"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 ( ตอน 7 )
ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓
สารบัญ
122. มาลา คำปาน
123. สมศรี ตั้งศิริพร
124. บัวจันทร์ รอนไพลิน
125. อุษา ศวิตชาต
126. นักเรียนโรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา)
127. จรูญ เพ็ชรรัตน์
128. สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ
129. ศิรัตน์ นามากุล
130. จีราภรณ์ สุทธะพินทุ
131. จุไรลักษณ์
132. นันทิยา แซ่ผ่าง
133. อุดมพร หล่อกิติยะกุล
134. บำรุงรัตน์ ณ สงขลา
135. จินตนา รังษีธรรม
136. ชัยชาญ เอี่ยมหนุน
137. สัตวแพทย์สุรพงษ์ ปัณฑวังกูร
138. มธุรส วรวรรณธนะชัย
139. สมถวิล วัฒนปฤดา (แม่เตี้ยม)
140. ด.ญ.อาริสา อุณหะนันทน์ โรงเรียนสารวิทยา
141. นิคม จึงอยู่สุข
142. จันทร์เพ็ญ ชีวะกานนท์
122
กำลังใจ
มาลา คำปาน
พุทโธอัปมาโน ธัมโมอัปมาโน สังโฆอัปมาโน
พุทธบูชามหาเตชะวัณโต ธัมมะบูชามหาปัญโญ สังฆบูชามหาโภคาวะโห
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะกะตัง
สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต
กุศลผลบุญใดที่ลูกได้สร้างสมบำเพ็ญเพียรมาแล้วทั้งหมด ตั้งแต่ชาติต้นจนถึงชาติปัจจุบัน ลูกขอทุ่มเท
เจาะจงถวายแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทั้งหมด ขอให้หลวงพ่อหายป่วย และมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยเถิด พระพุทธเจ้าค่ะ พุทธังอาราธนานัง
ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง
การที่ข้าพเจ้าจะเขียนนี้มิได้มีเจตนาอื่น นอกจากอยากจะเล่าสู่กันฟัง และให้คนที่ยังฝึกมโนมยิทธิไม่ได้ มีกำลังใจมากขึ้น เพราะได้ยินพูดกันมากว่า
ไม่มีบารมีจึงฝึกไม่ได้ บางคนถึงกับร้องห่มร้องไห้ เสียใจมากมายก่ายกองเสียเหลือเกินว่า ตัวเองไม่มีบุญ ไม่มี บารมี จึงไม่ได้สักที ทั้งที่ตั้งใจมาก
พยายามมาก... แฮ่ะ แฮ่ะ... รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเองก็เคยร้องมาเหมียนกัลล์
จึงรู้ถึงหัวอกคนที่ยังไม่ได้ได้ดี ว่าเป็นยังไง กว่าข้าพเจ้าจะฝึกได้ตั้ง 12 วัน แล้วก็เห็นใครเขาฝึกเขาซ้อมกันที่ไหน ก็รีบเข้าไปยิ้มหวานๆ
ยกมือไหว้เป็นฝักถั่ว ขอโทษขอโพย ขอแทรกเป็น ยาดำ ขอกราบอนุญาตเข้าไปฝึกด้วยทุกครั้งที่มีโอกาส แต่พอครูถามกลับไม่ตอบทั้งๆ
ที่...ใจรู้สึก...เหมือนคนที่ตอบ แต่ตาไม่เห็นเลยไม่ต้อง มันก็ยิ่ง ตื้อ คือติด...โง่...อยู่นั่นเอง ทีนี้เอาใหม่ เห็นใครตอบเก่งๆ
ไปนั่งใกล้ๆ เขา แล้วถามเขาว่าเห็นหนูไปด้วยมั้ย พอครูแนะนำว่า คนที่ไม่เห็นก็ให้เอาใจตามไปด้วยนะ ทีนี้ก็ไปไหนไปด้วย ไม่ต้องช่วยสักบาท ตามไปเรื่อยๆ
บ่อยๆ อีกหน่อยก็เห็นเองได้เอง ต่อมาพบคุณยายสงัด ศรีสมวงศ์ ฝึกให้ตัวต่อตัว ทีนี้เลยชัดแจ๋วเลย น้ำตาก็ประดังหลั่งไหล ขนลุกขนชันไปทั้งตัว
พอฝึกได้ก็ขออนุญาตต่อองค์สมเด็จบนพระนิพพาน ขอเป็นครูฝึกแล้ว
ก็ขอหลวงพ่อท่านก็อนุญาตว่า ...เออ ดี ไปช่วยกันลูก... ที่ขอเป็นครูฝึกก็เพราะอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง
อยากให้ตัวเองชัดเจนแจ่มใสก้าวหน้าด้วย อยากตอบแทนพระคุณหลวงพ่อด้วย อยากช่วยคนอื่นที่อยากฝึกด้วย อยากช่วยหลวงพ่อเผยแพร่วิชามโนมยิทธิ
ลูกกราบขอบารมีต่อองค์สมเด็จทุกพระองค์ พระ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ทั้งหมดทุกท่านทุกพระองค์
หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ลูกขอมอบกายถวายชีวิต ขอได้โปรดเมตตาใช้สังขารของลูก ให้เป็นประโยชน์ด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ ขอให้ลูกเปรียบเหมือนแหหรือตาข่ายถี่ๆ
ที่แม้แต่ปลาเข็มก็ไม่สามารถหลุดรอดไปได้ คือถ้าใครมาฝึกมาซ้อมด้วย ขอให้ได้ทุกคน ที่อธิษฐานแบบนี้
เพราะรู้ถึงความเสียอกเสียใจของคนที่อยากฝึกแต่ฝึกยังไม่ได้ว่า เสียใจมากขนาดไหน มิใช่อวดเก่งอวดดีแต่อย่างใด
จะเล่าถึงพี่คนหนึ่งที่อดีตชาติที่แล้วเป็นเสือ แต่ก็ยังฝึกได้ จะขอสมมุติชื่อว่าพี่ทอง ต้องขออนุญาตไว้ที่นี้ด้วย
ทุกคนที่ฝึกด้วยกันในวันนั้น ที่เล่าให้ฟังนี้ เพื่อให้คนที่ยังฝึกไม่ได้ ให้มีกำลังใจขึ้น มีอยู่วันหนึ่งหลังจากไปฝึกกลับมาแล้ว
ก็ปรากฏว่าพี่ทองยังไม่ได้อีกตามเคย ข้าพเจ้าจึงถามพี่ทองว่า อยากได้ไหม มาลองซ้อมกันดูอีกทีเอาไหม พี่ทองตอบว่า โธ่ ก็อยากได้ซิ งั้นจะมาฝึกทำไม
ข้าพเจ้าก็นั่งตรงข้ามกับพี่ทอง และมีพี่นวล พี่หลิ่น รวมสี่คน ก็กราบขอบารมีหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงปู่ปาน องค์สมเด็จตามที่หลวงพ่อสอนทุกอย่าง
แล้วก็ทำสมาธิภาวนา นะมะพะธะ และฝึกกัน พี่หลิ่นก็พูด พี่ทองนะฝึกไม่ได้หรอก เพราะไม่มีบารมี ซึ่งพี่นวลและข้าพเจ้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ข้าพเจ้าเกิดฮึดสู้ขึ้นมาว่า ต้องให้ได้ซิ จึงรวบรวมกำลังใจ ขอบารมีพระและช่วยกันแผ่กุศลให้พี่ทอง
และพี่ทองเองให้ระลึกถึงบุญกุศลทั้งหมดที่เคยทำมาแล้วทุกชาติ อุทิศเจาะจงให้พี่ทองทั้งหมดคนเดียวในเวลานั้น พออุทิศเสร็จข้าพเจ้าก็เห็นถ้ำ
เห็นป่าเกิดขึ้น จึงถามพี่ทองว่า เห็นไหม พี่ทองบอกว่าเห็น ทุกคนเห็นเหมือนกันหมด ซึ่งแต่ก่อนนั้น พี่ทองไม่เคยเห็นอะไรเลย
ต่อมาก็เห็นเสือตัวหนึ่งยืนอยู่กลางป่า เห็นต้นไม้สูงใหญ่ มีแสงตะวันลอดลงมาบ้าง ละอองไอเย็นของป่า มาถูกตัวราวกับอยู่ในป่า
จริงๆ เสือตัวนั้นผอมมาก ยืนหิวโซคอยเหยื่ออยู่ สักครูหนึ่ง ก็มีพระธุดงค์เดินแบกกลดเดินมาช้าๆ พอเงยหน้าขึ้นก็จ๊ะเอ๋กับเสือพอดี
ระยะใกล้จะหลีกไปทางอื่นก็ไม่ทันอยู่แล้ว เสือก็มองพระคิดในใจว่า จะกินดีไหมเพราะหิวมากเหลือเกิน ถ้าไม่กินก็ต้องตายเดี๋ยวนี้ แต่ถ้ากินตกนรกแน่ๆ
พระก็มองเสือคิดในใจว่า ถ้าเคยมีเวรมีกรรมต่อกันก็กินเถอะ ไม่ว่าอะไรหรอก แต่เสือก็ตัดใจไม่กินพระ แล้วก็ล้มลงตายทันที
พระก็แผ่กุศลให้เสือว่า ขอให้ไปเกิดเป็นคน ให้ได้สร้างกุศลผลบุญ หมดชาติสัตว์เดรัจฉานเสียที เสียก็มาเกิดเป็นพี่ทองในชาตินี้ เหตุที่ฝึกมโนมยิทธิได้ช้า
เพราะว่าชาติที่เป็นเสือ ไม่ได้สร้างกุศลผลบุญไว้ มาได้กุศลได้พรจากพระธุดงค์ก่อนตายแค่นั้นเอง แต่ถึงยังไงก็ยังฝึกได้และต้องย้อนดูอดีตชาติก่อน
ซึ่งที่จริงแล้ว ต้องไปกราบพระ กราบพระจุฬามณีก่อนตาย ตามลำดับจนถึงนิพพาน
แล้วถึงจะดูอดีตชาติใช่ไหม เพราะครูสอนอย่างนั้น เรียนมาอย่างนั้น อีกรายหนึ่งคือพี่สายทอง เป็นคนที่มีศรัทธากล้าแข็งมาก มากราบหลวงพ่อบ่อยๆ
และยังได้ชักชวนญาติและเพื่อนฝูงมาวัดปฏิบัติธรรม มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงจนได้กันหลายคน แต่ตัวเองกลับฝึกไม่ได้จนแล้วจนรอด
พี่สายทองเสียใจมากว่าตัวเองไม่มีบุญบารมีพอหรือไง ทั้งๆ ที่ตั้งใจมากและเป็นคนพาเพื่อนมาฝึก
เขากลับได้ทั้งนั้น ช้าบ้างเร็วบ้าง แต่ตัวเองฝึกไม่ได้เสียที ร้องไห้ร้องห่มเสียใจเหลือเกิน บังเอิญได้พักห้องเดียวกัน ข้าพเจ้าเกิดความเห็นอกเห็นใจ
เพราะเหมือนกับตัวเอง เมื่อก่อนที่จะฝึก จึงนึกขอบารมีขออนุญาตหลวงปู่ปาน หลวงพ่อ ขอโอกาสให้ลูกได้สร้างกุศลเถิดเจ้าค่ะ แล้วก็ชวนพี่สายทองมาซ้อมฝึกกันอีก
พอเริ่มนั่ง ก็เห็นหลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี และท่านแม่ศรี มาช่วยสงเคราะห์
แต่พี่สายทองก็ยังไม่เห็นอยู่ดี จึงบอกให้พี่สายทองนึกว่า เหมือนกับจูงมือข้าพเจ้าอยู่นะ แล้วขอบารมีให้หลวงพ่อ ท่านแม่ศรี และหลวงปู่ท่านพาเราไปเห็น
หรือไม่เห็น ก็ไปด้วยกันนะ ผลสุดท้ายก็ไปได้ พอดูอดีตชาติก็เห็นลิงเผือกดื้อรั้นเกเรตัวหนึ่ง ยืนดื้ออยู่ คือตัวพี่สายทองนั่นเอง มิน่าล่ะ ถึงไปไม่ได้สักที
ดื้อรั้นดื้อดึงนั่นเอง พอรู้อดีตแล้วทีนี้ก็ชัดแจ๋วเลยไปไหนก็ไปได้
ที่ยกตัวอย่างมานี้ เพื่อให้คนที่ฝึกยังไม่ได้อย่าเพิ่งท้อแท้ใจ ลองดูวิธีนี้ดู เผื่อจะได้ผล เหมือนพี่ทองและพี่สายทอง
เพราะหลวงพ่อสอนว่า คนที่ตั้งใจยามฝึกน่ะ บารมีเต็มอยู่แล้ว อย่าเสียอกเสียใจว่า ตัวเองไม่มีบารมี ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ อย่าสงสัย ใจนึกอย่างไร
ตอบอย่างนั้น เห็นไม่เห็นก็ช่าง ส่วนมากที่ไม่กล้าตอบ เพราะกลัวจะเป็น มุสา กลัวศีลขาด เพราะก่อนฝึก
เราต้องรับศีลก่อนใช่ไหม ทีนี้ตาไม่เห็น ก็เลยไม่กล้าตอบ ยิ่งไม่ตอบก็ยิ่ง ตื้อ ใหญ่ ขอให้ตอบตามที่ใจนึกครั้งแรก ผิดถูกไม่ต้องกลัว ครูท่านจะบอกเอง
ตอบบ่อยๆ อีกหน่อยก็ชัดเอง เห็นเอง แล้วทีนี้ ตากับใจ จะสัมพันธ์กันเอง พอใจนึก ตาก็เห็นพร้อมกันเลย ก็เลยเกิดความมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ข้อสำคัญ
ขอเน้นว่าเวลาหลวงพ่อสอนก่อนฝึก ตั้งใจฟังให้ดี ค่อยๆ คิด ค่อยๆ จำให้แม่น แล้วจะได้เร็วขึ้น
เพราะพวกเรามักจะพูดกันประจำว่า กลัวว่าจะคิดไปเอง กลัวเป็นอุปาทาน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะตาไม่เห็นก็ไม่ตอบ ไม่ตอบ ก็ตื้อ
ก็สงสัยอยู่นั่นแหละไม่ไปไหนหรอก เพราะข้าพเจ้าติด โง่ นี้อยู่ตั้ง 12 วัน จนหลวงปู่ปานท่านบอกว่า สมน้ำหน้ามั้ย บารมีมันเต็มมา
ตั้งแต่ที่บ้านแล้ว แต่มันติดโง่ คือสงสัยอยู่นั่นแหละ จึงไม่เห็นสักที แล้วท่านก็หัวเราะใหญ่เลย ทุกวันนี้ก็ยังได้ยินอยู่เสมอ
สำหรับผู้ที่ยังฝึกไม่ได้ ก็จะพูดคำนี้ประจำว่า สงสัยตัวเองจะไม่มีบารมี บุญไม่พอจึงไม่เห็นไม่ได้กับเขาสักที มาอีหรอบเดียวกันเด๊ะเลย
ร้องไห้น้อยอกน้อยใจนักหนา ต่อไปนี้ขอให้เลิกน้อยใจเสียใจ เริ่มต้นใหม่อีกที อย่างเพิ่งหมดหวังท้อแท้ ถ้ามีอะไรอยากปรึกษาอยากคุยกับข้าพเจ้า
ซึ่งเคยเป็นแบบนี้มาก่อน ก็เชิญมาคุยได้นะคะ แต่ขอบอกว่า ยังโง่ไม่เสร็จนะ เรื่องโง่ข้าพเจ้าฉลาดนัก
ถ้ามีอะไรไม่ถูกไม่สมควร ลูกขอกราบขอขมาต่อพระรัตนตรัย พระพรหม เทวดาทั้งหมด ขอได้โปรดเมตตายกโทษให้กับลูก ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ลูก
เข้าถึงพระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า และลูกขอน้อมกราบขอบพระคุณแทบพระบาทแทบเท้าทุกท่านทุกพระองค์ ตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมจนถึงองค์ปัจจุบัน และหลวงปู่ปาน
หลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นที่สุด ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
ขอย้อนเล่า ถึงตอนฝึกกับพี่ทองอีกหน่อย พอฝึกเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าเหนื่อยมาก เพลียมาก ชนิดที่ตั้งแต่ฝึกมาไม่เคยเหนื่อยเพลียเท่านี้เลย
พอตอนเช้าก็อาเจียนเป็นลมออกมาเฉยๆ แต่เหม็นคาวมากเหมือนกินสัตว์ดิบๆ เข้าไปมากยังงั้นเลย ก็กำหนดจิตถามหลวงปู่ปานว่า ทำไมเป็นแบบนี้ ท่านตอบว่า
เพราะแผ่พลังจิตช่วยพี่ทองมาก และเอาจิตแนบจิตกันมาก จึงมีความรู้สึกเหมือนตอนเป็นเสือที่กินสัตว์เป็นๆ
จนต้องอธิษฐาน ขอเอาน้ำที่กำลังอาบอยู่เป็นน้ำมนต์ของพระของหลวงพ่อ อาบแล้วจึงค่อยยังชั่วหน่อย หายเหนื่อยหายเพลียขึ้น
อ๋อ...เป็นแบบนี้ก็มีนะเพิ่งเคยเจอ เฮ้อ... เหนื่อย ยิ่งคนที่จิตหนักมาก เราก็หนักด้วย ต้องหลบๆ หน่อย ถ้าเจอคนที่จิตใส จิตเบา เราก็ใสด้วย เบาด้วย
อะไรก็แล้วแต่ ต้องขอบารมีองค์สมเด็จและหลวงปู่ หลวงพ่อคุ้มครอง คลุมตัวเอาไว้ก่อนลืมไม่ได้ขาดไม่ได้ แต่ก่อนไม่ค่อยรู้
ยังโง่อยู่มาก เดี๋ยวนี้ก็ยังโง่อยู่ แต่อาจน้อยหน่อย ยังไงๆ ก็ขอเกาะหลวงพ่อไว้แน่นๆ ไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด แม้แต่ในความฝันว่า
มีคนเขาทะเลาะกันไล่ยิงไล่ฆ่ากันอยู่ เราก็เข้าไปช่วย คนที่ปืนหลุดจากมือจะหยิบส่งให้ คนที่ถือปืนอยู่บอก อย่าส่งให้นะ เดี๋ยวยิงนะ เราก็บอกว่า
ฉันลูกหลวงพ่อนะ หลวงพ่อวัดท่าซุงน่ะ รู้จักหรือเปล่า แน่ะ... ในฝันก็ยังเบ่งเลย ฉันลูกหลวงพ่อนะ แกจะยิงฉันไม่ได้นะ
หลวงพ่อขา...ช่วยด้วยๆ ๆ ๆ ในฝันอีกเหมือนกัน เห็นใครใกล้จะตาย ต้องไปบอกข้างหูว่า นิพพานเป็นสุข... นิพพานเป็นสุข... นิพพานเป็นสุข
พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนขอไปอยู่ด้วย ให้นึกอย่างนี้นะ บอกเขาหลายคนแล้ว ทั้งฝันทั้งจริงบอกให้เขานึกไว้อย่างนี้เสมอ เฮ้อ...แต่ตัวเองเวลาจะตายจริงๆ
จะฝึกได้หรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน แฮ่ะ... แฮ่ะ... ต้องขอกราบขอบารมีพระ ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านลุงพุฒิ
และทุกๆ ท่าน โปรดช่วยเมตตาสงเคราะห์บอกทางให้ลูกด้วย เตือนลูกด้วยอย่าหลงลืม เพราะลูกเมื่อเกิดแล้ว ไม่เอาแล้วการมีสังขาร เข็ดจริงๆ
ให้ดิ้นตายแล้วไปนิพพานซิเอ้า ขอกราบขอบพระคุณ คณะผู้จัดทำหนังสือ ลูกศิษย์บันทึก ทุกองค์ทุกท่านมากค่ะ ที่เปิดโอกาสให้ญาติพี่น้องได้รู้จัก
ได้คุยกันอย่างกว้างขวางขึ้น ในหมู่ลูกหลานขององค์หลวงพ่อด้วยกัน แม้จะไม่ได้คุย ไม่ได้รู้จักกันเป็นส่วนตัวหรือตัวจริง
แต่ก็เหมือนได้คุยกัน ได้รู้เรื่องซึ่งกันและกันมากขึ้นใน ลูกศิษย์บันทึก ซึ่งก็เปรียบเหมือนพี่น้องได้รู้จักกันดีขึ้นมากขึ้น
แม้ว่าจะอยู่ไกลกันคนละจังหวัดก็มีโอกาสพบกัน คุยกัน เห็นหน้ากันด้วยรูปถ่ายในหนังสือ ซึ่งรู้สึกอบอุ่นและดีใจมาก และทำให้ได้สติปัญญา ได้ความรู้อีกมาก
เหมือนได้ดวงตาเห็นธรรมที่ขยายกว้างไกลยิ่งขึ้น นับว่าเป็นประโยชน์ใหญ่หลวง จึงขอกราบขอบพระคุณ และอนุโมทนาบุญกุสลด้วยทุกประการ
ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
พรใด ที่องค์หลวงพ่อให้ไว้ดีแล้วทุกประการ ขอให้ทุกท่านได้รับโดยฉับพลัน ทันใจ ทันเวลาทั่วหน้ากันเทอญ
ลูกขอน้อมกราบแทบพระบาทถวายกุศลสมเด็จองค์ปฐมจนถึงสมเด็จองค์ปัจจุบัน พระ พรหม เทวดา ทั้งหมด ทุกชั้น ทุกท่าน ทุกที่ ทุกพระองค์ มีหลวงปู่ปาน
หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด ขอได้โปรดเมตตารับและโมทนาบุญกุศลของลูก ที่ตั้งใจน้อมกราบถวายด้วยความเคารพด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า
ll กลับสู่สารบัญ
123
หลวงพ่อสงเคราะห์ทุกอย่าง
สมศรี ตั้งศิริพร
ข้าพเจ้าเป็นลูก (ศิษย์) ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ได้พยายามปฏิบัติตามคำสั่ง และคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู ซึ่งหลวงพ่อได้เมตตานำมาสั่งสอน
จนกระทั่งได้มาพบสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ มากมายหลังจากเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ จึงอยากเล่าให้ท่านอื่นๆ ฟัง ซึ่งถ้าเป็นลูก (ศิษย์) ของหลวงพ่อและปฏิบัติธรรมแล้ว
จะไม่สงสัย เพราะจะได้ประสบเอง แต่สำหรับท่านที่กำลังจะปฏิบัติ หรือเริ่มปฏิบัติก็ขอให้อ่านไว้เป็นความรู้
ส่วนท่านที่ไม่เชื่อก็ขอให้อ่านเล่นเป็นนิทานก็แล้วกัน
๑. เข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประมาณปี พ.ศ.2533 เช้าวันหนึ่งข้าพเจ้าสวดมนต์เช้าที่บ้าน หลวงพ่อท่านสอนว่า ผู้ที่ได้มโนมยิทธิทุกครั้งที่สวดมนต์ไหว้พระ
ให้เอาจิตขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าที่วิมานของท่านที่พระนิพพานทุกครั้ง ข้าพเจ้าก็พยายามทำตาม ถึงแม้จะเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ชัดบ้างไม่ชัดบ้างก็ตาม วันนั้น
รู้สึกอารมณ์ผ่องใสเป็นพิเศษ (ไม่เกาะในโลกนี้ รวมทั้งสวรรค์ และพรหมโลก)
มีความรู้สึกว่าได้กราบแทบพระบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อข้าพเจ้าอย่างเหลือจะพรรณนา
ข้าพเจ้ารู้ว่า ที่ตนเองเคยคิดว่ารักหลวงพ่อที่สุด ไม่มีใครที่จะรักไปมากกว่าหลวงพ่อนั้น ผิดถนัด เพราะความจริงแล้ว
จิตของข้าพเจ้ารักองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (องค์ปัจจุบัน) มากที่สุด ต่อให้กองสมบัติมีค่าใดๆ ต่อหน้า
ข้าพเจ้าก็ไม่ปรารถนา ข้าพเจ้าเกิดปีติอย่างมาก (มากที่สุดในชีวิต) น้ำตาไหลตลอดเวลา ร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นเวลานาน แต่จิตเป็นสุขมากที่สุด
เพราะข้าพเจ้าได้พบแล้ว ดวงประทีปส่องทางชีวิตของข้าพเจ้ามาหลายแสนชาติ ซึ่งเป็นที่รักและเคารพที่สุดของข้าพเจ้า
๒. สัมผัสพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมครู
ข้าพเจ้าเป็นคนชอบอยากรู้ด้วยตนเอง เมื่อหลวงพ่อท่านสอนว่า เวลาไหว้พระ ถ้านึกถึงพระธรรม ให้นึกถึงดอกมะลิแก้วไหลออกจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
รดศีรษะของเรา ข้าพเจ้าก็นึกเช่นนั้นทุกครั้ง มีอยู่วันหนึ่ง ก็มีความรู้สึกอยากสัมผัสพระธรรมเจ้าเป็นอย่างไร ในขณะที่ไหว้พระสวดมนต์เช้านั้นเอง
(ข้าพเจ้าสวดมนต์ทุกเช้าก่อนออกไปทำงาน) ข้าพเจ้าก็พบว่าตนเองกำลังกราบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่แทบพระบาท
มีดอกมะลิแก้วไหลออกจากพระโอษฐ์ ตกลงมาบนศีรษะของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เย็นสบายมาก เพราะพระธรรมได้ไหลซึมเข้าไปในศีรษะ
มีความเย็นซาบซ่านในหัวมาก ถึงแม้ว่าจะเลิกไหว้พระแล้วเดินออกจากห้องพระแล้วก็ตาม ความเย็นซาบซ่านยังมีอยู่ ส่วนความสุขใจนั้น
สุขมากที่สุดเกินจะพรรณนา
๓. ได้พบพระอริยสงฆ์หลายองค์
องค์แรกคือ หลวงปู่แหวน ครั้งแรกคุณป้าชอ ท่านเป็นครูสอนมโนมยิทธิให้ ท่านบอกว่า
หลวงปู่แหวนคอยช่วยข้าพเจ้าเวลาเจริญสมาธิ ข้าพเจ้าก็มองไม่เห็นท่านมาได้เห็นท่านคราวหลัง จึงกราบท่านทุกครั้งก่อนเจริญพระกรรมฐาน
(ข้าพเจ้าไม่เคยไปกราบ หรือทำบุญกับหลวงปู่แหวนเลยในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ แต่ก็เคารพนับถือในความดีของท่าน)
องค์ที่สองคือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เมื่อหลายปีมาแล้ว ข้าพเจ้าได้อ่านหนังสือโลกทิพย์ ได้พบรูป หลวงปู่บุญตา วิสุทธสีโล วัดคลองเกตุ
ต.โคกสำโรง จ.ลพบุรีก็รู้สึกชักเคารพศรัทธาในหลวงปู่บุญตามาก จึงเขียนจดหมายไปเพื่อถวายพัดลมติดเพดาน เพื่อติดศาลาการเปรียญหลังใหญ่ของวัดทั้งหมด
ต่อมาข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่า ท่านเคยเป็นพ่อในอดีตชาติ จึงทำให้ข้าพเจ้ารักท่านมาก
ต่อมา ท่านจะทำบุญใหญ่เพื่อฉลองการเลื่อนสมณศักดิ์ ท่านจัดให้มีการปลุกเสกเครื่องรางของขลัง โดยได้นิมนต์หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง เป็นประธาน
ที่ร้านของข้าพเจ้า พนักงาน และน้องชายชอบเล่นพระก็นับถือหลวงพ่อแพอยู่ ข้าพเจ้าก็พาสามีและลูกสาวทั้งสองคนไปทำบุญที่วัดคลองเกตุ
วันนั้นปรากฏว่าไม่ได้พบหลวงพ่อแพเพราะท่านป่วย เส้นเลือดในสมองแตก
กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ข้าพเจ้าก็กลับบ้านด้วยความเป็นห่วงหลวงพ่อแพ ตอนกลางคืนจึงไหว้พระสวดมนต์ ขอให้ท่านหายจากอาพาธโดยเร็ววัน
ต่อมา 2 วัน ตอนเช้ามืด ข้าพเจ้าก็ได้ฝันว่าหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านพาเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า ได้พบพระสงฆ์องค์หนึ่งนั่งบนแท่นแก้วลอยอยู่บนท้องฟ้า
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้แนะนำว่าท่านเป็นพระดี
พระองค์ที่นั่งนั้นก็คือ หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง นั่นเอง ข้าพเจ้าได้ไปกราบเท้าท่าน และท่านก็ได้สอนธรรมะอย่างย่อๆ 1
ประโยคให้ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกเข้าใจมาก แต่น่าเสียดาย ตื่นมาได้สักครู่ก็ลืมธรรมะนั้น ข้าพเจ้าสังเกตว่า พระอริยสงฆ์, พระอรหันต์
แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อท่านสอนธรรมะแก่ข้าพเจ้า ท่านจะสอนแค่ประโยคสั้นๆ ฟังเข้าใจง่ายแต่ซาบซึ้งมาก (ท่านสอนในความฝัน)
ต่อมา ข้าพเจ้าก็ได้พบพระอริยเจ้าทางความฝัน บางครั้งฝันว่าได้ขึ้นไปเที่ยวข้างบนได้พบเณร (พระอรหันต์) เล่นฤทธิ์กันใหญ่ พบพระมีฤทธิ์ต่างๆ
มากมายหลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปเที่ยว จ.สุโขทัย กับครอบครัว ตอนกลางวันได้ไปเที่ยวเมืองเก่ากัน
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าเคยอยู่สถานที่นี้มาก่อน ได้ไปกราบไหว้พระหลายองค์ รู้สึกมีความสุขมาก ตอนกลางคืน เวลาประมาณตี 3 กว่า
ก็ได้ฝันว่า (ข้าพเจ้ามองเห็นด้วยตาของตนเอง) มีเทวดาองค์หนึ่งทรงเครื่องทรงของกษัตริย์ บนพระเศียรเกล้าเป็นมวย 3 ชั้น มีพระเกี้ยวปักอยู่
สังวาลของท่านเป็นพลอย 3 เม็ดใหญ่ 3 สี เสื้อเป็นทองคำปักดิ้นทองฝังเพชรพลอย นั่งอยู่บนตั่งทองคำประดับเพชรพลอย ตั่งนี้ (แท่น) ตั้งบนเมฆบนท้องฟ้า
ที่พระบาทมีผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งห่มสไบเฉียง แต่งตัวแบบไทยโบราณกราบอยู่ ข้าพเจ้านึกรู้ว่า
นั่นคือตัวของเราเอง เทวดาองค์นั้น ท่านมีเมตตาต่อข้าพเจ้ามาก ท่านบอกว่า ท่านเคยเป็นปู่ในอดีตชาติ ท่านบอกให้ข้าพเจ้าตั้งใจทำความดีต่อไป อย่าท้อถอย
ท่านจะช่วยเหลือข้าพเจ้า ท่านบอกว่า ความดีที่ข้าพเจ้าพยายามทำอยู่นั้น ดีแล้ว ท่านก็รู้ว่าข้าพเจ้าลำบาก ท่านจึงมาให้กำลังใจ ข้าพเจ้าก็ถามว่า
ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วหรือ? ท่านไม่ตอบ แต่ใจของข้าพเจ้ารู้ว่าท่านตอบว่า ยัง
ท่านเป็นพรหม ทันใดนั้น ผมของท่านหายไป มีชฎามาสวมแทน ท่านสวยงามมาก แล้วท่านก็หายไป ข้าพเจ้าตกใจตื่นขึ้นมาตี 3 เศษ ข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มปีติมาก
เพราะที่หลวงพ่อท่านเมตตาสอนให้ทำความดีอยู่เสมอ ละความชั่วตลอดนั้น ถึงแม้คนอื่นจะเห็นหรือไม่ก็ตาม แต่พระท่านรู้ เทวดา, พรหมท่านรู้
เพราะท่านมีกายเป็นทิพย์
มีจิตเป็นทิพย์ ย่อมรู้วาระจิตของคนทุกคนนั้น เป็นจริง พิสูจน์ได้จากการพบจากประสบการณ์ของข้าพเจ้า นับตั้งแต่ได้พบหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (วัดท่าซุง)
ได้ทำบุญกับท่าน ได้ปฏิบัติตามที่ท่านสอนตลอดมา นอกจากนี้หลวงพ่อท่านยังเมตตาช่วยลูกหลานอยู่เสมอ ข้าพเจ้าจะยกเหตุการณ์ให้อ่านสัก 2 3 เรื่องดังนี้
๑. หลวงพ่อช่วยทำพิธีบวงสรวง
ข้าพเจ้าทำการค้าธุรกิจส่วนตัว แถวเยาวราช ซึ่งเป็นร้านเช่าไม่ได้เป็นของตนเอง ต้องต่อสัญญาเช่าทุก 3 ปี ก่อนต่อสัญญาครั้งสุดท้ายนี้ เจ้าของบ้านบอกว่า
จะไม่ต่อสัญญาให้ ข้าพเจ้าจึงต้องขวนขวายหาที่ทำการค้าใหม่ไว้เผื่อสำรอง ในขณะเดียวกันก็บนหลวงพ่อ 4 พระองค์ที่วัดท่าซุงไว้
ขอให้ท่านช่วยให้เจ้าของบ้านต่อสัญญาเช่าให้ด้วย และได้แก้บนไปแล้วปี 2534 นี้เอง
(ได้ต่อสัญญาเช่าเรียบร้อยแล้ว อีก 3 ปีจึงจะไปบนใหม่อีก!) ข้าพเจ้าได้ที่ใหม่ อยู่สี่แยกท่าพระ และกำลังจะเริ่มทำการตกแต่ง และก่อสร้างปลายปี 2533
วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม ข้าพเจ้าและสามี ก็ได้ทำพิธีบวงสรวงท่านท้าวมหาราชทั้ง 4 และเทวดา พรหมทั้งหมด ข้าพเจ้าไม่เคยทำมาก่อน
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ข้าพเจ้าอ่านจากหนังสือตอบปัญหาธรรมของหลวงพ่อ
ซึ่งอธิบายถึงเครื่องบวงสรวง และได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์เกี่ยวกับบายศรี รวมทั้งหนังสือบันทึกของชาโดว์ จึงจัดเตรียมสิ่งของบวงสรวงได้เรียบร้อย
กลางคืนวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2533 ข้าพเจ้าได้จุดธูป 3 ดอก อาราธนาหลวงปู่ปานและหลวงพ่อ ให้ท่านช่วยเป็นประธานในการทำพิธีในวันรุ่งขึ้น พอวันรุ่งขึ้น
ข้าพเจ้าและบริวารก็ช่วยกันจัดตั้งโต๊ะ ปูผ้าขาว เอาสิ่งของใส่พานโดยมีกระดาษสีแดงรอง
เสร็จแล้วก็เปิดเทปสมาทานพระกรรมฐาน (ซื้อได้ที่วัดท่าซุง และซอยสายลม ในราคาม้วนละ 25 บาท เท่านั้น) จุดธูป 3 ดอก อาราธนาพระบารมีของพระพุทธ, พระธรรม,
และพระอริยสงฆ์ มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นที่สุด อาราธนาท่านท้าวมหาราชทั้ง 4 องค์ และเทวดา พรหมทั้งปวง
ตลอดจนเทวดาที่คุ้มครองสถานที่แห่งนี้ (ร้านใหม่ที่สี่แยกท่าพระ ฝั่งธนบุรี)
ให้ท่านมารับของเครื่องสักการะ และขอพรทุกท่านให้ช่วยเมตตา ปกปักรักษาข้าพเจ้า พร้อมครอบครัวและบริวาร ตลอดจนบริษัทของข้าพเจ้าให้แคล้วคลาดปลอดภัย
และมีความคล่องตัว ในขณะที่เริ่มเปิดเทปสมาทานพระกรรมฐานนั้น ข้าพเจ้าเห็นหลวงปู่ปานท่านเหาะมาลงยืนด้านซ้ายมือ ข้างโต๊ะบวงสรวง
และเห็นหลวงพ่อท่านเหาะมาลงด้านขวาของโต๊ะ
หลวงปู่ปานท่านมาสักครู่ท่านก็กลับ แต่หลวงพ่อท่านยืนอยู่ตลอดเวลา ที่ข้าพเจ้าสวดมนต์, ภาวนา, และท่องคาถาเงินล้าน 9 จบ
จนข้าพเจ้าเลิกพิธีจึงไม่เห็นท่านอีก ข้าพเจ้าปลื้มใจมาก ไม่รู้สึกว่าร้อนทั้งๆ ที่แดดเปรี้ยง แต่มีความรู้สึกเย็นสบายดี มีลมเย็นพัดผ่านศีรษะ
และมีเมฆบังแสงอาทิตย์ให้ด้วย ข้าพเจ้ายังได้เห็นสัมภเวสีมากินของบวงสรวงด้วย
เป็นผู้ชายแต่งตัวดี ใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้าอ่อน มีบาดแผลแตกเลือดไหลที่ศีรษะ รูปร่างสันทัด อายุประมาณ 30 กว่า รู้สึกว่าเขาหิวมาก
มือหนึ่งถือของกินเข้าปากเคี้ยว อีกมือก็ยังถือของกินด้วย ข้าพเจ้าได้แผ่บุญให้เขาไปด้วย (สงสัยอาจจะโดนรถชนตายอยู่แถวนั้น)
๒. หลวงพ่อช่วยไม่ให้ไฟไหม้ร้าน
ก่อนเปิดร้านใหม่ที่ท่าพระ 2 วัน พนักงานในร้านออกไปแจกใบปลิวกันหมด เหลืออยู่ในร้าน 3 คน (ข้าพเจ้าและลูกน้องอีก 2 คน) กับญาติของพนักงานมาเที่ยวอีก 3
4 คน เด็กได้มาบอกว่า ไฟไหม้ติดกับร้านของเรา ข้าพเจ้าตกใจมาก เพราะในร้านมีสต๊อกสินค้ามาก ข้าพเจ้าได้โทรเรียกรถดับเพลิงแล้วรีบมาไหว้พระ
กำหนดจิตให้เป็นสมาธิ อาราธนาพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์
มีหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด ตลอดจนเทวดา พรหมทั้งหมด ขอให้ท่านช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย ทันใดนั้น ข้าพเจ้าเห็นหลวงพ่อท่านเหาะมาให้ห้อง
ดูท่านมีอำนาจมาก ท่านมาพร้อมไม้เท้า พอมาถึง ลมก็พัดไปทางตรงข้าม (ข้าพเจ้าดูจากควันไฟ) จากนั้นไม่นาน เขาก็ดับไฟได้
ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกใพระคุณของหลวงพ่อท่านยิ่งนัก และยิ่งเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยยิ่งขึ้น
๓. หลวงพ่อรักลูกทุกคน
เมื่อประมาณกลางปี 2533 ข้าพเจ้าฟังเทปธรรมะที่หลวงพ่อท่านเทศน์สอน ท่านมักจะกล่าวถึง ชื่อลูกหลานที่นั่งอยู่ข้างหน้า เช่น คุณขวัญ, คุณสุวิทย์ ฯลฯ
(ขออภัยท่านที่ถูกกล่าวนามด้วย) ข้าพเจ้าฟังแล้วก็มีความรู้สึกอิจฉาท่านเหล่านั้น แต่ก็ปลอบใจตนเองว่า หลวงพ่อท่านรักลูกหลานทุกคน
แก้ไขความชั่วในจิตตนเองได้ชั่วคราว เดี๋ยวก็เกิดอีก ในใจก็คิดว่า
หลวงพ่อท่านรักลูกทุกคนที่ท่านเรียกมากกว่าตัวเรา เป็นเช่นนี้อยู่ 1 เดือน วันหนึ่งตอนเช้ามืด ข้าพเจ้าก็ฝันว่ากำลังนั่งคุยกับเพื่อนผู้หญิง
ประมาณเกือบ 10 คน (7 8 คน) ในห้องฝากระดาน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ พวกเรารู้จักสนิทสนมกันนานมาก นั่งบนพื้นห้องที่ปูพรมไว้
ตามความฝันรู้สึกว่าเป็นกุฏิของหลวงพ่อที่วัด ในขณะนั้นก็มีเพื่อนผู้หญิงมาเรียก บอกว่าหลวงพ่อท่านให้ไปพบ 3 คน
พร้อมกับเอ่ยชื่อ (ไม่มีชื่อปัจจุบันของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็รู้ว่านั่นเป็นชื่อของเราเอง) พวกเราทั้ง 3 ก็รีบไปหาหลวงพ่อท่าน
ห้องของท่านเป็นฝาไม้กระดาน ไม่มีเฟอร์นิเจอร์เช่นกัน ท่านนั่งอยู่บนพรมสีแดง พวกเราคลานเข้าไปหาก่อนทีละคน ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้าย
ท่านมองหน้าข้าพเจ้าด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง แล้วท่านกล่าวว่า จำไว้นะลูก พ่อรักลูกทุกคนเท่ากันหมด ท่านบอกข้าพเจ้าถึง 2
ครั้ง
และท่านก็แนะนำการปฏิบัติของข้าพเจ้าอย่างสั้นๆ พร้อมกับเปิดหนังสือธรรมะและบอกให้ข้าพเจ้าอ่าน อ่านหนังสือเสียลูก
ท่านบอกแล้วข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้นมา เป็นเวลาตี 5 ครึ่งเกือบ 6 โมงเช้าแล้ว ข้าพเจ้ามานั่งคิดว่าท่านสั่งให้อ่านหนังสือ หมายความว่าอย่างไร ก็มีความเข้าใจว่า
ข้าพเจ้าต้องอ่านหนังสือธรรมะทุกวัน จึงจะมีความเจริญก้าวหน้าทางโลกุตรธรรม
ซึ่งคำสั่งนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้สั่งไว้เมื่อปี 2531 ข้าพเจ้ามาไตร่ตรองดูจึงเข้าใจ
เพราะเมื่ออ่านหนังสือธรรมะ จิตของข้าพเจ้าจะเข้าถึงอุปจารสมาธิได้ง่าย อ่านถึงเหตุการณ์ใดจะเห็นเหตุการณ์นั้นได้ เหมือนดูด้วยตา องค์สมเด็จพระบรมครู
และหลวงพ่อท่านรู้จริตของลูกหลาน และท่านแนะนำการปฏิบัติให้ตรงทาง เพื่อจะได้ก้าวหน้าได้เร็วโดยแท้จริง
๔. หลวงพ่อมาเตือน เมื่อลูกทำความชั่ว
คนทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ ย่อมหนีโลกธรรม 8 ประการไม่พ้น มีลาภก็เสื่อมลาภ มียศก็เสื่อมยศ มีสุขก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็มีนินทา รู้ทั้งที่รู้
เนื่องจากการฟัง การอ่าน แต่ก็ไม่สามารถจะอดทนหรือทนอดได้ ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกับปุถุชนคนอื่นที่ไม่ยอมละวางการถือตัวถือตน ที่ไม่ยอมคิดว่า
มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อกระทบโลกธรรมทั้ง 8 ประการ ข้าพเจ้าโกรธที่แม่และญาติพี่น้องรุมด่าว่า
ประณามทั้งที่ไม่ได้ทำผิด ทั้งๆ เสียสละทุกอย่าง เพื่อท่านจะได้มีความสุข ไม่เคยนึกถึงตนเองก่อน แต่นึกถึงท่านผู้มีคุณก่อนเสมอ ข้าพเจ้าพยายามตัดใจ
ไม่คิดชั่ว แต่ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง คราวหลังๆ รู้สึกว่าหนักมาก ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจมากและโกรธมาก ถ้าทำผิดจะไม่โกรธ แต่นี่ไม่ผิด จึงทั้งโกรธทั้งเสียใจ
ข้าพเจ้าจึงตั้งใจจะตัดแม่ตัดลูกกับแม่ (ท่านตัดเราก่อน แต่ข้าพเจ้าไม่เคยกล่าวคำหยาบด่าว่าท่าน)
ในตอนกลางคืนก่อนสว่าง ข้าพเจ้าฝันเห็นหลวงพ่อท่านเข้ามาในห้องนอน ท่านหน้าบึ้ง ไม่ยิ้มเลย ซึ่งปกติท่านจะมีเมตตากับลูกหลานเสมอ ท่านไม่พูดอะไรเลย
มาถึง ท่านยืนนิ่ง ข้าพเจ้ารู้ตัวว่า ตนเองได้ทำความผิดอย่างมหันต์ คือเป็นคนอกตัญญูต่อแม่ท่านผู้มีคุณใหญ่ ข้าพเจ้าเสียใจมากที่ทำผิดทำชั่ว
ข้าพเจ้าร้องไห้แล้วคลานเข้าไปกราบแทบเท้าหลวงพ่อ กล่าวขอขมาต่อท่านว่า ต่อไปลูกจะไม่ทำชั่ว ไม่คิดชั่วอีกแล้วเจ้าค่ะ หลวงพ่อท่านจึงหายหน้าบึ้ง
แล้วข้าพเจ้าก็ตกใจตื่นขึ้น ในเดือนนั้น หลวงพ่อท่านสอนธรรมะเรื่องการกตัญญูต่อผู้มีคุณ การทำบาป 5 อย่าง ที่ต้องตกนรกทันที บุญใดๆ ก็ช่วยไม่ได้ นั่นคือ
๑. ฆ่าพ่อ
๒. ฆ่าแม่
๓. ฆ่าพระอรหันต์
๔. ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต
๕. ทำสงฆ์ให้แตกร้าวกัน
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า หลวงพ่อท่านรักลูกหลานเพียงใด ท่านช่วยทุกอย่าง ทุกทาง ทั้งทางโลก และทางธรรม ถ้าไม่ได้ท่านช่วย ป่านนี้
ข้าพเจ้าคงจะลำบาก ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าเมื่อตายไป ลูกขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อเจ้าค่ะ ลูกขอสัญญาจะปฏิบัติตามคำสั่งและคำสอนทุกอย่างที่หลวงพ่อเมตตาสอน
ตลอดไปจนกว่าจะหมดลมหายใจอีกครั้ง
(ข้าพเจ้าเคยตายมาแล้วหนึ่งครั้งเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2534 ซึ่งได้เคยเขียนลงหนังสือธัมมวิโมกข์แล้วฉบับเดือนมิถุนายน34) ขอคุณความดีทั้งปวง
ที่ลูกได้ปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน ขอถวายหลวงพ่อทั้งหมด ขอให้หลวงพ่อของลูกมีขันธ์ 5 ที่แคล่วคล่อง เพื่อจะยังคุณประโยชน์
และเป็นที่พึ่งแก่ลูกหลานและประเทศชาติและพระพุทธศาสนาสืบไป
อานุภาพน้ำมันชาตรี
เมื่องานทอดกฐินที่วัดท่าซุง วันที่ 10 พฤศจิกายน 2534 ข้าพเจ้าได้ไปร่วมงานและได้ซื้อน้ำมนต์ชาตรี ซึ่งหลวงพ่อปลุกเสกกลับบ้าน 6 ขวด (ขวดเล็ก ขวดละ 5
บาท) ส่วนขวดใหญ่ไม่ได้ซื้อ เพราะหนักมากหิ้วไม่ไหว คนก็เยอะ แล้วข้าพเจ้ายังได้ถวายสังฆทาน มีพระพุทธรูปพร้อมผ้าไตรและของที่จำเป็นบริวาร นอกจากนี้
ยังได้เช่าผ้าไตรถวายอีก 5 ผืน ทำให้ไม่สามารถซื้อมาได้อีก
วันนั้นทำบุญอิ่มใจจริงๆ เมื่อกลับมากรุงเทพฯ ข้าพเจ้าได้ให้น้ำมนต์หนึ่งขวดแก่ลูกน้องชื่อ นก (สุวรรณี ปรมีศณาภรณ์) เพื่อให้เขาไปให้ลูกทั้ง 2
คนซึ่งไม่ค่อยสบายดื่ม และเอาไปให้คุณแม่ซึ่งป่วย คุณแม่ของนก อาการไม่ค่อยดี เป็นลมไม่รู้สึกตัว ต้องนำส่งโรงพยาบาลหลายครั้ง หมอตรวจพบว่า
เป็นถุงลมโป่งพองในถุงน้ำดี และเป็นนิ่วก้อนโตในไต หมอจึงได้ให้ยา และนัดทำการผ่าตัดวันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม 2534
นกรู้สึกเป็นทุกข์มากเพราะไม่มีคนอยู่บ้านเลี้ยงลูก 2 คน และยังมียายซึ่งป่วยเป็นอัมพาต ช่วยตนเองไม่ได้อีกหนึ่งคน จึงได้ตัดสินใจว่า
ถ้าแม่ต้องผ่าตัดและพักฟื้น จะให้แม่และลูกสาวคนเล็ก ไปอยู่บ้านพี่สาว ส่วนยายที่ป่วยเป็นอัมพาต ต้องส่งไปให้น้าสาวช่วยดูให้
ส่วนลูกชายคนโตตอนเช้าเอาไปส่งโรงเรียน ตอนเย็นต้องไปรับมาอยู่ที่บริษัทก่อน ค่อยกลับบ้านพร้อมตนเองเมื่อเลิกงาน ส่วนสามีนก
ก็บ่นคิดถึงลูกสาวคนเล็กเพราะไม่ได้เห็นหน้าเป็นเดือน ข้าพเจ้าบอกให้นกเทน้ำใส่แล้ว แล้วตั้งใจอธิษฐานขอพระบารมีของพระพุทธ พระธรรม
และพระอริยสงฆ์ทั้งปวง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีหลวงพ่อปานวัดบางนมโค และหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด ตลอดจนอาราธนาเทวดาและพรหมทั้งหมด
ขอให้ท่านมาช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง แล้วก็เทน้ำมนต์ลงในแก้วน้ำ และให้แม่ดื่ม
ส่วนน้ำมนต์ถ้าจะทำเตรียมไว้หลายๆ ขวดก็ได้ ให้เอาขวดของหลวงพ่อเป็นหัวเชื้อก็แล้วกัน เมื่อถึงวันนัด แม่ก็ไม่อยากผ่าตัด ลูกๆ ก็เป็นห่วง
เมื่อไปถึงโรงเพยาบาล หมอก็ได้ทำการเอ็กซเรย์ก่อนผ่าตัด หมอรู้สึกแปลกใจมาก เมื่อพบว่า ถุงลมในถุงน้ำดีก็เล็กลงมาก จนไม่เป็นอันตราย (เกือบหายหมด)
ส่วนนิ่วในไตก็เล็กลงมาจนขนาดเล็กกว่าเมล็ดข้าวสาร จึงไม่ต้องทำการผ่าตัดหรือกินยา
เพียงแต่ดื่มน้ำมากๆ และกระโดดให้นิ่วมันหลุดออกมาเองก็ได้ ส่วนแม่ก็รู้สึกสบายดีขึ้นมากและดีใจที่ไม่ต้องผ่าตัด ส่วนลูกๆ และหลานๆ ก็ดีใจกันทุกคน
เพราะไม่ต้องพลัดพรากจากกันหรือได้รับความลำบากเมื่อแม่หรือยายไม่อยู่บ้าน แม่ของนกจึงต้องรีบไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง
ถึงอานุภาพของน้ำมนต์ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ซึ่งแม่นับถือมากและจำต้องถวายสังฆทานทำบุญกับหลวงพ่อเมื่อท่านมาบ้านสายลมเดือนมกราคม 2535
ส่วนข้าพเจ้า ก็ได้รับผลดีจากอานุภาพของน้ำมนต์ของหลวงพ่อ ที่หน้าพระประธานของบ้านซอยสายลมเช่นกัน คือเมื่อข้าพเจ้าป่วยหนัก เดือนกุมภาพันธ์ 2534
จนตายไปเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์นั้น เมื่อฟื้นขึ้นมา ก็ยังป่วยหนักอยู่ สามีจึงได้ไปอธิษฐานขอน้ำมนต์มาผสมน้ำ ให้ดื่มพร้อมยา
ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าหายป่วยเร็วขึ้นมาก และมีสุขภาพดีในที่สุด ซึ่งน้ำมนต์นี้หลวงพ่อท่านเคยกล่าวว่า เป็นน้ำมนต์ของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ข้าพเจ้าขอรับรองว่า
เรื่องนี้เป็นความจริงทุกประการ
อานุภาพพระมหาลาภ
นับตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับพระมหาลาภ ทั้งคำข้าวและหางหมาก จากหลวงพ่อและจากการเช่าที่บ้านซอยสายลม
ข้าพเจ้าก็ได้นำมาบูชาและแจกแก่ผู้ที่รู้จักซึ่งมีความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ บางคนก็มีความขัดข้องด้านการเงินหรือการงาน
ผลก็ปรากฏแก่หลายท่านซึ่งนำมาเล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าจำนำมาเล่าให้ฟังบางท่านดังนี้
๑. ท่านแรกเป็นเซลส์แมนขายพัดลม ซึ่งมีชนิดสินค้าน้อย และราคาค่อนข้างสูง ทำให้ขายยาก เงินเดือนและค่าคอมมิชชั่นไม่พอเลี้ยงครอบครัว
ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นคนดีและชอบทำบุญ ก็ให้พระมหาลาภไปหนึ่งองค์ บอกวิธีอาราธนา และอานุภาพไปเสร็จสรรพ อีกเดือนกว่า ก็มารายงานว่าได้ผลดีจริงๆ
ปัจจุบันรายได้เดือนละเกือบ 2 หมื่นบาท โดยทำงานบริษัทตอนกลางวัน
ตอนค่ำไปขายสินค้าส่วนตัวจนดึก รายได้ดีพอเลี้ยงตนเองและครอบครัว (ภรรยา 1 และบุตรสาวอีก 1 คน) นอกจากนี้เซลส์อ้วน (คุณสมชาย) ยังได้ไปซื้อตึกแถว 1
ห้องกับของแม่และพี่น้องอีก 2 ห้องเป็น 3 ห้อง ส่วนเพื่อนก็ได้ไปซื้อตึกแถวหลายห้องเพื่อไว้ขายเก็งกำไร
ปรากฏว่าเจ้าของโครงการได้จัดให้มีการจับสลากแก่ผู้ที่ซื้อตึกแถว 1 ห้องมีสิทธิ์จับได้ 1 ครั้ง มีรางวัลอยู่ประมาณ 15 รางวัล
จากจำนวนตึกแถว 70 ห้อง ปรากฏว่าเซลส์อ้วนออกไปจับ 3 ครั้งได้มา 3 รางวัล เป็นโทรทัศน์สี 14 นิ้วหนึ่งรางวัล และเครื่องซักผ้าอีก 2 รางวัล
ส่วนเพื่อนไม่ได้สักรางวัล ผลครั้งนี้ ทำให้เซลส์อ้วนมีความศรัทธาในหลวงพ่อพระมหาลาภยิ่งนัก เรื่องนี้เกิดขึ้นปลายปี 2533
๒. รายที่สอง ก็เป็นเซลส์แมนขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นกัน คนนี้เป็นเด็กขายใหม่ชื่อรณวัตร เดิมค่อนข้างเกเร แต่ตอนนี้ดีแล้ว
ข้าพเจ้าสงสารที่ขายของไม่ค่อยได้ แถมยังโดนผู้จัดการดุว่าอีก และเห็นว่าเป็นเด็กดี นับถือพระเจ้า ก็เลยให้พระมหาลาภไปองค์หนึ่ง
บอกให้เขาไหว้เช้าหรือเย็นก็ได้ และให้ใส่บาตรวันละ 1 บาททุกวัน เขายังเอาเงินมาฝากทำบุญกับหลวงพ่อหลายครั้ง ต่อมาก็มารายงานว่า
ขายของได้ง่ายขึ้น ความเป็นอยู่มีความคล่องตัว เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ก็จะได้เงินมาสำหรับใช้จ่ายเสมอ
ผู้จัดการก็ขึ้นเงินเดือนและค่าน้ำมันรถให้อีกด้วย นอกจากนี้ เมื่อปีใหม่ 2534 ที่บริษัทมีการจับสลากให้รางวัลแก่พนักงาน
เขาก็จับสลากได้วีดีโออีกหนึ่งเครื่องด้วย
เขาบอกว่า เกิดมาไม่เคยมีลาภลอยอย่างนี้มาก่อน แต่ก็ไหว้ภาวนาในใจ ขอให้หลวงพ่อพระมหาลาภช่วยลูกด้วย ที่บ้านลูกยังไม่มีใช้และคุณแม่ก็อยากได้
แต่ลูกยังไม่มีเงินซื้อเลย ปรากฏว่าปีใหม่ 2534 ได้ดีใจกันทั้งบ้าน เพราะได้วีดีโอมาดูฟรีๆ
๓. เมื่อต้นปี 2534 ข้าพเจ้าต้องเข้าโรงพยาบาลกรุงเทพเพื่อทำกายภาพบำบัดทุกวัน ก็ได้ให้พระมหาลาภแก่พยาบาลที่แผนก บางคนก็ศรัทธาก็บูชาและได้ผล
มีอยู่คนหนึ่งชื่อจิ๋ม ได้ไปบูชาและมารายงานว่า ถูกหวยเกือบทุกงวด ครั้งละเกือบพันถึง 2 3 พันก็มี
๔. เมื่อเดือนสิงหาคม 2534 หลังจากข้าพเจ้าเปิดร้านแห่งใหม่ที่ท่าพระได้ไม่ถึงเดือน ก็รู้จักเซลส์แมนของบริษัทขายเสาอากาศคนหนึ่ง คนนี้ตั้งแต่เกิดมา
ไม่เคยห้อยพระที่คอเลย เป็นคนไม่ค่อยได้มาทางธรรม แต่พอพูดคุยกับข้าพเจ้าก็รู้สึกชอบพระที่ห้อยคออยู่ (หลวงพ่อพระมหาลาภคำข้าวปิดทองอย่างหนาทั้งองค์
เลี่ยมทองคำอย่างดี) เขาถาม ข้าพเจ้าก็เลยได้บรรยายสรรพคุณของพระมหาลาภ
รวมทั้งยกตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านเล่าบ้าง ที่ลงหนังสือธัมมวิโมกข์บ้าง ตอนจะกลับ เขาก็ขอพระมหาลาภไปหนึ่งองค์ ข้าพเจ้าก็ได้ให้เลือกไปเองหนึ่งองค์
(ตอนเปิดร้านใหม่ ข้าพเจ้าสั่งทำกล่องบรรจุพระมหาลาภไว้แจก เป็นของขวัญแก่ทุกท่านที่มาร่วมงาน มีบางคนมาขอซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายองค์) เขาบอกว่า
นี่เป็นพระองค์แรกที่จะเลี่ยมห้อยคอ อีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาก็มาหาอีก คราวนี้ข้าพเจ้ากำลังยุ่งอยู่
เขาก็ขอเวลานอก 2 3 นาที เขาเล่าเรื่องให้ฟังว่า พอได้พระ ก็รีบไปเลี่ยมมาห้อยคอทันที พร้อมทั้งโชว์ให้ดูอีกด้วย พอห้อยพระไปได้ 2 3
วันก็เกิดเรื่อง คือเขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปถนนวิภาวดีรังสิต ถึงหน้าโรงเรียนตำรวจสอนสุนัข ก็มีรถเก๋งโตโยต้าขับตัดหน้า ตนเองต้องหักหลบรถคว่ำไปหลายตลบ
ตนเองลอยละลิ่วไถลไปบนพื้นถนน กางเกงขาดหมด ผู้คนหวีดร้องลั่นไปหมด เขาคิดว่าไม่รอดแน่ๆ
ไม่หัวโหม่งพื้นก็ต้องถูกรถแล่นทับตายแน่ๆ ปรากฏว่ารถเก๋งวอลโว่เบรกตัวโก่งเพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง มาจอดตรงหน้า
โดยกันชนรถห่างหน้าเขาแค่คืบเดียวเท่านั้น เขาบอกว่า รอดตายคราวนี้ เพราะหลวงพ่อสมเด็จพระมหาลาภคำข้าวแท้ๆ ส่วนแผลที่ขาเมื่อซื้อยามาทาไม่กี่วันก็หาย
อุบัติเหตุคราวนี้ได้เงินมา 300 บาท จากคนขับรถวอลโว่ เพราะเขาก็ไม่มีสตางค์เป็นแค่ลูกจ้าง
(คนขับรถเท่านั้น) อีก 200 บาทต้องเอาไปจ่ายค่าปรับ เนื่องจากจอดรถผิดในที่ห้ามจอดของโรงพัก (ตนเองเจ็บ รถก็ไม่ค่อยสมบูรณ์จากอุบัติเหตุ) เหลืออีก 100
บาท คนขับรถวอลโว่บอกให้ไปซื้อยามาทาบาดแผลก็แล้วกัน แต่ร้อยเวรบอกว่า อย่าเลยเอาไปซื้อสังฆทานถวายพระเพื่อสะเดาะเคราะห์ดีกว่า
เพราะคุณน่ะมีเคราะห์ร้ายจริงๆ!
ส่วนคนอื่นๆ ก็มีอีกมาก บางคนก็คล้ายๆ กับบุคคลอื่นที่เคยลงหนังสือธัมมวิโมกข์แล้ว สำหรับตัวข้าพเจ้าเองมีผลมากมาย
จากร้านเดิมที่เยาวราชก็ขยายมาเปิดสาขาใหม่ที่ท่าพระ ทั้งๆ ไม่มีทุน แต่ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลต่างๆ และเป็นผู้ใหญ่ในธนาคาร
เมื่อมีปัญหาการเงินหลวงพ่อท่านก็ช่วยให้รอดพ้นทุกครั้ง มีปัญหาเรื่องบุคลากร หรือคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับการงาน ก็ผ่านไปด้วยดีทุกอย่าง
ปัจจุบันข้าพเจ้ามีความสุขจากการได้ทำบุญกับหลวงพ่อทุกเดือน ข้าพเจ้าและครอบครัวใส่บาตรวิระทะโยทุกวัน ชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรมดีขึ้นมาก
ทุกคนในครอบครัวมีความสุข ความเจริญ เนื่องจากพระพุทธบารมี พระธรรมบารมี และพระอริยสงฆ์บารมี เทวดา พรหมทั้งปวง มีหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด
ll กลับสู่สารบัญ
124
ประทับใจในองค์หลวงพ่อ
บัวจันทร์ รอนไพลิน
ก่อนเริ่มเขียนเรื่องราวความประทับใจหรือประสบการณ์ของข้าพเจ้า ที่ได้พบหรือได้รับเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อนั้น ต้องขอออกตัวก่อนว่าข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียน
ถ้าเขียนขาดตกบกพร่องหรือผิดพลาดส่วนใดไป ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ที่เขียนเรื่องนี้มาลง ก็เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณความดีขององค์หลวงพ่อซึ่งหาที่สุดมิได้
การเขียนเรื่องนี้อาจจะไปตรงกับของใครท่านผู้ใด ก็ขออภัยด้วย เพราะความคิดเห็นของเราตรงกัน
๑. ในด้านธรรมะที่ท่านสอน จอสอนให้เหมือนกันหมด ท่านจะสอนแบบให้จำได้ปฏิบัติได้จริงๆ ท่านจะสอนซ้ำๆ หลายๆ เที่ยว
เพื่อถ่ายเทความรู้ที่ท่านมีอยู่ ให้ลูกหลานและพุทธบริษัทรับไว้ปฏิบัติ เพื่อตนเองจะได้พ้นทุกข์หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ไม่ต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตายอีกต่อไป
เข้านิพพานเป็นที่สุดจุดเดียว ประทับใจมากๆ
๒. ในด้านความเมตตาที่ได้รับจากหลวงพ่อนั้นมากมายหาที่สุดมิได้ ทุกคนจะได้รับความเมตตาจากท่านเหมือนเหมือนกันหมด ไม่เลือกที่รักที่ชัง
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว พอเห็นหน้าหลวงพ่อท่านก็จะทักคำแรก มายังไง ลูกเอ๋ย ชื่นใจ ข้าพเจ้าก็จะบอก มารถเจ้าค่ะ หลวงพ่อยังมีลูกเล่น รถที่ขี่มา มันมีกี่ล้อวะ
หรือมารถเข็น และหลายๆ คำพูดไต่ถามและคุยด้วยความเมตตา
จนข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจมาก และได้ประจักษ์ในความเมตตาของหลวงพ่อ ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงวัดนี้ทีเดียว ได้พูดคุยกับหลวงพ่อ
ความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางมา 7 8 ชั่วโมงจะถึงวัด เห็นหน้าหลวงพ่อแล้ว หายเหนื่อยหายทุกข์ มีความสุขเย็นทั้งกายทั้งใจ สบาย-สบาย ประทับใจมากๆ
๓. ในด้านประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา ก็มีหลายๆ เรื่องเป็นเรื่องจริงทั้งหมด เช่นเราเจ็บป่วย ทางวัดมีงาน เช่นงานเป่ายันต์เกราะเพชรสะเดาะเคราะห์
งานบุญต่างๆ ที่ทางวัดจัด เราอยากมาก็มาไม่ได้เพราะป่วย ไม่สบาย เราอยากมาทำบุญจริงๆ ก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยให้การเจ็บป่วยนี้หาย
ลูกจะได้ไปทำบุญกับหลวงพ่อ อัศจรรย์อาการป่วยหาย และได้ไปวัดทุกครั้ง
จะเจ็บป่วยปวดหัวตัวร้อนไข้ขึ้น ถ้าไปวัดท่าซุงก็จะหาย ได้ทำบุญกับหลวงพ่อแล้วหายหมด สามารถยืนเข้าแถวถวายสังฆทานได้อย่างสบาย ประสบกับตนเองมาแล้ว
ขอยืนยัน ประสบการในด้านฤทธิ์อภินิหารของหลวงพ่อมีมากมาย มีทุกรูปแบบ จะเอามาบรรยายไม่หมด ถ้าท่านผู้ใดสนใจอยากรู้โปรดติดตามอ่านลูกศิษย์บันทึกเล่ม 1 2
จะมีครบทุกรูปแบบ ก็ขอยุติแค่นี้ก่อนนะคะ
|
|
- ต่อ -
ข้าพเจ้า ขอกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทานพรพิทักษ์รักษาองค์หลวงพ่อ เพื่อให้มีพลานามัยสมบูรณ์ มีอายุยืนนาน
เพื่อเป็นมิ่งขวัญที่เคารพบูชา เป็นร่มโพธิ์แก้ว เป็นที่พึ่งของลูกหลานต่อไป ตราบกาลนานเถิด.
125
ชวนลูกศิษย์ฝึกมโนมยิทธิ
อุษา ศวิตชาต
ลูกศิษย์ดิฉันได้มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2534 เจ็ดคน เมื่อ 7 คนนี้กลับไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง มีอยู่คนหนึ่ง
เขาได้พบกับพ่อของเขาที่ตายไปแล้ว ได้สอนให้เขาทำความดี เมื่อเพื่อนๆ ได้ฟัง 7 คนนี้เล่าให้ฟัง เขาก็นัดกันมาอีก 21 คน ใน 21 คนนี้
มีอยู่คนหนึ่งฟังเพื่อนเล่าแล้ว พอเขาไปฝึก เขาเห็นด้วยจิต ไม่ชัดเจนแจ่มใสเหมือนเพื่อนๆ เขาไม่เข้าใจ
ก็เลยไม่ได้ตามครูฝึกและเพื่อนๆ ไปให้ตลอด ดิฉันรู้สึกเสียดายมาก รุ่นต่อมาก็มาอีก 18 คน แต่คนที่เห็นด้วยจิตไมได้ไปด้วย ดิฉันจึงให้คนที่คล่องๆ
มาลองฝึกให้คนนี้ดู แล้วให้อีกคนหนึ่งที่ระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นพระมาฝึกให้อีกคนหนึ่ง ลองฝึกดู 2 คู่ ก็ปรากฏว่าฝึกได้ จึงให้ 2 คนนี้ฝึกให้เพื่อนๆ
ในตอนพักกลางวัน นักเรียนที่ดิฉันสอน 3 ห้องๆ ละ 30 กว่าคน ฝึกได้เกือบหมดแล้ว
บางห้องได้หมด ยังมีคนที่เห็นด้วยจิตอีกไม่กี่คน บางคนอาจจะลังเลสงสัย ดิฉันจึงให้เขาฝึกโดยจับมือเพื่อนไว้ ให้เขามั่นใจว่า เพื่อนจะพาเขาไป
ทำให้เขาฝึกได้ชัดเจนแจ่มใสขึ้น ใน 3 ห้องนี้ จะเหลือคนที่เห็นด้วยจิตอีกสัก 2 3 คน พอดีปิดเทอมค่ะ พวกนี้เป็นพวกเด็ก ป.6 มีเด็ก ป.5 หลายๆ คนก็มาให้เด็ก
ป.6 ช่วยสอนให้ในตอนพักกลางวันด้วย ดิฉันจะให้เขานั่งก่อนเรียน 10 15 นาที จึงเรียนหนังสือ
โดยบอกเขาก่อนนั่งว่า ให้ไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ตัวเองนั่งคุมอยู่หน้าห้องเรียน (ดิฉันไม่ได้สอนวิชาจริยะ) เขาสนใจกันมาก มีอยู่คนหนึ่งนะคะ
หลังจากไปฝึกสมาธิแล้วไม่นาน แม่เขาตาย ดิฉันบอกให้เขานำเงินใส่ซอง 10 หรือ 20 บาทก็ได้ เขียนที่ซองว่า ทำบุญสังฆทานให้กับแม่ของเขา
เมื่อบอกให้เขานั่งสมาธิ เขาก็ได้พบแม่ของเขา ทำให้เขาดีใจมาก เด็กพวกนี้จะเก็บเงินค่าขนมมากันเอง
ดิฉันแนะนำให้เขานำข้าวใส่กล่องมาทานกลางวันด้วยเพื่อประหยัดเงิน ตอนนี้ พวกเด็กๆ ไม่ได้ไปวัดกันอีก บางคนไป 1 ครั้งหรือ 2 ครั้ง น้อยคนมากที่ไปถึง 3
ครั้ง บางคนไม่เคยไปเลย เพื่อนฝึกให้ ก่อนเรียนบางครั้งดิฉันก็ให้ขอบารมีไปดูนรก เพื่อให้เขากลัวการทำบาป บางคนก็จะไปพบญาติของเขาที่นรกด้วย
ได้แนะนำให้เขาฝากเงินเพื่อนๆ ไปทำบุญที่วัดท่าซุงคนละ 1 บาทก็ได้ เพราะเด็กๆ ที่โรงเรียนดิฉันส่วนมากแล้วจน
จึงทำตามหลวงพ่อ คือให้เก็บค่าขนม 1 บาท ฝากเพื่อนไปทำบุญ พอถึงเวลาจะเรียน นั่งสมาธิไปดูวิมานตัวเอง เขาก็ได้เห็นผลของการทำบุญ
ก่อนปิดเทอมนี้ดิฉันจึงให้นั่งสมาธิแล้วไปเที่ยววัดท่าซุง เพื่อให้คนที่ไม่เคยไปวัดเลยได้ไปสัมผัสกับวัดท่าซุงด้วยมโนมยิทธิ
เผื่อว่าปิดเทอมใครจะชวนพ่อแม่ไปวัดกันบ้าง ดิฉันเลยกลายเป็นครูฝึกไปโดยปริยายเพราะความอยากให้เขาได้ฝึก แต่พ่อแม่บางคนไม่ยอมให้ไป
ถ้าดิฉันไม่พาไป ดิฉันบอกให้เขาไป แต่ตัวเองก็ไปดูเขาโดยไม่บอกให้เขารู้ว่าจะไป ไปอยู่ 2 ครั้งก็ปล่อยเขาไปเอง เมื่อพวกนี้ฝึกได้แล้ว
ก็เลยไม่ค่อยไปวัดกัน เพราะทุกวันดิฉันจะให้เขาขึ้นไปกราบองค์สมเด็จที่เมืองนิพพานแล้วไปกราบหลวงพ่อ เพื่อระลึกถึงบุญคุณของหลวงพ่อที่นำวิชามโนมยิทธิมาสอน
ให้พวกเขาไปเที่ยวพระจุฬามณีที่เมืองนิพพาน ที่วิมานของหลวงพ่อ ที่วิมานของเขาเอง
บางครั้งให้เข้าไปสำรวจในตัวเองว่า เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกอย่างไร แนะนำให้เขาถือศีล 5 ทุกวัน พอวันพระ ก็ลองให้เพิ่มอีก 1 ข้อคือ ไม่นอนที่นอน
แต่บางคนบอกว่าผมได้ 7 ข้อ เพราะผมไม่ดูทีวี เนื่องจากที่บ้านเขาไม่มีทีวี เลยเขียนมาเล่าให้ฟังเสียยืดยาวเลยนะคะ
<ll กลับสู่สารบัญ
126
ความประทับใจในการฝึกมโนมยิทธิ
นักเรียนโรงเรียนเขากบ (วิวรณ์สุขวิทยา)
ด.ช.อานนท์ แจ้งจิต (ป.6/1)
เมื่อก่อนนี้ข้าพเจ้าเคยคิดว่า การเกิดเป็นมนุษย์นี้ มีความสุขสบายทุกอย่าง และข้าพเจ้าเคยคิดว่า ร่างกายของมนุษย์สะอาดสวยงาม
เป็นร่างกายที่ละเอียดมาก เมื่อข้าพเจ้าได้ไปฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าก็รู้ว่า นรก สวรรค์มีจริง และหลวงพ่อยังทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า คนเราเกิดมามีแต่ความทุกข์
และร่างกายของมนุษย์สกปรกมาก หลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา และหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า
ยังมีกายที่สวย สะอาด และยังมีวิมานที่น่าอยู่กว่าโลกมนุษย์อีก ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจมาก และเมื่อข้าพเจ้าเดินเข้าไปในวิหารแก้ว 100 เมตร
ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจสถานที่นี้มาก เพราประดับด้วยกระจกสวยงามมาก และมีดวงไฟ เมื่อเปิดดวงไฟแล้ว แสงไฟกระทบกับกระจกทำให้ดูสวยงามมาก
ข้าพเจ้าขอกราบแทบเท้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นที่สุด ที่หลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า สิ่งต่างๆ ในโลกมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้
ด.ญ.ปราณี สระแก้ว (ป.6/2)
ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ไปวัดท่าซุง ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชอบ และอยากไปอีกหลายๆ ครั้ง ข้าพเจ้าไปฝึกมโนมยิทธิที่วิหาร 100 เมตร
พอข้าพเจ้าเดินเข้าไปในวิหาร 100 เมตร ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกร่มเย็นอบอุ่นเหมือนอยู่ในสวรรค์ ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิ
ทำให้ข้าพเจ้ารู้และเห็นสิ่งต่างๆ ที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน
เพราะได้ไปพบกับคุณแม่ของข้าพเจ้าที่ล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2534 ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขเหมือนกับว่า
คุณแม่ของข้าพเจ้าอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าตลอดเวลา ตอนที่ข้าพเจ้าได้ยินเพื่อนๆ ที่ไปฝึกมโนมยิทธิแล้วกลับมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าไม่เชื่อ
แต่พอข้าพเจ้าไปฝึกบ้างและได้เห็นกับตา ข้าพเจ้าก็เกิดศรัทธาและเชื่อทันที ตั้งแต่ข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิ
ทำให้ข้าพเจ้ามีจิตใจร่มเย็น ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขกับการฝึกมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าประทับใจในความสามารถของพระเดชพระคุณหลวงพ่อยิ่งนัก เหตุใด
เราจึงไม่มาร่วมกันบำเพ็ญกุศล เพื่อให้ได้ความสงบ และแสงสว่างทางธรรม ลูกขอกราบพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่ทำให้ลูกมีความสุข
ในแสงธรรมในการฝึกมโนมยิทธิ
ด.ญ.วิมลศรี เปรมวัฒนะ (ป.6/2)
ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่นำวิชามโนมยิทธินี้มาสอนแก่ข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า เมืองพระนิพพานนี้มีจริง
นอกจากเมืองพระนิพพานแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าได้ไปเห็นพระพุทธเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่าสรรค์นรกมีจริง และเมื่อข้าพเจ้าได้ไปเที่ยวที่สวรรค์
ทำให้ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า
คนในสวรรค์ทำบุญอะไรบ้าง และเมื่อไปในนรก ก็รู้ว่า พวกที่อยู่ในนรกทำความชั่วอะไร จึงมาตกนรกขุมไหนบ้าง และข้าพเจ้ายังได้รู้ว่า
วิมานของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจะรักษาวิชามโนมยิทธินี้ไปจนตราบชั่วชีวิตของข้าพเจ้า
ด.ญ.นิรัชรา เดชาภูมิ (ป.6/3)
ข้าพเจ้าเคยรู้สึกไม่เชื่อเรื่องฝึกมโนมยิทธินี้ ว่าจะขอเห็นภาพเรื่องราวอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนรกหรือสวรรค์
แต่พอข้าพเจ้าได้มาฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ข้าพเจ้าก็ได้ไปเห็นนรกและสวรรค์ ข้าพเจ้าก็ได้เห็นอย่างลึกซึ้งว่า นรกและสวรรค์เป็นอย่างไร
ข้าพเจ้าได้ไปดูวิมานของตัวเอง ข้าพเจ้าได้ไปเห็นวิมานตัวเองแล้วว่า อยู่ที่ไหน
ข้าพเจ้าจะทำความดีให้มากขึ้นจะได้ไม่ต้องไปอยู่นรก พอข้าพเจ้าออกจากมโนมยิทธิ ข้าพเจ้าได้ไปเดินเที่ยวในบริเวณวัดท่าซุง ข้าพเจ้าเดินดูไปทั่วๆ
เห็นวัดท่าซุงอย่างกับเป็นสวรรค์ ข้าพเจ้าได้เข้าไปที่ตึกรับแขก เห็นหลวงพ่อหน้าตาเบิกบาน ข้าพเจ้านึกในใจว่า ถ้าหลวงพ่อแห่งวัดท่าซุง
ไม่ได้นำวิชามโนมยิทธิมาสอนทุกๆ คน คงไม่ได้รู้ว่า
นรกและสวรรค์เป็นอย่างไรก็จะทำชั่วกันมากขึ้น ส่วนคนดีๆ ก็มีอยู่แล้วก็จะทำความดียิ่งๆ ขึ้น หลวงพ่อแห่งวัดท่าซุง มีบุญคุณต่อข้าพเจ้ามาก
เนื่องจากหลวงพ่อได้ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นนรกและสวรรค์เป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจะได้ไม่ทำชั่วผิดศีล 5
ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นอย่างมาก
ด.ญ.ศิริจรรยา ศรีสุวรรณ์ (ป.6/3)
ลูกมีความประทับใจมาก ตอนที่ไปฝึกมโนมยิทธิ ทำให้ลูกได้ไปเที่ยวพระจุฬามณี และได้ไปกราบหลวงปู่ปาน เพราะทำให้ลูกมีความสบายใจมากยิ่งขึ้น
และทำให้ได้บุญเพราะลูกได้ไปสอนน้อง และเพื่อนบ้านทำให้วิมานของลูกใหญ่ขึ้น
ll กลับสู่สารบัญ
127
พระคุณท่านหลวงพ่อสุดบูชา
จรูญ เพ็ชรรัตน์
เมื่อก่อนนี้ ดิฉันยังเยาว์วัยก็มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาตลอดมา และมีความรู้สึกแต่อยากจะทำบุญไหว้พระเป็นส่วนใหญ่ จะปลูกดอกไม้เก็บดอกไม้ที่สวยๆ
เอาไปบูชาพระเสมอ ตลอดพรรษาเป็นประจำ ดิฉันอยู่บ้านนอก ก็ทำนายากจนมาก ทำงานพอได้เลี้ยงครอบครัว มีความสุขบ้างตามสมควร และแบ่งทำบุญเป็นประจำเสมอมา
และต่อมา ได้มีโอกาสได้มาทำงานที่ตะวันออกกลางกับเขาด้วย โดยที่ไม่ได้นึกได้ฝันมาก่อนเลย
เพราะไม่มีค่านายหน้าจะเสียให้เขา บุญเก่ากุศลส่ง ก็ได้มาทำงานที่อะบูดาบี เจ้านายเป็นชาติฝรั่งเศส และก็เป็นครอบครัวที่ใจดีที่สุดเลย
ให้ความเป็นอยู่เหมือนเป็นคนในครอบครัวทุกอย่าง อยู่มาได้ 3 ปี ได้เงินส่งไปทางบ้านให้แม่ได้ใช้ และดิฉันได้ไปทำดวงตาใหม่ให้แม่ด้วย
(เดิมตามแม่เป็นต้อกระจกทั้งสองข้าง มองไม่เห็น ต้องลอกออกทั้งสองข้าง) ดิฉันให้หมอผ่าตัดใส่คอนแท็คเลนส์ให้ทั้งสองข้างเลย หมดไปประมาณสี่หมื่นกว่าบาท
และตาของแม่มองได้เห็นชัดเจนดีมาก 5 ปีแล้ว ตอนนี้แม่อายุ 80 กว่าแล้วยังแข็งแรงดี เดินไปมาทำสวนในบ้านได้ ดิฉันดีใจมากที่ได้ทดแทนพระคุณของแม่
และส่งเสียเลี้ยงดูมาตลอด และพาไปทำบุญกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุงด้วย ให้แม่ทำบุญทุกๆ อย่างที่หลวงพ่อสร้างขึ้น สิ่งที่จูงใจจะได้พบหลวงพ่อนั้น
ดิฉันได้รู้จักคนไทย มาทำงานที่อะบูดาบี คือคุณสุชาติ ดิฉันบ่นว่าไม่รู้เป็นไร นอนไม่หลับเลย
คุณสุชาติเขาบอก ผมมีเทปเสียงธรรมก่อนนิทรากับเทปตอนเช้ามืด ก็เอามาเปิดฟังทุกคืน สวดมนต์แล้วก็ฟังเทปของหลวงพ่อ หลับสบายทุกคืน
วันไหนไม่ได้ฟัง ก็นอนไม่หลับอีก และกลางวันลูกก็ทำงานไป ฟังเทปหนีนรกทั้ง 12 ม้วน พอจบก็ขึ้นต้นใหม่ ฟังไม่รู้เบื่อ แล้วก็ติดตามที่หลวงพ่อพูดไป
และได้อ่านหนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ที่คุณสุชาติให้ยืมมาอ่าน มีความสนใจมาก
และหนังสือธัมมวิโมกข์ที่ทางบ้านเขาส่งมาให้อ่านด้วย เขาบอกว่า เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานานแล้ว ก็เลยฝากซื้อ ประวัติหลวงพ่อปาน มาหนึ่งเล่ม
อ่านแล้วก็บูชาไว้ที่หัวนอนทุกวัน เหตุที่ลูกจะเคารพบูชาสุดชีวิตก็คือ เจ้านายคนเก่ากลับ ก็ฝากต่อไว้ให้กับคนใหม่ เป็นชาติอเมริกัน
นายผู้ชายดีมากแต่นายผู้หญิงจอมวุ่นวายเป็นที่สุด เขาจะเอางานของเพื่อนที่เป็นคนไทยด้วยกัน ทั้งที่เราก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยกัน เพื่อนกัน
แต่จะมาแย่งเอางานกันเอง มันน่าอายเหลือเกินที่เป็นคนไทยแท้ นับประสาอะไรกับคนต่างชาติจะพึ่งพาอาศัยได้ ก็เถียงกัน เขาบอกว่าหนูมีความจำเป็น
แล้วฉันถามว่าฉันไม่จำเป็นหรือ เขาตอบน่ารักมากว่า จะไปรู้พี่หรือ นี่คือน้ำใจคนไทยในต่างแดน ก็ทะเลาะกันเป็นการใหญ่
แม้แต่หมามันยังหวงกระดูกที่มันกินอยู่เลย เขาไม่ถอยจะเอาเสียอย่าง อะไรจะเกิดขึ้น หน้าด้านจังเลย
ความจริงถ้าเราไม่ยอม เจ้านายก็ดันเซ็นวีซ่าไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเป็นในเมืองไทยไปโลด ไม่ต้องพูดให้เสียน้ำลายเลย มีคุณสุชาติคนเดียว บอกพี่ทำใจดีๆ ไว้
จิตล้มแล้ว ดิฉันก็ได้ความคิดขึ้นมาว่า อ่านหนังสือหลวงพ่อปานแล้ว ท่านจะให้ความเป็นธรรมเสมอ พอกลับมาก็เอาหนังสือรูปหลวงพ่อปานมาบูชา
ขอความเป็นธรรมจากท่าน ลูกไม่ผิดขอให้ลูกได้งานใหม่ พอ 7 วันผ่านมา
ก็มีคนมาบอกงานให้ นายผู้ชายก็พาไปสมัคร เขาก็รับไว้แล้วบอกให้นายเซ็นวีซ่าให้เขาไป ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นชาติฝรั่งเศส
อีกงานใหม่ที่ได้นี้ลูกถือเสียว่า หลวงพ่อได้ให้ชีวิตใหม่แก่ลูก ไม่ลืมพระคุณที่ได้เมตตา ลูกบูชาสุดชีวิตนี้ เงินเดือนๆ แรก
ลูกได้ส่งเข้าทำบุญกับหลวงพ่อและเข้ามูลนิธิหลวงพ่อปานด้วย ต่อมา ลูกได้สร้างห้องพระกรรมฐาน 1 ห้อง ส่งหมดแล้ว กำลังสร้างพระชำระหนี้สงฆ์อีกหนึ่งองค์
ยังไม่หมด
เมื่อมิถุนายนส่งอีกหนึ่งหมื่นฝากเพื่อนไปส่งที่ซอยสายลม เงินเพื่อนเก็บเข้ากระเป๋า เหลือแต่ซองให้หลวงพ่อ เวรกรรมแท้ๆ อุปสรรคยังไม่หมดเลย
ลูกจะพยายามให้แล้วเสร็จไวๆ เพื่อเป็นกำลังใจของลูก ในการทำงานในต่างแดน มีอุปสรรคนานาประการ ผู้คนก็พูดกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องนักสำหรับต่างชาติ
ส่วนคนไทยด้วยกัน ก็มีแต่เอารัดเอาเปรียบกันอยู่เสมอ ไม่สามัคคีกันเลย
ลูกขอพรสมเด็จพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
และหลวงพ่อพระราชพรหมยานวัดท่าซุงเป็นที่สุด ขอให้คนไทยในต่างแดน จงสามัคคีกันเหมือนพี่เหมือนน้องเถิด ชาติไทยจะได้เจริญ
ลูกก็ได้หลวงพ่อเท่านั้นเป็นกำลังอยู่ทุกวัน ฟังเสียงหลวงพ่อทุกวัน (หมายถึงฟังเทปหนีนรกด้วยทุกวัน 12 ม้วน)
อีกเรื่องหนึ่งที่ลูกประทับใจมากคือ ลูกสวดมนต์ทุกวัน ก็ขอบารมีหลวงพ่อให้เมตตาสงเคราะห์ ให้ลูกได้เอาของที่ซื้อไว้เอาไปใช้บ้าง
เอาไปถวายพระบ้าง ลูกขอน้ำหนักทั้งหมด 80 กิโลกรัม ให้ผ่านได้ที่สนามบินอะบูดาบี เพราะเห็นของมาก ลูกก็ยิ้ม ใจก็บอกให้หลวงพ่อ ให้ผ่านตลอดนะช่วยลูกด้วย
ก็เป็นผลสำเร็จทุกอย่าง ทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไม่มีการตรวจค้นเลย ไปได้สบายมาก
เพราะบารมีหลวงพ่อที่ลูกเคารพ และเชื่อมั่นจริงๆ จึงได้สมปรารถนาทุกอย่าง และลูกก็ได้ไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ไม่เคยไปเลย ไม่รู้ว่าวัดอยู่ที่ไหน
เอาลูกชายไปเป็นเพื่อนแล้วจุดธูปบอกหลวงพ่อ ช่วยนำให้ลูกไปให้ถึงวัดด้วยเถิด ก็ได้มากราบหลวงพ่อ ไม่เคยเห็นองค์ท่านได้ฟังแต่เสียงเท่านั้น
ลูกมีความปลื้มปีติมากที่ได้มากราบหลวงพ่อสุดบูชาของลูก
กลับสู่สารบัญ
|
|
128
อานุภาพน้ำมันชาตรี
สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ
ลูกมีเรื่องประหลาดมากจากการใช้น้ำมันชาตรีที่ได้เช่าไปจากซอยสายลม เรื่องมีอยู่ว่า คุณพ่อของลูกท่านต้องเข้ารับการผ่าตัด ด้วยโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ
ที่โรงพยาบาลกรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 1 ปีเศษที่ผ่านมา หลังจากผ่าตัดและออกมาพักผ่อนที่บ้านได้ไม่นาน แผลผ่าตัดของคุณพ่อเกิดแตกปริเป็นรู รักษาเท่าไรก็ไม่หาย
ไม่สามารถทำให้แผลนั้นปิดสนิทดังเดิมได้
คุณพ่อต้องเข้ารับการผ่าตัดย่อยที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้ง เพื่อให้แผลนั้นปิดสนิท แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แผลนี้ทำให้คุณพ่อเจ็บปวดทรมานมาก
ท่านเพียรเสาะหาทั้งหมอจีน หมอไทย หมอแผนปัจจุบันและโบราณ เพื่อรักษาแผลนี้ให้หาย แต่บรรดาหมอทั้งหลายต่างส่ายหน้า บอกว่าไม่เคยพบมาก่อน และแน่ใจว่า
คงไม่มีทางรักษาให้หายได้
เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2534 ลูกได้ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อเหมือนดังที่เคยปฏิบัติทุกเดือนที่ซอยสายลม ลูกได้พบว่า
หลวงพ่อได้ทำน้ำมันชาตรีมาให้ลูกหลาน เช่าไปรักษาได้ทุกโรค ลูกจึงลองเช่าไป 5 ขวดให้คุณพ่อของลูกใช้ และในวันแรกที่คุณพ่อเริ่มใช้
โดยใช้น้ำมันชาตรีทาที่แผลที่ปริเป็นรูนั้น และอธิษฐานตามวิธีที่เขียนไว้ในใบกำกับการใช้น้ำมันชาตรี ก็เกิดสิ่งที่เหลือเชื่อเกิดขึ้นนั่นคือ
แผลผ่าตัดที่ปริเป็นรูมากว่าปีเศษ ปิดสนิท อย่างไม่น่าเชื่อ วันต่อมาคุณพ่อเกิดอาการปวดภายในท้องขึ้นมาแทน
ท่านจึงใช้วีทั้งกินและทาไปพร้อมกัน เพื่อรักษาอาการทั้งภายในและภายนอก 2 วันต่อมา ผิวหนังข้างๆ แผลผ่าตัดนั้น เกิดบวมคล้ายฝีขึ้นมา
เม็ดของฝีโตประมาณปลายนิ้วก้อย คุณพ่อยังคงกินและทาน้ำมันตามเดิม 1 สัปดาห์ต่อมา ขณะที่คุณพ่อนอนหลับในเวลากลางคืน ท่านต้องสะดุ้งตื่น
เนื่องจากฝีเม็ดนั้นเกิดแตก และมีหนองไหลออกมามากมาย คุณพ่อรู้สึกแปลกใจมาก เพราะลักษณะฝีที่เกิดขึ้นนั้น มิใช่ฝีที่มีหนอง แต่เมื่อฝีแตกออกมา
ทำไมจึงมีหนองออกมาได้ (ลูกสันนิษฐานว่า หนองนั้นคงเป็นพิษร้ายที่ถูกน้ำมันชาตรีขับออกมา) ประมาณ 10 วันต่อมา ผิวหนังบริเวณที่เคยมีฝีหายเป็นปกติ
และที่น่าแปลกก็คือ ไม่เหลือร่องรอยอะไรเลยว่าเคยมีฝีเกิดขึ้นในบริเวณนั้นมาก่อน
ตราบจนทุกวันนี้ คุณพ่อไม่เคยเจ็บป่วยที่ท้องเพราะแผลนั้นอีกเลย อีกทั้งท่านยังมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงขึ้นมาก
จนหมอประจำตัวที่คอยรักษาแผลผ่าตัดให้คุณพ่อยังอดประหลาดใจไม่ได้ว่า แผลนั้นหายได้อย่างไร ขณะนั้น คุณพ่อและคุณแม่ของลูกมีศรัทธาในตัวหลวงพ่อมาก
และได้กำชับให้ลูกพาท่านมากราบและถวายสังฆทานกับหลวงพ่อทุกๆ เดือน ที่หลวงพ่อลงมาที่ซอยสายลมด้วย
ลูกได้นำเรื่องนี้ มากราบนมัสการเล่าให้หลวงพ่อฟัง เพื่อให้ลูกหลานทั้งหลายที่มาทำบุญกับหลวงพ่อ มีความมั่นใจในอานุภาพของน้ำมันชาตรีว่า
เป็นของดีของวิเศษที่สามารถพิสูจน์ได้จริงๆ
ll กลับสู่สารบัญ
129
หลวงพ่อบอกหวย
ศิรัตน์ นามากุล
ที่บ้านสายลม
คุณยกทรง : แหม... เทวดาที่วัดท่าซุงน่ะ ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ นะ ของหายพอประกาศ ไม่ถึงห้านาทีน่ะได้คืน แต่เสียอย่างเดียวนะ
หวยไม่ยักจะบอก
หลวงพ่อ : ฮื้อ บอก หูไม่ดีนี่ถึงได้ไม่ได้ยิน
หลังจากนั้นประมาณ 20 นาที ก็มีผู้เข้าถวายปัจจัย ถวายสังฆทาน
หลวงพ่อ : วันนี้วันที่เท่าไหร่ล่ะ
ศิษย์ : วันที่ 9 ธันวาคม สองห้าสามสอง เจ้าค่ะ
หลวงพ่อ : สามสองหรือสองสามก็ไม่รู้ละนะ (ท่านพูดเปรยๆ)
ศิษย์จดจำกันเลย เอ๊ะ ก็หลวงพ่อน่ะไม่เคยบอกหวยเล้ย สำหรับผมผู้บนมักเฮง ซื้อทุกทีเจ้ามือที่ขายกินรวบ (ใต้ดิน) สามสอง สองสาม
เสี่ยงซื้อใบนึงทั้งบนและล่าง หลังจากนั้น วันที่ 26 ธันวาคม 2532 เป็นวันล็อตเตอรี่ออก เลขท้ายสามตัวรางวัลที่ 1 ออก สอง สอง สอง หลวงพ่อพูดตรงจริงๆ ครับ
แต่ศิษย์คนนี้มันโง่ โธ่ ใครจะไปซื้อเล่า ตองสองน่ะ ผลปรากฏว่าเจ้ามือกินเรียบ ทั้งๆ ที่หลวงพ่อท่านตั้งใจให้หวยศิษย์ขนาดนี้
ll กลับสู่สารบัญ
130
พุทธานุภาพน้ำมันชาตรี
จีราภรณ์ สุทธะพินทุ
ข้าพเจ้ามีความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งชีวิต ตลอดจนองค์หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อพระราชพรหมยานตลอดมา และหวังเป็นที่พึ่งอันสูงสุดในชีวิต
จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญอันทำให้ข้าพเจ้าต้องเป็นทุกข์ทั้งกายและทางใจ เมื่อข้าพเจ้าน้อมจิตขอพระองค์ท่านช่วย
เหตุการณ์ทั้งหลายจะได้รับการแก้ไขจากพระองค์ท่านทันที ทุกพระองค์ทรงมีพระคุณต่อข้าพเจ้ามากและเสมอมา
ข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้ พบทุกข์มากมายเหลือเกิน เมื่อหลวงพ่อป่วย ข้าพเจ้ามักจะป่ายพร้อมๆ กับท่าน และบางครั้ง
โรคของข้าพเจ้าก็คล้ายกับโรคที่สร้างความทรมานให้กับหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามีอาการของโรคหลอดเลือดมาเลี้ยงหัวใจตีบตัน มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม
เวลามีอาการมากๆ เหมือนมีเข็มแหลมสักร้อยเล่มมาแทงหัวใจพร้อมๆ กัน สร้างความเจ็บปวดทรมานมาก
มือและแขนซ้ายจะกลายเป็นสีม่วง (Cyanosis) เพราะขาดเลือดมาเลี้ยง อาการเช่นนี้เกิดบ่อยครั้งตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ตรวจเครื่องคอมพิวเตอร์ดูการทำงานของหัวใจ ผลออกมา ก็ปรากฏอาการจริง รับประทานยาหมอก็ทุเลา แต่ไม่หายขาด เมื่อข้าพเจ้าได้อาราธนาน้ำมันชาตรี
ซึ่งสมเด็จพ่อองค์ปฐมทรงเป็นประธาน มีหลวงปู่ปานเป็นที่สุด ได้เมตตาทำไว้ให้ ได้รับประทานวันละ 1 ช้อนกาแฟครบเจ็ดวัน
ข้าพเจ้าครบกำหนดต้องตรวจเช็คคอมพิวเตอร์พอดี ครั้งนี้อาการต่างๆ ไม่แสดงผล หัวใจปกติทุกอย่าง ระหว่างนอนพักดูอาการเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า
จิตขณะนั้น มีอาการหนักหน่วงมาก เหมือนมีอะไรอยู่ในตัว อยากจะหลุดออกจากกายเนื้อเหลือเกิน ตัดสินใจว่าอะไรจะเกิดก็เกิด สักครู่มองเห็นกลุ่มควันขาวจางๆ
ลอยออกจากหน้าอก รวมตัวเป็นเทวดา ลอยอยู่เหนือข้าพเจ้า
สักครู่ก็หายไป แพทย์ได้อ่านผลคราวนี้บอกว่า หายแล้ว ไม่มีอาการแสดงทางผลคอมพิวเตอร์เลย จนแพทย์บอกว่า หายเองได้อย่างไร
ยาที่ให้ทานก็ไม่มีประสิทธิภาพในด้านการรักษาขยายหลอดเลือดได้ขนาดนี้ ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้รับพระกรุณาจากพระองค์ท่านเช่นนี้
ถ้าพระองค์ไม่เมตตาทำน้ำมันชาตรีขึ้นมา เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานและพุทธบริษัท ข้าพเจ้าคงต้องทุกข์ทรมาน
และคงต้องเจ็บตัวนอนให้หมอผ่าตัดอย่างแน่นอน ชั่วชีวิตนี้ลูกจะหาที่พึ่งใดที่ประเสริฐกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พระพุทธคุณของสมเด็จพ่อองค์ปฐมเป็นต้น
พระธรรมคุณ พระอริยสังฆคุณ หลวงปู่ปานและหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด หาที่สุดประมาณมิได้เช่นนี้เอง
ll กลับสู่สารบัญ
|
|
131
รำลึกพระคุณพ่อ
จุไรลักษณ์
ใฝ่ศรัทธาบูชาพ่อขอรำลึก
ด้วยน้อมนึกความดีท่านมีให้
มีเมตตาเปี่ยมล้นคนใกล้ไกล
เกินกว่าคำเปรียบใดใจการุณ
เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกผูกดวงจิต
ชี้แนวคิดทางปัญญาพาเกื้อหนุน
กอปรกรรมดีมีเมตตาพาค้ำจุน
เสริมสร้างบุญแสวงสุขทุกข์หายไป
ลูกซึ้งในแนวทางท่านสั่งสอน
ให้สังวรหลักธรรมะพาสดใส
อนิจจ ทุกข์ อนัตตาพาเข้าใจ
อีกร่างกายนี้ไซร์มิใช่เรา
ลูกจะมั่นก้าวไปในแดนสุข
จะวางทุกข์หมองมัวไม่มั่วเขลา
จะยึดมั่นตามครรลองพ่อของเรา
เพื่อน้อมเอาจิตตั้งหวังนิพพาน
ด้วยรำลึกน้อมใจใฝ่กุศล
จะทำตนเป็นคนดีหนีสงสาร
รักษาศีล สมาธิและให้ทาน
ตามอย่างท่านสืบศาสน์กตัญญู
ด้วยเป็นบุญของลูกแก้วแพร้วเพริศยิ่ง
ได้พบสิ่งมีค่ากว่าทรัพย์หรู
กราบรำลึกพระคุณพ่อของเชิดชู
ขอท่านอยู่สุขกายจิตนิจนิรันดร์
ll กลับสู่สารบัญ
132
ประทับใจในองค์หลวงพ่อ
นันทิยา แซ่ผ่าง
ลูกเป็นคนชุมพร รู้จักท่านพ่อเป็นครั้งแรก เมื่อพี่สาวมาบอกเล่าอะไรต่อมิอะไรในคำสอนของหลวงพ่อให้ลูกฟัง ตอนนั้นลูกนับถือพระเจ้าอยู่
แต่รู้สึกสนใจในองค์หลวงพ่อ อยากอ่านหนังสือพี่สาวก็เอามาให้อ่าน อ่านแล้วก็อยากไปกราบท่ามาก แล้วลูกก็ได้ไปวัดท่าซุงจนได้ และพัก 1 คืน พอไปวัดกลับมา
ลูกก็มามีปัญหากับครอบครัวสามีอีก ที่เขาให้ฆ่าไก่ ฆ่าปู หอย ไข่ไก่ แต่ลูกไม่ทำ
ลูกได้พบหลวงพ่อแล้ว ทำให้เข้าใจอะไรดีขึ้น คำสอนของหลวงพ่ออ่านเข้าใจง่าย ปฏิบัติตามก็เบาใจ ไม่เหมือนบางองค์
ตะบี้ตะบันสอนแต่ภาษาบาลี คนธรรมดาที่ไม่ได้เรียนก็แปลไม่ออก ลูกติดตามรับหนังสือมาอ่านแล้ว ก็รู้ว่าลูกเจอพระที่เป็นพระแท้ๆ เข้าแล้ว
ไม่ใช่พระแต่เปลือกซึ่งมีมากมายในปัจจุบัน ชาตินี้เกิดมาไม่เสียชาติเกิดอีกแล้ว
เมื่อปี 32 ลูกเป็นคนหนึ่งที่โดนพายุเกย์ถล่มเสียหายหมดตัวเลย สวนยางพาราเป็นแสนไร่ ล้มทับบ้านเรือนพังเสียหายหมด
ในละแวกบ้านมีเหลือบ้านลูกหลังเดียว มีคนถามว่า มีอะไรดี ก็บอกว่าบูชาองค์สมเด็จและหลวงพ่อ (ต่อมาทราบภายหลังว่า พรหมเทวดาท่านช่วย) พอตอนบ่าย 3 โมง
พายุสงบ มีชายคนหนึ่ง โดนบ้านพังทับ หัวแตก แผลใหญ่มาก เลือดไหลตลอดเวลา ทำท่าว่าจะตาย
ชักกระตุก 2 3 ครั้ง ลูกจึงเอาพระพุทธรูปให้ดู บอกให้จำภาพพระไว้ อย่ากลัวตาย จนรุ่งเช้า เขาก็ไม่ตาย ต่อมามีข่าวว่า จะมีลูกไฟหล่นมาจากฟ้า ภูเขาถล่ม
แผ่นดินไหว ไฟป่าบ้าง จนลูกทนไม่ไหว ต้องเขียนจดหมายไปหาหลวงพ่อ และท่านก็เมตตาลูกตอบให้เบาใจ มีใจความว่า
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
26 ธันวาคม 2532
ลูกรัก
จดหมายของลูก พ่อมีโอกาสอ่านคืนวันที่ 25 ธันวาคม 2532 ลูกเป็นคนดีมาก เพราะมีกำลังใจมั่นคงในธรรม อาจจะบกพร่องบ้างเป็นของธรรมดา
สมาธิยังดียังไม่เหลวไหล ตามที่ลูกบอกมา การปลอดภัยเพราะพระรัตนตรัยและเทวดา พรหม ท่านช่วย ที่ท่านช่วยเพราะลูกเป็นคนดี ที่สงสัยว่าจะเกิดอีกนั้น
พ่อคิดว่า ไม่มีขนาดร้ายแรงอย่างนี้ เรื่องไฟไหม้ก็ไม่ต้องวิตก ไม่มีอะไรเป็นภัย เรื่องแผ่นดินไหว ถ้ามี ก็หัวโคลงนิดหน่อย จะอยู่หรือจะไปทางไหนนั้น
ลูกจงพิจารณาเอาเอง อยู่ที่นี่ ก็ไม่มีภัยที่น่ากลัว ตามที่มีมาแล้ว ถ้าที่อื่นดีก็ไปที่อื่น ยังไม่รู้ไปไหนก็อยู่ก่อน เพราะความเดือดร้อนมีน้อย
ขอลูกรักทุกคนที่อ่านจดหมายนี้ จงปลอดภัยมีโชคดี มีความสุข และจงพบลาภใหญ่ มีความร่ำรวยมากๆ ในโอกาสใกล้นี้เถิด
ลงชื่อ พระราชพรหมยาน
จดหมายฉบับนี้ ทำให้ลูกพร้อมที่จะอยู่สู้ชะตาชีวิตต่อไป และจะปฏิบัติตามคำสอนที่พ่อให้ลูกไว้แล้ว จนตราบเข้าพระนิพพาน
ll กลับสู่สารบัญ
133
หลวงพ่อสงเคราะห์
อุดมพร หล่อกิติยะกุล
ดิฉันรู้สึกดีใจ และปลื้มใจมากที่รู้จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 128 ประจำเดือนตุลาคม 2534 ว่าจะรับเรื่องลงในหนังสือ หนังสือลูกศิษย์บันทึก
เล่ม 3 เกี่ยวกับประสบการณ์ หรือเรื่องที่ประทับใจในหลวงพ่อของเรา ดิฉันอยากจะเขียนมาเล่านานแล้ว แต่ไม่ทราบจะติดต่อใคร อยากจะเผยแพร่ความเมตตา ปรานี
ของหลวงพ่อที่มีต่อพวกเราจริงๆ
เรื่องมีอยู่ว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นดูเหมือนเป็นวันทำบุญประเพณีที่ทางวัดท่าซุงได้จัดขึ้น
ดิฉันไม่แน่ใจว่าเป็นงานบุญอะไร ดิฉันพร้อมพี่สาวและเพื่อนอีก 3 คน ได้มางานบุญที่วัดท่าซุงโดยรถยนต์ส่วนตัว วันนั้นก็อยู่จนค่ำ จากนั้นก็กลับ
พอมาได้ถึงครึ่งทาง ปรากฏว่ารถเสีย ก็เอารถไปเข้าอู่ซ่อม กว่าจะซ่อมเสร็จ ก็ทุลักทุเลเต็มทีเพราะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง กว่าจะตามช่าง
เพราะกลับหมดแล้ว ยังต้องซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนอีก ก็เลยเสียเวลาไปมาก พอแก้เสร็จ ขับต่อไปอีกไม่นาน รถก็เสียอีก ขณะนั้นเวลาประมาณ 23.00 24.00 น.
รถสิบล้อก็ออกวิ่งกันโครมๆ รถเราก็ต้องจอดเข้าข้างทาง จะโบกสิบล้อขอความช่วยเหลือก็ไม่กล้า และคงไม่มีใครยอมให้ความช่วยเหลือแน่ๆ ไฟข้างทางก็ไม่มี มืดสนิท
พวกเราโดยเฉพาะผู้หญิงก็กลัวกันมาก รถโดยสาร รถแท็กซี่ก็ไม่มีเลย
ยืนรอกันอยู่พักใหญ่ๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ดิฉันก็นึกขึ้นได้ว่า ควรจะบอกหลวงพ่อให้สงเคราะห์หน่อย ดิฉันก็นำธูปที่นำไปวัดด้วย จากในรถมาจุด 9 ดอก
(ขณะนั้นดิฉันไม่ทราบว่าจะพึ่งใครจริงๆ คิดว่าพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน) บอกหลวงพ่อว่า ลูกชื่อ..... ได้มาทำบุญที่วัดหลวงพ่อแล้วรถเสีย กลัวมาก
ดึกก็ดึก ซ้ำยังไม่มีรถเลย มีแต่สิบล้อ ขอบารมีหลวงพ่อและหลวงปู่ปานได้โปรดช่วยลูกด้วย และให้ได้รับความปลอดภัยด้วยเถอะ
จากนั้นพวกเราก็ยืนกระสับกระส่ายคอย มองดูว่ามีรถหรือเปล่า จากนั้นไม่นาน ก็มีรถคันหนึ่งเลี้ยวมาจากไหนก็ไม่ทันสังเกต มาจอดอยู่ข้างหน้าพวกเรา
แล้วถามว่า รถเสียหรือครับ ผมจะไปส่งให้เอาไหม อยู่ที่ไหนครับ พี่สาวและเพื่อนดีใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดถึงอันตรายใดๆ ทั้งสิ้นก็ขึ้นรถไปเลย
(คงปล่อยให้พี่เขยและเพื่อนที่มาด้วยเฝ้ารถไปก่อน แล้วค่อยช่วยเหลือตัวเองทีหลัง)
พอขึ้นไปนั่ง คนขับคนนั้น (ดิฉันนึกเสียใจจนทุกวันนี้ว่าไม่ได้ถามรายละเอียดว่า ท่านทำงานที่ไหน ชื่ออะไร) ก็ถามว่าไปไหนมาหรือครับ
พวกเราก็เล่าให้ฟังว่า ไปทำบุญที่วัดท่าซุงมา แล้วรถเสีย (ดิฉันไม่ได้บอกท่านว่า ดิฉันได้จุดธูปบอกหลวงพ่อให้ช่วย) ท่านก็เลยบอกว่า ท่านเป็นทหารอากาศ
พอดีท่านกลับมาเยี่ยมบ้าน ได้ลาพัก 3 วัน เพิ่งมาเมื่อวานนี้ ยังไม่ทันครบวันลาพัก
ไม่รู้เป็นยังไง ใจหงุดหงิดอยากจะกลับกรุงเทพขึ้นมากะทันหัน จนทนไม่ไหว เลยต้องเอารถน้องชายขับกลับโดยไม่ได้บอกให้น้องชายทราบ เพราะน้องชายไม่อยู่
จนได้พบพวกเรานี่แหละ ดิฉันฟังแล้วน้ำตาซึมเลย เพราะแน่ใจว่า ดิฉันต้องได้รับความช่วยเหลือจากหลวงพ่อและหลวงปู่ปานอย่างแน่นอนที่สุด
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ดิฉันรักและประทับใจในหลวงพ่อมากๆ และอยากจะบอกพวกเราว่า พวกเราได้พบพระที่ประเสริฐที่สุดแล้ว เราควรยึดมั่นในความดี
ความเมตตาปรานีทั้งหลาย ที่ท่านได้พร่ำสอนพวกเราเสมอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อให้พวกเราได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ทุกครั้งที่ดิฉันมากราบ
มาทำบุญกับท่าน ดิฉันได้แต่ชื่นใจไกลๆ
ถึงแม้ว่า จะไม่ได้มีโอกาสเข้าใกล้เหมือนศิษย์บางคนก็ตาม ดิฉันใคร่ขอบุญกุศลที่ดิฉันได้เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นอะไร
ขอบุญกุศลนั้นได้มีส่วนส่งผลให้หลวงพ่อของเรา พ้นจากความทุกขเวทนาจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรม
อย่าให้หลวงพ่อต้องได้รับทุกขเวทนาจากโรคภัยไข้เจ็บเลย
เพราะหลวงพ่อเองท่านกำลังบำเพ็ญบุญกุศลยิ่งใหญ่ เพื่อจะได้แผ่กุศลนั้นๆ ให้กับท่านเจ้ากรรมนายเวรด้วย หากท่านขัดขวางหรือก่อกรรมกับหลวงพ่ออีก
ก็เท่ากับท่านสร้างบาปหนักมากยิ่งๆ ขึ้นไป ขอท่านเจ้ากรรมนายเวรของหลวงพ่อได้โปรดรับฟังคำขอร้อง อ้อนวอน และรับรู้ถึงความรู้สึกของพวกเรา ลูกๆ ของหลวงพ่อ
ด้วยเทอญ
ll กลับสู่สารบัญ
|
|
134
ว่าจะไม่อุทิศส่วนกุศล
บำรุงรัตน์ ณ สงขลา
วันหนึ่ง เมื่อเสร็จจากการเจริญกรรมฐาน ที่ห้องกรรมฐานวัดท่าซุงแล้ว หลวงพ่อนำอุทิศส่วนกุศล
ข้าพเจ้าก็นึกในใจบอกผู้ที่มารอรับส่วนบุญกุศลจากข้าพเจ้าว่า วันนี้อย่าเอา อย่าเอิวมันเลย จิตฟุ้งซ่าน เมื่อกลับมาถึงห้องพัก ตกดึกประมาณตี 2
ข้าพเจ้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ปรากฏว่าในความเงียบสงบนั้น ไฟที่ดับอยู่ ก็สว่างพรึ่บขึ้นมา แล้วก็ดับ ต่อมา พัดลมที่หมุนติ้วอยู่บนเพดานก็หยุดหมุน
ข้าพเจ้าคิดในใจ หนาวจะตายอยู่แล้ว เปิดอยู่ได้
พอคิดเสร็จ พัดลมหมุนต่อ ข้าพเจ้าก็เลยลุกขึ้นเข้าห้องน้ำออกมาปิดพัดลมแล้วนอนต่อ ยังไม่ทันจะหลับเลย เสียงของตก เสียงของหล่นโครมครามๆ
ทั้งหมาก็เห่าและหอนอยู่นอกห้อง ตอนแรกข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ หนักๆ เข้าข้าพเจ้าก็ชักกลัว เพราะเสียงนั้นไม่ยอมหยุด ร่างกายของข้าพเจ้าเกิดอาการเกร็ง
สะท้านไปทั้งตัวด้วยความกลัว ภาวนาว่า พุทโธ นึกถึงหลวงพ่อช่วยด้วย
จิตเกาะติดกับคำว่าพุทโธกับหลวงพ่อจนอารมณ์จิตของข้าพเจ้าดิ่งวูบและก็ว่าง สว่าง ซึ่งไม่เคยมีมาในกาลก่อน ต่อจากนั้น
ข้าพเจ้าได้ยินเสียงสวดอุทิศส่วนกุศลเป็นเสียงของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็ว่าตามเสียงนั้น แต่ตอนนั้น ข้าพเจ้ายังจำคำอุทิศส่วนกุศลของหลวงพ่อไม่ได้
ข้าพเจ้าว่าตามไม่ทัน จนเสียงหลวงพ่อหายไป ข้าพเจ้าก็เลยว่าเป็นสำนวนของข้าพเจ้า
ขอให้ผู้ที่มารอรับส่วนบุญส่วนกุศลของข้าพเจ้า จงโมทนาบุญของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาแล้วในวันนี้ จากการถวายสังฆทาน การเจริญกรรมฐาน
เมื่อข้าพเจ้าอุทิศส่วนกุศลเสร็จ ทุกอย่างก็เงียบสงบ แล้วข้าพเจ้าก็หลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
กราบของพระคุณองค์หลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูงที่ช่วยลูก ลูกจะปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่องค์หลวงพ่อนำมาสั่งสอนลูกๆ
เพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาตินี้
ll กลับสู่สารบัญ
135
แด่...หลวงพ่อสุดบูชาของลูก
จินตนา รังษีธรรม
หนังสือลูกศิษย์บันทึก ทั้งเล่ม 1 และเล่ม 2 นับเป็นประโยชน์ทางใจอย่างมากมายมหาศาล มีสิ่งมีค่าอยู่ในตัวหนังสือที่สามารถนำมาปฏิบัติได้
อย่างไม่ต้องสงสัยในผลที่จะได้รับว่าคุ้มค่าเพียงไร ดังนั้น ข้าพเจ้าตั้งใจว่า จะต้องบันทึกสิ่งที่ได้ประสบด้วยตนเอง เกี่ยวกับอานุภาพของคุณพระพุทธ พระธรรม
และพระอริยสงฆ์ ตลอดจนความรู้สึกจากใจที่มีต่อองค์หลวงพ่อสุดบูชาของลูกหลานทุกคน
ในหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 3 เพื่อมีโอกาสได้ถ่ายทอดเรื่องราวบางส่วนเท่าที่จะทำได้ เกี่ยวกับองค์หลวงพ่อและมโนมยิทธิ ทั้งนี้มิใช่ว่าอยากจะโอ้อวดตน
แต่อยากจะให้ท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยได้พบหลวงพ่อ หรือพบแล้วยังข้องใจ ได้เกิดความกระจ่างใจขึ้นมาบ้างว่า เราได้พบพระดีเลิศที่กราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ
และได้อานิสงส์แน่นอน ถ้ามีโอกาสได้ทำบุญกับองค์หลวงพ่อ
และอีกประการก็เพื่อได้มีโอกาสเตือนใจตนเอง เนื่องจากไม่ไว้ใจตนเอง กลัวจะเหลิง กลัวจะเลวขึ้นมาเรื่อยๆ
เพราะหลวงพ่อท่านเคยสอนว่า อุปกิเลส มันเหมือนเสือร้าย เหมือนจระเข้ร้าย เพียงขังมันไว้ กดมันไว้ ยังฆ่ามันไม่ได้
เผลเมื่อไรเป็นหลุดออกมาอาละวาดทันที เหมือนอารมณ์ชั่วที่หลบซ่อนอยู่ในใจ มันจะคอยโผล่ขึ้นมา ลามออกมาทางปาก แล้วมันก็ลามปามออกมาทางความประพฤติทันที
ข้าพเจ้ากลัวเป็นเช่นนี้จริงๆ ข้าพเจ้าเป็นคนที่ลืมง่าย
จึงต้องคอยหาอะไรที่เป็นอุบาย คอยกระตุ้นจิตใจ ก็เลยคิดว่า วิธีถ่ายสำเนาคำสั่งสอนของหลวงพ่อ หรือจากคำแนะนำ หรือประสบการณ์ของลูกศิษย์ท่านอื่นๆ
ที่ท่านบันทึกไว้ และวิธีจดบันทึกคำสอนของหลวงพ่อที่อ่านแล้วรู้สึกสะดุดใจตนเอง อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่าตัวเราเริ่มเลวแล้วนะ จะได้สำนึกตัวเองอยู่เสมอ
มีสติสัมปชัญญะอยู่เสมอ และต้องคอยคิดไว้ว่า เราคิดอะไร เราพูดอะไร เราทำอะไร (กาย วาจา ใจ)
จะมีพระพุทธเจ้า มีหลวงปู่ปาน มีหลวงพ่อ มีเทวดา พรหม มีท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ คอยมองดูอยู่ตลอดเวลานะ ท่านเห็น ท่านรู้ ไอ้ที่ทำเลวๆ คิดเลวๆ พูดเลวๆ
มันจะได้ลดลงหน่อย เหลือดีมากหน่อย ทำแบบนี้บ่อยๆ จิตจะได้เคยชินกับความดีกับเขาบ้าง (ถ้าเรายังมีความละอายแก่บาปอยู่) วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2534
ข้าพเจ้าและลูกทั้งสาม คือกระต่าย ก้อย และใหม่ ไปวัดหลวงตาแสง (บ้านซอยสายลม)
ออกจากบ้านประมาณ 9.30 น. ตั้งใจจะออกแต่เช้า แต่กว่าจะระดมพลพร้อมกันหมดได้ พอดีเข้าวันนั้น คนขับรถไปส่งคุณพ่อของเด็กๆ ที่สนามบิน
เลยถือโอกาสให้ไปส่งที่วัด เนื่องจากหนุ่ม ลูกชายคนโต กำลังสอบกลางเทอมพอดี ต้องดูหนังสืออยู่บ้าน ไปถึงวัดก็ต้องแปลกใจ
พบว่าผู้คนวันนี้ช่างมากกว่าวันเสาร์ หรืออาทิตย์ก่อนๆ (ปัจจุบันมีลูกศิษย์ และผู้สังเกตการณ์เพิ่มมากขึ้นทุกที)
กว่าจะเบียดพี่น้องที่ใจเดียวกัน มาร่วมทำบุญ และขอเพียงได้พบหลวงพ่อก็ชื่นใจแล้ว เบียดกันจนเหงื่อท่วมตัวเหมือนอาบน้ำ จนซื้อเครื่องสังฆทานชุดละ 1,000
บาทได้ แล้วค่อยๆ เขยื้อนๆ เข้าไปในห้องโถง ซึ่งองค์หลวงพ่อที่เคารพรักนั่งอยู่ ก็ได้ยินเสียงคุณวีระ งามขำ (ยกทรง) ประกาศว่า ใครจะร่วมทำสังฆทาน
ในวาระที่หลวงพ่ออกจากสมาบัติก็รีบเชิญเข้ามา เนื่องจากหลวงพ่อจะขึ้นไปฉันเพลแล้ว
ได้ยินแล้วหัวใจมันพองด้วยความปีติ พยายามมองฝ่าฝูงญาติโยม พอดีก็ได้ และเห็นหน้าขององค์หลวงพ่อสุดบูชาของลูกเข้าอย่างจัง เท่านั้นแหละ
ใจนึกสงสารหลวงพ่อที่ต้องนั่งอยู่ ทั้งๆ ที่ป่วย น้ำตามันคลอเบ้าตา ต้องบังคับไม่ให้มันไหลออกมา พอดีหิ้วถังเครื่องไทยธรรมจนมือชาดิก มีคุณป้าคนหนึ่งถามว่า
หนักไหม แถมยังช่วยยกถังให้อย่างดี ต้องกราบขอบพระคุณในน้ำใจอันดีงามด้วยนะคะ
คุณประเสริฐ นิมมลกุล หันมาเห็นเข้าพอดี ร้องบอกว่า ให้คนที่ถวายสังฆทานอุ้มพระองค์ใหญ่เดินเข้ามาก่อน เพราะว่าหนัก จึงรีบก้าวเท้าไปเรื่อยๆ
จนถึงองค์หลวงพ่อ ถวายปัจจัยให้ท่านอีก 1,000 บาท หลวงพ่อมองหน้าข้าพเจ้าอย่างเต็มตา ข้าพเจ้ามองหน้าท่านแล้ว ยิ้มให้หลวงพ่อ ในใจอธิษฐานทันทีว่า
ขอไปพระนิพพานเจ้าค่ะหลวงพ่อ องค์หลวงพ่อท่านผิวสีคล้ำ ปากแดง ผิวท่านสีแปลก
คล้ำแต่คล้ายมีแสงเรืองๆ ที่องค์ท่าน วันนั้น กว่าจะหลุดอกมาจากญาติโยมได้ ก็เหงื่อโทรม แต่ข้าพเจ้ายิ้มแฉ่ง ดีใจทุกครั้งที่ได้มากราบท่าน ก้อย
ลูกสาวที่ไปด้วย ร้อน เพราะโดนเบียดเสียจนโมโห เลยต้องปลอบและชี้แจงให้ลูกเห็นว่า การที่เราร้อนเพราะโดนเบียดอย่างนี้ ต้องรอคิวอย่างนี้
เพราะคนอื่นเขาก็อยากทำบุญเหมือนอย่างเรา แล้วไอ้การที่เราต้องร้อน หงุดหงิด เพราะโดนเบียดแค่นี้
ไม่สามารถเทียบได้กับอาการทุกขเวทนา ที่องค์หลวงพ่อท่านต้องนั่งทรมานสังขารอยู่เพื่อพวกเรานั่นแหละ อยู่ที่เราทำใจว่าไม่ร้อน ไม่เหนื่อย ภาวนาไปด้วย
ท่องบทอิติปิโส หรือจะบทคาถาเงินล้าน นาสังสิโมฯ ไปเรื่อยๆ ใจก็จะเย็นลงเอง ไม่เหนื่อย ไม่ร้อนมาก เพราะจิตไม่จับอยู่ที่กายทั้งหมด
แล้วคนอื่นที่ไปกราบหลวงพ่อเขาก็ร้อนเหมือนกับเรา ลูกสาวจึงดูสงบลงได้และหยุดบ่น
ใครที่เคยมีจดหมายตำหนิเจ้าหน้าที่ในบ้านซอยสายลมว่า พูดไม่เพราะ เสียงดังกับคนมาทำบุญ ขอให้เข้าใจและเห็นใจด้วยว่า
ทุกท่านที่มาช่วยพระเดชพระคุณหลวงพ่อต้องเหน็ดเหนื่อย สละเวลา แรงกาย กำลังใจมาช่วยขายวัตถุมงคล ยา เทป หนังสือ ฯลฯ บริการช่วยถือเครื่องสังฆทาน
ช่วยร้องบอกให้เปิดทางเดิน ให้ญาติโยมเดินเข้าไปถวายของอย่างมีระเบียบ น่าจะเห็นใจท่านเหล่านั้นบ้าง
ท่านต้องยืนคอยบริการพวกเรา นานกว่าเราเป็นชั่วโมง เป็นวัน ท่านก็ร้อน ท่านก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน ข้าพเจ้าและลูกๆ เคยไปช่วยรับเครื่องสังฆทาน
รับส่งต่อๆ กัน ทั้งยืน ทั้งนั่งสลับเป็นชั่วโมง พอเสร็จแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าแขนมันล้า อ่อนแรงไปเลย แต่ใจมันเป็นสุขเหลือเกิน ไหนๆ เราก็ไปทำบุญกันแล้ว
ได้พบพระที่ประเสริฐแล้ว ทำจิตใจให้เบิกบาน ทำไปบ่นไป บุญก็หาย ได้ไม่เต็มที่
เพราะเกิดอารมณ์จิตขุ่นมัว แม้แต่นิดก็ไม่ควรให้มีนะท่าน ให้มีอารมณ์จิตเบิกบานเข้าไว้ อานิสงส์จะได้เต็มที่ ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทีนี้ขอกลับมาเรื่องหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปาน บ้าง ข้าพเจ้ารู้สึกมหัศจรรย์ใจจริงๆ
เหมือนกับท่านที่ได้บันทึกลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 เล่ม 2 เพราะว่า ตอนอ่านประวัติหลวงปู่ปานครั้งแรก มีอาการเหมือนกัน ส่วนใหญ่คือ
พออ่านแล้ววางไม่ลง จะดึกดื่นแค่ไหน จะมีงานมากแค่ไหน พอว่างปุ๊บเป็นต้องคว้าหนังสือเล่มนี้มาอ่านอย่างใจจดใจจ่อทันที
ชอบใจในอิทธิฤทธิ์ของหลวงปู่ ชอบใจในความซุกซน ความจริงจัง ความอดทนของหลวงพ่อและพระองค์อื่นๆ ที่เรียนกับหลวงปู่ปาน จนเกิดศรัทธาในองค์หลวงปู่ปาน
และองค์หลวงพ่ออย่างมาก จนทนไม่ไหว ต้องโทรศัพท์ไปที่บ้านซอยสายม ข้าพเจ้าขอพูดสายกับคุณเฉิดศรี ผู้รับสายบอกว่า ท่านเสียชีวิตไป 3 เดือนกว่าแล้ว อุ๊ย...
ข้าพเจ้างี้ขนลุกซู่ทีเดียวตอนนั้น แล้วมีอาการคิดถึงหลวงพ่อมากๆ อยากเห็นหน้า อยากพบท่าน
เหมือนลูกคิดถึงพ่อมากๆ ยังไงยังงั้น (ตอนนั้นยังไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิ ไม่ทราบว่าหลวงพ่อเป็นใคร) ยังคิดว่าหนังสือหลวงปู่ปาน ตัวอักษรที่พิมพ์ในหนังสือ
ต้องมีอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์แน่ๆ เพราะอ่านแล้วมีความรู้สึกอยากพบหลวงพ่อ อย่างชนิดเหมือนกับท่านเป็นบุคคลสำคัญต่อชีวิตเรา ต้องพบท่านให้ได้
ใจมันจดจ่ออย่างแน่วแน่ ลึกซึ้งสุดจะบรรยายเป็นตัวอักษรให้ท่านผู้อ่านเข้าใจได้
ตอนหลัง มาทราบความจริง ตอนที่ได้ฝึกมโนมยิทธิกับคุณครูผู้ฝึกสอน (ป้ายุ้ย ปัจจุบันท่านอยู่ข้างบนแล้ว) คุณครูพรนุช คืนคงดี
คุณครูสมพร บุญเกียรติ โดยทราบว่า มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตตรัย ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ หลวงปู่ปาน
และท่านผู้มีพระคุณองค์อื่น ทั้งเทวดา พรหม ท่านสงเคราะห์อยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้ารู้สึกตื้นตันใจมาก ที่ว่าไม่ได้เกิดร่วมกันในชาตินี้อีก
แต่ท่านก็ยังคอยเมตตาสงเคราะห์ลูกหลานอยู่เสมอ พวกเราเสียอีก มัวสนุกเพลิดเพลินหลงอยู่ในกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม จนจิตไม่สามารถเห็นท่านได้
แล้วก็มาทราบว่า ที่ทุกคนต่างก็ติดหลวงพ่อ เหมือนลูกติดพ่อ จนเหนียวแน่นเป็นตังเม เมื่อได้มีโอกาสได้อ่านบันทึกของ ดร.ปริญญา นุตาลัย กรุณาเขียนบอกว่า
หลวงพ่อท่านอธิษฐานก่อนจะพิมพ์หนังสือหลวงปู่ปานไว้ว่า
ถ้าใครที่เป็นลูกหลานในอดีต อ่านแล้วให้เกิดความรู้สึกอยากพบหลวงพ่อ (ให้หลวงพ่อเคาะเอากิเลสตัวร้ายออกไป ตาจะได้สว่างมองเห็นความจริงบ้าง
จะได้เบื่อการเกิด ไปพระนิพพานกันให้หมด) ถึงได้ขึ้นต้นอ้อแล้วค่ะ ยังงี้นี่เอง ลูกหลานถึงได้มากันมืดฟ้ามัวดินเลย มีแต่เพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกทีๆ
วันอาทิตย์ต้นเดือนกันยายน 2534 (ถ้าจำไม่ผิด) ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่า จะไปกราบหลวงพ่ออีก
เพื่อทำสังฆทาน แต่พอดีมีเหตุจำเป็นต้องไปต่างจังหวัด เพื่อหน้าที่ และเพราะต้องไปร่วมฉลองพระพุทธรูปอายุกว่าร้อยปี บูรณะใหม่ที่วัดแจ้ง จังหวัดตรัง
ใจกลับนึกเสียดายว่า ไม่ได้ไปกราบหลวงพ่ออย่างที่ตั้งใจไว้ คิดแล้วคิดอีกอยู่นั่นแหละ ปรากฏว่า คืนนั้นในนิมิต หลวงพ่อท่านเมตตามานั่งคุยกับข้าพเจ้า
จนถึงรุ่งเช้าเลย ตื่นขึ้นมาจิตใจชุ่มชื่น มีกำลังใจเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างจังหวัดอย่างปลอดโปร่ง
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2534 เป็นวันทำบุญคล้ายวันเกิดหลวงพ่อ ข้าพเจ้า หนุ่มลูกชาย กระต่าย และก้อยลูกสาว ไปทำบุญ มีพวงมาลัยคนละพวง ธูปเทียน ปัจจัย
1,650 บาท ค่าสังฆทานอีก 500 ตื่นตี 5 ออกจากบ้าน 6 โมงเช้า ถึงวัดหลวงตาแสงเกือบ 7 โมงเช้า ทราบว่าหลวงพ่อท่านจับไข้ (ความจริงหลวงพ่อโดนไข้มันจับเอา)
ตั้งแต่ตี 1 จนถึงตี 4 ต้องมีคนประคองลงมานั่งข้างล่าง ท่านพูดไป หายใจหอบไป ท่าทางเหนื่อยมาก ไม่มีแรง
ท่านบอกว่าวันที่ 18 ตุลาคม 2534 เป็นวันครบ 10 ปีที่เบื้องบนท่านต่ออายุให้ หลวงพ่อป่วยมาก ท่านกราบเรียนเบื้องบนว่า
ถ้าอาการป่วยอุจจาระไม่ออก อาการทุกขเวทนาไม่คลายตัว หลวงพ่อจะขอกลับบ้าน (ลาตาย) วันที่ 3 มกราคม 2535 นี้แล้ว อยู่ไม่ไหวแล้ว
ถึงตอนนี้ลูกหลานกลั้นน้ำตากันไม่อยู่แล้ว กระซิกๆ กันเงียบ ฟืดฟาดกันใหญ่ ความรู้สึกสงสารอาการป่วยของหลวงพ่อจับจิตจับใจ
จนทนไม่ไหวอีกแล้ว ไม่อายแล้ว บังเอิญข้าพเจ้านั่งใกล้เก้าอี้นวมตัวเก่าของหลวงพ่อคลุมผ้าอยู่ มีที่กำบังอย่างนี้อะไรจะเหลือล่ะท่าน
เลยปล่อยให้น้ำตามันไหลซะพรากๆ ขอบารมีก็แล้ว อะไรก็แล้ว รัวเลย กลั้นไม่อยู่จริงๆ ใครที่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นคงจะจำได้ไม่ลืมเลือนว่า
ตื้นตันสักเพียงใด ดูสิท่านป่วยจนทรงตัวไม่ไหว ยังต้องมาทรมานร่างกาย ทนเพื่อพวกเราอีก ท่านคงรู้แก่ใจพวกเราว่า เดี๋ยวจิตจะหมองเศร้า ทานจะหมอง
ยังอุตส่าห์พูดตลกอีกว่า อย่ามองหน้าท่านแล้วตีเป็นหวยซะหมดนะ สงสัยเลข 6 ออกแน่ หลวงพ่อท่านย้ำ หลวงพ่อออกไปทำพิธีบวงสรวงประมาณ 8 โมงเช้าเกือบครึ่ง
ที่ด้านหน้าศาลพระภูมิ จากนั้น หลวงพ่อได้เข้าสมาบัติ ระหว่างนั้น พวกลูกหลานก็ทยอยเข้าไปถวายสังฆทานกันไม่ขาดสาย ผู้คนล้นออกไปถึงนอกถนน เหงื่อแตกซิกกัน
แต่ก็คอยคิวอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อจะได้มีโอกาสเข้าไปกราบท่านบ้างถึงองค์หลวงพ่อท่าน
หลวงพี่อาจินต์ ธัมมจิตโต พรมน้ำมนต์ให้ญาติโยมจนทั่วถึงและต่างก็ต้องรีบทยอยออกมา เพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสเข้าไปกราบทำบุญกับท่านบ้าง
ข้าพเจ้าได้ทำจิตขึ้นไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน แล้วขอพรท่าน เมื่อลงมาแล้วทำจิตเป็นสมาธิ จึงรู้สึกว่าองค์สมเด็จฯ
ท่านลอยอยู่บนท้องฟ้า องค์ใหญ่มากจริงๆ แผ่ฉัพพรรณรังสี สว่างไสวทีเดียว รู้สึกว่าจิตชุ่มชื่นมาก
วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2535 ได้ไปทำสังฆทาน 1,000 บาท พร้อมถวายปัจจัยประจำเดือนของเดือนธันวาคม อีก 1,150 บาท (เด็กทำงานที่บ้านฝากไปทำบุญด้วย)
ข้าพเจ้า หนุ่ม กระต่าย ก้อย ใหม่ ลูกทั้ง 4 คน ต่างเบียดเสียดผู้คนเข้าไปจนได้ หลวงพ่อท่านทำสมาบัติอยู่ ในตอนเวลาประมาณเที่ยวกว่า ชื่นใจกันทั้ง 5
คนแม่ลูก ข้าพเจ้าหอบยาฟ้าทะลายโจร ซึ่งต้องซื้อเป็นยาประจำบ้านไปเสียแล้ว พร้อมทั้งยาเก้าร้อยและยาหนอนตายอยาก
ได้โอกาสดีเลยจองบูชามีดหมอไว้ให้ลูกเล่มละ 100 บาท 4 เล่ม และขนาดกลาง 1 เล่ม 500 (คาถาที่ใช้ ทุกขา ทุกขัง ปฏิฐิตัง สัมปติจฉามิ)
ทางบ้านซอยสายลมได้ให้บัตรสีชมพู 2 ใบ ซึ่งเป็นใบรับของ ประมาณวันวิสาขบูชานี้ ต่อไปนี้ จะขอพูดถึงอานุภาพของคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เทวดา พรหม
และสรรพคุณของยา จากบ้านซอยสายลม
วันหนึ่งข้าพเจ้านอนกลับที่เก้าอี้พับ ในห้องพยาบาลเล็กๆ ของบริษัทตอนกลางวัน พักเที่ยงรับประทานข้าวแล้วรู้สึกเพลียเลยเข้าไปงีบ
หลับไปได้สักพักหนึ่งก่อนจะหลับข้าพเจ้าภาวนา นะมะพะทะ จนหลับไป รู้สึกตัวว่า ได้พูดกับท่านเทพองค์หนึ่งว่า ขอให้ท่านช่วยสวดมนต์รักษามือที่ชาให้ด้วย
หลังจากนั้น เสียงของท่านสวดมนต์ดังกังวานก้อง เสียงดังมาก จำได้ว่ามีสัคเค กาเม จะรูเปฯ ตื่นมาเสียงยังติดหูไม่หายจนเป็นเวลานาน
ทำให้คิดว่า ไม่ว่าเราอยู่ที่ใด ท่านผู้มีพระคุณซึ่งมีพรหม เทวดา พระอริยเจ้า คอยสงเคราะห์เราอยู่เสมอ ถ้าเราทำจิตเป็นสมาธิ
จับลมหายใจเข้าออกจนจิตแน่วแน่เป็นอารมณ์เดียว จิตจะใสสะอาดขึ้น สามารถเห็น หรือได้ยินเสียงเทวดา พรหมได้ อาจจะเห็นจากความรู้สึก หรือเห็นด้วยตาเนื้อ
สุดแท้แต่กำลังใจของแต่ละคน
เรื่องของที่หาย หาไม่เจอบ่อยๆ แต่พอน้อมจิตนึกถึงหลวงพ่อ ข้าพเจ้าละเป็นประจำ หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยหาของให้ลูกด้วย ประเดี๋ยวล่ะ เป็นเจอจนได้
จนรู้สึกแปลกใจและตื้นตันใจว่า แม้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือสำคัญอะไร ท่านก็ยังเมตตาช่วยเหลือลูกหลานอยู่เสมอ
จนรู้สึกว่าหลวงพ่อมีแต่เสียสละให้ลูกหลานตลอดมา ไม่ว่าลูกหลานจะว่านอนสอนยาก เข็นยากสักเพียงใด ท่านก็พร่ำสอนแล้วสอนอีก เรื่องเดียว ท่านสอนซ้ำๆ กัน
แต่กระนั้นลูกหลานก็ยังจำกันไม่ได้บ้าง ได้บ้าง สุดแท้แต่บารมีของแต่ละคนไป
เรื่องหนึ่งที่อดจะนำมาเล่าให้ท่านฟังไม่ได้คือ มีอยู่วันหนึ่ง หลอดไฟฟ้าในห้องนอนเสีย ข้าพเจ้าจัดแจงเอาเก้าอี้วางบนโต๊ะทำงาน เจ้ากรรม
เพดานมันก็สูงเอื้อมจนสุดล้า ต้องเขย่งเท้าจึงจับหลอดไฟฟ้าจะถอดออก ปรากฏว่า ปีนเกลียวจะหลุดก็ไม่หลุด จะหมุนกลับให้แน่นก็ไม่เข้า เอ๊ะ พอเขย่าดู
ก็เหมือนจะหลุดลงมา แต่พอดึงยังไง ก็ถอดไม่ออก เขย่าไปได้สักพัก เหลียวซ้ายแลขวา
มือก็จับหลอดไฟติดอยู่อย่างนั้น เท้าก็เขย่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดียวเล็กๆ ประตูห้องนอนปิดอยู่ ไม่มีใครเลย เขาเข้านอนกันหมดแล้ว เหงื่องี้แตกพลั่ก
จะลงก็ลงไม่ได้กลัวหลอดไฟมันร่วงเพล้งตามลงมา ต้องแตกกระจายแน่ๆ ไอ้จะจับอยู่อย่างนั้น ก็ชักจะเมื่อยๆ ซะแล้ว เพราะเอื้อมจนสุดล้าเชียว
ยืนพยายามชักเย่อกับหลอดไฟอันเดียว สักพัก ชักไม่ไหว เหลือบตาดูเก้าอี้นึกว่า เอ ถ้าเก้าอี้ลมทำไงล่ะเรา
เพราะเขย่งเท้าอยู่ จนปัญญาหมดท่าขึ้นมา เรียกหลวงพ่อดื้อๆ หลวงพ่อขา ช่วยลูกด้วยเจ้าค่ะ เชื่อไหมล่ะคะ มหัศจรรย์ใจจริงๆ
สิ้นคำร้องเรียกหลวงพ่อเท่านั้น ไอ้หลอดไฟฟ้าเจ้ากรรมมันหลุดผลัวะติดมือมาเลย เฮ้อ! ถอนหายใจออกมาเลย ยกมือไหว้ไปทางห้องพระปลกๆ พร้อมกับบอกว่า
ขอบพระคุณเจ้าค่ะ หลวงพ่อๆ แล้วรีบๆ แจวอ้าวลงมาจากเก้าอี้ทันที เข็ดไปอีกนานที่ชอบทำตัวเป็นสารพัดช่างในบ้าน เล่าให้ลูกฟัง ขำก็ขำ เข็ดก็เข็ด
ประมาณต้นปี 2534 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปไต้หวัน เพื่อดูงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยางกับครอบครัว ขาไปทางเจ้าหน้าที่ไต้หวันจัดรถแวนคันใหญ่
เพราะจากตัวเมืองต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ชมทัศนียภาพข้างทาง ซึ่งเป็นทางสูงเหมือนบนเนินเขาไปโดยตลอด นึกว่าชื่นชมเขาเก่ง
ไต้หวันได้ชื่อว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่ง ที่มีสินค้าทำในไต้หวันแพร่หลายไปทั่วโลก
สินค้าผลิตภัณฑ์ยางรถยี่ห้อมีชื่อเสียงของโลก ปรากฏว่าผลิตที่ไต้หวันแล้วส่งไปอเมริกา ตีตราของอเมริกา การเดินทางเที่ยวไปเป็นไปอย่างราบรื่นทุกประการ
ดูโรงงานผลิตยางรถยนต์เสร็จก็บ่ายมากแล้ว รถแวนก็พาคณะซึ่งนั่งกันอยู่หลายคนบ่ายหน้ากลับเข้าตัวเมือง ต้องใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า คงค่ำพอดี
ขณะที่รถวิ่งจะออกจากตัวเมือง ก็มีเสียงผู้คนรู้สึกเป็นผู้หญิงอ้วนท้วมๆ ร้องตะโกนโหวกเหวก ภาษาจีน
แล้วชี้มาที่ล้อรถด้านหลัง ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจนอกจากจะดูวิว ทิวทัศน์ข้างถนน ดูผู้คนที่เดินจ่ายของกันขวักไขว่จนเพลิน ขณะเดียวกัน ก็ขอบารมีพระพุทธ
พระธรรม พระอริยสงฆ์ ภาวนาพุทโธบ้าง นะมะพะทะ บ้าง สวดอิติปิโสฯ บ้าง ทำจิตสบายๆ พอขึ้นไปกราบองค์สมเด็จข้างบนบ้าง สลับไปสลับมา เอ๊ะ ชักตะโกนกันเป็นทอดๆ
ยังไงเสียแล้ว ฟังก็ไม่รู้เรื่อง แถมชี้กันใหญ่ คนขับรถซึ่งเป็นชาวไต้หวันคงฟังรู้เรื่องรีบจอดรถทันที
พร้อมทั้งหันมาบอกว่าไฟลุกที่บังโคลนล้อ ล้อรถซ้ายมือด้านหลังแลบออกมานอกตัวรถ จนคนเขาเห็นแล้วร้องตะโกนบอก วินาทีนั้น
สิ่งที่ไม่ต้องสอนหรือบอกกันก็คือ ทุกคนในรถผลุดลุกกรูกันออกจากประตูรถ ข้าพเจ้ากระโจนพรวดเดียววิ่งไปจนพ้นตัวรถเลย ความที่กลัวว่าถ้าประกายไฟโดนถังน้ำมัน
รถคงจะระเบิดได้ และความที่วิ่งจู๊ดออกมาอย่างรวดเร็ว จนสามีมองไม่เห็น
จนคิดว่าข้าพเจ้ายังอยู่ในรถ พอเห็นข้าพเจ้าปร๋ออยู่นอกรถก่อนใครทุกคน พอพร้อมหน้าหัวเราะกันจนท้องแข็งที่ติดหลวงพ่อโกยกันอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่แปลกประหลาดและข้าพเจ้าคิดว่าไม่ธรรมดาก็คือ
1. เวลานั้น ที่ไฟลุกตัวถังรถเริ่มขมุกขมัวแล้ว แต่ไฟลุกได้ไม่นานก็มีคนเห็น ทั้งๆ ทีรถบนถนนก็พลุกพล่าน ไม่มีใครสนใจใคร
2. รถวิ่งไปหยุดที่หน้าอู่รถยนต์พอดี แถมที่อู่ยังมีเครื่องดับเพลิงอยู่ใกล้มือ ให้คนขับรถคว้าเอามาพ่นดับไฟใต้ท้องรถได้ทันท่วงทีพอดิบพอดี
ช่างบังเอิญอะไรอย่างนั้น
3. ถ้ารถวิ่งเลยพ้นอาคาร ประเดี๋ยวต้องออกสู่ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ซึ่งมีรั้วกั้นเป็นเนินสูงไปตลอด ไม่มีบ้านผู้คนเลย
จะต้องไม่มีใครเห็นไฟที่กำลังลุกอยู่ใต้ท้องรถแน่นอน อะไรจะเกิดขึ้น
ถ้ารถวิ่งไปเรื่อยๆ ไฟลุกจนได้ที่ ความร้อนจะทำให้ถังน้ำมันรถระเบิดอย่างแน่นอน แล้วอะไรจะเหลือล่ะท่าน ข้างทางก็เป็นเนินเขาตลอด
มีหวังไม่ได้ลงไปยืนหัวเราะท้องแข็งนอกรถกันหรอก แต่ตัวข้าพเจ้าและทุกคนนั้นคงเกรียมหงิกๆ งอๆ แข็งๆ แทนแน่ๆ เพราะไฟ อุ๊ย...พูดถึงตอนนี้ทีไร
ข้าพเจ้าเสียววาบทุกทีเลย
เมื่อปี 2531 น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ ที่จังหวัดตรังก็โดนกับเขาด้วย ข้าพเจ้าพอลงจากเครื่องบินปุ๊บ ก็ไปท้องที่อำเภอย่างตาขาวทันที
เนื่องจากสามีได้สั่งการเตรียมของเตรียมเรือรอกันไว้แล้ว พอไปถึงก็ลุยกันเลย เอาของจำเป็นเช่นผ้าขาวม้า ของแห้ง ไม้ขีด เทียนไข ปลากระป๋อง ฯลฯ
ใส่ถุงพลาสติกให้ สำหรับถุงพลาสติกนี่ มีประโยชน์ สำหรับคนถูกน้ำท่วม เพราะสามารถใส่สิ่งปฏิกูลได้
เนื่องจากห้องส้วมน้ำก็ท่วม ไม่รู้จะไปปล่อยทุกข์กันอย่างไร ก็ได้พึ่งพาไอ้เจ้าถุงพลาสติกนี่แหละท่าน ปรากฏว่า
เอาสัมภาระที่จะแจกให้กับชาวบ้านที่น้ำท่วม บางจุดเลยบั้นเอวถึงคอเลย น้ำยังเชี่ยวอยู่บ้าง ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงในกลุ่มที่ไปแจกของวันนั้นเพียงคนเดียว
ฝนก็ตกพรำๆ อยู่ตลอดเวลา ค่อยๆ ลุยน้ำไปชักลึกขึ้นทุกทีๆ ถ้าเดินไม่แข็งพอ หกล้มละก็ได้กินน้ำแน่ เพราะน้ำไหลกรากๆ ผ่านช่วงขาไป
เดินไปได้ช้า ข้าพเจ้านั้น ในใจภาวนาพุทโธตลอด แล้วยกจิตจับภาพองค์สมเด็จฯ พลางอาราธนาให้ท่านอยู่เหนือศีรษะข้าพเจ้า น้อมจิตถึงท่านปู่ ท่านย่า หลวงพ่อ
ท่านแม่ บอกว่า เวลานี้ลูกกำลังบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน ที่กำลังประสบความทุกข์จากภัยน้ำท่วมอยู่ ขอให้ลูกมีกำลังเดินไปได้อย่างปลอดภัยด้วยเถิด
ปรากฏว่ารู้สึกว่าองค์ท่านลอยอยู่เหนือศีรษะข้าพเจ้าตลอดเวลา
จิตใจชุ่มชื่น แปลก ข้าพเจ้าเดินลิ่วนำหน้าผู้ชาย ทั้งๆ ที่เป็นผู้หญิง ไม่มีเซถลาเลย ผู้ชายเสียอีก หกล้มคะมำกันในน้ำ ต้องพยุงกันไปบ้างบางครั้ง
เดินจนกระทั่งน้ำลึกถึงเอว ใกล้คลองน้ำเข้าไปทุกที พวกผู้ชายที่ช่วยกันลากเรือที่บรรทุกของอยู่ บอกให้ข้าพเจ้าขึ้นเรือเสีย
เพราะเดี๋ยวจะพลาดลงคลองไปอันตราย วันนั้น จิตใจข้าพเจ้าอิ่มเอิบ
ทั้งๆ ที่เดินลุยน้ำที่เชี่ยวนานนับชั่วโมง ท่ามกลางสายฝนพรมพรำตลอดเวลา เปียกเป็นลูกนกตกน้ำป๋อมแป๋มแล้วไม่เป็นอะไรเลย ทั้งๆ ที่
ปกติถูกฝนเป็นได้เรื่อง ต้องเป็นหวัดทุกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะอานุภาพของคุณพระพุทธ พระธรรม พระอริยเจ้า เทวดา พรหม ที่ท่านคอยสงเคราะห์อยู่หรือท่าน
ยาฟ้าทะลายโจรจากบ้านซอยสายลม กลายเป็นยาที่ข้าพเจ้าต้องซื้อตุนไว้ทีละ 1 โหล เพื่อเก็บเอาไว้รับประทานที่บ้าน รักษาสารพัดโรค ปวดท้อง
คันตามตัวเนื่องจากแพ้อาหารทะเล เจ็บคอ มีเสมหะ ไอ รักษาโรคเริม ฯลฯ มีอยู่คืนหนึ่ง หนุ่มลูกชาย อายุ 19 ปวดท้องอย่างหนัก อาเจียนจนปากเขียว
ทานยาชนิดอื่นก็ไม่ทุเลา ปวดทรมานตลอดคืน กลางดึก
ข้าพเจ้าจึงหยิบยาฟ้าทะลายโจรให้กิน 30 เม็ดเลย เนื่องจากน้ำหนักตัวเขาเลย 60 กิโล เลยต้องรับประทานมากหน่อย ปรากฏว่าอาการปวดท้องหายเป็นปลิดทิ้ง
วันรุ่งขึ้นสามารถขับรถไปมหาวิทยาลัยที่รังสิตได้ตามปกติ (เวลารับประทาน ให้นึกถึงบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เทวดา พรหม หลวงพ่อ ท่องนะโม
พุทธายะไป อธิษฐานว่า ขอให้โรคที่เป็นอยู่หายด้วยเถิด)
วันหนึ่งสุนัขตัวเมียชื่อ น้ำตาล พันธุ์บ็อกเซอร์ร้องโหยหวน พวกเราแม่ ลูก เด็กทำงาน วิ่งกรูกันเข้าไปรุมดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับสุนัข
เจ้าน้ำตาลตัวสูงใหญ่ปานกลาง อยู่นกรงไม้ขนาดใหญ่ นิ้วเท้าเกิดพลาดติดกับร่องไม้ที่ตีไว้เป็นพื้น ระยะห่างประมาณเกือบหนึ่งนิ้ว ยิ่งดิ้นเท้าก็พลิก ปวดหนัก
ร้องโวยวายลั่นกรง พวกเราพยายามช่วยกันดึง เขาก็ยิ่งเจ็บ ดูยิ่งติดแน่นมากขึ้น ทำไงนิ้วเท้าก็ไม่หลุดจากซี่ลูกกรง จนอ่อนใจ นึกถึงหลวงพ่อ
เพราะเหงื่อคนช่วยแตกพลั่ก เข้าไปอยู่ในกรงสุนัขด้วย ยุงก็กัด ตัวใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ข้าพเจ้าและกระต่ายพูดเกือบพร้อมกันว่า หลวงพ่อขาช่วยด้วยเจ้าค่ะ
ขอให้เท้าเจ้าน้ำตาลหลุดจากซี่ไม้ด้วยเถิด แล้วก็ได้ผลจริงๆ อยู่ๆ เท้าเจ้าน้ำตาลก็หลุดขึ้นมาจากกรงอย่างง่ายดาย ทั้งข้าพเจ้าและกระต่ายยกมือสาธุ พูดว่า
ขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงพ่อ ข้าพเจ้าว่า หลวงพ่อท่านทำงานหนักจริงๆ ไม่ได้พักผ่อน เพราะลูกหลานเรียกให้ช่วยกันสารพัดปัญหาจริงๆ คงไม่เฉพาะข้าพเจ้าคนเดียว
ลูกหลานเป็นแสนๆ คน
ดังนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าหลวงพ่อท่านเป็นพระที่สุดประเสริฐ สุดบูชา สมควรแก่สาธุชนทุกหมู่เหล่า กราบไหว้บูชาท่านอย่างสนิทใจ
อย่างไม่สงสัยหรือเคลือบแคลงใจ เรามาน้อมใจกัน สวดบทอิติปิโสอุทิศแด่หลวงพ่อทุกวันครั้งละ 3 จบ เพื่อช่วยให้ท่าน เคราะห์กรรมเก่าบรรเทาเบาบางลงเถิด
เพื่อที่ท่านจะได้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น จะได้คอยพร่ำสอนให้ลูกหลานละการทำบาป ให้ถือศีล 5 ให้บริสุทธิ์เป็นอย่างน้อย
มีกรรมบถ 10 ครบถ้วน มีพรหมวิหาร 4 มีอิทธิบาท 4 อย่าละทิ้งคำภาวนา หมั่นจับอานาปานุสสติกรรมฐาน (รู้ลมหายใจเข้าออก)
ให้รู้สติอยู่ตลอดทุกเวลาทุกอิริยาบถ ตัดขันธ์ 5 (ร่างกายตนเองและร่างกายผู้อื่น) ตัดใจเสียจากทรัพย์สิน สัตว์เลี้ยง ของรักทั้งปวงว่า ไม่ใช่ของเรา
พิจารณาร่างกายว่ามันสวยงามจีรังตลอดไปหรือไม่ มีข้อบกพร่องอย่างไรบ้าง ให้รีบแก้ไข ทำให้ถูกต้อง ข้อสำคัญ
อย่าทะนงตน ลืมตน จะป่นปี้
ตัด ความอยากให้หมดจากใจ
ตัด คำว่ากว่าออกไปให้ได้จากใจ
ตัด ปีติ ออกไปจากใจ
ตัด มานะ การถือตัวตนว่าดีกว่า เลวกว่า
ตัดนิวรณ์ 5 ประการ
เวลาขับรถไปทำงานให้สวดอิติปิโสฯ ไปตลอดทาง หรือคาถาเงินล้าน นาสังสิโมฯ ก็ได้ การเดินทางจะปลอดภัย ถึงที่หมายรวดเร็วขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
ข้าพเจ้าขอจบบันทึกแต่เพียงเท่านี้ ขอน้อมจิตอาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย บารมีเทวดา บารมีพรหม โปรดสงเคราะห์ให้องค์หลวงพ่อ คลายจากทุกขเวทนา
มีสุขภาพแข็งแรง
ตลอดจนคณะผู้จัดทำหนังสือธัมมวิโมกข์ ท่านผู้อ่านทุกท่าน จงประสบแต่พรอันประเสริฐตลอดปีใหม่เทอญ บันทึกครั้งนี้ หากมีสิ่งใดบกพร่อง
ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว ขออานิสงส์ทั้งหมดที่ข้าพเจ้าได้กระทำไป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จงมีผลส่งให้ข้าพเจ้าไปพระนิพพานในชาตินี้ด้วยเถิด
สาธุ
ll กลับสู่สารบัญ
136
พระคุณของหลวงพ่อมากล้นสุดพรรณนา
ชัยชาญ เอี่ยมหนุน
ภายใต้ความสำนึกของลูกที่มีต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้น ลูกไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใดๆ มาพูดให้สมกับใจของลูกได้ สำหรับตัวของลูก
คิดเสมอว่า เท่าที่ลูกได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้น เท่ากับลูกได้ตายไปแล้วเกิดใหม่ เพราะว่าก่อนที่ลูกจะได้พบหลวงพ่อนั้น
ลูกมีความเลวทุกอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงแม้ว่า จะได้บวชเรียนมาแล้วก็ตาม
คำว่าศีลห้าอย่าว่าแต่จะถือให้ครบเลย แม้แต่ความเข้าใจในการถือ เข้าใจในศีล ยังไม่เข้าใจครบเลย มาเข้าใจเอาต่อเมื่อได้พบกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อเท่านั้น
ฉะนั้น ถ้าหากว่าไม่ได้พบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ก็เท่ากับว่าได้ตายทั้งเป็น และเมื่อตายก็คงจะลงสุดลึกแน่นอน และด้วยเหตุนี้เอง
จึงทำให้ลูกอธิษฐานขอตายเพื่อแลกเปลี่ยนกับอาการป่วยของหลวงพ่อมาแล้วเป็นเวลาสามเดือน
หลวงพ่อช่วยชีวิตลูกหลานที่นับถือหลวงพ่อ
เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2533 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ที่ตรงกับวันเกิดของหลวงพ่อ ทางบรรดาลูกหลานของหลวงพ่อ ได้จัดงานถวาย
ข้าพเจ้าพร้อมกับภรรยา ก่อนจะมาในงานที่ซอยสายลม ได้ชวนเพื่อนบ้านซึ่งอยู่บ้านใกล้กันให้มาในวันเกิดหลวงพ่อ
แต่บังเอิญเพื่อนบ้านคนนั้นติดธุระที่จะต้องไปเยี่ยมลุงของเขาที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อนบ้านคนนั้นครั้นกลับมาบ้านตอนเย็น ก็รีบถามข้าพเจ้าว่า เวลา 8.00 น.
(สองโมงเช้า)
หลวงพ่อกำลังทำอะไร ข้าพเจ้าบอกว่า สองโมงเช้า หลวงพ่อกำลังทำพิธีบวงสรวง เท่านั้นแหละ เพื่อนบ้านคนนั้นก็ยกมือขึ้นท่วมหัวพร้อมกับพูดว่า สาธุ
หลวงพ่อช่วยลูกไว้แท้ๆ พร้อมกับได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ตอนขาไปได้นั่งรถปิคอัพไป พอถึงแยกวังมะนาว น้ำในหม้อรถยนต์เดือด
ก็ได้จอดรถแอบข้างทางเพื่อจะเติมน้ำ ก็ได้มีรถบรรทุกท่อนซุงท่อนใหญ่ๆ 3 ท่อนวิ่งสวนทางมา และเบรกแตกเสียหลัก วิ่งตรงมายังรถที่เขาจอดอยู่ข้างทาง อ้อ
ลืมบอกไปว่า ก่อนที่เขาจะไป ภรรยาของข้าพเจ้าได้ให้ดาวประดับเพชรที่มีรูปหลวงพ่อไว้หนึ่งองค์
และเขาได้อาราธนาติดที่หน้าอกเสื้อไปด้วย เขาบอกว่าพอเห็นรถซุงเสียหลักตรงมาหา เขานึกว่าคงจะต้องตายแน่ และในเสี้ยววินาที เขานึกถึงหลวงพ่อขึ้นมาได้
ก็รีบเอามือกดไปที่ดาวที่ติดอยู่ที่หน้าอก พร้อมกับอุทานออกมาดังๆ ว่า หลวงพ่อช่วยด้วย เท่านั้นเอง รถคันนั้นหักหลบรถของเขาไปได้อย่างหวุดหวิด
เฉี่ยวไปนิดเดียว เล่นเอาเกือบช็อคตาย นี่เป็นเพราะว่าหลวงพ่อได้ช่วยชีวิตเขาและอีกหลายคนในรถคันนั้นไว้โดยแท้
เอาดาวที่มีรูปหลวงพ่อไปทดลองยิง
คุณลุงรายนี้ก็เป็นลุงของเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า คนที่หลวงพ่อได้ช่วยชีวิตไว้ที่เพิ่งจะเล่าผ่านมานั่นแหละ และดาวที่คุณลุงคนนี้ได้ไป
ก็ได้จากข้าพเจ้าอีกเหมือนกัน เพราะว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าคุณลุงแกเป็นคนดี และก็นับถือกัน ก็เลยมอบให้ไว้บูชา และข้าพเจ้าก็มิได้คิดว่า คุณลุงจะเอาไปลองอะไร
ไม่ทราบว่าคุณลุงคนนั้นนึกอย่างไรขึ้นมา
ถึงได้เอาดาวไปทดลอง ลุงคนนั้นได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ได้ทดลองยิง 3 นัด โดยไม่ออกเลยสักนัดเดียว แต่พอยิงขึ้นฟ้าก็ออกหมดเลยทั้ง 3 นัด หลังจากนั้นมา
ก็ป่วยเกือบจะตายเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม ป่วยนัดละเดือน แกบอกว่า พอจวนจะครบ 3 เดือน ก็ให้นึกขึ้นมาได้ว่า ได้เอาดาวไปทดลอง จึงได้จุดธูปขอขมา จากนั้น
ก็หายเป็นปกติ
และในช่วงที่ป่วยนั้น ได้เข้าโรงพยาบาลและคลินิก ทั้งที่เพชรบุรีและในกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่พบสาเหตุ เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยม คุณลุงหายจากป่วยแล้ว
ยกมือท่วมหัวบอกกับข้าพเจ้าว่า เข็ดจนตาย ไม่เอาอีกแล้ว และบอกว่า ท่านหลวงพ่อวัดท่าซุงเก่งจริงๆ ปลุกเสกยันต์เกราะเพชรเยี่ยมจริงๆ
หลวงพ่อช่วยรักษาโรคที่เป็นมาแล้วหลายสิบปี
รายนี้ก็เป็นเพื่อนของภรรยาของข้าพเจ้าอีกคนหนึ่ง ชื่อประทีป ปัจจุบันขายอาหารอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านแพรกษา ปากน้ำ เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อวันที่ 29
ธันวาคม 2533 ก่อนขึ้นปี 344 หลวงพ่อได้กระทำพิธีปลุกเกสพระมหาลาภคำข้าวที่วิหาร 100 เมตร ข้าพเจ้าได้ไปในงานนั้น ภรรยาของข้าพเจ้าได้ชวนคุณประทีปไปด้วย
โดยไปกับรถที่คุณสุจิตต์ ย่านบางหัวเสือ
พอไปถึงได้เวลาที่หลวงพ่อจะปลุกเสก ทุกคนก็เข้าไปนั่งในวิหารแก้ว คุณประทีปก็เข้าไปนั่งด้วย พอหลวงพ่อทำพิธีไปได้สักประมาณ 10 นาที คุณประทีปบอกว่า
มีความรู้สึกว่า มีตะขาบตัวใหญ่ตัวหนึ่งคลานอยู่ในเสื้อ คลานต้วมเตี้ยมจากบริเวณกระเบนเหน็บ รู้สึกว่าตัวใหญ่มาก กำลังจะคลานขึ้นมาที่หัวไหล่
คุณประทีปบอกว่า เมื่อก่อน ตอนที่เป็นสาวยังไม่ได้แต่งงาน ได้มีคนแก่คนหนึ่งได้ทำคุณไสย โดยใช้น้ำมันป้ายที่ตัวเขาเพื่อจะให้คุณประทีปรักกับหลานชายของเขา
คุณประทีปก็ไม่ยอม และพ่อแม่ของคุณประทีปก็ได้หาหมอทำคุณไสยเอาออก แต่หมอคนนั้นก็บอกว่า ให้ไปหาหมอพระเอาออกอีกที สำหรับตัวเขานั้น เอาออกให้ไม่หมด
เพราะเป็นฆราวาส แต่ทางพ่อแม่ของคุณประทีปก็ไม่ได้ทำซ้ำ เพราะว่าหลังจากนั้นก็ไม่ค่อยมีอาการอะไร จนอยู่มามีครอบครัว มีลูกหลายสิบปี
จนลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว เกือบจะลืมไปแล้วด้วย คุณประทีปเล่าให้ฟังว่า
พอรู้สึกว่า มีตะขาบคลานอยู่ในเสื้ออย่างนั้น ก็นึกรู้ทันทีว่า ของที่ยังอยู่ในตัวเริ่มออกฤทธิ์ ทันใดนั้น
เขาก็นึกถึงคำที่ข้าพเจ้าและภรรยาเคยเล่าให้ฟัง เรื่องของหลวงพ่อ ว่าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ หลวงพ่อมีฤทธิ์ เคยได้ประสบมามากมาย
คุณประทีปซึ่งนั่งประนมมืออยู่แล้ว ก็ยกมือขึ้นบกว่า
สาธุ เขาลือกันว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงศักดิ์สิทธิ์ เจ้าประคุ้ณ ถ้าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์จริง ขอหลวงพ่อช่วยรักษาให้ลูกด้วย
ช่วยเอาตะขาบออกให้ลูกด้วยเถิดเจ้าข้า คุณประทีปบอกว่า พอสิ้นคำอธิษฐาน ก็มีมือๆ หนึ่งจับตะขาบที่กำลังคลานขึ้นมาเกือบจะถึงหัวไหล่อยู่แล้ว
มีความรู้สึกว่าจับแรงมาก
จนตัวเขาเอียงไปข้างหน้า และพอมีมือมาจับตะขาบแล้ว ตะขาบที่คลานนั้นก็หายไป และรู้สึกว่าตัวโปร่ง สบาย และรู้สึกขนลุกซู่ซ่าด้วยความปีติ
หลังจากนั้นรู้สึกว่า คุณประทีปเคารพ ศรัทธาต่อหลวงพ่อมาก จนกระทั่งทุกวันนี้
องค์สมเด็จ, หลวงปู่ปาน, หลวงพ่อ, ท่านลุง, ท้าวมหาราช และพรหม เทวดาคุ้มครอง
เรื่องนี้ใหม่ๆ สดๆ ที่ข้าพเจ้าได้สัมผัส ด้วยความเมตตาของหลวงพ่อท่านได้แนะนำ และข้าพเจ้าได้กระทำตามจึงได้สัมผัสดังนี้ เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2534
ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าพร้อมด้วยครอบครัวได้เหมารถตู้ไปเชียงราย ด้วยความตั้งใจจะได้กราบไหว้ปิดทองพระธาตุดอยตุง และที่อื่นๆ อีกหลายที่ ก่อนออกเดินทาง
ข้าพเจ้าได้อัญเชิญเทปบวงสรวงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เปิดขออัญเชิญพระบารมีทุกพระองค์ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง
พ้นจากอุบัติเหตุทั้งปวง และขออย่าให้หนาวมาก เพราะข้าพเจ้าแพ้ความหนาว พอออกเดินทาง ข้าพเจ้าก็นั่งสวดมนต์ไปบ้าง ท่องคาถาเงินล้านไปบ้าง
ในตอนแรกก็คิดว่าจะไปเพียงคันเดียวและครอบครัวเดียว แต่พอไปเข้าจริงๆ ญาติของคนขับรถกลับขับตามไปอีกสองคัน การเดินทางปลอดภัย ฝนตกทำให้ลดความหนาวลงไปมาก
พอไปถึงดอยตุง รถเจ้ากรรมทำท่าจะไม่ขึ้นดอยอีก
ทั้งๆ ที่ในรถที่เหมาไปมีเพียง 4 คน พ่อ แม่ ลูก เท่านั้น ต้องอธิษฐานของบารมีหลวงพ่อ พอตั้งใจนึกถึงหลวงพ่อให้ช่วย
รถก็ขึ้นไปให้จนถึงที่ อีกที่หนึ่งคือพระธาตุวัดป่าสัก ที่หลวงพ่อได้เขียนไว้ ในหนังสือธัมมวิโมกข์ ก่อนไปได้อธิษฐานขอให้ได้พบ ก็พบ และอีกที่หนึ่ง
ที่ได้พบกับความมหัศจรรย์ก็คือ ดอยอินทนนท์ ก่อนขึ้น ขออธิษฐานอย่าให้หนาวมาก ขอทุกๆ พระองค์ได้โปรดสงเคราะห์ ปรากฏว่าพอขึ้นไปถึงมีแดดจ้า
ซึ่งผิดกับที่เคยไปเมื่อหลายปีก่อน ในปีนั้นไปในเดือนเมษายน แต่ปรากฏว่าไม่มีแดด มีแต่หมอก แต่ไปคราวนี้ พอขึ้นไปถึงข้างบน ปรากฏว่าแดดจ้า
จึงได้ถามทหารและคนขับรถรับจ้างที่จ้างพิเศษขึ้นไป เขาตอบว่า อากาศหนาวจัด มีแต่หมอกลงจัดมาทุกวัน เพิ่งจะมีวันนั้นวันเดียว ที่มีแสงแดดและไม่หนาวจัด
ข้าพเจ้าจึงมั่นใจแน่นอนว่า ทุกพระองค์มีหลวงพ่อเป็นที่สุด ทรงโปรดสงเคราะห์
เรื่องที่เกี่ยวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั้น ที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาก็ดี ได้ฟังมาก็ดี มีอยู่มา เพียงคืนเดียวไม่มีทางได้เขียนหมดเป็นแน่ ในที่สุดนี้
ข้าพเจ้าพร้อมทุกคนในครอบครัว ขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอได้โปรดช่วยดลบันดาล ให้องค์หลวงพ่อได้หายจากการเจ็บป่วย
มีสุขภาพแข็งแรงในอันที่จะได้สืบทอดพระพุทธศาสนา
และเป็นที่พึ่งของลูกหลานพุทธบริษัทต่อไป อนึ่ง ลูกขออธิษฐานจากใจ ถ้าหากว่าเจ้ากรรมนายเวรขององค์หลวงพ่อจะพึงเอาชีวิตของลูกไป
เพื่อแลกเปลี่ยนกับอาการป่วยขององค์หลวงพ่อได้แล้วไซร้ ขอได้โปรดมาเอาชีวิตของลูกไปเมื่อไหร่ อย่างไรก็ได้ ลูกไม่เสียดายชีวิต
ขอเพียงองค์หลวงพ่อได้หายป่วยเท่านั้น ลูกได้รับความสุขกาย สุขใจ ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุขได้ เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตา
ll กลับสู่สารบัญ
|
|
137
ทางสายใหม่
สัตวแพทย์สุรพงษ์ ปัณฑวังกูร
หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง ท่านเป็นพระมีฤทธิ์นะ ท่านเสกแม่น้ำให้เป็นน้ำแข็งแล้วเดินเล่นได้
ข้าพเจ้าฟังแล้วก็ไม่ได้ติดใจซักถามต่อ เมื่อคุณอาของข้าพเจ้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง หลังจากกลับมาจากทำบุญที่วัดหนองป่าพง ประมาณปี พ.ศ.2526
ข้าพเจ้าเดินตามเส้นทางของโลกตั้งแต่จำความได้ ถึงแม้จะมีการให้โดยไม่ต้องการผลตอบแทนมาตลอด เคยเป็นหัวหน้าเด็กชายพรานหนังสติ๊ก, ล่านก, หนู, งู, แย้
แม้กระทั่งกิ้งก่า ตามบริเวณรอบหมู่บ้าน อีกทั้งแม่นมะม่วงของบ้าน,
เพื่อนบ้าน และของวัดมาตลอด เมื่อพระไล่ก็หนี... พระจะตีก็หลบ พระท่านสงบก็ขโมยต่อ ได้มาแล้วก็เอามาแจกบ้าง ทำอาหารเลี้ยงเพื่อนๆ น้องๆ เป็นที่สำราญกัน
โดยไม่ได้เข้าใจถึงอกุศลกรรมที่จะตามมา เรียนหนังสือจบ มาประกอบอาชีพก็ไม่พ้นเรื่องผิดศีลข้อแรก เพราะเป็นสัตวแพทย์ ต้องดูแล, ผ่าตัด
ตลอดจนผ่าซากวินิจฉัยโรค แถมพกด้วยความวุ่นวายกับเพศตรงข้ามอีกมากมาย ถึงกระนั้นก็ตาม การทำบุญให้ทานก็ไม่ได้ทอดทิ้ง
เพราะทำด้วยใจที่อยากจะสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาสทั้งหลายในวิสัยที่จะช่วยได้ ปลายปี 2529 น้องที่ทำงานด้วยกันจะมาวัดท่าซุง
เพื่อช่วยงานวันเป่ายันต์เกราะเพชร ก็อาสาขับรถมาส่ง เพราะจะเลยไปเยี่ยมลูกค้าที่ จ.นครสวรรค์ จำได้ว่า จอดรถหน้าวัดส่งเสร็จ ก็ยกมือไหว้โบสถ์
แล้วขับรถต่อไปยังนครสวรรค์ ยังไม่ได้สัมผัสกับความบริสุทธิ์ของครูบาอาจารย์แต่อย่างใด ต้นปี 2530 ได้มาช่วยงานเป่ายันต์เกราะเพชรในหน่วยจำหน่ายวัตถุมงคล
ตื่นตา (ตาตื่น) กับคน ญาติโยม ผู้แสวงบุญมากมาย
มองไปรอบๆ ตัวพบคนและความวุ่นวาย ไม่ทราบความมุ่งหมายของคนที่เข้าไปรับยันต์ และโง่จนไม่เห็นบารมี, ปฏิปทาของครูบาอาจารย์ เพราะใจมันยังไม่ตื่น
ความไม่รู้มันครอบไว้สนิทมืดมิดยิ่งกว่ากบในกะลาที่ปราศจากหิ่งห้อย เสร็จงานเป่ายันต์รอบเย็น น้องๆ นำชมสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในวัด พบความวิจิตรในงานก่อสร้าง
ซึ้งกับความเสียสละของหลวงพ่อตรงที่มีโรงเรียน, โรงพยาบาล และการสงเคราะห์ผู้ยากไร้ในถิ่นทุรกันดาร นอกเหนือจากสงเคราะห์ด้วยพระธรรม
ความคิดเริ่มต้น ถ้าเรียกได้ว่าเป็นปัญญา ก็เพียงแต่เริ่มจะปรากฏ ตั้งแต่นั้นมาก็มาช่วยงานเป่ายันต์ฯ มาตลอด บูชาหนังสือธรรมะ
ประวัติหลวงพ่อปาน และเทปคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปฟังและศึกษา และแล้วคำพูดของคุณอาของข้าพเจ้า เมื่อหลายปีที่แล้วก็ก้องกังวานชัดเจน
จนวางประวัติหลวงพ่อปานไม่ลง เรียกว่าไม่จบไม่หลับ และเมื่อความวุ่นวายทางโลกธุรกิจมากขึ้น
เมื่อกิจการที่ทำอยู่มีทีท่าว่าจะไปไม่รอด เพราะแพ้การเอารัดเอาเปรียบ และฉกฉวยโอกาสจากทั้งคนไทยที่เป็นหุ้นส่วน และฝรั่งที่เป็นเจ้าของสินค้า
จึงต้องหากิจกรรมร่วมให้พนักงานระดับล่างทำกัน เพื่อลดการวิเคราะห์สถานการณ์ในแง่ร้ายของพนักงานที่หมดกำลังใจ และมีเวลาว่างมากเกินไป
เมื่อเสร็จจากการช่วยกันทำงาน รู้สึกเหนื่อยมาก จึงหลับในห้องทำงานวันอาทิตย์ และฝันว่าตัวเองลอยอยู่เหนือพระที่นั่งอนันตสมาคม มีผ้าสะอาด 1 ผืนอยู่ในมือ
และเช็ดทำความสะอาดพระบรมรูปทรงม้าโดยรอบ
และในทันใดนั้นเอง ทุกทิศทุกทางจะมีแสงสีรุ้งแพรวพราวไปทั่ว และได้ยินเสียงจากพระบรมรูปฯ ที่ลอยอยู่กลางอากาศว่า ให้อดทน ให้เสียสละ
แล้วทุกอย่างจะสำเร็จ ทำให้รู้สึกปีติมาก และยิ่งได้ทราบผู้มีพระคุณทั้งหลายอธิบายถึงความหมายของนิมิตแล้ว ความปีติ ความภูมิใจ
กำลังใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเลื่อมใส ศรัทธา ในพระเดชพระคุณหลวงพ่อเต็มเปี่ยม ท่านสงเคราะห์จิตมาโดยตลอด แม้จนวันที่หลวงพ่อท่านเทศน์อบรมพระบวชใหม่ รุ่น
180 รูป (25 ธ.ค. 34)
ท่านก็ลดความเศร้าหมองของจิตได้หมดสิ้น เพราในคณะพระบวชใหม่ประมาณสัก 10 รูป ได้ช่วยกันทำความสะอาดบริเวณวัด คว้าไม้กวาด เข็นรถขยะ
เข้าลุยทำความสะอาดบริเวณโบสถ์เก่า มีทั้งถอนหญ้า, ไม้เลื้อยที่พันรอบๆ ตลอดจนต้นโพธิ์ที่ทำให้เจดีย์ผุพัง โดยไม่ทราบว่าจะเป็นอาบัติหรือไม่
ปัญหานี้เกิดในใจพระหลายองค์ รวมทั้งข้าพเจ้าเองด้วย และพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ท่านได้คลายทุกข์ของใจ โดยมีใจความว่า อย่างเบาที่สุดของอาบัติปาจิตตีย์ ก็คือการพรากของเขียวเพื่อเล่น ไม่ใช่ดายหญ้าวัดเพื่อความสะอาด
ต้นไม้เกะกะขวางทาง หรือทำลายอาคาร อันนี้ตัดได้ไม่เป็นไร ไม่ใช่เพื่อเล่น พระทั้งหลายที่ร่วมขบวนการลุยกับสิ่งเกะกะ ขยะมูลฝอย ต่างโล่งอกกันเป็นแถวๆ
(มุมปากขยับขึ้นบนเพราะยิ้มออก แต่ถ้ามุมปากขยับลงข้างล่างก็ร้องไห้ ใช่มั้ยครับ)
การบวชถวายพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แม้ว่าจะมีคุณค่าเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพระคุณ ความเมตตากรุณาของท่าน ข้าพเจ้าเชื่อว่า ทุกท่านที่บวชในวาระนั้น
ทั้งพระทั้งชีพราหมณ์ เมื่อครองตนเป็นฆราวาสแล้ว คงไม่เป็นฆราวาสทั้งตัว เพราะควรจะเป็นครึ่งพระ ครึ่งชี ครึ่งฆราวาสตามเส้นทางสายใหม่
ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานได้สร้างไว้ให้อย่างแน่นอน......
ll กลับสู่สารบัญ
138
บารมีหลวงพ่อ
มธุรส วรวรรณธนะชัย
ครั้งแรกที่รู้จักชื่อหลวงพ่อ
ข้าพเจ้าได้ยินชื่อหลวงพ่อครั้งแรกก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เพราะเป็นชื่อที่แปลก ไม่เคยได้ยินมาก่อน และผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักหลวงพ่อก็คือ
พี่ชายของข้าพเจ้าเอง (พระปลัดวิรัช) เนื่องจากพี่ชายของข้าพเจ้าขณะนั้นได้กลับมาจากอเมริกา และบอกกับทางบ้านว่า จะบวชที่วัดท่าซุงกับหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพี่
(ขณะเป็นฆราวาส) ได้เล่าถึงประวัติและปฏิปทาของหลวงพ่อให้กับทุกคนทางบ้านได้ฟัง และบอกว่าเลื่อมใสในหลวงพ่อตั้งแต่อยู่อเมริกาแล้ว
อยากจะบวชที่วัดท่าซุงนี้มาก เมื่อหลวงพ่ออนุญาตให้บวชได้ ทุกคนก็โมทนาด้วยความยินดีเป็นอย่างมาก จากการที่หลวงพี่มาบวชที่วัดท่าซุงนี้เอง
ทำให้ข้าพเจ้าและทุกคนในครอบครัวได้รู้จักหลวงพ่อ และทำให้ทุกคนหันเข้าหาวัดกันแทบทุกคน ตามแต่จริตของแต่ละคน สำหรับข้าพเจ้าเองนั้น
เมื่อไดศึกษาถึงคำสอนต่างๆ ของหลวงพ่อจากหนังสือ, เทปคำสอนของหลวงพ่อมาบ้าง ถึงจะไม่ลึกซึ้งนัก
ก็ยังเกิดความเลื่อมใสในปฏิปทาและความเสียสละของหลวงพ่อมากขนาดนี้
ซึ่งเป็นโชคดีของข้าพเจ้าและครอบครัวที่ได้มาพบหลวงพ่อ เพราะทำให้ทุกคนเร่งทำความดี ทำบุญกุศล เพื่อต้องการหลุดพ้นจากความทุกข์
ที่จะต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก นอกจากนี้ยังทำให้ได้ทราบว่า การทำบุญ ทำอย่างไรถึงจะได้บุญ.....ทำอย่างไร ถึงจะได้ไม่ต้องเกิดอีก......
ถึงแม้ในทางปฏิบัติจะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก แต่ทำให้เรามีหลักในการปฏิบัติ และดำรงชีวิตในทางที่ถูกที่ควร.... โดยพยายามไม่หันเหออกจากศีล 5
และกรรมบถ 10 ก็ถือว่าเป็นหนทางที่ถูกที่สุดแล้ว
เพราะบารมีหลวงพ่อช่วย
บารมีของหลวงพ่อมีมากล้นจนสุดพรรณนา ดังตัวอย่างที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาด้วยตัวเองดังต่อไปนี้ เมื่อกลางปี 34 ข้าพเจ้าได้ออกเยี่ยมลูกค้ากับทางบริษัทฯ
และได้พักค้างคืนที่โรงแรมที่มีชื่อแห่งหนึ่งของ จ.ลพบุรี ขณะที่กำลังจะหลับอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนใครมาเรียกชื่ออยู่ข้างๆ หู พอลืมตาขึ้นดู...
กลับเห็นเป็นผู้หญิงหัวฟู หน้าใหญ่เท่ากระด้ง ลอยไปลอยมา หัวเราะเสียงดัง
ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกลัวมาก สวดมนต์ทุกอย่างเท่าที่จะจำได้ แล้วภาพก็หายไป พอหลับตาอีก ก็เห็นผู้หญิงผมยาวๆ แต่งชุดดำมายืนหน้าเศร้าอยู่ข้างเตียง
ข้าพเจ้าก็รีบแผ่ส่วนกุสล และคว้าพระมาสวดมนต์พักใหญ่ และคิดว่าทำไมเห็นแต่แบบนี้ ทั้งๆ ที่ใจไม่ได้คิดอะไรเลย เวลาเข้าห้องพักก็ไหว้เจ้าที่เจ้าทางแล้ว
พอคิดอยู่อย่างนั้น แล้วก็พยายามจะหลับต่อ ทั้งๆ ที่กลัวแสนกลัว ทีนี้พอหลับตาอีกก็เห็นผู้ชายผูกคอห้อยต่องแต่งอยู่บนสะพาน ทีนี้ละ วิ่งเผ่นเปิดไปทั่วห้อง
และขอความช่วยเหลือจากพวกเดียวกัน ซึ่งมาช่วยนั่งเป็นเพื่อนรอจนถึงเช้า เพราคงไม่กล้านอนอีกแน่ๆ พอรุ่งเช้าได้ไปสอบถามกับพนักงานโรงแรม
ซึ่งก็ได้เล่าให้ฟังว่ามีจริงๆ เพราพนักงานเองที่เฝ้าเวรดึก ก็มักเจอบ่อยๆ และถามว่าเจ้าของโรงแรมเคยทำบุญให้พวกนี้มั้ย ก็บอกว่าไม่เคย
เพราะเจ้าของโรงแรมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ซึ่งแขกหลายๆ รายก็เจอกันเยอะมาก บางรายต้องเช็คเอาท์กันกลางดึกเลยก็มี
(ก็เป็นบุญของข้าพเจ้าแล้วที่ยังไม่หัวใจวายซะก่อน)
เมื่อข้าพเจ้ากลับกรุงเทพฯ ก็รีบทำบุญใส่บาตร ปล่อยปลา กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้กับพวกเขาไป แต่จะเป็นเพราะเหตุใดไม่ทราบ
พวกเขาไม่ได้ส่วนบุญที่ข้าพเจ้าทำให้ เพราะพวกเขาตามมาถึงที่บ้านของข้าพเจ้า มาทำเสียงแปลกๆ อยู่ที่หน้าต่างห้องนอน ประมาณตีหนึ่งตีสองถึง 4 คืน
(แต่เข้าห้องไม่ได้ เพราะมีหิ้งพระอยู่ที่หัวนอน) จนคืนที่ 5 คืนนี้ซิมาแรง มาเป็นกลิ่นเหม็นเหมือนเผาศพอบอวลไปหมด
คราวนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งนึกออก จึงอธิษฐานบอกไปว่า พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะส่งเงินไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุงให้
แค่นี้เท่านั้นเอง กลิ่นก็หายไป แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้านอนอยู่ดี พอรุ่งเช้า เมื่อข้าพเจ้าไปถึงที่ทำงาน
และวานให้พนักงานไปส่งธนาณัติเพื่อถวายสังฆทานจำนวน 3 กอง ให้กับพวกเขาเหล่านั้น (โดยนึกเผื่อไปถึงอีก 2 ซึ่งเคยมาขอความช่วยเหลือ)
เมื่อพนักงานขับรถออกไปได้ประมาณ 10 นาที (ซึ่งไปไปรษณีย์ต้องใช้เวลาประมาณ 30 นาที)
ข้าพเจ้าซึ่งเพลียกับการอดหลับอดนอนมาหลายวัน จึงรับประทานยาแล้วก็ขออนุญาตนอนพัก แค่เพียงข้าพเจ้าหลับตาเท่านั้น พวกเขาทั้ง 5 คนมากันเลย
มาโบกมือบ๊ายบาย แล้วบอกว่า ไปแล้วนะ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกโล่งใจและดีใจที่พวกเขาได้รับส่วนบุญที่ข้าพเจ้าทำให้แล้ว
และรู้สึกแปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงได้รับกันเร็วขนาดนี้ เมื่อคิดได้ก็ไม่รู้สึกแปลกใจ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะบารมีขององค์หลวงพ่อที่มีมากล้นนี่เอง
จึงสามารถช่วยสงเคราะห์ผู้ที่เดือดร้อนได้ทันที แม้นเพียงแค่นึกเท่านั้นเอง
แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อองค์หลวงพ่อผู้มีพระคุณ
และในโอกาสดันดี ซึ่งหาไม่ได้อีกแล้ว ในการที่ ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้แสดงเจตนารมณ์ กตัญญูกตเวทีต่อองค์หลวงพ่อ
เมื่อได้เห็นหลวงพ่อป่วยหนักและมีความทรมานกับการเจ็บป่วยมาก จึงได้ปวารณาตนเองบวชให้กับหลวงพ่อ และจะหาผู้มาร่วมบวชให้กับหลวงพ่อให้ครบ 100 รูป (จริงๆ
แล้วผู้มาร่วมบวชมีถึง 180 รูป ไม่รวมที่ตัดออกไป) โดยผู้หญิงก็มีสิทธิ์บวชชีพราหมณ์ให้กับหลวงพ่อได้ เพื่ออุทิศส่วนกุศลทั้งหมด
ให้กับเจ้ากรรมนายเวรขององค์หลวงพ่อ เพื่อหลวงพ่อจะได้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย และอยู่เป็นร่มโพธิ์แก้ว ร่มไทรทอง
เพื่อสั่งสอนลูกหลานตราบนานแสนนาน โดยในโอกาสที่ดียิ่งนี้ ข้าพเจ้าและทุกคนในบริษัทฯ ที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ ตั้งแต่เจ้าของบริษัทฯ ลงมา
ต่างก็เป็นลูกศิษย์ที่เลื่อมใสในปฏิปทาขององค์หลวงพ่อกันทุกคน และรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้บวชพระ และบวชชีพราหมณ์ให้กับองค์หลวงพ่อ
จึงขอร่วมในการแสดงความกตัญญูกตเวทีกับองค์หลวงพ่อ ผู้มีพระคุณต่อลูกหลานอย่างหาที่สุดมิได้ในครั้งนี้ด้วย
ll กลับสู่สารบัญ
139
กราบพระคุณหลวงพ่อ
สมถวิล วัฒนปฤดา (แม่เตี้ยม)
เนื่องจากได้ติดตามสามีไปอยู่ต่างประเทศนับเวลาหลายๆ ปี ทำให้ต้องเหินห่างจากการเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมเสียนาน
เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีการสร้างวัดไทยขึ้นในต่างประเทศเลย ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้เรามีวัดไทยอยู่เกือบทั่วทุกทวีปแล้วก็ว่าได้
วัดเป็นที่รวมจิตใจของบรรดาพุทธศาสนิกชน ได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ คำสอนและความรู้อะไรที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา เราไม่ได้จากฆราวาส
เราก็ได้จากพระอริยสงฆ์ที่ท่านเทศน์สั่งสอน ทำให้เราได้รับความรู้และปฏิบัติธรรมดียิ่งขึ้น และด้วยความถูกต้อง
ตัวข้าพเจ้าไม่เคยไปเที่ยวเสาะแสวงหาพระคุณเจ้าที่มีชื่อโงดังที่ไหนเลย การที่ได้มากราบพระหลวงพ่อ ได้มาฟังธรรมคำสั่งสอนจากหลวงพ่อ จนนับเวลาเป็นสิบๆ
ปีมาแล้วนั้น นับเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ของข้าพเจ้าที่สุด ก็ได้เที่ยวพูดคุยอวดคุณความดีของหลวงพ่อ ตามที่ตัวเองได้ประสบมาแล้ว จึงได้คำถามว่า
ทำไมจึงมาพบหลวงพ่อ! หลวงพ่อท่านมีดีทางไหน? อะไรบ้าง? ทำนองนี้ หากจะเล่าก็ยืดยาว จึงตอบเขาสั้นๆ ว่า ตามลูกเขามาค่ะ
ลูกสาวเขามากราบหลวงพ่อก่อน ต่อมา เราพ่อแม่ก็ตามเขามาด้วย เรียกว่า ได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกมา และได้มากราบพระคุณหลวงพ่อจนกระทั่งทุกวันนี้
ก็ได้แนะนำชักจูงสมาชิกลูกหลานในครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง พากันมาทำบุญร่วมกับหลวงพ่อยู่มิได้ขาด สุดที่จะพรรณนาคุณความดีของหลวงพ่อเราได้ในที่นี้
จะไม่เล่าให้ท่านฟังเสียบ้างเลย ก็จะหาว่าไม่รู้จริง จำขี้ปากเขามาพูดอะไรทำนองนั้น ก็จะขอเล่าย่อๆ ตามที่ได้ประสบมากับตัวเองว่า
หลวงพ่ออ่านใจทุกคนที่ได้เข้ามากราบหลวงพ่อ ไม่ว่าจะมาดีหรือร้าย ใครที่ไม่เชื่อ ยังไม่เคยได้กราบหลวงพ่อ
ก็ขอให้รีบไปกราบท่านเสีย จะได้รู้แจ้งเห็นจริง (เดี๋ยวจะหาว่าแม่เตี้ยมพูดไม่จริง) แม่เตี้ยมโดนมาแล้ว ไม่ใช่เพราะลองดีนะ ขอเล่าว่า นานกว่าสิบปีมาแล้ว
เวลานั้นก็มีพวกลูกศิษย์รุ่นเก่าๆ (แก่กว่ารุ่นนี้นะ) พอได้เวลาหลวงพ่อจะลงสนทนาธรรม ต่างก็รีบพากันมานั่งข้างหน้าทีเดียว
เพราทุกคนอยากฟังหลวงพ่อเล่าเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาที่พวกเรายังไม่รู้แจ้ง
เมื่อท่านลงมานั่งที่เรียบร้อย ท่านก็กินหมาก, นัตถุ์ยา ฯลฯ สลับกันไป มองหน้าพวกเรา-หัวเราะ แล้วท่านก็ถามว่า เอ้า! ใครมีอะไรว่าไป
คนไหนกล้าก็ถาม และตอบคำถามท่าน ที่ไม่กล้าก็ได้แต่มองหน้าหรือหัวเราะ ตัวข้าพเจ้าเองมองหน้าท่าน ด้วยความล่าช้าหรือไม่กล้าก็เป็นได้ พอนึกจะถามยังไม่ทันดี
ท่านก็ตอบคำถามที่เราเตรียมจะถามเสียก่อนแล้ว เล่นเอาสะดุ้งในใจทีเดียวค่ะ
และ หลายหนหลายครั้ง เมื่อถึงเวลานั่งทำสมาธิที่บ้านสายลม ตามเวลาที่หลวงพ่อกำหนดให้ประมาณ 15 20 นาที นาทีแรกๆ จิตก็สงบดีอยู่ พอนานๆ
ไปจิตมันส่ายออกไปไหน? จิตตกทำให้เกิดโมโหตัวเอง ทั้งว่าตัวเองในใจว่า มันเป็นอะไรของมันนะ! ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เลยมาหงุดหงิดใจในความผิด
จนกระทั่งกระดิ่งสัญญาณหมดเวลา กราบหลวงพ่อขออภัย ได้ยินหลวงพ่อส่งเสียงก้องมาว่า
ใครที่ทำได้เพียง 4 5 นาที จิตสงบก็เป็นกุศลแล้ว พอได้ยินเช่นนั้น โล่งใจ จิตเป็นสุข รีบกราบลงทันที
หลวงพ่อท่านทราบดีว่ายังมีลูกโง่ๆ อยู่อีกมาก ท่านก็ยังให้กำลังใจอยู่ตลอด ลูกขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อจนชีวิตจะหาไม่เจ้าค่ะ แม่เตี้ยมขอกราบลา
และไม่ลืมกราบขอหลวงพ่อ อย่าเพิ่งทิ้งพวกลูกๆ ไปเลยเจ้าค่ะ ยังมีลูกๆ ที่ต้องกราบขอบารมีหลวงพ่อช่วยขัดเกลา
เคาะสนิมที่ยังพอกจับเขลอะอยู่ในจิตใจอีกมากมายเจ้าค่ะ โดยเฉพาะตัว แม่เตี้ยม เอง
ll กลับสู่สารบัญ
|
|
140
มโนมยิทธิของฉัน
ด.ญ.อาริสา อุณหะนันทน์ โรงเรียนสารวิทยา
ลูกได้ฟังแม่ของลูกเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องภายใน คือว่า แม่ของลูกป่วยเข้าโรงพยาบาล ก่อนป่วยนั้นได้เห็นผู้หญิง ผมยาว
รูปร่างโปร่งใส ออกมาจากตัวของแม่ หน้าตาเหมือนกัน แต่ตอนนั้นแม่ผมสั้น ผู้หญิงคนนั้นเคลื่อนออกมาจากตัวแม่ มาตรงหน้าประตู เท้าไม่ติดพื้น
ห่างจากพื้นประมาณ 1 ศอกได้ ใส่ชุดขาวเหมือนรูปภาพเจ้าแม่กวนอิมที่เขาเขียนขายตามท้องตลาด โบกมือบ๊ายบายกับแม่ลูกที่นอนป่วยอยู่ แม่ของลูกบอกว่า
แม่บอกให้กลับมาก่อน อย่าเพิ่งไป
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หายไป ถามป้าของลูกที่อยู่หน้าบ้าน ก็ไม่มีใครเห็น แม่ก็บอกว่า เออ! ใครนะหน้าตาเหมือนเราเลย แถมยังลุกจากตัวเราออกไปด้วย และต่อมา
แม่ก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องไปหาหมอดู ดูเจ้าเข้าทรง ไปดูดวง ตอนยื่นพานไหว้ครูเข้าไปหาเจ้านั้น แม่ก็ยกมือในท่าไหว้พระ มือนั้นสั่นตบหน้าผากเสียงดัง
เป็นรอยแดงเลยตอนนั้น
อีกตัวหนึ่งของแม่ไปนั่งข้างหน้า แล้วสั่งให้ร่างที่กำลังตบหน้าผากนั้นให้เอามือลง แต่ก็เอาลงไม่ได้ เป็นอยู่สักพักหนึ่ง ตัวของแม่ที่ออกมานั้น
ก็กลับเข้าร่างเดิม ถึงได้เอามือหยุดตบหน้าผากแล้วเอามือลงได้ ลูกถามแม่ว่า สิ่งนั้นคืออะไร แม่บอกว่า อะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่เกิดกับตัวเอง
แล้วจะไม่เข้าใจธรรมได้เลย ลูกก็ได้เก็บความสงสัยไว้ และปัจจุบันนี้ ลูกได้มากราบหลวงพ่อที่ซอยสายลม และแม่ได้ให้ลูกฝึกมโนมยิทธิ
เมื่อลูกฝึกครั้งแรกลูกไม่ค่อยจะเห็นอะไรมากนัก เป็นเพราะลูกไม่เข้าใจคำว่ามโนมยิทธิดีเท่าไรนัก รู้แต่ว่าเอาใจไป ไม่ได้เอากายไป
เมื่อลูกเอาใจไปนั้น ตามที่ครูแนะนำว่าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ลูกเห็นตั้งแต่หัวเข่า ถึงปลายเท้าของพระพุทธเจ้า เจิดจ้าเป็นสีเหลืองปนส้มไม่ค่อยใสนัก
พอไปวิมานของลูก ลูกเห็นวิมานเหมือนเจดีย์ที่วัดท่าซุง ไม่ค่อยใหญ่เท่าของวิมานที่อยู่รอบด้าน มีไฟสว่างพอสมควร
พอลูกได้ฟังคำสั่งสอนของหลวงพ่อ ลูกก็ได้ทราบเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ได้ไปถึงพระนิพพานในชาตินี้ และลูกก็ฝึกได้ไปเที่ยวนรก สวรรค์ พรหม
และนิพพาน ได้เห็นวิมานของลูกใหญ่มากกว่าเก่า สว่างมาก และได้เห็นกายในหรืออทิสมานกาย ว่าเป็นอย่างไร หวนนึกถึงคำพูดของแม่ที่เล่าให้ฟัง
ถึงบางอ้อว่าสิ่งนั้นคืออะไร เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อที่มีเมตตาได้สั่งสอน ให้ลูกได้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง
ลูกจะทำดีให้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตามธรรมะของหลวงพ่อ ที่ไดสั่งสอนเพื่อเข้าถึงพระนิพพาน ตามที่หลวงพ่อได้มีเจตนาอยากให้ลูกๆ ทุกคนพ้นทุกข์
และเข้าถึงสุขตลอดกาล ลูกขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยะทุกๆ ท่าน ตลอดจนพรหม เทวดา และผู้มีคุณทุกท่าน ได้โปรดแผ่พระบารมี
ปกปักคุ้มครองขันธ์ 5 ของหลวงพ่อ อย่าได้มีทุกขเวทนาแม้แต่ประการใด
ll กลับสู่สารบัญ
141
พระหลวงพ่อคุ้มครอง
นิคม จึงอยู่สุข
เรียน อาจารย์ปริญญา ที่เคารพยิ่ง
ผมเขียนจดหมายถึงอาจารย์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะเรียนให้อาจารย์ทราบ ตอนแรกตั้งใจว่า จะเล่าเรื่องให้อาจารย์ทราบด้วยตนเองเมื่อเจออาจารย์
แต่ก็ไม่มีโอกาสเหมาะ เรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องที่ผมเคยขอพระหลวงพ่อจากอาจารย์ที่ AIT
และตอนนั้นอาจารย์ก็มอบพระรูปเหมือนของหลวงพ่อให้ผมไว้สำหรับแขวนติดตัว ช่วงนั้นผมยังไม่มีสตางค์ก็ยังไม่ได้เลี่ยม เพียงแต่เก็บไว้ในถุงผ้า
แต่มีความตั้งใจไว้ว่า จะต้องเลี่ยมทองให้ท่าน จนกระทั่งเมื่อตอนต้นเดือนตุลาคม ผมไปทำการสำรวจบริเวณจังหวัดราชบุรี และจะต้องทำงานให้แล้วเสร็จภายใน 20
วัน แต่ช่วงเวลาดังกล่าวก็มีพายุดีเปรสชั่นเข้าประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนักและน้ำท่วมหลายจังหวัด วันแรกที่ผมเข้าไปทำงาน ผมก็นำพระหลวงพ่อที่อาจารย์มอบให้
มากราบและขอบารมีหลวงพ่อ ช่วยเหลือให้ผมทำงานได้สำเร็จ
และอย่าให้มีอุปสรรคเกี่ยวกับฝน โดยหลับตานึกถึงหน้าหลวงพ่อ ซึ่งผมเคยเห็นรูปถ่ายจากหนังสือ ภาพที่เห็นในความคิดนั้นชัดเจนมาก
ผมขอบารมีหลวงพ่ออย่าให้ฝนตกในช่วงเช้าที่ผมทำงาน ถ้าจะตกขอให้ฝนตกตอนบ่าย หรือไม่ก็ตอนกลางคืน ปรากฏว่า ตลอดระยะที่ผมทำงานอยู่ในสนาม ไม่มีฝนตกตอนเช้าเลย
ฝนจะตกตอนบ่ายถึงตอนกลางคืนเกือบทุกวัน พอวันที่ 16 18 ตุลาคม
ผมหยุดงานเพื่อเข้ากรุงเทพฯ ช่วงนี้ฝนตกหนักมาก ติดต่อกันตลอดเวลา พอวันที่ 18 ต.ค. ตอนบ่ายผมเดินทางไปจังหวัดราชบุรี คนงานก็บอกว่าช่วงผมไม่อยู่
ฝนตกมาก ผมก็บอกว่าดี จะได้มีน้ำไว้ใช้ พอเช้าวันที่ 19 ต.ค. ผมก็ขอบารมีหลวงพ่อช่วยอีก ผมก็ทำงานไปได้ด้วยดี ปรากฏว่าฝนตกหนักตอนกลางคืน พอเช้าวันที่ 20
ต.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะเสร็จงาน ก่อนออกจากที่พัก ท้องฟ้าตอนนั้นมืดครึ้มไปหมด ผมคิดว่าคงจะเจอฝนวันนี้
ผมก็กราบหลวงพ่อ ตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีหลวงพ่อช่วย พอนั่งรถเข้าไปใกล้เขาที่จะต้องขึ้นไปสำรวจ ยังมองไม่เห็นยอดเขา
เพราะถูกปิดบังด้วยเมฆฝน พอจวนจะถึง ปรากฏว่ามีลมพัดเมฆฝนออกไปจากเขาที่จะขึ้นไปสำรวจ วันนั้น ผมสามารถทำงานแล้วเสร็จภายในครึ่งวัน
แล้วงานทุกอย่างก็สำเร็จได้ด้วยดี ผมคิดว่าทุกอย่างเพราะบารมีหลวงพ่อช่วยเหลือ
พอกลับมากรุงเทพฯ ผมก็ยังไม่มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อด้วยตนเอง เพราะติดงานประชุม พอต้นเดือนธันวาคม ผมขึ้นไปเชียงใหม่ เพื่อทำบุญวันเกิดคุณแม่ซึ่งอายุครบ
82 ปี พลาดโอกาสที่จะไปกราบหลวงพ่ออีก ผมฝากเงินให้ตุ๋ยช่วยทำบุญกับหลวงพ่อให้ผมด้วย แวะฝากทำบุญถวายสังฆทานให้ในวันเกิดของคุณแม่ด้วย พอวันที่ 6 ม.ค.
เป็นวันเกิดลูกชายคนโต อายุครบ 17 ปี
ผมทราบว่า หลวงพ่อมาที่ซอยสายลม ก็เลยชวนภรรยา ไปรับลูกชายที่โรงเรียนไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่อ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผม ภรรยา
และลูกชายคนโตได้ไปกราบหลวงพ่อ แต่วันนั้นผู้คนก็แน่นไปหมด พอวันที่ 7 ม.ค. ผม ตุ๋ย และสิโรตม์ ก็ไปถวายสังฆทานกับหลวงพ่ออีก
วันนี้มีโอกาสดีได้ใกล้ชิดหลวงพ่อ เพราะคนไม่ค่อยมาก ปีใหม่นี้ผมก็เลยเลี่ยมทองให้หลวงพ่อและแขวนติดตัวตลอดเวลา
ll กลับสู่สารบัญ
142
หลวงพ่อของเราและประสบการณ์การฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกของข้าพเจ้า
จันทร์เพ็ญ ชีวะกานนท์
พระคุณของหลวงพ่อ หากพวกเราจะช่วยกันเขียนบรรยายจริงๆ คงเขียนไม่หมดแน่
หลวงพ่อของเรานั้นท่านเป็นทั้งพ่อทั้งครูของเราทุกคนโดยแท้ ไม่ว่าในทางโลกหรือทางธรรม ถ้าหากสนใจติดตามข่าวคราวของท่านแล้ว ก็พอจะทราบได้ ทางโลก
การให้ความรู้ในการประกอบอาชีพของฆราวาส ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน การให้ความรู้ในด้านธรรมะ การปฏิบัติตนของพระสงฆ์ในทางโลก
ซึ่งผู้หญิงทุกคนไม่มีโอกาสจะรู้ความเป็นไปได้แน่นอน เนื่องจากไม่สามารถจะบวชได้
หลวงพ่อท่านจะบอกให้พวกเราได้รับฟังอยู่เสมอ และในด้านธรรม หากใครได้คุยกับหลวงพ่อแล้วต้องยอมรับว่า ไม่มีธรรมะข้อใดที่หลวงพ่อจะตอบไม่ได้
และเป็นคำตอบที่ทุกคนต้องจนคำถามเสมอดิฉันเองได้รับหมายเรียกถึงสองครั้งด้วยกัน ครั้งแรกนั้นด้วยความจำเป็นในการดำรงชีพ ประกอบกับยังอ่อนต่อโลกภายนอก
จึงไม่อาจไปพบหลวงพ่อได้ แต่จดจำว่า ถ้าหากมีโอกาสเมื่อใด ต้องไปพบให้ได้ และเมื่อได้รับหมายเรียกครั้งที่สอง จึงอยู่ไม่ติด กำหนดวันเดินทางทันที
ทั้งที่รู้แต่เพียงว่าวัดท่าซุงอยู่จังหวัดอุทัยธานี และการจะไปให้ถึงวัดได้ ต้องไปลงเรือที่มโนรมย์เท่านั้นเอง ดิฉันไม่เคยรู้ข้อวัตร การปฏิบัติตน
ในสำนักของหลวงพ่อ ตลอดจนระเบียบและกฎเกณฑ์ในการเข้าเป็นศิษย์เลย ทั้งไม่เคยเดินทางไปจังหวัดอุทัยธานีด้วย ตั้งใจอย่างเดียวว่าต้องไปพบหลวงพ่อให้ได้
เพื่อฟังคำสอนของท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง เรามีความสามารถจะปฏิบัติตามได้หรือไม่
เท่าที่รับฟังมา นิพพานยากที่จะไปถึงได้ในชาตินี้ เมื่อพบหลวงพ่อแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็กระจ่าง เข้าใจถึงความจริง และความเป็นไปได้ของการปฏิบัติธรรม
เพื่อการเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ได้ ดิฉันได้ชักชวนเพื่อนและน้องสาวไปอีกสามคน เมื่อไปถึงวัดเป็นเวลาสี่โมงเย็น ซึ่งหลวงพ่อเลิกรับแขกแล้ว
ดิฉันเข้าไปที่ศาลานวราชพบพระเจ้าหน้าที่ ได้แจ้งความประสงค์จะขอมาพัก เพื่อปฏิบัติธรรมถือศีลแปดและพบหลวงพ่อด้วย ท่านตอบว่าหมดเวลาที่หลวงพ่อรับแขกแล้ว
และพระจะลงสวดมนต์เย็นที่ศาลานี้ ดิฉันตกใจจริงๆ เพราหากพบหลวงพ่อไม่ได้ คงไม่มีที่พักแน่ และไม่รู้ว่าจะไปพักที่ไหนอย่างไร รถเข้าเมืองจะมีหรือไม่
จึงถามพระเจ้าหน้าที่ ท่านคงสงสารจึงบอกรอเดี๋ยว จะไปถามหลวงพ่อก่อน ซึ่งดิฉันตัดสินใจ กราบพระพุทธรูปที่ศาลาและอธิษฐานถึงหลวงพ่อว่า
ดิฉันกับเพื่อนตั้งใจมารักษาศีลแปด และปฏิบัติธรรมเป็นเวลาเจ็ดวัน ขอให้หลวงพ่อช่วยรับไว้ด้วย
สักครู่พระท่านก็มาบอกว่า หลวงพ่ออนุญาตให้พักได้ ในช่วงที่ฝึกอยู่นั้นดิฉันฝึกได้ช้ากว่าทุกคน คงเป็นเพราะความดื้อรั้น อวดดี ขี้สงสัย ลังเล
จึงไปได้แต่พระจุฬามณีอยู่ 3 วัน จึงจะเข้าใจไปทัวร์กับเขาได้ และในการฝึกทัวร์ ดิฉันตอบได้ไม่เหมือนผู้อื่น กำลังใจเสีย จึงไปไม่ได้อีก ถูกครูฝึกว่า
ทำให้ผู้อื่นเสียเวลา ดิฉันได้แต่เสียใจ จึงนั่งฝึกเองเริ่มต้นใหม่อีก ซึ่งก็มีครูเข้ามาสอน และครั้งนี้มีความเข้าใจดีขึ้น
จึงไปได้โดยมีความรู้สึกชัดเจนดีมาก แต่ไม่เห็นภาพสว่างไสวเท่านั้น
เมื่อหลวงพ่อลงรับแขกตอนกลางวัน ดิฉันมีโอกาสถามท่านถึงผลของการปฏิบัติว่า คล้ายๆ กับเรานึกไปเองใช่ไหมคะ หลวงพ่อท่านบอกว่า
หมามันนึกให้เอ็งเรอะ ดิฉันจึงเข้าใจการฝึกมโนมยิทธิอย่างแท้จริงเดี๋ยวนั้นเอง ส่วนพวกเพื่อนและน้องสาวของดิฉัน เมื่อฝึกครบ 3
วันก็นั่งโดยไม่รวมกลุ่มทัวร์อีก เพราะถือว่าฝึกแล้ว ปรากฏว่าหลวงพ่อสั่งให้ฝึกทัวร์ซ้ำอีกเพื่อความเข้าใจและคล่องขึ้น
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นเมตตาของท่านโดยแท้จริง
ระยะที่พักอยู่นี้เมื่อหลวงพ่อลงรับแขก พวกเราจะไปนั่งฟังท่านคุยเสมอ ซึ่งจะได้รับทราบทุกสิ่งทุกอย่างทั้งทางธรรมและทางโลก หากไม่มีแขกแปลกๆ หน้า
ท่านจะเมตตาเล่าเรื่องในอดีตให้พวกเราฟัง และสอดแทรกธรรมมาให้โดยไม่รู้ตัว การทำงานของดิฉันเกี่ยวกับประชาชนโดยทั่วไป เมื่อบริการดี ก็มีลาภผลบ้าง
จึงเกิดความสงสัยว่า ลาภผลที่ได้รับโดยเสน่หานั้น จะเป็นบาปหรือไม่ เมื่อถามท่าน
ท่านตอบคำเดียวว่า บาป ดิฉันไม่แน่ใจ ก็ย้ำอีกหนว่าหนูไม่ได้เรียกร้องหรือขอเขา เป็นการให้โดยเสน่หา
เพราะเราบริการรวดเร็วทันใจเขาเท่านั้น ท่านก็ถามว่าถ้าเราไม่มีตำแหน่ง เขาจะให้เราหรือไม่ ดิฉันจึงถึงบางอ้อได้คิดว่า เราอวดเลวกับท่านแล้ว
และท่านสอนมิให้เราติดในโลกธรรมแปดนั่นเอง วันที่จะกลับจากการปฏิบัติกรรมฐานในครั้งนั้น
เราทำบุญทุกอย่างที่มีอยู่ในวัด มากบ้างน้อยบ้าง จนหมดเงินที่นำไป มีเฉพาะค่ารถกลับเท่านั้น เหลือสุดท้ายก็รวบรวมกันถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟ
โดยถวายกับองค์หลวงพ่อเพื่อเป็นการชำระหนี้สงฆ์ เพื่อนของดิฉันได้บอกกับดิฉันเป็นเสียงกระซิบกันเบาๆ ว่า ช่วยออกค่ารถขากลับให้ด้วยนะ ดิฉันก็รับปาก
ซึ่งมีเพียงค่ารถเมล์กลับถึงบ้านกันเท่านั้น ถ้าหากเงินจำนวนนี้หาย หมายถึงตกรถแน่นอน
ขณะที่จะนำเงินเข้าไปถวายหลวงพ่อ ท่านถามว่ามีค่ารถกลับหรือเปล่าลูก เพื่อนของดิฉันหันมามองหน้าดิฉัน แล้วตอบท่านว่า พอมีเจ้าค่ะ
หลวงพ่อท่านทราบได้โดยที่ไม่มีใครเรียนให้ท่านรู้ว่า พวกเราหมดเงินกันแล้ว แต่ท่านก็ไม่ขัดศรัทธาการทำบุญของพวกเรา จากคำสอนของท่านในวันนั้น
ทำให้ดิฉันตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ทำงานใหม่ โดยขอออกปฏิบัติงานในภาคสนาม
ซึ่งเป็นการบริการให้ประชาชนในชนบทที่ห่างไกล ซึ่งจากความยากของงาน ทำให้มีโอกาสมาพบหลวงพ่อได้น้อยมาก
แต่เมื่อมีโอกาสดิฉันจะพยายามลงมาทำบุญกับหลวงพ่อเสมอ ถ้าหากท่านผู้อ่านได้ติดตามหลวงพ่อมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นผู้ใกล้ชิดหรือลูกศิษย์
จะทราบว่าหลวงพ่อท่านวางกฎเกณฑ์และระเบียบในการปฏิบัติงานของท่านไว้อย่างไรบ้าง ยกตัวอย่างเรื่องการฝึกปฏิบัติกรรมฐาน ท่านเคยสั่งผู้ฝึกสอนว่า
ถ้าถามสามครั้งไม่ต้องให้ ผ่านเลย
กฎอันนี้ ดิฉันพบมาแล้วด้วยตนเองกับหลวงพ่อ กล่าวคือดิฉันได้ไปทำบุญกับหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม ซึ่งคนมากจริงๆ เข้าไปใกล้องค์ท่านไม่ได้
เพราะคนนั่งเต็มไปหมด ดิฉันได้นั่งอยู่ใกล้ประตูทางออก ตั้งใจอยากจะถามธรรมะกับท่าน ท่านให้ศีลให้พรผู้เข้าไปทำบุญ และคุยไปเรื่อยๆ สักพักท่านก็ถามว่า
ใครมีปัญหาอะไรจะถามก็ถามมา ท่านถามสองครั้ง
ครั้งที่สาม ท่านพูดว่าเอ้า ข้างหลังใครมีอะไรจะถามก็ถามมา ดิฉันได้แต่นั่งเงียบ เพราะจะถามก็ต้องตะโกนเสียงดัง เพราะอยู่ข้างหลังและอายคนด้วย
หลังจากนั้น ท่านก็คุยเรื่องอื่นไม่ถามอีกเลย ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ซึ่งดิฉันได้พบด้วยตนเอง และกรุณาเข้าใจด้วยว่า
ดิฉันมิใช่ลูกศิษย์ผู้ติดตามใกล้ชิดซึ่งหลวงพ่อจะจำได้ ท่านจำดิฉันไม่ได้หรอก เพราะไม่กล้าเข้าใกล้ท่านมากนัก กลัวจะโดยตะพดท่านเข้าสักวัน
ฐานที่ไม่ได้เรื่องเลย หากท่านผู้อ่านท่านใด
เข้าใจว่าพวกเราบรรดาลูกๆ ลูกศิษย์และผู้ใกล้ชิดหลวงพ่อเขียนเชียร์และยกย่องหลวงพ่อเกินกว่าเหตุ ขอให้ท่านลองฟังเทปอธิบายอุทุมพรกาสูตร
แล้วท่านจะเข้าใจได้เองว่า ตัวหนังสือที่พวกเราช่วยกันเขียนบรรยายถึงความดีและความเมตตาของหลวงพ่อ
ที่มีต่อมนุษย์สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้เป็นเพียงเศษธุลีเท่านั้น เมื่อเทียบกับความดี ความมีเมตตาและความสามารถของท่าน ดิฉันกล้าเขียนไว้ในที่นี้เลยว่า
ดิฉันรัก เทิดทูน เคารพบูชาหลวงพ่อยิ่งกว่าท่านพ่อท่านแม่ผู้ให้กำเนิดของดิฉันเสียอีก หากดิฉันไม่พบท่านและคำสอนของท่านแล้ว ไม่ทราบว่า
จะต้องเวียนว่ายในวัฏฏะอีกสักเท่าไร มีทางใดที่ดิฉันจะทำเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงานของท่านได้บ้าง ดิฉันจะไม่รีรอเลย
และดิฉันขอเป็นลูกหลวงพ่อแต่เพียงอย่างเดียวไปก่อน ส่วนการเป็นลูกศิษย์ของท่านนั้น ดิฉันยังมีคุณสมบัติไม่ครบตามที่ท่านประกาศไว้
และดิฉันตั้งใจไว้แล้วว่า ในชาตินี้ หากปฏิบัติกรรมฐานเอาดีไม่ได้ ก็ขอเกาะไม้เท้าหรือชายจีวรของหลวงพ่อ เพื่อเข้าพระนิพพานให้ได้
บุญกุศลที่จะเกิดจากข้อเขียนของลูกนี้ทั้งหมด ขออุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์เจ้าทั้งหมด มีหลวงพ่อ
ท่านแม่ศรีเป็นที่สุด พระอริยสงฆ์ทั้งหมด เทพเจ้าทั้งหมดทุกสวรรค์ชั้นฟ้า พรหมทั้งหมด
ท่านพ่อท่านแม่ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ทั้งหมด และคุณครูอาจารย์ทั้งหมด ตั้งแต่ในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันนี้
และกรรมใดที่ลูกได้กระทำแล้วเป็นการปรามาสต่อทุกๆ ท่านที่กล่าวมานี้ ไม่ว่ากรรมนั้นจะกระทำด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี
รู้เท่าทันก็ดี ไม่รู้เท่าทันก็ดี ขอทุกท่านได้โปรดอดโทษแก่ลูก ตั้งแต่บัดนี้จนกว่าลูกจะเข้าถึงนิพพานในชาตินี้ด้วยเถิด
ll กลับสู่สารบัญ
|
|
|