชัย เธอก็ว่าไม่เหมือนที่เราฝึกที่วัดสะแกเลย เธอไม่ยอมเล่าให้ฟัง บอกว่าไปลองดูเอง ใจนั้นเห็นเป็นรูปอะไรมากมาย ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกอยากกลับไปฝึกอีก และมีความรู้สึกว่า ตัวเองทำได้ มั่นใจมาก คิดถึงเมื่อครั้งที่ฝึกกับหลวงพ่อดู่นั้น

เราเคยได้เห็นภาพหลวงปู่ทวด มาอยู่ตรงหน้าเราและวันนี้เราเห็นแสงสว่างเหมือนดาวเป็นประกายอยู่ข้างหน้าไกลๆ เราไม่รู้ว่าเป็นอะไรเท่านั้นเอง คืนนั้นตัดสินใจขับรถกลับไปฝึกอีกที่วัด ทีนี้กลางคืนเขาไม่มีสอนมโนมยิทธิ แต่เป็นการฝึกอย่างสุกขวิปัสโก ก็ไม่เป็นไร เราจะทำอย่างที่ฝึกเมื่อกลางวัน เราเคยไปหลวงปู่ทวดอย่างไร เราก็จะไปอย่างที่เราเคยไปดีกว่า แต่คราวนี้เราตั้งใจจะไปกราบพระพุทธเจ้าบ้าง จากนั้นพอเริ่มทำสมาธิ

ข้าพเจ้าก็จับคำภาวนาว่า นะมะพะธะ ภาวนาได้ครู่เดียว จิตก็เริ่มรวมตัว คราวนี้พอรู้สึกเคลิ้มก็กลับเห็นภาพตัวเองแต่งตัวเป็นนางฟ้าใส่ชฎา ใส่เสื้อผ้าเหมือนกับนางละคร เสื้อผ้าเป็นสีเขียวอ่อน นั่งพับเพียบ พนมมือ อยู่ต่อหน้าท่านผู้หนึ่ง ซึ่งแต่งตัวด้วยเพชรทั้งองค์ คล้ายกับเทวดา (ผู้ชาย) ประทับบนแท่น ห้อยพระบาท แท่นนั้นมีหลังคาคล้ายบุษบก ในใจก็คิดว่า นี่ละ พระพุทธเจ้า ดีใจมาก กราบท่านที่พระบาท ขอพรท่านว่า คราวหน้าขอมาหาท่านอีก ท่านยกหัตถ์มาลูกศีรษะข้าพเจ้า ขนลุก

และถามท่านว่า ที่นี่ที่ไหนเจ้าคะ ท่านตอบว่า ที่นี่คือพระจุฬามณี อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กราบท่านอีก ดีใจมาก จนนึกไม่ออกว่าอยากจะถามอะไรท่าน แล้วก็ได้แต่มองท่านอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกเหมือนประเดี๋ยวเดียว ก็ออกจากสมาธิ ในความรู้สึกตอนนั้นบอกตัวเองว่า นี่ละมโนมยิทธิที่อยากได้นักหนา นึกทบทวนวิธีการฝึกและกำลังใจ ตลอดจนการตัดขันธ์ ๕ และการตัดสินใจตามที่ครูสอน

ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องทำเวลาที่จะมา รวมทั้งการตั้งกำลังใจก่อนที่จะมาที่ตรงนี้ เพื่อที่จะได้จำไว้ไปคราวหน้า ทบทวนกลับไปกลับมาหลายครั้งเพื่อที่จะได้ไม่ลืม คำพูดของหลวงพ่อดู่ ผุดขึ้นในใจที่ว่า มโนมยิทธินี้ดีนัก อยากรู้อยากเห็นอะไรก็จะเห็นได้ อยากจะเห็นนรกสวรรค์นิพพานก็ได้ทั้งนั้น วันนี้ได้ประจักษ์แก่ใจแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง ต้องรู้ด้วยตนเองโดยแท้จริงจึงจะเข้าใจและนี่คือสัจจธรรม มโนมยิทธินี่เองที่ทำให้เราพบหลวงปู่ทวดได้

เกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นอีกว่า แล้วทำไมเราจึงทำได้ล่ะ แล้วใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ (มาภายหลัง หลวงพ่อกรุณาชี้แจง ให้ฟังว่า คนที่ได้มโนมยิทธิในชาตินี้ เคยได้มาแล้วในชาติก่อนๆ และฝึกมาแล้วหลายชาติ จึงหายข้องใจ) เราพยายามฝึกต่ออีก ๒ วันคือ ท่องเที่ยว และญาณ ๘ ก็ไปได้แต่กระท่อนกระแท่นพอสมควร คราวนั้นเหมือนได้ของวิเศษ พอจากวัดมาก็พยายามฝึกกันทุกวัน ขายของไปด้วย กลับมาที่พักก็ตั้งใจทำสมาธิกัน เริ่มซ้อมสมาธิและฝึกกันเองโดยดูจากการเห็นว่าเหมือนกันหรือเปล่า

ก็ช่วยพยุงกันไป กลับจากขายของก็แวะมาฝึกที่วัดกันอีก ก่อนจะกลับบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าได้แน่ๆ แล้ว (ตอนนั้นได้ใหม่ๆ ขยันมาก) ข้าพเจ้าและคุณอภิชัยคิดกันว่า สิ่งที่เราได้มาคราวนี้เป็นสิ่งที่ดีและวิเศษมาก เราควรจะช่วยให้คนอื่นได้กันบ้าง กลับบ้านคราวนั้นไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ลูกๆ ด้วยทุกคนตื่นเต้น สนใจกันใหญ่ ลูกๆ ที่ยังเล็กๆ ก็ยังอยากฝึก ข้าพเจ้าตกลงใจที่จะฝึกให้ลูกด้วยตนเอง แล้วก็นำเอาวิธีการฝึกที่ครูสอนเรานั้นมาสอนกับลูกๆ

พร้อมทั้งขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและหลวงพ่อให้ช่วยในการฝึกให้ลุล่วงไปด้วย พอเริ่มฝึกครั้งแรก ปรากฏว่า ลูกๆ ไปกันได้หมด ข้าพเจ้างงมากเพราะลูกสาวคนโตอายุตอนนั้นก็ประมาณ ๙ – ๑๐ ขวบ ส่วนลูกสาวคนเล็ก อายุประมาณ ๖ ขวบ เธอเก่งกว่าข้าพเจ้าเสียอีก ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่ได้เล่ารายละเอียดในการฝึกให้เขาฟังเลย ข้าพเจ้าชักไม่แน่ใจว่าทำไมเขาจึงทำได้เร็วนัก แต่ตอนนั้นก็ยังหาคำตอบไม่ได้

หลังจากนั้น เด็กๆ ฝึกท่องเที่ยวและฝึกญาณ ๘ ก็ได้อีก ข้าพเจ้าจึงเริ่มฝึกคนอื่น เริ่มจากคุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย ก็มาฝึกกันหมด คราวนี้ได้เห็นความแตกต่างของการฝึกเด็กและผู้ใหญ่ได้ดี อะไรๆ ในใจของผู้ใหญ่ เช่นความจำเก่าๆ นั้นมีมากกว่าของเด็ก และสงสัยมากกว่าเด็ก จึงทำให้ฝึกไปได้ช้ากว่าเด็กๆ ที่บอกให้ทำอะไรก็ทำตามโดยไม่คิดอะไร (เพราะผู้ใหญ่นั้นฉลาดเกินไป จำอะไรๆ ไว้มากและติดในสิ่งที่รู้มามากกว่าเด็ก) วันนั้นฝึกไปได้อย่างไม่ดีเลย

ข้าพเจ้าพาลูกไปวัดดีกว่า เพื่อความแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด คราวนี้ลูกสามารถมาฝึกฝึกที่วัดได้ดีทุกคน และคุณแม่ของข้าพเจ้าด้วย ที่สมารถฝึกได้ใน ๓ วันแรกที่มาวัด คราวนี้เราคุยกันถึงแต่เรื่องมโนมยิทธิและหลวงพ่อฤาษี และดีใจกันมากซึ่งทำให้มั่นใจในการที่เราตัดสินใจจะไปนิพพานกันในชาตินี้ ชักจะเริ่มมีความหวังบ้างแล้ว

การฝึกมโนมยิทธิของพวกเราทุกคนก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตของเราทุกคนดูเหมือนจะได้เริ่มต้นอย่างมีคุณค่า มีความหวังที่จะได้พ้นจากทุกข์กับเขาบ้าง ยิ่งเข้ามาใกล้ธรรมะก็ยิ่งเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน นั่นคือความทุกข์ยากลำบากและความทรมานจากการมีร่างกายนี้ ก็เพิ่งจะได้เข้าใจหลังจากที่โง่กันมาหลายแสนชาติ ที่โง่เกิด โง่ตาย คิดไม่ได้มาโดยตลอดเลยเรา

ธรรมะที่ได้จากการปฏิบัติธรรม – ธรรมะกับกระจกเงา (รูปที่แท้จริง)
วันหนึ่งข้าพเจ้าแต่งหน้ากำลังจะออกนอกบ้าน ขณะที่มองดูรูปตัวเองในกระจกเงาแล้วเกิดตกใจ ที่เห็นว่ารูปในกระจกนั้นไม่ใช่ตนเอง เป็นใครอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่เรา ขณะที่มองอยู่นั้น เกิดความคิดว่า “นี่เรากำลังทาสีส้วมอยู่หรือ ที่เราเห็นอยู่นี่คือตัวเองนั่งอยู่ในส้วมที่สกปรกมาก แล้วโผล่หน้าออกมาก ไปไหนเราก็เอาส้วมนี้ไปด้วย แล้วยังไปเที่ยวโชว์คนอื่นให้ดูส้วมที่พาไปด้วยเสียอีก” ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมากและต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ

และคำสอนของหลวงพ่อเกิดขึ้นในใจว่า ที่เห็นวันนี้คือความจริงของชีวิต เรามัวหลงอยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มานานแล้ว แต่ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่เราจะทนอยู่กับสิ่งนี้ วันหนึ่งข้างหน้าในไม่ช้าเราจะเปิดประตูแห่งความสกปรกนี้ออกไปสู่อิสระ และจะไม่กลับมาอยู่ที่นี่อีก วันนั้นเป็นอันว่าออกไปข้างนอกบ้านได้ทั้งอย่างนั้นโดยไม่ต้องผัดหน้า ทาปาก เพราะความรู้สึกนั้นเอง

ธรรมะระหว่างฟังเทป
ข้าพเจ้าชอบคิดอยู่เสมอว่า ทำไมสิ่งนั้นจึงเป็นอย่างนั้น สิ่งนี้จึงเป็นอย่างนี้ แล้วพยายามจะหาคำตอบออกมาให้ได้ วันหนึ่งนั่งมาในรถ จำได้ว่ากลับจากมุกดาหารจะมาโคราช ได้เอาเทปธรรมะของหลวงพ่อเปิดฟังมาในรถ ใจก็คิดตามคำสอนของหลวงพ่อไปด้วย เทปก็เปิดดังลั่นรถไปเลย จะได้ไม่ง่วง ในขณะที่ฟังอยู่นั้นหลวงพ่อก็สอนว่าไม่ให้ไปยึดมั่นว่าร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเรา ให้คิดว่ามันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ให้วางมันเสีย

ก็เกิดสงสัยว่า เวลาจะวางล่ะ วางยังไง จะตัดอย่างไรจึงจะขาด ไม่ห่วง ไม่กังวล ไม่ยึดติดกับเจ้าร่างกายนี้อีก ใจก็คิดไป หูก็ฟังเทป ตาก็มองไปนอกรถ ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง โยนถุงใส่ของที่เธอไม่ใช้ลงไปในถังขยะ ในขณะนั้นเกิดความรู้สึกว่าในใจมันสว่างพรึ่บขึ้นมา เสียงจากเทปนั้นหายไป และเสียงหลวงพ่อดังลั่นว่า “ไอ้ขี้หมาเอ๊ย! เวลาจะทิ้งร่างกาย ก็โยนมันทิ้งไปเหมือนโยนของที่เราไม่ใช้ลงถังขยะนี่แหละ” ข้าพเจ้าหายข้องใจได้เดี๋ยวนั้นเลยทันที แล้วเทปก็ดังลั่นตามปกติ

ธรรมที่ข้าพเจ้าได้จากหลวงพ่อและการปฏิบัติธรรม
คำสอนของหลวงพ่อนั้นมักจะเป็นที่ประทับใจของข้าพเจ้าอยู่เสมอ เพราะท่านมักจะสอนในข้อที่เรากำลังข้องใจอยู่ทุกที หรือบางครั้งที่เราปฏิบัติตัวในสิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง เวลาที่มากราบท่านที่ตึกรับแขก ท่านก็มักจะเปรยๆ ถึงความไม่ดีที่เรากำลังทำอยู่ เช่นมีอยู่วันหนึ่งข้าพเจ้านั่งบนมาในรถขณะที่กำลังจะมาวัดว่า เราเองก็พยายามที่จะทำความดีอยู่เสมอ และอยากจะดีต่อทุกๆ คน

ทำไมจึงได้รับแต่สิ่งที่ไม่ดีตอบแทนอยู่เรื่อย ชีวิตเรานี้ก็ไม่เห็นจะมีความสุขอย่างที่ตัวเองต้องการเลย ต้องลำบากและดิ้นรนในการทำมาหากินตลอดมา ความดีไปอยู่ที่ไหนไม่เห็นมาสนองตอบต่อเราบ้างเลย อย่างนี้จะเรียกว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วได้อย่างไรกัน หลวงพ่อทำไม่รักลูกไม่เท่ากันเลย คนที่มีความสุขก็สุขมากจนเกินพอ คนที่มีทุกข์ก็ทุกข์เสียจริงๆ (อย่างที่ตัวเองกำลังคิด)

พอไปถึงวัดก็ลืมที่ตัวเองบ่นแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อขึ้นเทศน์วันออกพรรษา หลวงพ่อก็เทศน์ถึงเรื่องนี้ด้วยว่า คนเรานั้นมีกรรมเป็นของตัวเองที่ทำไว้ทั้งชาตินี้และชาติก่อน เมื่อกรรมดีให้ผลก็มีความสุข กรรมชั่วให้ผลก็มีความทุกข์ อย่าไปโทษว่าทำดีแล้วทำไมเทวดาไม่ช่วย และท่านก็สอนว่า การที่คนเรามั่งมีหรือยากจนต่างกันนั้นเพราะทำบุญกับผู้มีศีลไม่เท่ากัน ใครทำบุญกับผู้มีศีลมากหรือเป็นพระอริยเจ้าครั้งเดียว ก็จะได้บุญมากกว่าทำบุญกับคนมีศีลน้อย หรือไม่มีศีลเลยนับเป็นร้อยเป็นพันครั้ง

แล้วก็เล่าเรื่องเทวดา (ท่านอินทกเทพบุตร) ให้ฟัง สามีของข้าพเจ้าก็สะกิดบอกข้าพเจ้าว่า เธอๆ หลวงพ่อว่าเธอแน่ะ เมื่อวานเธอข้องใจเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ หลวงพ่อก็หันมามองข้าพเจ้า แล้วก็ยิ้มๆ ข้าพเจ้านั้นนั่งฟังเทศน์อยู่เกือบจะข้างหน้าเลยทีเดียว รีบก้มลงกราบขอขมาเป็นการด่วน รู้ว่าหลวงพ่อรู้ใจเข้าแล้วว่าคิดอะไรอยู่ อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อที่ตกรับแขก วันนั้นมีคนมาเยอะ กราบท่านแล้วก็ถอยออกมานั่งฟังคนอื่นคุยกับท่าน ฟังไปฟังมาก็เกิดความคิดว่า

ทุกคนที่มานั่งอยู่นี่มีทุกข์เหมือนๆ กันทั้งนั้น ถ้าไม่เกิดมาเสียอย่างเดียวนี่ คงไม่ต้องมาทุกข์ มาดิ้นรน คับข้องใจอย่างทุกวันนี้ ลำพังขันธ์ห้าของตัวเองนี่ยังเอาไม่รอดเลย นี่ยังโง่แบกขันธ์ห้าของคนอื่นเข้าไปอีก ทั้งพ่อ แม่ ลูก ญาติพี่น้อง สามี และเพื่อนฝูง ยิ่งผูกพันก็ยิ่งตัดขาดได้ยาก นี่คือห่วงที่รัดเราไว้ในโลกนี่จริงๆ ยิ่งหนีก็ยิ่งฉุดรั้งเรามากขึ้น คนอื่นก็คงเป็นอย่างเราเหมือนกัน นี่ถ้าต้องเกิดอีกร้อยชาติแล้วพบอย่างนี้อีกทั้งร้อยชาติละก็ นึกแล้วขนลุก

แต่ชาตินี้ชาติเดียวก็ไม่อยากจะอยู่ต่อไปแล้ว นี่ถ้าตายเสียได้แล้วไม่ต้องกลับมาเกิดอีกก็ดี เราไม่กลัวตายหรอก ขณะที่คิดอยู่นั้น ก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหลวงพ่อถามขึ้นมาว่า “ไอ้ตายายเอ๊ย! (ท่านเรียกเราสองคนว่าตายาย) เอ็งกลัวตายไหมหว่า” ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “หนูไม่กลัวตายหรอกเจ้าค่ะ กลัวเกิดมากกว่า”ท่านก็หัวเราtแล้วก็บังสุกุลเราทันทีว่า

“อนิจจา วตสังขารา อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสังวูปสโม สุโข” แล้วก็อธิบายว่า สังขารทั้งหลายเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดาและในที่สุดก็แตกสบายดับไป การได้เข้าไปสงบกายนั้นชื่อว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง ข้าพเจ้าน้อมใจตามคำสอนของท่านไปตลอด น้ำเสียงของท่านช้าๆ ชัดเจน และชัดถ้อยชัดคำ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดปิติ น้ำตาไหลพราก กราบท่านแล้วบอกท่านว่า

ชีวิตนี้เป็นทุกข์จริงๆ เจ้าค่ะ หลวงพ่อ ขันธ์ห้าของตัวเองก็ลำบากพอแล้ว ยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอด นี่ลูกยังโง่แบกขันธ์ห้าของคนอื่นอีกตั้ง ๓๐ – ๔๐ ขันธ์ ยิ่งทุกข์มากใหญ่ ทิ้งก็ทิ้งไม่ได้ ก้าวต่อไปก็มองเห็นแต่ทุกข์อยู่ข้าหน้าทั้งนั้นเลย ท่านก็เมตตาสอนว่า “รู้ดีกว่าไม่รู้ เอ็งแบกขันธ์ห้าแค่นี้ทำมาบ่น หลวงพ่อมีขันธ์ห้าที่ต้องเป็นห่วงนับไม่ถ้วน เมื่อใจยอมรับได้ก็ให้มองให้เห็นความจริงอยู่เรื่อยๆ ก็แล้วกันว่า ทุกข์นั้นคือสิ่งที่เราต้องทน แต่ก็ตั้งใจไว้ให้ดีว่า

เราจะทุกข์ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทำงานของตัวเองตามหน้าที่ไปให้ดีที่สุด ชาตินี้ชาติเดียวก็จะพ้นแล้ว ถ้าเอ็งตั้งใจและมีความพยายาม” ข้าพเจ้านั่งร้องไห้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ตื้นตันใจ และคิดได้ในบัดนั้นเอง คำสอนของหลวงพ่อในวันนั้นเป็นสิ่งเตือนใจข้าพเจ้าตลอดมา ครั้งใดที่ข้าพเจ้ามีทุกข์ ท้อถอยและคิดว่าจะทนไม่ได ข้าพเจ้าก็จะนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อครั้งนั้นขึ้นมาเป็นกำลังใจเสมอ

และตั้งใจว่าจะพยายามทำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับมาทุกข์อีก ทุกข์และภาระของเรานั้นมีน้อยกว่าของหลวงพ่อมากมายนัก ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ยังมีหลวงพ่อเป็นที่พึ่งทางใจได้เสมอ ไม่ว่าข้าพเจ้าจะอยู่ที่ไหน ในเวลาที่ไม่อาจมาหาท่านได้ ก็จะทำสมาธิมาหาท่านและเล่าให้ท่านฟังถึงความทุกข์ที่ข้าพเจ้ามีอยู่ เหมือนกับได้อยู่ต่อหน้าท่านในวันนั้น ซึ่งบ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างง่ายดาย

และหากแม้ข้าพเจ้าจะไม่สามารถแก้ไขปัญหานั้นได้ ใจก็ยังยอมรับได้และมั่นใจเสมอว่าหลวงพ่อจะเป็นกำลังใจให้กับข้าพเจ้าตลอดเวลา เรื่องคำสอนของหลวงพ่อนั้น ข้าพเจ้ามักจะบันทึกไว้ย่อๆ เสมอ เวลาที่ได้พบได้ยินด้วยตัวเอง ยังพอที่จะจำได้อีกหลายเรื่อง หากมีโอกาสจะได้เขียนอีก ก็จะเล่าสู่กันฟัง เผื่อว่าจะได้ประโยชน์กับใครๆ บ้าง ซึ่งอาจจะมีโอกาสหน้าอีกก็ได้

การปฏิบัติธรรมกับการรักษาโรค
ข้าพเจ้าป่วยเป็นเนื้องอกในช่องท้องมาตั้งแต่พ.ศ.๒๕๒๓ ซึ่งพอรู้สึกผิดปกติก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลหลายครั้ง แต่ก็ตรวจไม่พบ แต่ร่างกายนั้นผิดปกติมาก สุขภาพแย่และน้ำหนักตัวลดลง ทั้งหัวใจก็ทำงานไม่ปกติเนื่องจากลิ้นหัวใจไม่ดี ข้าพเจ้ามักจะมีอาการหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก เหงื่อออกมากและหมดสติอยู่บ่อยๆ ในระยะนั้นต้องไปพบหมอและฉีดยา กินยาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ยังคงต้องทำงานไปด้วย เพราะลูกยังเล็กๆ และภาระทางครอบครัวก็มีมาก จำเป็นต้องช่วยกันทำงานทั้งสองคน

ทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาลและได้เห็นคนอื่นก็ป่วย มีมากมายหลายคนที่ป่วยมากกว่าเรา ข้าพเจ้าก็คิดว่าสักวันเราก็อาจจะเป็นอย่างเขา และสักวันเราก็คงจะตายไป ข้าพเจ้าไปโรงพยาบาลบ่อยมากจนรู้สึกรำคาญตัวเองที่ป่วยไม่หายเสียที วันหนึ่งไปตรวจร่างกาย ก็ให้หมอตรวจท้อง เพราะรู้สึกแน่นท้องมาก หมอจึงให้ทำอุลตราซาวด์ ก็ปรากฏว่าเป็นเนื้องอกก้อนโตมาก และเห็นได้ชัด ทั้งที่ตรวจร่างกายมาหลายครั้งก็ไม่พบเลย หมอแนะนำให้ผ่าตัดบอกว่าไม่มีอันตราย ข้าพเจ้าใจเสียคิดไปต่างๆ นานา

แต่ก็ยังไม่ยอมไปผ่า ทั้งที่สุขภาพทรุดโทรมลงมากทุกที ปี พ.ศ.๒๕๒๘ ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจว่าจะไม่ยอมผ่า เพราะคิดว่าผ่าหลายครั้งก็มีอันเป็นต้องผ่าไม่ได้ทุกที ก็เลยคิดว่าอย่าผ่ามันเลย จึงไปบวชชีที่วัดสะแก โดยหลวงพ่อดู่เมตตาบวชให้ ท่านบอกว่ายังไม่ต้องผ่า ให้ฝึกกรรมฐานให้ได้ อีกหน่อยจะหายโดยไม่ต้องผ่าตัด ข้าพเจ้าก็ดีใจ (แต่ไม่ค่อยเชื่อ) และอย่างน้อยก็สบายใจขึ้น คิดว่าถ้าหายได้น่าจะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์มากกว่า

ปี พ.ศ.๒๕๒๙ ปลายปี ข้าพเจ้าเริ่มมาเรียนมโนมยิทธิ พร้อมๆ กับได้ยาที่วัดไปกิน ลองซื้อยาฟ้าทะลายโจรกับยาแก้โรคมะเร็งไปกินเรื่อยๆ โดยอธิษฐานขอให้หายจากโรคที่เป็นอยู่ สังเกตดูว่าร่างกายนั้นดีขึ้นเมื่อจิตใจสงบก็ลดยาโรคหัวใจลง (และงดได้จนทุกวันนี้) และลืมเรื่องเนื้องอกในท้องไปเลย การฝึกมโนมยิทธิและการกำหนดลมหายใจนั้นช่วยได้มากเวลาที่มีอาการของโรคหัวใจเกิดขึ้น เช่นเวลาที่เหนื่อยหอบหรือเริ่มหายใจไม่ออก มีสติก็จะตั้งสมาธิ ภาวนานะมะพะธะ ไปเรื่อยๆ

เอาจิตไปกราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนนิพพานเสียเลย อาการจะค่อยๆ ลดลงและรู้สึกสบายขึ้นในเวลานั้นก็จะอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นั่นเลยไม่ไปไหนอีก อาการจะค่อยๆ ลดลงและรู้สึกสบายขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที และจะค่อยๆ ค่อยยังชั่วและหายไปตามลำดับ ข้าพเจ้าใช้วิธีนี้รักษาตัวเองโดยไม่กินยา ไม่ว่าอาการจะน้อยหรือมากก็ทำใจไปเลยว่าตายก็ตาย ตายเมื่อไรเราหมดทุกข์เมื่อนั้น และใช้วิธีนี้ถึง ๒ ปี ก็ไม่มีอาการของโรคหัวใจเกิดขึ้นอีก ยาแก้โรคหัวใจก็เลยไม่ต้องกิน

วันหนึ่งข้าพเจ้าท้องเสีย ต้องไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล หมอได้ตรวจเนื้องอกในท้องด้วยการทำอุลตราซาวด์อีกครั้ง เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น นั่นคือไม่มีเนื้องอกที่เคยเป็นอยู่เลย หมอก็แปลกใจเช่นเดียวกับข้าพเจ้าเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้ายิ่งดีใจมากกว่าที่หายจากโรคได้โดยไม่ต้องเจ็บตัว บารมีของหลวงพ่อและท่านผู้มีพระคุณทั้งหมดได้ช่วยข้าพเจ้าหายได้โดยไม่คาดคิดมาก่อนเลย

ข้าพเจ้าได้ช่วยผู้ป่วยที่เป็นเนื้องอก ได้รับการผ่าตัดมาแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ยอมหายเสียที ด้วยการให้ยาไปกินและแนะนำให้ปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ มีหลายคนที่ทุเลาจากโรค และหลายคนที่หายจากโรคเช่นเดียวกับข้าพเจ้าเช่นเดียวกัน การได้ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์นั้นเป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง ทำให้รู้สึกว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ยังมีค่า มีประโยชน์ที่ได้ช่วยใครต่อใครโดยยึดถือความดีของหลวงพ่อเป็นแบบอย่างเป็นแนวทางที่จะทำในสิ่งที่ดีให้กับคนอื่นและตัวเองด้วย

ประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่จะเล่าสู่กันฟัง ก็คือเมื่อหลายปีก่อนข้าพเจ้ามางานเป่ายันต์ที่วัด หลังจากรีบขายของที่ต่างจังหวัดแล้ว ก็รีบมาวัดเลยเที่ยวนั้นไม่ได้จองห้องพักไว้ ต้องไปพักรวมกับผู้มาร่วมงานอีกหลายคนที่อาคารธรรมสถิต วันนั้นพอมืดก็คุยกันหลายคน จึงได้รู้จักเพื่อนใหม่อีก ๒ ท่าน (ไม่แน่ใจว่าจะจำชื่อท่านได้ถูกต้องหรือไม่) ซึ่งต่อมาทราบว่าชื่อพี่ขันทองและพี่ผ่องศรี ขณะที่คุยกันก็คุยเรื่องสัพเพเหระไปหลายเรื่อง ไม่มีใครถามว่าใครชื่ออะไร

รู้แต่ว่าพี่สองคนนี้เป็นภริยาทหารอยู่ที่ค่ายจังหวัดพิษณุโลก และสามีของพี่ผ่องศรีนั้นเสียชีวิตแล้วด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำ พอ ๓ ทุ่มหลวงพ่อเทศน์ตามสาย เราก็ทำสมาธิกันแล้วเข้านอน ตอนดึกคืนนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อศรี..ศรี.. ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตัวแต่ว่าเหมือนกับเคลิ้มๆ ราวกับฝันก็ไม่ใช่ตื่นก็ไม่ใช่ ก็ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งผิวสองสีไม่ขาวแต่ก็ไม่ดำใส่เสื้อยืดคอกลม กางเกงทหารสีเขียวมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง

ตอนนั้นข้าพเจ้าก็ไมได้สงสัยว่าทำไมจึงเห็นเขา ทั้งที่นอนอยู่ชั้นบน ก็ถามเขาว่า มาหาใคร เขาบอกมาหาแฟนเขาชื่อศรี ตัวเขาชื่อสุชาติ ถามว่าศรีเฉยๆ หรือ เขาบอกว่าชื่อผ่องศรี ข้าพเจ้าบอกว่าไม่รู้หรอกว่าคนไหน เพราะพักอยู่หลายคน เขาว่าเขาเป็นสามีของผู้หญิงคนที่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำและเราพูดถึงเขาเมื่อตอนหัวค่ำนั่นล่ะ จึงนึกขึ้นได้ว่าภริยาเขาคนไหน ก็ถามว่าจะให้เรียกหรือ เขาก็ว่าไม่ต้อง เขาจะมาบอกว่าพรุ่งนี้ถ้าทำบุญขอให้ถวายสังฆทานให้เขาด้วย ข้าพเจ้าก็บอกว่าได้

แล้วจึงถามเขาว่า รอยเลือดที่ศีรษะกับเสื้อน่ะเป็นเพราะรถมอเตอร์ไซค์คว่ำและหัวฟาดพื้นหรือ เขาก็บอกว่าใช่ ข้าพเจ้าจึงรับปากเขาอีกครั้งว่าจะบอกพี่ผ่องศรีให้ ไม่เป็นไรหรอก เขากล่าวขอบใจแล้วก็หายไป ข้าพเจ้ารู้สึกตัวก็เป็นเวลาประมาณตี ๔ ก็คิดว่าเราคงจะเก็บเอาเรื่องที่คุยกันตอนเย็นนั้นมาฝันไปเองก็ได้ แต่ก็จะลองถามพี่เขาดูว่าเขาชื่อนั้นจริงหรือไม่ และที่ฝันถูกต้องหรือเปล่า พอสว่างก็เล่าเรื่องนี้ให้พี่ทั้งสองคนฟัง พี่ที่เป็นภริยาของชายคนนั้นก็ร้องไห้แล้วบอกว่าเป็นความจริงทั้งหมด

พี่ก็เลยได้รับสังฆทานสมดังที่ตัวปรารถนา ข้าพเจ้าก็รู้สึกดีใจที่ช่วยเขาได้ เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้พบมาหลายปีแล้วจนลืมไปเลย จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง หลวงพี่วิรัชมาขอให้เขียนเรื่องนี้เล่าสู่กันฟัง ก็ยังสงสัยว่าทำไมท่านจึงทราบ ท่านก็บอกว่าลูกชายของพี่ขันทองเธอเคยบวชอยู่ที่วัดนี้ และมาเล่าให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าจึงนำมาเล่าสู่กันฟังในบันทึกฉบับนี้

ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง
ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ใจของลูกๆ ทุกคนว่าความเมตตาที่หลวงพ่อมีต่อพวกเราทุกคนและความผูกพันทางจิตใจที่ลูกๆ มีต่อหลวงพ่อนั้นมีมากมายเพียงใด ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนอยากทำความดีให้มากที่สุด อยากช่วยเหลืองานทุกอย่างของหลวงพ่อจนเต็มความสามารถ และด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ เพราะถือว่าทุกอย่างที่ทำลงไปนั้นเป็นงานเพื่อพระศาสนา เพื่อหลวงพ่อที่เรารัก และมีความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพราะจะเป็นชาติสุดท้ายของทุกๆ คนที่ปรารถนาจะหลุดพ้นแล้ว

อย่างไรก็ตามชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง ความตายอาจมาถึงเราได้ทุกเวลา ทุกนาที อยากจะบอกกับทุกท่านว่าอย่ารอช้าที่จะทำความดีกับใครสักคน หรือให้อะไรใครสักอย่างในสิ่งที่เราคิดว่า ถ้าวันนี้เวลานี้เป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตเรา เราอยากจะเป็นผู้ให้จนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นขอให้ทำเสียก่อนเวลานั้นจะมาถึง เพราะเมื่อถึงเวลานั้นแล้วจะได้ไม่รู้สึกเสียดายว่า รู้อย่างนี้...เราทำเสียก็ดี

ขอกราบบูชาความดีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยเจ้าทั้งหลาย ตลอดทั้งพรหมเทวดาและท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด และขอกราบที่เท้าของหลวงพ่อฤาษี หลวงพ่อดู่ ด้วยความเคารพรักเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมตตาของหลวงพ่อทั้งสองที่พาให้ลูกมาถึงตรงนี้และเดี๋ยวนี้ และมีชีวิตที่มีค่าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ขอบารมีแห่งพระรัตนตรัยและผู้มีพระคุณทุกท่านและพระสยามเทวาธิราช จงช่วยให้สุขภาพของหลวงพ่อแข็งแรงขึ้น มีอายุยืนยาวอยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกหลานต่อไปอีกนานๆ เถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/9/12 at 15:07 [ QUOTE ]


80

ขนาดแค่พระลูกวัด


อรพินท์ วิทยวิโรจน์


พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเฉียบคม ลึกล้ำ ยากแท้ หยั่งถึง อย่างจริงแท้แน่นอน ท่านมีลีลาไม่ซ้ำแบบใคร ในการให้ธรรมะ การปกครองดูแล ทั้งพระและฆราวาส ทั้งๆ ที่ทราบว่า ไม่มีอะไร ผู้ใด ที่ไหน จะเล็ดลอดสายตาและการหยั่งรู้ของหลวงพ่อได้ แต่ก็ยังอดแสดงบทบาทกันไปตามสภาวะกฎของกรรมไม่ได้ ดิฉันมีโอกาสมาปฏิบัติธรรมและช่วยงานวัดมาประมาณ ๕ ปี ได้รับความเมตตาในธรรมจากพระภิกษุรูปหนึ่ง ทุกครั้งที่ไปช่วยงานวัด ลักษณะที่ท่านมาสงเคราะห์นั้น

มาแรง มาแปลก คล้ายได้รับบัญชาที่ต้องจำยอม ดื้อไม่ได้ เพราะปกติท่านสำรวมเรื่องนี้มาก ด้วยเกรงพระบารมีหลวงพ่อเป็นที่สุด ขณะให้ธรรมะนั้นขันธ์ห้าท่านจะเปลี่ยนไป แลดูผ่องใสงดงามมาก สีผม สีตา เปลี่ยนเป็นดำขลับ ผิวพรรณผ่องใสมาก วาจาที่กล่าวแจ่มใสชัดเจนต่อเนื่องกันไปและตรงใจผู้ฟัง ควรถามเมื่อพูดจบ เพื่อไม่ให้ขัดกระแสธรรมที่หลั่งไหลออกมา อาจเกิดโทษได้จึงพากันระวังในเรื่องนี้ ดิฉันมีปัญหามากมาย ที่ถามกันชนิดไม่กลัวอายกันละ

ทั้งที่นึกได้ในขณะนั้นและจดปัญหามาจากบ้าน เช่น ปัญหาเรื่องลูก ท่านกล่าวว่า “แต่ละขันธ์ห้าย่อมต้องมีวิบากกรรมติดมา ไม่มี พ่อ แม่ ลูก ทุกคนเกิดมาเพื่อเสวยกรรม วิบากนี้เขาจะตามมาขอชดใช้ให้เจ็บแสบ จะเจ็บแสบได้สมใจก็ต้องเกิดมาเป็นลูกอันเป็นที่รัก ความรู้สึกในความผูกพันนั้น คือ พรหมวิหารธรรมที่มีต่อกัน แล้วต่างคนก็ต่างตายต่างสลายตัวไป ทุกคนล้วนขับรถกายคตา เพื่อมาเสวยกรรม เมื่อรถคันนี้พังก็จบ สกปรกก็ล้าง รถเสียก็ซ่อม น้ำมันหมดก็เติม เงินของเรามี ให้อยู่ในศีล ๕

จึงจะปลอดภัย ต้องเรียนวิชาการ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงกายคตานี้ จิตเราไม่ต้องการขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์นี้อีก...เราจะไปพระนิพพาน” ครั้งหนึ่งที่วัดท่าซุง เพื่อนเล่าว่า หลวงพี่ชี้ให้ดูยอดมณฑปหลวงปู่ขนมจีน เมื่อกระทบแสงอาทิตย์ตอนบ่าย ส่องประกายเจิดจ้าไปทุกทิศทาง ท่านให้น้อมเข้ามาไว้ในอก จนอกสว่างแสงพุ่งออกโดยรอบทุกทิศทาง ทรงไว้ให้ตลอด อยากจะรู้อะไรก็กำหนดจิตถามพระในอกก็จะรู้ได้เองในทันใด

บางครั้งท่านอาจมีธุระจึงยังไม่เห็นมา ก็ตั้งจิตนิมนต์ท่านจะเมตตามาสนทนาธรรมด้วยเป็นส่วนใหญ่ มาพร้อมกับลีลาการบ่นที่ไม่ซ้ำแบบใคร การตอบปัญหา และสนทนาธรรม ทั่วๆ ไป ท่านใช้คำพูดที่ฟังเข้าใจง่าย ให้ความเป็นกันเอง และเต็มไปด้วยเมตตาจิต ใช้คำเปรียบเทียบที่ตรงใจผู้ฟังและคล่องแคล่ว ด้วยปฏิภาณอันน่าทึ่ง ชวนให้สนใจในธรรมยิ่งนัก

นี่...ขนาดแค่พระลูกวัด ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนะคะก็คิดดูเถิดว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อจะสักแค่ไหน ย่อมหาที่เปรียบประมาณมิได้ ในสายการปฏิบัติแบบนี้ ดิฉันขอตั้งจิตปฏิบัติตามเสียงหนึ่งที่ก้องเข้ามาในความรู้สึกว่า “ข้าจะขอมอบกายถวายชีวิตให้แก่พระศาสนา”

ll กลับสู่สารบัญ


81

ลูกสาวเป็นเหตุให้พบหลวงพ่อ


จาลิจี (แอ๊ว) ศรีนิล


จากนามปากกาขององค์หลวงพ่อ ซึ่งได้ปรากฏในหนังสือธรรมะต่างๆ นั้น ย่อมเป็นที่รู้จักแก่บรรดาท่านสาธุชนมานานแล้ว แม้ดิฉันเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยพบท่านหรือรู้จักวัดท่าซุงมาก่อน โดยเฉพาะคำว่า “มโนมยิทธิ” จึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน ทั้งๆ ที่องค์หลวงพ่อท่านได้ฝึกสอนวิชานี้มานานหลายปีแล้ว ดิฉันก็เพิ่งจะทราบเมื่อประมาณ ๓ – ๔ ปีที่ผ่านมานี้

คงจะเป็นเพราะทางบ้านของดิฉันอยู่ห่างไกลจากวัดท่าซุงมาก อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ยังไม่มีโอกาสได้เป็นลูกศิษย์ของท่านนั่นเอง ส่วนเหตุที่จะได้ยอมรับนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์นั้น ดิฉันขอเล่าย้อนหลังไปเมื่อปี ๒๕๒๓ ในปีนั้นดิฉันได้ให้กำเนินบุตรสาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกคนที่ ๓ และแกเป็นเด็กที่แปลกไปจากเด็กธรรมดาทั่วไป เพราะแกสามารถ “ระลึกชาติ” ที่ผ่านมาได้ ๒ ชาติ

และสามารถนั่งสมาธิถอดจิตไปเที่ยวบนสวรรค์ได้เอง โดยที่ไม่เคยได้รับการฝึกสอนจากใครมาก่อน ประกอบกับทุกคนในบ้านหรือคนในหมู่บ้านนี้ ยังไม่เคยรู้เรื่องอย่างนี้เลย เป็นเพราะเหตุนี้เองทำให้ดิฉันและสามีตลอดถึงญาติพี่น้อง มีความข้องใจในเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน จนกระทั่งมาถึงวันหนึ่งของปี ๒๕๒๙ มีพระภิกษุรูปหนึ่งท่านได้เดินทางมาที่บ้านของดิฉัน สืบถามเรื่องเด็กระลึกชาติได้ ตามที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้ลงไว้ เมื่อดิฉันได้ทราบความประสงค์ของท่านแล้ว

จึงได้แนะนำลุกสาวที่ระลึกชาติได้นั้น เธอมีชื่อว่า เด็กหญิงอุรารัตน์ ศรีนิล อายุ ๖ ขวบ โดยปกติเรียกกันว่า “น้องอุ๊” เรื่องของน้องอุ๊นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็ยังมีชีวิตอยู่ พอที่จะสืบสาวราวเรื่องได้ เรื่องราวมีมากแต่จะขอนำมาเล่าโดยย่อ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ตายแล้วไม่สูญ นรกสวรรค์มีจริง อีกทั้ง “มโนมยิทธิ” ที่น้องอุ๊ทำได้เองนั้น เป็นการบังเอิญที่ทำได้ตรงตามแนวที่องค์หลวงพ่อสอนไว้ทุกประการ

ฉะนั้น เรื่องลูกสาวของดิฉันนี้ ต้องขออภัยด้วยที่เล่ามานี้มิได้นำมากล่าวเพื่อเป็นการอวดอ้าง แต่เกรงว่าเรื่องเหล่านี้จะสูญหายไป หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านบางท่าน ที่กำลังสนใจในพระพุทธศาสนา จะได้มีความมั่นใจในคำสอนและมุ่งหน้าในด้านการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยมิต้องลังเลสงสัยต่อไปอีก เรื่องของน้องอุ๊นั้นมีอยู่ว่า เมื่อตอนที่แกมีอายุประมาณ ๒ ขวบเศษ ตอนนั้นเริ่มพูดได้บ้างแล้ว แกก็ร้องหาพ่อ

เมื่อพ่อในชาติปัจจุบันคือ คุณชำนาญ ศรีนิลเข้ามาอุ้ม น้องอุ๊กบอกว่าไม่ใช่พ่อคนนี้ แกร้องหาพ่อเกือบทุกวัน รบเร้าให้พาไปหาพ่ออยู่เสมอ ในตอนนั้นดิฉันและสามีก็ไม่เข้าใจว่าลูกเป็นอะไร ได้พาลูกไปหาพระคิดว่าคงจะถูกผีเข้า หลังจากพระท่านทำน้ำมนต์ให้ตามพิธีกรรมแล้ว น้องอุ๊ก็ยังรบเร้าที่จะให้พาไปหาพ่ออีก แต่ก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าเด็กคงจะร้องไปอย่างนั้นเอง

หลังจากนั้นน้องอุ๊อายุได้ประมาณ ๓ ขวบ ที่บ้านของดิฉันขายของ วันหนึ่งได้มี นายซี และนางกิมเนือง ลิ้มสวัสดิ์ เข้ามาซื้อของในบ้าน น้องอุ๊ก็เข้าไปทักทั้ง ๒ คนนั้น และเรียกทั้งสองว่าพ่อและแม่ ดิฉันก็ดุลูกว่า ทำไมต้องไปเรียกเขาว่าพ่อแม่ น้องอุ๊ตอบว่า คนนี้เป็นพ่อของหนูเมื่อชาติก่อน เมื่อตายแล้วกลับมาเกิดกับแม่แอ๊วไงล่ะ...

โดยเฉพาะนายซี เด็กใช้คำเรียกว่า “พ่อเตี่ยซี” เรียกได้ถูกต้องโดยไม่มีใครบอกมาก่อน จึงเป็นคำที่สะดุดใจของนายซีมาก เพราะเป็นคำเรียกที่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้ต้องหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเป็นคำพูดที่เด็กหญิงยุวดี ลิ้มสวัสดิ์ เคยเรียกมาก่อน แต่เธอได้จากไปเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๔ ขณะนั้นมีอายุได้ ๘ ขวบ โดยกลับมาจากโรงเรียนแล้วไปอาบน้ำที่หนองน้ำใกล้บ้าน กลับขึ้นมาเป็นลมตาย

เหตุการณ์ในวันนั้นได้ผ่านไป โดยทิ้งความสงสัยไว้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นด.ญ.ยุวดี จะกลับชาติมาเกิด จนกระทั่งน้องอุ๊อายุประมาณ ๔ ขวบ วันหนึ่งที่บ้านของนายซีมีงานเลี้ยงส่งทหารเกณฑ์ของลูกชายคนโต สามีของดิฉันคือคุณชำนาญ ก็ได้พาน้องอุ๊ไปด้วย เพราะระยะทางของบ้านห่างกันประมาณ ๑ กม. เท่านั้น เมื่อไปถึงน้องอุ๊ก็บอกว่าเคยเกิดที่บ้านหลังนี้ จำญาติพี่น้องได้หมดทุกคน

และได้ไปชี้สถานที่เคยนอนอยู่ตรงนี้และก็ตายตรงนี้ แกเดินไปดูรูปถ่ายบุคคลต่างๆ ได้แขวนไว้ที่ฝาบ้าน รูปมีหลายรูปแต่ไม่ยอมชี้ กลับมาชี้ที่รูปถ่ายของ ด.ญ.ยุวดี บอกว่ารูปนี้เป็นของตนเองเมื่อชาติก่อน แม้กระทั่งปิ่นโตที่หิ้วไปโรงเรียน และกระเป๋านักเรียนที่ยังเหลืออยู่ ก็สามารถบอกได้ถูกต้องหมด จนเป็นที่แปลกใจของทุกคน บางคนถึงกับร้องไห้ออกมา

เรื่องราวของการระลึกชาตินี้มีเหตุการณ์มากมาย จะขอผ่านไป แต่ขอเล่าถึงเหตุการณ์ที่ลูกสาวของดิฉัน โดยเฉพาะบางวันแกจะขึ้นไปนั่งสมาธิชั้นบนของบ้าน บอกดิฉันว่าอย่าให้น้องคนเล็กขึ้นไปกวน ตอนหลังดิฉันได้ถามถึงเรื่องนี้ แกก็บอกว่าไปเที่ยวบนสวรรค์ แล้วก็เล่าเรื่องที่ได้พบเห็นวิมานของตัวเองบ้าง เห็นตนเองแต่งตัวเป็นนางฟ้า มีเครื่องประดับสวยสดงดงาม บางครั้งได้พบท่านแม่บ้าง และท่านพี่อีก ๔ องค์บ้าง บางครั้งได้ไปพบเพื่อนๆ บนสวรรค์ แต่ละองค์มีเครื่องแต่งตัวมีสีไม่เหมือนกัน

บางทีท่านเหล่านั้นจะลงมาหาน้องอุ๊ที่บ้านนั้น ต่อมามีวันหนึ่งแกบอกให้ดิฉันทำพิธีรับพี่เลี้ยงและบริวาร โดยให้ทำเป็น “ศาลเพียงตา” วันทำพิธีต้องใช้ของหลายอย่าง เช่น ผ้าขาว ดอกไม้ สำหรับดอกไม้ แกห้ามไม่ให้เอาดอกไม้ที่ซื้อตามตลาด แต่ให้เอาดอกไม้ที่ปลุกไว้ข้างบ้านมาบูชา เมื่อทำเสร็จแล้วน้องอุ๊จะขออาหารใส่ถ้วยเล็กๆ วางไว้ในถาด เพื่อถวายเป็นเครื่องเซ่นหน้าศาลเพียงตานั้น

เป็นการบูชาเทวดานางฟ้าทั้งหลาย และแกบอกว่าเขาจะไม่มาในวันพระ บางครั้งแกจะเล่าเรื่องบนสวรรค์ บอกว่า สวรรค์มี ๖ ชั้น แต่ไม่เป็นชั้นๆ เพียงแต่เป็นเขตแดนต่อกันเท่านั้น เรื่องต่างๆ เหล่านี้ยังมีอีกมาก จึงเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับเด็กในวัยนี้ ในบางครั้งแกจะชวนดิฉันและสามีซึ่งเป็นพ่อแม่ในชาติปัจจุบัน และชวนพ่อแม่ในชาติก่อนมาหัดนั่งสมาธิ บอกว่าจะได้เที่ยวบนสวรรค์ด้วยกัน รู้สึกว่าแกจะติดใจบนสวรรค์มาก

ในตอนนั้นดิฉันและสามีมิได้สนใจเท่าใดนัก บางครั้งก็ได้นำไปหาพระให้ทำสายสิญจน์ผูกข้อมือ ลูกก็บอกว่าช่วยเอาออกให้หน่อย เพราะผูกแล้วร้อนมือและจะมีสีเป็นชั้นๆ มากั้น ทำให้ไปเที่ยวสวรรค์ไม่ได้ แม้แต่ตัวในที่เป็นนางฟ้าก็มองไม่เห็น ต่อมาเมื่อเอาสายสิญจน์ออกแล้ว แกก็ไปเห็นได้เหมือนเดิมบอกว่า ที่นั่นมีบ้านเป็นแก้ว เมื่อขึ้นไปบนนั้นแล้ว น้องอุ๊จะเป็นสาว เพราะที่นั่นไม่มีเด็กและคนแก่ บางครั้งแกจะบอกว่าอย่าไปรังแกสัตว์ เช่นถ้าเราไปตีหัวแมว ชาติต่อไปมันก็มาตีหัวเราอีก รู้สึกว่าแกจะเป็นเด็กมีเมตตาต่อสัตว์มาก

พูดจาพาทีบางครั้งเป็นผู้ใหญ่ เป็นเด็กฉลาดแต่ขี้อาย และป่วยไข้ไม่สบายอยู่เสมอ ต่อมาลูกได้บอกว่าเมื่อถึงอายุ ๘ ขวบ จะต้องกลับไปอยู่ที่เดิม เพราะตอนที่เป็นนางฟ้าบนสวรรค์ได้หนีลงมาเที่ยว เห็นดิฉันเดินอยู่จึงได้ตามมาเกิดด้วย ดิฉันจึงได้ดุลูกว่า ทำไมพูดถึงเรื่องตาย น้องอุ๊บอกว่า จะกลัวทำไมก็หนูเคยตายมาหลายชาติแล้ว แล้วแกได้บอกว่า แถวนี้เคยเกิดมา ๒ ชาติแล้ว ชาตินี้เป็นชาติที่ ๓ ทุกชาติที่ผ่านมาต้องตายในขณะมีอายุ ๘ ขวบ

สำหรับชาติก่อนที่จะมาเกิดเป็น ด.ญ.ยุวดีนั้น ก็เกิดเป็นเด็กผู้หญิงเช่นกัน แต่ชาตินั้นความจำเลือนรางเต็มที สืบหาพ่อแม่ญาติพี่น้องไม่ได้ เพราะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว น้องอุ๊เพียงแต่จำได้เฉพาะหลุมฝังศพของตัวเองเท่านั้น ซึ่งจะต้องเดินจากหลังโรงเรียนท่าม่วง ผ่านสวนยางลงไปที่ริมทุ่งนาจึงจะพบ ห่างไกลจากบ้านชาติปัจจุบันหลายกิโลเมตร นับเป็นที่น่าแปลกใจของทุกคน ที่ได้ไปพิสูจน์กันในวันนั้น คิดไม่ถึงว่าเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ จะรู้จักทางที่จะไปหลุมฝังศพนั้นได้

เมื่อดิฉันได้เล่าเรื่องการระลึกชาติและการไปเที่ยวสวรรค์ให้พระคุณเจ้ารูปนั้นฟังจบแล้ว ในวันรุ่งขึ้นก็ได้นิมนต์ท่านไปฉันภัตตาหารเพลที่บ้านของคุณพ่อ ซึ่งอยู่ในสวนห่างจากบ้านของดิฉันพอสมควร หลังจากฉันเพลแล้วฝนตกหนัก ดิฉันและญาติๆ ก็กลับบ้านก่อน โดยทิ้งลูกสาวและหลานสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีอายุไล่เลี่ยกันนั่งคุยกันก่อน

หลังจากกลับมาดิฉันก็ไม่ทราบว่าหลานสาวที่ชื่อว่า “กบ” ได้รับการฝึกมโนมยิทธิตามแบบฉบับของวัดท่าซุง ปรากฏภายหลังทราบว่าสามารถฝึกไปถึงพระจุฬามณีได้ และได้ไปเที่ยวที่วิมานของลูกสาวของดิฉัน ไปเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน ต่อมาวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่พระท่านจะเดินทางกลับ ท่านก็มิได้เล่าเรื่องนี้ให้ดิฉันฟัง อีกทั้งไม่ทราบว่าท่านมาจากวัดไหน เมื่อใกล้จะกลับจึงได้เล่าให้ท่านฟังว่า กบได้มาบอกดิฉันเมื่อกี้นี้ว่า ได้ไปเที่ยวที่วิมานของลูกสาวดิฉัน และบอกว่าวิมานเป็นสีชมพู

ดิฉันได้ฟังแล้วถึงกับตกใจ เพราะแปลกใจมากในเรื่องนี้ ซึ่งตรงกับที่ลูกอุ๊เคยบอกไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้สนใจจึงไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แล้วกบจะรู้ได้อย่างไร แต่แล้วความสงสัยของดิฉันก็หายไป เมื่อได้รับทราบจากท่านว่า องค์หลวงพ่อท่านได้ฝึกสอนวิชามโนมยิทธิอยู่ที่วัดท่าซุง จ.อุทัยธานีมานานแล้ว กบจึงเป็นผู้ฝึกได้ตามแนวนั้น และสามารถพิสูจน์ได้กับเรื่องราวของน้องอุ๊ เรื่องนี้ดิฉันเกิดความสนใจมากจึงได้ศึกษาจากหนังสือธรรมะต่างๆ ขององค์หลวงพ่อ เมื่ออ่านแล้วทำให้มีความศรัทธาท่านมาก

ต่อมาในปี ๒๕๓๐ ลูกสาวมีอายุได้ ๗ ขวบ ใกล้เวลาตามที่เธอบอกว่าจะต้องจากไป ซึ่งเป็นธรรมดาที่พ่อแม่ย่อมรักลูกของตน อยากจะให้ลูกมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจในคำบอกไว้ล่วงหน้าของลูกก็ตาม แต่ก็อดหวั่นไหวไม่ได เพราะบางครั้งแกก็เคยบอกเรื่องในอนาคตไว้ถูก ตัวอย่างเช่น บอกว่าจะมีพระมาที่บ้านบอกให้แม่เก็บผลไม้ไว้ แต่ตอนนั้นดิฉันยังไม่เชื่อ ผลปรากกว่าจริงทุกประการ ดังนั้น ดิฉันจึงได้เดินทางมาที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก

เมื่อได้เข้าไปกราบนมัสการหลวงพ่อแล้ว ท่านได้ถามว่ามาจากไหนลูก ดิฉันดีใจมากที่ท่านถาม และองค์หลวงพ่อท่านได้เรียกเข้ามาใกล้ๆ ท่าน จึงได้กราบเรียนท่านว่า ลูกสาวระลึกชาติได้ และบอกว่าจะตายเมื่ออายุ ๘ ขวบ จะมีวิธีต่ออายุได้อย่างไรคะ หลวงพ่อท่านบอกให้ไปฝึกมโนมยิทธิ ติดต่อถามพระว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ดิฉันก็ได้ไปฝึกกับครูฝึก จึงได้สัมผัสว่า นรก สรรค์ มีจริง ตายแล้วไม่สูญ ทุกคนจะไปตามกรรมที่ตนทำมา

ต่อมาได้ทราบวิธีต่ออายุของลูก โดยท่านให้สร้างพระพุทธรูป ๑ องค์ พร้อมกับถวายสังฆทานและปล่อยปลา พอดีในวันสงกรานต์ของปี ๒๕๓๑ เป็นวันสะเดาะเคราะห์ ดิฉันจึงได้นำลูกสาวมาที่วัด และได้เข้าพิธีกรรมในวันนั้นด้วย รู้สึกว่าลูกจะชอบวัดท่าซุงมาก เธอบอกว่าที่นี่มีเทวดามาก ในขณะที่อยู่วัดท่าซุงนั้น ผู้ปฏิบัติธรรมบางคนรู้ว่าน้องอุ๊มีวิมานที่บนสวรรค์ จึงได้ชักชวนให้ไปนิพพานเลยดีกว่า

เพราะไม่ต้องเกิดมาเป็นทุกข์อย่างนี้อีก แต่น้องอุ๊ได้บอกว่าต้องขอทำบุญก่อน ต่อมามีผู้แนะนำให้แกไปท่องเที่ยวตามภพภูมิต่างๆ เช่น พรหมโลก และพระนิพพาน แกบอกว่าเวลานี้มีวิมานที่นิพพานอีก ๑ หลัง มีสีชมพูเช่นเดียวกับวิมานบนสวรรค์ แต่สวยงามกว่ามาก หลังจากที่ดิฉันและลูกได้กลับไปแล้ว ดิฉันมีความประทับใจมาก ความสงสัยในเรื่องของลูกหมดไปสิ้นไป พร้อมกับได้นำวิชามโนมยิทธิมาเผยแพร่ให้แก่ญาติพี่น้องในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นและใกล้เคียง ต่างมีความสนใจวัดท่าซุง

บางคนอยากจะฝึกมโนมยิทธิ ดิฉันก็ฝึกให้ตามแนวที่ครูฝึกแนะนำไว้ บางคนก็เดินทางมาฝึกถึงที่วัดบ้าง บางโอกาสจัดรถบัสมาเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร เมื่อทุกคนได้มาเห็นสภาพภายในบริเวณ ต่างก็ชื่นชมยินดีในความสวยสดงดงาม ดิฉันและบางคนได้สมัครเป็นสมาชิกหนังสือธัมมวิโมกข์ มีหนังสือธรรมะขององค์หลวงพ่อหลายเล่ม เพื่อไว้เป็นศูนย์รวมให้ชาวบ้านที่สนใจไว้ยืมอ่าน เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้ว ทุกคนจะพูดกันถึงวัดท่าซุงว่า สร้างได้วิจิตรงดงามตระการตา พระที่วัดทุกองค์มีจริยวัตรงาม

องค์หลวงพ่อท่านมีพระคุณเหลือคณานับ เปรียบเหมือนแสงสว่างที่ส่องทางให้ลูกๆ เดิน และคอยประคองมิให้ลูกเดินหลงทาง ท่านแผ้วถางทาบงที่เต็มไปด้วยขวากหนาม เพื่อนำลูกๆ เข้าถึงพระนิพพาน ลูกบุญน้อยที่เกิดไกลองค์หลวงพ่อ เมื่อไม่เข้าใจในทางธรรม ก็ดูหนังสือตอบปัญหาขององค์หลวงพ่อ มีคำตอบทุกอย่างที่ลูกไม่เข้าใจ องค์หลวงพ่อจึงเปรียบเหมือนผู้สร้างสำเภาที่พาลูกๆ ข้ามทะเล คือ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

วันเวลาได้ผ่านไปจนกระทั่งบัดนี้ น้องอุ๊ได้มีชีวิตผ่านวัย ๘ ขวบมาแล้ว เรื่องนี้จึงเป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า วิชามโนมยิทธิที่องค์หลวงพ่อสอนไว้นั้นเป็นประโยชน์มหาศาล ทั้งทางโลกและทางธรรม มิฉะนั้นป่านนี้คงจะไม่มีโอกาสมาเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟัง บางท่านอาจจะแย้งว่า เด็กอาจจะไม่จากไปตามที่บอกไว้ก็ได้ แล้วใครจะมารับประกันว่าลูกจะไม่เป็นไปตามนั้น ถ้าเกิดขึ้นจริงความเศร้าโศกจะเกิดขึ้นกับใคร ถ้าไม่ใช่คนที่เป็นพ่อแม่ คงจะไม่มีใครปล่อยไปโดยไม่ทำอะไรเลยจนกว่าจะถึงอายุ ๘ ขวบ

คนที่เป็นพ่อแม่ย่อมจะต้องดิ้นรนหาวิธีทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้เองดิฉันจึงได้พบองค์หลวงพ่อ และได้ฝึกมโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์ผลตามที่ลูกได้เล่าไว้นั้นว่า จะเป็นความจริงหรือไม่... ผลสุดท้ายก็ได้รู้จักคำว่า “นิพพาน” ตามที่องค์หลวงพ่อสั่งสอน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดมาพบทุกข์อีก โดยเฉพาะน้องอุ๊ที่เคยเกิดมา แต่ละครั้งก็ทำให้พ่อแม่ต้องเศร้าโศกเสียใจไม่น้อย เพราะต้องจากไปในวัยที่กำลังน่ารักน่าเอ็นดู

แม้แต่เวลานี้พ่อแม่ในชาติก่อนก็ยังมีความอาลัยไม่หาย ดิฉันและสามีก็เกือบจะต้องพบกับความทุกข์ใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน ถ้าไม่ใช่ลูกสาวเป็นเหตุ หนังสือพิมพ์คงจะไม่เอาเรื่องไปลงให้เป็นข่าว พระคุณเจ้ารูปนั้นคงจะไม่มาถึงที่นี่ โอกาสที่จะได้กราบนมัสการองค์หลวงพ่อคงจะไม่มี แต่เป็นเพราะสาเหตุนี้เอง

ดิฉันและครอบครัวตลอดจนถึงญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทั้งหลาย จึงได้พบกับองค์หลวงพ่อผู้ประเสริฐ ถึงแม้การต่ออายุของลูกจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็ยังได้รู้จักหนทางแห่งพระนิพพาน ก็ยังพอมีโอกาสหาวิธีทำให้หนทางแห่งการเกิดนั้นสั้นลง เพื่อเป็นการยุติการเดินทางในวัฏสงสาร...อันยาวนานนั้น...เสียที!

ll กลับสู่สารบัญ


82

เมตตาบารมีของหลวงพ่อ


อุดม อ่อนแช่ม


ข้าพเจ้ามีอาชีพทางรถทัวร์ รับแขกต่างประเทศที่มาเที่ยวในประเทศไทย ทำมานานประมาณ ๒๐ ปี เมื่อต้นปี ๒๕๓๓ มีปัญหายุ่งยากในการงานและพนักงานขับรถ ซึ่งเคยอยู่กันมาเกือบสิบปีบางคนก็กว่าสิบปี เกิดหันเหประพฤติตัวไม่ดี ทำให้งานชะงักความยุ่งยากเกิด ข้าพเจ้าพยายามใช้ธรรมะเข้าช่วย ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้มากราบหลวงพ่อ ข้าพเจ้าและครอบครัวเคยเข้าฝึกอบรมกรรมฐานที่วัดโสมนัสฯ โดยท่านเจ้าคุณราชวิสุทธิกวีเป็นพระอาจารย์สอน

เมื่อต้นปี ๒๕๓๑ ข้าพเจ้าและครอบครัวได้ไปกราบหลวงพ่อที่วัด และได้ซื้อหนังสือมาหลายเล่มที่เกี่ยวกับการฝึกมโนมยิทธิ ลูกข้าพเจ้าอ่านแล้วอยากฝึกทันที ได้มาฝึกที่บ้านสายลมกับแม่บ้าน เธอฝึกได้ในวันแรกเลย ส่วนข้าพเจ้าไปฝึกได้ที่วัดโดยแม่ชีชุลีเป็นครูฝึก ลูกของข้าพเจ้ามีความคล่องตัวในมโนมยิทธิมาก อยู่บ้านฝึกทุกวัน ทุกเดือนที่หลวงพ่อมาจะไปทบทวนทุกครั้ง

คืนหนึ่งที่บ้านซอยสายลม (อยู่ในระหว่างที่มีปัญหายุ่งยากในการงาน) ขณะที่เริ่มนั่งกรรมฐาน ซึ่งนั่งปะปนแน่นไปทั้งห้อง สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ก่อนที่หลวงพ่อจะเดินเข้าข้างใน หลวงพ่อได้เดินมาที่ข้างหลังข้าพเจ้า สะกิดข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “รถมีปัญหาหรือ” ข้าพเจ้าตื่นเต้นบอกไม่ถูก หลวงพ่อได้เมตตาสงเคราะห์แนะนำให้ทำพิธีบางอย่าง น้ำเสียงของท่านนั้นจับใจข้าพเจ้าสุดที่จะพรรณนา

เป็นเหตุการณ์ที่ประทับใจมากที่สุดของชีวิตของข้าพเจ้า และครอบครัวซึ่งนั่งอยู่ด้วยกัน และมีผู้ที่นั่งอยู่ใกล้เคียงเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย เป็นเพราะเมตตาบารมีของหลวงพ่อ ปัญหาตางๆ ได้คลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว หลวงพ่อมีศิษย์มากมายนับไม่ถ้วนมีทุกระดับ ข้าพเจ้าซึ่งมาเป็นศิษย์ไม่นานเลยยังได้รับความเมตตาถึงขนาดนี้ ทำให้ข้าพเจ้าทราบว่า หลวงพ่อท่านทราบวาระจิตของทุกท่านที่นั่งอยู่หรืออยู่ที่ไหนคิดอย่างไรท่านทราบหมด ข้าพเจ้าและครอบครัวจะพยายามปฏิบัติตามคำสอนขององค์หลวงพ่อให้ดีที่สุด

วันหนึ่งขณะที่ขับรถจะไปบ้านโป่ง ระหว่างปิ่นเกล้า – พุทธมณฑล ข้าพเจ้าได้เคลิ้มหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมารถกำลังเสียหลัก ข้าพเจ้าจะเหยียบเบรกแต่กลับไปเหยียบคันเร่งทำให้รถพุ่งขึ้นเกาะกลาง ด้วยบารมีของหลวงพ่อข้าพเจ้าเรียกหลวงพ่อช่วยด้วยเท่านั้นรถก็จอดค้างอยู่ รถไม่เป็นอะไรเลย นอกจากยางล้อเท่านั้น หลวงพ่อได้ช่วยข้าพเจ้าไว้อีกครั้งหนึ่ง

ข้าพเจ้ามีความภูมิใจเป็นที่สุดที่ครอบครัวของข้าพเจ้ามีความเคารพ รัก ศรัทธาในองค์หลวงพ่อมาโดยเฉพาะ ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวจะยึดองค์หลวงพ่อเห็นที่พึ่งตลอดไปและจะอยู่รับใช้หลวงพ่อไปตลอด และขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวได้เข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top