Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 10/8/12 at 13:14 [ QUOTE ]

หนังสืออ่านเล่น เล่มที่ 15 โดย.. ส. สังข์สุวรรณ




หนังสืออ่านเล่น

เล่มที่ ๑๕

(ฉบับอินเทอร์เน็ต : จัดพิมพ์โดยพระเจ้าหน้าที่สำนักพิมพ์เวฬุวัน
( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )



เนื้อหาของสารบัญ เล่มที่ ๑๕

1.
ตอนที่ ๑ ท่านขุนเป็นเทวดา
2. ตอนที่ ๒ ฝึกธุดงค์
3. ตอนที่ ๓ ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๑
4. ตอนที่ ๔ ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๒
5. ตอนที่ ๕ ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๓ .
6. ตอนที่ ๖ ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๔
7. ตอนที่ ๗ ฝึกอตีตังสญาณ ป่าศรีประจันต์
8. ตอนที่ ๘ ฝึกอตีตังสญาณ ป่าศรีประจันต์ (ต่อ)



คำปรารภ เล่มที่ ๑๕



หนังสืออ่านเล่น ตั้งแต่เล่มที่ ๑๔ เป็นต้นไป และไม่ทราบว่าจะจบเรื่องเล่มไหน จะเขียนเพียงเรื่องที่ผ่านมา ไม่ละเอียดครบถ้วน เป็นเรื่องประสบมาด้วยตนเอง บางท่านที่อ่านอาจจะคิดว่าโม้ หรือโกหกทั้งเรื่อง ก็ตามใจท่าน เรื่องนี้ไม่ว่ากัน สมัยนั้น เรื่องธุดงค์เป็นที่นิยมของพระทั่วไป แต่ละท่านก็มีประสบการณ์ต่าง ๆ กัน น่าเสียดายที่ท่านทั้งหลายไม่มีใครเขียนไว้

เวลานี้มีเฉพาะพระทางภาคอีสานบางท่าน ที่เขียนออกมาให้อ่านกัน ฉะนั้น ตั้งแต่เล่มที่ ๑๔ จนถึงเล่มสุดท้ายของเรื่องที่ประสบมา ทั้งในป่า และในวัด ในบ้านเมือง บางตอนจะนำมาเขียนไว้ เพื่อเป็นประวัติของตนเองอย่างย่อ เพื่อให้คนที่จะพิมพ์ในงานศพ ทำง่ายขึ้น สำหรับเรื่องในป่า มีในหนังสือประวัติหลวงพ่อปานมากแล้ว ในหนังสือนี้จะเขียนจำกัด

เฉพาะเรื่องของอารมณ์เป็นใหญ่ สมัยนี้หลายท่าน เพียงเห็นพระฉันข้าวเวลาเดียว หรือไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านก็สรรเสริญว่า เคร่งครัดมาก บางรายไม่หยิบเงินเอง ให้คนอื่นรับแทนแต่ที่กุฏิมีเงินมาก ท่านก็นิยมว่า เคร่งครัด เรื่องนี้ ดีหรือไม่ดีเพียงใดจะไม่วิจารณ์ เอาแต่เรื่องที่ผ่านมาเองเป็นสำคัญ เรื่อง เจริญกรรมฐาน ได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ สมัยนั้นนิยมกันว่า เป็นการเจริญเข้าขั้นกรรมฐานที่อาจจะเอาดีได้

แต่อ่านไปจงจำไว้ด้วยว่า เมื่อพบอาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์ ท่านชมว่า ดีหรือยัง ส่วนใหญ่ท่านจะบอกว่า ยังช่วยตัวเองไม่ได้ เป็นอันว่า หนังสือนี้อ่านแล้วลืมไปเสียก่อน ถือว่าเป็น หนังสืออ่านเล่น อย่าถือเอาเป็นตำรา แต่ทว่า จะมีท่านใดทดลองบ้างก็เป็นการดี เพราะการบวชของผู้เขียน บวชเข้ามาเพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็พิสูจน์ได้ไม่ครบ หมดกำลังเสียก่อน

เพียงได้มาประมาณ ๐.๐๑ เปอร์เซ็นต์เท่านี้ก็พอใจแล้ว เมื่อเขียนเรื่องของธุดงค์แล้ว ก็จะเขียนเรื่องที่สัมผัสกับพระต่าง ๆ ตามวัดต่าง ๆ บางวัด มาเล่าสู่กันฟัง เพราะความโด่งดังของแต่ละท่าน มีจริยา และผลไม่เสมอกัน เพื่อท่านจะได้ทราบ แต่คงไม่นินทาท่าน เอาปฏิปทาของท่านจริง ๆ มาเขียนให้อ่าน เพื่อให้ทราบว่า ชีวิตที่ผ่านมามีความสำคัญเพียงใด ที่ท่านทั้งหลายพบเวลานี้ หมอกควันมันจางแล้ว ท่านจะได้ทราบความจริงเบื้องหลัง

พระราชพรหมยาน
๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๓

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/8/12 at 13:15 [ QUOTE ]


1
ท่านขุนเป็นเทวดา


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับวันนี้เป็น วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เป็นหน้าแรกของเล่ม ๑๕ สำหรับเรื่องในเล่ม ๑๕ นี้ ก็ยังจะงดเว้น (ในตอนต้นนี่นะ) จะงดเว้นเรื่องผี เรื่องสางไว้สักครู่หนึ่งก่อน มาเล่าเรื่องความเป็นมาปัจจุบัน คือ เมื่อวานนี้ วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ได้มอบหมายภาระหน้าที่ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร

ตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้ตั้งศูนย์นี้ตั้งแต่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ และต่อมา ทำมาถึง พ.ศ. ๒๕๒๕ ก็ต้องพัก ให้ทหารทำแทน ทั้งนี้เพราะป่วย ไปไม่ไหว มาช่วงหลังนี้ ทหารก็ขาดไปจึงมอบหมายภาระทั้งหมด ข้าวของที่มีทั้งหมด ให้แก่ พระมหาถวัลย์ วัดโพธิ์เมืองปัก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา

เพราะว่าเธออยู่ภาคอีสานอยู่แล้ว ให้ทำหน้าที่แทน ขนของทุกอย่างเท่าที่มีอยู่มอบให้ ปรากฏว่าขนมาแล้ว ๒ วัน ขนไปประมาณสัก ๕ คันรถ ยังไม่หมดของ สำหรับมหาถวัลย์นี่ขนตั้งแต่วันที่ ๕ คือ วันวานนี้ จนกระทั่งวันที่ ๖ นี้ ก็ยังไม่หมด ใช้รถ ๓ คันขน ยังไม่หมด ไม่เป็นไร ก็ให้ขนไปให้หมด และทำหน้าที่ติดต่อกับทหารชายแดน เป็นอันว่า งานสงเคราะห์บุคคลผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร เริ่มอีกวาระหนึ่ง

ต้องการทั้งเสื้อผ้า ทั้งอาหารการบริโภค ทั้งข้าวสาร ข้าวเปลือกข้าวสาร เอาหมด ท่านผู้ใดมีศรัทธา มีมากก็ตามมีน้อยก็ตาม ให้มากก็ตาม ให้น้อยก็ตาม รับทุกอย่าง และรับทั้งหมด เพราะว่า คนที่ยากจนจริง ๆ จะเห็นว่า แม้แต่ข้าวเปลือกก็ไม่มี บางรายต้องกินผักเป็นพื้นฐาน มีข้าวสัก ๒ - ๓ ช้อน ก็มีผักบุ้งขยำเคล้ากับแกงผักบุ้ง ผักบุ้งก็แกงป่า บางแห่งก็ต้องกินเปลือกไม้ อย่างนี้เป็นต้น พวกเราที่มีความยากจนน้อยกว่า ถ้าสงเคราะห์กันก็เป็นการดี

สำหรับเมื่อวันวานนี้ก็ปรากฏว่า หลังจากฉันเพลเสร็จ ท่าน จ.ส.ต.ปัญญา กับคุณบังเอิญ ภรรยาสองคนนี่นามสกุล อ่องคล้าย ได้นำรถแวนมาถวายอีกคันหนึ่ง ก่อนหน้าที่คุณจ่าและคุณบังเอิญจะเข้ามาก็มี นกเอี้ยง (คนนะ ไม่ใช่นกนะ) ชื่อจริง ๆ ไม่ทราบว่าชื่ออะไร อาตมาก็เรียก เจ้าเอี้ยง ๆ เจ้านกเอี้ยงอยู่เรื่อย ๆ เพราะท่าทางมันคล้ายนกเอี้ยง กับ ร.ต. นที เข้ามาบอกว่า

วันนี้ คุณพ่อกับคุณแม่ คือคุณพ่อปัญญา คุณแม่บังเอิญ จะนำรถแวนมาถวายหลวงพ่ออีกคันหนึ่ง หลวงพ่อมีโชคดี จะมีรถอีกคันหนึ่ง ก็ถามเธอบอกว่า จะให้ฉันใช้อะไรกันแน่นี่ ก็เมื่อ วันที่ ๑๒ เมษายน ก่อนหน้าสงกรานต์ ก็นำ รถเบนซ์ใหม่สุด คือ ใหม่ที่สุด ซื้อไม่ได้ใช้ นำมาถวาย ราคา ๓,๐๕๐,๐๐๐ บาท รถเบนซ์ก็ดีอยู่แล้ว ยังจะถวายรถแวนอีกหรือ เธอก็บอกว่า ท่านเอามาแล้วครับ

จอดอยู่ข้างนอก ก็คิดว่า ไม่เป็นไรใครให้ก็รับ ถ้าเหลือใช้เหลือสอยจริง ๆ อาจจะขายก็ได้ แต่ไม่มีที่จะขาย ไม่มีใครเขาซื้อ ก็สักประเดี๋ยวหนึ่ง จ่าปัญญา กับคุณบังเอิญ อ่องคล้าย ทั้งสองสามีภรรยาเข้ามาพร้อมทั้งลูกสาวลูกชาย ก็บอกว่า จะนำรถแวนมาถวาย ถามว่า ถวายทำไม ถวายอีก ฉันก็เอาอีกนะ ขอบอกความประสงค์มาก่อน เธอก็บอกว่า ต้องการถวายส่งไปให้ที่วัดหัวหิน ที่ คุณนิภัทร

สำนักอะไร นึกไม่ออก ที่หัวหินน่ะ ชื่อแกแปลก ๆ ดี ตั้งสำนักชื่อแปลก ๆ (สำนักพุทธไชโย) ก็เป็นวัดที่สนับสนุนให้ตั้งศูนย์สอนกรรมฐานที่นั่น แต่ว่ามาถวายหลวงพ่อก่อน ให้ผ่านหลวงพ่อก่อน ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นตกลง เธอก็มอบสตางค์มาให้ เพราะว่าสตางค์ที่เขาร่วมทำบุญกันมา เท่าไรก็ไม่ทราบ ไม่ได้เปิดซอง และก็มอบกุญแจให้ แล้วก็รับรถ เมื่อรับรถแล้วก็ปรากฏว่า

พอถึงตอนกลางวัน ลงรับแขกที่ที่รับแขก ก็มี คุณนิตยา สุทธิธรรม แห่งจังหวัดชลบุรี เอาสตางค์มาถวาย ๕๐,๐๐๐ บาท กับคุณพัชรินทร์ โชติวีระวุฒิกุล เอาสตางค์มาถวาย ๔๔,๕๐๐ บาท บอกว่า ร่วมในการก่อสร้างทั้งหมด ความจริงเมื่อวันที่ ๕ นี่รู้สึกว่า โชคดี ทั้งสองคนนี่เป็นเปอร์เซ็นต์การขายที่ เธอเป็นนายหน้าขายที่ เคยบอกเธอบอกว่า

ถ้าต้องการจะขายที่ได้ตามสมควร ก็บน ท่านมเหสักขา เมื่อบนท่านแล้ว จะบนท่านเท่าไรก็ตามใจของเธอ แล้วเอาเงินไปถวายวัด ร่วมในการก่อสร้างทุกอย่าง เป็น วิหารทาน นี่เป็นเรื่องของวันวาน คือ วันที่ ๕ หลังจากนั้นแล้ว วันนี้ วันที่ ๖ อ้อ วันที่ ๕ ยังไม่หมด เมื่อกลับมาจากสถานที่รับแขก เวลา ๓ โมงเย็น ๓ โมงเย็นก็เลิกรับแขก เพราะร่างกายมันทนไม่ไหว

มันเป็นโรคหลายอย่าง เมื่อกลับมาถึงแล้วเขาก็รายงานบอกว่า เจ้าขุน ป่วยหนัก คำว่า เจ้าขุน นี่เป็นสุนัขตัวหนึ่ง เป็นหมายเลข ๑๓ นั่นก็หมายความว่า เป็นสุนัขตัวที่ ๑๓ ที่เรียกว่า เจ้าขุน ก็เพราะว่า ในสมัยหนึ่ง ขนมันหลุดหมด มันเป็นโรคเรื้อน ก็เลยเรียก เจ้าขุน ๆ หมายความว่า ขนไม่มี ก็เหมือนขุนช้าง ขุนช้างตามหนังสือเขาเขียนนะ แต่ขุนช้างจริง ๆ เขาสวย แกก็เลยเรียกเจ้าขุน ๆ แทนขุนช้าง

ต่อมาก็คิดสงสารหมา หายามา ก็บังเอิญ โยมสมัคร บอกว่า มียาขนานหนึ่ง คนที่เป็น โรคชันนะตุ โรคอะไรก็ไม่ทราบ ที่มันเกิดบนหัวน่ะ เกิดขึ้นแล้วก็ผมหลุดหมด หัวเป็นแผลเป็น เขาใช้ เปลือกแค เปลือกต้นแคนี่นะ ฟังให้ดีนะถากมาแล้วก็เอาไป แช่น้ำซาวข้าว น้ำซาวข้าวนะ ไม่ใช่น้ำข้าวที่สุกแล้ว แช่สัก ๕ - ๗ วัน แล้วก็ทาผมขึ้นเต็มศีรษะ หนาปึ้บ นี่หัวคน ก็ลองมาทาเข้าขุน

ปรากฏว่า ไม่ใช่ไม่นาน ไม่กี่วันนัก ขนขึ้น สวยหนากว่าขนเก่ามาก สวยสดงดงามมาก เป็นหมาที่มีขนสวย แต่ว่าเจ้าขุนนี่มีปกติอยู่อย่างหนึ่ง เป็นหมาที่มีความจงรักภักดี แต่ว่าไม่ค่อยจะยอมให้จับ ไม่ค่อยเข้าหาใคร เวลาเรียก เวลาเขาเข้ามาใกล้ ๆ ปล่อยเขาเข้ามาเอง เขาเข้ามา ลูบคลำได้ ถ้าเรียกชื่อเมื่อไร ถอยหลังเมื่อนั้น ออกไปไกล แต่ถ้าเวลาไหนพบเขาเข้า

ถ้าเวลากลางวัน หรือกลางคืนก็ตาม เห็นหมาตัวอื่นนอน ก็เลยบอกว่า ขุน อยู่ยามนะ ขุนมันเก่ง ขุนอยู่ยามนะ เจ้าขุนจะไม่ยอมหลับ จะจ้องในสถานที่ต่าง ๆ ถ้าสงสัยขึ้นมาก็ส่งเสียงเห่า หมาทุกตัวที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นพร้อมกัน ไปตามเสียงเห่า เป็นอันว่า เจ้าขุนมีความจงรักภักดี แต่ว่ามันไม่ค่อยยอมให้จับ ทีนี้เมื่อกลับมา เมื่อวันวานนี้ วันที่ ๕ ปรากฏว่า พรนุช คืนคงดี บอกว่า เจ้าขุนป่วยหนัก

ให้ กุ๊กกิ๊ก ไปให้น้ำเกลือ คำว่า กุ๊กกิ๊ก เป็นเด็กนักเรียนสตรี นักเรียนประจำ เด็กนักเรียนประจำนี่มี สัตว์แพทย์เดชา ท่านสอนให้นักเรียนหญิงที่มีความสนใจในสัตว์ รู้จักวิธีรักษาสัตว์ ที่เรียกว่า สัตวบาล ให้มีความรู้ สำหรับยาที่จะใช้ จะใช้ยาอะไรก็ปรึกษาสัตวแพทย์ การฉีดยาเข้ากล้าม เข้าเส้น การให้ยานี่ เธอเข้าใจดี บางทีเจ้าสุนัขตัวไหนมันป่วย อยู่ไกล ก็เดินหากัน

จนกระทั่งครึ่งวันค่อนวันก็หา เธอมีเมตตาดีมาก เด็กดี ๆ ประเภทนี้ก็ควรจะให้ทุนการศึกษา ทั้งในขั้นต้น คือ ขั้นมัธยม และมหาวิทยาลัย ถ้าเธอสามารถสอบได้ ถ้าเธอเข้าไปสอบกับเขาได้ ก็จะให้ทุน เพราะว่ามีเมตตาดี ก็ปรากฏว่า พอไปเยี่ยมสุนัข มันมีหลายฝูง อาตมาก็ไม่สบาย เดินก็จะล้ม ก็มี พระครูปลัดอนันต์ กับพระน้อย ควบคุมไป เกรงว่าจะล้ม พอเดินเข้าไปเยี่ยมฝูงเจ้ามณี

ก็ปรากฏว่า มีข่าวเขาบอกว่า เจ้าขุนตายเสียแล้ว เมื่อวันวานนี้ พอเดินขากลับมา จะขึ้นบันได อาคารแม่ใหญ่ ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งลอยอยู่ข้างหน้า ก็ถามว่า ขุน ใช่ไหม เขาก็บอกว่า ใช่ครับ บอก เออ...ขุน เอ็งก็มีความดีอยู่มาก มีความจงรักภักดีต่อหลวงพ่อ และอีกประการหนึ่ง รักษาของสงฆ์ มันก็เป็นบุญใหญ่ ผลบุญใดที่พ่อทำแล้ว ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งปัจจุบัน

ขอเธอจงโมทนา รับผลเช่นเดียวกับพ่อ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอยกมือไหว้แล้วก็หายไป อาตมาก็เดินกลับ ต่อมาวันนี้ ที่พูดนี่เป็นเวลา ๖ โมงเศษ ๆ ๖ โมงครึ่ง เมื่อเวลาประมาณ ๖ โมง หลังจากฉันยาเสร็จ อาบน้ำแล้ว อาเจียนแล้ว ก็พักผ่อนนอนคนเดียว ภาวนาไปตามเรื่อง ก็ภาวนาตามคาถาที่ชอบใจ ชอบใจบทไหน ภาวนาบทนั้น

จิตเป็นสุขเพราะบทไหนภาวนาบทนั้น ทำอารมณ์ให้เป็นสุขตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำ พอสักประเดี๋ยวเดียว จิตก็หลบแว้บ ปรากฏว่า มีผู้ชายใส่ชฎา สวยมากยืนอยู่ไกล อยู่ระหว่างวิมาน เป็นเทวดา มีวิมานชั้นล่างเป็นทองคำ เสาเป็นทองคำ แต่หลังคาเป็นแก้ว แต่สำหรับเทวดา สวยงามมาก ชฎาที่เห็นใส่ มันสวยกว่าชฎาลิเกเรามาก มีเพชรแพรวพราวเป็นระยับ

ตัวก็เพชรแพรวพราว แต่ว่าอยู่ไกล เมื่ออยู่ไกลก็มีความรู้สึกว่า เอ๊...นี่มันเจ้าขุนนี่หว่า ถามว่า นั่นเทวดาเจ้าขุนใช่ไหม เขาบอกว่า ใช่ขอรับ บอก เมื่อเธอเป็นสุนัข เธอก็ยังกลัว ไม่กล้าจะเข้าใกล้ วันดีคืนดี เธอเข้ามาหา แต่วันปกติถ้าเรียกมา เธอจะไม่ยอมเข้าใกล้ จะวิ่งหนีออกไกล เวลานี้เป็นเทวดา ทำไมจึงอยู่ไกล เธอก็ตอบว่า ผมเป็นเทวดา ผมยังกลัวครับ ก็บอกว่า

เธอจะกลัวทำไม ให้เข้ามาใกล้ ๆ วิมานเธอก็ลอยมาใกล้ ก็ถามว่า เวลานี้เธออยู่ที่ไหน เธอก็บอกว่า อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถามว่า มีความสุขดีไหม ก็บอกว่า มีความสุขดีมาก ก็ถามว่า ในสมัยที่มีชีวิตอยู่ทำไมจึงกลัวหลวงพ่อ เธอก็บอกว่า ไม่ทราบว่ามันเป็นอะไรครับ ผมก็รักหลวงพ่อ แต่ว่ากลัว เรียกเมื่อไร่ หนีเมื่อนั้น ถ้าไม่เรียกก็ย่องเข้ามาหา ๒ - ๓ วันเข้ามาหาที ลูบคลำได้

แต่ว่า ถ้าเป็นการอยู่ยาม เป็นหน้าที่ของเขา เขาอยู่ยามดีจริง ๆ คืนทั้งคืนไม่ยอมหลับก็มี นอกจากว่ามีสุนัขตัวอื่นไปเปลี่ยน สุนัขที่นี่มันมีทั้งหมดจริง ๆ นับทั้งที่ตายไปแล้ว และยังไม่ตาย มี ๒๐๐ กว่า แต่เหลือจริง ๆ ก็ประมาณ ๑๐๐ เศษ ทั้งนี้เพราะอะไร พ่อแม่ต้นมันยังไม่ตาย เจ้านิล เป็นพ่อใหญ่ แม่นาค เป็นแม่ใหญ่ ยังอยู่ทั้งคู่ แต่แค่ ๗ - ๘ ปี เท่านี้แหละ บรรดาท่านผู้ฟัง

มันผลิตลูกออกมา ต่างคนต่างช่วยกันผลิต พ่อแม่ใหญ่ก็ผลิตลูก ไอ้ลูกมันก็ผลิตลูก ไอ้หลานก็ผลิตลูก ผลิตกันออกมาถึงป่านนี้ตั้ง ๒๐๐ เศษ ลองคิดดูแล้วก็ต้องไม่ยอมให้สุนัขที่อื่นเข้ามาปน เพราะเกรงว่า เจ้าพวกนี้มันพวกเดียวกัน มันจะกัด ต้องอยู่ในขอบเขต ค่ายา ค่ารักษาโรค ปีละมาก ๆ ค่าอาหารก็ปีละมาก ๆ แต่ว่าสุนัขชุดนี้มันมีบุญ มีคนสงเคราะห์ ให้สตางค์ค่าอาหาร

ค่ายารักษาโรคอยู่เสมอ จนกระทั่งมีทุนฝาก เอาดอกเบี้ยมาเป็นค่าอาหาร ค่ายารักษาโรค ก็ขอโมทนา ท่านด้วยนะ คนหลายท่านที่ต่างคนต่างทำบุญมา สมัยที่ท่านยังมีรายได้ดีคนละไม่น้อยนะ อย่างน้อย ๆ คนละ ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ -๒๐,๐๐๐ - ๓๐,๐๐๐ ก็มี บางราย (มีอยู่ ๒ ราย) ๕๐,๐๐๐ ก็เลยฝากเอาเงินดอกเบี้ยมาใช้เป็นค่าอาหาร ค่ายารักษาโรค

และยามที่โรคระบาดมันเกิดขึ้น ก็ต้องพาสุนัขวิ่งไปหาหมอ นั่งรถไปหาหมอกันเกือบทุกวัน เวลานี้เด็กศึกษาสัตวบาลได้ ก็เบาตัวไป และเอาคำแนะนำเรื่องยาจากหมอ นี่ก็เป็นอันว่า วันนี้มันก็เหลือเวลาอีก ๑๑ นาที ก็มานั่งคุยกันถึงกรณีพิเศษว่า สุนัขที่พระเลี้ยงหรืออยู่กับพระนี่ มันตายแล้วเป็นเทวดาได้ แต่ความจริงก็มีเจ้าขุนตัวเดียวแหละ ที่เป็นเทวดาแล้วอยู่ไกล

เห็นภาพยืนสง่างามมาก ชฎาก็สวยงามมาก แต่ยืนอยู่ไกล แต่ทุกตัวที่ตายไปแล้ว เห็นเมื่อไรเข้าอยู่ใกล้ ๆ เขาจะรายงานว่า เวลานี้ไปอยู่ที่นั่น อยู่ที่นี่ ถ้าพูดอย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้อ่านและผู้ฟัง อาจจะสงสัยว่า ทำไมยกย่องว่า หมาเป็นเทวดา หมาเป็นนางฟ้า แล้วคนล่ะ ก็ต้องขอตอบว่า ก็ตามใจท่านสิ ท่านก็มีความรู้กันอยู่แล้ว

ตามที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วสอนว่า ทางใดทำให้เราเกิดเป็นเทวดา ทำบุญแบบไหนไปเกิดเป็นพรหม ทำบุญแบบไหนไปนิพพาน ทำบาปแบบไหนไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าท่านเชื่อพระพุทธเจ้า ท่านก็ไปตามทางที่ท่านต้องการ หรือท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ท่านก็ไปตามทางบารมีของท่าน ถ้าจะถามว่า การยกย่องว่า

หมาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า ไม่เกินไปรึ ก็ต้องขอตอบว่า ไม่เกิน เพราะเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า มีหมาเป็นเทวดา เรื่อง โฆษกเทพบุตร โฆษกเทพบุตรนี่จริง ๆ แล้วก่อนจะตายเป็นหมา เขาเป็นคนชื่อ โกฏุหลิกะ เมื่อออกมาจากบ้านมีลูกมา ๑ คน มีเมียมาด้วย ลูกยังเล็ก ยังต้องอุ้ม เดินลัดป่า ในเมื่ออาหารหมด ทนอุ้มไม่ไหว ทนเมื่อยไม่ไหว

ก็เลยเอาลูกวางโคนต้นไม้ ปล่อยให้ลูกตาย พอเดินออกมา พบบ้านนายโคบาลเข้า เวลานั้นเป็นวันทำบุญบ้าน เขานิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาด้วย ก็ปรากฏว่า เข้าไปที่บ้านนั้น เข้าไปหาเขาเพื่อจะหางานทำเป็นลูกจ้าง ก็พอดีเป็นเวลาที่เขาทำบุญ เขาเลยสั่งให้คนรับใช้เอาข้าวมธุปายาสอย่างดี ที่เขาทำในวันนั้น มาให้กินคนละชามใหญ่ ๆ ขณะที่กินไป นายโคบาลก็กินด้วย

(ต่างคนต่างกินนะ ไม่ได้กินร่วมกันนะ) นายโคบาลมีสุนัขตัวเมียอยู่ตัวหนึ่ง เวลาท่านกินข้าว ท่านก็ส่งให้สุนัขตัวเมียกินบ้าง ท่านก็กินบ้าง เพราะความรักในมัน อาหารอย่างไหนสุนัขชอบ ท่านก็ส่งให้ สุนัขก็กิน ท่านก็กิน นายโกฏุหลิกะก็กิน ภรรยาก็ยังไม่กิน นายโกฏุหลิกะ เขามีความรู้สึกว่า สุนัขตัวนี้มันดีกว่าเรา ข้าวมธุปายาสนี่ คนจนอย่างเราไม่มีโอกาสจะได้กิน

ตั้งแต่เกิดมาในชีวิต กินวันนี้เป็นวันแรก และอาจจะเป็นวันสุดท้าย เพราะเป็นข้าวที่มีราคาแพง ขณะที่กินข้าวเข้าไป เขาก็กินหมดชาม ภรรยาเป็นห่วงสามี ภรรยายังไม่กิน และ ๆ เล็ม ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ เมื่อเห็นสามีกินหมดชาม ก็ถามสามีว่า จะเอาอีกไหม นายโกฏุหลิกะ บอกว่า เอา ภรรยาก็ส่งส่วนของตัวให้ พ่อนั่นก็กินหมด ไม่ได้ห่วงเมียละ กินเข้าไปก็ท้องอืด

มันย่อยไม่ทัน เลยตาย เมื่อขณะก่อนที่จะตาย เขานึกถึงสุนัขตัวเมียตัวนั้น เลยเข้าท้อง สุนัขไป ต่อมา เมื่อสุนัขตัวนั้นคลอดมา ก็มีความรู้สึกว่า เป็นสุนัขที่มีการรู้ภาษาคนมาก พูดทุกอย่างรู้เรื่อง คล้าย ๆ เจ้าขุนนี่แหละ หรือเหมือนกับสุนัขที่วัด ที่เลี้ยงอยู่นี่ เขาไม่ใช้ภาษาโมะ ภาษาติ๋ง เขาใช้พูดธรรมดา ๆ ไปข้างหน้า ไปข้างหลัง มาที่นี่นะ กินข้าวนะ เขาก็ใช้ภาษามนุษย์ มันรู้ทุกอย่าง

จนกระทั่ง วันนี้ก็ปรากฏว่า ตอนเวลาบ่าย เจ้าเปี๊ยก (สมพร บุญยเกียรติ) ไปถวายสังฆทาน บอกว่า เจ้าขุนมันตาย ในเมื่อกลับมาแล้ว กินยาเสร็จ ก็มานอน นอนแล้วก็เห็นภาพเจ้าขุน ก็เลยนึกถึงโฆษกเทพบุตร เธอตายจากคน แล้วก็เกิดเป็นหมา เมื่อเกิดเป็นหมา ก็มีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เหมือนกับเจ้าขุนที่มีความรักในอาตมา และพระทั้งหลาย

หมาทุกตัวมันมีความรัก เห็นพระมันก็สนใจ มันเห่า มันหอน มันดีใจว่า เป็นผู้เลี้ยงมัน เมื่อโกฏุหลิกะเกิดเป็นสุนัข มีความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า หลังจากพระปัจเจกพุทธเจ้ากลับเขาคันธมาทน์แล้ว มันก็เกิดการเสียใจคิดถึงท่าน เห่าบ้าง หอนบ้าง ด้วยความอาลัยในพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ตายจากความเป็นหมา ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีนามว่า โฆษกเทพบุตร

คำว่า โฆษก แปลว่า กึกก้อง หรือเสียงดัง เป็นเทวดาที่มีเสียงดัง เวลาพูดธรรมดา ๆ ดังไป ๖๐ โยชน์ เวลาพูดเต็มเสียง ก้องทั่วดาวดึงส์ แล้วต่อมา หลังจากลงจากเทวดาแล้ว โฆษกเทพบุตร ขั้นสุดท้ายสุด กฎของกรรมต่าง ๆ ก็มีแล้วในเรื่องต่าง ๆ ที่เคยพูดมาแล้ว ขั้นสุดท้ายสุดที่มีความจงรักภักดีต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า เธอก็เป็นมหาเศรษฐี นี่เป็นอันว่า

เรื่องสุนัขเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าไม่ใช่ของแปลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ฉะนั้นในเมื่อเจ้าขุนมันแสดงตัว ทีแรกจึงมีความรู้สึกว่า โอ้โฮ...มันสวยจริง ๆ สง่ามาก ยืนสง่า แต่อยู่ไกล ห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตร แล้วก็ยืนอยู่ระหว่างวิมาน วิมานน่ะใหญ่มาก มองดูชฎาของเธอ ชฎาที่ลิเกสวมกัน ที่โขนสวมกัน สู้ไม่ได้ เขาแพรวพราว ใหญ่ สง่า รูปร่างสง่าสูงมาก

จึงเรียกเข้ามาใกล้ เมื่อเรียกเข้ามาใกล้ เธอก็มา จึงได้ถามว่า ทำไมจึงกลัว ก็บอกว่า ไม่ทราบครับ มันมีความรู้สึกกลัวหลวงพ่อ เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ต่อไปก็เป็นหัวหน้ายามนะ น้อง ๆ ที่อยู่ข้างหลัง บางทีมันจะหลับ ใครเขาจะไป ใครจะมา มันไม่เห็น ก็เตือนน้องมัน เลยบอกเธอบอกว่า ถ้าอย่างนั้น พวกสุนัขที่ตายแล้วทั้งหมด ให้เรียกมาพร้อมกันซิ

เธอก็เรียกมาพร้อมกัน นับร้อย คำว่า ตายทั้งหมด ก็หมายความว่า สุนัขที่เลี้ยงเองบ้าง ที่พบตายในระหว่างทางบ้าง รถชนตายบ้าง อะไรบ้าง ที่ไปเห็น ก็ให้บุญให้กุศลเธอ ปรากฏว่ามาทั้งหมด เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า มีความสวยสดงดงาม นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องของอารมณ์จิตที่เป็นกุศล คนเราถ้ามีอารมณ์ที่เป็นกุศล มันมีความได้กำไรดีกว่าสัตว์เพราะว่า

เรารู้ภาษาว่า นี่เราทำบุญ สัตว์มีหน้าที่อย่างเดียว คือ โมทนาเมื่อตายแล้ว นี่สำหรับสัตว์ที่อื่นนะ สัตว์ที่อยู่กับพระ มีหน้าที่รักษาพระ รักษาของสงฆ์ คือ ใครมา มันเห่าบ้าง กระโชกบ้าง พวกที่จะขโมยของสงฆ์ก็เกรงใจ เกรงใจหมา ก็หลีกเลี่ยงไป เป็นอันว่าของสงฆ์ก็ปลอดภัย นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย นี่เป็นเรื่องปัจจุบันทันด่วน จะเอาผีวัดบางนมโคมาคุยกัน

ก็ถือว่าไม่เป็นกาลเวลา นี่เอาเรื่องปัจจุบันมาคุยกัน ทีนี้สำหรับคนที่ทำบุญอย่าง จ่าปัญญา กับคุณบังเอิญ และลูก ๆ นำรถมาถวาย วันนี้ คุณนิภัทร ก็มารับไปแล้วนะ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๓๓ มอบให้เธอหลังจากเวลา ๑๕ นาฬิกาเศษ มอบรถแวนไปแล้ว ต่อนี้ไป คุณนิภัทร ก็คงจะไป คงจะมาสะดวก เพราะมีรถประจำตัว มันเหลือเวลาสัก ๓ นาที เราจะคุยอะไรกันดี ถามว่า

วันนี้มีร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ก็ต้องตอบว่า มีร่างกายวิปริตมาก ตอนกลางคืนเมื่อวานนี้ หมอพิเชษฐ์ เอายามาถวาย ยาเกี่ยวกับเส้นประสาทสมองของหัวใจ และยาช่วยหลับ และยาประจำ เมื่อคืนกินไปแล้วหลับดี แต่ว่าทั้ง ๆ ที่หลับดี กลางวันตอนเช้า มันก็เล่นงาน มันก็โปร่งดี ก็ให้ วิวัฒน์ วิชัย นวด บอกว่า สิ่งใดไม่ควรนวด ก็อย่านวด ให้นวดเฉพาะข้างหลัง

แล้วพลิกมาข้างหน้า มีอาการเคลิ้มเคลิ้มว่า นอนหลับไปอยู่ท้ายรถ มี เจ้านกเอี้ยง เป็นคนนวด เจ้านที เป็นคนขับ มันรู้สึกว่าอาการเกิดขึ้นปุ๊บปั๊บ ปากขยับไม่ได้ และร่างกายขยับไม่ไหว จะบอกให้เขาเลิกนวด จะบอกให้รถหยุด ก็บอกไม่ได้ อาการมันทำท่าจะตายจริง ๆ ขยับเนื้อขยับตัวไม่ได้ อาการอย่างนี้ปรากฏจนกระทั่งรู้สึกตัวตื่นขึ้น ปากยังพูดไม่ได้ ขยับมือยังไม่ไหว

พอมือซ้ายขยับได้หน่อย ก็เคาะพื้นให้วิวัฒน์ทราบว่า พักนวดได้ อาการอย่างนี้ไม่ดี บรรดาท่านทั้งหลาย ถ้าอาการอย่างนี้ปรากฏจริง อาตมาก็กลายเป็นคนทุพพลภาพไป จึงถามพระท่านบอกว่า ถ้าผมจะต้องตายแบบนี้นะ ถึงกาลสมัย ผมขอตายก่อน เวลานี้ยังมีสติสตังดีอยู่ ขอตายเวลานี้ดีกว่า ท่านบอกว่า ยัง อย่าเพิ่งตาย อาการตายจริง ๆ ต้องเป็นไปตามที่ลุงเขาบอก

ไม่ใช่ตายแบบนั้น นั่นก็หมายความว่า จะค่อย ๆ ตายไป คล้าย ๆ กับ โรคไหล แต่ไม่ใช่ไหลตาย คือ อาการมันจะสงบสงัด และจิตใจมันจะหยุดทำงานเอง เรียกว่า ตายแบบปกติ ธรรมดา ๆ ไม่ใช่ไหลตาย เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย พูดมาพูดไป เวลาก็เหลือไม่ถึงครึ่งนาทีแล้ว จะหมดเวลา อ้าว...สัญญาณบอกหมดแล้วนี่ ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


2
ฝึกธุดงค์


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนที่ ๒ ของเล่ม ๑๕ ตอนที่ ๒ นี้ก็ขอเล่าความเป็นมาสมัยที่บวชใหม่ ๆ เพราะว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เมื่อเห็นปฏิปทาในปัจจุบันก็ดี เมื่อเห็นความเป็นมาต่าง ๆ ในปัจจุบันก็ตาม อาจจะคิดว่า ตอนบวชใหม่ ๆ คงจะเป็นพระที่มีการเคร่งครัดมัธยัสถ์มาก เพราะว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน คำว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อปานนี่

บรรดาท่านพุทธบริษัทก็จงอย่าคิดว่า เหมือนหลวงพ่อปานทุกองค์ หรือว่าจะปฏิบัติคล้ายคลึงหลวงพ่อปานทุกองค์ก็หาไม่ ความจริง พระที่ปฏิบัติตามหลวงพ่อปานจริง ๆ มีไม่ถึงร้อยละสอง ขอกล่าวด้วยความจริงใจ นอกนั้นก็เป็นพระที่อาศัยบารมีกินทั้งนั้น แต่ทว่ามีอาการเบ่ง เวลาไปทางไหน เขาบอกว่า พระวัดบางนมโค คนก็มีความเคารพ ถือว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อปาน นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา

จะถือว่า หัวหน้าท่านดี แต่ลูกน้องจะดีเหมือนกันทั้งหมด ไม่ใช่ แม้แต่ที่วัดท่าซุงเองก็เหมือนกัน ก็จงอย่าคิดว่า ท่านจะเป็นนักสมถวิปัสสนากันทุกองค์ บางองค์ก็ยังถือว่าปฏิบัติถูกตามพระธรรมวินัยใช้ได้ก็มีอยู่ บางองค์ที่มีการเคร่งครัดมัธยัสถ์ในสมถภาวนาก็มีอยู่ ก็ถือว่าใช้ได้ แต่ว่าพระส่วนใหญ่ ประกอบกับงานของวัด ห่วงงานวัด สนใจในงานวัดดี อาจจะมีบ้างที่ขี้เกียจ

จะมีบ้างหรือเปล่า ก็มองไม่เห็น แต่ถือว่า ทำงานกันตามหน้าที่ รู้สึกว่า จะดีกว่าสมัยนั้นมาก ก็รวมความว่า มาพูดเรื่องอาตมาเองก็แล้วกัน คนอื่น จะไปนินทาเขาทำไม ความจริงไม่ตั้งใจนินทา แต่ล่อเข้าแล้ว ไม่ใช่นินทา เล่าสู่กันฟัง เมื่อสมัยที่บวชใหม่ ๆ ก็มีผ้าห่มไม่ดี ผ้าก็เป็นผ้าดิบ เมื่อบวชเข้ามาแล้ว รู้สึกว่า บวชเข้ามาประมาณ ๑ เดือน อารมณ์ของพระ ๑ เดือนนี่ ความเป็นพระน้อยเต็มที

นอกจากระวังพระธรรมวินัย เพราะอะไร เพราะว่า เห็นอะไรมันดีหมด เห็นทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ดีหมด เห็นสาว ๆ ก็สวยหมด อีตอนเห็นสาว ๆ สวยหมดนี่ มันจะดีมากเกินไป ก็มาคิดในใจว่า ผ้าเหลืองไม่ได้ทำให้กิเลสหด ถ้าอย่างนั้นก็ลอง ปฏิบัติธุดงค์ ธุดงค์ ๑๓ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท มันไม่จำเป็นต้องเข้าป่าเข้ารกเสมอไปหรอก

ไปถามหลวงพ่อปานท่านบอกว่า อยากจะปฏิบัติธุดงค์ตามแบบฉบับใน ธรรมวิภาคปริเฉท ๒ จะทำได้ไหม ท่านบอกว่า ทำได้ ท่านถามว่า เธอต้องการอะไร ก็ต้องการอันดับแรก เอกาสนิกังคะ ก็หมายความว่า กินข้าวเวลาเดียว ๒. เตจีวริกังคะ ใช้ผ้า ๓ ผืน เอาภาษาไทยดีกว่า เอา ๒ อย่างนี่ก่อน

หลวงพ่อปานบอก ได้ ฉันจะขึ้นให้ แล้วท่านก็แนะนำการปฏิบัติธุดงค์ กินข้าวเวลาเดียว ใช้ผ้า ๓ ผืน แต่ความจริงเขามีผ้าอาบน้ำฝนเพิ่มขึ้นมา ก็มีเป็นผ้าผลัด เมื่อถึงเวลาวันโกนที ก็ซักย้อมสบง จีวรใช้ผ้าอาบนุ่ง ย้อมกันที วันโกนก็ย้อมที ผ้าสมัยนั้นต้องย้อม เพราะสีตก ผ้าสีตกนี่ดี ทำให้พระสีสวย เพราะสีผ้าตกเข้ามาในเนื้อพระ ลองกินข้าวเวลาเดียวอยู่ ๑ ปี

อาหารที่วัดบางนมโคเวลานั้นไม่ได้ฟุ่มเฟือย ไม่ได้มากมายเหมือนกับวัดท่าซุงเวลานี้ มันก็เหมือนวัดท่าซุงเมื่ออาตมา มาอยู่ใหม่ ๆ คือ ไม่ค่อยจะมีอะไรกิน หลวงพ่อปานจึงต้องแกงหม้อใหญ่ ๆ ๑ หม้อ หุงข้าวกระทะ ข้าวบิณฑบาตก็ไม่พอกิน แกงก็ไม่พอ กับข้าวที่ฉันเช้าแล้ว ก็ต้องเก็บไว้เพล ก็รวมความว่า เพลกับเช้า กินข้าวเหมือนกัน พอมาถึงเอกาเข้า

กับข้าวที่ถือว่าเป็นพื้นฐานก็คือ ปลาย่าง ปลาย่างกับน้ำปลาแล้วก็พริกแห้งบ้าง พริกขี้หนูบ้าง อะไรก็ตามเท่าที่มี หั่น ๆ ใส่ กินเป็นประจำอย่างนี้ทุกวัน บางทีมีผักบุ้ง ก็เอาผักบุ้งมาต้ม กินกับน้ำปลา กับพริก พริกก็เผ็ด น้ำปลาก็เค็ม ผักบุ้งก็จืด ๆ ก็ใช้ได้ แบบนี้ ๑ ปี สังเกตดูแล้วว่า กิเลสมันตกไหม ถึงแม้ว่าจะกินข้าวเวลาเดียว ถือผ้า ๓ ผืน ก็ทำตัวเสมอกับพระต่าง ๆ คือว่า

ก็ยังสมาคมกับท่านตามปกติ เวลาที่ว่างจากการเจริญกรรมฐาน สำหรับกรรมฐานนี่ว่ากันปกติตั้งแต่วันแรก ก็เป็นอันว่า กินข้าวเวลาเดียวมา ๑ ปี สังเกตดูกำลังจิตใจทั้ง ๆ ที่เจริญสมาธิกรรมฐานด้วย สมัยแรกก็ใช้ภาวนาว่า พุทโธ อย่างเดียว และใช้กำลังวิปัสสนาญาณบ้าง ก็ไม่มาก ก็ทำแบบนกแก้ว นกขุนทอง แต่ว่าภาวนาไม่เลิก ภาวนานี่ไม่เลิกแน่ เดินไปเดินมาก็ภาวนา

เว้นไว้แต่คุยกับเพื่อน คุยกับเพื่อนก็คุยไป เมื่อเลิกคุยก็ภาวนา เวลาไปบิณฑบาตก็ว่า อิติปิโสฯ ว่าเรื่อยไปจนกว่าจะกลับ นึกในใจนะ อย่างนี้ ๑ ปี กิเลสไม่ตกเลย มองดูสาว ๆ ยังสวย มองดูเงินทองยังมีค่า มองดูทุกอย่าง ท่าทางมันยังดี ก็นึกในใจว่า การถือเอกานี่ ก็กินข้าวเวลาเดียว บางคนเขาถือว่า เคร่งครัดมัธยัสถ์ แต่เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว

กิเลสยังท่วมหัวตามเดิม ต่อมาเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า หลังจากนี้ไป เราจะไม่กินของคาว จะเรียกว่า กินเจ หรือ กินเจ๊ อะไรก็ตามใจเถอะ ขึ้นชื่อว่าของคาว ไม่กิน แต่ก็ไม่บอกชาวบ้านให้ทราบ ถ้าบอกแล้วเขาจะทำมาลำบาก เราก็บิณฑบาตมาแล้ว อะไรก็ตามที่มันเป็นของคาว เราก็ไม่กิน นั่งกินรวมวงกับพระธรรมดา ๆ ไม่ได้แยกไปไหน เลือกกินแต่ของที่มันไม่มีคาว

ขณะที่ไม่กินของคาวนี่ ใช้เวลา ๓ ปี ก็ยังกินข้าวเวลาเดียวตามเดิม ในที่สุด กิเลสก็ไม่ตก สาวก็ยังสวย เงินก็ยังมีค่า วัตถุต่าง ๆ ก็ยังมีค่ามาก สวยสดงดงาม เลยมีความเข้าใจว่า การที่เราปฏิบัติทางกายแบบนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ท่านตรัสว่า มรรคผลไม่ได้เกิดจากทางกาย มันเกิดจากทางใจแต่ว่ามีอะไรแปลกอยู่อย่างหนึ่ง

ขณะที่ตั้งใจว่า จะไม่กินของคาว บังเอิญวันหนึ่ง ในระหว่างที่ยังไม่กินของคาวนั่น มีญาติโยมเขาถวายข้าวต้มเครื่อง เขานิมนต์ทั้งวัด จะไม่ฉันก็เกรงใจเขา จะฉันก็คิดว่า มันเสียสัจจะ เขาบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันเจ้าค่ะ โปรดสักชามหนึ่งเถิด ถึงแม้ว่าจะถือว่า ไม่ฉันของคาว ก็โปรดสักชาม พอกินเข้าไป ช้อนที่หนึ่งทำท่าอืด พอช้อนที่สองอาเจียนทันที อาเจียนอย่างหนัก

ญาติโยมตกใจ ต้องหาของไม่มีคาวมาให้ พอพ้น ๓ ปีไปแล้ว ก็กินของคาวตามเดิม ตอนที่ถือเอกาด้วย ไม่กินของคาวด้วย บรรดาญาติโยมทั้งหลาย กิเลสมันก็ดีตามเดิม ยังไม่ไปไหนเลย สาวสวยก็ยังสวยตามเดิม เงินมีค่า ก็ยังมีค่าตามเดิม วัตถุต่าง ๆ ก็ยังสวยสดงดงามตามเดิม อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนัก เว้นไว้ว่า จะคุมด้วยกำลังของภาวนา หรือพิจารณาบ้างในบางโอกาสเท่านั้นเอง

ก็เป็นอันว่า ปฏิปทาเดิมจริง ๆ และสำหรับการปฏิบัติตัวก็เหมือนกัน พระท่านนั่งคุยที่ไหน ไปที่ไหน ก็ไปด้วยกัน เว้นไว้แต่เวลาอยู่ เราก็อยู่ในป่าช้าของเราตามปกติ เวลาออกมาก็คุย คุยสนุกสนานตามปกติธรรมดา ไม่แสดงตัวว่า ฉันกับเธอน่ะ ไม่เหมือนกันนะ ตัดมานะตัวนี้ออกไป ต่อมาก็มีความรู้สึกทางใจว่า เรานี่คงไม่สามารถชนะกิเลสแน่ ถ้าไม่ชนะกิเลส เราจะอยู่ หรือเราจะสึก

ในเมื่อเราออกพรรษาไปแล้ว ก็มานั่งปรึกษากัน ๓ องค์ว่า ถ้าเราอยู่ต่อไป เราก็ขาดจากงานที่เราเป็นลูกจ้างเขา นี่เราลาเขาเพียงแค่ไม่กี่เดือน เวลานี้มันก็ครบแล้ว ถ้าหากว่าเกินเวลาไป ถ้าเราสึกไป เขาก็ไม่จ้างเรา ถ้าเราจะอยู่ ถ้าอยู่ไม่ตลอด มันก็ไม่ดีเหมือนกัน เวลานี้กิเลสทุกอย่างมันก็ห้ำหั่นเรา เราไม่ได้หั่นกิเลส ถ้าอย่างนั้น เอาอย่างนี้ดีกว่า เราสึกกันดีกว่า สึกไปหากิเลส

อยู่กับกิเลสให้มันช่ำใจ ให้มันเบื่อกิเลส เพราะการเคล้าคลึงกับกิเลส ในเมื่อเราเบื่อกิเลส เราก็บวชใหม่ ปรึกษากันตอนเช้า พอดีตอนเช้า หลวงพ่อปานท่านก็เดินผ่านถึงหน้าบันได ท่านก็เอาไม้เท้าเคาะบันได ป๊อก ๆ ๆ ๆ หันไปหาท่าน ยกมือไหว้ ท่านบอก ว่าอย่างไร อยากไปหาเป็นขี้ข้ากิเลสอย่างนั้นรึ มันไม่มีทางชนะมันหรอก ออกไปแล้วนอกจากตัวเราคนเดียว

เราก็ห่วงขันธ์ ๕ ต่อไปไม่ช้า นี่คุณระหว่างที่บวชอยู่นี่ผู้หญิงเขาจองหลายคนนะ ทั้งสามองค์นี่ แกอย่านึกว่า ฉันเป็นพระแก่ ฉันไม่รู้นะ ฉันรู้ว่าใครเขาจองเธอหลายคน และที่เขาจองเธอหลายคนนี่ สักคนหนึ่งในจำนวนนั้นอาจจะชนะใจเธอ ในเมื่อเขาชนะใจเธอแล้ว เธอก็แต่งงานกับเขา แต่งงานก็เลยเป็น ขันธ์ ๑๐ คนเดียวขันธ์ ๕ สองคนขันธ์ ๑๐ ต่อมาลูกออกมา ก็เป็นขันธ์ ๑๕

ลูกออกมาอีกก็เป็นขันธ์ ๒๐ เพียงแค่ขันธ์ ๕ อย่างเดียว ยังมีทุกข์อย่างนี้ จะต้องการขันธ์ ๒๐, ๓๐, ๔๐ ขันธ์ มันจะมีความสุขได้อย่างไร ความห่วงใยที่คิดว่าจะตัดกิเลส มันตัดไม่ออก กิเลสมันพอกมากขึ้น ตัดสินใจเองก็แล้วกันนะว่า อยากจะเป็นอิสระ หรืออยากจะเป็นขี้ข้าเขาต่อไป ท่านพูดแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านก็เดินกลับ เราก็นึกในใจว่า เออ…มีเมีย เราก็เป็นขี้ข้าเมีย

มีลูก เราก็เป็นขี้ข้าลูก ไปไหนไม่มีอิสระ บวชต่อไปดีกว่า เมื่อมันทนไม่ไหวจริง ๆ เราก็สึก สึกแล้วเรารับจ้างที่เดิมไม่ได้ เราก็ทำมาหากินปลูกผักปลูกหญ้าไปตามเรื่องตามราวก็แล้วกัน ฐานะก็พอมีอยู่บ้าง มันไม่ร่ำไม่รวยก็ช่างมันเถอะ มีพอกินไปวันหนึ่ง ๆ ก็ตัดสินใจอยู่ นี่เป็นเรื่องราวปกติธรรมดา ๆ นะญาติโยมนะ อย่าไปนึกว่า พระที่กินข้าวเวลาเดียว เคร่งครัดดีกว่าพระอื่น

อย่าไปคิดนะ แต่องค์อื่นนั้นอาจจะดีก็ได้ แต่ผู้พูดนี่ กิเลสมันท่วมหัวมาแล้ว กินข้าวเวลาเดียว แล้วแถมกินเจประเภทไม่บอกชาวบ้านนี่ มันพิลึกพิลั่นละ กับข้าวที่เขาหามาให้ เขาใส่บาตรมาให้ บางทีมันก็มีคาวทั้งหมด ทำอย่างไร เอาน้ำปลากับหัวหอมมาเป็นกับข้าว หัวหอมธรรมดานี่ เป็นกับข้าว กินเป็นปกติ อย่างนี้กิเลสมันยังไม่หดเลย ถ้าเราจะถือ มังสวิรัติ หรือกินเจจริง ๆ

กิเลสมันจะหดได้อย่างไร เขาทำกับข้าวเวลานี้มันดีมาก กับข้าวเจนี่ บางทีไม่รู้ว่า เจ แหม…มีอะไรหลอกเป็นหมูบ้าง เป็นเนื้อบ้าง เป็นไก่บ้าง ตักไปพับ อ้าว…นี่มันไม่ใช่นี่หว่า มันของปลอมก็รวมความว่า คนอื่นอาจจะลดได้ แต่อาตมามันไม่ลด ก็ตัดสินใจว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เราออกธุดงค์กัน ธุดงค์ในวัดเราก็ทำแล้ว

๑. ใช้ผ้าสามผืน ๒. เอกา บางครั้งเราก็ถือ เนสัชชิ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรรมฐานก็ทำแล้วเป็นปกติ กิเลสมันยังไม่ลดไปสักตัว ราคะ ความรัก มันยังมี โลภะ ความโลภ มันยังมี โทสะ ความโกรธ มันยังมี โมหะ ความหลง มันยังมี มันยังมีตัวอยาก จึงตัดสินใจธุดงค์ พรรษาที่สอง ตัดสินใจธุดงค์

หลวงพ่อปานก็ฝึกธุดงค์ให้ ท่านก็ถามว่า เธอจะธุดงค์อย่างปกติ หรืออุกฤษฏ์ ก็ถามว่า ปกติเป็นอย่างไรขอรับ ท่านบอก ปกติก็เดินไปตามหลังบ้าน ปักกลดตามหลังบ้าน ชาวบ้านเขาก็ใส่บาตร ถ้าอุกฤษฏ์จะต้องเข้าป่าลึก ถ้าดีไม่พอ เทวดาไม่ให้ข้าวกิน ถ้าคืนไหน วันไหน จิตใจเราบริสุทธิ์ รุ่งเช้าเทวดาจะใส่บาตรให้ ก็เลยตัดสินใจบอกว่า ผมต้องการอุกฤษฏ์ครับ

ทำมันอย่างจริง ๆ เอาจริง ๆ ท่านก็เลยฝึกธุดงค์ให้ อันดับแรกก็ฝึกธุดงค์ในป่าช้า หาทางบิณฑบาตกับเทวดา โฮ…แต่หากินกับเทวดานี่ บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย มันยากจริง ๆ เอาบาตรไปแขวนกับต้นไม้ แล้วยืนหลับตาพักหนึ่ง ภาวนาตามความต้องการ พักใหญ่ ๆ เปิดบาตรดู มันจะมีบาตรเปล่า ต้องกินข้าวคนอื่น ทำแบบนี้มาประมาณ ๑๕ วัน ต่อมาเป็นวันที่ ๑๖

หรือ ๑๗ จำไม่ได้ หลับตาภาวนาอยู่เฉย ๆ พอจิตเป็นสุข ความจริง วันแรก ๆ มันทำไม่ถูก ก็คิดว่า เมื่อไรเทวดาจะมา ๆ ภาวนาไป คิดถึงเทวดาไป จิตมันฟุ้งซ่าน วันนั้นตัดสินใจตามนี้เทวดาจะมา หรือไม่มาก็ช่างเถิด ฉันก็มีข้าวกินจากพระอื่นเขาบิณฑบาตมาให้ ก็ทำใจสบาย จับอานาปานุสติแล้วก็เจริญพุทธานุสสติ เห็นภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น ที่ท่านเคยแสดงให้ปรากฏ

สวยอร่ามมาก โอ้โห แท่นใหญ่เบ้อเร่อ ยิ้มแฉ่ง ริมฝีปากแดง ผมดำ สวยสดงดงาม ก็มีคนปฏิบัติอยู่คนหนึ่งชื่อ พุฒ ท่านเรียก มหาพุฒ ๆ เมื่อเห็นท่าน ก็ดูท่านเพลิน ชื่นใจ ประเดี๋ยวได้ยินเสียงฝาบาตรดัง ก๊ง แล้วมหาพุฒ ก็บอกว่า คุณ ลืมตาได้แล้ว เทวดาใส่บาตรแล้ว วันนี้คุณทำถูก ทำอย่างนี้ต่อไปทุกวันนะ จะไม่พลาดจากการได้กินข้าวจากเทวดา

แล้วภาพท่านก็หายไป พอลืมตาขึ้นมาเปิดฝาบาตรดู มีข้าวในบาตร สีเหลือง ๆ น้อย ๆ และมีดอกไม้ที่ไม่เคยเห็นมาในกาลก่อน มีอยู่ ๑ ดอก เอาข้าวมากิน มันมีรสหวานน้อย ๆ มีอารมณ์ชุ่มชื่น ตอนนี้ก็ได้ท่าแล้ว วันหลังต่อมาก็ใช้วิธีแบบนี้ หลับตาพับ ไม่สนใจแล้วกับใครสนใจกับภาพพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ภาวนา พุทโธ หายใจเข้านึกว่า พุท หายใจออกนึกว่า โธ

และนึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่าที่เคยเห็น ตอนนี้ ตอนแรกท่านมาให้เห็น ตอนหลังเรานึกเห็นเอาเอง นึกเห็นเอาเอง จิตก็เห็นภาพชัดเจนเหมือนกับที่ท่านมาให้เห็น พอได้ยินเสียงฝาบาตร ก๊ง ก็ยกมือไหว้พระพุทธเจ้าเสร็จ ลืมตาขึ้นมามีข้าวตามเดิม ซ้อมอย่างนี้อยู่ในป่าช้า ๑๕ วัน ถ้าถามว่า ในยามปกติ หลังจากนั้นกับพระอื่น ก็เล่นกับเขาธรรมดา เขาคุยสนุก เราก็คุยสนุก เขาแบบไหน เราก็แบบนั้น ก็ถือว่า แค่อะไรก็แค่กัน เวลาปกติก็เป็นเวลาปกติ

หลังจากนั้น เมื่อครบ ๑๕ วันเสร็จ ท่านส่งไปที่ป่า โน่น…ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ๓ องค์ไปซ้อมกันที่นั่น ท่านบอกว่า อีคราวนี้แหละแก ถ้าแกไม่ได้กินข้าว เทวดาไม่ให้ แกก็ไม่ต้องกินอะไรทั้งหมด เพราะไม่มีวัดที่อาศัย ไม่มีบ้านที่อาศัย ก็ไม่ไกลบ้านนัก แต่มันอยู่ในป่า กว่าจะเดินออกไปถึงบ้านได้ก็ ๒ - ๓ ชั่วโมง ก็ยิ่งไกลหนักเข้าไป

ความหวังไม่มีที่พึ่งอื่น อารมณ์ใจก็ยิ่งเป็นสุข อารมณ์ก็เป็นเอกัคคตารมณ์ นั่นก็หมายความว่า ทุกวันกินข้าวเทวดาได้ทุกวัน และที่ดีไปกว่านั้น ในป่าที่มีความสุขจริง ๆ ก็คือว่า กลางวัน ทั้ง ๆ ที่อยู่ไกลบ้านแสนไกล ก็มีคนมาเป็นเพื่อนคุย แต่คนที่มาคุยนั่น ทุกคนตาแข็งหมด ไม่มีใครกระพริบตา พวกนี้ไม่กลัวผงเข้าตา เป็นผู้หญิงบ้าง ผู้ชายบ้าง ผู้หญิงแก่ ผู้ชายแก่ก็ดี เราถือว่า ท่านเป็นครู

เวลานี้เราอายุ ๒๐ ปีกว่า ๆ ท่าน ๕๐ – ๖๐ ปี ไม่ช้าเราก็ ๕๐ – ๖๐ ปี เหมือนท่าน พอเห็นท่านปั๊บ เรามีความคิดอย่างนั้นท่านผู้นั้นก็ยิ้ม ถามว่า ท่านมีความรู้สึกอย่างนี้หรือ ก็ตอบว่า ใช่ ถามว่าโยม ทำไมถึงมีความรู้ว่าอาตมาคิดอย่างนี้ล่ะ โยมก็บอกว่า โยมเป็นคนแก่ เดิมทีเดียวก็มีความรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน โยมรู้ใจคน บางวันก็หาคนแก่ไม่ได้ มีแต่คนสาววัยรุ่น กับสาวเต็มตัว

อายุไม่เกิน ๑๘ ปี ถ้าเต็มตัว วัยรุ่นก็ ๑๓ - ๑๔ - ๑๕ - ๑๒ นี่ มาเป็นฝูง นำอะไรต่ออะไรมาดะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่นำมาก็เป็นดอกไม้มาถวาย แล้วก็นั่งทำตาเล็กตาน้อย ผู้หญิงฟังคงรู้เรื่องกระมัง ตาเล็กตาน้อยนี่ พอเห็นเธอทำแบบนั้น ก็เลยบอกว่า หนู ฉันน่ะ แก่แล้วนะ แล้วก็มีสาวคนหนึ่งบอกว่า เขาแก่กว่านี้ ผู้หญิงเขายังเอาทำผัวกันเลย นี่ทำไม แก่เท่านี้จะเป็นผัวผู้หญิงไม่ได้รึ

ก็ตอบว่า ถ้าแก่ธรรมดา พอเป็นผัวผู้หญิงได้ แต่แก่เป็นพระนี่ มันมีเมียไม่ได้ เธอก็ถามว่า จะไม่สึกแน่รึ ก็ตอบว่า ถ้ายังไม่อยากสึกก็ไม่สึก ถ้าอยากสึกเมื่อไร ก็จะสึก เธอถามว่า มีกำหนดไหม ก็บอกว่า กำหนดไม่มี คุยไปคุยมา คุยมาคุยไป เผลอประเดี๋ยวเดียว หันหน้ามากินน้ำ มารินน้ำจากกระติก พอหันไปอีกที แม่เจ้าประคุณเอ๋ย พ้นจากความเป็นสาว ฟันเฟินไม่มีแล้ว ตาโหล หนังเหี่ยวไปแล้ว

บอก นี่ ที่ฉันไม่มีเมียเพราะกลัวแบบนี้ ก็ถามว่า กลัวอะไร ก็กลัวไอ้หนังเหี่ยวแบบนี้ เมื่อกี้มันสาวผ่องใส ยังน่ากอดน่ารัด นี่เวลานี้ แม้แต่มือจะแตะตาจะมองเห็น ยังไม่อยากจะมองเห็นเลย แกก็หัวเราะชอบใจ แกก็เลยบอกว่า ท่าน เริ่มชนะแล้วนะ ถาม ชนะอะไร บอกว่า ชนะความงาม ก็เลยบอกว่า ยัง เมื่อกี้ยังเห็นว่าเธอสวยอยู่ แต่ฉันก็คิดว่า ที่ไม่ต้องการเธอเป็นเมียก็เพราะอะไรรู้ไหม

เธอถามว่า เพราะอะไร เพราะว่า เธอเป็นนางฟ้า เธอไม่ใช่คน ฉันไม่อยากจะเอาลมมาทำเมียฉัน เธอก็หัวเราะชอบใจ กลับมาสาวใหม่ บอก รู้แล้วก็แล้วไป ดีแล้ว ฉลาดอย่างนี้ก็ดีแล้ว สักวันหนึ่งข้างหน้าคงเจอะกัน นั่นแน่ แกมีลีลาหลายลีลา ต่อไปอีกวันหนึ่ง เว้นไป ๑ วัน พอวันที่ ๓ หลังจากวันนั้นนะ ก็ปรากฏว่า มีเสียงสาวคุย แหม เสียงเพรียก เสียงเพราะ โหยหวน คำว่า โหยหวน ไม่ใช่เสียงผีนะ

เสียงนิ่มนวล เสียงน่าฟัง พอออกมาจากป่า แทนที่จะเป็นสาว กลายเป็น เสือโคร่งฝูงเบ้อเร่อ พอเดินย่างสามขุมเข้ามา ก็นึกในใจ มองไปหาเพื่อน ถาม เฮ้ย…มีความรู้สึกอย่างไรโว้ย เพื่อนก็บอกว่า ไอ้เสือพวกนี้มันไม่กระพริบตานะ เลยบอกว่าตามธรรมดา เสือมันเห็นคนมันไม่กระพริบตา เพื่อนก็บอกว่า ไม่ใช่หรอก สังเกตดูให้ดี เจ้าเสือพวกนี้ขนมันไม่พอง ถ้าเสือจริง ๆ ขนมันพอง

และอีกประการหนึ่ง เสือมาเป็นฝูงอย่างนี้ไม่มี ตามประเพณีเสือ ไม่มี ต้องไปเดี่ยว อย่างเก่งเขาก็ไป ๒ ตัว ผัวเมีย แต่เดินห่างกัน แต่นี่มันมาเป็นฝูง คงไม่ใช่เสือธรรมดา ก็เป็นเสืออย่างวานซืนนี้แหละ ผมคิดว่า พวกวานซืนนี้คงจะมา เพื่อนว่าอย่างนั้น ในเมื่อสรุปแล้ว ก็เป็นอันว่า เมื่อเสือฝูงนั้นเข้ามาใกล้ พวกเราก็นั่งเฉย ๆ กินข้าวกินน้ำตามธรรมดา ๆ

เขาสูบบุหรี่ก็สูบไป อยากทำอะไรก็ทำ ทำท่าเหมือนกับไม่รู้ว่าเสือมา มีเสือตัวหนึ่งรำคาญ ถามว่า ไม่กลัวเสือหรือเจ้าคะ (เสือเสียท่า คำว่า เจ้าคะ นี่เป็นผู้หญิง) บอกว่า เอาแล้ว แม่เสือกระบาก เอ๊ย…มาทำไม วานซืนนี้ก็มาเป็นรูปผู้หญิงสาว แล้วก็แก่ วันนี้มาเป็นเสือ ไอ้พวกแกเป็นเสือแบบนี้ ฉันจึงไม่มีเมีย เพราะอะไรรู้ไหม ถ้ามีสภาพเป็นเสื้อแบบนี้ยังค่อยยังชั่ว

สำคัญหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เสียงเพราะ จริยานิ่มนวล แต่ถ้าเผลอเมื่อไร เธอก็คว้าเสือกระบากขว้างฉัน นี่ฉันก็แย่น่ะซิ แล้วพวกเธอก็ ฮา..ครืน กลับร่างกายเป็นนางฟ้า ทีนี้เป็นนางฟ้าเต็มอัตรา ไม่ใช่คนแล้ว เปล่งปลั่ง สวยสดงดงามมาก ลีลาดีมาก เธอก็บอกว่า พวกฉันนี่ ที่ท่านใส่บาตร พวกฉันนี่มาใส่บาตรทุกวัน เห็นว่าท่านมี พรหมวิหาร ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์

ฟังให้ดีนะ เห็นว่าท่านมี พรหมวิหาร ๔ ครบถ้วนบริบูรณ์ ประการหนึ่ง ประการที่สอง มีพุทธานุสสติ ประการที่สาม มี ธัมมานุสสติ ประการที่สี่ มี สังฆานุสสติ ประการที่ห้า มี สีลานุสสติ ประการที่หก มี มรณัสสติ ประการที่เจ็ด มี อุปสมานุสสติ คือ ถือพระนิพพานเป็นที่ไป จึงมาใส่บาตรให้ ก็เป็นอันว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกฉันจะไม่มารบกวน

ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า ว่าง ๆ ก็มาคุยกันนะ อย่าปล่อยฉันเหงาเกินไปนะ ถ้ามาคุยทีหลัง ก็ไม่ต้องปลอมกันมา เป็นนางฟ้า ก็นางฟ้ากันไปเลย แล้วบอกว่า ทำบุญอะไรจึงเป็นนางฟ้าอย่างนี้ ใครทำบุญอะไร ใครอยู่ที่ไหน ชื่ออะไร พ่อแม่ (โคตรเหง้า เหล่ากอ ไม่ได้ถามเขานะ) ชื่ออะไรบอกกันมา แล้วทำบุญแบบไหน จะได้ไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง

เขาบอกว่า เออ…ถ้าอย่างนั้นก็ดีนะ ว่าง ๆ ฉันจะมาเล่าสู่กันฟังว่า ใครทำบุญอะไร จะเอาพวกฉันมาแต่ละคน ๆ แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่บ้านใกล้เคียงกับวัดของท่านก็มีนะ นี่ ๒ คนนี่อยู่บ้านใกล้ ๆ ถามว่า ชื่ออะไร แกก็บอกชื่อ ถามว่า เป็นอะไรตาย เป็นไข้ตาย เป็นคนที่ใส่บาตรอยู่เสมอ อาศัยการใส่บาตรกับท่าน ฉันก็ไม่รู้ว่าเวลาใส่บาตรท่านภาวนา อิติปิโสฯ

แต่ว่าเวลาก่อนจะตาย เห็นภาพพระพุทธเจ้าเด่นชัดมาก แล้วท่านก็บอกว่า เธอใส่บาตรกับพระที่ภาวนาอิติปิโสฯ นี่ จะไปนรกไม่ได้ ต้องไปสวรรค์ แล้วฉันก็อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถามว่า โยมชื่ออะไร เธอก็ตอบว่า ฉันชื่อ ภู คนบางนมโคทั้งหมด รู้จักคนชื่อ ภู ทั้งหมดในสมัยนั้น

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/8/12 at 13:23 [ QUOTE ]


3
ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๑


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับวันนี้ วันที่บันทึกเป็น วันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตรงกับ ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ รุ่งขึ้น คือ วันพรุ่งนี้ จะเป็น วันวิสาขบูชา ความจริงภารกิจของวันนี้ก็คือ ป่วย อาการป่วยมันป่วยมาก มันอืดขึ้นมาถึงอก ก็เป็นเรื่องของการป่วย ช่างมัน เมื่อวานนี้พูดถึงเรื่อง ผีท่านขุน ก็ลืมบอกไปว่า

สำหรับสัตวบาล คือ นักเรียนหญิงของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา เป็นนักเรียนประจำ ที่เป็นสัตวบาลที่เรียนจากแพทย์ ก็มี ๒ คน คือ ๑. บุญตา ๒. กุ๊กกิ๊ก กุ๊กกิ๊กนี่ชื่อจริง ๆ อะไร เดี๋ยวก่อน ขอดูตำราก่อน ชื่อจริง ๆ ไม่ได้เรียกกัน เรียกแต่ว่า กุ๊กกิ๊ก จิตเกษม คือ จิตเกษม กับ บุญตา ทั้งสองคนนี้ สัตวแพทย์ที่มาบวชอยู่ที่วัด

สอนให้รู้จักการรักษาสุนัข เพราะว่า สุนัขที่นี่มีเกินร้อยตัว เฉพาะในวงขอบของรั้วที่กุฏิ ข้างนอกต่างหาก ค่าอาหารสุนัขจริง ๆ เฉพาะข้าวสาร ข้าวหัก เดือนละหลายกระสอบ เรื่องนี้ก็ผ่านไป สำหรับวันนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย ตอนเช้า หลังจากฉันภัตตาหารเสร็จ ก็ไปชั้นล่าง ไปที่กุฏิชายน้ำ เป็นที่ทำงาน พักอยู่ พอเช้า ๘ โมงครึ่ง ก็ไปดู ลุงชิต ทำงานที่ ศาลา ๑๒ ไร่

ที่นั่นกำลังปูพื้นกระเบื้องเคลือบ แล้วก็จะทำเคาน์เตอร์ต่าง ๆ ทำที่ขายอาหารรับประทานอาหารกัน ก็รวมความว่า ภารกิจตอนเช้าเสร็จไป ตอนหนึ่งที่ ๑๒ ไร่ ได้ยินเสียงปี่พาทย์บรรเลง ก็คิดในใจว่า เสียงปี่พาทย์มาจากไหน พระก็บอกว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันวิสาขบูชา และเป็นวันสะเดาะเคราะห์ บรรดาคณะดนตรีของโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา มาซ้อมกันที่ศาลา ๑๒ ไร่

เพราะทำที่นั่น หลังจากนั้นก็กลับ พอกลับมาถึงที่พัก ตอนเช้ามันก็ดี คือว่า ตอนก่อนเพล มันดี พอฉันข้าวเพลเสร็จ อาการง่วงเริ่มเกิดขึ้น เจ้าโรคเก๊าต์นี่มันทำลายประสาทน่าดู บรรดาท่านพุทธบริษัท ใครที่ไม่เคยเห็น คงไม่ทราบ อาตมาไม่เคยเป็นมาก่อน เขาบอกว่า เป็นโรคเก๊าต์ ก็แค่นั้นแหละ แต่รู้สึกว่า โรคเก๊าต์นี่เป็นโรคที่มีความร้ายแรงมาก ทำลายระบบประสาทต่าง ๆ ทั้งหมด

ในเมื่อโรคเก๊าต์มันรบกวน มานอนในที่สงัด ก็หวนคิดถึงความหลัง ในสมัยเมื่อบวชพรรษาที่ ๑ ผ่านไป กำลังจะเข้าพรรษาที่ ๒ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ วันนี้ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ใกล้จะวิสาขบูชา วันนี้ยังอยู่ที่ ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี กำลังฝึกวิธีการธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ การฝึกธุดงค์เวลานั้นก็แบกเอาตำราของนักธรรมโทไปด้วยทั้งหมด

นักธรรมโทมีหนังสืออะไรบ้าง แบกไปด้วย ถ้าจะถามว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ทำไมต้องแบกหนังสือไป ก็ต้องขอตอบว่า ปริยัติ กับปฏิบัติ มันห่างกันไม่ได้ ถ้าใช้ปริยัติอย่างเดียวไม่ใช้ปฏิบัติควบคุม อย่างนี้จะพบกับความเป็นมิจฉาทิฏฐิเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เพราอะไร เพราะว่า การอ่านหนังสือ แล้วใช้อารมณ์คิด อารมณ์คิดที่คิด ก็คิดด้วยอารมณ์หยาบ

อารมณ์ที่เต็มไปด้วยนิวรณ์ ๕ ประการ ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดตัวปัญญา ฉะนั้น ความเข้าใจของนักปริยัติโดยตรง ไม่ค่อยจะตรงกับความเป็นจริงในพระพุทธศาสนา ฉะนั้น เมื่อจะปฏิบัติ ก็ต้องมีปริยัติด้วย เรียนนักธรรมตรีจบไปแล้ว ที่นั่นเขาไม่มีการสอนบาลีกัน ที่วัดบางนมโค แต่เรียนจริง ๆ เรียนที่วัดบ้านแพน เป็นวัดเจ้าคณะตำบล ก็แบกตำราวิชานักธรรมโทไปหมด ท่องแบบคล่อง เพราะเงียบสงัด ไม่มีใครกวน อ่านหนังสือเข้าใจ

เวลาอ่านหนังสือไม่เข้าใจตอนไหน ก็ขีดเส้นใต้ไว้ เวลาอ่าน อ่านช้า ๆ ตั้งใจอ่านคราวละ ๔ ใบ อ่านไปจบ ๔ ใบ เวลาอ่าน ตั้งใจจำทุกตัวอักษร ทุกถ้อยคำ แล้วก็วางหนังสือนิดหนึ่ง นึกทบทวนดู จำได้หรือยัง หรือสงสัยหรือยัง ถ้ายัง ก็ดูใหม่เป็นวาระที่ ๒ ดูช้า ๆ ดูเที่ยวที่ ๒ เที่ยวที่ ๒ เริ่มสงสัย แล้วก็ดูเที่ยวที่ ๓ แก้สงสัยไปในตัวเสร็จ ถ้าข้อไหนแก้สงสัยไม่ได้ ข้อนั้นขีดไว้

เอาไว้ถามบรรดาครูบาอาจารย์ที่ท่านจะมาสอนในเวลากลางคืน แล้วดีไม่ดี ท่านก็มาสอนในเวลากลางวัน ถ้าถามว่า ครูบาอาจารย์มาจากไหน ต้องตอบว่า ไม่ทราบ ครูบาอาจารย์ที่มาสอน บางทีเป็นฆราวาส เป็นผู้ชายก็มี เป็นผู้หญิงก็มี เป็นคนแก่ก็มี เป็นคนหนุ่ม คนสาวก็มี เป็นพระก็มี ท่านจะมาตามความจำเป็น

ก็เป็นอันว่า ขณะวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลานั้น วันนี้กำลังเงียบสงัด เวลาประมาณ ๖ โมงเย็น นี่ก็ ๖ โมงเย็นครึ่ง ที่บันทึกนี่ ก็นึกถึงความหลังขึ้นมาว่า วันนั้นเราอยู่ในป่าศรีประจันต์ด้านทิศตะวันออก เรากำลังนั่งอ่านหนังสือ แล้วขีดเส้นใต้ตัวที่ไม่เข้าใจ ทั้งสององค์ก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะเรียนมาด้วยกัน ทำด้วยกัน ปฏิบัติด้วยกัน

เมื่อขีดเส้นใต้เสร็จรู้สึกว่าการอ่านหนังสือมันเหนื่อย บางจุดก็คิดไม่ออก ก็เริ่มเจริญกรรมฐาน ทำกรรมฐานพอจิตสบายพอมีอารมณ์เป็นสุข กรรมฐานจริง ๆ น่ะ ไม่ได้คิดหวังต้องการฌานสมาบัติ ต้องการอะไร ไม่มี มีความต้องการอย่างเดียว คือ จิตเป็นสุข ถ้าขณะใดจิตเป็นสุข ถือว่า เราถึงกรรมฐานกองนั้น ถ้าขณะทำไปจิตยังไม่เป็นสุข ถือว่า ใช้ไม่ได้ มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน

แต่ว่า ทำไป ๆ เมื่อจิตถึงที่สุดของอารมณ์ คำว่า ที่สุดของอารมณ์ ก็หมายถึงอารมณ์ที่จะพึงได้ จะถามว่า ฌานชั้นไหนน่ะไม่ได้ มันได้แค่ไหนก็ได้แค่นั้น อย่างนักเรียน ป. ๑ เขาเก่งที่สุด ของ ป. ๑ นักเรียน ป. ๒ ก็เก่งที่สุดของ ป.๒ เอาเก่งที่สุดก็แล้วกัน คือ อารมณ์ถึงที่สุด เมื่ออารมณ์ถึงที่สุดแล้ว ตำราเดิมก็เกิดมา คือ ตำราตุ่มน้ำ หวังว่าท่านผู้อ่าน

หรือว่าฟังมาจากตอนต้นคงจำตำราตุ่มน้ำได้ เมื่อจิตถึงที่สุด ตำราตุ่มน้ำก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ มันก็ไปตามจุดที่ต้องการของมัน มันไปของมันเอง ไม่มีการบังคับ ไม่ได้นึกว่าจะไป มันก็ไปในสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่จะไป ก็ไปสวรรค์กันบ้าง ไปพรหมกันบ้าง ไปนรกบ้าง ไปแดนเปรตบ้าง ไปแดนอสุรกายบ้าง ไปดินแดนมนุษย์บ้าง ตามเรื่องตามราว

ถ้าไปถึงในสถานที่นั้น ก็พบใครคนใดคนหนึ่งหรือหลาย ๆ คน ก็ถามชื่อเขาว่า ก่อนที่ท่านจะตายนี่ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านชื่ออะไร นามสกุลว่าอย่างไร มีลูกเต้า มีสามี มีภรรยาชื่ออะไร ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทำอะไรไว้จึงตกนรก ทำอะไรไว้จึงขึ้นสวรรค์ ทำอะไรไว้จึงเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าท่านผู้ฟังอย่างนี้ จะหาว่าอวดอุตตริมนุสสธรรม มันก็ยังไม่ได้นะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ในฐานะที่พวกเราห่มผ้ากาสาวพัสตร์ด้วยกัน ก็พยายามทำตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน พอไปในแดนต่าง ๆ เสร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้มีความรู้สึกว่า ชีวิตของเราล่อแหลม เนื่องจากความตายมาก เพราะอะไร เราอยู่ในป่าตามลำพัง

ถึงแม้ว่าจะอยู่ ๓ องค์ ก็เหมือนอยู่องค์เดียว ความกลัวก็คือ ๑. กลัวเสือจะกิน แต่ยุงจะกิน ริ้นจะกัดไม่กลัว เพราะยุงไม่กิน ริ้นไม่กัด ประการที่สอง อาจจะงูกัดตาย ประการที่สาม อาจจะป่วยตาย ประการที่สี่ ถ้าครองอารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น เทวดาไม่เลี้ยง นางฟ้าไม่เลี้ยง ก็อดข้าวตาย แต่กำลังใจก็มีอยู่ว่า ถ้ามันจะตาย ก็ตายเถอะ เราจะตายด้วยกำลังของปีติในธรรมะของพระพุทธเจ้า

ขณะเมื่อตัดสินใจอย่างนี้ เวลาที่ตัดสินใจเวลานั้น นั่งอยู่ที่ชั้นดาวดึงส์ อยู่ที่มุมหนึ่งของ จุฬามณีเจดียสถาน เห็นพระกับเทวดาท่านมามาก ก็นึกในใจว่า ก่อนจะเกิด เรามาจากไหน แต่ความจริงถ้าใช้ จุตูปปาตญาณ ก็ทราบ แต่มันก็ไม่แน่ อาจจะเป็นอุปาทาน นึกในใจว่า มีพระองค์ไหนบ้างที่ท่านจะเมตตาบอกเราว่า ก่อนที่เราเกิด มาจากไหน

พอนึกเพียงเท่านี้ ก็มีพระองค์หนึ่งท่านเข้ามาใกล้ แต่พระองค์นี้บรรดาท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่าน เป็นพระที่ต้องเคารพอย่างสูง นั่น คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็บอกว่า สัพพเกสี ก่อนที่เธอจะไปเกิดเป็นคน เธอไปจากพรหมชั้นที่ ๔ เวลานั้นหลายชาติมาแล้ว เธอปรารถนา พุทธภูมิเวลานี้เธอก็ตั้งใจปรารถนา พุทธภูมิ ตามที่หลวงพ่อปานสอน อันนี้ถูกต้อง

แต่ว่าการเป็นพุทธภูมิของเธอน่ะ ไม่ตลอดรอดฝั่ง เพียงเข้าได้ถึง ๙๙ เปอร์เซ็นต์ เธอก็ต้องลาพุทธภูมิ ก็ถามท่านว่า จะลาชาติไหน และชาติไหนจะได้ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ท่านก็บอกว่า ชาตินี้แหละ มันเป็นชาติสุดท้าย ถ้าเธอเอาจริง ๆ ก็จบกันชาตินี้ พุทธภูมิ แต่ความจริง นี่เธอก็ทำจริงมาทุกอย่าง เอาจริงทุกอย่าง ทำชนิดที่เรียกว่า คนอื่นเขาไม่ค่อยจะทำกัน ไม่ใช่ไม่มีคนทำอย่างนี้

พระที่ทำอย่างนี้ มี คนที่ทำอย่างนี้ มี แต่ว่ามีจำนวนน้อย เธอมาจากพรหมชั้นที่ ๔ เวลาตายแล้วต้องกลับขึ้นไปสูงกว่านั้น ความรู้สึกในเวลานั้นก็คิดว่า คงจะเป็นพรหมชั้นที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ ที่๙ ก็ว่ากันตามเรื่องตามราว พอคิดอย่างนั้น ท่านก็บอกว่า ไม่ถูก ต้องไม่ใช่ดินแดนของพรหม แต่ว่าเธอต้องรับภาระ ก่อนจะตายเธอต้องรับภาระพุทธภูมิก่อน ในเมื่อเธอลาจากพุทธภูมิแล้ว เธอต้องทำงานพุทธภูมิจนกว่าจะสิ้นลมปราณ

ก็เลยถามท่านว่า การสิ้นลมปราณ เมื่อไรกันแน่ อายุเท่าไร ท่านก็เลยบอกว่าสุดแล้วแต่กฎของกรรม กรรมมันมี ๓ อย่าง ๑. กุศลกรรม กรรมที่เป็นบุญ คือ ความดี ความดีส่งผลให้อยู่อายุเท่าไร ก็อยู่อายุเท่านั้น และกรรมที่เป็นอกุศล คือ ผลของความชั่ว มันจะมาลิดรอนเมื่อไร ก็ต้องอยู่ได้แค่นั้น แต่ว่าอีกกรรมหนึ่งที่กำหนดไม่ได้ คือ กรรมความดีที่ทำไว้

และก็งานนั้นยังไม่เสร็จตามคำสั่ง ถ้างานนั้นยังไม่เสร็จตามคำสั่งเพียงใด เธอก็ยังตายไม่ได้ ก็ถามว่า ใครจะเป็นคนสั่ง ท่านก็ตอบว่า วันนั้นจะรู้เอง ถามว่า วันนั้น เวลากี่ปีพระเจ้าข้า ท่านบอกว่า การนับปี นับเดือน นับวัน นั้นไม่ถูก สุดแล้วแต่กำลังใจของเธอ ถ้ากำลังใจของเธอถึงวันนั้นเมื่อไร จะทราบเรื่องนี้ แต่ก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่า ความตาย ยังไม่มีในป่า ในป่าของอำเภอศรีประจันต์ ตอนนั้นท่านก็นิ่ง ผู้พูดหรือผู้เขียนนี่ก็นิ่งเหมือนกัน

นึกในใจว่า ข้อความใดที่เราอ่านหนังสือแล้ววันนี้ ที่มีความไม่เข้าใจ เราขีดเส้นไว้ มีพระองค์ใดไหมที่จะสอนเรา หรือเทวดาองค์ไหนหรือพรหมองค์ไหน พอนึกอย่างนี้ท่านก็ยิ้ม ท่านบอก ฉันนี่แหละ จะเป็นคนสอน ท่านก็แนะนำให้บอกว่า ถ้าหากว่าจะสอบ ตามวิธีกรรมที่เขาสอบต้องตอบอย่างนี้ ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้ แต่ว่าถ้าจะเอาจริงตามแบบปฏิบัติในพุทธศาสนาจริง

ต้องมีความเข้าใจอย่างนี้คือมันผิดกัน รู้สึกว่ามันผิดกันมาก แล้วท่านก็อธิบายให้ฟัง จนมีความเข้าใจทุกข้อ หลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ต่อจากนี้ไป เธอก็ไปที่เก่าของเธอก็แล้วกันนะ ฉันจะเข้า จุฬามณีเจดียสถาน เพราะพรหม เทวดา พระอริยเจ้าท่านคอยอยู่ ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะเข้าไปบ้างได้ไหม อยากจะเจอะพรหม เจอะเทวดามาก ๆ เจอะพระอริยเจ้า

เพราะมีความเคารพในพระอริยเจ้ามาก ท่านบอกว่า เข้าได้ แล้วท่านก็เสด็จเข้าไป อาตมาเองก็เดินเข้าไป ก็พอดีอีก ๒ องค์ ก็มาพร้อมกัน เข้าไปพร้อมกัน เข้าไปก็เห็นว่าพระอริยเจ้านั่งเป็นกลุ่ม ๆ ความจริง คำว่า พระอริยเจ้าจริง ๆ นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ท่านตายไปแล้วนั่นเรื่องหนึ่งต่างหาก สำหรับพระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ที่มีความสำคัญ ที่ท่านเป็นพระก็มี

ท่านเป็นอุบาสก อุบาสิกา คือ ผู้หญิง ผู้ชายที่ยังไม่ได้บวชก็มี เป็นพระอริยเจ้า ท่านนั่งตามดำลับของท่าน ต่างคนต่างตั้งใจสดับ รับรสพุทธพจน์เทศนาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว ฟังมาถึงตอนนี้ จะรู้สึกว่า คนพูดบ้าหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ก็ไหน ๆ มันก็บ้ามาหลายสิบปีแล้ว ก็บ้ามันต่อไป

หลังจากท่านเทศน์เสร็จ ท่านก็หายไป ผู้พูดหรือผู้เขียน ก็หันไปมองพระอริยเจ้า ที่สนใจก็คือพระอริยเจ้าที่ยังไม่ตาย ที่ตายแล้วนมัสการท่าน ท่านก็ยิ้ม ท่านก็จับมือจับไม้ ท่านก็ชี้มือชี้ไม้ แสดงว่า รู้จักกันมาก่อนก็เยอะแยะ ในชาติก่อน ๆ แต่พระอริยเจ้าที่ยังไม่ตายนี่ก็หลาย พระอรหันต์ก็มี พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีก็มี ฆราวาสที่เป็นอนาคามี มีทั้งผู้หญิง ผู้ชายก็มี

พระโสดาบันก็มี สกิทาคามีก็มี เมื่อเห็นฆราวาสท่านเป็นพระอริยเจ้า ก็รู้สึก อายท่าน ว่า ท่านนุ่งกางเกง ท่านนุ่งผ้าโจงกระเบน ท่านเป็นพระอริยเจ้าได้ แต่เรายังไม่ใช่พระอริยเจ้า เราเลวกว่าท่านมาก ที่รู้จักท่านก็มีเยอะ แต่ความจริงพระอริยเจ้าผู้ชาย ผู้หญิงน่ะ แหม…ญาติโยม หรือท่านผู้ฟัง บางคนก็แต่งตัวรุ่งริ่ง ๆ ผ้าเก่าแล้วเก่าอีก คนแต่งตัวดี ๆ ไม่ค่อยมี มีแต่คนจน ๆ แสนจน จนน้อยบ้าง จนมากบ้าง

จนจริง ๆ ดูเครื่องแต่งตัว แต่ถ้าดูความเป็นทิพย์ของท่าน มีความผ่องใสมาก นั่นขอดูภาพเดิมท่านนะ ที่รู้เครื่องแต่งตัว และที่รู้จักกันมี ที่ไม่รู้จักกันก็มี ที่รู้จักกันก็มีหลายคน ที่รู้จักกันก็รู้สึกว่า บรรดาประชาชนบางคน ดูถูก ดูหมิ่นท่านว่าเป็นคนโง่เง่าเต่าตุน ก็รวมความว่า วันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในอดีต คือ ก่อนเข้าพรรษาที่ ๒ มานั่งคิด นอนคิดถึงความหลังว่า

เราอยู่ในป่าศรีประจันต์ หลังจากนั้นก็กลับ ก็คิดว่า อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพียงแค่พักเดียว พอกลับลงมาปรากฏว่า ได้อรุณพอดี ก็จึงหยิบบาตรขึ้นสะพาย ตั้งใจว่า จะอาศัยต้นไม้ต้นไหนเป็นที่บิณฑบาต เคยแขวนต้นไม้ พอสะพายบาตรเสร็จ พอหันหน้ามา จะเดินทางจากกลด ก็ปรากฏว่ามีเทวดา กับนางฟ้า เป็นอากาศเทวดาก็มี รุกขเทวดาก็มี ภุมเทวดาก็มี

ท่านยืนเป็นแถวอยู่ ท่านบอกว่า วันนี้ไม่ต้องเดินไกลเจ้าค่ะ เพราะว่าเมื่อคืนไม่ได้หลับนอนตลอดคืน ไม่ต้องเดินไกล ฉันมาคอยแล้ว ท่านก็ใส่บาตร พอใส่บาตรแล้วท่านก็ยกมือ สาธุ ท่านบอกว่า ที่ท่านคิดว่า ท่านไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า แต่ก็จงอย่าลืมว่า ท่านเป็น พระโพธิสัตว์ ก็เลยบอกว่า พระโพธิสัตว์มีบารมีไม่เท่าพระอริยเจ้าท่าน ท่านมีความบริสุทธิ์แล้ว

อย่าง พระโสดาบัน ท่านก็ตัด สังโยชน์ ๓ ได้ พระสกิทาคามีก็เช่นเดียวกัน พระอนาคามีท่านตัดสังโยชน์ ๕ ได้ แต่ว่าพระโพธิสัตว์ ตัดอะไรยังไม่ได้ แม้แต่นิวรณ์ยังมีเต็มตัว แต่เทวดา กับนางฟ้าท่านก็บอกว่า ก็ไม่ใช่ของแปลก ในเมื่อทำบุญ ได้บุญก็แล้วกัน เมื่อท่านพูดเท่านั้นแล้วท่านก็นั่งลง ยกมือไหว้ แล้วก็หายไป พวกนี้ไม่ต้องเดิน หายไปเฉย ๆ

เป็นอันว่า วันนั้นข้าวเยอะ แต่กับข้าวไม่มี มีแต่ข้าวสีเหลืองเฉย ๆ อีก ๒ องค์ก็ยิ้ม บอก วันนี้เราสบายนะ เราเที่ยวกันแบบนี้ เรามีความสดชื่น และได้รับความรู้ คิดว่า ปีนี้เราต้องสอบนักธรรมโทได้แน่ เพราะว่าเราได้ครูใหญ่สอนวิชาถึง ๒ ประเภท ทั้งด้านปริยัติ และด้านปฏิบัติ ให้มีความเข้าใจในตำราทั้ง ๒ อย่าง ถ้าเขาสอบด้านปริยัติ ให้ตอบอย่างนี้

ถ้าจะปฏิบัติ ให้มีความเข้าใจอย่างนี้ นี่แหละผู้อ่าน และผู้ฟัง เรื่องปริยัติ กับปฏิบัติ มันขัดกันตรงนี้แหละ เพราะว่า ความเข้าใจไม่เสมอกัน แต่ปฏิบัติก็เหมือนกัน ปฏิบัติถ้าได้ถึงไหน มีความเข้าใจถึงนั่น อย่างคนที่เป็นพระโสดาบันจะเข้าใจเรื่องราวของสกิทาคามีนั้น ไม่ได้ ความเข้าใจยังผิดมาก เกือบเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ท่านได้พระสกิทาคามี จะเข้าใจเรื่องของอนาคามี ก็ยังไม่ถึง ยังไม่ถูกอีก

ท่านที่ได้อนาคามี จะเข้าใจเรื่องอรหันต์ก็ไม่ได้ อรหันต์ธรรมดา จะไปเข้าใจเรื่อง อัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา นี่ก็ไม่ได้ต้องถึงขั้นจริง ๆ จึงจะตอบถูก เข้าใจถูก รู้ถูก เป็นอันว่า เมื่อฉันข้าวเสร็จ ก็ปรึกษากันว่า เราทั้งสามคนจะนอนหรือไม่นอน อีก ๒ องค์ก็ตอบว่า เราต้องนอน ร่างกายต้องเป็นร่างกาย เมื่อคืนนี้ร่างกายมันนั่ง มันนั่งทั้งข้างล่าง และก็นั่งทั้งข้างบน

ไม่มีเวลาพักผ่อนให้คลายตัวมันบ้าง แต่การนอนของเรา ก็ต้องนอนอย่างพระ ตามที่หลวงพ่อปานท่านสอน อย่างไร ๆ อย่าทิ้งคำสอนของหลวงพ่อปาน เพราะคำสอนของหลวงพ่อปานนี้ กับพระที่ท่านสอนข้างบนนั้น ช่างเหมือนกันจริง ๆ ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ต่างคนต่างก็เข้ากลดนอน เวลานอนทำอย่างไร บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นอนธรรมดา ๆ ไม่ใช่วิเศษวิโสอะไร

ที่ฟังอยู่นี่ หรืออ่านอยู่นี่ก็ตาม จงอย่าคิดว่า ผู้พูดหรือผู้เขียนนี่ เป็นผู้วิเศษวิโส ยังก่อน ต้องถามกันก่อนว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการน่ะ ตัวไหนตัดขาดบ้าง คำว่า นิวรณ์ แปลว่า กิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง คือ เป็นคนไร้ปัญญา ก็ต้องขอตอบว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ ครบถ้วนบริบูรณ์ ดี หรือเลว ความเลวยังมีอยู่ทั้ง ๕ อย่าง

ความรักในระหว่างเพศก็มี อารมณ์ไม่พอใจก็มี ความง่วงเหงาหาวนอนก็มี ความฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทางก็มี อาการสงสัยก็มี ความเลวทั้ง ๕ อย่างนี้ ยังมีครบ ฉะนั้น ผู้ฟัง หรือผู้อ่านจงอย่าคิดว่า ผู้พูด หรือผู้เขียนนี่เป็นคนดี ยังเป็นคนเลวเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเป็นประเภทที่ เลว ค่อย ๆ แคะความเลวออก แต่มันก็ไม่ออก นิวรณ์มันเหนียวเหลือเกิน

ทีนี้ถ้าจะถามว่า ในขณะที่อยู่ในป่า ถ้านิวรณ์กวนใจ จะทำอย่างไร ก็ต้องขอตอบสั้น ๆ ว่า ในบาลีท่านบอกว่า เหมือนกับไม้สดที่แช่น้ำยางมันก็สด น้ำมันก็เปียก มันก็ชุ่มทั้งยาง ยางก็ชุ่ม น้ำก็เปียก ถ้าไม้สดยกขึ้นมาจากน้ำ วางไว้บนตลิ่ง วางไว้บนคาน น้ำมันจะแห้ง จากไม้สด แต่ยางยังมีอยู่ฉันใด พระที่กำลังธุดงค์อยู่ในป่า ก็เหมือนไม้สดที่ยกขึ้นมาจากน้ำ วางไว้บนคานฉันนั้น

ในเมื่อนิวรณ์มันจะเข้ามากวนใจ ก็ต้องทราบทันทีว่า เวลานี้เรากำลังหนีความชั่ว กำลังแสวงหาความดี ถ้านิวรณ์ตัวนี้เข้ามาสิงใจเรา พรุ่งนี้เราจะอดข้าว เสืออาจจะกัดตายก็ได้ งูอาจจะกัดตายก็ได้ จะเป็นโรคตายก็ได้ และพรุ่งนี้เทวดา นางฟ้าอาจจะไม่ให้ข้าวกินก็ได้ เราจะยอมแพ้นิวรณ์ไม่ได้ เราจะไม่ชนะนิวรณ์ แต่ว่าเราจะยันนิวรณ์ไว้ ถ้าอารมณ์นิวรณ์เกิดขึ้นปั๊บ

ก็มีความรู้สึกตัว ก็ตัดทันที นิวรณ์ตัวต้นตัดด้วย กายคตาสติกับอสุภกรรมฐาน นิวรณ์ตัวที่ ๒ ตัดด้วยพรหมวิหาร ๔ หรือกสิณ ๔ ไม่ยาก เพราะคล่องไปแล้ว ถ้านิวรณ์ตัวที่ ๕ เกิดขึ้น ก็ไม่ยาก ขยับใจปั๊บ เปิดเลย ไปสวรรค์โน่น สวรรค์คนมาก รื่นเริงมาก หายง่วงไปเอง พอนิวรณ์ตัวที่ ๔ เกิดขึ้น ความฟุ้งซ่านรำคาญ อันนี้ไม่หนัก จับภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นแย้มพระโอษฐ์ปั๊บ หายฟุ้งซ่านทันที ถ้าอารมณ์สงสัยเกิดขึ้นมาเมื่อไร

จับพระพุทธเจ้าทันที มองดูพระพุทธเจ้า เห็นลุงพุฒ ชื่นใจ หมดสงสัย แค่นี้พอ นี่เป็นวิธีตัด คือ ถือว่าเป็นการฝึกขั้นต้นในการที่จะเข้าธุดงค์ในป่า แต่ก็เป็นขั้นอุกฤษฏ์ เวลานี้ยังอยู่ที่ป่าศรีประจันต์ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ วันรุ่งขึ้น พรุ่งนี้จะเป็น วันวิสาขบูชา เราก็จะทำพิธีวิสาขบูชาในป่า เราจะทำกันอย่างไร

เดี๋ยวก็ฟังกันหน้า ๒ หรือว่าท่านทั้งหลายที่อ่าน ก็อ่านกันตอนที่ ๔ ต่อไป เอาละ บรรดาท่านทั้งหลาย มองดูเวลาที่ตั้งไว้แล้ว ก็หมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


4
ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๒


ท่านผู้ฟัง และท่านผู้อ่านทั้งหลาย ตอนที่ ๔ ของเล่มที่ ๑๕ นี้ ก็ยังเป็น วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เพราะว่า บันทึกติดต่อกัน สำหรับตอนนี้ ก่อนที่จะมาพูด ก็พอดีเสียงโทรทัศน์บอกถึงเรื่อง ไหลตาย เรื่องไหลตายนี่ มีการแก้กันขนาดหนัก ทั้งทางราชการบ้าง ทางหมอดู หมอพยากรณ์บ้าง ก็ยังไม่พ้นเพราะมันเป็นกฎของกรรม

รวมความว่าทุกอย่าง ถ้าเป็นกฎของกรรม ก็ต้องปล่อยไปตามกรรม ไม่มีใครสามารถจะห้ามได้ วันนี้ก็มาคุยถึงเรื่องอะไรดี มาคุยกันถึงเรื่อง ป่าศรีประจันต์ ต่อไป เป็นอันว่า ในตอนที่ ๓ ได้พูดถึงเรื่องของ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ วันนี้ก็มาพูดถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ของป่าศรีประจันต์ พอวันรุ่งขึ้น เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖

ก็มานั่งปรึกษากัน ๓ องค์ว่า วันนี้ เป็น วันวิสาขบูชา เราจะบูชาพระพุทธเจ้ากันที่ไหน เพื่อนทั้ง ๒ องค์ก็บอกว่า การบูชาที่ไหนก็ถึงพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่า เรานึกเห็นท่านเมื่อไร ก็ถึงเมื่อนั้น การเห็น บรรดาท่านพุทธบริษัทบางท่านก็บอกว่า อาจจะเป็น พุทธนิมิต บ้าง อาจเป็นองค์จริงบ้าง ทั้งนี้ ไม่ขอวิจารณ์ ก็ถือว่า ถ้าเห็นภาพพระพุทธเจ้าได้ เป็นใช้ได้

จะเป็นภาพ เป็นพุทธนิมิตก็ตาม ภาพเขียนก็ตาม ภาพปั้นก็ตาม เราถือว่า นั่นคือพระพุทธเจ้า เพราะจิตเราไม่ติดที่รูป จิตเราติดที่พระพุทธเจ้า คือ ธรรมะของพระองค์ ขณะที่นั่งคุยกันว่า เราจะทำอย่างไรดี เป็นวันวิสาขบูชา เราจะเวียนเทียน เราก็ไม่มีเจดีย์ เราจะบูชาพระพุทธรูป เราก็ไม่มี เราก็บูชานึกถึงพระ จะนั่งกันเฉย ๆ ก็ดูท่ากระไรอยู่ คิดว่าเอาอย่างนี้ดีไหม

เราใช้ วิชาตุ่มน้ำ ดีไหม ตุ่มน้ำในห้องของอาตมา สององค์ก็บอกว่า แกก็ใช้วิชาตุ่มน้ำก็แล้วกัน ข้าไม่ต้องหรอก ข้าไม่ต้องเข้าตุ่มน้ำ ถามว่า เราจะไปไหนกันดี เขาก็เลยบอกว่า ทางที่ดีก็คือ พระจุฬามณี เวลานั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ทั้ง ๒ องค์เขามีความสนใจเรื่อง นิพพาน เพราะว่าทั้ง ๒ องค์นั่นเขาปรารถนา พุทธสาวก แต่อาตมาปรารถนา พุทธภูมิ เรื่องนิพพานยังไม่เข้าใจ

ขอพูดด้วยความจริงใจว่า ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานจริง ๆ และการไปไหนได้ก็ไปแค่ยัน พรหม ไม่ถึงนิพพาน นี่เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้นะ ก็เป็นอันว่า ตัดสินใจกันว่า ถ้าอย่างนั้น เราไปพระจุฬามณี สององค์ก็บอกว่า ถ้าเราไปที่พระจุฬามณี แล้วเราจะเลยไปไหน ก็คุยกันบอกว่า เราก็ไปแค่จุฬามณีก็พอ เพราะว่าที่พระจุฬามณีนั่น ใช้เวลา ๑ วันของท่าน เท่ากับ ๑๐๐ ปีของเรา เราไปชั่วเวลาประเดี๋ยวเดียว มันก็ ๒๔ ชั่วโมง

แล้วไปที่นั่นก็มีแต่ความสดชื่น มีแต่ความเอิบอิ่ม มีแต่ความปลาบปลื้มใจ อารมณ์ มีอารมณ์เป็นสุข ร่างกายเป็นอย่างไร ก็ช่างหัวมันเป็นไร เรื่องร่างกาย เราไม่เกี่ยว ถ้าเราอยู่กับมัน เราเกี่ยว เราไปจากมัน เราไม่เกี่ยว ก็ตกลงกันบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ประเดี๋ยว ประมาณสัก ๓ โมงเช้า เราไปกัน ขณะที่นั่งคุยกันอยู่นั่นเอง บรรดาท่านทั้งหลายก็ปรากฏว่ามีเสือลายพาดกลอน ๒ เสือ

อาตมาจะไม่เรียกว่า ๒ ตัว ทั้งนี้เพราะว่า จะเป็นการปรามาสครูบาอาจารย์ สองเสือย่างสามขุมเข้ามา ท่าทางดุดัน องอาจมาก ทำท่าคล้ายกับว่า จะกินพวกเรา ทั้ง ๓ คนเห็นเข้า ก็นึกในใจว่า เสือมาแล้ว ทุกวันเราเห็นแต่เพียง เสือปลาบ้าง เสือดาวบ้าง แต่วันนี้เจอะลายพาดกลอน แล้วก็ยาวมากใหญ่มาก ถ้าแกจะกินเราก็รู้สึกว่า ๓ คนอิ่มพอดี ๆ ทุกคนตั้งใจเลิกพูด ตอนนี้เลิกพูดแล้ว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าทุกคนยังกลัวตายอยู่ ไม่ใช่ไม่กลัวตาย

ก็นึกในใจว่า เวลานี้เสือมา ถ้าเสือทำร้ายเรา เราก็ต้องตาย แต่ความตายของเรามีความหมาย นั่นคือ ถ้าเราตายเวลานี้ เราจะไปอยู่พรหม นี่ผู้พูด ผู้เขียนนะ คิดอย่างนี้นะ อีก ๒ องค์เขาคิดอย่างไรก็ไม่ทราบ อีก ๒ องค์ดูเหมือนว่าจะตั้งใจไปนิพพานเลย แต่ว่าผู้เขียนเอง ไม่เข้าใจเรื่องนิพพาน ก็คิดว่า ถ้าตายเวลานี้เราอยู่พรหม ทำไมจึงจะไปพรหม ถ้าหากว่าเราจะไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ

ในเมื่อเราปรารถนาพุทธภูมิ ก็มีความรู้สึกว่า ชั้นดุสิตนี่มีนางฟ้ามาก พระโพธิสัตว์องค์
หนึ่ง มีนางฟ้าเป็นบริวาร เป็นหมื่น ๆ แล้วก็สวยเสียด้วย เรื่องภารกิจความห่วงใยกังวลก็ยังมีอยู่ ถ้าไปอยู่พรหม เราอยู่คนเดียว พรหมองค์หนึ่ง วิมานหลังหนึ่ง มีพรหมองค์เดียว ไม่มีบริวาร สำหรับบริวารก็มีวิมานคนละหลัง ไม่อยู่ร่วมกัน เราชอบ อารมณ์เป็นสุข

เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็เริ่มจับ อานาปานสติ แล้วเสือก็ย่าง ๓ ขุมเข้ามา หลับตานึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเท่าที่เคยเห็น เห็นชัดเจนแจ่มใสมาก เห็นตามเดิม ท่านอยู่กับ ลุงพุฒ คือ มหาพุฒ เห็นท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ก็ชื่นใจ คิดว่า เอาละ ช่างมัน คราวนี้กายเนื้อมันจะตาย แต่กายที่ไม่ใช่กายเนื้อเราจะไปพรหม แล้วเสียงลุงพุฒก็ถามมาบอกว่า

ไปแค่พรหมน่ะ พอใจแล้วหรือ ก็เรียนท่านบอกว่า ในเมื่อมาจากพรหม ก็ขอไปพรหม ท่านก็บอกว่า ไปชั้นดุสิตไม่ดีหรือ เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ก็บอกว่า ผู้หญิงมาก และผู้หญิงที่นั่นก็สวยมาก ก็เกรงว่า กำลังใจจะยุ่งกับผู้หญิงมากเกินไป เดี๋ยวกังวลจะมีมาก ก็ขอไปอยู่พรหม ไปอยู่คนเดียว ท่านก็บอก ตามใจ นั่งทำสมาธิไป จิตใจจับที่ภาพพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ไม่ไปไหน ก็คิดว่า

ร่างกายมันจะเป็นอาหารของเสือเวลานี้ก็ช่างหัวมัน ไม่สนใจแล้ว แล้วก็ประกอบกับความรู้สึกว่า คิดว่าดี ถ้าตายเวลานี้ ดี เราอยู่กับพระพุทธเจ้า อย่างไร ๆ เราก็ไม่ลงนรก จิตใจชุ่มชื่น ต่างคนต่างทำสมาธิกัน อีก ๒ องค์เขานึกอย่างไร อาตมาไม่ทราบ สักพักใหญ่ ๆ เสือก็ไม่กิน พอลืมตาขึ้นมาดู เสือนั่งข้างหน้าเฉย ๆ นั่งมองคนนั้น นั่งมองคนนี้ ในเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็ถามเสือว่า

ทำไมแกจึงไม่กินฉันล่ะ เสือขยับหนวด ขยับปาก แต่ไม่ใช่แยกเขี้ยว ไม่ใช่ขยับเขี้ยว เสือขยับหนวด ขยับปาก ก็บอกว่า เสือ ๒ ตัวนี่ไม่กินโว้ย เสือ ๒ ตัวนี่อยากจะรู้ว่า ลูกศิษย์ที่ปล่อยเข้ามาอยู่ป่าศรีประจันต์นี่ มันจะมีกำลังใจขนาดไหน มันจะมีความกล้า หรือมีความกลัว การตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจถูก เสียงเสือตัวที่พูดตัวแรก เสียงเหมือนหลวงพ่อปานชัด เสือพูดภาษาคน และเสือที่สองก็พูดเบา ๆ เหมือนเสียงหลวงพ่อจง

ท่านบอกว่า การตัดสินใจแบบนี้น่ะ ถูกต้องทุกองค์ สององค์นั่นตัดสินใจเพื่อนิพพานตรง เพราะเป็นพุทธสาวก ปรารถนาสาวกภูมิถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้ และองค์นี้ปรารถนาพรหม ก็ดี เพราะปรารถนาพุทธภูมิ ตั้งใจไปพรหม รวมความว่า ทุกองค์ตัดสินใจถูก ความกลัวย่อมมีแก่คนทุกคน บุคคลใดถ้ายังไม่เป็นอรหันต์ก็ตาม

ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่ม้าอาชาไนย หรือไม่ใช่พระเจ้าจักรพรรดิ์ ต้องกลัว แต่การกลัวของพวกคุณทั้งหมด ถูกต้อง เป็นการกลัวที่ถูก คือ กลัวเสือจะกิน แต่ก็ไม่กลัวในการที่จะไปเป็นพรหม ไปนิพพาน หลังจากนั้น เสือทั้ง ๒ เสือ ค่อย ๆ คลายตัว เป็น หลวงพ่อปานกับหลวงพ่อจง ในเมื่อกลายเป็นหลวงพ่อทั้งสอง ก็ลุกขึ้นกราบท่านด้วยความเคารพ อิ่มใจ ชื่นใจ น้ำตาไหล

ท่านถามว่า ดีใจรึ บอกดีใจขอรับ ถามว่า หลวงพ่อเป็นเสือได้อย่างไร ท่านบอกว่า มันเรื่องของฉันน่ะ ฉันจะเป็นเสือฉันจะเป็นแมว ฉันจะเป็นอะไรมันเรื่องของฉัน ไม่ต้องถาม พวกเธอทำตามคำสั่งได้ดีที่สุด แล้วการกระทำของพวกเธอทั้งหมดนี่ มันไม่พ้นสายตาของฉัน ก็ถามว่า หลวงพ่อส่งตาทิพย์มาดูหรือ ท่านก็เลยบอกว่า งานของฉันมาก ไม่มีเวลาจะดูพวกเธอ แต่ว่าเทวดาเขารายงาน เทวดารายงานทุกอิริยาบถที่เธอทำ เธอจะนั่งท่าไหน จะนอนท่าไหน เขาบอกหมด

ก็รวมความว่า ไม่พ้นสายตาของท่าน เพราะเทวดาบอก ท่านก็เลยบอกว่า วันนี้เป็น วันวิสาขบูชา ทุกองค์ก็ตั้งใจไปพระจุฬามณีเจดีย์สถานก็แล้วกัน ไปตั้งใจอธิษฐานว่า จะอยู่ที่นี้จนกว่าจะได้อรุณจึงจะลง ถ้าตัดสินใจอย่างนั้น พอได้อรุณปั๊บมันจะเคลื่อนลงทันที เมื่อท่านสอนแบบนั้นแล้ว ท่านก็หายไป เราก็กราบตามหลังท่าน ไม่รู้ว่าท่านไปอย่างไร ร่องรอยก็ไม่มี เงาก็ไม่มี ไม่รู้ว่าหายไปไหน

เมื่อหลวงพ่อทั้งสองหายไป พวกเราก็ดีใจ คิดว่า โอ้โฮ…เสือใหญ่นี่จำไว้เลยว่า เสือใหญ่เสือลายพาดกลอนแบบนี้ แล้วก็เข้ามาขนไม่พอง แสดงว่าเสือไม่จริง เป็นเสือปลอม เป็นอันว่า ท่านสอนแนะนำให้ไปพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เราก็ไปกัน ก็ตัดสินใจว่า เราไปกันเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องตั้งท่า คำว่า เดี๋ยวนี้ ปั๊บ ก็ปรากฏว่า ถึงพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เป็นการ อวดอุตตริมนุสสธรรมไหม ท่านผู้ฟัง หรือท่านผู้อ่าน

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ทำเสียให้ครบถ้วนละก็ จะไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรตำหนิ และก็ไม่มีอะไรจะชม จะเป็นอุเบกขาญาณได้ ก็รวมความว่า เมื่อถึงพระจุฬามณีเจดีย์สถาน สิ่งที่พบก็คือ อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเนรมิตก็ได้ หรือพระพุทธเจ้าองค์จริงก็ได้ ใครก็ไม่รู้ แต่ที่เห็น ก็เห็นว่า เป็นพระพุทธเจ้าองค์จริง สวยงามอร่ามมาก

มีฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ไพเราะมาก จับใจ ชื่นใจการแสดงพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ลีลาไม่มาก สำนวนไม่มาก ท่านเทศน์ชัด ๆ เทศน์ตรง ๆ เทศน์ให้เข้าใจ เรื่องขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ของใครก็ตาม ไม่มีการทรงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ชอบใจจริง ๆ อยู่คำหนึ่งชอบมาก เทศน์ทั้งกัณฑ์ ชอบมากอยู่คำหนึ่งว่า

เวลานี้ท่านทั้งหลาย ท่านที่ตายจากความเป็นคน มาเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี ร่างกายของทุกท่าน ไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุข แม้ว่าท่านทั้งหลายที่ยังไม่ตายจากความเป็นคน แต่เวลานี้ชำระร่างกายอันประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ ใช้ อทิสมานกายขึ้นมานั่งอยู่ที่นี่ ร่างกายอันนี้ของท่านก็ไม่มีทุกข์อย่างขันธ์ ๕ ธรรมดา เป็นร่างกายที่มีความสุข

ฉะนั้น ขอทุกคนจงอย่าประมาทในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราจะอยู่กับโลกตลอดกาล ตลอดสมัย แต่จงอย่าตัดสินใจตายก่อนอายุขัย หรือตามกาลเวลา ถ้าเวลายังมีอยู่เพียงใด ตัดสินใจทำลายกิเลสให้พ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สักกายทิฏฐิ ให้มีความรู้สึกว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

ทำอารมณ์ใจวางเฉยในร่างกาย มันจะแก่ ก็ถือว่า เป็นหน้าที่ของมัน มันจะป่วย ก็เป็นหน้าที่ของมัน เพราะกฎของกรรม มันจะตาย ก็เป็นหน้าที่ของมัน ถ้าร่างกายมันตายเมื่อไร ที่ไปของเรา คือ นิพพาน ถ้ากำลังใจยังไม่ถึงนิพพาน เราก็มาค้างสวรรค์ หรือค้างพรหมโลก เท่านี้เราก็มีความสุข

ท่านเทศน์เยอะ นั่งฟังกันตั้งแต่เวลา ๔ โมงเช้า ถึงเวลา ๖ นาฬิกา ก็รู้สึกว่าไม่นาน หลังจากนั้น ร่างกายก็กลับลงมา เป็น วันแรมค่ำหนึ่ง เดือน ๖ พอกลับลงมาแล้ว ทีนี้ไม่ทันจะถือบาตรปรากฏว่า เทวดา นางฟ้า ซึ่งเป็นภุมเทวดาบ้าง รุกขเทวดาบ้าง อากาศเทวดาบ้าง นางฟ้าบ้าง ท่านนั่งกันเป็นแถวอยู่แล้ว พร้อมในการใส่บาตร

แต่ว่าการใส่บาตรของท่านมันแปลก จะกี่องค์ก็ตามปริมาณอาหารเท่าเดิม ถ้าท่านมาองค์เดียว การใส่บาตรก็มีปริมาณอาหารเท่านั้น มาหลายองค์ ต่างคนต่างใส่ ปริมาณอาหารเท่าเดิม คือ อิ่มพอดี กินอิ่มแล้วมีความชุ่มชื่น แม้แต่น้ำก็ไม่ค่อยอยาก ความกระหายไม่มี ชุ่มชื่นมาก อารมณ์มีความสุข ในเมื่ออารมณ์มีความสุข มันก็มีความสบายทั้งวัน ทั้งคืน

แต่ว่าท่านทั้งหลาย การเกิดขึ้นมาแล้ว ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มีเป็นของธรรมดา ท่านใส่บาตรแล้ว ต่างคนต่างก็ไป เป็นอันว่า การไม่ได้นอนทั้ง ๒ คืนติดต่อกัน อาการทางร่างกายประสาทมันก็เครียด ถึงเวลาประมาณ ๔ โมงเช้า ตอนนั้นผู้เขียนปวดศีรษะมาก มันปวดมากผิดปกติ ปวดจี๋ ถึงกับต้องนอน นั่งไม่ได้ นึกในใจว่า ทุกขเวทนาจงมีกับร่างกายอย่างเดียว

จงอย่ามีกับใจของเรา แต่ใจมันเกาะร่างกาย มันก็ต้องมี แต่เราไม่สนใจมัน มันเจ็บ ก็เชิญเจ็บ มันปวด ก็ทนปวด มันจะเจ็บ จะปวดไปไม่นานนัก ไม่ช้าร่างกายนี้ก็พัง ในเมื่อร่างกายนี้มันพัง มันก็ไปไหน มันก็ไม่มีใคร เขาต้องการร่างกายที่พังแล้ว ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ ยังดีกว่าร่างกายก็เน่า ไม่ช้าเรากับร่างกายจะแยกกัน จุดที่เราจะไปนั่นคือ

พอคิดเพียงเท่านี้ก็เห็นภาพองค์สมเด็จพระชินสีห์ คือ พระพุทธเจ้า ชัดเจนแจ่มใสมากกับลุงพุฒ
ท่านมาหน้าตักประมาณ ๘ ศอกเศษ ๆ สวยสดงดงาม มีฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ ทรงแย้มพระโอษฐ์ สักประเดี๋ยวท่านก็หายไป แต่ใจยังนึกถึงภาพอยู่ ใจยังจับภาพอยู่ พอสักครู่เดียวก็ได้ยินเสียงผู้หญิงพูด เป็นเด็กผู้หญิง ยืนอยู่บนยอดไม้

เรียกว่า หลวงพี่ ๆ หนูอยู่ที่นี่ แหงนหน้าขึ้นไป ก็ปรากฏว่า เป็นน้องสาวคนเล็ก เธอตายตั้งแต่อายุ ๔ ปี เมื่อเธอคลอดออกมาแล้วรู้สึกว่า ขณะที่ทรงตัวได้ เธอไม่ยอมนอนกับแม่ นอนกับผู้เขียนตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ จะไปไหนก็ต้องอุ้มไปด้วย ไปโรงเรียนก็ต้องเอาไปด้วย แต่สิ่งที่เธอเคร่งครัด ทุกอย่างถ้าแม่สั่ง จำได้ดีมาก และปฏิบัติได้ดี ถ้าพี่ปฏิบัติพลาดน้องจะเตือนว่า

แม่สอนอย่างนี้นะ พี่นะ แม่ไม่ให้พูดอย่างนี้ แม่ไม่ให้ทำอย่างนี้ รู้สึกว่า เป็นน้องสาวที่ดีมาก แต่ว่าเธอต้องมาตายเมื่ออายุ ๔ ปี หลังจากเธอตายไปแล้ว วันนั้นก็หลายปี หลายปีมา ไม่พบเธอ
เธอก็บอกว่า หลวงพี่ ๆ ปวดศีรษะมากหรือ แหงนขึ้นไปเห็นเข้าก็บอกว่า เออ…น้อง พี่ปวดมาก เธอชื่อ อุบล เธอก็บอกว่า ประเดี๋ยวพ่อจะมา ถามว่า พ่อไหน เธอก็บอกว่า พ่อพระอินทร์

พ่อพระอินทร์ท่านจะมารักษาให้ แล้วถามว่า หนู เวลานี้อยู่ที่ไหน เธอก็บอกว่า อยู่ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี ก็ถามว่า บุญอะไร ที่อยู่ชั้นปรนิม มิตวสวัตดี เธอก็บอกว่า ที่แม่สอนกรรมฐานว่า พุทโธ หนูทำกรรมฐานได้ดี เป็นฌาน ๔ แต่ว่าเวลาที่จะตาย เวลานั้นพี่ไม่อยู่ไปข้างนอกบ้าน น้องป่วยหนัก มีอาการอยากน้ำ และร้อนภายในมาก เรียกหาพี่ไม่พบ จิตก็เลยวุ่นวายไปหน่อย

คิดถึงพี่ ทั้ง ๆ ที่ในอากาศก็มีเทวดา มีนางฟ้ามาก มาชวนให้ไปอยู่ ในที่สุดคอยพี่ไม่ไหว ก็ต้องไป แต่ว่าไปชั้นปรนิมมิตวสวัตดี เพราะว่าตายนอกฌาน ไม่ได้เข้าฌานตาย เป็นกำลังเศษของฌาน ๔ พอเธอพูดเท่านั้น ก็ปรากฏว่า ท้าวโกสีย์ คือ พระอินทร์ ท่านก็มา พอท่านมาถึง ท่านก็มาในรูปเต็มอัตรา คือ เขียวป๋อมาเลย มาถึงเต็มที่ มีรองเท้าก็สวย เครื่องแต่งกายก็สวย

อีก ๒ องค์ลุกขึ้น ทำท่าจะกราบ ท่านก็ยกมือห้ามว่า พระคุณเจ้าอย่ากราบผมเลยครับ อีก ๒ องค์ก็บอกว่า อาตมาทั้ง ๒ องค์ยังไม่ เป็นพระโสดาบัน แต่ว่าท้าวโกสีย์เวลานั้นเป็น พระโสดาบัน ขึ้นไปนานแล้ว อาจจะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูง ผมก็ไหว้ได้ ท่านบอก ไม่ควรขอรับ ร่างกายของท่านเป็นพระ แม้ว่าใจยังเป็นพระไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม

แต่ควรถือศักดิ์ศรีของผ้าเหลืองเข้าไว้ก่อน และรักษาฌานสมาบัติ วิปัสสนาญาณที่พึ่งทำได้ อย่างนี้ใช้ได้ วันนี้ผมจะมารักษาลูกชายผม เธอปวดศีรษะมาก พระทั้ง ๒ องค์ก็ถามว่า เป็นโรคอะไร ท่านบอกว่า ไม่ต้องถาม เป็นกฎของกรรม เพราะลูกชายคนนี้ เป็นนักรบทุกชาติ ขึ้นชื่อว่า การรบ จะมีการเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน กรรมทั้งหลายเหล่านั้น ถึงแม้ว่าเราจะมีบุญมากเท่าไรก็ตาม มันก็ตามทัน

มันก็มาเบียดเบียน ในที่สุด ท่านก็มาใกล้ ๆ แล้วบอกว่า คุณ ขออภัยนะครับ ท่านก็เอามือมาที่ศีรษะ ๒ มือ ทำเหมือนกับ กอบของทิ้ง กอบไปครั้งหนึ่ง แล้วก็วางทิ้ง กอบครั้งหนึ่งก็ทิ้ง กอบครั้งหนึ่งไปทิ้ง มันเบาออกไปเยอะ อีกครั้งทิ้งเบาเยอะ อีกครั้งทิ้งหายเลย ท่านก็เลยบอกคาถาให้ว่า คาถาบทนี้มีคาถาอยู่ ๔ คำ ถ้าคุณจะรักษากัน จะเป็นโรคอะไรก็ตาม ทั้ง ๓ องค์นี่ และการอยู่ในป่าของคุณ

จะไม่อยู่ในป่าเฉพาะคราวนี้คราวเดียว ต่อไปการธุดงค์จะมีเรื่อยทุกปี จนกว่าจะครบ ๑๐ ปี ถ้าจะเป็นอะไรขึ้นมา จะปวดศีรษะ ปวดท้อง ปวดอะไรก็ตาม ใช้คาถา ๔ คำ แล้วก็กอบแบบผมทำนี่ แล้วก็เวลาจะทำ นึกถึงผม ผมจะมาช่วย แค่กอบทิ้ง ๓ ครั้ง จะหายทันที ต้องขออภัยท่านผู้ฟัง ท่านผู้อ่าน คาถานั้นลืม คาถา ๔ คำนั่นลืมจริง ๆ เพราะท่านบอกว่า ถ้าจะทำให้คนอื่น

ต้องยกครู ๑ สลึง ถ้าทำกันเองระหว่างพระ ก็ไม่ต้องยกครู และที่ต้องลืมเพราะอะไร เพราะว่า ต่อมาชาวบ้านปวดศีรษะบ้าง เป็นโรคอะไรบ้าง ก็ให้กอบ กอบให้ก็หายทันที แต่สลึงหนึ่ง บางคนก็ให้ บางคนไม่ให้ ถ้าคนไหนไม่ให้ คนกอบป่วยตามนั้น โดนคนโกงเข้า ๓ ครั้ง เลยบอกศาลาเลิกคาถาบทนี้ ไม่ใช้กัน เพราะไอ้คนเลว ๆ มันมีมาก

แต่ความจริง ถ้าคาถาบทนี้ยังมีอยู่เวลานี้นะ อาตมาก็คงไม่ป่วยเท่านี้ และท่านทั้งหลายที่ป่วย ๆ ก็คงจะมีประโยชน์มาก คงจะหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคไหล คงจะไม่เกิด หรือเกิด ก็หาย แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่คาถาของพระอินทร์ท่านให้ไว้ แล้วก็หายไป และไม่กล้าขอท่านใหม่ เพราะเรื่องกฎของกรรม

ต่อมา เมื่อหายจากโรคแล้ว ท่านก็แนะนำต่าง ๆ แนะนำถึงวิธีลีลาการปฏิบัติ ท่านก็เรียกประชุมเทวดา มีทั้งภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดา บอกว่า พระองค์นี้ ลูกชายฉันนะ ถ้าจะไปที่ไหนก็ตามให้ตามอารักขาในเขตของตัว ถ้าท่านจะไปพ้นเขต ให้แจ้งเทวดาในเขตนั้นตามอารักขาต่อไป อย่าให้มีอันตรายนะ ถ้าลูกของฉันมีอันตรายเมื่อไร พวกเธอมีโทษหนัก และอีก ๒ องค์นี่ก็เหมือนกัน

ในฐานะที่ท่านเป็นเพื่อนกัน เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามสมควร ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พระอริยเจ้า ยังเป็นปุถุชน ก็ถือว่า เป็นบุคคลผู้หวังทำลายกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน ถึงแม้ว่ายังมีความดีไม่ครบถ้วน แต่ความดีก็ยังมีอยู่ทุกวัน เพิ่มพูนทุกวัน ต้องรักษาไว้ อย่าให้มีอันตราย ต้องรักษาเช่นเดียวกับลูกชายของฉัน ท่านกล่าวแล้วท่านก็ไป เมื่อไปแล้วพวกเราก็มานั่งอยู่

มันก็มีความสุข คิดว่า ที่ตรงนี้นะ เราอยู่กันมาเกือบ ๑๐ วัน อยากจะย้าย ก็คิดว่า จะย้ายไปทางไหนดี พอคิดว่าจะย้ายไปทางไหนดี ก็ปรากฏคนแก่คนหนึ่ง แก่อายุ ประมาณสัก ๖๐ ปี ท่านเดินทางมาเป็นคนป่า ท่าทางคนป่าชัด ๆ มีมีดเหน็บขัดหลัง มีย่าม ใส่อะไรบ้างก็ไม่ทราบในย่าม ปรากฏว่า ท่านเดินมา ท่านเห็นเข้า ท่านก็เข้ามานั่ง ยกมือไหว้ มาถึงท่านก็ถามเลย

บอกว่า ท่านทั้ง ๓ องค์อยากจะย้ายที่ใช่ไหมครับ ถามว่า ทำไมโยมจึงรู้ โยมแก่ก็บอกว่า ไอ้เรื่องที่ผมจะรู้เพราะอะไร ไม่ใช่หน้าที่ของท่าน เอาแต่เพียงเรียกว่า ท่านอยากจะย้ายใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ ท่านก็บอกว่า ถ้าย้ายนะก็ย้ายไปฝั่งทิศตะวันตกของอำเภอศรีประจันต์ ด้านโน้นมีดินแดนที่มีความสำคัญอยู่จุดหนึ่ง นั่นคือ ดอนเจดีย์ เจดีย์ที่ พระนเรศวรมหาราช บรรจุเครื่องกษัตริย์ ที่พระมหาอุปราชแต่งตัวเวลานั้น

ทั้งของ้าว ทั้งมีด อะไรก็ตาม ทั้งหมด เครื่องแต่งกายทั้งหมด มาฝังไว้ที่นั่น และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฝังไว้เป็นการทำลายพม่า ยับยั้งพม่า เรียกว่า เหยียบย่ำพม่า ก็แล้วกัน ไม่ให้พม่าโงขึ้นอีก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า พม่าโกงไทยมามาก และการกระทำคราวนั้นก็มีพระอรหันต์หลายองค์ร่วมทำเป็นคำพยากรณ์ของพระอรหันต์ด้วย เป็นคำสาปของบรรดาพวกคณาจารย์ทั้งหลายด้วยว่า ต่อไปพม่าจะมีแต่ความย่อยยับ

แต่ก่อนที่พม่าจะย่อยยับ มันก็จะทำลายประเทศไทยอีก ๒ - ๓ วาระ ในที่สุด เมืองหลวงของประเทศไทยก็ต้องย้ายไปอยู่ที่ บางกอก และก็สถานที่ตรงนี้ กษัตริย์ที่บางกอก คือ ที่กรุงเทพ ฯ ก็จะมาสร้างให้เกิดมีความอุดมสมบูรณ์ขึ้น สวยสดงดงาม สร้างเพิ่มเติม ได้แก่ รัชกาลที่ ๖ คำพยากรณ์ตามนั้น โยมแก่พูดให้ฟัง ถามโยมแก่ว่า โยมอยู่ในที่นั้นหรือ

ท่านบอกว่า ผมอยู่ครับ ผมอยู่ตลอดเวลา เพราะว่า เวลาที่เขาจะทำ เขาบวงสรวง แล้วเขาก็เชิญเทวดา เลยถามว่า ในเมื่อเขา เชิญเทวดา โยมทำไมจึงรู้ ท่านก็บอกว่า ท่านเป็นลูกศิษย์เทวดาใหญ่ ถามว่าท่านเป็นใคร ก็พอดีหมดเวลา บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า วันนี้ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/8/12 at 15:23 [ QUOTE ]


5
ป่า อ. ศรีประจันต์ ตอนที่ ๓


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย สำหรับวันที่บันทึกวันนี้เป็น วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เป็นวันวิสาขบูชา วันนี้รู้สึกว่ามีเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งคือว่า ที่วัดท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ที่พูดอยู่ที่นี่ เมื่อวันที่ ๑๕,๑๖,๑๗,๑๘ เมษายน ๒๕๓๓ ก็มีงานสงกรานต์ และก็มีงานสะเดาะเคราะห์ถอยหลังไปตอนเดือนมีนาคม วันที่ ๑๗,๑๘ ก็มีงานประจำปี

ครั้นมาถึงงานนี้ ก็ปรากฏว่าใช้เวลาไม่กี่วันนักจากวันที่ ๑๘ มาถึงวันที่ ๘ วันนี้ ก็ใช้เวลาเพียงแค่ ๒๐ วันเศษ ๆ เมื่องานวิสาขบูชาเกิดขึ้นทุกปีก็ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ วิธีสะเดาะเคราะห์จริง ๆ ก็พูดกันตรงไปตรงมากับญาติโยมว่า สะเดาะไม่ได้ แต่ให้ทำบุญหนีบาป ทำบุญให้มีกำลังแรงกว่า หนีบาป แต่ไม่ต้องใช้สตางค์มาก ก็มานั่งคิดในใจปรึกษากับพระว่า

งานพิธีสะเดาะเคราะห์ปีนี้คงจะมีคนไม่เท่าเสาศาลา เพราะศาลา ๒ ไร่ จริง ๆ เสาประมาณ ๓๐๐ ต้น คิดว่าอย่างไร ๆ ก็ตาม คนไม่ถึงครึ่งศาลาแน่ เฉพาะรอบแรก รอบแรกเริ่มเวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา รอบสุดท้ายเริ่มเวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา ยิ่งรอบสุดท้ายอาจจะมีคนถึง ๓๐ คน หรือเปล่าก็ไม่ทราบ ที่ปรารภก็ปรารภด้วยความจริงใจเห็นว่างานกระชั้นมาก

แต่บรรดาท่านพุทธบริษัท น่าอัศจรรย์ เมื่อคืนวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๓๓ ตื่นขึ้นเวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกา ตามธรรมดาเมื่อตื่นขึ้นปั๊บ ก็ยังไม่ลุกและไม่ขยับตัว รวบรวมกำลังใจ ใช้กำลังกรรมฐานคุมอารมณ์ให้ทรงตัวอยู่ เป็นการรักษาความปลอดภัย เพื่อกันลงนรกไว้ก่อน ใช้กำลังทั้งศีล สมาธิ ปัญญาร่วม เวลานั้นก็เป็นการบังเอิญอย่างยิ่ง เห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหลืองอร่ามสวยงามมาก เสด็จประทับลอยอยู่

จึงขึ้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครู ท่านก็ตรัสเฉย ๆ ว่า วันพรุ่งนี้คนมากนะ ไม่น้อยตามที่คิด ตามที่คิดว่า โรงอาหารของโรงเรียน โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา เคยขายอาหาร ก็พยายามไม่ตั้งร้านขายอาหาร เพราะเข้าใจว่า คนน้อย ท่านบอก ความจริงโรงเรียนน่าจะทำ แต่ก็เตรียมตัวไม่ทันเสียแล้ว ก็ขายได้แต่น้ำ อาหารที่คนมาขาย ก็มีขายน้อย

โรงทาน คำว่า โรงอาหารฟรี ก็ได้แก่ ร้านค้าเจ๊กิมกี นี่สั่งกินฟรีกันมาตั้งแต่วันที่ ๖ และ
ก็วันที่ ๗ กินเท่าไรก็ตาม วัดจ่าย แทนที่จะเอาโรงครัวของวัดไปทำ มันยุ่งยากเปล่า ๆ ก็ใช้ร้านค้าแทน และนอกจากนั้น คณะจำเนียร มีหุ้นส่วนด้วยกันมาก ก็ต้มข้าวต้มเครื่องเลี้ยงฟรีตลอดงาน แต่ถึงกระนั้นก็ดี ร้านกองทุนที่หากำไรให้วัด ก็พยายามมาตั้ง

ความจริงเรื่องก็ตกหนัก นายดาบตระกูล ดาบตำรวจ แกรายงานให้ทราบว่า เมื่อขณะที่สะเดาะเคราะห์รอบแรกเสร็จ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา ร้านค้าเกือบตายไปตาม ๆ กัน เพราะคนรอบแรกจริง ๆ เกือบแสนคน ศาลาแน่นขนัด อย่าลืมว่าเนื้อที่ ๒ ไร่ และก็เลยออกไปข้างนอก บริเวณข้างนอกอีก แน่นขนัด นั่งขนาดยัดเยียดเบียดเสียดกัน ก็ตกใจเหมือนกัน ต่อมารอบที่ ๒ เวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา ยิ่งมากกว่ารอบแรกอีก

ก็รวมความว่า ถ้อยคำที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ถึงแม้ว่าจะเป็นนิมิต ก็ตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง ฉะนั้น นิมิตก็ถือว่าเป็นนิมิตที่เชื่อถือได้ ใครจะหาว่าบ้าก็ตามใจ เพราะว่าบ้าแบบนี้มานานแล้ว และก็พยายามจะบ้าต่อไป จนกว่าจะตาย บ้าพบพระพุทธเจ้า บ้าพบพระอรหันต์ บ้าพบพระปัจเจกพุทธเจ้า บ้าพบเทวดา บ้าพบพรหม แต่บ้าหลบอบายภูมิ ไม่เก่งจริง ก็ยอมบ้า

เป็นอันว่า เรื่องราวของวันที่ ๘ พฤษภาคม วันวิสาขบูชา ตั้งแต่คืนวันที่ ๗ ออกไปเดินจงกรม ขาก็ไม่ดี เท้ามันบวมทั้ง ๒ ข้าง ข้างซ้ายบวมมาก แต่ก็พยายามเดิน เดินไปบนหลังคา ปรากฏว่ามีญาติโยมพุทธบริษัทจำนวนมาก มาชมวิหาร ๑๐๐ เมตรกัน เพราะไฟสว่างมากันไม่ขาดสาย บางคนนั่งรถเข้าไป จ้างรถเข้าไปบ้าง บางรายก็เดิน พอรุ่งขึ้นเช้า ก็ปรากฏว่ามีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ต่างคนต่างมามนัสการพระในวิหาร ๑๐๐ เมตรกันมาก

ถือว่าที่นั่นเป็นที่สำคัญ เรื่องนี้ก็ขอยกไป เล่าให้ฟัง แต่ยังไม่ยกเลย เพราะว่าตอนเช้าตื่นขึ้นมา บรรดาท่านพุทธบริษัท ท้องอืด มันเสียดยันกระบังลม จุกหน้าอก ขาก็บวม เข่าก็ไม่ค่อยจะเคลื่อนไหว บานพับไม่ทำงานทุกขเวทนาเล่นงานอย่างหนัก ก็คิดในใจว่า ถ้ามันจะตาย เพราะการสนองคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพร้อมยอมรับ ก็ถึงเวลาฉันเช้าเสร็จ ฉันเช้า ๖ โมงเช้าเศษ ๆ ฉันข้าวต้ม แล้วก็ลงไปที่ศาลา

ปรากฏว่าที่ศาลาคนแน่นขนัด และทุกคนก็ต่างคนต่างถวายสังฆทาน วันนั้นก็เทศน์ เทศน์เรื่องความเป็นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่ ปาวาลเจดีย์ จนถึงนิพพาน ก็รวมความว่า เรื่องนี้พักไปก่อน เล่าให้ฟังว่า ทำอะไรบ้าง มันมีทุกขเวทนาแบบไหน พอนั่ง ลุกไม่ไหว เข่าไม่ทำงาน เท้าก็เจ็บ ตัวแข็ง มันอยากจะล้ม ต่อนี้ไปก็มาคุยกัน ถึงเรื่อง อำเภอศรีประจันต์ ของจังหวัดสุพรรณบุรี กันต่อไป

เมื่อตอนที่ ๔ มายับยั้งอยู่ตอนที่ว่า มานั่งคิดว่า เรานั่งกันอยู่ที่นี่หลายวัน เราอาจจะเคลื่อนที่ไปบ้างดีกว่า ในป่าก็รกชัฏ ป่าศรีประจันต์เวลานั้น บางจุดก็เป็นป่าโปร่ง บางจุดก็เป็นป่าทึบ มีไผ่ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ป่าสูงนัก ต้นไม้ใหญ่ก็มีบ้าง ต้นไม้เล็กก็มีบ้าง เอาแน่นอนไม่ได้จริง ๆ กำลังนั่งคุยกัน หารือว่าควรจะย้ายที่ ก็ปรากฏว่า เป็นเวลาพอดี มีชายแก่คนหนึ่งอายุประมาณ ๖๐ ปี

ท่านนุ่งกางเกงขาสั้น ไม่มีเสื้อ มีผ้าขาวม้าห้อยไหล่มาด้วย และก็มีมีดเหน็บ เหน็บมาข้างหลังแบบคนป่า เดินตรงเข้ามาแล้วก็มานั่งยกมือไหว้ ท่านถามว่า ท่านจะย้ายที่หรือขอรับ ทุกคนเมื่อฟังก็แปลกใจ ต่างคนต่างมองหน้ากันว่า เราปรึกษาหารือกันแบบนี้ ท่านได้ยินได้อย่างไร จึงถามว่า คุณลุงทราบหรือว่า อาตมาจะย้ายที่ ท่านบอกว่า เป็นธรรมดาของลีลาของคน

ผมไม่ใช่หมอดู และก็ไม่ใช่ผู้วิเศษ แต่เห็นว่าท่านพักกันอยู่ที่นี่ ลองนั่งชุมนุมกันแบบนี้ ก็แสดงว่าจะปรึกษาหารือกันว่า อาจจะย้ายที่ก็ได้ เพราะตอนตรงนี้เป็นป่าต่ำไป ไม่ค่อยจะสวยนัก ป่าของศรีประจันต์นี่ เดินจากผักไห่มาประมาณ ๒ วันถึงที่นี่ จะเดินจากที่นี่ไปที่อำเภอศรีประจันต์ ใช้เวลาเดินธรรมดา ๆ ก็ ๒ วัน เพราะต้องลัดเลาะ ลัดไปในที่ต่าง ๆ แต่ว่าถ้ารู้ทางลัด ก็เดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึง ก็ถามว่า คุณลุงเดินบ่อยหรือ

ท่านบอกว่า ท่านเป็นคนที่นี่ ท่านเกิดในป่า บ้านท่านอยู่ไกลจากที่นี่ไปทางด้านของอำเภอผักไห่ไม่มากนัก ก็เดินที่นี่อยู่เสมอ การไปศรีประจันต์ ท่านไปเกือบทุกวัน รู้ทางลัด ไปประเดี๋ยวเดียวก็ถึง เลยถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะย้ายจากที่นี่ไปศรีประจันต์เลย หรือว่าจะอยู่ป่าแถวนี้ก่อน ท่านบอกว่า ป่าแถวนี้มันก็อย่างนั้นแหละ

แต่ว่าไปถึงอำเภอศรีประจันต์ ข้ามฟากไปด้านตะวันตก ที่นั่นจะมีที่สำคัญ เป็นที่ควรระลึกแห่งหนึ่ง นั่นคือ ดอนเจดีย์ เป็นที่พระนเรศวรสร้างฝังเครื่องแต่งตัว อาวุธ ของพระมหาอุปราช เป็นการตัดไม้ข่มนาม ก็เลยชักสงสัย ถามว่า คุณลุงรู้เรื่องราวนี้หรือ ท่านบอกว่า รู้ เพราะอายุท่าน ๖๐ ปีกว่าแล้ว รัชกาลที่ ๖ ก็เพิ่งสวรรคตไป

ถอยหลังจากนี้ไปแค่ ๑๐ ปีเศษ ๆ ตัวท่านเองเกิดทันสมัยรัชกาลที่ ๔ เราก็ไม่เถียง เถียงไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่า มันไม่รู้จริง คิดว่าท่านคงจะรู้เรื่อง เลยถามความเป็นมาว่า สมัยที่รัชกาลที่ ๖ ท่านมาทำพิธีกรรมที่ดอนเจดีย์ และก็ตัดไม้ข่มนาม ท่านทำแบบไหน ท่านก็บอกว่า เวลานั้นท่านก็ยังหนุ่มแน่นกว่านี้ ประมาณสัก ๒๐ ปีละมั้ง ท่านว่าอย่างนั้น ถอยหลังไปประมาณอายุ ๔๐ ปี เศษ ๆ ท่านก็มาร่วมงานด้วย

ในการร่วมงานเวลานั้น รัชกาลที่ ๖ ก็ใช้พราหมณ์บวงสรวงเชิญเทพเจ้า ก็ถามท่านว่า พราหมณ์บวงสรวงเชิญเทพเจ้า เทพเจ้ามาไหม ท่านก็บอกว่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเทพเจ้าของพราหมณ์มาหรือไม่มา ผมไม่รู้ แต่ว่าตอนนั้นก็มีพระอยู่หลายองค์ด้วยกัน พระที่มีความสำคัญมาก มีพระองค์หนึ่งเป็น พระอรหันต์ เป็นพระที่อยู่ใกล้ ๆ วัดป่าเลไลย์ ถามว่า อยู่ใกล้ หรือเป็นพระของวัดป่าเลไลย์จริง ๆ

ท่านบอกไม่ใช่พระวัดป่าเลไลย์ แต่พระที่อยู่ใกล้ ๆ วัดป่าเลไลย์ เวลานั้นตั้งสำนักอยู่ที่ วัดประชุมสงฆ์ มีกุฏิเพียง ๓ หลัง และก็ไม่มีการเจริญรุ่งเรือง ท่านแก่มากแล้ว ต้องตะบันหมากกิน แต่เขาลือกันว่า พระองค์นี้เป็นพระอรหันต์ ชาวบ้านเขาลือกัน ก็ถามว่า ลุงเชื่อไหมครับ บอก ผมก็เชื่อสิ ผมเป็นคนนับถือพระนี่ เวลานั้นท่านก็นิมนต์พระองค์นี้มาด้วย และก็มีพระมาอีกหลายองค์ มากองค์ด้วยกัน

ในจำนวนพระที่มาทั้งหมด ปรากฏว่า เป็นพระอรหันต์เสีย ๖ องค์ นอกจากนั้นก็เป็น พระผู้ทรงฌาน แต่ว่าพระทั้งหมดเท่าที่สังเกตมา จะฟังพระองค์แก่องค์เดียว ถ้าพระแก่พูดอย่างไร พระทั้งหมดจะฟังและปฏิบัติตามทั้งหมด ก็แสดงว่า พระองค์แก่ที่สุด คือ พระตะบันหมากกิน ข้างวัดป่าเลไลย์ วัดประชุมสงฆ์ ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ ก็ถามว่า คุณลุงเชื่อว่าเป็นอรหันต์

เพราะการที่พระอินเชื่อใช่ไหม ท่านบอก ไม่ใช่หรอก ผมสังเกตดู เพราะเวลาทำพิธีจริง ๆ ท่านบอก การตัดไม้ข่มนามคราวนี้มีผล คำว่า มีผล ก็หมายความว่า พม่าจะทรุดตัวลง แต่พม่าจะยังไม่เลิกรบกวนประเทศไทย พระแก่ท่านว่าอย่างนั้นนะ ท่านนั่งต้นแถว แล้วท่านก็พยากรณ์ และต่อไปประเทศไทยก็ต้องถูกพม่ารุกรานอีก เมื่อพระนเรศวรและพระเอกาทศรถสวรรคตแล้ว

หลังจากนั้นต่อมา อยุธยาต้องเสียเมือง จะต้องยกเมืองหลวงไปอยู่ที่บางกอก ในเมื่อเมืองหลวงอยู่ที่บางกอกนี่แหละ จะเป็นเมืองหลวงที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก และก็จะมีพระมหากษัตริย์ที่มีความเก่งกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นทหารสมัยอยุธยา เปลี่ยนวงศ์ใหม่ขึ้นเป็นกษัตริย์ มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อแผ่นดิน และต่อไปก็จะเปลี่ยนวงศ์กษัตริย์ จากฝั่งธนบุรี ไปฝั่งกรุงเทพ ฯ

คือ ฝั่งบางกอกไปที่เกาะบางกอก ต่อนั้นไป วงศ์นี้ก็จะมีการเจริญรุ่งเรืองมาก และหลังจากนั้นไป ประเทศไทยจะมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นกรณีพิเศษ พระองค์นั้นท่านพยากรณ์ และตอนนั้นก็มีท่านผู้ใหญ่ถามว่า ถ้าเราจะทำให้พม่ายับยั้งเลยได้ไหม พระองค์นั้นท่านก็ตอบว่า ชะตากรรมของคนไทยยังมีอยู่ แต่การทำคราวนี้มีผล พม่าจะรุกรานหนักไม่ได้ ถึงแม้ว่าอยุธยาจะต้องแตกก็ตาม

ต่อไปเราสามารถจะปราบปรามพม่าได้ พม่าจะมีการยับยั้งตัว ก็เลยถามท่านว่า ดอนเจดีย์อยู่ไกลไหม ก็อยากจะไปดอนเจดีย์ ท่านก็บอกว่า ถ้าไปทางตรงจากตรงนี้นะ ทิศทางที่ท่านคิดจะไปนี่ จะต้องใช้เวลาเดิน ๓ วัน คำว่า ตรง ก็หมายความว่า ตรงชาวบ้านเขาเดินกัน แต่ถ้ารู้จักทางลัด จะใช้เวลาไม่นานนักก็ถึง ก็ถามว่า คุณโยมจะไปไหนล่ะจ๊ะ

คุณโยมก็ตอบว่า ผมเอง ผมก็จะไปศรีประจันต์เหมือนกัน แต่ว่าท่านจะไปไหน ผมจะพาไปทุกแห่ง เพราะป่าทั้งหมดนี่ จะเป็นป่าสุพรรณบุรี ศรีประจันต์ แล้วก็อะไรล่ะ สามชุก ท่าช้าง เดิมบางนางบวช ที่ไหนก็ตาม ผมรู้จักหมดทุกแห่ง คนแถวนั้น ใครชื่อ อะไร อยู่ที่ไหน ผมรู้จักหมด ผีที่ตายไปแล้วอยู่ที่ไหน ใครชื่ออะไร ผมรู้จักหมด อีตอนนี้ชักสงสัยว่า ลุงรู้จักชื่อคนมันไม่ยาก มันก็ยากมากถ้าถามกันพอรู้ แต่รู้จักชื่อผีนี่สิ ผีที่ประจำถิ่น

ท่านบอกว่า ผีประจำถิ่นมันก็ไปจากคน ก็เลยไม่เถียงกัน ๓ คน ต่างคนต่างมองหน้ากันว่า ชักจะแปลก ๆ ก็เริ่มสงสัยว่า ลีลาที่ท่านพูดเดิมตั้งแต่เข้ามาทีแรก ก็รู้ว่าจะย้ายสถานที่ ตอนนี้มาชักเริ่มจะรู้ทุกอย่าง รู้จักทั้งคน รู้จักทั้งผีนี่มันแปลกเสียแล้ว ต่างคนเหมือนกับนัดกัน ต่างคนต่างก็มองหน้ากัน และก็พยายามคุย ก็พยายามชำเลืองดูตาคุณลุง ตาคุณลุงผ่องใสเหมือนกับตาหนุ่ม

ตาหนุ่มตาสาวยังสู้ไม่ได้เลย ผ่องใสมาก แต่ว่าตาคุณลุงไม่กระพริบ อาตมาก็นึกในใจว่า เอ๊ะ…วานนี้โยมท่านมาสั่งว่า ให้เทวดาที่นี่อารักขาทั้งหมด ถ้าจะไปไหนให้ไปส่ง แล้วก็ให้มอบหมายกับเทวดาที่นั่น สงสัยท่าจะเป็นเทวดา พอนึกเท่านั้น คุณลุงแก่ท่านก็บอกว่า ท่านนึกอย่างนั้นมันก็ถูก แต่ว่ายังไม่ตรงตามความเป็นจริง ผมไม่ใช่รุกขเทวดา ไม่ใช่ภุมเทวดาที่นี่

จะเรียกผมว่า เทวดา ก็เรียกได้ แต่มันจะไม่ถูกนัก ก็ถามว่า เรียกอะไรถึงจะถูกล่ะลุง ก็เรียกลุงอย่างคุณว่านั่นแหละ ถูก ก็ต้องถือว่า เป็นลุงธรรมดา ๆ ไม่ใช่ลุงพี่ของพ่อ ไม่ใช่พี่ชายของพ่อก็แล้วกัน แล้วถามว่า คุณลุงเกิดมาน่ะ มีอาชีพอะไร ท่านบอก ผมก็ไม่มีอาชีพอะไร ก็เดินไปเดินมา เดินมาเดินไปแบบนี้ มีอะไร เจอะอะไร ก็กินตามเรื่องตามราวไป บ้านผมก็อยู่ในป่า

ผักหญ้าก็มีเยอะ ตำลึงก็มี หน่อไม้ก็มี หัวเผือกหัวมันก็เยอะแยะ ไม่ต้องทำบาป ไม่ต้องทำกรรม ลุงก็ว่าเรื่อยไป ก็สรุปแล้วก็เป็นอันตัดใจความว่า เอ้า…ถ้าอย่างนั้น ลุง อาตมาทั้ง ๓ คน ไปตามลุงไป ลุงจะพาไปศรีประจันต์ใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ ท่านถามว่า จะไปแค่อำเภอศรีประจันต์ หรือจะไปดอนเจดีย์ ถามท่านว่า ที่ดอนเจดีย์มีภูเขาไหม

ท่านบอกว่า ทิศเหนือของดอนเจดีย์มีภูเขา ทางด้านทิศตะวันออกก็มีภูเขา แต่ว่าภูเขาไม่สูงภูเขาต่ำ ๆ ผมรู้จักภูเขาพิเศษอยู่ลูกหนึ่ง เหมาะสำหรับพระธุดงค์ ภูเขาลูกนี้เป็น ภูเขาชั่วคราว เอ๊ะ…พูดไม่เหมือนชาวบ้าน ภูเขาชั่วคราว มันก็ต้องทำขึ้นมา ท่านบอกว่า เป็นภูเขาชั่วคราว ท่านบอกว่า มีถ้ำสวยงามมาก หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันตก และด้านทิศใต้มีเขาย้อยไปบังแสงแดดเวลาบ่าย

ด้านหน้ามีสนามหญ้า มีบริเวณสวนดอกไม้ มีทางเดินเล่น มีธารน้ำไหล น่าอยู่มาก ท่านจะไปไหมล่ะ พอได้ฟังก็น้ำลายไหล ก็นึกในใจว่า มันจะไกลเกินไปไหม ถ้าเวลาจะกลับ จะกลับอย่างไร พอนึกในใจท่านบอก เวลากลับไม่เป็นไร นึกถึงผมสิครับ ผมเป็นคนแก่ ผมเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์องค์นั้น นั่นแน่ ชักขยับเข้ามาแล้ว ทีนี้หากว่าใครก็ตาม

ถ้ามีความสัมพันธ์กับผม ถ้ารู้สึกนึกอย่างไรละก็ ผมจะรู้หมดทุกอย่าง ถ้าต้องการสิ่งไหน ถ้าผมหาทำให้ไม่ได้ ผมจะวานเพื่อนของผมที่มีความสามารถช่วยทำให้ สำหรับดินแดนนี้ทั้งหมดไม่ต้องวานใคร ผมคนเดียวพร้อม ผมรู้จักทั้งหมด ป่ากี่เท่าไร เขามีกี่ลูก ถ้ำมีเท่าไร ต้นไม้มีกี่ต้น เอ๊ะ…ชักเอาแล้ว ชักรู้จักต้นไม้มีกี่ต้น เราก็ปล่อยแกไปเถอะ นึก ตานี่โม้มาก นึกในใจว่า ลุงนี่โม้มาก แกก็ยิ้ม แกบอก ครับ นึกไปก่อนเถอะว่า ผมโม้ นึกก็ไม่ได้ นึกก็รู้

และต่อไปจะทราบเองว่า ผมไม่โม้ เป็นอันว่า ถ้าอย่างนั้นทุกท่านเตรียมตัวออกเดินทาง ทุกคนก็เริ่มต้นทำท่าจะชุมนุมเทวดา ขอลาเดินทาง ท่านบอกว่า ไม่ต้องชุมนุมเทวดาหรอกครับ เทวดาที่นี่ก็พร้อมแล้ว พอท่านพูดเท่านั้นเห็นเทวดาพึ่บ หลายร้อยองค์ เป็นภุมเทวดาบ้าง เป็นรุกขเทวดาบ้าง เป็นเทพธิดาบ้าง เทวดาผู้หญิงบอกว่า ท่านเจ้าคะจะไปหรือ ไม่โปรดฉันก่อนหรือ

ก็บอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าไปพักที่ไหนไม่ไกลเกินไป ก็ตามไปสงเคราะห์ที่นั่นก็แล้วกัน ฉันก็ขอบคุณทุกท่าน เพราะว่าทุกท่านเมตตาปรานีเสมอ ขณะที่ใช้เวลาทั้งคืน ตลอดคืนจะไปบิณฑบาตก็ไม่ต้อง ท่านมาคอยใส่อยู่แล้ว ก็ไม่แน่ใจว่า ไปที่ใหม่จะมีใครเขาใส่บาตรไหม ท่านผู้นั้นก็บอกว่า เจ้าของที่เขาก็ใส่ แต่ฉันอาจจะไปกันนะ เมื่อคุยกันเสร็จก็ลาท่าน

ท่านลุงก็ออกหน้า ดึงมีดออกจากฝัก ขาวจั๊วะ มีดเหน็บใหญ่ เดินไปก็ถางต้นไม้เล็ก ๆ ต้นไม้เล็ก ๆ ขวางหน้า ท่านก็ตัด ตัดก็เหวี่ยงไปข้างทาง ทำให้พวกเราเดินสบาย พอเดินไปท่านก็คุยไปบอก ต้นยางต้นนี้นะ เจอะต้นยางต้นหนึ่ง ต้นนี้ แหม…ชาวบ้านชอบมาสุมไฟทำเป็นหลุม สุมไฟเอาน้ำมันกันทุกวัน และก็ชมต้นไม้เรื่อย ๆ ไป เดินไปประมาณสัก ๑๐ นาที แต่ความจริง เราอยู่ฝั่งตะวันออกของอำเภอศรีประจันต์

ถ้าจะไปอำเภอศรีประจันต์จริง ๆ ไปฝั่งตะวันตกที่ดอนเจดีย์ จะต้องข้ามแม่น้ำท่าจีน แต่ว่าใช้เวลาเดินไปประมาณ ๑๐ นาที ลุงก็ชี้ให้ดูยอดไม้ต้นโน้น ยอดไม้ต้นนี้ ชี้ไปชี้มา ชี้ปั๊บไปที่เจดีย์ บอกว่า เจดีย์องค์นี้ละครับ เป็นเจดีย์ที่รัชกาลที่ ๖ มาสร้างไว้ ก็ตกใจ ก็บอกว่า ลุง นี่เราเดินมาประมาณ ๑๐ นาทีนะ เมื่อกี้นี้อาตมาดูในเวลา ท่านก็เลยบอกว่า ผมบอกแล้วว่า

ผมรู้จักทางลัด ถ้าทางที่ชาวบ้านเขาเดินกันต้องใช้เวลาหลายวันนะครับ นี่ผมรู้จักทางลัด ผมเป็นเด็กที่นี่ ผมเป็นเด็กป่านี้ ก็เลยถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นในเจดีย์พระนเรศวรมหาราชฝังอะไรไว้บ้าง ท่านบอก ฝังของ ง้าว ฝังอาวุธทั้งหมดที่อยู่บนคอช้างของพระมหาอุปราช ก็บอกว่า เวลานั้นช้างของพระมหาอุปราชเขาก็หนีไปแล้ว พระมหาอุปราชถูกฆ่าตาย ควาญช้างก็ขับไสไป

ท่านบอก ไม่ไป ไม่ได้ไป ถูกปืน ควาญช้างถูกปืนตาย จับได้ทั้งช้าง จับได้ทั้งสรรพาวุธ ทั้งกูบช้าง ทั้งหมด อาวุธทุกอย่างฝังไว้ที่นี่ แล้วก็เครื่องแต่งกายของมหากษัตริย์ พระมหาอุปราชฝังไว้ตรงนี้ ก็ถามว่า การรบ รบตรงนี้หรือเปล่า ท่านบอก การรบ รบที่ลาดหญ้า ไม่ใช่ที่นี่ แต่ว่าการจะสร้างเจดีย์ไว้ที่ลาดหญ้าก็ไม่เหมาะ เพราะเป็นสนามรบ

ท่านก็คิดว่า สักวันหนึ่งข้างหน้า กษัตริย์เบื้องหลัง ก็คงจะไม่รับศึกที่กำแพงเมืองอย่างที่แล้วมา ถ้าไม่รับศึกที่กำแพงเมือง เจดีย์ก็จะกลายเป็นแดนสนามรบไป เอามาตั้งไว้ตรงนี้มันเหมาะกว่า และถามว่า พิธีกรรมซ้ำสาป ท่านบอกคำสาปของพระอรหันต์มีผล หลังจากนั้นมา พม่าก็สงบไปพักหนึ่ง ต่อมาอยุธยาเสื่อมจากความเจริญทางใจ ความชิงดีชิงเด่นกันมีขึ้น

การสามัคคีน้อยไป ในที่สุดพม่าก็มาล้อมเมือง และก็พระยาราม กับคนหลายคนก็เป็นข้าศึก เรียกว่า เป็นแนวที่ ๕ ให้พม่า ในที่สุดพม่าก็ตีอยุธยาแตก ตอนนี้ พระยาวชิรปราการ คือ พระเจ้าตากสิน ก็นำกำลังพลประมาณ ๕๐๐ คน ออกไป ตีฝ่าพม่าไป นี่เป็นอันว่า เวลานั้นขึ้นชื่อว่า การจบอยุธยา แล้วต่อมาก็มาสร้างกรุงธนบุรี

และท่านก็บอกว่า คำสาปของพระอรหันต์ ท่านสาปตามกฎของกรรม จะฝืนกฎของกรรมไม่ได้ แต่อย่าลืมว่า ต่อไปเบื้องหน้า เห็นว่าประเทศไทยเราเวลานี้ก็ถูกข้าศึกล้อมเข้ามา ฝรั่งเศสก็เข้า อังกฤษก็เข้า แต่เวลานี้พม่าเป็นทาสของอังกฤษ เขมรและลาว เป็นทาสของฝรั่งเศส แต่ทว่าไทยยังเป็นอิสระ เพราะว่า รัชกาลที่ ๕ มีความฉลาด รู้ผ่อนสั้นผ่อนยาว ยอมเสียอวัยวะ

ดีกว่าเสียชีวิต ยอมเสียทรัพย์สิน ดีกว่าเสียร่างกาย ยอมเสียอวัยวะ ดีกว่ายอมเสียร่างกาย คือ ความตาย เอาละ บรรดาท่านทั้งหลาย คติของท่านผู้เฒ่าก็มาจบกันเพียงเท่านี้นะ หมดเวลาพอดี ขอลาท่านก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


6
ป่า อ.ศรีประจันต์ ตอนที่ ๔


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย เมื่อตอนที่ ๕ มาหยุดอยู่ที่ดอนเจดีย์ แต่ว่าวันนี้ก่อนที่จะพูดถึงดอนเจดีย์ ก็ขอพูดถึงความดีก่อน ความดีที่จะพูดนี้ก็เป็นเรื่องของยาไม่รู้ว่าเอาตำราไปไว้ที่ไหน ยาที่หมอพิเชษฐ์นำมาให้ คือว่า นายแพทย์พิเชษฐ์ กับแพทย์หญิงฐิตินันท์ จันทอิสระ นี่เป็นแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

เมื่อวันที่ ๖ ปรากฏว่าท่านมาที่วัด ท่านก็นำยาทุกอย่างที่เคยมาให้คุณหมอ ๒ หมอนี่ ทั้งสามีภรรยา ให้ทั้งยา ให้ทั้งเงินเหมือนกันกับคณะหมอทั้งหมด แต่ยาที่มาให้ก็แปลกไป ๒ ขนาน ชื่ออ่านไม่ออก เพราะเป็นภาษาฝรั่ง เอาละ เป็นอันว่า คุณภาพขนานแรกเป็นยาช่วยสมอง เส้นประสาทสมองของหัวใจ แล้วก็ยาขนานที่ ๒ เป็นยาช่วยให้นอนหลับเร็วขึ้น

เมื่อวันที่ ๖ นะ และก็มาวันนี้ พันเอกพิเศษศรีพันธ์ วิชชุพันธ์ นำยาขนานเจ๊กมาช่วยในการหลับ แต่ยาขนานนี้ยังไม่ได้ฉัน แต่ยาหมอพิเชษฐ์ นี่รู้สึกว่า หมอพิเชษฐ์ กับหมอฐิตินันท์ หมอฐิตินันท์ ภรรยานี่เป็นเภสัชกร นำยา ๒ ขนานมาให้ รู้สึกว่า หลับเร็วดีมาก ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับคณะหมอจรูญกำลังจะหายานอนหลับที่ดีกว่ายาขนานเดิม แต่ก็บังเอิญยังหามาไม่ได้

ทีนี้หมอพิเชษฐ์ก็ไปหามาทดลองก่อนว่า จะหลับดีหรือไม่ดี รู้สึกว่านอนประเดี๋ยวเดียวก็หลับ และก็หลับตื่นมาสดชื่นมาก ทำให้อาการดีขึ้นเยอะ แต่ถึงกระไรก็ดี อาการป่วยก็ต้องป่วย แต่ว่าดีที่ว่ายาขนานนี้ และโรคเวลานี้มันแปลก เจ้าโรคเก๊าต์ นี่แปลกมาก เวลาที่มันเป็นขึ้นมา และพอมันยุบตัวลงไป มันก็ใช้แปลงกลางวันเป็นกลางคืน กลางคืนเป็นกลางวัน

นั่นก็คือว่า เวลากลางวันมันจะหลับ เวลากลางคืนมันจะนอนไม่หลับ มาตอนนี้ยาของหมอพิเชษฐ์ กับหมอฐิตินันท์จัดให้ เวลาจะนอน กินก่อนนอนเล็กน้อย หลับง่าย รู้สึกมีความสุข ขอขอบคุณท่านหมอพิเชษฐ์กับหมอฐิตินันท์ นี่อยู่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ตอนนี้เสียงแห้งไปหน่อย ก็ไม่เป็นไร มาเล่าถึงลุงต่อไป

ครั้นมาถึง ดอนเจดีย์ คุณลุงก็เล่าความเป็นมาตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดว่า ท่านรู้ว่า พระองค์นั้นเป็น พระอรหันต์ ท่านก็ประกาศด้วยว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ และท่านก็ถามว่า พวกท่านจะอยู่ที่ดอนเจดีย์นี่ หรือว่าจะไปไหน ก็บอกว่า ใกล้บ้านเกินไป ห่างจากที่นี่ไปประมาณไม่ถึงกิโลเมตร ก็ปรากฏว่า มีบ้านอยู่ การมาธุดงค์คราวนี้ เป็นการฝึกครั้งแรก ต้องการไม่พบบ้านจริง ๆ

ถ้าไม่มีข้าวจะกินเพราะความดีก็ให้มันตายไปเลย แล้วลุงก็เลยถามว่า พวกท่านกิเลสหมดหรือยัง ก็เลยตอบท่านบอกว่า ถ้ากิเลสหมด ก็ไม่ต้องมาธุดงค์ การมาธุดงค์มาฝึกเพื่อทำลายกิเลส ไม่ใช่เป็นพระที่กิเลสหมดอย่าง พระมหากัสสป พระมหากัสสปท่านไปธุดงค์ ก็เป็นการฝึกพระที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นอรหันต์แล้ว ก็ฝึกความเป็นอยู่ในป่า

เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติของพระรุ่นหลัง ลุงก็เลยบอกว่า กิเลสไม่หมดอยู่ไกลคนเกินไป ถ้าเทวดาเขาไม่เมตตา จะว่าอย่างไร ก็เลยบอกท่านบอกว่า เรื่องการว่าเทวดานั้นไม่มี มีแต่ว่าตัวเอง พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า อตฺตนา โจทยตฺตานํ จงกล่าวโทษโจทก์ความผิดตัวเองไว้เสมอ หรือว่า จงเตือนตนด้วยตนเอง เพราะว่าการมา ก่อนที่จะมาก็ฝึกที่ป่าช้าวัดบางนมโค ไม่มีข้าวกินมา ๑๖ วัน ต้องอาศัยข้าวที่พระบิณฑบาตกิน

พอวันที่ ๑๗ ตัดสินใจคิดว่า เทวดาจะให้ หรือไม่ให้ เป็นเรื่องของเทวดาท่านจะเมตตา แต่เราขอถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง จับภาพพระพุทธเจ้าไว้ให้ทรงตัว เพียงแค่นี้เทวดาก็ให้กิน เมื่อมาอยู่ในป่า ก็ใช้ตำราแบบนั้น ก็ได้กินทุกวัน แต่บางวันที่ไปเที่ยวไกลเกินไป กลับมาสว่าง ไม่ทันจะออกบิณฑบาต ก็ปรากฏว่า เทวดาท่านก็มาใส่ให้ถึงที่ ท่านเมตตาอย่างนี้

เมื่ออยู่ฝั่งตะวันออก เทวดา และนางฟ้าเมตตา มาฝั่งตะวันตก เทวดา นางฟ้าไม่เมตตา ก็ตามใจท่าน จะยอมตายในป่า ลุงฟังแล้วก็มองจ้องหน้า จ้องหน้าองค์โน้นที จ้องหน้าองค์นี้ที แล้วลุงก็ถามว่า ทุกท่านตัดสินใจตามนี้หรือ ก็บอกว่าตามนี้ ต่อไปท่านจ้องหน้า ๒ องค์เพื่อนกัน ท่านลิงเล็ก กับลิงขาว ถามว่า ท่าน ๒ องค์นี่ ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม ท่าน ๒ องค์ ก็ตอบว่า ใช่

ก็หันมาถามอาตมาว่า ท่านปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านพุทธภูมิ ก็แสดงว่า เป็นหัวหน้า เพราะสาวกภูมิต้องตามหลัง แต่ว่าสาวกภูมิทั้ง ๒ องค์นี่ ผมมีความสงสัยว่า เวลานี้สามารถตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้วในพรรษาที่ ๒ ท่านทั้ง ๒ องค์ก็บอกว่า อาตมาน่ะไม่กล้าพยากรณ์ตัวเองอย่างนั้น มันเป็นความประมาท และทะนงตนเกินไป

ลุงก็เลยบอกว่า ผมเป็นคนช่างสังเกต เพราะอาจารย์ของผมเป็นพระอรหันต์ สังเกตว่า อาการอย่างนี้ เป็นพระที่ตัดสังโยชน์ ๓ ได้ แต่ว่าเป็นสังโยชน์ ๓ อย่างหยาบ อย่างนี้เทวดาเมตตา สำหรับพระโพธิสัตว์ก็เช่นเดียวกัน ท่านปรารถนาพุทธภูมิ พระโพธิสัตว์นี่เทวดามีความเคารพ จึงคิดว่า เทวดา และนางฟ้าคงจะเมตตาต่อไป เลยบอกท่านบอกว่า ความดียังไม่พอ

ความปรารถนามันมีอยู่ เหมือนกับคนที่ตั้งใจ อยากจะเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าเวลานี้ ที่สักกระแบะมือหนึ่งก็ไม่มีทุนสักไพหนึ่งก็ไม่มี จะถือว่าดีไม่ได้ ลุงก็บอกว่า ถ้าเราพูดกันมันก็ไม่จบ เลยถามว่า คุณลุง อยากจะทราบว่า คุณลุงบ้านอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า บ้านของผมอยู่ที่ บ้านดึง ถาม บ้านดึงที่อำเภอผักไห่มีหรือ ท่านก็ตอบว่า มี ถามว่า มันอยู่ที่ไหน

ท่านก็บอกว่า มันอยู่ที่บ้านผม ตั้งอยู่ เขาเรียกว่า บ้านดึง และก็มี ผู้ใหญ่บ้าน ชื่อ อิน ที่ผมไป ผมมาที่ไหนได้ ก็เพราะท่านผู้ใหญ่บ้านอิน ท่านคุ้มครอง ไปไหนท่านก็อนุญาต ถ้าหากว่าท่านไม่อนุญาต ไม่ไป ที่ผมมานี่ก็เหมือนกัน ผมจะมาธุระที่อำเภอศรีประจันต์ ท่านผู้ใหญ่อิน ท่านก็บอกว่า ลูกชายของท่าน กับเพื่อนมาธุดงค์อยู่ที่นี่ ให้ช่วยสงเคราะห์

พาไปที่ดอนเจดีย์ด้วย และก็นอกจากที่ดอนเจดีย์นี้ ให้ไปภูเขาชั่วคราว ภูเขาชั่วคราว ก็หมายความว่า ข้างในมีธารน้ำใส มีเตียง มีตั่ง เป็นที่นั่ง เป็นที่นอนสบาย และก็มีสวนดอกไม้ มีสวนหย่อม มีพุ่มไม้สว่างไสว ทางด้านทิศตะวันตกก็มีเงื้อมภูเขา บังแสงพระอาทิตย์ที่จะสาดมาเวลาตอนบ่าย เมื่อฟังท่านแล้วก็คิดในใจว่า ลุงนี่แปลก อยู่บ้านดึง ผู้ใหญ่บ้านชื่อ อิน ก็เลยไม่ถามท่านต่อไป

ก็เลยบอกกับท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลุง อาตมาอยากจะไปที่ภูเขาชั่วคราว ไปพักที่นั่นให้มันมีความสุข ท่านก็บอกว่า ได้ ดูดอนเจดีย์นี่เสียก่อน ตรงนี้พระนเรศวรสร้างไว้ข้างใน มีรูปร่างลักษณะเป็นแบบนี้ เป็นเจดีย์เล็ก ๆ ไม่โตนัก แต่เวลานี้ รัชกาลที่ ๖ ท่านสร้างคลุมไว้ ทำหลักฐาน ใหญ่โตมาก แล้วก็มองตามภาพมองไปมองมา ลุงบอกว่า ถึงภูเขาชั่วคราวแล้ว เจอะดี เป็นการลองฝึกธุดงค์นะ ถึงภูเขาชั่วคราว

พอท่านพูดอย่างนั้นก็ปรากฏว่า เจดีย์ ดอนเจดีย์หายไป มาถึงถ้ำ ถ้ำมีความสวยสดงดงามมากไกลจากดอนเจดีย์ ประมาณสัก ๑๐ กิโล เดินดูบริเวณ สนามหญ้าก็สวย ทางเดินก็ดี เป็นสถานที่จงกรม มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ในบริเวณกลางลานประมาณสัก ๓๐ ต้น เป็นที่บิณฑบาตอย่างสบาย ๆ มีเตียง มีตั่งเป็นที่นอน มีสระน้ำ เมื่อถึงที่นั้นเสร็จ ลุงก็บอกว่า ผมจะลากลับนะครับ

ก็เลยบอกกับลุงบอกว่า เวลากลับ อาตมาอยากจะขอให้ลุงช่วย ช่วยพากลับ เพราะไอ้ทางลัดนี่ จำไม่ได้เลย มาประเดี๋ยวเดียวมันถึง มันแปลกใจ ท่านบอกว่า ไม่น่าจะแปลกใจ ถ้าหากว่าคนบ้านดึงนำมา จะไปที่ไหนก็ตามใกล้ทั้งหมด ถามว่า คุณลุงชื่ออะไร จำได้ไหม ท่านถามว่า ทำไมจะจำได้ หรือไม่ได้ ชื่อของผมน่ะ ถามแปลก ๆ ท่านก็บอกว่า ผมชื่อ วิ เป็นลูกศิษย์ของผู้ใหญ่อิน

ถ้าผู้ใหญ่อินจะสร้างอะไรก็ตาม ผมเป็นช่างนะ ทำทุกอย่างได้ตามความพอใจ นี่ผมจะทำอะไรให้ดูสักอย่างไหมล่ะ ก็บอกว่า อยากจะดูกลางคืนที่นี่มันมืดใช่ไหม ก็บอกว่า ใช่ ท่านมีเทียนมาหรือเปล่า บอก เทียนหมดแล้ว กลางคืนก็ใช้นั่งเดาสุ่มกัน ถ้าอย่างนั้นผมจะทำเทียนให้ เทียนอันนี้ ถ้ามันยังไม่มืดเทียนจะไม่ติด ถ้าอากาศมืดเมื่อไรหรือแสงพระอาทิตย์หรี่ลงเมื่อไร

จะมีแสงเทียนปรากฏขึ้น และสว่างทั่วบริเวณ หากว่าท่านต้องการให้เทียนดับ ท่านก็นึกว่า เทียนนี้จงดับ เทียนก็จะดับ ถ้าต้องการให้เทียนติด ก็นึกว่า เทียนนี้จงติด เทียนก็จะติด ทั้ง ๒ คน ก็มองหน้ากันว่า ลุงวินี่ แกไม่กระพริบตา สายตาแจ่มใส แกจะทำเทียน บอกถ้าอย่างนั้นลุงทำ คุณลุงก็บอกว่า เทียนตั้งตรงนี้นะครับ มันจะสว่างทั่วบริเวณของถ้ำ

พอตกลงว่าตั้งตรงนี้ก็ดี เพียงเท่านี้เทียนปรากฏ เป็นเทียนเฉย ๆ ไม่มีไฟ ลุงก็บอกว่า ลองดูซิ ท่านลองนึกว่า เอ้า เทียนจงมีไฟเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ เทียนก็มีไฟทันที เทียนจงดับ นึกว่า เทียนจงดับ เทียนก็ดับทันที แล้วท่านบอกว่า เทียนนี่เป็นอัตโนมัติ นั่นก็หมายความว่า ถ้าอากาศมันมืดจริง ๆ เทียนจะสว่างขึ้นเองโดยไม่ต้องสั่ง แล้วท่านลุงก็ลาไป

การลาของท่านลุงก็เป็นของไม่แปลก แบบคนธรรมดา ๆ แต่ที่แปลกก็มีอยู่ว่า เวลาเดิน ลุงเดินไป ๒ - ๓ ก้าว ลุงหายไปเลย พวกเราก็หันมายิ้มกันบอกว่า นี่เราถูกต้มแล้วนะ วิ นี่หมายถึง วิษณุกรรมเทพบุตร บ้านดึง ก็คือ ดาวดึงส์ ผู้ใหญ่อิน ก็คือ พระอินทร์ คือโยมผม ท่านทั้ง ๒ ก็เห็นด้วย ท่านทั้ง ๒ ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เอากันให้แน่ใจกันไปเลย เวลานี้เราตัดสินใจไปดาวดึงส์กันดีกว่า ไปพิสูจน์กัน ก็ตกลง เมื่อวางของเสร็จเรียบร้อยแล้ว

จัดที่หลับที่นอนดีแล้ว ก็ขึ้นนั่งเตียงคนละเตียง มันเป็นเตียงหิน แต่ว่าอ่อนนุ่ม คล้าย ๆ ใครเอาผ้าที่นุ่มนิ่มมาปูไว้ แล้วก็อุ่น ไม่เย็นแฉะ ขึ้นนั่งเตียงปั๊บ หลับตาปุ๊บ มันก็ไม่ยาก เป็นของที่ทำจนชิน เพียงแค่นึกปั๊บ มันก็ไปปุ๊บ ถึงดาวดึงส์ พอเข้าไปถึง ก็ไปที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เวลานั้นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ว่าง ไม่มีใครเลย

คิดว่า จะเข้าไปในเวชยันตวิมาน ก็ไม่น่ารัก เช้ามืดเกินไป ก็พอดีเห็นเทวดาท่านหนึ่งเดินมา ก็แสดงคารวะในท่าน ทักทายปราศรัยท่าน ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรหรอก ท้าวโกสีย์กำลังสั่งงานอยู่ประเดี๋ยวจะออกมา ท่านทราบ ท่านให้ผมมาบอกท่านว่า ให้คอยประเดี๋ยวเดียว ก็เป็นอันว่าคอยอยู่ประเดี๋ยวเดียว ปรากฏว่า ท้าวโกสียสักกเทวราช ท่านก็ออกมา เมื่อท่านออกมาแล้ว

ท่านก็ถามว่า คุณมาธุระอะไรกัน ก็เลยบอกท่านบอกว่า มีคุณลุงพิเศษชื่อ วิ อยู่บ้านดึง แต่ผู้ใหญ่บ้านชื่อ อิน อาตมานี่สงสัยว่า บ้านดึง ก็คือ ดาวดึงส์ ลุงวิ ก็คือวิษณุกรรม ใช่ไหม โยมก็เลยบอกว่า ใช่ ท่านบอกว่า โยมเห็นว่าคุณอยู่ที่นั่นมานานแล้ว มันจำเจเกินไป ก็ควรจะย้ายที่ สถานที่ที่จะย้ายก็ควรจะเป็นที่ศรีประจันต์ ฝั่งด้านตะวันตก เพราะมีอะไรดีมาก ๆ

หลังจากนั้น ท่านก็เรียกวิษณุกรรมเทพบุตรมาหา ท่านวิษณุกรรมเทพบุตรนี่ ความจริงท่านสวยมาก แต่ท่านมาใน ๒ รูป รูปข้างหน้าก็เป็นเทวดา รูปข้างหลังก็เป็นลุง เป็นลุงวิ ท่านถามว่า จำได้ไหมครับ ก็บอกว่า จำได้ ที่มานี่ก็สงสัย ท่านเลยบอกต่อนี้ไปท่านไม่ต้องวิตกกังวล หากว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน บอกผมนึกถึงผมก็แล้วกัน เพราะท่านท้าวโกสียสักกเทวราชท่านอนุมัติไว้ ให้ทำทุกอย่างเพื่อท่านเพื่อความสุข

ก็เลยถามว่า การมาธุดงค์มีความสุขมันจะดีหรือ ท่านบอกว่า ความสุข หรือความทุกข์มันไม่สำคัญ ให้กายสุขไว้ก่อน ใจจะได้มีความสบาย เพราะเวลานี้ยังตัดกิเลสกันไม่ได้ ถ้าร่างกายเป็นทุกข์ ความทุกข์ทางกายเกิดขึ้น กิเลสก็เลยไม่หมด มันต้องมีกายสุขพอสมควร แล้วก็ใช้ความสุขเป็นวิปัสสนาญาณ มาเจอะเทวดาสอนวิปัสสนาญาณเข้าอีกแล้ว

ก็ถามว่า จะทำอย่างไร ท่านก็เลยบอกว่า อย่าลืมว่า ภูเขาลูกนั้น มันเป็นภูเขาชั่วคราว คำว่า ชั่วคราว มันเป็น อนิจจัง ถ้าพวกท่านกลับไปหมด ภูเขาลูกนั้นก็จะสลายตัว จะหายไป มันก็เป็น อนัตตา เพียงเท่านี้พอหรือยัง ก็บอกท่าน บอกว่า พอแล้ว เข้าใจแล้ว หลังจากนั้นก็ลากลับ กลับมาถึงที่พักพวกเราก็มีความสุขเดินไปเที่ยวบริเวณ เดินจงกรมบ้าง

คำว่า เดินจงกรม มันไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร ญาติโยมพุทธบริษัท ก็เดินกันแบบธรรมดา ๆ เดินกันไปคุยกันไปก็ได้ แต่ปากก็คุยกันไป แต่ใจส่วนหนึ่งก็คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็น อนิจจัง เรามาอยู่นี่ชั่วคราว มันก็เป็นของไม่เที่ยง ไม่ช้าเราก็กลับ เมื่อกลับแล้ว ที่นี่หายไปจากเรา ก็เป็น อนัตตา เราหายไปจากที่นี่ เราก็เป็นอนัตตา รวมความว่า การเกิดมาเป็นของไม่ดี มันต้องมีความลำบากอย่างนี้ เจ้านายที่มีความสำคัญ ก็คือ กิเลส

ถ้ากิเลสยังท่วมหัวเราเพียงใด ความสุขก็ไม่มีกับเราเพียงนั้น เดินไป ก็คุยกันไป ชี้โน่นชี้นี่ ก็ดูว่าต้นไม้ทุกต้นทำเป็นระเบียบทั้งหมด นี่อาศัยกำลังใจของวิษณุกรรมเทพบุตรองค์เดียว พอถึงเวลาค่ำก็กลับเข้าที่นอน พอเข้าที่นอนปั๊บ ต่างคนต่างอยู่ ที่นี้ไม่คุยกันแล้ว ค่ำแล้ว หน้าที่ของใครก็เป็นหน้าที่ของใคร ใครจะทำอย่างไร ก็ทำไปตามชอบใจของตนเอง

เวลาประมาณสักตี ๒ เสียงดังโครมคราม ๆ ในธารน้ำไหลในถ้ำ ทุกองค์ตื่นจากที่นอน พอลุกจากที่นอนมาดูที่ธารน้ำไหลปรากฏว่า มีเสือ ๔ - ๕ ตัว กำลังเล่นน้ำอยู่ ก็นึกในใจว่า เจ้าเสือนี่มันเข้ามาอย่างไร แล้วทำไมถึงมาเล่นน้ำที่นี่ มันจะเล่นแต่น้ำ หรือเล่นเราด้วยก็ยังไม่แน่ ก็มองไปมองมา ดูเสือ เสือก็ทำท่า ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เล่นน้ำกันตามสบาย ๆ เลยทุกคนก็นั่งมองดู ก็คิดในใจว่า การเกิดของคน การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเป็นของไม่ดีอย่างนี้

ถ้าเราพลาดจากความเป็นคน เป็นเทวดา หรือเป็นพรหมก็ยังดี ถ้าไปเกิดในอบายภูมิ ถึงแม้จะเป็นเสือ เป็นสัตว์ที่มีอำนาจมาก ก็มีความลำบากด้วยอาหาร เวลานี้มาเล่นน้ำกันในเวลาดึก แต่ความจริง มันไม่ใช่เวลาอาบน้ำ มันเวลานอนเป็นเวลาพักผ่อนเฉพาะคน แต่เวลากลางคืน เป็นเวลาหากินของเสือ แต่เสือนี่จะมีความสุข หรือความทุกข์ เมื่อคิดไปแล้วก็เห็นว่า

เสือมีความทุกข์ เพราะว่าเสือมีความหิว การอาบน้ำแสดงว่า เสือมีความร้อน ความร้อนมันก็เป็นทุกข์ เมื่ออาบน้ำมีความเย็น ก็เป็นสุขชั่วคราว ถ้าขึ้นไปจากน้ำประเดี๋ยวก็อาจจะร้อนใหม่ แล้วก็ในที่สุด เสือนี่ก็ต้องแก่ แล้วก็ต้องตาย เช่นเดียวกับเรา เราก็มีสภาพเช่นเดียวกับเสือ ถ้าเวลานี้บังเอิญเสือเห็นเราเข้า เสือจะกินเรา เราก็ตามใจเสือ เราจะไม่ยอมดิ้นให้มันเจ็บ

ให้มันเจ็บแค่เสือกัด ประเดี๋ยวมันก็ตาย เมื่อตายเราก็มีความสุขที่ไปของเราก็คือ พรหม อาตมาคิดอย่างนั้นนะ แต่ว่ามาถาม ๒ องค์ทีหลัง ๒ องค์ท่านก็บอกว่า ที่ตายของท่าน ท่านตายแล้ว ที่ไปของท่านก็คือ นิพพาน มีอารมณ์ต่างกัน พระโพธิสัตว์ ก็สาวกมีอารมณ์ไม่เสมอกัน พระโพธิสัตว์ไม่ค่อยเข้าใจนิพพานนัก อาตมาไม่เข้าใจเลย เวลานั้น เรื่องนิพพาน

แล้วก็จิตหวังนิพพานไม่มีอยู่ ต้องการอย่างเดียว คือ เป็นพระพุทธเจ้า พอคิดอย่างนั้นเสร็จ เสือก็ยังไม่เลิกเล่นน้ำ เราก็เลยนั่งสมาธิตรงนั้นคิดในใจว่า ขออุทิศร่างกายให้เป็นอาหารของเสือ เสือจะได้มีความสุข ตั้งใจจับสมาธิปั๊บจิตหลุดออกจากกาย ไปโน่น ไปป๋ออยู่ดาวดึงสเทวโลก โยมผู้หญิงท่านก็ถามว่า คุณมาทำไม ก็เลยบอกว่า ปล่อยร่างกายให้เสือมันกิน

ท่านบอก เสือไม่กินหรอก เสือนี่กินคนไม่ได้ ถาม ทำไมล่ะโยม ก็เสือ ๔ ตัวนี่ ขอโทษท่านนะ ท่านก็ยกมือไหว้ว่า เสือ ๔ องค์ คือ
เสือที่ ๑ คือ เสือหลวงพ่อปาน
เสือที่ ๒ คือ เสือหลวงพ่อสุข
เสือที่ ๓ คือ เสือหลวงพ่อจง
เสือที่ ๔ คือ เสือหลวงพ่อจาด

ทั้ง ๔ องค์นี่เป็นเพื่อนกัน มาพิสูจน์กำลังใจของคุณว่า มาที่ใหม่นี่ คุณจะกลัว หรือไม่กลัว และว่า คุณจะทำอย่างไร ในเมื่อเห็นเสือมาอยู่ใกล้ ๆ จะทำอย่างไร จะตกใจกลัววิ่งหนีแบบไหน เวลานี้คุณตั้งใจถูกแล้ว คุณจะกลับไปหรือยังล่ะ ก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันจะลากลับ โยมก็บอก กลับก็ดี ประเดี๋ยวครูบาอาจารย์จะได้แสดงตัว

เมื่อกลับลงมาแล้ว ก็ปรากฏว่า หลวงพ่อปานแสดงองค์ก่อน จากเสือในน้ำขึ้นมา พอขึ้นจากพื้นน้ำนั่งปั๊บ เป็นหลวงพ่อปานทันที แล้วก็ หลวงพ่อจงเป็นองค์ที่ ๒ หลวงพ่อจาดเป็นองค์ที่ ๓ หลวงพ่อสุข เป็นองค์ที่ ๔ แล้วก็บอกว่า เออ…ตัดสินใจอย่างนี้ดีนะ อย่าลืมว่า เทวดาท่านสงเคราะห์ จงทำความดีที่เทวดาชอบใจ ถ้าหากว่าเธอสงสัยว่าเทวดาชอบใจอะไรบ้าง

ให้ไปถามโยมเธอที่สวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ถามโยมผู้ชายก็ได้ ถามโยมผู้หญิงก็ได้ พอหลวงพ่อปานพูดจบ เสียงก้องมาจากข้างนอกว่า ตามคำแนะนำที่หลวงพ่อปานสอนน่ะ ถูกต้องทุกอย่างแล้ว ไม่ต้องไปถามใครอีก ก็ไม่ทราบว่าเสียงใคร แล้วก็เงียบไป แล้วท่านก็บอกว่า ท่านก็ขอกลับ หลวงพ่อมาเท่านี้ เตือนเท่านี้ จะกลับนะ จำไว้ว่า ถ้าเสือธรรมดา

จะไม่มาเล่นน้ำในเวลากลางคืน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในถ้ำ เสือถ้าจะกินคน ต้องคนนอนที่แจ้ง เพราะว่าเวลาจะกินคน หรือกินสัตว์ เสือจะต้องโดดคาบแล้วก็โดดต่อไป ในถ้ำนี้โดดไม่ได้ เสือไม่เข้ามา จำไว้ให้ดี ไอ้ที่มานี่ก็จะแนะนำ เพราะเกรงว่า จะกลัวเสือ เสือจะไม่หมอบ หรือคลานเข้ามาคาบลากออกไป เสือไม่ทำอย่างนั้น เวลาเสือจะกิน จะต้องโดดพั๊บจับได้

แล้วก็โดดออก ที่นี่ถ้ำต่ำ โดดไม่ได้ แล้วท่านก็ลากลับ เมื่อท่านลากลับเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็กราบสถานที่ท่านนั่ง ก็จัดบริเวณที่ท่านนั่งไว้ เอาหินมาวางเรียงรายให้ล้อมรอบว่า ที่ตรงนี้เราจะไม่เหยียบ จะไม่เดินเหยียบลงไป เราจะไม่นั่ง ไม่นอนที่ตรงนั้น เพราะเป็นที่ครูบาอาจารย์ท่านนั่งสอนทั้ง ๔ องค์

หลังจากนั้นแล้ว ก็ต่างคนต่างตัดสินใจว่า เราจะนั่งกันตรงนี้ข้าง ๆ นี้ เราฟังคำสอนจากหลวงพ่อปาน หลวงพ่อ ๔ องค์ ท่านมา พร้อมกันในที่ใด เราจะนั่งตรงนั้นจนกว่าจะตลอดรุ่ง เมื่อตัดสินใจเสร็จต่างคนต่างเข้าสมาธิ ต่างคนต่างนั่ง เข้าสมาธิจิตอารมณ์สงัด เวลานั้นไม่เที่ยวแล้ว สงัด ตัดสินใจจัดอารมณ์ดิ่งที่สุด จิตมีอารมณ์สว่างโพลงจนไม่รู้สึกภายนอก เขาเรียกกันว่า

ฌาน ๔ อารมณ์เป็น เอกัคคตา ดี ตัดสินใจว่า ถ้า ๖ โมงเช้าเมื่อไร เราจะมีความรู้สึกตัว พอถึงเวลา ๖ โมงเช้า ก็รู้สึกตัวทันที ลืมตาขึ้นมาเห็นนาฬิกา ๖ โมงพอดี ก็หยิบบาตรขึ้นมาจะออกบิณฑบาต จะไปแขวนต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง แต่ว่าพอโผล่ออกมาจากปากถ้ำ ก็เจอะเทวดา ๒ ท่าน กับนางฟ้า ๒ ท่าน วันนี้ท่านแต่งตัวเป็นเทวดา เป็นนางฟ้าชัด

สวยจริง ๆ อย่าลืมนะ คำว่า สวย เวลานั้นนึกไม่ได้ นึกแล้วอดข้าว ก็นึกตามความเป็นจริงว่า เป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี ท่านไม่มีขันธ์ ๕ ท่านมีความสวยสดงดงาม สวยทั้งข้างนอก และสวยทั้งข้างใน อารมณ์ใจไม่เหมือนเราก็รับบาตรจากท่าน ท่านใส่บาตร และท่านใส่ดอกไม้คนละดอกแล้วท่านนั่งยกมือไหว้ ท่านก็ลาไป พวกเราก็กลับมากินข้าว มากินข้าวกินปลาเสร็จ

แปรงฟันดีแล้ว ก็นั่งเจริญกรรมฐานไปนานแสนนาน จนกว่าจะถึงตะวันเที่ยง จึงคลายกรรมฐานออกมาพักผ่อน นอนคุยกัน เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถ้ำพิเศษที่ดอนเจดีย์ ศรีประจันต์ ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เฉพาะเวลานี้นะ ต่อไปวันหน้าคุยกันใหม่ เวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้ฟัง และผู้อ่านทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/8/12 at 10:17 [ QUOTE ]


7
ฝึกอตีตังสญาณ ป่าศรีประจันต์


วันนี้ วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๓ วันนี้ก็จะคุยกับบรรดาท่านพุทธบริษัทเรื่อง ซ้อมอตีตังสญาณ ที่ป่าศรีประจันต์ ตามเดิม ขณะอยู่ที่ป่าศรีประจันต์รู้สึกว่า มีความสุขมาก เพราะว่าในสถานที่นี้ลุงวิก็มาสร้างภูเขาให้ สร้างถ้ำให้ มีสนามเดิน มีสนามหญ้า มีสนามดอกไม้ มีต้นไม้ใหญ่พุ่มไสว มีเตียงนอน นุ่มนิ่ม เตียงเป็นหิน แต่ว่านุ่มนิ่ม ภายในถ้ำก็มีธารน้ำไหล อากาศก็ส่องสบาย มีความสุข

ต่อมาวันหนึ่ง ความจริงอยู่กันมา ๒ - ๓ วัน ที่นี่มีความสุขกว่าที่ป่าศรีประจันต์ด้านตะวันออกมาก ฝั่งทิศตะวันออก อยู่กับโคนต้นไม้ แต่ก็มีความสุข แต่ว่าป่าเวลานั้น บรรดาท่านทั้งหลายผู้ฟัง หากว่าท่านทั้งหลายมีอายุประมาณสัก ๖๐ ปีเศษ ๆ ขึ้นไป ก็จะเข้าใจถึงป่า ในเวลานั้น ถ้ามีอายุน้อยกว่านั้นจะมีความเข้าใจยาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าเวลานั้นมีป่ามาก

ประเทศไทยมีที่ว่างน้อย คนไทยยังน้อย คนไทยมีประมาณ ๑๐ ล้านเศษ ๆ เครื่องจักรเครื่องกลทำลายป่ายังไม่มี ต้นไม้ต้องใช้เลื่อยเลื่อยบ้าง ใช้ขวานฟันบ้าง กว่าจะตัดออกสักต้นก็แสนยาก ดินแดนที่ทำมาหากินก็หาง่าย ถ้าใครต้องการป่าที่ไหนจะทำไร่ไถนา ก็ไปตัดต้นไม้ตรงโน้นไว้ต้นหนึ่ง มุมนี้ไว้ต้นหนึ่ง มุมนี้ไว้ต้นหนึ่ง มุมนี้ไว้ต้นหนึ่ง แสดงว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ของฉัน

หลังจากนั้นก็ไปขอใบเหยียบย่ำจากเจ้าหน้าที่ แล้วก็มาค่อย ๆ ถางป่า ป่าก็มีมาก ความเย็นก็สูง พออากาศตอนเย็น ๆ ประมาณสัก ๓ โมงเย็น ก็เริ่มเย็นมากแล้ว ๔ โมงเย็น น้ำค้างตก ๕ โมงเย็น ถ้านั่งข้างนอก จีวรเปียก ป่ามันหนาว และก็มีความเย็นสูงมาก แค่ป่าใกล้ ๆ เป็นป่าสำหรับฝึกธุดงค์ขั้นอุกฤษฏ์ ที่หลวงพ่อปานท่านให้ปฏิบัติ

ก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยเสือสางนางไม้ เก้ง ละมั่ง กระต่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัขจิ้งจอก และหมาป่าก็ยังมี ที่หายากเข้ามานิด ก็คือ ช้าง ช้างมีเหมือนกัน แต่นาน ๆ จะพบสักทีหนึ่ง เป็นอันว่า การอยู่ฝั่งทิศตะวันออกของ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ก็อยู่แบบชนิดที่เรียกว่า คนอยู่ป่าใหม่ ๆ เวลาตื่นขึ้นเช้า กลดที่บังน้ำค้างก็เปียกโชก

น้ำไหลโกร๊ก ดีไม่ดีก็ชื้นลงข้างล่าง ทีนี้พอลุงวิท่านพามา มาอยู่ที่ถ้ำชั่วคราว ขอพูดตามท่าน อยู่ที่ถ้ำ และเขาชั่วคราว มันจะเป็นชั่วคราวหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ที่นี่มีความสุข สถานที่เดินก็มีเงื้อมเขา มีเงื้อมเขาชะโงกมาเป็นหลังคา น้ำค้างตกลงมาก็ไม่ถูก มีลานสำหรับเดินเล่น มีลานหญ้ามีต้นไม้สวย ๆ มีดอกไม้สวย ๆ และก็ไม่ต้องบำรุง ไม่ต้องรดน้ำ

ไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด สวยจริง ๆ กลางคืนเสียงจักจั่นเรไรร้อง เสียงไพเราะ นาน ๆ จะได้ยินเสียงเสือร้องสักครั้งหนึ่ง เสือร้องกลางคืนเสียงครืด ๆ ๆ ไปใช่ ปี๊บ ๆ ๆ ก็มีความสุขอยู่กันอย่างสบาย และการอยู่ธุดงค์ต้องระมัดระวัง นั่นก็คือว่า การที่จะต้องอดข้าวกิน จะต้องระวังทางด้านจิตใจ ไม่ให้นิวรณ์กวนใจ ขึ้นชื่อว่า นิวรณ์ บรรดาท่านผู้ฟัง มันต้องกวนตลอดเวลา

คำว่า นิวรณ์ เดี๋ยวท่านจะไม่ทราบว่าอะไร บางท่านไม่ทราบ คำว่า นิวรณ์ เป็นภาษาบาลี ตามพระไตรปิฎกท่าน แปลว่า เป็นกิเลสหยาบที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง นั่นก็หมายความว่า คนใดถ้านิวรณ์รบกวนใจ ประจำใจอยู่ เวลานั้นเป็นคนไร้ปัญญา นิวรณ์ ๕ ประการ ก็คือ

๑.ความรักในระหว่างเพศ ขอเจาะเอาสั้น ๆ คือ รักรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ก็ขอพูดสั้น ๆ ว่า ความรักระหว่างเพศ รักแก้ว ถ้วยโถโอชาม สร้อยถนิมพิมพา ก็รักแค่นั้นแหละ ความรุ่มร้อนมันมีน้อย ถ้าเกิดรักคนสวยขึ้นมานี่ ความเร่าร้อนมันมีมาก เลยถือใช้คำนี้เป็นคำสำคัญ และก็

๒. อารมณ์ไม่พอใจ จะต้องมีอารมณ์แช่มชื่นอยู่เสมอ
๓. ความง่วงในขณะที่ปฏิบัติความดี
๔. อารมณ์ฟุ้งซ่านนอกรีตนอกรอย สร้างวิมานในอากาศ
๕. สงสัยในความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกฎของกรรม

รวมความว่า ทั้ง ๕ อย่างนี้ จะต้องไม่ให้เป็นเจ้าหัวใจ มันมีได้ แต่ทว่า มันก็ต้องมี ไม่ใช่ไม่มี แต่มันมีขึ้นเดี๋ยวเดียว ต้องรีบตกลงไป ถ้า กามฉันทะ เกิดขึ้น ก็ใช้ กายคตาสติ กับอสุภกรรมฐาน เข้าหักล้าง ถ้า ความโกรธ ความพยาบาท เกิดขึ้น ใช้ พรหมวิหาร ๔ เข้าหักล้าง ถ้า ความง่วง เกิดขึ้น เอาน้ำล้างหน้า หักล้าง

ความฟุ้งซ่าน เกิดขึ้นจับ อานาปานสติ หักล้าง ความสงสัย เกิดขึ้น ใช้ ปัญญา ใคร่ครวญความเป็นจริง ถึงความ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น ความแก่ ความเก่าในท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง การแตกสลายในที่สุด ค่อย ๆ ทำมันไปตามนี้เบา ๆ ไม่ต้องเรียนมาก เวลาที่เข้าป่า เพิ่งได้นักธรรมตรี กำลังจะเรียนนักธรรมโท

และเวลาว่างก็อ่านแบบนักธรรมโทไปด้วย หนังสืออธิบายด้วย ถ้าหากว่าไม่เข้าใจ ตอนไหนก็ขีด ๆ เส้นใต้ ไว้ถามพระท่านต่อไป พระท่านอธิบายเข้าใจง่าย ๆ ไม่ยากเหมือนครูสอน ตอนนี้มาก็มานั่งหารือกันว่า บรรดาพวกเราทั้งหลาย ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ ขณะที่เราฝึกอยู่ที่ป่าช้า วัดบางนมโค ตอนนั้นหลวงพ่อปานสั่งอะไรไว้เป็นสำคัญ สิ่งที่สั่งไว้เป็นสำคัญก็คือ อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว

อย่างที่ป่าช้าวัดบางนมโคมีอะไรบ้าง ต้องเขียนแต่ละสมัย ไปรายงานให้หลวงพ่อปานทราบ เวลาที่เราไปเที่ยว วัดบางปลาหมอ ก็กลับมาเขียนรายงานให้ทราบว่า ในอดีตมีอะไรบ้าง ไปเที่ยววัดหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ก็ต้องรายงานให้ทราบ ไปเที่ยววัดสามกอ ก็ต้องรายงานให้ทราบ อย่างนี้เป็นต้น

ทีนี้ก่อนจะมา หลวงพ่อปานสั่งว่า เธอจะไปที่ไหนก็ตาม ไปพักที่ไหนก็ตาม ต้องรู้อดีตของที่นั่น แต่ทว่าความสำคัญที่พวกเรารู้ บางทีหลวงพ่อปานก็ขีด ๆ ว่า ถูก บางทีก็บอกว่า ถูก แต่ไม่ครบถ้วน บางทีก็บอกว่า ถูก แต่ว่าผิดสมัย สมัยที่น่าจะรู้มากกว่านี้ ทำไมจึงไม่รู้ ก็รวมความว่า เรารู้ไม่จริง ความรู้จริงต้องอาศัยตามที่ อาจารย์ทอง พูด

อาจารย์ทองบอกว่า การรู้ด้วยกำลังของฌาณ ๔ ยังมีอุปาทานกินมาก ถ้าจะรู้จริง ๆ ไม่พลาด ต้องอาศัยถามองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง คือ ถามพระพุทธเจ้าเอง ทีนี้เวลานี้ สมัยที่อยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำศรีประจันต์ ใกล้อำเภอผักไห่ เราไม่มีเวลาจะทำ กลางวันก็แย่ กลางคืนก็เครียดจากความหนาว เวลานี้เรามีความสุขสบายแล้ว

ในเรื่องการรู้เรื่องราวสถานที่ต่าง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องนั่งตรงนั้น ทั้งทั่วประเทศ หรือทั่วโลก เราอยากจะรู้อะไรอยู่ที่ไหน เราก็สามารถรู้ได้ แต่ว่าพวกเราจะรู้กันอย่างไรเอามาสอบกันดีไหม ต่างคนต่างใช้ อตีตังสญาณ แล้วมาสอบกัน เพื่อนทั้ง ๒ ก็ค้าน ท่านลิงขาวบอกว่า ทำอย่างนั้นได้ แต่ว่าอุปาทาน มันจะกินมาก ยิ่งเรามีความสนใจมากอุปาทานก็กินมาก

และอีกประการที่ ๒ เราไม่มีเครื่องสอบสวน เอากันอย่างนี้ดีกว่า ทางที่ดี ถามตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นการรบกวนท่านเกินไปไหม ความจริงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนี้ ไม่น่าจะกวนพระพุทธเจ้า ท่านอีกองค์หนึ่ง ท่านลิงเล็กก็บอกว่า เป็นความจริง เรื่องอย่างนี้ไม่น่าจะกวน ก็คิดว่า อย่างน้อยที่สุด ท่านเจ้าของที่ คือ ภุมเทวดา

ท่านต้องรู้ ภุมเทวดาไม่ใช่ว่าจะมีขอบเขต และมีร่างกายเป็นทิพย์ มีใจเป็นทิพย์มีอารมณ์เป็นทิพย์ มีตาเป็นทิพย์ มีหูเป็นทิพย์ ทิพย์ทั้งหมด ถ้าหากว่า ภุมเทวดาท่านบอกว่า ความรู้ท่านแคบไป เราเอาแค่ท่านรู้ หลังจากนั้นก็ถาม รุกขเทวดา รุกขนางฟ้า ถ้ารุกขเทวดา รุกขนางฟ้า ท่านบอกเราแคบเกินไป เราก็ถาม อากาศเทวดา ต่อไป ดีไหม ทุกองค์ก็เห็นพร้อมใจกันบอก ดี

ทีนี้เราจะรู้อะไรก่อน เพื่อนก็บอกว่า เวลานี้เรามาอยู่ใกล้ดอนเจดีย์ ดอนเจดีย์เป็นสถานที่บรรจุ พฤติการณ์ไม่ทราบว่าตอนต้นเขาเขียนกันว่าอย่างไร จริง ๆ แล้วมีความเข้าใจว่า ฝังศพพระมหาอุปราช เขาว่าอย่างนั้น ทีนี้เราก็ไม่แน่ใจว่า คนเขียนเขาจะเขียนถูกหรือเขียนผิด หรือเราจะรู้ถูกรู้ผิด เราก็ไม่ทราบ เราจะถามใคร ทั้ง ๒ องค์ก็นิ่ง เมื่อนิ่งแล้วก็เสียงดังคล้าย ๆ

หินโยนตึ๊กข้างหลัง เหลียวไปดู เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวสวย เขาใช้ชุดทรงสีขาวนุ่งผ้าพื้น ใส่รองเท้าเชิงงอน ใส่เสื้อเรียบ ๆ มีเครื่องผูกหัวน่ะ ผูกผมนิดหน่อย เป็นผู้ชาย เดินมาแล้วก็ยกมือไหว้ถามว่า ท่านคุยกันเรื่องอะไรครับ ก็ถามว่า คุณมาจากไหน ท่านก็ตอบตรงไปตรงมาว่า ผมเป็นภุมเทวดาที่นี่ครับ เป็นอันว่า ท่านวิ ลุงวิสั่งผมไว้ว่า ท่านมีธุระอะไร

ถ้าไม่เกินวิสัยของผม ให้ ผมบอก ถ้าเกินวิสัยของผม ให้ถามรุกขเทวดาต่อ ถ้ารุกขเทวดา ตอบไม่ได้ ถามอากาศเทวดาชั้นจาตุมหาราช ถ้าเกินวิสัยจากท่านนั้น ก็ให้ถามตรงท่านวิเลย สำหรับท่านวิ อะไร ๆ ก็รู้หมด เลยถามว่า ท่านเป็นภุมเทวดาอยู่ที่นี่นานไหม ท่านบอกว่า ถ้าจะนับอายุมนุษย์ก็ประมาณ ๓๐๐ ปีเศษแล้ว ก็ถามว่า ถ้านับอายุเทวดาจะเท่าไร

ท่านบอกว่า ใช้ ๕๐ หารสิครับ ๕๐ ปีของมนุษย์เป็น ๑ วันของผม ๓๐๐ ปีนี่มันกี่วัน ๖ วันเท่านั้นเอง ก็ถาม ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเวลาหลับเวลานอน ท่านบอก เทวดาไม่มีความจำเป็นต้องนอน เทวดาไม่มีความจำเป็นต้องหลับ คำว่า เหนื่อยของเทวดา ไม่มี เพราะเทวดาไม่มีขันธ์ ๕ เลยถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นที่ดอนเจดีย์นี่ อยากจะทราบว่า เขาฝังศพพระมหาอุปราชใช่ไหม

ท่านบอกว่า ไม่มีใครเขาเอาข้าศึกมาบูชาหรอกครับ แหม…ท่านตอบน่ารัก มหาอุปราชกษัตริย์ของพม่าเวลานั้น เป็นศัตรูกับคนไทย ยกทัพมาย่ำยี ไทยอาศัย พระนเรศวรกับพระเอกาทศรถ ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบุญญาธิการมาก จึงเข้าชนช้างกัน ในที่สุดก็ฟันพระมหาอุปราชตาย และพระเอกาทศรถก็ฆ่านายทหารของเขาตายพร้อมกัน

ทีนี้ศพคนเลว ๆ แบบนี้ ไม่มีใครบูชา ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้นเขาฝังอะไรไว้ล่ะ ท่านบอก เขาฝังเครื่อง ศาสตราวุธที่มีอยู่บนหลังช้างทั้งหมด ก็ถามว่า ช้างไม่วิ่งหนีหรือ ท่านตอบ ช้างมันวิ่งหนีไม่ได้ เพราะควาญช้างก็ถูกฆ่าตายเช่นเดียวกัน จับช้างได้ จึงเอากูบช้างลงมา อาวุธทั้งหมดในนั้นมีครบ ถอดเครื่องกษัตริย์วางไว้ แล้วก็นำมาขุดหลุมฝังที่ตรงนี้ แล้วทำเจดีย์ครอบ

ก่อนที่จะฝังน่ะ เขาทำพิธีกรรมเหยียบย่ำกันอย่างหนัก เรียกว่า สาปให้พม่าฉิบหายขายตนไปเลย เมื่อถามท่านต่อมาว่า การเหยียบย่ำ ใครเหยียบ ก็บอกว่า พราหมณ์ หรือเจ้าพิธีกรรมเป็นคนเหยียบ ไม่ใช่พระนเรศวรเป็นคนเหยียบ เพราะตอนทำพิธีกรรมเหยียบย่ำแล้ว เขาทำอ่างเก็บไว้ เวลานี้ของทั้งหลายเหล่านั้นยังอยู่ดี เขาทำเป็นอ่างเก็บดีเรียบร้อย ไม่มีสนิม

และก็ปิดสนิท หลังจากนั้นก็ทำเจดีย์ เมื่อทำเจดีย์เสร็จ ก็นิมนต์พระมาสวด พระมาทำพิธีกรรม พระแก่ที่เป็นหัวหน้าที่สุดเป็น อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เวลานั้นมีพระอรหันต์มาร่วมจริง ๆ ๖ องค์ นอกจากนั้นก็เป็นพระอันดับต่ำลงมา พระทรงฌานโลกีย์ แล้วก็ถามท่านต่อไป แล้วอย่างไรต่อไป ท่านก็บอกว่า ถามเท่านี้ ตอบเท่านี้

แล้วจะเอาอย่างไรอีกล่ะ แล้วก็ถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นคำสาปของพระอรหันต์จะมีผลขนาดไหน ท่านตอบว่าคำสาปของพระอรหันต์ ท่านลุงวิบอกแล้ว บอกว่า ประเทศไทยก็เป็นประเทศไทย ไม่เป็นประเทศราช ไม่เป็นขี้ข้าของพม่าต่อไป แต่พม่ายังจะมีการรุกรานประเทศต่อไปอีก ตามกฎของกรรมของคนไทย และก็เป็นกรรมของทหารพม่า ทั้งนี้เพราะอะไร

เพราะว่าทหารพม่าเจ้านายยกทัพมามันก็ต้องตายกัน พลัดลูกพลัดเมีย ผู้หญิงเป็นหม้ายไปตาม ๆ กัน ก็รวมความว่า สงครามไม่มีอะไรดี สงครามมีแต่ความโหดร้าย แล้วต่อไปประเทศไทยก็ต้องย้ายไปที่ บางกอก คือ ฝั่งธนบุรี หลังจากนั้นจะต้องอยู่ฝั่ง กรุงเทพ คือ ฝั่งบางกอกใหญ่ แล้วก็ถามท่านบอกว่า เวลานี้ก็อยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็อยากจะทราบจริง ๆ เอากันจริง ๆ นะว่า

พระนเรศวรมหาราชทรงสวรรคตขณะที่ยกทัพไปตีพม่า กำลังใจของท่านเวลานั้น มีกำลังใจอย่างเดียว คือ ฆ่า หรือจับ ยึดประเทศชาติให้ได้ ทำลายพม่าให้ได้ กำลังใจเต็มอารมณ์ของความบาป อยากจะทราบว่า พระนเรศวรตกนรกหรือเปล่า ท่านภุมเทวดา ท่านก็บอกว่า ไม่ตกนรกครับ เลยถามท่านบอกว่า ขนาดที่บาปยกทัพจะไปรบกันน่ะ มันมีแต่อาวุธ

ทั้งกำลังใจตั้งใจจะห้ำหั่นกัน ท่านภุมเทวดาท่านก็บอกว่า ความจริงการยกทัพไปรบก็มีอารมณ์ ๒ อย่าง
๑. อยากจะห้ำหั่นข้าศึก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการมากอย่างยิ่ง คือ ยึดพื้นที่
และประการที่ ๒ มีความต้องการให้บุคคลภายหลังในประเทศของเรา อยู่ร่มเย็นเป็นสุข ด้วยความเมตตาปรานี เพราะจะได้ไม่ถูกบรรดาพม่าทั้งหลายรบกวนต่อไป กำลังใจเป็นทั้งบุญ และบาป

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักรบทุกคนที่ไปรบนั้น หรือเวลาอื่นก็ตาม ทุกคนตื่นขึ้นเช้า เป็นนักบุญหมด พอเทวดาพูดอย่างนั้น ก็ตกใจว่า นักรบเป็นนักบุญหมด ถาม นักรบเป็นนักบุญอย่างไร ท่านก็ตอบบอกว่า นักรบทุกคน ตื่นขึ้นมาแล้ว นึกถึงพระอันดับแรก พระที่ห้อยอยู่ที่คอ ความจริงนะ พระจริง ๆ ไปรบมากกว่าคนไปรบ คน ๓๐ คน มีพระเกิน ๑๐๐ องค์ที่ร่วมรบ

เลยถามว่า พระวัดไหนกันนะ คงไม่ใช่พระวัดท่าซุงนะ ท่านบอกว่า เวลานี้พระวัดท่าซุงก็ไปรบ ขณะที่เขามีการก่อการร้ายกันน่ะ พระวัดท่าซุงออกมาเป็นหมื่น ก็เลยบอกว่า พระวัดท่าซุงไม่มีเป็นหมื่นนะ จำพรรษาอย่างเก่งก็ ๕๐ – ๖๐ ท่านบอก นั่นพระสงฆ์ นี่ผมไม่ได้พูดถึงพระสงฆ์นี่ ก็ถาม พระอะไร พระห้อยคอ

เป็นอันว่า นักรบทุกคนเวลาตื่นขึ้นเช้าไม่อยากตาย ปลุกพระ อาราธนาบารมีพระให้ช่วย คำว่า พระที่ห้อยคอ นี่หมายถึง พระพุทธเจ้า และก็หมายถึง พระสงฆ์ผู้ทำพระ เขานึกถึงพระที่ห้อยคอแล้ว เขาก็ปลุกด้วยคาถาตามที่เขาเรียนมา เป็นการอาราธนาบารมี ขอความปลอดภัยของตัว เขาเป็นนักบุญทุกวัน ในเมื่อเขาเป็นนักบุญอย่างนี้ ถ้าถูกฆ่าตายในขณะที่จิตใจนึกถึงพระ

แทนที่เขาจะไปนรก เขาไปสวรรค์ทันที เพราะใจนึกถึงพระ เอาเข้านั่น และพระนเรศวรมหาราชก็เช่นเดียวกัน พระองค์ไม่ได้นึกถึงพระเฉพาะป้องกันพระองค์เอง นึกถึงพระให้ป้องกันทหารในกองทัพทั้งหมดนึกว่าขอให้ชนะข้าศึก เพื่อให้คนไทยทั้งหมดมีความเป็นสุข เมตตาสูงมาก ฉะนั้น พระนเรศวรมหาราชท่านจึงไม่ลงนรก

เมื่อฟังไปแล้วก็คิดว่า เอ๊ะ…นี่เราได้ความรู้จากเทวดา เราคิดกันมานานแล้วว่า ถ้านักรบต้องลงนรก นี่ไม่ใช่เสียแล้ว เทวดาพูด เราต้องเชื่อ ถ้าใครจะไม่เชื่อ ก็เชิญไปซักเทวดาที่ศรีประจันต์ก็แล้วกัน ข้าง ๆ กับดอนเจดีย์ เลยถามไปนิด ถามว่า ขอต่ออีกหน่อยได้ไหม ท่านถามว่า ต่ออะไร อยากจะถามว่า พระนเรศวรมหาราชทรงสวรรคตแล้ว ไปอยู่สวรรค์ชั้นไหน

ท่านตอบทันทีเลยว่า นักรบไปอยู่ชั้นจาตุมหาราช เป็นนายของพวกผม ถามว่า เวลานี้ พระนเรศวรมหาราชอยู่ทิศไหน ท่านบอกว่า เวลานี้พระนเรศวรมหาราชอยู่ทิศตะวันออกของประเทศไทย คำว่า ตะวันออก นี่หมายถึง ประเทศไหน หรือแหล่งไหน ท่านบอก ไม่ใช่ เวลานี้พระนเรศวรมหาราชเกิดเป็นคนแล้ว และอยู่ในประเทศ อยู่ด้านทิศตะวันออกของประเทศไทย

จึงถามท่านบอกว่า พระนเรศวรมหาราชเป็นคนไทย หรือเป็นคนแขก หรือเป็นคนลาว หรือว่าเป็นฝรั่ง ท่านบอกว่า เป็นคนไทยที่เกิดในเมืองฝรั่ง และในการต่อไปข้างหน้า วาระเข้ามาถึง พระนเรศวรมหาราชจะเข้ามาครองประเทศไทยในฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ บรรดาท่านผู้ฟัง ฟังเรื่องนี้แล้ว ฟังทิ้งไว้ก่อนนะ อย่าเชื่อนะ อย่าไปเชื่อ ถ้าจะเชื่อ ถามท่านผู้รู้จริง ๆ

อันนี้เป็นการฟังจากภุมเทวดา ถามว่า เป็นกษัตริย์ จะเป็นกษัตริย์นักรบไหม ท่านบอก ขึ้นชื่อว่า พระนเรศวร เกิดชาติไหน รบชาตินั้น แต่การรบตอนหลังพระนเรศวรจะไม่มีเวลาพักผ่อนตั้งแต่เริ่มต้นเป็นกษัตริย์ ก็จะรบเรื่อยไป จนกระทั่งยันวันตาย เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นคนไทยทั้งชาติไม่ต้องทำมาหากินกันละ ก็รบกันอย่างเดียว ภุมเทวดาท่านบอก ไม่ใช่ คนไทยทั้งชาติตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน แต่พระนเรศวรมหาราชจะตั้งหน้าตั้งตารบ

ถามว่า รบองค์เดียวหรือ ท่านบอกว่า มีคู่หูรบ ถามว่า รบกับอะไร รบกับใคร รบอย่างไร ท่านบอกว่า รบกับความยากจนของคนทั้งชาติ นั่นคือพระนเรศวรมหาราชมีพระเมตตากรุณากับคนไทยมามาก ในกาลก่อนที่ต้องการรบ ก็เพราะว่า ต้องการให้บรรดาประชาชนมีความสุข ถ้าพม่ารบกวนอย่างนั้น คนไทยจะมีความสุขไม่ได้ จะตั้งตัวไม่ได้ ก็มีความจำเป็นต้องรบ เสี่ยงชีวิต

แม้ต้องปีนค่าย เอาปากคาบดาบ เอามือยึดค่าย เท้าปีนค่ายก็เอา ขึ้นไปฟันกับข้าศึก ถ้าพลาดพลั้ง มันก็ต้องตาย เสียสละชีวิตของพระองค์ เพื่อคนไทยทั้งชาติขนาดนี้ และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นนิสัย ขึ้นชื่อว่า นิสัย นี่ละไม่ได้ หรือว่าอีกอย่างหนึ่ง ภาษาไทย ๆ อย่าพูดเลย เอาว่า นิสัยละไม่ได้ก็แล้วกัน ดู พระสารีบุตร เคยเป็นลิงเหมือนก่อน แต่นิสัยลิงต้องโดด เมื่อถึงลำคลองลำรางพอจะข้ามได้ ก็ไม่ข้าม ก็โดด จนกระทั่งพระบวชใหม่สงสัย

องค์สมเด็จพระจอมไตร จึงบอกว่า กิเลส ละได้ แต่นิสัย ละไม่ได้ ขนาดเป็น อัครสาวก ทีนี้สำหรับ พระนเรศวรมหาราช เป็นนักรบ เป็นนิสัย เกิดชาติไหน ก็ต้องรบชาตินั้น ในเมื่อเกิดชาติตอนหลังขึ้นมา โอกาสที่จะรบอย่างนั้นไม่มี เพราะว่า มีแม่ทัพ มีนายกอง มีรัฐบาลควบคุม งานการบริหาร รัฐบาลควบคุม พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญก็ต้องวางแผนรบกับความยากจน

ของบรรดาประชาชนชาวไทย ถามท่านว่า อีกกี่ปี จะถึงวาระ ที่พระนเรศวรมหาราชมาครองประเทศไทย ท่านบอกว่า หากว่าท่านอยู่ไปไม่ตาย ไม่นานนัก ท่านก็มาครองประเทศไทยแน่ เวลาที่ถาม เป็นสมัยของรัชกาลที่ ๘ เอาละ..บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เวลานี้สัญญาณบอกหมดเวลาปรากฏแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


8
ฝึกอตีตังสญาณ ป่าศรีประจันต์ (ต่อ)


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ก็ยังเป็น วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เป็นตอนที่ ๒ ของวันนี้ ก็เป็นอันว่า เมื่อท่านภุมเทวดาท่านเล่าให้ฟัง ต่างคนต่างก็บันทึก ก็บอกท่านก่อน บอกว่า อย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่ด้วยกันก่อน ท่านบอก ไม่ไปหรอกครับ ผมมีหน้าที่เฝ้าพวกท่านอยู่ ตามหน้าที่ เวลานี้หน้าที่อย่างอื่น องค์อื่นทำแทน และภุมเทวดามีด้วยกันหลายองค์

ที่นี่ ผมมีหน้าที่คอยดูแลรักษาท่านโดยเฉพาะ ท่านมีอะไรก็เรียกใช้ได้เลยขอรับ รู้สึกว่าเทวดาท่านใจดี ก็พากันบันทึก เมื่อบันทึกเสร็จก็ถามท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วาจาของท่านซึ่งเป็นเทวดาย่อมเป็นวาจาจริง ก็มีโลกเดียวโลกมนุษย์ที่พูดจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ที่นี้ก็อยากจะทราบว่า ของที่ท่านพูดทั้งหมดจะมีอะไรตามความเป็นจริงบ้างขนาดไหน จะพิสูจน์กันได้อย่างไรว่ามีอะไรเป็นสัญลักษณ์

ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ท่านไปที่นั่น เวลาท่านจะไป ท่านก็บอกผม ผมจะพาไป จะไปชี้จุดหลักเขต กำหนดเขตที่เขาจะทำเจดีย์กัน มันยังมีจุดอยู่ หมุดเขตนี่เป็นหินปักอยู่ ๔ ทิศ แต่ทว่าเวลานี้ดินกลบไปหมดแล้ว ผมจะชี้ให้ท่านดู และจะช่วยท่านขุดคุ้ยขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ว่า ที่นี่เป็นสถานที่ฝังอาวุธยุทโธปกรณ์ และกูบช้าง

ตลอดจนเครื่องกษัตริย์จริง ๆ และก็ที่หินตรงนั้นจะมีภาษาเขียนเป็นภาษาพิเศษ เป็นศัพท์ย่อแช่งไว้ด้วย ก็ถามว่า คำแช่ง เป็นคำแช่งของไทย ท่านบอก เป็นคำแช่งของคณาจารย์ ไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์มีหน้าที่เพียงพยากรณ์อย่างเดียว ไม่แช่งใคร หลังจากนั้นก็ไปดูกัน ต้นไม้มันก็รก หน้ามันก็รก เทวดาท่านก็แหวก ความจริง แหวก ไม่ใช่ใช้มือแหวก

อย่าไปนั่งนึกว่า เทวดาใช้มืออย่างคนนะ นี่แค่ภุมเทวดาก็ดีกว่าเราเยอะ ท่านบอกตรงนี้ครับหญ้าแหวกหายไป ดินแหวกหายไป เห็นหลักชัยตระหง่าน ใหญ่โตมาก กว้างประมาณ ๔ ฟุต ยาวก็ประมาณ ๔ ฟุต เขียนเป็นอักษรขอมจารึกไว้ แล้วก็มีเหมือนกันทั้ง ๔ ด้าน โดยพบ ๔ ด้าน เมื่อเดินกลับมาใหม่ ต้นหญ้า กับดินมันก็มีเหมือนกัน

แต่ความจริงที่เห็นไม่ใช่แหวกต้นหญ้า ไม่ใช่รื้อดิน แต่อำนาจของเทวดาทำให้เราเห็น เวลานี้เสาหินที่ว่าเป็นเขตนี่ ยังอยู่ข้างนอกเขตบริเวณรั้วหากว่าใครจะพิสูจน์ ก็ลองเอาแทรกเตอร์ไปไถดูก็แล้วกัน มันก็จะลึกประมาณสัก ๑ เมตร แต่ว่าถ้าไม่พบ ก็อย่ามาด่ากันก็แล้วกันนะ ต้องบอกเทวดากันเสียก่อน

หลังจากนั้นก็มาคุยกันต่อไปว่า นี่ฉันมานานแล้ว ไม่ได้ทำรายงานส่งหลวงพ่อปาน กลับไปคงถูกดุ ท่านภุมเทวดาก็บอกว่า หลวงพ่อปานท่านไม่ดุหรอก ท่านรู้ เพราะว่าพวกท่านมีความหนักใจ และมีความทุกข์ในสถานที่อยู่ จะบันทึกกลางวัน เวลาบันทึกน้อย กลางคืนก็นอนน้อย อากาศก็เย็นจัด

ฉะนั้น ท่านท้าวโกสีย์สักกเทวราชจึงมีบัญชาให้ท่านวิษณุกรรมเทพบุตร มาสร้างภูเขาชั่วคราว แล้วก็สร้างถ้ำชั่วคราว สร้างสถานที่ชั่วคราวให้อยู่ ท่านภุมเทวดาท่านก็ถามว่า ท่านจะอยู่ที่นี่นานไหม ก็เรียนให้ท่านทราบว่า จะกลับก่อนเข้าพรรษาสักหนึ่งวันพระ อย่างช้าก็เป็น วันพระขึ้น ๘ ค่ำเดือน ๘ จะกลับ จะอยู่ที่นี่ให้นาน ท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว

ก็เลยถามท่านบอกว่า สถานที่ตรงนี้ ที่ภูเขาตั้งนี้ เดิมทีมีอะไรเป็นสำคัญบ้าง เคยมีบ้านเมืองไหม ท่านก็บอกว่า สมัยก่อนบ้านเมืองมันมีเยอะ ตรงนี้ก็เป็นวังของพระมหากษัตริย์ เวลานั้นมันเป็นเมืองเล็ก ๆ เป็นหย่อม ๆ คือ เป็นหัวหน้าคนนั่นเอง เป็นพ่อบ้าน เมืองก็ไม่ใหญ่นัก ขนาดใหญ่โตจริง ๆ ก็เท่าเขตอำเภอ และมีกำลังในกองทัพก็ประมาณ ๔๐๐–๕๐๐ คน ต้องมีกองทัพกันคนอื่นเข้ามารุกราน และก็สถานที่นี้มีความเจริญรุ่งเรือง

ท่านก็ชี้ไปภูเขาลูกหนึ่งว่า ภูเขาลูกนั้นน่ะ เป็นคลังเก็บทรัพย์สมบัติของกษัตริย์ในสมัยนั้น ก็ถามว่า เวลานี้มีถ้ำเป็นที่เข้าไปไหม ท่านบอกว่า ถ้าจะเข้าตามทางที่มนุษย์เข้าจริง มันเข้ายาก แต่ว่าถ้าจะเข้าไปอย่างผมเข้า มันก็เข้าไม่ยาก ท่านจะไปไหมล่ะ ก็บอกว่า ไป ท่านบอกว่า ไปละก็ต้องทิ้งกายไว้ตรงนี้นะ กายนอกไอ้กระสอบข้างนอกทิ้งไว้ตรงนี้ เอากายใน ที่เหมือนผมนี่ไปด้วยกัน ไปที่ไหนก็ไปได้ ก็เลยตกลงใจบอก เอ้า…ถ้าอย่างนั้นไปด้วยกัน

เมื่อตัดสินใจว่าไป ก็ออกจากกายนอก เหลือแต่กายใน ไปด้วยกัน กายในของเราก็สวยไม่แพ้ภุมเทวดา เดินไปด้วยกัน เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง พอไปถึงก็ต้องตกใจ หน้าถ้ำมีหินปิด ปิดหลายชั้น และก็สูงมาก ยาวมาก เข้าไปข้างใน กลายเป็นถ้ำใหญ่ มีความยาวเหยียดหลายเส้น และมีความกว้างพอสมควร ข้างในก็ไปเจอะ เทวดาชั้นจาตุมหาราช ๔ องค์

พอเข้าไปข้างใน ท่านก็ยกมือไหว้ บอก อ้าว…เพื่อนเก่ามาแล้วหรือ ก็เลยตกใจ ถามว่า ฉันเป็นเพื่อนกับท่านหรือ ท่านบอก แหม…ท่านนี่มันลืมง่าย เป็นคนเกิดง่าย ตายง่าย เดี๋ยวเกิดเดี๋ยวตาย เดี๋ยวตายเดี๋ยวเกิด เกิดไม่รู้กี่ครั้ง ตายไม่รู้กี่ครั้ง สมัยที่ท่านอยู่กับผมนี่ ก็อยู่แถวนี้ แต่บริเวณเขตนี้ ก็เป็นที่อารักขาของพวกเรา ท่านก็เป็นเจ้าภาพอารักขา แต่เวลานี้ไปเกิดแล้วก็ลืม ทำลืมเรื่อง

ก็บอกว่า ไม่ทำลืมหรอก มันลืมจริง ๆ ก็ถามว่า ที่นี่มีอะไรบ้าง ท่านก็มองปราดไป ไอ้ตาข้างในนี่มันดีกว่าตาข้างนอกเยอะ ถ้าจะพูดกันจริง ๆ ก็คือ กายทิพย์ ตามันก็ทิพย์ เห็นหมด ทองเหลืองอร่าม ทองแท่งใหญ่ ทองแท่งเล็ก มันจะยาวจริง ๆ ประมาณสัก ๕๐๐ เมตร ตั้งเป็นทิวแถว ต่อมาก็เป็นทองรูปพรรณ เป็นเพชรนิลจินดาเป็นเงินเบี้ย ที่เขาใช้กันบ้าง เป็นแท่งทองแท่งเงินบ้าง ที่เขาใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน

ก็ถามท่านเทวดาชั้นจาตุมหาราชว่า ไอ้ของทั้งหลายเหล่านี้ มันมาอยู่ได้อย่างไร ท่านก็บอกว่า กษัตริย์สมัยนั้นเขาเก็บที่นี่ เป็นการเก็บหลบข้าศึก แต่มีทางช่องเข้าต่างหาก ท่านก็ทำให้ดูช่อง ไอ้ช่องนั่นก็เป็นช่องลดเลี้ยวเคี้ยวคดเดินยาวมากกว่าจะออกปากทางได้ เป็นสถานที่ลี้ลับป้องกันไม่ให้ข้าศึกรู้ และก็เวลาจะใช้ ก็นำมาใช้มีคนรู้เฉพาะ ไม่รู้มาก คือเป็นเจ้าหน้าที่เป็นชั้น ๆ ไม่ใช่รู้ทั้งหมด ก็ไม่ต้องอธิบาย

เป็นอันว่า ชมดีแล้ว ก็นึกเชื่อ ภุมเทวดานี่ท่านเก่งจริง ก็เลยถามเทวดาชั้นจาตุมหาราชท่านหนึ่ง ท่านนี้แต่งตัวสวย คาดเข็มขัดเป็นเพชรแพรวพราวเป็นระยับ ที่คอมีเพชร ที่เสื้อมีเพชร ถามว่า ท่านเป็นเทวดาชั้นไหน ท่านบอกว่า ผมเป็นเทวดาชั้น มหาอำมาตย์ ถามว่า ท่านประจำอยู่ที่นี่หรือ ท่านบอก เปล่า ก็รู้ว่าท่านจะมา ผมก็เลยมาดักที่นี่ ที่นี่เป็นอาณาเขตอารักขาของพวกผม

มีภุมเทวดาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็ถามว่า กษัตริย์องค์นั้นที่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน เวลานี้ไปเกิดที่ไหน ท่านก็หันหน้ามายิ้ม ๆ ท่านบอก กษัตริย์องค์นั้น เวลานี้เป็นพระ ก็ถามว่า ถ้าพระองค์นั้นจะเอาทรัพย์สินนี่จะได้ไหม ท่านบอก พระองค์นั้น ถึงแม้จะเป็นกษัตริย์มาก่อน เป็นเจ้าของมาก่อน ก็ไม่มีสิทธิ เพราะทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิราช เมื่อตายไปแล้ว

ก็หมดอำนาจที่จะพึงครอบครอง ถามว่า เวลานี้พระองค์นั้นอยู่ที่ไหน ท่านบอก นี่ กำลังคุยอยู่นี่ พระที่กำลังคุยอยู่นี่ นี่เจ้าของนะ เขาจึงพาให้มาดู ไม่ได้เคยเป็นเจ้าของมาก่อน เขาไม่ให้เห็นหรอก และก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้นทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าฉันจะเอาไปสักชิ้นหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ให้หลวงพ่อปานดูจะได้ไหม ท่านบอกว่า ถ้าต้องการจริง ๆ ผมให้มากว่า ๑ ชิ้น

แต่ว่าหากว่าท่านจะพร้อม ยอมที่จะถูกหลวงพ่อปานด่า ถามว่า ทำไม ท่านก็เลยบอกว่า ที่หลวงพ่อปานสั่งมา ผมได้ยินทั้งหมด หลวงพ่อปานบวงสรวงผมไปด้วยนะ ก่อนที่ท่านจะมา ห้ามติดลาภ ห้ามติดยศ ห้ามติดสรรเสริญ ห้ามติดความสุข นี่พวกท่านก็ชักจะเผลอมา ๒-๓ วัน ติดความสุขในถ้ำ นี่มันไม่ดีนะ ถ้านำทรัพย์สมบัติไปชิ้นเดียวเท่านั้น หลวงพ่อปานจะสั่งระงับการธุดงค์ทันที

แหม…อยากจะกราบเทวดาองค์นั้น ท่านเตือน พอนึกในใจว่า อยากจะกราบความดีของท่าน ท่านบอก ไม่ต้องกราบผมหรอก เพียงแค่ไม่ฝืนกันก็ดีแล้ว ท่านทำดีแล้ว ผมจะช่วยอารักขาทุกอย่าง ภุมเทวดาที่มาด้วยนี่ เขามีหน้าที่แค่ ผู้ใหญ่บ้าน ผมมีหน้าที่เสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัด มีอะไรก็บอกภุมเทวดามา ถ้าเกินวิสัยของเขา เขาก็บอกนายอำเภอ บอกกำนัน แล้วก็มาบอกผม ถ้าเกินวิสัยของผม ผมก็บอกท้าวมหาราช เกินวิสัยท้าวมหาราช ท้าวมหาราชก็ทูลพระอินทร์ทราบ ก็หมดเรื่องกัน

ก็เลยขอบใจท่าน และก็ถามว่า ภูเขาลูกนี้ ถ้าจะพูดไปได้ไหม ท่านบอกว่าควรเอาเครื่องบัดกรีบัดกรีปากเสีย ทิ้งเลย แค่ความจริงเวลานั้น ท่านสั่งมา ก็รับคำ ก็ไม่ได้พูดกับใครเลย เวลานี้ก็ไม่ได้พูดกับใคร พูดคนเดียว นั่งพูดคนเดียว แล้วเขาก็ไปเขียนเป็นหนังสือจะหาว่าผิดสัจจะก็ไม่ได้ และใครอยากรวย ก็ไป คอหักตายไม่รู้ด้วย นี่มันก็เหนื่อย ๆ เพิ่งจะตื่นนอนมานะ ก็ไม่เป็นไร ไม่อย่างนั้นมันจะเสียเวลา

วันนี้ก็ป่วยมาก ล้างท้องด้วย แล้วก็นอนหลับ ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว ไม่รู้เวลามันเท่าไร ก็ช่างมัน นั่งบ่นมันไปให้ตามเวลาที่ว่าหนังสือ จะได้จบเล่ม ก็เป็นกฎของกรรม เป็นอันว่า ถ้าอย่างนั้นก็ลาท่านเทวดากลับ พอจะกลับทั้ง ๔ องค์ ก็มาส่งทั้งหมด พอมาถึงสถานที่พัก เทวดาใหญ่ท่านมหาอำมาตย์ก็บอกว่า ท่านอย่าประมาทในชีวิตสิครับ สถานที่ใดมีความสุข

สถานที่นั้นก็มีความทุกข์ ก็ถามว่า เอ๊ะ…ลุงเทวดามาเทศน์ให้ฟังอีกแล้ว ไหนลองเทศน์ให้ละเอียดหน่อยซิ มันเป็นอย่างไร ท่านบอก สถานที่นี้มีความสุข แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในสถานที่นี้มีความทุกข์คือตัวพวกท่านทั้ง ๓ องค์นั่นแหละ ท่านมีความทุกข์จาก

๑. ความเหนื่อยจากการเดินจงกรม
๒. นั่งมากเกินไปก็เหนื่อย
๓. นอนมากเกินไปก็เหนื่อย ยืน เดินมากเกินไปก็เหนื่อย และ
ประการที่ ๔ ท่านต้องมีความทุกข์เรื่องอาหาร ถ้าปฏิบัติไม่ดี หน่อยเดียว ไม่ได้กินอาหาร

ก็เป็นอันว่า ที่ท่านมีอาหารฉันอยู่ทุกวันนี้ เพราะท่านมีความดี แต่ท่านก็อย่าลืมความดี ร่างกายมีความสุข จิตใจมีความสุข แต่อย่าลืมทุกข์ ที่มันคืบคลานเข้ามาหา จงตั้งหน้าตั้งตาเจริญวิปัสสนาญาณกับสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาให้ทรงตัว แล้วท่านก็บอกว่า ท่านท้าวมหาราช คือ ท่านท้าวเวสสุวัณสั่งมา ท่านบอกว่า สิ่งที่ต้องการจะรู้ทั้งหมด ถ้ามีอะไรไม่เกินวิสัยที่ท่านท้าวเวสสุวัณจะบอกได้

ท่านจะบอกให้ จะได้ทำรายงานให้หลวงพ่อปานทราบ เวลานี้ท่านก็จดเสียสิว่า เขาลูกนั้นตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของเขาชั่วคราวลูกนี้ ประมาณ ๗ กิโลเมตร บ้านแถวนั้นเขาเรียกกันว่า บ้านเดื่อ แต่สมัยต่อไปข้างหน้าเขาก็เลิกเรียกแล้ว ไม่รู้เรียกอะไร มันเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีต้นมะเดื่ออยู่ต้นหนึ่ง เขาเลยเรียกว่า บ้านเดื่อ เขาลูกนี้ เขาก็เรียกว่า เขาบ้านเดื่อ

และก็มีทองมาก มีทรัพย์สมบัติมาก มีเพชรนิลจินดามาก มีน้ำหนักของทองจริง ๆ ไม่น้อยกว่า ๕๐ ตัน ทองรูปพรรณต่างหาก มีเทวดาชั้นจาตุมหาราชรักษาอยู่ ๔ องค์ องค์ที่เป็นหัวหน้าเป็นชั้น มหาอำมาตย์ประดับเพชร และก็มีภุมเทวดาเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีสัมภเวสีทั้งหลายนับพัน ซึ่งเป็นบริวาร สำหรับทำร้าย และมุ่งร้าย ขัดขวางบุคคลที่จะมาทำลายทรัพย์สิน พอบันทึกเสร็จ ท่านก็บอกว่า จบแล้ว

พอจบแล้วท่านก็จะลาไป ก็บอกเดี๋ยวก่อน ๆ เพื่อนเก่า ไหน ๆ ก็บอกว่า เป็นเพื่อนเก่า เราก็คุยกันก่อน วันพรุ่งนี้พบกันใหม่ได้ไหม ท่านบอก พร้อม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านต้องการพบผมเมื่อไร นึกถึงผม เรียกผมว่า นายจัน ๆ ถามว่า จันน่ะ เป็นชื่อของเทวดาหรือเป็นชื่อสมัยเป็นคน ท่านบอกสมัยเป็นคน สมัยเป็นคน ผมชื่อนายจัน สมัยที่พระนเรศวรมหาราชมารบที่นี่

ผมมารบด้วย ก็ถามบอก เออ…แล้วแกทำไมไม่ตายล่ะ เวลานั้นแกตายหรือเปล่า บอก ผมตายอย่างไร คนอย่างผมมันตายยาก ถาม ทำไม เขารบทัพจับศึก เขาตาย ๆ กันน่ะ ผมไม่เคยตาย ผมออกทัพจับศึกทุกครั้ง ไม่เคยตาย และก็ไม่เคยบาดเจ็บ ถามว่า หนังเหนียวหรือ บอก หนังผมก็ไม่เหนียว หรืออาจจะเหนียวก็ได้ ผมก็รู้ไม่ได้ แต่ผมไม่เคยถูกอาวุธ จึงได้ถามบอกว่า ในเมื่อรบกันทำไมจึงไม่ถูกอาวุธ

ท่านบอกว่า ผมเป็นกองเสบียง หุงข้าวเลี้ยงทหาร ไอ้ข้าว ไอ้กับ ไอ้หมูเนื้อต่าง ๆ ผมกินพุงปลิ้น ทหารได้กินไม่เท่าผมหรอก ผมมันทหารกองเสบียง เขาเรียก พลาธิการ ก็เป็นอันว่า เวลานั้นก็รู้เรื่องราวความเป็นมาต่าง ๆ จึงถามบอกว่า ตามที่ท่านรุกขเทวดาบอกน่ะ ตรงไหม ท่านบอกว่า ตรง จึงถามว่า เวลาที่ พระะเอกาทศรถ กับพระนเรศวรมหาราชรบที่ตรงนี้หรือรบที่ตรงอื่น ท่านบอก เท่าที่รบกันจริง ๆ ที่ลาดหญ้า

ไม่ใช่ที่ตรงนี้ ทุ่งลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี ทัพเข้าไปปะทะกันที่นั่น และก็ทำการรบกันที่นั่น ในเมื่อพระมหาอุปราชเสียท่ากองทัพก็ถอย กองทัพไทยก็ตีหนัก เขาก็ใช้ยิงปืนมาถึงพระเอกาทศรถกับพระนเรศวรมหาราช แต่บังเอิญท่านมีพระแคล้วคลาด มีพระหนังเหนียว ไม่เป็นไร และในที่สุด เมื่อฆ่าพระมหาอุปราชตาย ก็คิดว่าจะทำเจดีย์ที่ตรงนั้น ก็มีนายทหารผู้ใหญ่ค้านว่า

ที่ตรงนี้เป็นที่รบกัน เป็นที่ย่ำเหยียบ ถ้าทำเจดีย์ ไม่ช้าเจดีย์ก็พัง สัญลักษณ์ก็จะสลายตัว มาทำที่ป่าศรีประจันต์ดีกว่า จึงหาแหล่งที่จะทำแล้วมาทำที่ป่าศรีประจันต์นี่ ก็เป็นอันว่า ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟัง ท่านอ่านประวัติศาสตร์ก็ดี ฟังมาก็ดี ถ้อยคำที่พูดนี้ของเทวดา ค้านกับประวัติศาสตร์ ก็ไม่ขอบอกว่า ประวัติศาสตร์ผิด และไอ้เสียงที่อาตมาฟังนี่

อาจจะฟังผิดก็ได้ ฉะนั้น อย่าไปโทษ ใครผิดใครถูกเลย อ่านเป็นเรื่องนิทานไปก็แล้วกัน เพราะเป็นหนังสืออ่านเล่น เป็นอันว่า พอพูดจบ ท่านเทวดาก็ลากลับ เพราะมันค่ำมากแล้ว พวกเราก็เข้าเจริญสมาธิตามธรรมดา ญาติโยมทั้งหลายที่ฟังมา หรืออ่านมาถึงตอนนี้ ก็จงอย่าเพิ่งชมว่าดีนะ โดยมากจะเข้าใจพระผิด พระไม่ทันจะดี ก็บอกว่า ดีเสียแล้ว ถ้าพระหลงดี ก็จะเหลิงจากความดี ที่ยังมีความดีไม่ถึง ดีไม่ดี

พระองค์นั้นก็จะลงนรกไป ที่ทำได้อย่างนี้ พบกับเทวดาก็ได้ ถอดกายภายในไปเที่ยวก็ได้ ไปทั้งกายภายใน และกายภายนอกก็ได้ อย่างนี้ ยังไม่ชื่อว่าดี เพราะอะไร เพราะว่า ยังเป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์นี่ยังไม่พ้นปากของอบายภูมิ คือ ยังไม่พ้นนรก ถ้าพลาดเมื่อไร ก็ลงนรกเมื่อนั้น ก็ต้องดูกำลังใจว่า กำลังใจตัดนิวรณ์ ๕ ประการครบหรือเปล่า

๑. ความรักในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ยังอยู่เต็มแหง ๆ นี่มันเป็นความเลว แต่ว่าที่มันยังอยู่ ก็เพราะอยู่คนเดียว ไม่พบสาวที่ไหน ถ้าพบสาวเข้าเมื่อไร อาจจะหลงใหลใฝ่ฝันในสาวก็ได้ นี่ยังไม่เจอะกัน ของที่ยังไม่สัมผัสกัน จะถือว่า ตัดได้นั่นไม่ได้ อารมณ์ยังดี แต่ว่าคอยกดอารมณ์ไว้ด้วย กายคตาสติ กับอสุภกรรมฐาน คอยยับยั้งไว้

และประการที่ ๒ อารมณ์ไม่พอใจมีไหม ยังมี ไม่พอใจใคร โดยมากไม่พอใจตัวเอง ที่การคล่องตัวยังไม่มี ไอ้สิ่งที่เราต้องการ นี่มันก็เป็นอารมณ์เลวที่ยังไม่ควร ถ้าความไม่พอใจในตัวเองมี ความไม่พอใจในบุคคลอื่นก็ต้องมี ต้องยับยั้งไว้ด้วยพรหมวิหาร ๔ เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะรำคาญ พูดเรื่องธรรมะรำคาญ ก็เลยเข้าสมาธิ

เข้าสมาธิคิดว่า เราจะไม่ไปไหน จับ อานาปานสติ กับพุทธานุสสติ พอจิตทรงตัวนิดหน่อย ก็คลายอารมณ์นิดหนึ่ง ใช้กำลังวิปัสสนาญาณ เห็นว่า ร่างกายเป็นทุกข์ ทุกขังในอริยสัจ จะต้องกินจะต้องใช้ จะต้องเดิน จะต้องขี้ จะต้องเยี่ยว จะต้องหนาว จะต้องร้อน จะต้องป่วยไข้ไม่สบาย จะต้องแก่ จะต้องตาย

ร่างกายนี่เป็นฐานที่มาของความทุกข์ เราไม่ควรจะเมาร่างกายต่อไป แต่เวลานั้นปรารถนาพระโพธิญาณ คิดว่า เราต้องการอย่างเดียว คือ พระโพธิญาณ ถ้าถึงพระโพธิญาณเมื่อไร เวลานั้นเราก็ไปนิพพาน ตอนนั้นขอยอมรับว่า ไม่เข้าใจเรื่องนิพพานจริง ๆ แต่ ๒ องค์นั่นเขาไม่มีอะไรปั๊บ เขาจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มันต่างกันตั้งเยอะ ทั้ง ๒ องค์ท่านเก่งกว่าตั้งเยอะ ลิงขาว กับลิงเล็ก

แต่ลิงขาวตัวจริงนะ ไม่ใช่ลิงขาวปลอม ๆ ลิงขาวที่เป็นช่อดอกไม้นั่น ไม่ใช่ มันคนละตัว ถ้าลิงขาวจริง ๆ ท่านเก่ง ท่านเป็นพระอริยเจ้า คือ อย่างที่ลุงวิบอกว่า ท่านตัดสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว ลิงขาว กับลิงเล็ก นั่นหมายถึงเป็น พระโสดาบัน หรือสกิทาคามี ท่านบอกว่า ได้โสดาบันอย่างหยาบ ก็หมายถึง อย่างต้นก็ยังดีกว่าเราเยอะ คนพูด คนเขียนยังไม่ได้อะไรเลย

อย่าลืมนะ อย่างนี้ยังอยู่ในขั้นเลวนะ ญาติโยมผู้ฟัง ผู้อ่านนะ ยังเลวอยู่ ยังมีนิวรณ์ ๕ นิวรณ์ ๕ ยังมีอยู่ แต่ว่าที่อยู่ได้เพราะ อดกลั้น หลังจากนั้น เวลาที่ทำไป เมื่อคลายจากอารมณ์จากสมถะก็เข้ามาจับวิปัสสนาญาณ ทีนี้ต่อไปก็จับวิปัสสนาญาณ บวกสมถะ นั่นหมายความว่า ใช้วิปัสสนาญาณนำหน้า ใช้สมถะตามหลัง คือ ใช้กำลังวิปัสสนาญาณพิจารณา

และใช้อานาปานสติควบ ทำทั้ง ๒ อย่างประเดี๋ยวเดียวจิตตก คำว่า จิตตกก็หมายความว่า จิตตกจากภวังค์ นั่นก็หมายความว่า จิตตกจากอารมณ์เดิม จิตมีความละเอียด มีอารมณ์ดิ่ง ลมเกือบจะไม่กระทบร่างกายภายใน อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไร เขาเรียกว่า สมาบัติขั้นสูงของฌานโลกีย์ จิตตกในสมาบัติมีอารมณ์ดิ่ง มีความสุข มีเอกัคคตารมณ์ มีความแน่นสนิท มีจิตสว่างโพลงสักครู่หนึ่ง

เมื่อกำลังมันเต็มที่ มันก็หลุด กายภายในหลุดจากกายภายนอก มันไปของมันเอง ไป ปื้ด…ก็ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดีย์สถาน เวลาขึ้นไปต่างคนต่างขึ้น ต่างคนต่างไม่นัดหมายกัน มันก็ไปพร้อมกันตามกันขึ้นไป แป๊บเดียวก็ถึงพระจุฬามณีเจดีย์สถาน ก่อนที่จะเข้าพระจุฬามณีเห็นหลวงพ่อปานยืนอยู่ กราบหลวงพ่อปานท่าน

ท่านบอก ทำดีแล้วลูก ทำอย่างนี้ถูก และการที่บันทึกไว้นั่นก็ถูกต้อง เป็นที่พอใจของพ่อ เห็นไหม ท่านอยู่วัด เราอยู่ป่า เราทำอะไร ท่านก็รู้ จึงเข้าไปมนัสการองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับพระอรหันต์ ก็ตามท่านเข้าไป ท่านก็พาไปกราบพระพุทธเจ้า ใครจะว่าพระพุทธเจ้าเป็นพุทธนิมิต อะไรก็ตามเถอะ ไม่ว่าใครละ ขอถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็แล้วกัน เป็นรูปพระพุทธเจ้าใช้ได้ อันนี้ไม่เถียงกัน แล้วกราบพระอรหันต์ทั้งหมด

ก็มีพระองค์หนึ่งท่านมาลูบศีรษะ คือ พระมหากัสสป ท่านบอกว่า นักธุดงค์นี่ ต้องเป็นนักธุดงค์จริง ๆ นะ อย่าธุดงค์หวังเงินหวังทอง เห็นเงินเห็นทองเป็นของดี นี่ไม่ใช่นักธุดงค์ โอ…โดนด่าเข้าแล้ว ก็ถามว่า เท่าที่ผมล้อเทวดา เป็นความผิดหรือครับ ท่านบอกว่า มันไม่เป็นความผิด แต่ว่ามันก็เป็นปรามาส ปรามาสในความดี

ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสว่า อย่าหลงในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อย่าทำใจให้เศร้าหมอง อย่าทำใจให้มัวหมอง เรื่องของอดีต เป็นเรื่องของอดีต เรื่องของปัจจุบัน เป็นเรื่องของปัจจุบัน เวลานี้เราต้องการพระโพธิญาณ ปักใจไว้เพื่อพระโพธิญาณอย่างเดียว ก็พอดีได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสว่า กัสสปพูดถูกแล้ว กัสสปพูดถูกแล้ว

เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย พอจะพูดต่อไป สัญญาณบอกเวลาก็ปรากฏแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน

สวัสดี


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top