Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 9/12/14 at 14:19 [ QUOTE ]

เรื่องเล่าหลังกลับจากบวช ที่วัดท่าซุง อุทัยธานี (โพสในเว็บอื่น)


เรื่องเล่าหลังกลับจากบวช (4 - 13 ธ.ค.) ณ วัดจันทาราม (ท่าซุง) จ.อุทัยธานี

(โพสต์ในเว็บ www.bloggang.com/viewdiary.php?id=beee&month=12-2007&date=13&group=2&gblog=14)

........กลับมาแล้วค่ะ เพื่อน ๆ ทุกคน ^_^ คิดถึงกันรึเปล่าเอ่ย หายไปตั้งครึ่งเดือนแน่ะ คราวนี้หายไปปฏิบัติธรรมมาค่ะ เอาบุญมาฝากเพื่อน ๆ ทุกคนเลยนะคะ แต่ไปคราวนี้ไม่ได้เอามือถือที่มีกล้องไป กลัวจะหาย เลยพกมือถือ 3215 ถูก ๆ ไปแทน ก็เลยไม่มีรูปมาฝากเพื่อน ๆ กันนะคะคราวนี้ แต่มาเล่าบรรยากาศให้ฟังแทน

เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้าวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ไปกับคุณน้าและพี่สาวใจดี ^_^ ไปบวชกัน 3 สาว 3 วัย เริ่มงานบวชจริงๆ วันที่ 4 ค่ะ แต่ไปก่อนไปจองห้องพัก ที่นอนกัน ไปวันแรกวุ่ยวายพอสมควรทีเดียว เพราะเป็นวันแรก พนักงานก็เป็นอาสาสมัครมาช่วยงานวัดยังงง ๆ ว่าต้องทำอะไรบ้าง ขลุกขลักนิดหน่อย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ

อ้อ ขอเกริ่นนิดนึงว่า งานนี้เป็นการบวชประจำปีของทางวัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี ค่ะ ซึ่งจะมีจัดให้มีบวชช่วงนี้ของทุกปี คือประมาณต้นเดือนธันวาคมเป็นเวลา 10 วัน มีทั้งบวชพระ, บวชเณร, บวชพราหมณ์หญิง และ พราหมณ์ชาย ถ้าบวชพระ และเณร จะต้องออกปักกลด อยู่ในป่า (แต่ก็เป็นที่ป่าภายในเขตวัดค่ะ วัดนี้มีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ -*- ป่าเพียบไปหมด)

ส่วนถ้าบวชพราหมณ์ชาย และพราหมณ์หญิงจะสามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ อยู่ป่า กับอยู่ตึก ถ้าอยู่ป่าก็ออกปักกลดเช่นกัน มีจัดสถานที่ไว้ให้ต้นไม้หนาทึบน่าอยู่มากกก จริง ๆ ฉันเล็งไว้ตั้งแต่รอบเดือนก่อนที่มาแล้ว ว่าป่ารกทึบ น่าอยู่มาก (โรคจิตมั๊ยนี่เรา) ท่าทางจะวิเวงดี ชอบง่ะ อิอิ ส่วนอีกแบบคืออยู่ตึก ก็จะมีตึกให้อยู่แบ่งเป็นของพราหมณ์ชาย กับพราหมณ์หญิงคนละตึกเหมือนกันค่ะ

ห้องนึงนอนรวมกันประมาณ 12-13 คน นอนเรียบกัน ภายใน 1 ห้อง มี 3 ห้องน้ำ แบ่งกันอาบได้สบายเลย จริง ๆ ฉันอยากอยู่ป่าตั้งแต่ต้น แต่เพิ่งเคยมาเป็นปีแรก ยังเด๋อ ๆ ด๋า ๆ ไปไหนไม่ถูก แถมไปรอบนี้มีการเดินหลงในวัดอีกต่างหาก เอิ๊ก เกือบหาทางกลับไม่ถูก พี่ ๆ ที่มาด้วย โทรตามหากันเป็นการใหญ่ น่าขายหน้ามั๊ยนี่เรา

แต่แหม ก็วัด 200 ไร่ อ่ะนะ มีจุดให้เดินเที่ยว เกือบ 30 จุด เดินเพลินหลงกันไปกลับห้องไม่ถูกเลย แห่ะ ๆ แล้วพี่ กับคุณน้าทั้งสองก็อายุไม่ใช่น้อยแล้ว คนนึง 50กว่า อีกคน 70กว่า ไม่สะดวกที่จะอยู่ป่าก็เลยชวนกันอยู่ห้อง ก็เลยตาม ๆ กันไปค่ะ ปีหน้าค่อยอยู่ป่าก็ได้ เชี่ยวชาญและ งิงิ

พอวันแรกไปถึงได้ที่พัก เบิกอุปกรณ์จากทางวัดเรียบร้อยแล้ว มีครบหมด ทั้งเสื่อ หมอน ผ้าห่ม แถมในห้องก็มีขัน ถังน้ำให้เสร็จสรรพครบถ้วน ก็เริ่มจัดการเดินทัวร์รอบวัด แต่ด้วยความใหญ่ของวัด เดินได้วันนึงแค่ที่เดียวหรือสองที่เท่านั้น กว่าจะครบทุกจุด ก็หลายวันอยู่ ^_^ เดินทัวร์ไหว้พระรอบวัดกันเป็นที่สนุกสนานมาก

แปลกนะคะ ว่าชีวิตเรียบง่าย สงบ แบบนี้กลับทำให้ชีวิตมีความสุขจังเลย แต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว มีเวลาว่างก็นั่งฟังเสียงธรรมะจากหลวงพ่อ ที่มีเสียงตามสายมาตลอดทั้งวัน วันละ 5 เวลา เป็นปกติแล้ว ก็นั่งอ่านหนังสือธรรมะบ้าง นั่งคุยเล่าสารทุกข์สุกดิบระหว่างกันบ้าง คุยเรื่องธรรมะกันบ้าง แล้วการอยู่รวมกันในห้อง 10 กว่าคน ก็เหมือนไปเข้าค่ายเจอเพื่อนใหม่เลยค่ะ

พออยู่ ๆ ไปเริ่มสนิทกันก็เม้าท์แตก (แต่ก็ให้คุยกันแบบให้อยู่ในกรรมบท 10 ที่ต้องถือศีลอยู่ค่ะ) ได้เบอร์เพื่อนใหม่กลับมาหลายคนทีเดียว เป็นรุ่นน้องกว่าบ้าง โตกว่าบ้าง (แหม คิดว่าเราจะได้สถิติเด็กที่สุดในห้องแล้วเชียว สุดท้ายมีน้องอายุ 25 มาอีกคน เลยไม่ได้เป็นแชมป์เลย แห่ะ ๆ ได้แค่รองแชมป์ ) แถมได้บุญล้นเหลือ สุขกาย สุขใจทุกวันไปตาม ๆ กันค่ะ

ทุกคนที่มาปฏิบัติธรรมที่นี่เท่าที่คุยมาล้วนแต่มีงานการดี ๆ ทำ แต่ด้วยจิตใจใฝ่ธรรมะ และความรักในศาสนา ความศรัทธา พอรู้ว่าวัดมีงานเป็นประจำทุกปีก็มากันมากมาย ปีนี้เกือบ 3,000 คนเลยทีเดียว เป็นพราหมณ์หญิง 2,000 กว่าคน พราหมณ์ชาย 400 กว่าคน (เอ่อ -_-!! ทำไมผู้ชายเข้าวัดกันน้อยจังคะ)

พระบวชใหม่ 167 รูป แล้วก็มีพระที่มาจากวัดอื่นมาร่วมปฏิบัติธุดงค์ในงานนี้ด้วยอีกจำนวนหนึ่ง (มีพระรูปนึงชรามากแล้วแต่ท่านก็เดินทางจากกรุงเทพฯ มาร่วมปฏิบัติธุดงค์ด้วยทุกปี) รวมกับพระที่ประจำที่วัดด้วย ทั้งหมดแล้วก็ 400 กว่ารูปได้

กิจวัตรประจำวันเมื่ออยู่วัดก็เริ่มตั้งแต่ตี 4 ค่ะ (โอ้ว ปรกติ อยู่บ้านยังไม่นอนเลยนะนี่เวลานี้) จะมีเสียงตามสายจากหลวงพ่อมาแล้วเป็นการปลุกให้ตื่น กระหึ่มมาก แม้แต่ในป่าก็ยังดังกึกก้อง พอได้ยินก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งพนมมือสวดมนต์กันหมด เสร็จแล้วก็ลุกไปอาบน้ำอาบท่ากันแล้วรีบลงไปจองที่ใส่บาตร ไม่งั้นจะหาที่ยืนใส่บาตรไม่ได้ แล้วก็เดินหาซื้อกับข้าวกับปลาของคาวหวานใส่บาตรกัน

ก็มีคนมาตั้งของขายในราคาถูกมั่ก ๆ ข้าวขันนึง 5 บาท - 10 บาท (กรุงเทพฯ ได้แค่ถุงนิดเดียวเองอ่ะราคานี้) กับข้าวของคาวหวานก็อย่างละ 5-10 บาท เหมือนกัน (กรุงเทพฯ ถุงนึงก็ 20-30 ทั้งนั้นเลยอ่ะ) ปริมาณก็เท่ากรุงเทพฯ แถมรสชาดก็ดีทีเดียว (ร้านค้าที่มาขายทั้งหมด รายได้ก็บริจาคให้วัดค่ะ ได้บุญหลายต่อทั้งคนซื้อคนขาย) พอซื้อของใส่บาตรกันเป็นที่เรียบร้อยก็มาวางจองไว้ก่อน

แล้วไปนั่งทำสมาธิวิปัสสนาที่ลานธรรมตอนตี 5 อีกประมาณหนึ่งชั่วโมง พอ 6 โมงก็มาเตรียมรอใส่บาตร พระจะแบ่งเป็น 4 แถวมาเดินรับบิณฑบาต แถวละ 100 กว่ารูป การใส่บาตรทุกวันนี่เป็นอะไรที่สนุกสนานมากค่ะ ไม่มาใส่เองไม่รู้นะเนี่ยะ ^_^ เพราะเราต้องมีการวางแผน จัดสรรของที่จะใส่ว่าจะทำยังไงให้ใส่ได้ครบทั้ง 100 กว่ารูปให้ได้ด้วยของที่ซื้อมา อิอิ

ได้ฝึกใช้สมองไปในตัว แถมได้บุญกันไปล้นหลามทุกเช้า กว่าจะครบถึงวันสึกออกมาก็ได้ใส่บาตรครบทุกแถว วนแถวละ 2 รอบพอดีเลยค่ะ ใส่บาตรไปก็อุทิศให้ไปเรื่อย ๆ ใส่บาตรให้เพื่อน ๆ ใน bloggang และเพื่อน ๆ ใน webboard bigbrother, webboard ปุ๋ย ทุกคนด้วยค่ะ ^_^

พอใส่บาตรเสร็จก็ต้องรีบเก็บข้าวเก็บของเดินทางไปศาลา 25 ไร่เพื่อทำวัตรเช้า (ถ้าเสร็จจากใส่บาตรเร็วก็ไปช่วยเขาแยกอาหารถวายพระได้ เป็นอะไรที่วุ่นวายชุลมุนมาก แยกแล้ววางเป็นแถวให้ได้ 6 แถว) เสร็จประมาณ 8 โมง แล้วพระก็ตั้งแถวไปตักอาหารใส่บาตร (ถือศีลธุดงค์จะฉันอาหารแค่วันละ 1 มื้อเท่านั้น) พอหลังจากพระ และเณร แล้วท่านก็จะให้ศีลให้พร

แล้วจากนั้นก็ต่อด้วยพราหมณ์ชาย พราหมณ์หญิงทั้งหมดค่ะ ต่อแถวกันไปตักกินกันต่อ คิดแล้วเหมือนว่า เราทำบุญใส่บาตรให้ตัวเองกินเลยนะนี่ >_< แบบนี้เขาเรียกว่าบุญทันตาเห็นจิง ๆ ค่ะ ไม่ต้องรอตายแล้วถึงจะได้กิน ใส่ปุ๊บก็ได้กินกันเลยเชียว (แต่ปรกติบีก็ชอบเลือกหาของที่ตัวเองชอบกินไปใส่บาตรอยู่แล้ว มาคราวนี้เลยได้กินของที่ชอบทุกวันเลย โดยเฉพาะไข่พะโล้ อิอิ )

ก็ตักกินกันจนอิ่มทีเดียว หลังจากนี้ก็มีช่วงเวลาว่างพักผ่อนกันตามอัธยาศัยจนถึงเที่ยง ใครจะไปอาบน้ำ ซักผ้า หรือจะไปเดินเที่ยวสักการะพระตามจุดต่าง ๆ ในวัดก็ได้ บางวันบีก็ขึ้นมานั่งซักผ้า ตากผ้าให้เรียบร้อยบ้างถ้าเห็นว่าหลายวันแล้ว บางวันก็ชักชวนกันไปไหว้พระที่นั่นที่นี่ กว่าจะเดินถึงแต่ละที่ก็เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว

เพราะใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 10-20 นาทีต่อที่ ก็มีรถสามล้อจากชาวบ้านแถวนั้นมาจัดบริการพาเที่ยวชมรอบวัด คนละ 3 บาท ก็นั่งไปลงกันตามจุดต่าง ๆ ก็ได้ หรือใครอยากจะเดินก็ได้ตามอัธยาศัย ฉันก็ไปมาทุกรูปแบบทั้งเดินบ้าง นั่งรถบ้าง เดินหลงบ้าง >_< แห่ะ ๆ

มีเรื่องเป๋อ ๆ มาเล่าอีกแว มีอยู่ครั้งนึง วันนั้นก่อนวันบวชเพิ่งไปถึงวัน-สองวันแรกก็ไปนั่งทำวัตรเย็นกันที่วิหารแก้ว 100 เมตร ออกมาก็มืดแล้วประมาณทุ่มกว่า ๆ แล้วพลัดหลงกับพี่ที่มาด้วยกันค่ะ อ้าว ฉันก็เคว้งเลย กลับทางไหนหว่า ซ้าย หรือขวาล่ะนี่ คนก็ใส่ชุดขาวเต็มไปหมดหากันไม่เจอ ยืนรอแล้วรอเล่าก็ไม่เจอ จนคนกลับกันหมดหมด แง่ะ >_<

ก็เลยตัดสินใจ เดินกลับที่พักคนเดียวก็ได้ ที่พักก็อยู่ในเขตวัดนี่นา เดินไปเดี๋ยวก็ต้องเจอ จริง ๆ ต้องเดินเลี้ยวซ้ายจะเข้าไปแถวเขตที่พัก แต่ฉันกลับเดินเป๋อเลี้ยวขวาไปทางร้านสวัสดิการที่มีขายของ เลยไป ก็เดินไป มืดก็มืด หมาแถวนั้นก็เยอะแยะมากมาย ร้องเห่าไล่กันทั้งฝูง (ฉันทำผิดอะไรเนี่ยะ มาเห่าทำมัย -_-!!) กลัวก็กลัว แต่ทำใจดีสู้ ทำเป็นเดินไปเรื่อย ๆ ในใจก็เริ่มสวดมนต์เผื่อจะไล่หมาได้บ้าง

แต่เจ้าพวกหมาก็เดินเห่าตามตลอดทาง จนในที่สุดฉันก็เข้าใจ เพราะเดินไปด้านขวาซักพัก ก็ไปออกถนนใหญ่ อ้าว ออกนอกเขตวัดแล้วนี่หว่า แปลว่าผิดทาง ที่แท้ เจ้าหมาพวกนี้มันก็เห่าบอกฉันว่า ฉันเดินผิดทางแล้วนี่เอง +_+ อายน้องหมาจัง หมามันยังจำทางเก่งกว่าฉันอีกนะเนี่ยะ แห่ะ ๆ พอขากลับเดินผ่านหมากลุ่มเดิม มันก็นั่งกันเฉย (พวกแกหัวเราะเยาะฉันใจในสิเนี่ยะ ว่าโง่จัง เดินผิดทาง >_<)

และแล้วก็ใช้เวลาเดินประมาณ 10-20 นาทีถึงที่พักด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ดีที่มีพระ 3 รูป จะเดินกลับที่พักทางเดียวกันพอดี ก็ถามโยมจะไปไหน บีก็เลยว่า 25 ไร่ไปทางไหนคะ >_< หนูหลงทางกับเพื่อน พระก็ตอบว่าทางโน่นโยม พวกอาตมาก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน ฉันก็เลยใจชื้นหน่อย มีพระเดินกลับด้วย ไม่ได้เดินกลับมืด ๆ คนเดียว เฮ้ออ ฉันก็เดินตามพระ 3 รูปนั้นกลับไป

แต่เดินตามแบบห่าง ๆ ซักเมตรนึง พอถึงที่พักพระท่านก็ชี้บอกว่า โยม 25 ไร่อยู่ที่นั้น เฮ้ออ ถึงซักที พอขึ้นไปถึงห้อง พี่ ๆ เขาก็กำลังเป็นห่วง กำลังจะออกไปตามหากันพอดี เพราะโทรหาฉัน 3 รอบแล้วไม่รับ ยิ่งกะเปิ๊บกะป๊าบอยู่ (แง่ะ ก็มาวัดก็เลยปิดเสียงไว้ เลยไม่ได้ยินเสียง) ฉันก็เลยเล่าเรื่องหมาให้ฟัง ฮากันใหญ่เลยค่ะ เป็นที่สนุกสนานกันไป จากนั้นมา ฉันก็ไม่หลงวัดอีกเลย อิอิ เพราะเดินหลงมารอบแล้ว แห่ะ ๆ :D

พอช่วงเที่ยงก็จะมีฝึกวิปัสสากรรมฐาน ที่เรียกว่า "มโนมยิทธิ" แบบครึ่งกำลัง เป็นการฝึกแบบอภิญญาฌานอย่างหนึ่งค่ะ ฝึกจนถึงบ่ายสองโมงก็ให้พักผ่อนตามอัธยาศัย บางคนก็นอนพักผ่อนบ้าง บ้างก็นั่งอ่านหนังสือธรรมะกัน นั่งคุยกันไปบ้าง

ฉันว่าง ๆ ก็ชวนเพื่อน ๆ ไปเดินไหว้พระที่นั่นที่นี่ตามเรื่องตามราว กว่าจะไหว้ครบหมด ใช่เวลาจนถึงวันกลับเลยทีเดียว พอช่วงเย็น 5 โมงครึ่งก็เป็นเวลาทำวัตรเช้า และสนทนาธรรมกันจนถึงประมาณ 2 ทุ่มกว่า ๆ ก็ขึ้นห้องนอนพักผ่อน เพื่อจะตื่นเช้ากันตอนตี 4 ในวันถัดไป

ไปวันแรกนอนไม่ค่อยหลับค่ะ ยังงง ๆ ว่าทำไมนอนเร็วกันจัง ปรกติ 2 ทุ่มยังนั่งอยู่ทำงาน ยังไม่ได้กลับบ้านอยู่เลย แห่ะ ๆ วันแรก ๆ ไปอากาศเย็นอยู่เหมือนกัน น้ำก็เย็นจัดมาก จะอาบทีต้องยืนทำใจกันก่อน ราดน้ำไปก็บรื๊อออ ไป หนาว แต่พอหลายวันเข้าผิวก็เริ่มชิน

กิจวัตรประจำวันทั้งหมดก็เท่านี่แหล่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย คอมฯ ไม่มีใช้ เน็ตไม่มีเล่น ไม่มีเพลงฟังอย่างปรกติทุกวัน แต่กลับเป็นชีวิตที่สุขสบายอยางไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลย ทั้งวันก็ไม่เบื่อ นั่งอ่านหนังสือไป ฟังเทศน์ไปบ้าง เดินเที่ยวชมตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้างไปตามเรื่อง ก็มีความสุขดี ^_^ ได้อะไรกลับมาเยอะแยะเลยค่ะ

การไปครั้งนี้ทำให้ฉันได้รู้ว่า ฉันนี่อ่อนด้านความรู้ด้านพุทธศาสนามากเลยนะเนี่ยะ ไม่รู้อะไรกับเขาเล้ยยย อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 คืออะไรบ้าง นิวรณ์ 5 ขันธ์ 5 และศัพท์อะไรแปลก ๆ เยอะแยะมากมาย โอ๊ย ฟังไปงงไป แต่อยู่ ๆ ไปก็ศึกษาไปเรื่อย ๆ เริ่มพอเข้าหัวมาบ้างนิดหน่อย แห่ะ ๆ (จริง ๆ ก็เคยเรียนมาบ้างสมัยประถม มัธยมต้น แต่ก็เกือบ 10-20 ปีแล้ว คืนคุณครูไปหมดแล้วค่ะ >_<)

มาที่นี่ก็ได้รู้ว่าพระพุทธเจ้ามีมาแล้วหลายพระองค์ ไม่ได้มีองค์เดียว (เพิ่งรู้นะเนี่ยะ) แล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าต่างกับพระพุทธเจ้ายังไง แล้วขั้นของการเข้าถึงธรรมมะชั้นต่าง ๆ ตั้งแต่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็เพิ่งมาเข้าใจเอาแถวนี้ ไปบวชครั้งก่อนที่วัดสังฆทานก็ยังงง ๆ อยู่

เวลาฟังเทศน์ว่าคืออะไรหว่า หรือสวรรค์มีกี่ชั้น พรหมโลก นรกมีกี่ชั้น หรือแม้แต่ประวัติของพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกันเรียน ๆ ลืม ๆ ไม่รู้จักว่า เทวทัต เป็นใคร (แหม ก็พออ่านมาบ้าง แต่ชื่อคนทั้งหลายมันเยอะ ก็จำได้บ้าง ลืมบ้าง จำได้แต่องคุลีมาลอ่ะ)

อืม... ยังต้องศึกษาอีกมากเลยนะนี่ >_< แต่ก็เป็นความรู้ใหม่ที่สนุกดีค่ะ ต้องขอบคุณพี่ ๆ ทั้งหลายที่คอยสั่งสอน อธิบายคำที่ฉันไม่เข้าใจต่าง ๆ ไว้ด้วย เพราะฉันนั่งถามไปซะทุกอย่างเลย ทุกคำที่ไม่รู้เลยเชียว แห่ะ ๆ หลักคำสอนทุกอย่างตั้งอยู่บนความเป็นจริงที่ว่า "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" คือความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความเสื่อมสลาย ไปนั่นเอง

อ้อ มีงานพิเศษอยู่วันนึงคือวันที่ 5 ธันวาคม มีการเปิดภาพพระราชกรณียกิจของในหลวงให้ชมและเรื่องเล่าบางส่วนของท่าน เรื่อง "กษัตริย์ยอดกตัญญู" ฟังแล้วแอบซึ้งน้ำตาไหลไปตาม ๆ กัน แล้วก็มีร้องเพลงเทิดพระเกียรติ

พร้อมทั้งจุดเทียนชัยถวายพระพร และปิดท้ายด้วยการร่วมกันนั่งสมาธิถวายเป็นพระราชกุศลด้วยค่ะ วันนั้นก็เลยเลิกดึกกว่าปรกติไปซักหน่อยประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ แต่แถวนี้ไม่ได้การจุดพลุอะไรให้ดูเหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ นะคะ ใช้หลักความสงบแทนเพราะอยู่ในเขตวัด

การไปวัดคราวนี้ได้เรียนรู้อะไรมาเยอะเลยค่ะ ตั้งแต่การฝึกอาบน้ำตอนตี 4 *-* การฝึกทำอะไรให้เร็ว ๆ กับเขาบ้าง ตั้งแต่เดิน ก็ไม่เคยทันชาวบ้าน ขนาดพี่ที่ตั้งท้องอ่อน ๆ ยังเดินเร็วกว่าฉันซะอีก >_< กินก็ช้าตลอด แห่ะ ๆ (ก็แหม อยู่บ้านกินข้าวมื้อนึงล่อไป 2-3 ชม. อ่ะ) ไปนั่งกินข้าวนอกบ้านก็เป็นชั่วโมงเป็นปรกติ อยู่ที่นี่ต้องทำเวลา รีบกินให้เสร็จภายในครึ่งชั่วโมงนี่ถือว่าเร็ว ๆ มาก ๆ

สำหรับฉันเลยเพราะพี่คนอื่นเขากินกันเสร็จภายใน 10-20 นาที โห ! ทำได้ไงเนี่ยะ เป็นอะไรที่กดดันมาก แบบว่า ฉันกินยังไม่ถึงครึ่งจาน เขากินหมดกันแล้ว โอโห รวดเร็วอะไรกันปานนั้น เพิ่งรู้ว่าการรีบกินมันเหนื่อยแบบนี้นี่เอง >_< ส่วนใหญ่ที่ฉันมีเพื่อนผู้ชายก็กินเร็วกันเป็นปรกติอยู่แล้วไม่แปลก แต่ไม่เคยได้เจอผู้หญิงที่กินเร็ว ๆ กันแบบนี้นี่สิ ก็เลยแปลกใจ

ส่วนเรื่องอาหารก็ต้องโทษตัวเองอีกเพราะเรื่องมากกินอะไรก็ไม่ค่อยจะได้กับเขา ผักก็ไม่กิน แกงเผ็ด ๆ ก็ไม่กิน พวกข้าวแกงสีแดง เหลือง เขียวทั้งหลาย กินไม่เป็นกับเขาเลยซักกะอย่าง สรุปทุกมื้อก็จะหนักไปทางตักกินแต่ไข่ สารพัดไข่ ตั้งแต่ไข่พะโล้ของโปรดนี้เป็นหลักทุกมื้อ แถมยังมี ไข่ดาวแฝด (ทำไมต้องทำใส่บาตรแบบทอดแฝดมาด้วยง่ะ จะกินลูกเดียวก็ไม่ได้)

ไข่เค็ม ฉันมื้อเดียวแต่ล่อไข่ไป 3-4 ลูกใน 1 จาน โด๊ปซะ ไม่รู้ว่ากินมื้อเดียวจะช่วยลดหรือเพิ่มน้ำหนักกันแน่เลย อิอิ จานข้าวฉันก็จะมีแต่สารพัดไข่ทุกมื้อ วันไหนที่มีอาหารเป็นหมูทอด หมูกระเทียม หรือไก่ทอด ฉันจะดีใจมาก ที่ได้กินเนื้อสัตว์กับเขาบ้าง เพราะส่วนมากก็เป็นแกง ๆ ทั้งนั้น สารพัดสี แดง เขียว เหลือง ฉันก็ไม่กินซักแกง แห่ะ ๆ

ผลไม้ก็มีสารพัด แต่ฉันก็กินแค่บางชนิดอีก พวกรสเปรี้ยวอย่างส้มนี่ไม่กิน ซึ่งมีเยอะแยะ เลือกกินแต่ผลไม้รสหวานอย่าง แอปเปิ้ล สาลี่ ละมุด แตงโม (เรื่องมากมั๊ยนี่) นี่ขนาดกับข้าวเป็นร้อยอย่าง ฉันยังกินได้แค่ไม่กี่อย่างเอง เฮ้ออ ไปเมืองนอกจะอดตายมั๊ยเนี่ยะ -_-!! อ้อ ไม่หรอก เพราะฉันชอบกินพวกขนมปังทั้งหลาย แล้วก็ครัวซองแฮม ชีส นี่นา งิงิ (แต่ต้องไม่ใส่ซอสต่าง ๆ เลยนะ)

แล้วที่ได้ฝึกอีกอย่างก็คือ การซักผ้าเอง แห่ะ ๆ ไม่เคยได้ซักผ้าเองมาก่อนเลยในชีวิต นอกจากชุดชั้นในตัวเองที่ต้องซักทุกวันแล้วเนี่ยะ เพราะอยู่บ้านก็มีคนใช้ทำให้ตลอด ตอนอยู่หอก็ยังไปจ้างเขาซักรีด อยู่นี่ซักเองค่ะ

เพิ่งรู้ว่าไอ้การซักผ้า ขนาดแค่ 2-3 ชิ้นต่อวันนี่มันยังเหนื่อยได้ขนาดนี้ (จริง ๆ ก็เหมือนเอาผ้าไปจุ่ม ๆ น้ำ แช่แฟบแค่นั้นแหล่ะ แล้วก็ล้างน้ำเปล่าอีก 2 น้ำ ก็ซักไม่เปงง่ะ) และการบิดผ้านี่ต้องใช้พลังงานมาก ๆ เลยนะนี่ พอบิดเสร็จเล่นเอาหมดแรงไปเลยทีเดียว แห่ะ ๆ

แล้วก็ไม่สะอาดอีกต่างหาก ซักแล้วไอ้รอยเปื้อนตรงไหนก็อยู่ครบ เง้อ (เขาขยี้ผ้ากันยังไง ให้ไอ้รอยพวกนี้หายไปอ่ะ *-*) แต่ก็พอจะใส่ได้อยู่บ้างตามอัตภาพ แห่ะ ๆ

รวม ๆ แล้วสุขกาย สบายใจค่ะ ^_^ มีติดขัดเล็กน้อยก็เพราะตัวเองเท่านั้นเอง แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

เพิ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวานนี้ตอนเย็น ๆ สองวันสุดท้ายก่อนกลับนี่ก็ต้องมีการพาเดินทัวร์รอบวัด เพื่อไปขอขมาสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายค่ะ ทั้งหมด 27 จุด ก็เลยแบ่งเดินสองวัน เดินคืนก่อนสึก 1 วันก่อน เลยได้เห็นบรรยากาศการประดับโคมไฟของที่พักพราหมณ์หญิงที่อยู่ป่า มีโคมไฟประดับตลอดทาง สวยงามดูโรแมนติคดีทีเดียวเลย

แต่จริง ๆ พระท่านบอกว่าที่ติดโคมไฟเพราะตรงนั้นมีสระน้ำใหญ่ ถ้าไม่ติดโคมไฟรอบสระ เดี๋ยวพวกโยมจะเดินตกน้ำกันหมด ฮา.... เป็นงั้นไป แล้วก็ได้เห็นคนจุดเทียนมากมายไว้เป็นระยะ ไหว้พระตอนขอขมาแล้วก็ได้บรรยากาศสวยโรแมนติคไปอีกแบบนึงดีค่ะ องค์พระก็มีเปิดโคมไฟระย้าที่ปรกติตอนกลางวันไม่ได้เห็นได้เปิดด้วย

แล้ววันสึกก็เดินที่เหลือ บนเนื้อที่วัดกว่า 200 ไร่ เดินกันขาลากทีเดียวกว่าจะครบ เจ้าอาวาสบอกว่า เดี๋ยวนี้แบ่งสองวันดีขึ้น ปีก่อน ๆ เดินกันวันเดียว วันสึก สึกเช้า กว่าจะเดินขอขมาครบหมดก็เย็นพอดี -_-!! เดี๋ยวนี้ก็เลยแบ่งเป็นสองวันเลยสบายขึ้นหน่อย

วันสุดท้ายเก็บข้าวเก็บของกลับ รู้สึกว่า 13 วันที่มาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันที่ 1 ผ่านไปเร็วจังเลยน้า ยังไม่อยากจะกลับเลยสิ สบายกาย สบายใจดีจังเลย แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง สู้กับชีวิตกันต่อ เดี๋ยวคืนนี้ไปอยู่เวรเฝ้า office ทั้งคืนชดเชยที่หายไปนาน งิงิ

กลับมาได้โทรไปบอกบุญ ทักทายพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่สนิทบอกบุญ อิ่มบุญกันไปถ้วนหน้า ส่วนเพื่อน ๆ ได้เจอใน MSN ก็ได้รับแจกบุญให้ไปตาม ๆ กัน

โอ๊ย...วันนี้เล่าซะยาวเลย ไม่รู้จะมีใครอ่านมาถึงบรรทัดนี้บ้างมั๊ยเนี่ยะ

ขอให้เพื่อน ๆ ที่เข้ามาอ่านทุกคนได้รับผลบุญกันไปถ้วนหน้าตามที่บีได้รับมากันเลยนะคะ ^_^ มีความสุข มีโชค มีลาภ การงานเจริญก้าวหน้ากันทุกคนเลยนะคะ ใครมีทุกข์ก็ขอให้หมดทุกข์หมดโศกนะคะ

ส่งกำลังใจให้กันเหมือนเดิมค่ะ ^_^

ิbeee-bu


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top