Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 17/4/14 at 22:34 [ QUOTE ]

ไทยไม่มีวันสิ้นชาติ โดย.. พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ) (ตอนจบ)




( ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง" )




สารบัญ

01.
ตอน 1
02. ตอน 2
03. ตอน 3



01

ไทยไม่มีวันสิ้นชาติ


โดย

พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)
วัดจันทาราม (ท่าซุง) อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี


ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย สำหรับวันนี้ตรงกับวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๒๔ การบันทึกเสียงวันนี้ไม่ใช่เสียงธรรมะปกติ แต่ทว่าเป็นเสียงที่จะระงับเสียงสะเทือนใจบรรดาชาวไทยทั้งหลาย เพราะว่าในเวลานี้ปรากกว่า มีหนังสือบ้าง มีเสียงพูดบ้าง มีการเล่าลือกันบ้างว่าเป็นวันสิ้นชาติไทย คือเดือนตุลาคม ๒๕๒๕ ปีนั้นเป็นปีสิ้นชาติไทย และก็เป็นวันสิ้นชาติไทย

ข่าวนี้สร้างความสะเทือนใจของบรรดาประชาชนชาวไทยส่วนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามโรงเรียนต่างๆ มีนักเรียนส่วนมากได้อ่านแล้ว ได้ฟังแล้วรู้สึกหนักใจ แม้แต่ท่านที่เป็นบิดา มารดา และเป็นผู้ปกครองของนักเรียนทั้งหลาย ก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ต่างคนต่างมาปรารภให้อาตมาฟัง อาตมาเองก็ไม่ได้ฟังมาโดยตรงว่าเสียงที่พูดเป็นเสียงจากผู้ใด และก็หนังสือนั้นเป็นหนังสือมาจากไหน หนังสือก็ไม่ได้อ่าน เสียงที่ฟังพูดก็ไม่ได้ฟังพูด แต่ว่ารับฟังจากคนที่รับฟังต่อมาอีกทีหนึ่ง

ตามข่าวบอกว่า เดือนตุลาคม ๒๕๒๕ ข่าวเขาเล่าลือกันมาว่า กองทัพญวนประมาณ ๑๖ กองพลจะเคลื่อนเข้าทางอรัญประเทศ กองทัพไทยจะตีต่อสู้อยู่เป็นเวลา ๓ วัน ทัพไทยต้องถอย และกองทัพญวนจะยึดจังหวัดนครนายกได้ หลังจากนั้น กองทัพจีนก็จะเข้าทางประเทศลาว ตีเรื่อยมาจนกระทั่งถึงนครราชสีมา ตั้งขึ้นเป็นรัฐอีกรัฐหนึ่ง ของไทยตัดเป็นตอนหนึ่ง ญวนตั้งไว้ตอนหนึ่ง จีนตั้งตอนหนึ่ง

แล้วต่อมากองทัพเรือของสหรัฐที่อยู่ในน่านน้ำไทยเป็นเรือผิวน้ำบ้าง เป็นเรือดำน้ำบ้าง ก็จะปรากฏตัวขึ้น จะปล่อยเครื่องบินขาวพรึบไปในท้องฟ้า คนไทยต่างพากันดีใจว่าเวลานี้เพื่อนของเรามีแล้ว สามารถจะทรงตัวได้ แต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันก็คือกองทัพเรือของรัสเซีย จะปรากฏขึ้นทางภูเก็ต ตีจากภูเก็ตมาถึงสุราษฎร์ธานี ตัดตอนประเทศไทยภาคใต้ไปอีกตอนหนึ่ง

รวมความว่าประเทศไทยจะถูกแบ่งออกเป็น ๔ จุด เป็น ๔ เขต หรือเป็น ๔ รัฐ เรียกว่าไทยใต้ ไทยกลาง ไทยเหนือ หรือไทยตะวันออก นี่เป็นเสียงที่ทำให้บรรดาปวงชนชาวไทยหนักใจมาก อาตมาฟังแล้วก็รู้สึกหนักใจเช่นเดียวกัน แต่ความจริงความหนักใจของอาตมานี่ไม่ได้หนักใจตามที่เขาพูด หนักใจว่าเหตุการณ์อย่างนั้นมันจะไม่เกิดขึ้น หรือว่าถ้ามันเกิดขึ้นมันก็ต้องสลายตัว ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอาตมามีความฝันอยู่เสมอ ฝันเป็นปกติว่า “ ไทยไม่สิ้นชาติไทย และก็ไทยจะดำรงอยู่ได้ตลอดฟ้าดินสลาย คำว่าไทยจะไม่สิ้นไปจากโลกนี้”

แต่ว่าถ้าจะฟังเรื่องนี้กันให้ละเอียดก็ต้องฟังกันหลายคาสเซท แต่ว่าวันนี้มีเวลาจำกัดบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท อาตมาเองก็ป่วย กำลังนอนให้น้ำเกลืออยู่ เมื่อฟังข่าวจากพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ทั้งผู้ใหญ่และเด็กมาพูดกันหนักก็ทนไม่ไหว ทั้งๆ ที่ป่วยก็ต้องลุกขึ้นมาพูด พูดเพื่อความเข้าใจตามความเป็นจริงของปวงชนชาวไทย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าไทยทั้งชาติต้องสลายตัว อาตมาเองก็เป็นคนไทยเหมือนกัน เมื่อไทยหมดไป พระไทยก็ต้องไม่มี คนพูดนี่เป็นคนไทยก็ต้องไม่มีด้วย แต่ความจริงคำว่า “ไม่มี” ก็ต้องมีกับคนทุกคน เพราะว่าคนทุกคนจะต้องตาย แต่ว่าคนเก่าก็จะตายไป คนใหม่ก็จะเกิดขึ้น

อาตมาขอยืนยัน ในฐานะเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอยืนยันว่า “เหตุการณ์เช่นนั้นจะมีขึ้นหรือไม่มีก็ตามที แต่ว่าความเป็นเอกราชของไทยจะต้องทรงอยู่” ขอยืนยันด้วยความจริงใจและขอรับรองด้วย เพราะเวลาไม่นานนัก (นี่ก็เป็นเดือนกรกฎาคม ๒๕๒๔ แล้ว) ใช้เวลาอีกประมาณ ๑๓ เดือนก็จะถึงคำพยากรณ์ของท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นเป็นใครอาตมาไม่ทราบ แต่ว่าก่อนที่จะพูดเรื่องอื่นก็ขอย้อนกลับมาพูดเรื่องของวัดพระศรีรัตนศาสดารามเสียก่อน

เวลานี้ปรากฏว่าทางราชการ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานในการจัดหาเงินซ่อมแซมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดนี้และพระพุทธรูปองค์นี้ จัดว่าเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทย การกระทำอย่างนี้อาตมาสนับสนุนเต็มที่ และก็กำหนดไว้แล้วว่า วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๔ นี้ ทางเจ้าหน้าที่ คือ อุบาสก อุบาสิกา ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นิมาตน์อาตมาไปแสดงพระธรรมเทศนาที่นั่นตามปกติ ทุกปีเขานิมนต์ แต่ไปได้ปีละครั้งเดียว เพราะภารกิจมาก

ในวันนั้นตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าไปเทศน์เมื่อไร ถ้ามีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายบริจาคทรัพย์ติดกัณฑ์เทศน์เท่าไร อาตมาตั้งใจไว้นานแล้วว่า จะไม่ยอมหักแม้แต่ค่าพาหนะหรือค่าน้ำแข็งเปล่า เงินทุกบาททุกสตางค์จะถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เพื่อร่วมในการบูรณะซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ วัดพระศรีรัตนศาสดารามทั้งหมด

ฉะนั้น ในวันนั้นถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทผู้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถ้ามุ่งจะจรรโลงพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่คู่กับประเทศไทย ก็ขอได้โปรดไปช่วยกันในวันนั้น หรือถ้าไปวันนั้นไม่ได้ จะส่งเงินไปก่อนหรือหลังจากวันนั้นก็ได้ จะส่งมาที่อาตมาเมื่อไรก็ได้ พร้อมที่จะมอบถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เพื่อร่วมในการซ่อมแซมวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และเวลานี้ ปรากฏว่า ทางราชการหรือจะเป็นใครก็ไม่ทราบ เห็นประกาศกันโครมครามๆ ทำพระรูปของพระแก้วมรกตขึ้นมา ๓ ฤดู เพื่อให้บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้มีความเลื่อมใส มีไว้บูชา แค่บริจาคทรัพย์ไม่มากนักก็ได้มีไว้บูชา

อาตมาเห็นว่า พระพุทธรูปองค์นี้ คือพระแก้วมรกตเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าท่านพุทธบริษัทชายหญิงมีไว้บูชา อาตมาคิดว่าจะเป็นมงคลอย่างสูง ทั้งนี้เพราะว่า “ตราบใดที่เรายังมีพระแก้วมรกตบูชาอยู่ ขณะนั้นอาตมาขอยืนยันว่าประเทศไทยังเป็นเอกราชต่อไป” ถ้าปวงชนชาวไทยยังพากันบูชาพระแก้วมรกต (ความจริงพระแก้วมรกตก็เป็นรูปเหมือนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือเป็นรูปเปรียบนั่นเอง หรือเป็นรูปแทน) ถ้าเราบูชาพระแก้วมรกตก็เท่ากับเราบูชาพระพุทธเจ้า อำนาจของพระพุทธเจ้าก็คือ “พุทโธอัปปมาโณ พระคุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้”

ตามนัยยะที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาได้ทรงพยากรณ์ไว้สองพันปีเศษแล้ว คำพยากรณ์นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท อาตมาอาจจะจำวันที่ไม่ได้ จำ พ.ศ. คลาดเคลื่อนไปก็ได้ ต้องขออภัยด้วย จำได้แต่เรื่องราวตอนหนึ่งว่า หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วไม่นาน และไม่ทราบว่าเป็น พ.ศ.เท่าไรแน่ ถ้าจำไม่ผิดอาจจะเป็น พ.ศ.๒๔๘๐ หรือ พ.ศ.๒๔๘๔ ก็ได้ อันนี้จำไม่ได้แน่

ในปีนั้น ท่านจอมพลแปลก (จอมพล ป. พิบูลสงคราม) ท่านส่งทูตพิเศษคณะหนึ่งไปประเทศอินเดีย ถ้าอาตมาจำไม่ผิด หัวหน้าคณะทูตชุดนั้น คือ หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อไปแล้วกลับมาปรากฏว่า ทางหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่า คณะทูตพิเศษได้ลอกหนังสือมาจากศิลาจารึกในประเทศอินเดียว ในศิลาจารึกนั้นอ้างเหตุว่า

คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์อย่างนี้ ขอกล่าวโดยย่อ

“อานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี ชาวโลกจะรบราฆ่าฟันกันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลุกจากอากาศ ประชาชนจะมีการล้มตายกันมา แต่ทว่าอานันทะ ดูก่อนอานนท์ ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีที่ว่าร้ายแรงนั้น ยังไม่เท่าหลังกึ่งพุทธกาล หลังกึ่งพุทธกาล ชาวโลกจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันหนักมากกว่า ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นอาละวาด ยักษ์นอกพระพุทธศาสนา จะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน สมณชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาจะรบกันมารบกันไป ตายไปฝ่ายละครึ่งหนึ่งจึงจะเลิกรากัน แต่ว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก”

รวมความว่า ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาน่ะ เวลานี้มีมาก แต่ทว่าการนับถือพระพุทธศาสนานั้น นับถือกันแบบไหน พระพุทธศาสนาจริงๆ มีคุณสมบัติประจำอยู่ ๓ ประการ คือ

๑.สัพพะปาปัสสะ อกรณัง พระพุทธเจ้าทรงแนะนำว่า ให้พากันละความชั่วให้สิ้นเชิง
๒.กุสสะลัสสูปะสัมปะทา จงพากันสร้างความดีให้สมบูรณ์
๓.สะจิตตะ ปริโยทะปันนัง จงพากันทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส
เอตัง พุทธานะ สาสะนัง พระองค์ทรงยืนยันว่า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสอย่างนี้

นี่เป็นหลักการ หรือว่าเป็นธรรมนูญของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าเราจะมองกันไปอีกมุมหนึ่ง คือมองกันง่ายๆ ว่า พระพุทธศาสนาถ้าจะทรงกันจริงๆ ที่ไหนก็ได้ จะต้องมีกฎอยู่ ๓ ประการ คือ
๑.มีศีล
๒.มีสมาธิ
๓.มีปัญญา รู้เท่าทันตามความเป็นจริง

ฉะนั้น คนก็ดี ประเทศก็ดี ที่ประกาศตนว่านับถือพระพุทธศาสนา เราจะต้องมองที่การนับถือพระพุทธศาสนากันจริงๆ ไม่ใช่มองแต่ที่ปากหรือว่าไม่ใช่มองกันที่มือถือ ไม่ใช่มองกันที่กายน้อมกราบกันลงไป เขามองกันที่ความประพฤติ คือ ดวงใจ จะต้องดูดวงใจของคนกลุ่มนั้นว่า เขานับถือพระพุทธศาสนาจริงหรือไม่จริง เขตที่จะนับถือพระพุทธศาสนาจริงๆ
๑.ศีลต้องสมบูรณ์
๒.ต้องมีสมาธิ
๓.ต้องมีปัญญา เป็นเครื่องตัดกิเลส

เราก็มามองกันสักนิด บางจุด บางประเทศที่ประกาศว่า นับถือพระพุทธศาสนา พระมีเมียได้ พระกินข้าวได้ไม่เลือกเวลา พระควงแขนกับสตรีไปไหนมาไหนได้ แล้วก็เรื่องอาหาร เวลาใดก็ได้ กินกันได้ตามสบาย ถ้าประเภทนี้ละก็ พระพุทธเจ้าไม่ถือว่านับถือพระพุทธศาสนา หรือปวงชนที่นับถือพระพุทธศาสนาครบถ้วน ถ้าจะถือก็สักแต่เพียงว่าถือ เพราะว่าพระพุทธศาสนาจริงๆ มีศีลเป็นแกน ถ้าขาดศีลเสียอย่างเดียว อะไรก็ใช้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะว่าศีลแปลว่าปกติ ปกติต้องมี กาย วาจา ใจ เรียบร้อย ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

ฉะนั้น การไม่เคารพในศีล การไม่เคารพในพระวินัย พระพุทธเจ้าไม่ทรงถือว่าเป็นสาวกหรือเป็นลูกศิษย์ เมื่อพูดอย่างนี้ ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนคิดเอาเอง หรืออาจจะคิดว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ว่าไม่ร้ายแรงนัก” คือไม่ต้องสิ้นชาติ ไม่ต้องสิ้นประเทศ ยังจะคงชาติ ยังจะคงประเทศอยู่ แต่ทว่าก็ร้อนๆ หนาวๆ เป็นไข้บ้างเป็นของธรรดมา

ก็เหมือนกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ เราก็เกือบทำท่าจะย่ำแย่ เริ่มเข้ากับฝ่ายอักษะ เข้ากับญี่ปุ่นกับเยอรมัน แต่ทว่าเวลาเขาแพ้ เราไม่ยักแพ้ แปลกไหม? เขาแพ้เราไม่แพ้ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี่หนักมากเกือบจะทรงตัวไม่อยู่ ถอยหลังเข้าไปอีกนิดหนึ่ง ปี ร.ศ.๑๑๒ สมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนนั้นดูลีลาว่าจะเอาตัวไม่รอดจริงๆ ประเทศข้างเคียงอย่างพม่า เป็นประเทศมหาอำนาจ เป็นประเทศมหาอันธพาล รุกรานไทยอยู่ตลอดเวลา

ด้านลาวก็ดี ด้านเขมรก็ดี เขมรก็ดีแต่จอมแก่น หาความจริงจังอะไรไม่ได้ กัดเบื้องหลังอยู่ตลอดเวลา ถ้าไทยเพลี่ยงพล้ำเมื่อไร เขมรเล่นงานไทยเมื่อนั้น ญวนมักจะมีความแข็งแกร่งแบบยวนๆ ผลที่สุดเขาเหล่านั้นต้องตกเป็นทาสของอังกฤษและฝรั่งเศสไปตามๆ กัน ประเทศอินเดียใหญ่ขนาดไหน ต้องตกเป็นทาสของอังกฤษ รวมทั้งปากีสถานและประเทศพวกแขกๆ ทั้งหมด แต่ว่าไทยเรามีคนกันอยู่กี่คน สมัยนั้น สมัยราชการที่ ๕ มีคนอยู่ถึงล้านคนหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เรามีกำลังน้อยแต่เราสามารถปลอดภัยจากความเป็นทาส แต่การจะเสียแขน เสียขา เสียพื้นที่ไปบ้างก็เป็นของธรรมดา หลักการของนักปราชญ์ก็มีอยู่ว่า

๑.เราจะยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ
๒.เราจะยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต

การมีพระราชกุศโลบายและกุศโลบายของพระราชา และขุนนางในสมัยนั้นฉลาดมาก ยอมเสียบางจุดของประเทศ เหมือนกับยอมเสียนิ้วบางนิ้วเพื่อรักษามือ ยอมเสียมือเพื่อรักษาแขน ยอมเสียแขนเพื่อรักษาร่างกายหรือชีวิต ถ้าหากว่าเราโง่ดึงดันพยายามต่อต้านข้าศึกที่มีกำลังสูงกว่าด้วยประการทั้งปวง เราก็ต้องเป็นทาสเขา เห็นหรือยังว่า “คำว่า การสลายตัวของชาติไทยน่ะ มันจะหาไม่ได้”

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/4/14 at 19:12 [ QUOTE ]


02.
ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า อาตมายืนยันได้ยังไงว่า “ไทยจะไม่สิ้นชาติ” เราเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้เป็นวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๒๔ และคำพยากรณ์ที่เล่าลือกันมามันก็เป็นเดือนตุลาคม ๒๕๒๕ เวลาอีก ๑๓ เดือนเท่านั้น เรามายืนยันกันว่า ไทยจะสลายตัวจริงดังเขาว่าไหม อาตมาขอรับเต็มคำว่า “ไทยจะต้องเป็นไทตลอดไป และไทยก็จะต้องเป็นไทที่ทรงไว้ซึ่งความมั่งคั่งสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นไทยที่ยากจนอย่างเช่นในปัจจุบัน” เวลานี้ไม่ใช่เป็นไทยยากจนน่ะ แต่เป็นไทยอยากจน

ความจริงประเทศไทยไม่ใช่ประเทศยากจน แต่ทว่าคนไทยที่ต้องจนเพราะคนอื่นเขาอยากให้จน พูดอย่างนี้สะเทือนใจใครมากไหม? ถ้าถามว่าเอาหลักฐานมาจากไหน วันหน้าค่อยพูดกัน วันหน้าค่อยรู้ มันก็ไม่ช้านักหรอกแล้วจะรู้ว่า “ใครน่ะมันเป็นคนอยากให้ไทยอยากจน ให้เหตุนั้นมันเกิดเสียก่อน” เหตุที่ทำให้คนไทยยากจนน่ะ ทำกันอยู่แล้ว ทำกันมานานแล้ว แต่ไทยก็ยังไม่พยายามจะจน ทุกอย่างพยายามให้มันเครียดทางเศรษฐกิจ ไทยเราเป็นแบบนี้เพราะอะไร เพราะเมตตาเป็นสำคัญ

คติของไทยคือ “เจ็บแล้วไม่จำ จนแล้วไม่เจียม ทำไม่ค่อยจะจริง และก็ไม่อยากจะนิ่งเพื่อเอาดี” สำหรับคนบางพวก แต่ทว่าคนไทยที่ดีเขามีอาการเจ็บแล้วต้องจำ จนแล้วก็เจียม ทำจริง นิ่งดี นี่เป็นคติของคนไทยที่ดี ตอนนี้เราเก็บไว้ไปพูดเมื่อเวลานั้นมันมาถึง และก็อีกไม่กี่วันนักก็จะถึง กลับมาย้อนรอยถอยหลังถึงความมั่นใจของอาตมา ในเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพยากรณ์

อย่าลืมนะว่า ถ้าอยากจะรู้ว่า ไทยเราน่ะเพลี่ยงพล้ำ ใกล้จะสลายตัวมาแล้วกี่สิบครั้งตั้งแต่เริ่มตั้งความเป็นไทย อาตมาก็เกิดไม่ทัน แต่อาศัยท่านผู้ใหญ่ท่านเล่าให้ฟัง อาจจะผิดบ้าง ถูกบ้าง ผิดก็ผิดไม่หมด ถูกก็ถูกไม่ครบ แต่ว่ามันตรงตามความเป็นจริง ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงอยากจะฟังละก็บอกมา จดหมายบอกมา เวลานี้เป็นเวลาเข้าพรรษา ถ้ามีเวลาก็จะนั่งคุยสู่กันฟัง

เล่าเรื่องอดีตของชาวไทย ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ตามคนที่รู้จริงบ้าง ไม่รู้จริงบ้าง แต่ว่าความจริงมันมีอยู่ว่าเราเพลี่ยงพล้ำ เสียท่า เสียที ทรุดโทรมเพราะอะไร เวลานี้ขอบอกไว้เลยว่า เพราะใจดีเกินไป ถ้าจะถามว่า จะทรงตัวขึ้นมาได้เพราะอะไร ก็ต้องตอบว่า เพราะกำลังใจของผู้นำ “คนไทยน่ะจะอยู่ได้หรือไม่ได้อยู่ที่ผู้นำคนเดียว” ถ้าผู้นำดีละก็ ไทยทั้งชาติพร้อมกันจับอาวุธพร้อมเพรียงกัน จะสั่งสมสร้างความดี สร้างความเป็นมหาเศรษฐีให้แก่ชาติ

เรามาดูคำพยากรณ์ เพื่อความมั่นใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่เวลาของคาสเซทหน้านี้มันเหลือ ๔ นาที ถ้าท่านยังฟังไม่พอละก็จดหมายมานะ จะคุยให้ฟังอีกสัก ๑๐ คาสเซท จบหรือไม่จบยังไม่แน่เลย ว่าคนไทยเราเสี่ยงมากี่ชาติกี่สมัย มันเสี่ยงมากกว่านี้ ไทยเราโดดเดี่ยวไม่มีเพื่อ เวลานี้ไทยเรามีเพื่อน ทิ้งไว้ก่อน ขอย้อนกล่าวถึงคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า

“ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก”


เราก็มามองดูพระพุทธศาสนาเวลานี้ ของเราครบถ้วนบริบูรณ์ มีทั้ง มรรคแปด มีทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา จะไปดูที่พม่ามีอะไรบ้าง อาตมาก็ไม่ได้เข้าไปเดินในพม่านี่ ไม่รู้ว่าพม่ามีอะไรบ้าง แต่ก็ชอบใจพม่าอยู่นิดหนึ่งที่พระพม่าบางนิกายฉันข้าวได้ไม่เลือกเวลา ควงแขนกับสตรีก็ได้ แต่บางนิกายท่านก็เคร่ง หันไปดูทางด้าน อินโดจีนก็เจี๊ยะกันได้ตลอดเวลาเหมือนกัน จะไปดูทางด้านธิเบต ด้านประเทศจีน ญี่ปุ่นบ้าง ญี่ปุ่นยิ่งดีใหญ่

พระควงแขนกับสาวๆ ก็ได้ อาตมามองแล้วน่าเสียดายอยากจะไปบวชที่นั่น แล้วแถมพระก็มีลูกสาวสวยๆ น่าเสียดาย น่าเสียดายว่าบวชผิดสถานที่น่ะ ถ้าบวชที่นั่นคงลงอเวจีไปนานแล้ว รวมความว่า ของเขาถ้าจะมองกันไปอีกที เขาก็เป็นนักพรตที่ดี มีความเคร่งครัดบางจุด แต่ความสำคัญในพระพุทธศาสนา ๓ ประการที่ต้องครบถ้วน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าว่ากันในความเป็นนักบวชละก็ พร่องไปมาก

เพราะพระถ้ามีเมียได้ ถ้าเป็นของเรานี่ ไม่เรียกว่าพระ เรียกว่านักบวชประเภทหนึ่ง หรือว่าฆราวาสที่ถือศีลโดยเฉพาะ นักบวชถ้ากินข้าวได้ไม่เลือกเวลาเราก็ถือว่าเป็น อลัชชี พระพุทธเจ้าไม่ถือว่าเป็นนักบวช ไม่ถือว่าเป็นสาวก ถ้านักบวชควงแขนสตรีได้ ของเราปรับอาบัติสังฆาทิเสส สังฆกรรมทั้งหมดเสีย รวมความว่า ใช้ไม่ได้เลย เมื่อเป็นอย่างนี้จะถือว่า พระพุทธศาสนาในประเทศนั้นครบไม่ได้

คือคำสอนของพระพุทธเจ้าอาจจะครบถ้วน แต่คนที่รับปฏิบัติไม่ครบถ้วน จึงจะต้องถือว่าประเทศนั้นไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ถ้าพระเราก็ต้องเรียกว่าเป็นนักบวชประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่นักบวชในพระพุทธศาสนา แต่ทว่าก็ต้องคิดเหมือนกัน อย่างเขมรนี่เขาไม่ค่อยจะครบ และเขมรมีกำลังต่อสู้อยู่ประมาณ ๓ กรม เขาลือกันว่าญวนมีกำลังอยู่ที่นั่นตั้ง ๒๒ กองพล ยังไม่สามารถตีเขมรให้แตกได้ แล้วจะยกมาตีไทย ๑๖ กองพลน่ะ มันจะไหวรึ สำหรับหน้านี้หมดเวลาแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดพลิกหน้าใหม่ฟังกันต่อไป

ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย สำหรับหน้านี้ ก็ขอคุยกันต่อไป ถ้าสมมติว่า ถ้าญวนจะเข้ามาตีไทย ๑๖ กองพล ญวนมีกำลังอยู่ในเขมร ๒๒ กองพล ๒๒ กองพล ญวนไม่สามารถตีเขมรมีกำลัง ๓ กรมแตก แล้วถ้าแบ่งกำลังมาตีไทย ๑๖ กองพล โดยกองทัพไทยตีเข้าไปแล้วก็ทหารเขมรตีขนาบ ญวนไม่ตายหมดเรอะ บทเรียนของญวนก็คือที่บ้านโนนหมากมุ่น ญวนยกกำลังเข้ามาเป็นกองพล ไทยลองใช้หน่วยเล็กๆ เข้าปะทะหน่อยเดียว ญวนก็ตายไปเป็นร้อย

นี่ที่พูดมานี่พูดตามความเป็นจริงที่พบมา ทางราชการจะประกาศหรือไม่ประกาศก็เป็นเรื่องของทางราชการ แต่นี่เห็นมาจริงๆ รู้มาจริงๆ และการปะทะกันเวลานั้น เรารู้สึกว่าตกอยู่ในการเสียเปรียบข้าศึก เพราะข้าศึกอยู่ในที่กำบัง กำลังข้าศึกก็มีมาก แต่ไม่ใช่ว่ากำลังทหารไทยมีน้อย เราลองดูหน่วยหน้า เรียกว่าหน่วยเล็กๆ ไปปะทะข้างหน้าก่อน ถ้าไม่ไหวหน่วยใหญ่จะเข้าตะลุมบอนทันที แต่ก็ไม่ทันที่หน่วยใหญ่จะเข้าต่อตี โดนแต่จุดเล็กๆ เข้า พี่แกวก็วิ่งหางเชน

แล้วทำไมจะมานั่งขู่ว่ากองทัพญวนมีกำลัง ๑๖ กองพลน่ะ แน่นอน มีกำลังมากมายและเก่งกล้า เรามาคุยกันอย่างนี้ดีกว่า ไอ้นั่นมันเป็นเรื่องตีกันไม่ใช่เรื่องของพระจะมาพูด เมื่อกี้น่ะไม่ได้พูดให้ฟัง เล่าให้ฟัง ความจริงมันมีมาอย่างนั้น มันเป็นประวัติศาสตร์ เกิดเมื่อไรมันก็เป็นรูปนั้นนั่นแหละ อย่าลืมว่า ทหารไทยยังอ้วน ทหารญวนมันผอม แต่ว่าเราจะไปกลัวอะไรกับข้าศึกภายนอก

เหมือนกับไม้ไผ่กับขอ ไม้ไผ่มันจะจากกอไปได้ก็เพราะอาศัยขอเป็นตัวดึงตัวตัด แต่ความจริงเจ้าขอด้ามมันสั้นชัดๆ มันสามารถจะดึงไม้ไผ่บนกอได้ แต่ที่ขอมันทำลายไม้ไผ่บนกอได้ก็เพราะอาศัยไอ้เจ้าด้ามขอ คือ ไม้ไผ่ ฉะนั้นประเทศไทยเราที่มีความวุ่นวายกันอยู่เวลานี้ เราไม่ต้องไปห่วงข้าศึกภายนอกประเทศ ถ้าคนในประเทศของเราดี ไม่ชักน้ำเข้าลึก ไม่ชักศึกเข้าบ้าน เหตุร้ายมันไม่มีหรอก ที่โบราณท่านกล่าวว่า ถ้าผีบ้านดี ผีป่ามันก็เข้าไม่ได้

“ขออย่างเดียวว่า คนในบ้านเราอย่าเปิดประตูรับข้าศึกเท่านั้นแหละ เมื่อเปิดประตูรับอย่างเดียวไม่พอ ยังให้ที่กินที่นอน ให้กำลังทุกอย่าง ให้อาวุธ มอบกายถวายชีวิต แต่ความจริงคนพวกนี้เขาจะมอบแต่กายเป็นทาสอย่างเดียวก็แล้วไป ทำไมจึงต้องให้ไทยทั้งชาติไปเป็นข้าเขา”

มันเป็นไม่ได้ ก็มาขอดูคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็จะมองเห็นกันแล้วว่าประเทศไทยเรานี่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาจริง เราพูดกันแต่คนเคารพพระพุทธศาสนา คนที่อยู่ในกาสาวพัสตร์ของพระพุทธศาสนาและทำลายพระพุทธศาสนาอันนี้ไม่เกี่ยว ถ้าจะถามว่ามีไหม ต้องขอเรียนให้ทราบว่า มีมาก กล้าพูด กล้าพูดว่า “มีมาก” เพราะว่าความรู้ของพระพุทธศาสนามี ๔ หมวด ไปไล่เบี้ยดูก็แล้วกัน คลุมได้หมดไหม

๑. สุกขวิปัสโก
๒. เตวิชโช
๓. ฉฬภิญโญ
๔. ปฏิสัมภิทัปปัตโต


ไปถามท่านดูเถอะว่า ท่านใดทรงได้ ๔ อย่าง ท่านนั้นครบถ้วน ท่านใดทรงได้ไม่ครบ ๔ อย่าง ท่านนั้นดี ถ้าท่านผู้ใดทรงไม่ได้เลย แมว ไม่ใช่ไม่นับถือพระพุทธศาสนาเฉยๆ นะ แมว แมวขี้บนเตา ขี้บนหวดข้าว อาศัยหม้อข้าวเป็นเครื่องกินในด้านพระศาสนา นี่พูดกันตรงไปตรงมานะ เพราะเวลานี้มันยุ่งมากแล้ว นี่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์นะ ที่มันยุ่งๆ อยู่เวลานี้

เพราะพวกนี้แหละสร้างความยุ่ง ไม่จริงไม่จังในพระศาสนาหรอก แต่ชอบอ้างตัวว่าเป็นนักพรตในพระพุทธศาสนา ขอพูดกันตรงไปตรงมานะ เพราะมันช้ำเต็มทีแล้ว เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จเข้ามาในเขตไทย ถ้าจะถามว่าพระพุทธเจ้าเสด็จเข้ามาในเขตไทยรึ ก็ต้องบอกว่า มาหลายครั้ง ถมว่า เอาความรู้นี้มาจากไหน รู้ได้ยังไง ก็ต้องตอบว่า เอาความรู้มาจาก ๔ หมวดที่กล่าวไว้นี่แหละ

จากสุกขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต หมวดใดหมวดหนึ่ง สามารถจะรู้ได้ ถ้าใครจะหาว่า อวดอุตริมนุสธรรมก็เชิญสิ ทำให้มันได้เสียก่อนแล้วค่อยว่าเขา ถ้าทำยังไม่ได้ อย่ามาเสือกว่ากันนะ ไม่ยอมรับนับถือใครทั้งหมดนั่นแหละ “คนที่สักแต่ว่าบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเวลานี้ ช่วยกันทำลายดีนัก” ใครเขาทำดี ทำเด่นที่ไหน ริดรอนเขาทุกอย่างมันจะใช้ได้เรอะ ศีล สมาธิ ปัญญา ศึกษากันซะบ้าง

อย่านั่งเมาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทำลายความดีของบุคคลที่เขามีความเคารพในพระพุทธเจ้า นี่ไม่ได้ด่าใครนะ เตือนให้ฟัง ก็รวมความว่า พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ไว้แบบนี้ ว่า ครั้งหนึ่งเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาที่ดอยน้อย คือพระธาตุจอมกิตติ เมื่อก่อนนี้ยังเป็นป่าทึบไม่มีบ้านไม่มีช่อง เป็นเนินน้อยๆ เรียกว่าดอยน้อย มีพระมหากัจจายนะมาด้วย มีพระอรหันต์มาหลายองค์ พระองค์เสด็จประทับยืนอยู่ที่นั่น แล้วทรงเหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ตรัสว่า

“ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสถานที่นี้ต่อไปจะเป็นเมือง เป็นที่อยู่อาศัยของคนมีนามว่า เมืองโยนกนคร และก็จะเป็นเมืองที่มีความเจริญ รุ่งเรืองมาก จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี”

ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/5/14 at 13:22 [ QUOTE ]


03
หลังจากนั้นสมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงเสยพระเกศา พระเกศาติดมือมา ๓ เส้น แล้วทรงวางลงบนพื้นดิน แล้วก็ทรงอธิษฐานให้เส้นพระเกศาจมลงที่นั่น นี่จุดหนึ่ง ที่ว่าจุดหนึ่งน่ะ มีหลายๆ จุด แล้วต่อมา ที่พระธาตุจอมทอง ที่นี่ก็เหมือนกัน ในสมัยนั้นเป็นเมืองชื่ออริตถะ พระเจ้าอริตถะทรงทราบว่า เวลานี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก แล้วท่านก็ไม่สามารถจะไปเฝ้าได้ (เวลานั้นบริเวณเมืองอริตถะ เขาไม่เรียกว่าประเทศไทย แต่เวลานี้เรียกว่าประเทศไทย)

พระเจ้าอริตถะก็ใช้วิธีโตแล้วเรียนลัด จุดธูปนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทางอากาศ ตอนแรก พระมหาโมคคัลลาน์ได้รับคำสั่งจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพร้อมกับพระอรหันต์อีก ๔ องค์ รวมเป็น ๕ องค์ด้วยกัน เหาะมาในอากาศแล้วก็พยากรณ์ ต่อมาองค์สมเด็จพระชินวรก็เสด็จเอง พร้อมด้วยพระสงฆ์อีก ๕๐๐ รูป แล้วก็ทรงพยากรณ์ตามรูปเดิมว่า

“ในดินแดนแห่งนี้ต่อไปจะเต็มไปด้วยความรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะพระบรมสารีริกธาตุ คือพระรากขวัญเบื้องซ้ายของพระองค์ ต่อไปจะบรรจุลงที่นี่ แล้วประเทศเขตนี้จะสามารถรักษาคำสอน คือพระพุทธศาสนาของพระองค์ไว้ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี ตามที่พระองค์ทรงต้องการ”


นี่แบบนี้มีหลายๆ ที่ นอกจาก ๒ แห่งนี้แล้วก็ยังมีอีกมาก เช่น เมืองสระบุรี พระพุทธเจ้าก็เคยเสด็จมาถึง เวลานั้นไม่เรียกประเทศไทย เขาเรียกว่าเมือง “ปาลันทะปะ” นอกจากนี้ก็มีเขตแดนเมืองลำพูนปัจจุบัน และก็อีกเยอะแยะ ถ้าหากว่าท่านบรรดานักพรตสงสัย ก็ย่ำต๊อก สุขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต เสียให้คล่อง เอาให้คล่องนะบรรดานักพรตทั้งหลาย จะได้ไม่สงสัย อาตมาน่ะถูกเขาตีแหลกลาญมานานแล้ว

แต่มันไม่แหลกหรอก มันแหลกไม่ได้จนกว่ากรรมมันจะทำให้แหลก คือมันจะตายไปเองนั่นแหละ มันถึงจะแหละ เพราะเวลานี้ไม่ได้ถือใครเป็นสำคัญ “ถือพระพุทธเจ้าเป็นสำคัญ” ถ้าใครเคารพพระพุทธเจ้าก็เคารพด้วย ถ้าใครไม่เคารพพระพุทธเจ้าก็ต่างคนต่างอยู่ อย่ารุกรานกันนะ ถ้ารุกรานกันจะเจอะดี ตอนนี้เลิกยอมกันแล้ว พยายามยอมกันมานานแล้ว แต่ดูแล้วมันเอาดีกันไม่ได้ ได้แต่พูดอย่างเดียว แล้วพูดทำเสียด้วย ทำอะไรมันก็ไม่จริงไม่จัง

ไอ้ส่วนที่มันเสียจนกระทั่งมันชนหน้าชาวบ้านเขาน่ะ ไม่ได้ทำ พูดทิ้งๆ แล้วก็ไม่ได้ทำจริงทำจัง ไอ้ส่วนที่เสีย ก็ยังเสียให้ชาวบ้านเขาดูอยู่ตลอดเวลา ยังเลี้ยงของเสียกันไว้ ยังเชิดชูของเสียกันเอาไว้ แล้วจะมาว่าอะไรกัน “ถ้าจะมาว่ากันละก็ ทำตัวให้มันสะอาดเสียก่อน ทำใจให้มันสะอาดพอเสียก่อน” ไอ้นี่เขาทะเลาะกับพระ สำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัทไม่ทะเลาะ

เป็นอันว่า อาตมามั่นใจคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาพยากรณ์ว่า เขตนั้นจะเป็นเมืองโยนกนคร ก็เป็นเมืองโยนกนครจริงๆ และก็มีความเจริญรุ่งเรือง แต่ทว่าการเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธเจ้าไม่ได้จำกัดสถานที่และเวลา ตานี้เราก็มาดูคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาน่ะ ไหวไหม รุ่งเรืองไหวไหม

ในตอนต้นก็เจริญรุ่งเรืองจริงๆ เมืองไทยเราเจริญรุ่งเรืองมาก ตอนอยู่ภาคเหนือ เราจะเห็นว่าทองคำเหลือเฟือ ขนาดเอาทองคำมาทำพระพุทธรูป เอาทองคำมาหุ้มคอเจดีย์ เอาทองคำมาทำกระโถน เอาทองคำมาทำพาน ทำอะไรต่อมิอะไรเกะกะๆ ไปหมด นั่นแบบนี้เจริญรุ่งเรืองไหม? รวยหรือจน แล้วถ้าถามว่า ต่อมาตอนหลังทำไมถึงจน ก็เพราะไอ้คนรุ่นหลังนี่มันฉลาดมากเกินไป มันก็จน อะไรๆ มันก็ต้องบอกว่า ปู่มันข้างนอกประเทศบอกมา ต้องรับฟังจากปู่อย่างเดียว ถ้าปู่ไม่พูดละก็ใช้ไม่ได้

ไอ้คนไทยด้วยกันพูดละก็รับฟังไม่ได้ แล้วมีอะไรก็ต้องไปประเคนให้ปู่ หมอบราบคาบแก้วถวายปู่อยู่ตลอดเวลา มันจะรวยได้ยังไง แต่ถึงแม้ว่า ถูกพวกแกะดำกดสภาวะการณ์ของประเทศอยู่อย่างนี้ แต่ความจริงของประเทศไทยก็ต้องรวย รวยตอนไหน เวลานี้เห็นแล้วหรือยัง น้ำมันจะโผล่เกือบจะนับจุดไม่ถูกอยู่แล้ว ความจริงน้ำมันนี่โผล่ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ แต่ทว่าทางราชการไม่ได้ประกาศ ทางราชการก็เป็นเรื่องระเบียบวินัยของทางราชการ

ถ้าถามว่าทราบมาได้ยังไง ก็ต้องบอกว่า เจอะเองพบเอง น้ำมันมันอยู่ที่ไหนก็ไปมันที่นั่น ไปให้มันชนน้ำมัน ก็จะพบเองไม่ต้องไปฟังเขาพูด ติดตามข่าวเอง เวลานี้ทั้งแก๊ส ทั้งก๊าซ ไอ้แก๊ส ก็แก๊ส ไอ้ก๊าซ แก๊สอย่างเดียวก็หมดเรื่อง คนไทย รู้ภาษา มาก๊าซซะอีก แก๊สจริงๆ ก็คือลม ไอ้ที่เขาเรียก ก๊าซเหลว หรือแก๊สเหลวน่ะ เหลวๆ มันก็คือ น้ำ ก็คือ น้ำมัน นี่ของเรามีมหาศาล ในทะเลยืนยันว่าจะขึ้นได้ไม่นานนัก บนบกนี่ความจริงพบมานานแล้ว ที่ฝางนี่ปริมาณของน้ำมันไม่ใช่น้อย

แต่ก็น่าเสียดายที่ตะกอนมันไปจับท่อซะ น้ำมันไหลไม่ออก แล้วก็น้ำมันในทะเลก็เหมือนกัน ไอ้ตะกอนโคลนเข้าไปอุดท่อซะ มันน่าจะไหลมานานแล้ว ไอ้นี่ไม่ได้ว่าใครโกงนะ ในดินน่ะ มันมีตะกอน แล้วก็มาปรากฏอีกจุดหนึ่ง เวลานี้บนบกเจอะกันตั้งหลายจุด และเป็นน้ำมันปริมาณมหาศาล ถ้าถามว่ารู้ได้ยังไง ก็ต้องตอบว่า รู้ได้จากคนที่เขามีส่วนในการขุด ไม่ต้องไปรอนั่งฟังแถลงการณ์ที่ไหนหรอก เพราะวัดนี่เป็นศูนย์รวมข่าว แล้วไอ้จุดที่เขาพบมันก็เป็นจุดที่เคยพูดไว้ด้วย

แต่ว่าจุดที่เคยพูดไว้เขายังพบไม่ถูกทุกจุด ไม่ช้าก็ซาวกันได้ทุกจุด อย่างที่สุโขทัย ฝรั่งบอกว่าจะต้องเจาะลงไปถึง ๖ กิโลเมตรจึงจะพบ แต่ว่าเวลานี้เจาะลงไปแค่ ๓ กิโลเมตรก็พบแก๊สและน้ำมันมหาศาล แต่เขาก็หยั่งท่อลงไปถึง ๖ กิโลเมตรเพื่อให้ได้ปริมาณสูงขึ้น ถ้า ๓ กิโลเมตรนี่มันอาจจะดึงมาใช้สัก ๑๕๐ ปี นี่มันยังแจ๋วแหว๋วอยู่ ถ้าหย่อนไปถึง ๖ กิโลเมตร ดึงขึ้นมา ๔๐๐ ปี ยังหมดไปไม่เท่าไร

แล้วก็เลยถามคนที่เขามีส่วนว่า ทำไมไม่มาว่ากันทางกำแพงเพชรล่ะ ทางกำแพงเพชรนี่มันมีเป็นสายยาวเหยียดเยอะแยะ น้ำมันนี่เกลื่อนกลาด เขาบอกว่า มาขอรับ มาลงที่พรานกระต่ายใกล้กำแพงเพชร ถามเขาว่า พบหรือยัง เขาบอก พบแล้วครับ มีหวังเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าบริษัทนี้นะ จะได้น้ำมันมหาศาล ในเขตที่เขาได้สัมปทานเยอะน้ำมันเกลื่อนตามสายเป็นสายใหญ่

ต่อไปก็จะเข้าปากอ่าวของน้ำมันแล้วสายใต้บนบกก็ปรากฏว่า มีชนชาติชาติหนึ่งที่มาสำรวจพบแล้วไปออกข่าวต่างประเทศ ไปลงหนังสือพิมพ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าออกหนังสือพิมพ์ก็อ่านไม่ออก อ่านภาษาต่างประเทศไม่เป็นนี่ ฟังแต่เขาพูด เขาบอกว่าแกไปดีอกดีใจใหญ่ บอกว่า โอ้โฮ มหาศาล น้ำมันในประเทศไทย แล้วประเทศของแกน่ะ แกต้องใช้น้ำมันมหาศาล แกบอก ฮ้อ ดีจริงๆ

นี่ปรากฏว่า คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ประเทศนี้จะเต็มไปด้วยความรุ่งเรือง และก็จะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี นี่ความรุ่งเรืองจะเห็นได้แล้วหรือยัง เห็นหรือยังว่า ถ้าน้ำมันมันขึ้น เราจะรวยกันขนาดไหน แล้วนอกจากน้ำมันแล้ว แร่ที่มีความสำคัญมีค่ามหาศาลยังจะมีขึ้นมาอีก เวลานี้ก็พบกันแล้ว ทั้งแร่เงิน แร่ทอง แร่ที่มีค่า โอ เยอะแยะ จิปาถะ แต่ขออย่างเดียว “ขอให้คนไทยเป็นคนไทยแล้วกัน”

ประวัติศาสตร์อย่าให้มันซ้ำรอยบ่อยนัก “ไทยจงอย่าสังหารไทย จงอย่าเอาประเทศไทยไปมอบให้แก่บุคคลอื่น หวังตั้งใจไว้อย่างเดียวว่าเราเป็นไทย” นี่รวมความว่า ขอยืนยันว่า ประเทศไทยไม่เป็นทาสใครแน่ ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่องที่เขาพูดกันว่า เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๕ จะพัง อาตมาก็ขอพูดมั่งสิ เขาพูดมานี่ อาตมาก็พูดไปมั่ง เขาคือใครอาตมาไม่ทราบ

ขอพูดตามหลักความจริงของโหราศาสตร์ท่านหนึ่ง เป็นโหราศาสตร์จริงๆ อาตมารับคำพยากรณ์จากคนนี้มาทุกปี ทุกปีพอถึงต้นปี เขาจะเขียนมาให้เรื่องชะตาของประเทศ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๖ ท่านผู้นี้พยากรณ์มาทั้งเดือนและวันที่ไม่เคยพลาดแม้แต่เหตุการณ์ มาปีนี้ท่านบอกว่า “เดือนมีนากับเมษา รถยนต์วิ่งตามทางสะดุดหน่อยนะครับ” ผลที่สุดมีนากับเมษาสะดุดจริงๆ แต่ไม่เป็นไร เมื่อไม่เป็นไรแล้ว

ท่านก็เขียนมาต่อไปอีกว่า “เดือนต่อไปผมขอยืนยันว่า มีสภาพเช่นนั้นจริง” เราก็ต้องยอมรับนับถือ เพราะเขาเขียนมาให้ตั้งแต่ธันวาคม มาถึงมีนากับเมษาของเขาบอกว่ามีจุดสะดุด ตอนนี้เขาก็เขียนไว้ทั้งปี พอเรื่องนั้นสะดุดแล้วเขาก็บอกว่า “ของผมต่อไป เดือนหน้าจะต้องเป็นเช่นนั้นอีกขอรับ แล้วมันจะเป็นยังไงล่ะ จะเป็นยังไงท่านผู้ฟังเวลานี้เรื่องท่านไม่ต้องหนักใจ ทุกคนอยู่ในด้านความสบายใจได้ เพียงแต่ขอให้ทุกคนมีน้ำใจเป็นไทก็แล้วกัน”

สิ่งที่เราจะต้องระวังก็คือ อย่าไปสงสัยกันเอง สงสัยว่ากฎของกรรมว่า
๑.อาจจะน้ำท่วมมากเกินไป
๒.ลมจะพัดแรงเกินไป
๓.ไฟจะไหม้มากเกินไป
๔.กำลังใจของคนจะไม่เสมอกัน จะทะเลาะกันบ้าง
๕.วินาศกรรม ที่มาจากมือของคนมือบอน


อันนี้เขาไม่ได้หมายความว่ามันจะมี เขาบอกว่าต้องระวัง คือจุดมันเป็นจุดใหญ่ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันตายกันหรอก ถ้าใครไม่เผลอก็ไม่ตาย ก็หมดเรื่อง ถ้าคนดีไม่ตาย คนเลวถึงจะตาย จุดสะดุดจุดนี้ มันเป็นจุดสะเทือนอยู่นิดหน่อย อาจจะแรงกว่าเดือนเมษานิดหน่อย แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นปฏิวัติรัฐประหารทำลายซึ่งกันและกัน มันเป็นกฎของกรรมของคนในประเทศที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้

นี่จงจำไว้ด้วยนะ อย่าลืมว่า คนที่รวยน่ะมันต้องเหนื่อย การจะขุดทองขึ้นมาได้มันต้องใช้เครื่องมือ มันต้องใช้แรงงาน ต้องใช้อาหาร ต้องตากแดดตากลมเป็นของธรรมดา เราจะเดินเข้าไปหาความรุ่งเรืองของชาติ เราจะเดินเข้าไปหาความร่ำรวย มันก็ต้องมีจุดสะดุดเป็นของธรรมดา ช่วงหลังต่อมา ก็มีมาอีกนั่นแหละ ที่เขาลือกันในต่างประเทศว่าจะมีจันทรุปราคา สุริยุปราคาในเดือนกรกฎาคมเดือนเดียวกัน ซึ่งไม่ปรากฏการณ์มาในกาลก่อนมาเลย

บรรดาโหนก็ดี แขวนก็ดี ห้อยก็ดี พากันวิตกกังวลว่า ไม่ทราบจะพยากรณ์ว่ายังไง แต่ทว่านักพยากรณ์ของอาตมาคนนี้ ก็กล้าพยากรณ์เขียนมาอีก เขียนมาว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เห็นในประเทศไทย แต่ว่าประเทศไทยเราก็ถูกหางเลขขอรับ เพราะมันอยู่ในโลกเดียวกัน แต่ว่าประเทศที่เขาเห็นนั้นจะถูกหนักมาก อาจจะมีการรบราฆ่าฟันกันหนัก อาจจะถึงกับมีการล้มตายซึ่งกันและกัน แต่ไอ้ระเบิดนิวเคลียร์ปรมาณูน่ะ ไม่มีทางได้ใช้หรอก

มันก็เหมือนกับแก๊สพิษสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑ เยอรมันใช้แก๊สพิษ พอสงครามโลกครั้งที่ ๒ ต่างคนต่างก็มี แต่ก็ไม่ได้ใช้ ถึงระเบิดนิวเคลียร์ ระเบิดปรมาณูที่ว่าจะมีน่ะ ไม่มีหรอก มีน่ะ เขามี แต่ต่างคนต่างก็ไม่ได้ใช้ ก็เมื่อใช้แล้วต่างคนต่างตาย ใครจะไปใช้ล่ะ ไม่มีใครใช้ คนที่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อคนอื่นเขาไม่มี เราใช้ได้ฝ่ายเดียว อย่างอเมริกันใช้กับญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ อันนี้เป็นไปได้

ทีนี้ ดาวจันทรุปราคากับสุริยุปราคา ก็คงจะเป็นดาวที่ตัดกรรมกันเสียที ความยุ่งยากของโลกคงจะหมดกันไปก็ตอนนี้แหละ ก็ควรจะใช้เวลากันนิดหน่อย ต่างประเทศเขาจะใช้เวลากันเท่าไหร่มันเรื่องของเขา ตามที่พระพุธเจ้าตรัสว่า “ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน แล้วตายไปฝ่ายละครึ่งจึงจะเลิกรากัน ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก” ก็ตรงกับจันทรุปราคากับสุริยุปราคาที่เกิดในเดือนเดียวกัน ห่างกันแค่ ๑๐ วันเศษๆ

ตามกฎพยากรณ์ของโหราศาสตร์บอกว่า “ต่างประเทศจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันหนัก แต่ประเทศไทยจะแค่ถูกหางเลข ก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์” นี่เอาเรื่องกว้างๆ มาพูด เรื่องของเมืองไทยนี่ ท่านบอกไว้ ท่านบอกว่า ตั้งแต่ปี ๒๓ เป็นต้นไป คนตงฉินจะก้าวขึ้นสู่เวที ตอนนั้นคนตงฉินจะก้าวขึ้นสู่เวทีแล้ว ก้าวไม่ไหว กระหม่อมมันบาง ถูกกังฉินเขกเป๊าะเดียวหัวทะลุหมอบกระแตไป

ปี พ.ศ.๒๕๒๔ ตอนนี้พวกตงฉินเริ่มหัวแข็ง เขกเป๊าะ คนเขกเริ่มมือเจ็บน้อย แต่ว่าคนถูกเขกก็หมอบไปเหมือนกัน แต่หมอบไม่นาน ไม่ถึงสลบ เมื่อก่อนนี้สลบไปเลย ท่านก็พยากรณ์ต่อไปว่า ปี พ.ศ.๒๕๒๕ ตอนนี้พวกตงฉินสมองแกร่ง กังฉินที่มีอำนาจเขกปังลงไป เจ็บมือ สิ้นซ้นๆ ท่าทางจะชอบกลอยู่ ท่านบอกเป็นมวยยกสุดท้าย ปี ๒๔, ๒๕, ๒๖ เป็นมวยยกสุดท้าย ตงฉินกับกังฉินจะสังหารกัน

จะต้องรบราฆ่าฟันกันอย่างหนัก (คำว่ารบ ไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เลือดนะ “รบ” คือต่อสู้กันด้วยเหตุผล แต่ว่าใครอยากจะใช้เลือดก็ไม่เกี่ยว พระไม่เกี่ยว พระพูดให้ฟัง) พอปี พ.ศ.๒๕๒๖ ประมาณกลางปี ตอนนี้ตงฉินมีกำลังแก่กล้า มวยยกสุดท้ายจบกันตรงนี้ กังฉินหมอบกระแตแผ่หลา ตงฉินถูกจับมือชูว่าเป็นผู้ชนะ แต่ว่าการชนะกันคราวนี้ มันก็ชนะไม่เด็ดขาดนัก จะว่าเป็นชนะคะแนนก็เบาไป น้อคเอ๊าท์ก็สูงไป

ต้องเป็นเทคนิคเกิ้ลน้อคเอ๊าท์ หน้าตาแตก เลือดเข้าตา เขาจึงยอมแพ้ แต่ว่ากำลังเขายังพอมีอยู่บ้าง พอถึง พ.ศ.๒๕๒๗ การกวาดเล็กกวาดน้อยย่อมปรากฏขึ้น จะเกิดความราบรื่นกันตามสมควร ความยุ่งยากแบบนี้จะมีเหมือนกันแต่เหลือเพียงเศษ ทางด้านเศรษฐกิจจะก้าวขึ้นอย่างคาดไม่ถึง แล้วต่อไปถึงปี พ.ศ.๒๕๓๐ ตอนนี้จะเกิดปรากฏการณ์ว่า คนไทยทุกคนจะมีหน้าชื่นตาบาน รู้สึกว่าเศรษฐกิจของไทยลืมตาโพลง ลืมตาอ้าปากได้ดี

หลังจากนั้นไปอีกไม่เกิน ๑๐ ปี ความมั่งคั่งสมบูรณ์จะปรากฏมาก นอกจากน้ำมัน นอกจากแลที่มองเห็น ทรัพยากรต่างๆ ที่หมกตัวอยู่ อย่างทองคำเป็นต้น แร่ที่มีคุณค่ามหาศาลก็จะเริ่มปรากฏการณ์
แล้วประเทศไทยที่บอกว่า จะสลายตัวน่ะ ไม่ใช่ ประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐี และก็จะเป็นประเทศมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจ เพื่อบ้านใกล้เคียงจะห้อมล้อมเข้ามาเป็นมิตรสหายที่ดี นี่ชะตาของไทยน่ะ เป็นอย่างนี้ตะหาก ไม่ใช่ว่าชะตาของไทยจะสลายตัวปี พ.ศ.๒๕๒๕

ก็ดูกันก็แล้วกันนะ มันไม่กี่เดือนหรอก อีก ๑๓ เดือนเท่านั้นแหละก็จะรู้กันว่า คำพยากรณ์ของท่านผู้ใดเป็นยังไง แต่เวลานี้ มองดูเวลาเหลือ ๖ นาทีเศษๆ ก็อยากจะปรารภกับบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า พระรูปพระโฉมหรือพระรูปเปรียบขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ คือพระแก้วมรกต จัดว่าเป็นมิ่งขวัญของคนไทยมานานบูชาไว้ รูปที่ปลุกเสกที่ทำไว้ถ้าใครมีไว้ในบ้านละก็ จงอย่าเอาออกไปไหน ติดตัวไว้เสมอๆ จะเป็นมิ่งขวัญใหญ่

ขณะใดที่เรายังรักพระแก้วมรกต รักความดีของพระแก้วมรกต คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงซึ่งความตัดความชั่ว ทรงความดี ทำจิตให้ผ่องใส รับรองว่าคนไทยทั้งชาติจะต้องเป็นไท และเป็นคนไทยที่มีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป เอาละบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย การพูดนี่ไม่ได้ทะเลาะกับใคร มีความตั้งใจอยู่อย่างเดียวคือ ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจความเป็นจริง

ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงต้องการอยากจะทราบว่า ไทยเราน่ะจะสิ้นชาติมาหลายสิบวาระ แต่ว่าไม่สิ้นชาติ เพราะไทยมีบุญกุศล ถ้าต้องการอย่างนั้น ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชนจดหมายถามมา ถ้ามีเวลาก็จะพูดให้ฟัง สำหรับคราวนี้ก็หมดเวลาพอดี ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผลจงมีแก่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังทุกท่าน สวัสดี

จบ


ll กลับสู่สารบัญ


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top