ประวัติเจ้าอาวาส วัดจันทาราม (ท่าซุง) ตอนที่ 1
เดิมทีก่อนที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร) จะมาอยู่ที่วัดท่าซุง เมื่อปี ๒๕๑๑ นั้น ได้มี พระอาจารย์อรุณ อรุโณ
เป็นเจ้าอาวาส ต่อมา ปี ๒๕๒๘ ท่านได้ลาสิกขาบท หลวงพ่อจึงได้เป็นเจ้าอาวาสนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งมรณภาพไปเมื่อ เดือนตุลาคม ๒๕๓๕
ต่อมาพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส เมื่อเดือนธันวาคม ปี ๒๕๓๕ จนถึงปัจจุบันนี้
ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
.
"คลิปวิดีโอ" ประวัติหลวงพ่อนี้ "รายการน่ารู้ น่าดู น่าอยู่ น่ากิน"
ได้ออกอากาศ ทางช่อง 9 เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2551
ท่านสมาชิกต้องการฟังหลวงพ่อเล่าเรื่อง "การสร้างวัดท่าซุง" กรุณา Login ก่อนที่นี่ แล้วจึงจะ Link
ไปหาข้อมูลดังกล่าว.
เล่าเรื่องย้อนหลัง งานครบรอบ ๓ ปี
พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ เมื่อปี ๒๕๓๘
ตามที่ได้เล่าเรื่องการจัดงานพิธี "จำลองเหตุการณ์วันถวายพระเพลิง" ณ วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรีเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๙
ผ่านไปแล้วนั้น ยังมีงานสำคัญอีกงานหนึ่งที่ยังมิได้เล่า..นั่นก็คือ งานครบรอบ ๓ ปี ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ
ซึ่งทางวัดได้จัดงานตรงกับวันที่ ๒๘ - ๒๙ ตุลาคม ๒๕๓๘ คือหลังจากงานพิธีบวงสรวง ณ วัดพระฉาย และ วัดพระพุทธบาท ที่จังหวัดสระบุรี
เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๓๘ แล้วนั่นเอง
โดยก่อนที่จะเดินทางกลับจากวัดพระพุทธบาทสระบุรีในวันนั้น ก็แจ้งให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า งานต่อไปจะเป็นงานครบรอบ ๓ ปี ณ วัดท่าซุง และวันที่ ๓๐
เมษายน ๒๕๓๙ จะเป็นงานรวมภาค ณ วัดพระแท่นดงรัง จ.กาญจนบุรี
หลังจากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับ แต่ในขณะนั้นบางคณะยังยืนถ่ายรูปตรงบันได นาคทางขึ้นพระมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ทุกคนหันหน้าไปทางทิศตะวันตก
พอดีเป็นเวลาเย็นประมาณ ๑๗.๓๐ น. มองไม่เห็นพระอาทิตย์แล้ว เพราะเมฆฝนเริ่มตั้งเค้ามา ปรากฏการณ์พิเศษ คือมีแสงสว่างเป็นลำพุ่งกระจายหลังก้อนเมฆก้อนหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะเหมือนคนนอนหงายคล้ายมีหมอนหนุนอีกด้วย ดังที่จะนำรูปภาพมาเป็นตัวอย่างนี้
ลักษณะของแสงสว่างที่พุ่งขึ้นมานี้ มองดูแล้วไม่ใช่แสงของพระอาทิตย์ เพราะขณะนั้นมองไม่เห็นพระอาทิตย์แล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังพอสว่าง
ไม่มืดเสียทีเดียว แสงสว่างกระจายหลังก้อนเมฆสักครู่ ก็มีแสงเป็นสีหลายสีค่อยๆ เคลื่อนตามขึ้นมาช้าๆ หลังก้อนเมฆก้อนนั้นอีก สีที่เห็นเป็นเหมือนสีรุ้ง
สวยสว่างงดงามตามาก
แต่ภาพที่ลงให้เห็นนี้เป็นสีขาวดำ ถ้า มองจากภาพสีจะเห็นแสงหลายหลากสีชัดเจน สีเหล่านี้จะเคลื่อนอย่างช้าๆ ตามลักษณะของก้อนเมฆ
คือก้อนเมฆตรงศีรษะโค้งลงมาตามส่วนลำตัว แต่ที่น่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่งคือ ก้อนเมฆโค้งลักษณะไหน แสงสีรุ้งนี้ก็จะโค้ง ตามก้อนเมฆได้
ถ้าสังเกตตามภาพนี้แล้ว จะเห็นมีช่องว่างที่ลำตัวเป็นสีขาว นั่นคือแสงสี รุ้งดังกล่าวนั้น (ขณะที่ถ่ายภาพนี้ แสงยังขึ้นไม่เต็มที่ ต่อมาจะค่อยๆ
ขึ้นให้เห็นชัดเจน)
ในขณะนั้น มีคณะรถบัสเห็นกันหลายคน ส่วนผู้ที่มากับรถตู้หรือรถส่วนตัว จะไม่ทันได้เห็น เพราะออกรถกันไปเสียก่อน
ส่วนพวกที่มากับรถบัสยังต้องรอคนให้ครบ จึงจะ ออกรถได้ เลยทำให้ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ คือแสงหกสีนี้ค่อยๆ เคลื่อนขึ้นเหนือก้อนเมฆ
เปล่งแสงสวยสดงดงามมาก แล้วจึงเลือนหายไปในที่สุด รวมเวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือว่า ก้อนเมฆก้อนนี้มีลักษณะเหมือนคนนอนหลับ หรือคนนอนตาย เพราะบังเอิญพวกเราต่างก็นัดกันไว้ว่า งานต่อไปจะต้องมา งานครบรอบ ๓
ปีที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อมรณภาพ และในปีถัดไป พ.ศ.๒๕๓๙ จะต้องไปงานที่ วัดพระแท่นดงรัง ซึ่งมีประวัติเกี่ยวพันกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
สำหรับเรื่องราวเหล่านี้ จะเป็นปรากฏการณ์พิเศษอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เพราะทุกคนที่พบเห็นเป็นพยานหลายร้อยคน ไม่เฉพาะคณะของพวกเราเท่านั้น
ยังมีคนที่ขายของอยู่หน้าวัดพระพุทธบาท เช่นผู้หญิงที่ขายนกสำหรับปล่อย เป็นต้น
เมื่อได้เห็นเป็นเหมือนเช่นพวกเราแล้วก็ได้เล่าให้ฟังว่า ตนเองได้เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๒ แล้ว โดยเมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีก่อน
ก็เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นทางวัดกำลังจัดงานที่สำคัญเช่นกัน เธอผู้นั้นเล่าไปด้วยความปลื้มใจ
สำหรับพวกเราก็ประทับใจเหมือนกัน แต่ก็ต้องรีบกลับเพราะฝนเริ่มจะตกมาแล้ว จึง ขอเล่าไว้เพียงแค่นี้ ยังมีผู้ที่เห็นอย่างอื่นอีกหลายลักษณะ
จะไม่ขอนำมาเล่าในที่นี้ เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีคนเห็นด้วยหรือไม่ ถ้าไม่มั่นใจก็ถือว่านำมาเล่าเป็นเรื่องสนุกก็แล้วกัน
ครั้นถึงกำหนดงานครบรอบ ๓ ปีพอดีที่พวกเรารอคอย ต่างก็มารวมกันที่วัดท่าซุง ในวันเสาร์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๘ อันเป็น
เวลาที่วัดกำลังประสบชะตากรรมอย่างหนักที่สุด คือ อุทกภัย ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ในพื้นที่บางแห่งของวัด น้ำได้ท่วมสูงถึง ๓
เมตรทีเดียวทำลายสถิติที่วัดเคยถูกน้ำท่วมมาก่อนแล้วในปี ๒๕๒๓ อย่างสิ้นเชิง ถือว่าทำสถิติใหม่ก็ว่าได้
ผลเสียหายได้เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น กำแพงข้างศาลานวราชด้านทิศเหนือ และต้นไม้หลายร้อยหลายพันต้น ทั้งที่เพิ่งปลูกใหม่และที่ปลูกไว้นานแล้ว
อย่างเช่น ต้นกล้วย และ ต้นมะม่วง หน้าวิหารสมเด็จองค์ปฐม เป็นต้น
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังใจที่มี ความเคารพนับถือและศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อของลูกหลานและคณะศิษย์ทั้งหลาย
ต่างก็มุ่งมั่นที่จะมาร่วมงานพิธีอันสำคัญในครั้งนี้ให้ได้ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ร่วมกันจัดขบวนอัญเชิญ ฐานแก้ว และ ผ้าห่มทองคำ
ซึ่งเริ่มสร้างมาตั้งแต่หลวงพ่อมรณภาพ นับเป็นเวลา ๓ ปีจึงจะแล้วเสร็จ จึงต้องจัดงานในปีนี้เป็นกรณีพิเศษ
ครั้นถึงวันเสาร์ที่ ๒๘ ต.ค. ๒๕๓๘ เวลา ๑๖.๐๐ น. ทุกคนต่างก็มีนัดกันไว้ว่า จะต้องมาร่วมขบวนอัญเชิญ ฐานแก้ว และ ผ้าห่มทองคำ
มาเพื่อประดิษฐานเป็นที่รองรับสรีระศพของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ แม้จะต้องลุยน้ำเข้ามาทางหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตรก็ตาม
พวกเราต่างก็ร่วมแรงร่วมใจกันอัญเชิญมาได้เป็นผลสำเร็จเรียบร้อยทุกประการ
ในระหว่างนั้น ก็ได้เกิดปรากฏการณ์พิเศษ คือมีผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้เล่าให้ฟัง บางคนก็บันทึกภาพวีดีโอไว้ได้ทัน เมื่อนำมาเปิดให้ดู
ปรากฏเห็นเป็นลำแสงสีรุ้งหลายหลากสีพาดโค้งบนท้องฟ้าเหนือ มณฑปหลวงปู่ปาน ด้านทิศตะวันตกของวิหาร ๑๐๐ เมตร มีลักษณะเป็นแสงสีสวยสดงดงามมาก
จึงเป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงเกิดขึ้นระหว่างที่อัญเชิญ ฐานแก้ว เข้าไปในวิหาร ๑๐๐ เมตรพอดี
เรื่องนี้คงไม่เป็นที่สงสัยสำหรับคนที่เข้าใจ เพราะหลายท่านคงจะจำได้ คราวงาน พิธีถวายพระราชทานเพลิงศพ พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณ
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ในขณะที่จะทำพิธีที่ วัดเทพศิรินทร์ อยู่นั้น มีหลายคนที่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นแสงหลายหลากสีปรากฏขึ้นสวยงามมาก
คล้ายกับปรากฏการณ์ที่วัดพระพุทธบาท สระบุรี และทั้งที่เวลานั้นมิใช่เป็นเวลาฝนตก เพราะอากาศยังแจ่มใสเป็นปกติ แสงสายรุ้งนี้
ขึ้นอยู่สักครู่หนึ่งก็หายลับไปกับตา
แต่ในขณะที่ยืนให้ช่างกล้องถ่ายภาพนั้น สายตาของทุกคนเหลือบขึ้นมองท้องฟ้าเห็น คราวนี้กลับมาว่าต่อถึงเรื่องงานครบรอบ ๓ ปีที่วัดท่าซุง
หลังจากอัญเชิญ ฐานแก้ว เข้าไปแล้ว พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น เมื่อเจ้าภาพถวายไทยทานแล้ว จึงเป็นพิธีถวายเครื่องสักการะแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ
อันมีตัวแทนฝ่ายคณะสงฆ์และตัวแทนฝ่ายฆราวาส ต่อจากนั้น ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย ก็ได้กล่าวถึงประวัติของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ดังนี้
|