Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 22/12/16 at 10:18 [ QUOTE ]

ปีที่ 44 หลวงพ่อพระราชพรหมยาน กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต


สารบัญ (คลิกที่รายการ)

[01]
ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า..หญิงขอลาไปนิพพาน
[02] หลวงพ่อเล่าเรื่อง ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต
[03] พระประวัติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต
[04] ท่านหญิงวิภาวดี โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร
[05] บางส่วนจากหนังสือ "วิภาวดีรำลึก"
[06] เรื่องของคุณอ๋อย (โดย ป่อง โกษา)
[07] บุคคลตัวอย่างคือ.. ท่านหญิงฯ โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
[08] ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ณ พระธาตุจอมกิตติ โดย พระชัยวัฒน์ อชิโต




พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า..หญิงขอลาไปนิพพาน

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน




[01]


“...เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนทางภาคใต้กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมานอนพักที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่าเมื่อคืนที่แล้วก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษ ที่คลองปาง มีเรื่องตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิง วันนี้ก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษอีก ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอะไรอีก

พอตื่นขึ้นมาแล้วก็นอนไม่หลับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำสมณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาประมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย

ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนา ท่านเรียกว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า

“วิภาวดี..เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก..!”

คำว่า “เสร็จกิจ” ก็หมายถึง “กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล้วที่จะต้องทำ”

เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์ พูดกันตามทัศนะถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อเสียงหมดไปภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับเพราะไม่อยากจะหลับ ก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป

ปรากฏว่าเวลา ๔ นาฬิกามีภาพประหลาดเกิดขึ้น เป็นภาพดวงไฟเล็กดวงนิดเดียวมีความร้ายแรงมากร้อนจัด และมีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟแต่ไม่ไหม้ แล้วภาพไฟก็หายไป

เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเกิดกับเราแล้ว และก็เป็นเหตุร้ายที่เราแก้ไขไม่ได้เพราะภาพไฟที่ปรากฏร้ายแรงมาก พยายามดับเท่าไรก็ไม่ดับ ความร้ายแรงของไฟไม่สลายตัวและก็ไม่ย่อหย่อนลงไป

ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น "อุพเพงคาปีติ" สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปัสสนาญาณ

เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ "สมถภาวนา" ด้านสมาธิจิตซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปัสสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต

จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ตรัสเป็นปกติว่า “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ความหมายของท่านก็คือ “พระนิพพาน” ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ “ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข” ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก

การเจริญพระกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา “ต้องการพระนิพพาน” ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า “ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน”

แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ

รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมนต์ที่พักของท่านหญิงวิภาวดี ก่อนขึ้นฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคียนซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่ไปเมื่อวันวาน และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไปกับ ฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำรวจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร

แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้องลงเช่นเดียวกัน ขอให้ ฮ. ไปรับโดยเฉพาะแล้วนำตำรวจบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับมารับพวกเราประมาณเที่ยง หลังจากฉันเพลที่กองร้อย ๓ ตชด.แล้ว พวกเราจะไปเคียนซากับพระแสง ไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า

“วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อวานนี้เราสู้เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้งของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอาวุธ เราก็กล้าลง แต่วันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นวันเปิดเราสู้เขาไม่ได้”

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า คนเราที่บอกว่าเก่ง หนังเหนียว เนื้อเหนียว กระดูกเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้าก็ตาม ทั้งๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตายได้ถ้าเป็นวันเปิด เป็นอันว่าถ้าวันเปิดประสบกับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็ทราบว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ดี ที่เคียนซาหรือที่พระแสงก็ดี อาตมาเองก็จะถูกยิงที่ขาต่ำกว่าเข่า ไม่ถูกกระดูกแต่ถูกเนื้อตรงน่อง


แต่ก็ตั้งใจว่าเมื่อพูดว่าจะไปแล้วก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ซีซี ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกาย เพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่มีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเลือดเพราะรู้แล้วว่าถ้าไปก็เสียเลือดตัวเอง จะคุ้มครองไม่ได้

สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมาก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัดว่าอย่างไรก็ตาม “วันนี้ท่านหญิงวิภาวดี จะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ”

ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า “ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน” การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไร

ฉะนั้น “การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ” อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อน ถ้าพระองค์ตรัสว่า
“เอหิภิกขุ” แปลว่า “เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด”

ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเธอจะบวช ขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้วตถาคตจะบวชให้”

แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้าทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทุกที จะนิพพานโดยลักษณะนั้น สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตาย ท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์ จะต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำให้ตาย

เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่มีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง เมื่ออาตมาทราบอย่างนี้ก็เลยเตือนท่านว่า “ท่านหญิง วันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไงๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร้อย ๓” ท่านก็ตกลง

เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหมด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่าท่านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดูถาม พระครูบาธรรมชัย ที่ไปด้วยกันว่า “หลวงปู่..ท่านหญิงไม่ลงรึ” เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า “ท่านหญิงเขียนจดหมายใส่ย่ามมาให้” ขณะกำลังอ่านอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้งว่า “หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง” พอเขาบอกเท่านั้นก็บอกเขาไปว่า “เราเสียท่าเขาแล้ว”

ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์มารับอาตมาไปที่เครื่องบินลงที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินถูกยิง ๙๘ รู แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของ ผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิงวิภาวดี เมื่อรู้ว่า ฮ.ถูกยิงทุกคนก็เข้าล้อมท่านหญิงหมด แต่จุดที่คนล้อมกระสุนไม่เข้าแต่ไปเข้าจุดว่าง

เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิงนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระ “ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่าน” เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ จึงถามว่า “ท่านหญิงปวดไหม” ท่านก็ตรัสว่า “ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ”

แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า

“....โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน” แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า “หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน”

แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า “นิพพาน..นิพพาน..นิพพาน” นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า “โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านสิ้นลมปราณ

การที่นำเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า อาตมาทราบได้อย่างไรว่าท่านหญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้อย่างไรนี้ตอบไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัยการเปล่งวาจาของท่านเป็นเหตุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกับคนนอนหลับแบบสบายๆ

แต่พอไปถามเข้าว่า “เจ็บไหม” ท่านก็บอกว่า “เจ็บมากและก็มีหายใจขัดๆ” เวลาพูดเสียงก็ปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่งวาจาว่า “ขอไปนิพพาน” โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่า “สว่างแล้ว สว่างแล้ว” เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเหมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่นเริง หน้าตาสดชื่น พระสุรเสียงดังชัดมากแสดงอาการดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันจึงรู้ว่า เวลาท่านดีใจท่านมีเสียงแบบไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด

เมื่อท่านบอกว่า ท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปพระนิพพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน และก็มีคนถามว่า

“ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน”

อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม

พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า “มันเรื่องอะไร” ก็ทราบว่า “กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง” ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม

ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้..”

[02]

(หลวงพ่อเล่าเรื่อง ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต)






หลวงพ่อสนทนาธรรมกับในหลวง รัชกาลที่ ๙

...ท่านบอกว่า “ลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งหมด ผมวินิจฉัยแล้ว เข้าใจว่าเป็นคนที่มีศรัทธาจริตเป็นส่วนใหญ่ เห็นจะเป็นทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านหญิงวิภาวดี นี่ มีศรัทธาจริตอย่างแรงกล้า”

ทั้งนี้ก็เลยถวายพระพร บอกว่า “คนที่มีศรัทธาจริตแรงกล้านี่ หรือหนักไปในศรัทธาจริตนี่ เขาได้กำไร”
ท่านถามว่า “ได้กำไรยังไง”

บอก “ตัวนี้บรรลุง่าย เพราะว่าสอนแล้วก็จำ แล้วก็เชื่อ แต่ว่าผลก็มีอยู่ว่า แต่ต้องคนนำไปในทางที่ถูก ถ้านำไปในทางที่ผิด กลุ่มคนประเภทนี้ก็เลยหลงไปเลย..พัง..! สำหรับท่านหญิงวิภาวดี อาตมาว่าไม่ใช่ศรัทธาจริตอย่างเดียว เพราะเป็นพุทธจริตด้วย”

ท่านบอกว่า “ใช่...ใช่...!”

เลยบอกท่านว่า “อย่างนี้เขาเรียกจริตบวก คือมีกำลังกล้า จริตความจริงมันมีด้วยกัน ๖ อย่าง และว่าท่านหญิงวิภาวดีมีทั้งศรัทธาจริตและก็พุทธจริต และพุทธจริตนี่เป็นคนฉลาด ศรัทธาจริตที่มีขึ้นก็เป็นคนไม่ใช่คนหัวดื้อ ลักษณะคนหัวดื้อนี่มันเป็นพวกโมหะจริตกับวิตกจริต คนพวกนี้เอาดีไม่ได้ ให้สอนจนตายก็เอาดีไม่ได้ เพราะเป็น "ปทปรมะ"

บวชอยู่สักกี่พันพรรษาก็ตาม ตายแล้วก็มีหวังลงอเวจี เพราะว่ามีสันดานหยาบไม่รับคำสอน
นักปฏิบัติก็เหมือนกัน ฆราวาสก็เหมือนกัน ถ้าเป็นโมหะจริตกับวิตกจริต อันนี้ไม่มีทางได้ดี เพราะพวกนี้มีสันดานหยาบ มักจะไม่รู้จักความเลวของตัว คอยจะไปมองดูคนอื่นแต่ตัวไม่ดู นี่เขาเรียกโมหะจริต ไอ้โมหะมันแปลว่าหลง หลงเข้าใจว่าตัวดี แต่ไอ้ที่ทำเลวไม่รู้

ถ้าคนมีอารมณ์ประเภทนี้ก็แสดงว่าเป็นเหยื่อของอเวจีมหานรก ทำไมรู้ไหม ก็มันไม่เอาดีก็ลงอเวจี เพราะรักษาเอาแต่ความชั่วเป็น "อาจิณกรรม" ได้แต่มองคนอื่นเขาว่าเขาชั่ว

ไอ้การที่ไปมองคนอื่นว่าชั่วนี่ แต่ความจริงตัวนี่ชั่วมาก ถ้าตัวเองไม่ชั่วล่ะมันไม่มองความชั่วของคนอื่น เพราะการมองและเห็นว่าเขาชั่ว มุ่งจะดูความชั่วมันเป็นคนที่ขาดพรหมวิหาร ๔ มันเป็นความเลวของจิต แต่คนที่เขามีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจนี่ เขามองเพื่อนด้วยความเมตตา และกรุณามุทิตาพร้อมๆกันไป

เพราะอะไร เพราะถ้าเห็นว่าเพื่อนทำผิด เขาจะเตือนด้วยดีใช่ไหม นี่ต้องวินิจฉัยศัพท์ให้เข้าใจ ก็มีการตักเตือนกันด้วยความหวังดี ไม่ใช่คอยจะจับผิดคิดประทุษร้าย”

นี่ก็เลยกราบทูลบอก “ท่านหญิงวิภาวดีก็ทรงตัวอยู่ได้ดีแบบนี้ เพราะอาศัยที่มีพรหมวิหาร ๔ มา ท่านเวลาปฏิบัติจึงใช้เวลาน้อยที่สุด ที่ ๘ เดือนนี่ ไม่ใช่มานั่งรับฟังทั้ง ๘ เดือน มานั่ง...แต่ไม่ใช่มานั่งรับฟังทุกวัน คือฟังครั้งสองครั้ง อาศัยศรัทธาจริต ศรัทธามีความเชื่อ ฟังแล้วก็เชื่อทันที พอเชื่อแล้วก็อาศัยความฉลาด พุทธจริตนี่เขาเป็นคนฉลาด พอเชื่อแล้วก็เอาไปคิด คิดแล้วก็ปฏิบัติตาม”

เป็นอันว่าประวัติของท่านหญิงวิภาวดีนี่ รู้สึกลูกเต้าเข้าหน้าไม่ค่อยติดตามปกติ นี่ขอเล่าประวัติเก่านี่ พระเจ้าแผ่นดินท่านก็บอกเหมือนกัน บอก

“ท่านหญิงวิภาวดีเป็นคนเจี๊ยวจ๊าว หมายความโมโหง่าย คนโมโหร้ายแสดงถึงว่าเป็นคนมีอารมณ์จิตรวดเร็ว
เพียงแต่พอเริ่มไปปฏิบัติกับหลวงพ่อไม่ถึงเดือนผมเห็นแปลกไปถนัด ไอ้เรื่องเหตุที่ต้องว่าต้องดุต้องด่าใครหายไปหมด มีแต่อารมณ์ยิ้ม และก็คอยจะสงเคราะห์ คอยมองดูพวกชาววังก็ตาม พวกข้างนอกก็ตาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกในวัง ถ้าใครเขาทำอะไรผิดพลาดไปนิดนึง บางทีท่านก็ไม่เตือนก่อน เรียกมากินขนมบ้าง มาให้ของแจกบ้าง เขาคนนั้นรู้สึกว่าจะจิตน้อมลงมาถึง ๖ เดือน นี่เป็นลักษณะของพรหมวิหาร ๔ เตือนด้วยความหวังดี”

...อีกตอนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสกับพ่อว่า ท่านหญิงวิภาวดีมีความห่วงใยในพระองค์มาก เพราะว่ามาเตือนอยู่เสมอ ขณะที่พระองค์ตรัส รู้สึกว่าเหลียวซ้ายแลขวา และก็ตรัสอีกว่า เวลานี้หายไป การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่า ท่านหญิงวิภาวดีมาเยี่ยมอยู่เสมอ และก็ตักเตือนเสมอ

จุดนี้ขอบรรดาลูกรักจงจำให้ดี ว่าความรู้สึกอย่างนี้จะมีขึ้นมาได้ นั่นก็คือ บุคคลผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม จะต้องมีอารมณ์เข้าถึงทิพจักขุญาณ คือมีอารมณ์เป็นทิพย์ มีความรู้สึกทางใจคล้ายกับตาทิพย์ ในเมื่อท่านได้ทิพจักขุญาณ ท่านก็มีโอกาสรับสัมผัสได้

นี่แสดงว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชภารกิจมาก เรื่องของพระองค์มีเรื่องกวนทั้งกายและก็ใจ อย่างที่บรรดาลูก ๆ ทั้งหลายจะไม่มีโอกาสประสบการรบกวนอย่างพระองค์เลย กลางวันก็ไม่ได้พักกลางคืนก็ไม่ได้พัก มีเวลาพักอยู่นิดเดียว

พระองค์ทรงทำพระกรรมฐาน และก็ทรงทำได้ดี บุคคลประเภทนี้ ลูกควรจะลอกแบบเข้าไว้ การเลียนแบบ การลอกแบบ “การปฏิบัติตามท่านในด้านของความดีไม่ใช่ความเสีย เป็นผลกำไรที่เราไม่ต้องรื้อฟื้นเอง”

ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต นี่เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่มานอนปฏิบัติด้วยนะ ไม่ใช่เกาะครูนะเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วัน ผ่านไป ก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษ เป็นอุเพ็งคาปีติ และสามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ แล้วต่อมาท่านก็ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบทูลอาการนี้ให้ทรงทราบ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงมีพระราชดำรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงต้องไปขอหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานมาให้ฉันเล่มหนึ่งจากหลวงพ่อ ไม่อย่างนั้นท่านหญิงจะออกหน้าฉันไป ฉันไม่ยอม” ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต จึงมาแจ้งอาตมาทราบ อาตมาก็มอบหนังสือไปถวายแล้ว บอกกับท่านว่า

“ท่านหญิงระวังจะเสียท่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้พระกรรมฐานมาตั้งแต่เด็ก ถ้าท่านหญิงสงสัยละก็ไปสอบถามท่านว่า เมื่ออายุประมาณ ๗ – ๘ ปี ไม่เกิน ๑๒ ปี ท่านเคยเจริญอานาปานุสสติกรรมฐานจนกระทั่งเห็นแสง มีอารมณ์จิตแน่นสนิทเป็นสมาธิดี

ท่านได้มาตั้งแต่ตอนนั้นจนปัจจุบันท่านก็ไม่ได้ละ เวลานี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีกำลังสมาธิสูงมาก สามารถเข้าฌานออกฌานได้ตลอดเวลา และยิ่งกว่านั้น ยังสามารถฝึกสมาธิเป็นพิเศษเป็นกีฬาสมาธิ บางส่วนได้ด้วย”

เมื่อท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ได้รับทราบ เมื่อเอาหนังสือไปถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทูลถาม ท่านก็ทรงรับว่าเป็นความจริง หลังจากนั้นมา ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ท่านก็เจริญพระกรรมฐานวิปัสสนาญาณ พระกรรมฐานนี่มี ๒ อย่าง คือ สมถภาวนาด้านสมาธิจิต ซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ

ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาประเดี๋ยวมันก็พัง ถ้าไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ แล้วก็เอาดีไม่ได้เมื่อสมาธิดี เข้มข้นดี วิปัสสนาญาณยังอ่อน ตอนหลังก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต...

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/12/16 at 10:28 [ QUOTE ]



[03]

พระประวัติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต



...พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต หรือพระนามเดิม หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต (รัชนี) นามปากกา ว. ณ ประมวญมารค ทรงเป็นพระธิดาใน พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ และหม่อมเจ้าพิมลพรรณ วรวรรณ ประสูติเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2463 มีพระอนุชาร่วมพระบิดามารดาเดียวกันคือ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ทรงได้รับการสถาปนาเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2520

พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ทรงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต (เป็นพระโอรสในสมเด็จกรมพระยาชัยนาทนเรนทร) เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2489 โดยได้รับพระราชทานน้ำพระมหาสังข์ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ทรงมีธิดา 2 คนคือ ม.ร.ว. วิภานันท์ รังสิต และ ม.ร.ว. ปรียนันทนา รังสิต

มจ.วิภาวดี รังสิต ได้เข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณ โดยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักร ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 และพระราชกรณียกิจที่เสด็จแทนพระองค์ไปทรงเยี่ยม ทหาร ตำรวจ พลเรือน ตั้งแต่ พ.ศ. 2510 เป็นต้นมา จนกระทั่งวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 จึงได้ถูกผู้ก่อการร้ายลอบยิงถึงสิ้นชีพิตักษัย (ตาย) ขณะประทับอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ระหว่างเสด็จไปทรงรับตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดของผู้ก่อการร้าย ที่ ต. บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ. สุราษฎร์ธานี



จากบทความ " แด่การจากไปของ ม.จ.วิภาวดี รังสิต"

ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2520


......ในปี 2520 สถานการณ์การก่อการร้ายทางภาคใต้รุนแรงมาก จนพูดกันว่าภาคใต้กำลังลุกเป็นไฟ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ทรงมีกำหนดเสด็จภาคใต้เพื่อนำสิ่งของพระราชทานไปประทานแก่ตำรวจ ทหารและอ.ส. ที่ปฏิบัติการในแนวหน้า

ทั้งที่เพิ่งเสด็จกลับจากน่านและสุโขทัยก่อนหน้านี้วันเดียว ก็เสด็จลงภาคใต้ทันที ทรงนิมนต์พระภิกษุที่มีประชาชนเคารพนับถือร่วมคณะไปด้วย 2 รูป คือ พระมหาวีระเถวโร (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง อุทัยธานี และ หลวงปู่ พระครูบาธรรมไชย วัดทุ่งหลวง อ. แม่แตง จ.เชียงใหม่

เส้นทางรถยนต์ที่จะเสด็จไปนครศรีธรรมราช ไม่ปลอดภัย และเสียเวลามาก จึงเสด็จโดยเฮลีคอปเตอร์แทน ไปที่ที่ทำการกองร้อย หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ได้แสดงธรรมและให้พรแก่ตำรวจตระเวนชายแดน ท่านได้มอบผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม และเหรียญเอกราช แก่ตำรวจทุกคน

หลวงปู่ธรรมไชย ได้ประพรมน้ำมนต์ให้ตำรวจทุกคน ทรงพักค้างแรมที่ทุ่งสง ทำสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจของสุราษฎร์ธานี ที่ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์โจมตีที่สถานีตำรวจจนเสียชีวิต รวม 5 นาย

ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ประมาณตีสอง ผู้ก่อการร้ายกลุ่มหนึ่งได้เข้าโจมตีสถานีตำรวจคลองปาง เขตติดต่อกับทุ่งสง ห่างจากที่ประทับประมาณ 11 ก.ม. ปิดล้อมและระดมยิงเข้าไป พร้อมทั้งประกาศให้ยอมแพ้วางอาวุธ มอบให้ทางฝ่ายผู้โจมตี

แต่ตำรวจประจำสถานี ยิงต่อสู้ผู้ก่อการร้ายมิให้เข้าเผาทำลายและยึดอาวุธของฝ่ายตำรวจได้สำเร็จ ได้ยิงต่อสู้จนผู้ก่อการร้ายบาดเจ็บ ล่าถอยไป เมื่อตอนเช้าความทราบถึงพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีฯ ก็เสด็จไปพร้อมกับตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อเยี่ยมเยียนสร้างขวัญกำลังใจให้ตำรวจ

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ มีกำหนดเสด็จต่อไปที่อ.เคียนซา และอ.พระแสง ระหว่างเดินทางทางเฮลีคอปเตอร์ ทรงทราบจากวิทยุว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งไปสร้างบ้านพักพระราชทานให้ราษฎร ที่ บ.เหนือคลอง ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ สุราษฎร์ธานี ได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิดของผู้ก่อการร้าย อาการสาหัส ก็ทรงห่วงใยผู้บาดเจ็บ เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

แทนที่จะให้เฮลีคอปเตอร์ส่งเสด็จที่เคียนซาก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมารับผู้บาดเจ็บ อย่างที่นายตำรวจผู้ถวายอารักขาทูล ก็ทรงให้นำเฮลีคอปเตอร์ลงเพื่อแวะรับผู้บาดเจ็บกลับไปด้วยกันเสียเลย ได้ไม่เสียเวลา โดยไม่ทรงห่วงสวัสดิภาพของพระองค์เอง เนื้อที่ว่างในเฮลิคอปเตอร์ไม่พอ ก็ทรงให้คณะลงไปก่อนที่ บก.ร้อย จุดใกล้ที่เกิดเหตุ เหลือแต่พระองค์เองกับนายแพทย์ กับเจ้าหน้าที่ ใน ฮ. ไปรับผู้บาดเจ็บ



(ท่านหญิงกับพระธิดาองค์โต)

คำสั่งสุดท้าย ที่ทรงเขียนก็คือ


" เดี๋ยวให้ทุกคนลง เจ้าหญิง ( ทรงหมายถึงพระองค์เอง เป็นคำที่หลวงปู่ธรรมไชยเรียก) จะไปรับคนเจ็บ 2 คนกับหมอ กับผู้กำกับฯ หลวงพ่อ หลวงปู่ คอยสักครู่ที่โรงตำรวจ หลวงพ่อ หลวงปู่ สวดมนตร์คุ้มครองให้พวกเราปลอดภัยด้วย หมู่นี้มันยิงเรือบินเกือบทุกวัน เดี๋ยวจะมารับไปพระแสงเคียนซา"

การบินของ ฮ.ช่วงนี้เปิดประตูทั้ง 2 ด้าน ขณะที่เครื่อง ฮ.บินมาเหนือสวนผลไม้และสวนยาง นักบินมองเห็นบ้านพระราชทานซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะลงจอดรับคนบาดเจ็บ ห่างไปประมาณ 1 ก.ม.เศษ

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงปืนรัวขึ้นถี่ยิบจากเบื้องล่าง กระสุนชุดแรกพุ่งขึ้นมา ทะลุขา พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น) ผู้กำกับ ตชด.เขต 8 ผู้กำกับฯ ตะโกนสั่งให้นักบินนำ ฮ.ขึ้นสูงทันที เสียงกระสุนปืนกระทบเครื่องบินดังก้องไปหมดทั่วลำ

ในช่วงความชุลมุนวุ่นวายนี้เอง ก็ได้ยินเสียงรับสั่งว่า "ฉันถูกยิง"

ผกก.หันไปดูเห็นพระพักตร์ฟุบ พระองค์ซวนมา จึงประคององค์ไว้ ส่วนนายแพทย์และพยาบาลพยายามอุดปากแผลห้ามเลือด ขณะที่ ฮ.กำลังร่อนลง ผกก.สบตานายแพทย์ เห็นส่ายศีรษะ ก็เข้าใจทันทีว่าหมดหวัง

ผกก.สั่งฮ.ให้บินไปที่ร.พ.สุราษฎร์ซึ่งใกล้ที่สุด แต่เครื่องได้รับการเสียหายหนักจากการระดมยิงของผู้ก่อการร้าย เข็มเครื่องวัดทุกตัวไม่ทำงาน และเครื่องอาจระเบิดได้ทุกวินาที นักบินจำต้องร่อนลงที่สนามหน้าโรงเรียนวัดบ้านส้อง

เมื่อเครื่องลงถึงพื้นดินแล้ว ผกก.วิทยุสั่งการไปที่บก.ร้อยให้นิมนต์หลวงพ่อและหลวงปู่เดินทางมาโดยเร็วที่สุด ในระหว่างนี้นายแพทย์ได้ถวายน้ำเกลือ พระอาการดีขึ้นอย่างประหลาด ไม่มีอาการทุรนทุราย รับสั่งทั้งที่ยังหลับพระเนตรว่า

"ตชด.เป็นอย่างไรบ้าง เอาออกมาได้หรือยัง ให้รีบไปส่งโรงพยาบาล อย่าให้พวกมันรู้ว่าฉันถูกยิง มันจะเหิมเกริม..หนาว..ปวด..เมื่อย !" สักครู่ก็รับสั่งต่อไปว่า

" ฉันไม่ได้เป็นไรแล้ว ตชด.มาหรือยัง ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลด่วน" รับสั่งย้ำว่า "คุณสุดินทร์..นำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาลเร็วเข้า"

อาวุธที่ผู้ก่อการร้ายใช้โจมตี ฮ. เป็นอาวุธสงคราม คือ เอ็ม 16 และเอ็ม 20 สำหรับเอ็ม 20 ผู้ก่อการร้ายเคยใช้โจมตีเจ้าหน้าที่จังหวัดตากมาแล้ว มีวิถีกระสุนไกลมากถึง 2000 ฟุต

แม้ทรงรับบาดเจ็บสาหัส ก็ทรงห่วงถึงตชด.ที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่าห่วงพระอาการ นายแพทย์และพยาบาลทูลตอบให้สบายพระทัยว่า นำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลแล้ว ก็ทรงรู้ทัน รับสั่งว่า "ฮ. ยังไม่ขึ้น" จนนายแพทย์ต้องแก้ตัว เปลี่ยนคำตอบว่า "ผกก.นำคนเจ็บไปไว้โรงพยาบาลบ้านส้องแล้ว" จึงหยุดรับสั่ง

หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และหลวงปู่ธรรมไชยเดินทางมาถึงไล่เลี่ยกับนายแพทย์และพนักงาน อ.เวียงสระ พระองค์เจ้าวิภาวดี ฯ ยังทรงมีพระสติดีอยู่ แม้ว่าพระอาการทรุดหนักมากแล้ว รับสั่งว่า

"ร้อน..หิวน้ำ..ขอน้ำกินหน่อย หลวงพ่อ..หลวงปู่..ช่วยไปนิพพาน..ไม่เกิดแล้ว !"

หลวงปู่ตอบว่า " การที่จะไปนิพพานน่ะดี แต่ท่านหญิงยังมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมาก" ก็รับสั่งว่า

"ให้กราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว..ท่านชาย( ทรงหมายถึงหม่อมเจ้าปิยะ รังสิต) ท่านแม่" ทรงย้ำอยู่ 2 ครั้ง แล้วไม่รับสั่งอะไรอีก

ฮ.จากสุราษฎร์ธานี เดินทางมาถึง นำพระองค์เจ้าวิภาวดีฯ ไปที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ ในระหว่างทาง นายแพทย์ผู้เฝ้าพระอาการอย่างใกล้ชิด แจ้งว่า สิ้นพระทัยแล้ว ฮ.จึงนำพระศพมาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานีเพื่อแต่งพระศพ และถวายธงชาติคลุมพระศพ ต่อจากนั้น เครื่องบินจากกรุงเทพ ซึ่งไปตรวจราชการทางใต้ ก็รับพระศพกลับมาสู่กรุงเทพ ?

ข่าวการสิ้นชีพิตักษัยของหม่อมเจ้าวิภาวดี รังสิต เป็นข่าวใหญ่พาดหัวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เป็นเรื่องสั่นสะเทือนจิตใจของประชาชนอย่างมาก ที่พระบรมวงศานุวงศ์ และผู้แทนพระองค์พระบาทพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จเยี่ยมประชาชน โดยเฉพาะในหน่วยพระราชทาน ต้องจบพระชนม์ชีพลงด้วยน้ำมือผู้ก่อการร้ายในภาคใต้

ขณะที่ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ผู้บาดเจ็บจากการปฏิบัติงาน นายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี ได้รายงานต่อประชาชนทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 ว่า

"ม.จ.วิภาวดี รังสิต ถึงชีพิตักษัยด้วยน้ำมือของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ในวันที่เกิดเหตุคือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ศกนี้..." ตามมาด้วยรายละเอียด ตรงกับที่ดิฉันพิมพ์ไว้ในความเห็นข้างบน และลงท้ายว่า

"ม.จ.วิภาวดี รังสิต ท่านทรงเป็นผู้ทำบุญโดยไม่หวังบุญ ท่านทรงกระทำทุกอย่างโดยมีเมตตาธรรม หวังประโยชน์สุขและความเจริญที่จะให้บังเกิดกับประชาชนโดยแท้ ท่านทรงบำเพ็ญกุศลนี้มาเป็นเวลานานปี จนกระทั่งเกิดเหตุขึ้นในครั้งนี้ ท่านทรงกระทำโดยมิได้หวังอะไรเป็นส่วนพระองค์เลย ท่านทรงแนะนำอาชีพส่งเสริมหัตถกรรม การเพาะปลูก หาแพทย์ไปรักษาพยาบาลคนที่เจ็บป่วย จัดสิ่งของหยูกยาไปช่วยชาวบ้านผู้ที่ยากไร้


เมื่อท่านถึงชีพิตักษัยคราวนี้จึงเป็นเรื่องที่สลดใจอย่างยิ่ง และรัฐบาลตระหนักเป็นอันดีในวีรกรรมของท่าน ท่านเป็นสตรีผู้กล้าหาญ ท่านไม่ได้ถึงชีพิตักษัยไปโดยเปล่าประโยชน์ วีกรรมของท่านยังคงเป็นสิ่งเตือนใจเราอยู่ ผมใคร่ที่จะขออัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของ สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ มากล่าวไว้ ณ ที่นี้ คือ

" การถึงชีพิตักษัยของหม่อมเจ้าวิภาวดีฯ นั้น เป็นการปฏิบัติภารกิจของพระองค์ ซึ่งภารกิจอันนี้ พวกเราชาวไทยที่อยู่เบื้องหลังจะต้องจัดทำต่อไป"



(ท่านหญิงกับพระธิดาองค์ที่สอง)


ในท่ามกลางความรู้สึกอันสับสนของเราท่านทั้งหลาย ต่อการสูญเสียครั้งสำคัญนี้ ความรู้สึกหนึ่งที่เราทั้งหลายมองเห็นชัดร่วมกัน ก็คือ ม.จ.วิภาวดี รังสิต ต้องถึงชีพิตักษัย ก็เพราะน้ำพระทัยอันโอบเอื้ออาทรของท่านในอันที่จะเข้าช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บเพราะน้ำมือผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ความเวทนาสงสารไม่อาจทอดทิ้งเพื่อนร่วมชาติที่ต้องการความช่วยเหลือเหล่านั้นทำให้ ม.จ.วิภาวดี รังสิต มิได้คำนึงถึงภัยอันตรายส่วนตัว

ทรงเป็นแบบอย่างของคนไทยที่เปี่ยมล้นด้วยความรัก ความเสียสละ เพื่อชาติ ทั้งที่ทรงถึงพร้อมด้วยชาติวุฒิ คุณวุฒิ ทรัพย์ศฤงคาร และแวดล้อมด้วคนรักใคร่ใกล้ชิด แต่ก็ทรงสละความสุขส่วนตัวนั้นๆ ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจให้แก่งานของประเทศชาติ โดยทรงมุ่งหมายจะผดุงรักษาความเป็นชาติไทยของเราไว้ แม้จะต้องแลกด้วยพระชนมชีพก็ตาม

การสูญเสีย ม.จ.วิภาวดี รังสิต เปรียบเสมือนดวงไฟดวงหนึ่งที่ดับวูบลง แต่เปลวไฟแห่งความรักชาติ ความกล้าหาญ ความเสียสละเพื่อชาติ ที่ ม.จ.วิภาวดี รังสิต ได้ทรงจุดนำทางไว้ จะลุกโพลงในจิตใจของเลือดเนื้อไทยชั่วนิจนิรันดร์"



[04]

หนังสือ รอยพระยุคลบาท
โดย พล.ต.อ. วสิษฐ เดชกุญชร


...หน้าที่ของผมตามพระราชบัญญัตินายตำรวจราชสำนักประจำนั้น นอกจากจะได้แก่การถวายความปลอดภัยแล้ว ยังต้อง “ปฏิบัติตามพระราชประสงค์” ซึ่งหมายความว่า จะทรงใช้อย่างใดก็ได้สุดแต่พระราชอัธยาศัย ผมรู้อยู่แล้ว จึงเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าอื่นถวาย

“หน้าที่” อื่นที่มาถึงโดยมิได้คาดหมาย คือการตามเสด็จถวายความปลอดภัยแด่ หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต สถานการณ์ภาคใต้ขณะนั้น หลายจังหวัดคับขัน
และรุนแรงไม่แพ้ภาคอีสาน และภาคเหนือที่ผมเคยผ่านมาแล้ว ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์สามารถจัดตั้งเป็นกองกำลังถืออาวุธ และเข้าโจมตีจนทำให้เจ้าหน้าที่ได้รับความสูญเสียมากบ้างน้อยบ้างอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯจึงทรงเป็นห่วง และจึงมีพระราชบัญชาให้ผมตามเสด็จท่านหญิงวิภาฯ เพื่อถวายความปลอดภัยแด่ท่าน

ท่านหญิงวิภาฯ นั้นทรงมีพระนิสัยคล้ายพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ ตรงที่โปรดการเสด็จแบบถึงลูกถึงคน หากไม่จำเป็นจะไม่ประทับเฮลิคอปเตอร์ แต่จะเสด็จโดยทางพื้นดินเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเริ่มตามเสด็จแล้ว ผมจึงได้รู้ว่ามีอันตราย

การเสด็จของท่านหญิงซึ่งเป็นพระราชวงศ์และเสด็จแทนพระองค์พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ นั้นทำความตื่นเต้นและยินดีให้แก่ประชาชนโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเสด็จไปที่ไหนก็มีคนไปเฝ้าอย่างเนืองแน่น ประกอบกับท่านหญิงเป็นเจ้านายที่ไม่ถือพระองค์ การเสด็จของท่านหญิงจึงทำความอุ่นใจให้แก่ประชาชน และเป็นสิ่งที่ชาวใต้ตั้งตาและตั้งใจคอย

จึงไม่ต้องสงสัยว่า ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ถือว่าการเสด็จของท่านหญิงเป็นอุปสรรคแก่การทำงานของเขา เขาไม่ประสงค์ที่จะให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจ แต่ต้องการที่จะให้ประชาชนรู้สึกว้าเหว่และถูกทอดทิ้งต่อไปอีก เพื่อจะได้สะดวกแก่การทำงานโฆษณาชวนเชื่อให้เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล

ในการเสด็จหลายครั้ง ทางรถยนต์ไม่มี ท่านหญิงต้องประทับเกาะท้ายรถจักรยานยนต์แล่นไปตามทางคนเดินในป่าหรือสวนยางหรือตามคันนา และผู้ตามเสด็จก็ต้องเกาะท้ายจักรยานยนต์ไปคนละคันๆ เช่นเดียวกัน



(พาหนะที่ทรงใช้ในการเดินทาง)

ครั้งหนึ่ง ขณะที่กำลังเสด็จอยู่ในอำเภอพระแสง พอเสด็จออกไปได้ไม่นาน ก็พบต้นไม้ใหญ่พาดขวางทางอยู่ เมื่อลงไปสำรวจดูแล้วก็เห็นว่าไม่ใช่ต้นไม้ล้มด้วยแรงพายุหรือด้วยตัวมันเอง หากแต่ถูกใครจงใจยกเอาไปวางขวางไว้ พวกเราต้องออกแรงยกออกจากทางแล้วจึงเดินทางต่อไป

นอกจากรถยนต์และจักรยานยนต์แล้ว ในการเสด็จบางอำเภอ ท่านหญิงต้องประทับเรือ เพราะเป็นวิธีสัญจรวิธีเดียวที่สะดวกที่สุดในสมัยนั้น และเพราะระยะทางไกล จึงเคยต้องประทับแรมริมแม่น้ำกลางทาง ในเพิงที่เขาสร้างถวาย

ผมจำได้ว่า วันนั้นก่อนเสด็จเข้าที่ประทับมีชาวบ้านมาเฝ้าเป็นจำนวนมาก ท่านหญิงรับสั้งกับชาวบ้านเหล่านั้นอย่างเป็นกันเองและสนุกสนาน แต่เวลาล่วงเลยไปจนถึงพลบค่ำก็ยังไม่เห็นทูลลากลับ ในที่สุดเมื่อรับสั่งถาม ชาวบ้านจึงได้ทูลว่า เขาจะพักแรมอยู่ข้างที่ประทับนี่หละ กลับไม่ได้แล้ว ขืนกลับอาจถูกเสือลากไปกิน

อีกตอนหนึ่ง นายอำเภอคีรีรัฐสร้างที่ประทับแรมถวายเอาไว้ริมน้ำตก (ต่อมาได้ชื่อว่า น้ำตกวิภาวดี) และท่านหญิงต้องทรงลงดำเนินจากริมแม่น้ำขึ้นเขาไปตามทางที่เป็นหินและค่อนข้างสูงชัน ที่ไม่มีใครคาดฝันก็คือ ก่อนเสด็จถึงฝนตกหนักและน้ำป่าไหลเชี่ยวโกรกสวนทางลงมา

การเดินขึ้นเขาจึงกลายเป็นการเดินวิบาก เพราะต้องระวังมิให้ลื่นตกน้ำ แต่ทั้งๆที่ระวังอยู่ คุณหมอสวัสดิ์ก็พลาดตกลงไปในน้ำและถูกน้ำพัดลงเขาไป เคราะห์ดีที่ตกลงไปในแอ่งน้ำ จึงไม่เป็นอันตราย ผมตามเสด็จท่านหญิงวิภาฯ อยู่จนถึงกลางเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๕ พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯจึงได้เสด็จฯ ไปทรงเยือนอำเภอพระแสง

การเสด็จครั้งนั้นคงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของผู้ก่อการร้ายอย่างแน่นอน จะเห็นได้จากการที่ผู้ก่อการร้ายซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ที่เดินทางเข้าไปเตรียมการรับเสด็จที่อำเภอพระแสง เป็นเหตุให้นายตำรวจเสียชีวิตไปคนหนึ่ง

เมื่อถึงบ้านไสขรบ ในเขตอำเภอกิ่งอำเภอเคียนซา มอบของพระราชทานให้แล้วและกำลังกินกลางวันกันอยู่ ราษฎรได้เข้ามากระซิบบอกว่าเห็นผู้ก่อการร้ายหลายคนอยู่ในบริเวณงาน ผมและคุณวิภาสหยุดกินอาหารและรีบเดินทางออกมา

หลังจากเดินทางออกมาไม่นานก็ได้รับแจ้งวิทยุว่า ผู้ก่อการร้ายเข้าจับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการณ์อยู่ในงานนั้น และยึดเอาอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ไปได้ นับว่าเป็นเคราะห์ดีที่พวกเราไม่ได้มัวโอ้เอ้อยู่ หาไม่แล้วผู้ก่อการร้ายอาจจับได้ทั้งผมและคุณวิภาส และได้เฮลิคอปเตอร์ตำรวจอีกหนึ่งเครื่องด้วย

ท่านหญิงวิภาฯ นั้นนอกจากทรงเป็นนักเขียนนวนิยาย และบทความสารคดีต่างๆแล้ว ยังทรงสนพระทัยและมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดีอย่างแตกฉาน

ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนี้เองที่ทูลกระหม่อมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เริ่มสนพระทัยในโบราณคดีและโดยเฉพาะถ้วยชามจีน กลับจากตามเสด็จท่านหญิงวิภาฯ คราวใด ผมจึงมีเศษถ้วยชามโบราณแตกไปถวายคราวนั้น จนกระทั่งพระพี่เลี้ยงบ่นว่า ในห้องที่ประทับของทูลกระหม่อมในตำหนักจิตรลดารโหฐาน มีเศษถ้วยชามเหล่านี้เต็มไปหมด และขอให้ผมงดถวาย

ระหว่างทางเสด็จโดยเฉพาะในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานีนั้น เราได้เห็นริ้วรอยของการต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ก่อการร้ายอยู่เป็นระยะๆตลอดทาง แต่ท่านหญิงไม่เคยทรงแสดงพระกิริยาให้รู้สึกว่าทรงวิตกหรือหวาดหวั่นในเหตุการณ์นั้น

ครั้งหนึ่ง ขณะที่ทรงบรรยายเรื่องประสบการณ์ของพระองค์ เมื่อมีผู้ขอให้รับสั่งเล่าเรื่องผู้ก่อการร้าย ท่านหญิงตอบว่าไม่มีเรื่องจะเล่า ทรงทราบว่าในหมู่บ้านที่เสด็จเข้าไปนั้นมี “พวกนั้น” อยู่ แต่ไม่เคยสนพระทัยว่าผู้ใดเป็นอะไร “ โดยเฉพาะตอนน้ำท่วม เราไม่เคยคิดว่าใครเป็นพวกไหนเลย ต่างก็ขาดแคลนอาหาร เสื้อผ้า และเจ็บป่วยด้วยกันทั้งนั้น ของพระราชทานจึงถึงมือทุกคนซึ่งเป็นคนไทยในผืนแผ่นดินไทยของเราที่ได้รับความเดือดร้อน”

ท่านหญิงทรงห่วงใยแต่ผู้อื่น และไม่ทรงเป็นห่วงความปลอดภัยของพระองค์เอง เมื่อเช้าวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2520 ขณะที่กำลังเสด็จไปเยี่ยมประชาชนและเจ้าหน้าที่ดังที่ได้เคยปฏิบัติมาเป็นเวลาแรมปี และเฮลิคอปเตอร์ของกรมตำรวจที่ประทับกำลังบินอยู่ในเขตอำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานว่าข้างล่างมีการประทะต่อสู้กันระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ก่อการร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนสองนายต้องกับระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส

ขณะนั้นในเครื่องบินนอกจากผู้ตามเสด็จอยู่ด้วย ท่านหญิงจึงรับสั่งให้นักบินนำพระภิกษุทั้งสองรูปไปส่งและให้คอยอยู่ที่วัดบ้านส้อง ส่วนพระองค์เองเสด็จไปกับเฮลิคอปเตอร์เพื่อรับผู้ได้รับบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล

ขณะที่กำลังร่อนลงนั่นเอง ผู้ก่อการร้ายได้ระดมยิงเครื่องบินอย่างหนาแน่น กระสุนปืนทะลุเฮลิคอปเตอร์เข้าไป นัดหนึ่งถูกท่านหญิงเป็นแผลฉกรรจ์ เฮลิคอปเตอร์ชำรุด บินต่อไปไม่ได้ นักบินต้องนำเครื่องลงฉุกเฉินระหว่างทาง ขณะที่เฮลิคอปเตอร์อีกเครื่องหนึ่งกำลังเชิญเสด็จท่านหญิงไปโรงพยาบาลนั่นเอง ท่านหญิงก็สิ้นพระชนม์

ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ก่อนสิ้นพระชนม์ ท่านหญิงยังทรงมีพระสติ ตรัสขอให้ พระมหาวีระ และ ครูบาธรรมไชย กราบถวายบังคมลาพระเจ้าอยู่หัวแทน ทรง “ ขอนิพพาน ” และตรัสเป็นประโยคสุดท้ายว่าทรงเห็นนิพพานแล้ว พระนิพพานที่ท่านหญิงทอดพระเนตรเห็นนั้น "สวยงดงามและแจ่มใสเหลือเกิน”

แล้วเมืองไทยก็สิ้นเจ้านายพระราชวงศ์จักรีที่ทรงรักคนไทยและเมืองไทยยิ่งกว่าพระองค์เองไปอีกองค์หนึ่ง...

ขณะที่ท่านหญิงต้องกระสุนปืนสิ้นพระชนม์นั้น ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ที่เชียงใหม่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สมเด็จพระเทพรัตฯ เสด็จไปทรงรับพระศพของท่านหญิงที่ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ ผมได้ตามเสด็จทูลกระหม่อมไปด้วย

วันนั้นผมได้มีโอกาสเห็นท่านหญิงครั้งสุดท้ายเมื่อเข้าไปถวายน้ำพระศพ ก่อนหน้านั้นผมเห็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่น้อยครั้งที่ผมเสียน้ำตาให้แก่ผู้ตาย วันนั้นผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ และต้องร้องไห้ออกมาทั้งๆ ที่รู้ว่ากำลังอยู่ต่อหน้าที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จฯ

พวงมาลาดอกไม้สดของพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงวางไว้หน้าพระศพของท่านหญิงนั้น มีข้อความตอนหนึ่ง จากเพลงพระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” จารึกไว้ดังนี้

“....จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา”


ส่วนพวงมาลาพระราชทานของสมเด็จฯ มีคำไว้อาลัยปรากฏดังนี้

“...ทิวาวารผ่านมาเยือนหล้าโลก
พร้อมความโศกสลดให้ฤทัยหาย
อริราชพิฆาตร่างท่านวางวาย
แสนเสียดายชีพกล้าวิภาวดี”


......งานพระราชทานเพลิงพระศพท่านหญิงมีขึ้น ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2520 ในวันนั้นได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาท่านผู้หญิงเป็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต และ พระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ กับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกชั้นที่1 ประถมาภรณ์ช้างเผือกแก่ท่านหญิงด้วย




(สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินรอรับพระศพ ณ ร.พ.จุฬาลงกรณ์)


บ้านแม่สาน ศรีสัชนาลัย

ครั้งหนึ่งท่านหญิงเสด็จพระดำเนินยังหมู่บ้านกะเหรี่ยงในเขตอำเภอศรีสัชนาลัยนั้น ที่นับว่าอยู่ไกลและทุรกันดารมีอยู่ 2-3 หมู่บ้าน เราต้องเดินทางกันด้วยรถแลนด์โรเวอร์ไปบนทางที่ยังเรียกว่าถนนไม่ได้ เพราะเต็มไปด้วยหลุมและบ่อขนาดต่างๆ ครั้งหนึ่งรถแล่นตกลงไปติดหล่ม ร้อนถึงชาวบ้านต้องเอาช้างไปช่วยฉุดรถขึ้นจากหล่ม

หมู่บ้านแม่สานอันเป็นที่หมายสุดท้ายในการเสด็จในคราวนั้น จะไปโดยทางเฮลิคอปเตอร์ก็คงจะได้ แต่ด้วยเหตุผลใดผมไม่แน่ใจนัก ท่านหญิงวิภาฯ ได้ทรงตัดสินพระทัยเลือกเสด็จโดยทางเท้า ทำให้ผมมีโอกาสได้ตามเสด็จเดินเขาเป็นระยะทางไกลถึงประมาณ 12 ก.ม. เป็นการเดินทางที่ระหกระเหินที่สุดครั้งหนึ่ง

ราษฎรกะเหรี่ยงที่บ้านแม่สานนั้น นามสกุลเหมือนกันทั้งหมู่บ้าน คือ นามสกุล “ ค้างคีรี ” สอบถามแล้วได้ความว่านายอำเภอผู้หนึ่งตั้งให้ทุกคนในคราวเดียวกัน ราษฎรมีฐานะยากจน แม้แต่ข้าวก็ไม่มี ต้องขุดดินหาเผือกหามันกิน ข้าวพระราชทานที่ส่งเข้าไปก่อนหน้าที่ท่านหญิงจะเสด็จไปพร้อมคณะนั้น

ปรากฏว่าชาวบ้านหุงกินกันหมดเกลี้ยงแล้ว พอเราไปถึงชาวบ้านก็เอามะพร้าวมาเลี้ยงต้อนรับ ความอดอยากของชาวบ้านแม่สานนั้นเห็นได้จากเมื่อเราเอามะพร้าวที่กินเหลือโยนทิ้งแล้วปรากฏว่าหมาชาวบ้าน 2-3 ตัว (ซึ่งอดโซเหมือนกัน) ได้โจนเข้าแย่งกินเนื้อมะพร้าวเป็นพัลวัน เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ผมเห็นหมากินมะพร้าว

การเสด็จของท่านหญิงซึ่งเป็นผู้แทนพระองค์ นอกจากจะนำความอบอุ่นไปสู่ราษฎรชาวกะเหรี่ยงเหล่านั้นแล้ว ยังนำไปสู่ความร่วมมือกันเหลียวแลเจ้าหน้าที่ราชการฝ่ายต่างๆด้วย ก่อนจะเสด็จกลับจากหมู่บ้านแม่สาน ท่านหญิงทรงเกลี้ยกล่อมราษฎรผู้มีความรู้และเคยเป็นครูคนหนึ่งให้รับตำแหน่งเป็นครูสอนหนังสือให้เด็กๆ อยู่ที่บ้านแม่สาน โดยทรงสัญญาที่จะประทานเงินรายได้ประจำปีห้าจำนวนหนึ่ง นอกเหนือจากเงินเดือนที่เขาจะได้รับทางราชการด้วย



(เส้นทางการเดินทางไปเยี่ยมประชาชนของท่านหญิงวิภาวดีฯ)


ทรงเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักประพันธ์

ท่านหญิงมิได้เป็นแค่เพียงนางสนองพระโอษฐในสมเด็จฯ เท่านั้น ท่านเป็นพระธิดาของ พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ ซึ่งเป็นพระบิดาแห่งการกสิกรไทย ทรงเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักประพันธ์และกวีที่สำคัญพระองค์หนึ่ง ทรงนิพนธ์งานเขียนไว้มากมายทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ทรงใช้นามปากกาว่า "น.ม.ส."

ซึ่งก็เอามาจากพระนามเดิมของพระองค์นั่นเอง โดยทรงหยิบเอาอักษรตัวท้ายของพระนามแต่ละคำที่ผสมกันอยู่ออกมาเป็นคำย่อ จาก รัชนีแจ่มจรัส มาเป็น "น.ม.ส." ทรงนิพนธ์ผลงานที่สำคัญหลายเรื่อง อาทิ เรื่องของนักเรียนเมืองอังกฤษ เรื่องสงครามรัสเซียกับญี่ปุ่น สืบราชสมบัติ (นวนิยาย) พระนลคำฉันท์ ตลาดเงินตรา นิทานเวตาล กนกนคร (กลอน 6) กาพย์เห่เรือ ฉันท์สดุดีสังเวยสมโภชพระมหาเศวตฉัตร ความนึกในฤดูหนาว กลอนและนักกลอน และสามกรุง ฯลฯ

ทรงออกหนังสือรายสัปดาห์ "ประมวญมารค" และทรงตั้งโรงพิมพ์ประมวญมารคขึ้นที่วัง ถนนประมวญ ต่อมาโรงพิมพ์ก็ถึงการอวสานลงด้วยภัยสงคราม ถูกทิ้งระเบิด เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2486 นอกจากนั้นยังทรงมีหน้าที่สำคัญ ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติอีกหลายประการคือ

- อุปนายกหอพระสมุดแห่งชาติ
- กรรมการร่างกฎหมาย
- กรรมการสภากาชาด
- นายกสมาคมลอนเทนนิสแห่งประเทศไทย
- กรรมการองคมนตรีสภา
- สภานายกแห่งราชบัณฑิตยสภา

ท่านหญิงเสกสมรสกับหม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต

หม่อมเจ้าปิยะรังสิต รังสิต เป็นโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร" สิ้นพระชนม์เมื่อ วันที่ ๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ ในขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งประธานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๙ พระชันษา ๖๖ ราชสกุลที่สืบเชื้อขัตติยะมานะคือ "รังสิต ณ อยุธยา"

"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร" ทรงเป็นพระเชษฐาของสมเด็จพระบรมราชชนก เนื่องจากว่าพระพันวัสสาอยิกาเจ้า ทรงเลี้ยงดู"สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร" มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เลี้ยงดูเหมือนลูก ดังนั้นจึงใกล้ชิดกับ ราชสกุล "มหิดล" มาก

อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ http://www.vibhavadirangsitfoundation.com/duty.htm

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/12/16 at 10:36 [ QUOTE ]


[05]

บางส่วนจากหนังสือ "วิภาวดีรำลึก"


เวลาอันน้อยนิด
โดย เกรส กฤตยา เปเรร่า

...เช้าวันนั้นในต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นวันที่อากาศสดใสวันหนึ่งของต้นฤดูหนาว ข้าพเจ้าตั้งใจไปเฝ้าท่านหญิงที่วังแต่เช้า เพราะรู้ว่าท่านเพิ่งเสด็จกลับจากต่างจังหวัด แต่ก็กะว่าจะเสด็จไปอีกในระยะเวลาอันสั้น ข้าพเจ้าไม่สามารถนัดเวลากับท่านได้ จึงกะไปแต่เช้าเพื่อจะได้ไม่คลาดกันถ้าท่านจะต้องเสด็จไปที่อื่นในตอนสาย

ข้าหลวงบอกข้าพเจ้าทันทีที่ไปถึงว่า ท่านหญิงเพิ่งบรรทมตื่น ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกไม่อยาก รบกวนพระทัย เพราะรู้ดีว่าท่านทรงเหน็ดเหนื่อยมาจากการเดินท่าง และทรงต้องการที่จะพักผ่อนเมื่อมีเวลาได้เสด็จกลับมาประทับที่วัง แต่ไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะแอบกลับข้าหลวงก็ขึ้นไปทูลแล้วว่าข้าพเจ้ามาเฝ้า และรับสั่งให้ขึ้นไปที่ห้องบรรทม

เหมือนเมื่อสมัยเด็ก คือท่านโปรดคุยกับข้าพเจ้าในห้องบรรทม บางทีบางเวลาที่ทรงคิด “สะระตะ” เกี่ยวกับการบ้าน หรือเรื่องที่ทรงแต่งไม่ออก ท่านก็โปรดที่จะบรรทมทำท่าคิดทรงกัดเล็บและทรงไขว้พระบาทอยู่บนพระที่ ทั้งๆ ที่ยังทรงสวมรองพระบาท ถ้าข้าพเจ้าทูลว่า “สกปรกแย่” ท่านก็จะโปรดมากและทรงพระสรวลอย่างขำที่ข้าพเจ้า “จ๋ามจิบ” (คือ จุกจิกในสายพระเนตรของท่าน)

เช้าวันนั้น ข้าพเจ้าได้เฝ้าท่านหญิงในฉลององค์ชุดบรรทม พระเกศายังยุ่ง แต่ก็ทรงทักข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ท่านสรงน้ำและแต่งองค์ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ในขณะที่ข้าหลวงขึ้นมาจัดพระที่ และข้าพเจ้าดื่มน้ำส้มคั้น

ในขณะที่ทรงแต่งพระพักตร์ ท่านทรงเล่าถึงพระเนตรข้างขวาของท่านที่ไม่ทรงเห็นดี
“หญิงมองเห็นแล้วจากตาข้างนี้” รับสั่งพลางก็ทรงปิดพระเนตรอีกข้างหนึ่งให้ข้าพเจ้าดู
“ไม่เคยรู้เลยคะว่าเนตรข้างนี้ไม่ดี” ข้าพเจ้าทูลอย่างแปลกใจ

“จริงๆ นะ ตาหญิงข้างนี้มองไม่ค่อยเห็น ให้หมอดูมาหลายหมอแล้ว แต่เขาก็หมดปัญญา
“แล้วท่านหญิงทรงให้ใครรักษาล่ะคะ”

“ไม่ได้หรอก ‘คุณเกด’ เวลาหญิงมีไม่มาก”
“รับสั่งอะไรอย่างงั้นคะ” ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายใจเลย

“จริงๆ นะ หญิงรู้ว่าหญิงมีเวลาน้อยเหลือเกิน” ทรงหยุดนิดหนึ่ง แล้วรับสั่งว่า “หญิงไม่ขอเกิดอีกแล้ว หญิงเหนื่อยมามากพอแล้ว ขอไปนิพพานอย่างเดียว”

“แต่ท่านหญิงยังทรงแข็งแรง เวลาปฏิบัติยังมีอีกนาน”

“ใครจะรู้ อาจมีอะไรเกิดขึ้นก่อน แต่หญิงก็สละแล้ว หญิงสละได้แม้นชีวิต ขอรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจนถึงที่สุด ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิตเลย หญิงนึกอยู่เช่นนี้เสมอ”

ข้าพเจ้าใจหาย ข้าพเจ้าจำได้ว่าในเวลานั้น ข้าพเจ้าได้มองท่านหญิงอย่างเต็มตา ท่านประทับหันข้างห็ข้าพเจ้า พระพักตร์เฉย ปราศจากความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงในสิ่งที่ทรงคิด และทรงพูดแต่ประการใด พระพักตร์เช่นนั้น พระเกศาเช่นนั้น และพระองค์ท่าน แม้จะทรงผอมลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมาเป็นเวลาช้านาน อะไรจะมาทำให้สิ่งเหล่านี้ผันแปรไป ข้าพเจ้าไม่ยอมเชื่อเป็นอันขาด

“หญิงขอไปนิพพาน และไม่ขอเกิดอีกแล้ว” ท่านรับสั่งอีก เหมือนรับสั่งกับองค์ท่านเอง และข้าพเจ้าไม่ได้นั่งอยู่ในที่นั้น

ในภายหลังเมื่อมีโอกาสได้พูดกับผู้ที่ใกล้ชิดพระองค์ท่าน ความรู้สึกที่ว่า ‘ทรงรู้องค์’ นี้ปรากฏอยู่สิ่งที่ทรงกระทำหลายอย่าง เช่นประทานเงินก้อนให้บางคนที่ทรงอุปการะให้จัดที่ทางให้ตนเองเป็นหลักแหล่ง “เผื่อฉันเป็นอะไรไป”

“ถ้าฉันไม่อยู่แล้ว เธอจะทำยังไง” ท่านรับสั่งถามข้าหลวงคนหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้ถูกถามตะลึงไปด้วยความตกใจ
“เธออยากได้อะไร บอกให้ฉันรู้” ทรงกำชับข้าหลวงอีกคนหนึ่ง

พระเมตตาที่แฝงอยู่ในคำถามเหล่านี้ เป็นความห่วงใยในผู้อื่นที่ทรงมีอยู่ตลอดพระชนม์ของท่านหญิง แม้ในชั้นสุดท้าย ก็ทรงห่วงใยในชีวิตของตำรวจชายแดนมากกว่าขององค์ท่านเอง ด้วยพระกุศลผลบุญจากกรรมดีที่ได้ทรงปฏิบัติ และพระเมตตาที่ทรงมีต่อบุคคลทั่วไป โดยไม่เลือกว่า ผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม ขอให้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าวิภาวดีรังสิต ทรงบรรลุถึงพระนิพพานสมพระทัยปรารถนาเถิด...

ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaimisc.com

เกล็ดธรรมปฏิบัติ ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต
โดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์

...เนื่องในวาระที่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ได้สิ้นพระชนม์ครบ ๑ ปี ข้าพเจ้าในฐานะที่เคยเป็นพระสหายของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติธรรมร่วมกันมา ถึงแม้จะเป็นอดีตไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของข้าพเจ้าที่ได้ร่วมรู้เห็น และซาบซึ้งในผลการปฏิบัติธรรมของพระองค์ท่านมาโดยตลอดพระองค์ หญิงมิได้ประทานลายพระหัตถ์ถึงข้าพเจ้า เพียงแต่มีการปุจฉาวิสัชนาในทางธรรมระหว่างข้าพเจ้ากับพระองค์ท่านในขณะที่ได้มีโอกาสพบกัน หรือคุยกันทางโทรศัพท์

เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อพระองค์ท่านทรงทราบเกี่ยวกับ หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ซึ่งข้าพเจ้าได้เลื่อมใสศรัทธาในเรื่องธรรมของท่าน พระองค์หญิงได้ทรงสนพระทัยและให้ข้าพเจ้าพาไปศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ เป็นเวลา ๗ เดือนก่อนสิ้นพระชนม์

จำได้ว่าในวันแรกที่พบกับหลวงพ่อ ฯ พระองค์ท่านได้ทรงซักถามปัญหาธรรมอย่างมากมายด้วยความสนพระทัยยิ่งนัก และรับสั่งว่า “หลวงพ่อองค์นี้เยี่ยมมาก” สิ่งแรกที่ทรงปฏิบัติก็คือ การปฏิบัติพระกรรมฐาน นับเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่พระองค์ท่านได้ปฏิบัติธรรมสำเร็จได้อย่างดีเยี่ยม ได้ทรงเล่าถึงผลการนั่งสมาธิให้หลวงพ่อ ฯ ฟัง

ซึ่งหลวงพ่อ ฯ ได้ปรารภว่า พระองค์หญิงมีบารมีดั้งเดิมในทางอภิญญามาแต่อดีตชาติ พระองค์ท่านทรงตื่นเต้นมากและทรงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเกี่ยวกับนิมิตครั้งแรกที่ได้ทรงเห็น ขณะทรงนั่งสมาธิต่อหน้าพระประธานในวังวิทยุ

พระองค์ท่านบำเพ็ญสมาธิจนถึงขั้นอุปจารสมาธิ (ก่อนสิ้นพระชนม์พระองค์ท่านบำเพ็ญสมถะแล้ววิปัสสนากรรมฐานจนถึงขั้นจตุตถฌาน) เห็นเป็นเปลวเพลิงเพนียงพุ่งสูงจากพื้นจนเกือบเท่าพระประธาน ข้าพเจ้าเองรู้สึกตื่นเต้นและยินดีกับพระองค์ท่านด้วยที่ได้ปฏิบัติสมาธิได้ผลรวดเร็วเหลือเกิน

ต่อมาพระองค์ท่านได้นิมนต์หลวงพ่อ ฯ ไปฉันเพลที่วัง ฯ และหลวงพ่อ ฯ ได้ทำพิธีเมชจิตเพื่อให้บรรลุทิพยจักขุเร็วขึ้น พระองค์ท่านได้บำเพ็ญสมาธิต่อหน้าหลวงพ่อ ฯ และได้อุทานขึ้นมาว่า ทรงเห็นกองทองคำสูงจากพื้นประมาณ ๑ ศอก ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตดีต่อพระองค์ท่านและเป็นการเพิ่มศรัทธาให้ทรงมีพระวิริยะบำเพ็ญธรรมต่อไป

นิมิตครั้งที่สามที่ทรงเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เกิดขึ้นในขณะที่ทรงบำเพ็ญสมาธิอยู่ในห้องบรรทม รุ้สึกองค์ว่าได้ลุกขึ้นไปนั่งไขว่ห้องอยู่บนอากาศโดยไม่มีเก้าอี้ แต่มีความรู้สึกว่าได้นั่งอยู่บนเก้าอี้จริงๆ ประมาณครู่ใหญ่ หลังจากนั้นได้ทรงเรียนถามหลวงพ่อ ฯ

และทรงทราบว่า นั้นเป็นอภิญญาบารมีแต่อดีตชาติ ของพระองค์ท่าน (ฤทธิเดชในอดีตชาติ) ซึ่งหลวงพ่อ ฯ ได้ยืนยันให้ผู้อื่นทราบว่าเป็นความจริง พระองค์หญิงได้ทรงเล่าอย่างมีอารมณ์ขันให้ผู้อื่นรวมทั้งข้าพเจ้าฟังโดยตลอดทำให้พวกเราพลอยตื่นเต้นและสนุกสนานไปกับพระองค์ท่านด้วย

ครั้งหนึ่งพระองค์หญิงได้ชวนข้าพเจ้าให้ขึ้นไปยังห้องบรรทม และได้ทรงชี้ให้ข้าพเจ้าดูรูปปั้นของหลวงปู่ปานซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อ ฯ พระองค์ท่านได้บูชาด้วยดอกมะลิสดอยู่ตลอดมามิได้ขาด ทรงเล่าว่า คืนหนึ่งทรงประชวรปวดพระนาภีมากที่สุดในชีวิตเกือบจะทนไม่ไหว จึงทรงอุทานขอหลวงปู่ปานให้ช่วย ทันใดนั้นพระองค์ท่านได้ทรงเห็นพระในผ้าเหลือง ซึ่งทรงเชื่อว่าต้องเป็นหลวงปู่ปานแน่ๆ

หลวงปู่ฯ ได้โบกมือปัดเป่ามาทางองค์ท่าน และทรงเห็นว่ามีสัตว์ชนิดหนึ่งมีลักษณะตัวดำๆ (ซึ่งหลวงพ่อฯ เรียกภายหลังว่า “ขันธมาร”) วิ่งออกจากพระองค์ท่านไปทางประตูและออกจากห้องบรรทมไป หลังจากนั้นอาการปวดพระนาภีก็หายดังปลิดทิ้ง และได้ทรงไปตรวจที่ประตูก็ปรากฏว่ายังปิดสนิทอยู่นับว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดและมหัศจรรย์ที่ได้บังเกิดขึ้นกับพระองค์ท่าน

พระองค์หญิงทรงมีพระอัธยาศัยที่งดงามไม่ถือพระองค์ ทรงมีเมตตาจิตต่อทุกคนที่อยู่ใกล้ ทรงเคารพนับถือพระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ที่ได้ทรงพบเห็น และมักจะทรงซักถามปัญหาธรรมรวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับอดีตชาติของพระองค์ท่าน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้พระองค์ท่านทรงกระทำแต่ความดีมากยิ่งขึ้น

เหตุการณ์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ในที่นี้ เป็นเรื่องที่ข้านเจ้าได้รับฟังมาจากพระองค์ท่านทั้งสิ้นในเวลาต่างๆ กันก่อนที่พระองค์ท่านจะสิ้นพระชนม์จากพวกเราไป เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ได้เสด็จสู่สุขติภพอันเป็นนิรันดร์ เสวยเอกันตสุข จากกุศลผลบุญบารมีต่างๆ ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาตลอดพระชนม์ชีพ

ข้าพเจ้าขอนำเรื่องมโนยิทธิซึ่งบรรดาเหล่าพุทธบริษัททราบดีว่า ผู้ที่ได้ฝึกมโนมยิทธินี้แล้วสามารถจะถอดจิตจากร่างท่องเที่ยวไปได้ในสวรรค์และนรกภูมิ โดยขอนำนามของสุภาพสตรีผู้หนึ่งคือ คุณรัชนี เจนรถา ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อฯ และได้ฝึกมโนมยิทธิสำเร็จ เธอผู้นี้เล่าว่าได้ถอดจิตไปเบื้องบน และได้พบกับพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ท่านทรงมีพระรูปโฉมที่งดงาม มีพระชันษาอ่อนวัยประมาณ ๒๐ ปี ทรงเครื่องทรงที่แพรวพราวพร้อมด้วยมงกุฏงดงามยิ่งนัก คุณรัชนีได้ทูลถามพระองค์ท่านว่า

“หม่อมฉันคิดว่าคุณหญิงสุวรรณาภาคงอยากฝากถามถึงพระองค์หญิง พระองค์หญิงจะทรงโปรดสงเคราะห์อะไรถึงเธอบ้างไหมเพคะ” พระองค์ท่านให้บอกว่า “พี่โย่งใกล้จะมาอยู่กับหญิงแล้ว ที่พี่โย่งนึกถึง หญิงอยู่ใกล้ๆ อยู่แล้ว การกระทำของพี่โย่งเป็นกุศลทั้งนั้นถ้ายังไม่เห็นองค์ของหญิงก็อย่าเสียใจ”

ข้าพเจ้ารู้สึกสุขใจมากที่ทราบว่า พระองค์หญิงยังทรงห่วงใยและเมตตาต่อข้าพเจ้าอยู่ ถึงแม้จะทรงจากไปเสวยสุขแล้ว กุศลกรรมอันใดที่ข้าพเจ้าปฏิบัติมาด้วยดี ข้าพเจ้าขอน้อมจิตถวายกุศลนั้นแด่พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ผู้ซึ่งข้าพเจ้าถือว่า พระองค์ทรงเป็นแม่บทอันดีเยี่ยมแก่เหล่าสานุศิษย์ของหลวงพ่อฯ ที่จะได้ดำเนินรอยตามพระองค์ท่านต่อไป

นิพพานํ ปรมํ สุขํ

...............................................

[06]

เรื่องของคุณอ๋อย (โดย ป่อง โกษา)

...คุณอ๋อย ที่ใครๆ รู้จัก คือ คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยา ของ พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ (เจ้าของบ้านสายลม) บัดนี้เธอสิ้นชีวิตไปเสียแล้ว ชีวิตของเธอเป็นนิยาย ที่พอจะจัดเข้าเป็นเรื่องจริงอิงนิยายได้ จึงคัดเอาใจความ จากหนังสืองานศพมาเรียบเรียงเสีย ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยแยกเป็นตอน ๆ ดังต่อไปนี้

คุณอ๋อยกับเสด็จพระองค์หญิง

"...เสด็จพระองค์หญิงวิภาวดีรังสิต เจ้าของนามปากกา ว.ณ. ประมวญมารค อันเลื่องลือ ได้เบนวิถีของท่าน มาพบกับ คุณอ๋อย เมื่อประมาณเดือนเมษายน พ.ศ. 2519 โดย "พี่ปุ๊" หรือ แพทย์หญิงลัดดา จารุวัสตร์ แจ้งมาว่า มีพระประสงค์จะมานมัสการหลวงพ่อที่บ้านคุณอ๋อย

...ความจริงคุณอ๋อย พบกับท่านมานานแล้ว ในทางหนังสือ คือ อ่านหนังสือของท่านแทบทุกเล่ม แต่ไม่เคยพบพระองค์จริง เมื่อ 1 องค์ กับ 1 คนมาพบกันเข้าก็รู้สึกว่า สัมพันธภาพจะดำเนินไปด้วยดีอย่างรวดเร็ว เพราะช่างพูดด้วยกัน และใจซื่อด้วยกัน ประกอบกับความไม่ถือพระองค์ของเสด็จ ดังนั้น จึงมักจะแวะมาคุยที่บ้านคุณอ๋อยบ่อย ๆ เวลาคน จะตามหาพระองค์ท่าน บางทีก็โทรศัพท์มาพบที่บ้านนี้ เสด็จ ฯ รับสั่งว่า พวกนี้ชักรู้แกวเสียแล้วว่า หญิงหลบมุมมาอยู่นี่

...บ้านคุณอ๋อยอุทิศเป็นบ้านฟังธรรม ไม่มีห้องรับแขก เพราะสร้างห้องรับแขกทีไร ก็กลายเป็นห้องฟังธรรม เสียทุกที ดังนั้นเวลาเสด็จมา ก็รับเสด็จกัน บนพื้นธรรมดา คือ บนเสื่อ หรือบนพรม บางทีก็เลยบรรทมลง ไปอย่างนั้นแหละ ทรงเป็นกันเองกับบ้านนี้ อย่างรวดเร็ว บางทีก็ถาม คุณเสริมว่า " พี่เสริม ทำอย่างนี้ได้ไหม " แล้วบรรทมหงายหลัง ยกพระบาทชี้ฟ้า ทำท่าถีบจักรยาน พวกลูก ๆ ของคุณอ๋อย ก็รักเสด็จกันทุกคน

ในโอกาสหนึ่งทรงพบกับ หลวงปู่ธรรมไชย แห่งวัดทุ่งหลวง ท่านก็ทรงขอให้หลวงปู่ตรวจพระโรค หลวงปู่ก็บอกว่า ตาที่เป็นต้อนั้นรักษาหาย ไม่ต้องผ่าตัด จะหายใน 27-28 วัน แล้วหลวงปู่ก็ให้ยาและน้ำผึ้งมนต์ สำหรับหยอด กับทำยาเพิ่มไฟตา หรืออะไรสักอย่างเสด็จ ฯ ก็ทรงปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด จะไปเมืองนอกก็เอาไปด้วย ระหว่างเสด็จประเทศอังกฤษครั้งสุดท้าย ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงคุณอ๋อย 2 ฉบับ

                                      Hotel Zurich
                                               วันที่ 17 มิถุนายน 2519

คุณอ๋อย ที่รัก

...ลูกศิษย์หลวงพ่อคนนี้ (คือหญิง) ออกจะอาการไม่สู้จะดี ไม่ค่อยเข้ากับบรรยากาศ เมื่องฝรั่งเสียเลย เวลานี้อยู่โฮเต็ล ที่หรูที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองซูริค วิวสวยที่สุด ก็ไม่ชอบ บอกตัวเองว่า "ไม่เที่ยง" ท่าเดียว ห้องหรูหราก็ไม่ชอบ กระจกเดินหันหลังให้ตลอดเวลากลางคืน ครั้นต้องไปกินเลี้ยงก็กินไม่ลง อย่างดีซุป ก็จะจุกแอ้ด ๆ จะถืออุโบสถศีลท่าเดียว เช้าก็ตื่นเสียหัวไก่โห่ ทั้ง ๆ ที่เมืองฝรั่ง (โฮเต็ลหรู ๆ ) เขาตื่นสายกัน อาหารเช้าต้องราว 2 โมง

ไอ้เราก็อยากกินแต่โมงเช้า ! เขาคุยกันว่า หน้าร้อนนี้ ต้องไปตกปลา ที่โน่นที่นี่ หญิงก็อยากจะห้ามว่า ฆ่าสัตว์บาป ! แต่ไม่ได้ห้ามดอก เพียงแต่นึกในใจแล้วก็ปลง พรุ่งนี้จะออกเดินทาง ต่อไปเจนีวา ท่านชายจัดการ ให้รถยนต์มาคอยอยู่ ในวันที่เราเดินทางมาถึง แล้วต่อไป ก็ไปฝรั่งเศส และอังกฤษ

การปฏิบัติไม่สู้จะสำเร็จ มีนายคอยสั่งให้ทำโน่นทำนี่ แล้วแม่หลานยายก็ติด (เอามาด้วย) เรียกยายทั้งวัน ที่ต้องเขียนถึงคุณอ๋อย ก็เพราะ ท่านชายอนุญาตให้เงินจำนวนหนึ่ง ไว้สร้างกระต๊อบน่ารัก ๆ ไว้ที่วัดหลวงปู่ธรรมไชย คุณอ๋อยกรุณาเรียนหลวงปู่เลย ให้ช่วยสร้างเรือนเล็ก ๆ แบบพื้นบ้าน ใต้ต้นไม้ใหญ่ใบหนา มีห้อง 2 ห้อง เล็ก ๆ กับห้องเก็บของเล็ก ๆ และมีนอกชาน

อ้อ..ถ้ามีห้องน้ำ (มีตุ่มน้ำ ส้วมซึม) สักห้องเป็นพอ หญิงจะไปอยู่กับหลวงปู่ เพื่อเขียนประวัติหลวงปู่ และเวลาว่าง เพื่อความสงบสบายใจ กลับไปนี่จะเอาเงินไปถวายค่ากระต๊อบของหญิง เฟอร์นิเจอร์ไม่ต้องมี หญิงจะนอนกับพื้น และถ้ามีชั้นไว้ใส่หนังสือก็พอ กลับจากเมืองนอกก็ต้องไปปักษ์ใต้ จากปักษ์ใต้จึงจะขึ้นไปดูการสร้างกระต๊อบ หญิงแดงอยากได้เร็ว ๆ เดือนพฤศจิกายนจะได้ไปอยู่ คุณอ๋อยต้องมาด้วยกันนะคะ

เรียนหลวงปู่อีกอย่างว่า ตาดีขึ้นมาก อ่านหนังสือ (ข้างที่เคยมัวหนัก) ก็ได้ กำลังรอให้ครบเดือนจะหายตามหลวงปู่สั่ง วันที่ 23 ยายทิพา จะไปหาหลวงปู่พาคนไข้ไปหา ถ้าคุณอ๋อยมีข่าวอะไรถึงหญิง เขียนฝากมานะคะ แกจะออกเดินทาง วันที่ 24 และจะพบกับหญิง ที่ลอนดอน ในวันที่ 26 หรือ อะไรพวกนี้ แล้วแต่นาย (ม.จ. ปิยะ) จะสั่ง

ฝากกราบหลวงพ่อหลวงปู่ด้วยค่ะ

วิภาวดี


ป.ล. กรุณาพูดกับคนรถที่ขับรถพาเราไปวัดท่าซุงวันก่อนด้วยว่า ช่วยหาคนรถให้ด้วย กลับไปจะขอจ้างเขาเลย


(อีกฉบับหนึ่ง เขียนจากอังกฤษดังนี้)

                              23 Walpole St. London S.W. 3

                                            วันที่ 24 กรกฎา 2519

คุณอ๋อย ที่รัก

ท่านชาย และหญิง พาหลานขับรถมาจากฝรั่งเศส ถึงบ้านเราที่ลอนดอนเมื่อค่ำวันที่ 2 นี้เอง จึงเพิ่งได้รับ จ. ม. ต่าง ๆ ที่ฝากทิพามา ขอบอกด้วยความยินดีว่า หลวงปู่รักษาตาหญิงหายก่อนปลายเดือนจริงๆ พอวันที่ 27 ก็รู้สึกว่า มันใสจ้าขึ้นมา หมอตาต่าง ๆ จะต้องงงเต้กไปหมด

กรุณาเรียนหลวงปู่ด้วยว่า ตาทั้ง 2 ข้าง เห็นดี แต่แสง เป็นสีคนละสีกัน ข้างดี (ข้างซ้าย) เป็นสีขาว ธรรมดา แต่ข้างขวา ออกเป็นสีคล้ายใส่แว่นตาสีชา แต่เมื่อหลวงปู่ให้ยา ซึ่งหลวงปู่เรียกว่า "ยาไฟตา" หญิงก็รีบกินและล้างตามคำสั่ง คงจะเป็นปกติในไม่ช้า

หญิงได้ข่าวว่า หลวงปู่ท่านยังไม่มีกุฏิอยู่เลยที่ วัดทุ่งหลวง ของท่าน ท่านอยู่ในวิหาร หญิงเลยอยากจะสร้างกุฏิถวายท่าน เป็นตึกหรือเรือนไม้ 2 ชั้น ชั้นบนสำหรับท่าน อยู่กับเครื่องยา มีห้องน้ำชั้นล่าง เป็นห้องเปล่า ๆ สำหรับรักษาคนเจ็บ ส่วนเรือนของหญิงเป็นเรือนเล็ก ๆ ชั้นเดียว นอกนั้นจะชวนพรรคพวกไปด้วย เวลาหญิงไม่อยู่ก็ให้หลวงปู่ใช้ได้ เรือนหญิงขอให้อยู่ใกล้ ๆ กับหลวงปู่ อยากให้สร้างเสร็จที่จะไปเดือนพฤศจิกา

หญิงคิดจะกลับ ก.ท. ราววันที่ 20 พอพักพอหายเหนื่อย อยากจะชวนคุณอ๋อยไปเชียงใหม่ด้วยกัน เพื่อไปดูที่ทางที่จะสร้างบ้าน 2 หลังนี้ งบประมาณเป็นแสนก็ได้ เวลานี้หญิงสนใจแต่จะเข้าทำประโยชน์กับพระอริยสงฆ์ทั้งปวง เพื่อช่วยให้ท่านช่วยคน และทำบุญเมืองฝรั่งนี้ เบื่อแทบสิ้นสติ ทนอยู่เพื่อปลง ๆ ไปงั้นเอง เพื่อนฝูงมีมากมาย จะทิ้งเขาปุบปับก็น่าเกลียด แกรู้ว่าหญิงมา แกก็เลี้ยงกันเสียจริง ๆ ดัทเชสอะไรต่าง ๆ

หนังสือหลวงพ่อ หญิง edit ให้เสร็จไปเล่มแล้ว เล่มที่ยังไม่พิมพ์ คือ กรรมฐาน 40 นี่ก็กำลังทำอยู่ อันที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องก็เอาออกเสียบ้าง และสำนวนคุยก็ไม่น่าจะออกมา เป็นตัวหนังสือเท่านั้น ไม่ยากและชอบทำมาก ส่วนทางหลวงปู่ หญิงก็วางแผนจะเขียนประวัติท่านนี่แหละ ถึงคิดจะ ไปอยู่วัดเพื่อหาเวลาคุยกับหลวงปู่ (เวลาว่างก็จะปฏิบัติพระกรรมฐานตามที่หลวงพ่อสอน)

รับรองว่าเรื่องหลวงปู่จะฮิตใหญ่ คุณอ๋อยจะต้องขายสนุกเทียว โดยเฉพาะ "ต้อ" จากตาหญิง ซึ่งหมอทั่วโลกรวมทั้งหมออุทัยกับหมอสำราญต่างก็รักษา และก็เห็นว่าต้องรอจนกว่าจะแก่แล้วผ่า นี่กลับไปให้ส่อง คงงงพิลึก ไอ้ขาว ๆ ที่ปิดตาดำอยู่ก็หายไป ทุกคนจะเห็นด้วยตาเปล่าว่า ตา 2 ข้าง เหมือนกันแล้วต้อหายไปเฉย ๆ

คุณอ๋อย ช่วยนัดหลวงปู่นะคะว่า ราววันที่ 24 เราจะไปหา ไม่ต้องให้ท่านลำบาก เราไปอยู่รินคำได้ พอดูที่ทางแล้วก็จะให้ลงมือสร้างได้พร้อมกันทั้ง 2 หลัง ว่าแต่หลวงปู่จะให้สร้างแน่ไหม หญิงกลับจากเชียงใหม่ ก็จะวิ่งไปเฝ้าที่นราธิวาส และเพื่อตามเสด็จสงขลา หลังวันที่ 12 คือ ทรงบรรจุพระบรมธาตุ อยากจะชวนหลวงพ่อ หลวงปู่ไปทอดผ้าป่าพ่อหลวงจ้อย จะได้หมดหนี้สิ้นเสียที หญิงให้ท่านรองวางแผนเรียบร้อยแล้ว ราวกลางเดือนสิงหา

มีข่าวอะไรตอบด่วนค่ะ ลูกชายคุณยุทธศิลป์เป็นยังไงบ้าง ขอบใจหลานและทุกๆ คนที่ทำยาให้

รักและคิดถึงจาก

วิภาวดี



(บทสรุปจากท่านป่อง โกษา)



(พลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์)

...นอกจากที่กล่าวมาแล้ว เสด็จฯ ยังเห็นเรื่องอัศจรรย์ อีกสองอย่าง คือ ตอนที่ท่านฝึกนั่งกรรมฐานครั้งแรก ท่านเล่าว่าเห็น หลวงพ่อปาน อยู่ตั้งชั่วโมง เห็นได้ ทั้งหลับตา และลืมตา

ท่านก็เลยมุทำเป็นการใหญ่ ทำไม่ขาดด้วย แม้จะเสด็จไปปฏิบัติภารกิจ ในแดนกันดาร ต้องเหน็ดเหนื่อย ในเวลากลางวัน ต้องเขียน รายงานในตอนกลางคืน ดึกดื่น เสร็จแล้ว ท่านก็ไม่เว้นที่จะต้องนั่งกรรมฐานอีก

อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องการเดินทาง ในคราวนั้น "คุณอ๋อย" กับลูก คือ "หน่า" กับ "หน่อง" เดินทางไปด้วย ในระยะหลังๆ นี้ จะเสด็จไปไหนมักจะชวนคุณอ๋อย คุณอ๋อยก็ไม่ขัด คราวที่กล่าวถึงนี้ เป็นการเดินทางไป บ้านแม่สาน อำเภอศรีสัชนาลัย

หลวงพ่อเดินเท้าไม่ไหว เพราะเป็นการเดินขึ้นเขาลงห้วย คือ ลุยไปในห้วย หรือไต่ไปตามหินในห้วยจริงๆ ด้วย ดังนั้นจึงจัด ฮ. ให้นำหลวงพ่อไป หลวงพ่อท่านก็สั่งว่า เวลาเดินทางให้ท่องชื่อ ท่านทรงเดช เทวดาเจ้าของถิ่นไปด้วย จะได้เบาตัวและไม่เหน็ดเหนื่อย คณะเดินก็ปฏิบัติ ซึ่งปรากฏว่าเมื่อเที่ยวก่อน เสด็จฯ เคยใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง คราวนี้กลับใช้เวลาเดินไม่ถึง 3 ชั่วโมง ขากลับก็เช่นกัน

คราวที่ไปสิ้นชีพิตักษัยที่สุราษฎร์ธานีนั้น "คุณอ๋อย" ก็ไปด้วย ข่าว ฮ. ถูกยิงทำเอาพวกที่บ้านใจหาย นึกว่าตามเสด็จไปเสียแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ได้ไปกับ ฮ. และโดยสารเครื่องบินมากับพระศพ

ซึ่งหลังจากนั้น หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวว่า สัมภาษณ์ นางเฉิดศรี ณ นคร ภรรยา ผบ.ทบ. ผู้มีน้ำตาอันนองหน้าว่า อย่างนั้นอย่างนี้ คุณเฉิดศรีบอกว่า ไม่เห็นมีใครมาถามอะไรนี่ ร้องให้ก็ไม่ได้ร้อง คุณเสริมบ่นว่า ย่องไปเป็นภรรยา ผบ.ทบ. ตั้งแต่เมื่อไหร่ ระวัง "คุณหญิงแสงเดือน" ท่านจะฉีกอกเอานะ

(หมายเหตุ : สมัยนั้น พล.อ.เสริม ณ นคร เป็น ผบ.ทบ โดยมีคุณหญิงแสงเดือน ณ นคร เป็นภรรยา)

เกี่ยวกับการสิ้นชีพิตักษัยของเสด็จฯ ในครั้งนี้ มีคนต่อว่ามากว่า เสียแรงไ กับหลวงพ่อหลวงปู่ทั้ง 2 องค์ ทำไมเรื่องอย่างนี้จึงเกิดได้ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า คนจะตายเสียอย่าง จะไปห้ามได้ยังไง ความจริงเรื่องนี้ หลวงพ่อได้รับคำสั่งจากพระว่า อย่าแยกเครื่องนะ หลวงพ่อก็คอยระวังอยู่

แต่สำหรับท่านเอง ในวันนั้นก็เป็นวันมรณะ ท่านบอกว่า วันนั้นท่านจะยิง แล้วจะยิงออกเสียด้วย จะถูกที่ขา แต่เมื่อนัดกันแล้วก็ไป ตายก็ตาย ท่านกำชับว่า เมื่อถึงโรงเรียนให้ลงให้หมดนะ ปล่อย ฮ ไปรับคนเจ็บ ส่งโรงพยาบาลก่อน แล้วให้ขากลับมารอที่โรงเรียนอีก แต่เสด็จฯ แอบไปเสียกับ ฮ. โดยไม่บอกให้ทราบ ก่อนไปฝากโน๊ตถึงหลวงปู่ให้ช่วย หลวงปู่ก็ไม่ได้อ่าน เพราะไม่ได้เอาแว่นไป เลยไม่รู้เรื่องกัน

พวกที่ไปด้วย มาเล่าในภายหลังว่า เมื่อ ฮ.ถูก ยิง ครั้งแรกก็รู้แล้ว ดังนั้นทุกคน ก็เข้าล้อมท่านหญิงไว้แต่ การยิงในระลอกสอง กระสุนสังหารนัดนั้น ทะลุท้อง ฮ. ถูกหัวรองเท้านายตำรวจ แล้วแฉลบไปถูกเหล็กพนักที่นั่ง แล้วแฉลบเข้าด้านหลังของเสด็จฯ อีกทีหนึ่ง เรียกว่าป้องกันยังไงก็ไม่ไหว ถ้าหากคนจะตายเสียอย่าง

ที่ว่าคนจะตายเสียอย่างนี้ มารู้ในภายหลังว่า เสด็จทรงจบกิจพระศาสนา ตั้งแต่ตี 2 ของคืนก่อน และเมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนาแล้วก็จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ ถึงพระอาทิตย์ตกในวันรุ่งขึ้น

ตามคติของชาวโลก การตายเป็นของน่ากลัว น่าเศร้า น่าเสียดาย แต่สำหรับพระแล้ว การตายโดยเฉพาะตายเมื่อจบกิจพระศาสนา ก็ไปเสวยสุขในพระนิพพาน เป็นเรื่องน่ายินดีด้วยซ้ำ ดังนั้นสองฝ่ายนี้ จึงพูดกันไม่รู้เรื่อง เป็นคนละภาษาเลยที่เดียว

เรื่องฆราวาสจบกิจพระศาสนา คือ ตัดกิเลสได้นั้น หลวงพ่อเคยชักตัวอย่างจากพระไตรปิฎกให้ดูหลายองค์ว่า จะมีนางผีเสื้อยักษ์แปลงตัวเป็นโคแม่ลูกอ่อน มาขวิดตายเสียเป็นส่วนมาก

เคยมีผู้ตั้งปัญหาถามหลวงพ่อว่า ทำไมฆราวาสสำเร็จอรหันต์จึงตาย แต่ทีพระทำไมอยู่ได้ หลวงพ่อตอบว่า เพราะเพศฆราวาสบริสุทธิ์ไม่พอ ครองความเป็นอรหันต์ไม่ได้ คำตอบนี้ยังไม่เป็นที่พอใจ เพราะคล้ายๆ กับจะแย้งได้โดยมีเหตุผลว่า ถ้าทำตัวอย่างพระแต่ไม่บวช ก็ควรจะได้อยู่ได้ซี

นึกไปนึกมา แล้วยังมีอีกแง่หนึ่ง ที่น่าจะใช้อธิบายได้ คือ เมื่อบุคคลสำเร็จอรหันต์แล้ว ความจำเป็นที่จะทรงชีวิตอยู่ไม่มี ควรรีบไปอยู่นิพพานตามสภาพทันที หรือโดยเร็วที่สุด แต่ที่พระยังอยู่ได้นั้นก็เพราะ พระยังทำประโยชน์แก่โลกได้ คืออยู่เพื่อสอน กับอยู่เพื่อให้คนทำบุญ คนที่ทำบุญกับพระอรหันต์นั้น จะได้ผลตอบแทนมากกว่าทำกับคนธรรมดานับล้านๆ เท่า

แต่ฆราวาสที่เป็นพระอรหันต์นั้นสอนใคร เขาก็ไม่ค่อยเชื่อแล้วก็ไม่มีใครเขาทำบุญด้วย เพราะเห็นเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พระ ถ้าอยู่ไปกลับจะเป็นอันตรายแก่ชาวบ้าน เช่น ค่อนขอด ด่าว่า ล่วงเกิน ถ้าเป็นญาติผู้ใหญ่ เป็นนายจ้าง เขาก็จะใช้งานท่าน แล้วเลยลงนรกไปเปล่าๆ เพราะฉะนั้น ฆราวาสที่เป็นอรหันต์จึงกล่าวได้ว่าไม่มีประโยชน์กับใครอีกแล้ว ไปนิพพานดีกว่า คำอธิบายนี้รู้สึกว่าพอจะไปได้ แต่จะถูกหรือไม่ถูกไม่ทราบ

สำหรับท่านหญิงนั้น คนที่ไม่ค่อยจะทราบประสบการณ์ทางศาสนาของท่าน อาจจะนึกว่าเป็นไปได้หรือ ที่เสด็จ ฯ จะจบกิจพระศาสนา แต่ตามจดหมาย ถึงคุณอ๋อยนั้น แสดงว่าท่านก้าวหน้าไวมาก หลวงพ่อเคยบอกว่า พระอนาคามีนั้น จะถือศีล 8 เองโดยอัตโนมัติ ในจดหมายท่านก็รับสั่งท่านอยากจะถือ 8 ท่าเดียว เช่นนี้ควรแสดงว่า ท่านใกล้แล้ว

นอกจากนี้สำหรับผู้ใกล้ชิดจะเคยได้ยินท่านทรงกล่าวเสมอว่า ทรัพย์สมบัตินั้น ท่านเลิกกังวลมานานแล้ว เมื่อมาได้รับคำสอนถูกทาง ได้มีศรัทธาเพิ่มเติม จากประสบการณ์เกี่ยวกับหลวงพ่อและหลวงปู่ ก็อาจเป็นได้ว่าท่านจะสามารถตัดไปได้เลย

ความจริงจะเป็นอย่างไร คนธรรมดาไม่สามารถทราบได้ แต่อย่างไรก็ดี ขอเตือนให้ระลึกว่า ที่หลวงพ่อชี้แจงมานี้ เป็นการชี้แจงแก่ศิษย์ใกล้ชิด เพื่อการศึกษา โปรดอย่าเข้าใจว่าหลวงพ่อประกาศแก่คนทั่วไป ประเดี๋ยวจะไปหาว่า ท่านโฆษณาตัวเองเข้าอีก แล้วข้าพเจ้าผู้เขียนจะพลอยเป็นจำเลยไปด้วย

แต่โดยเฉพาะศิษย์วงในแล้ว เสด็จฯ นับเป็นองค์แรกในบรรดาพวกเขา ที่แสดงให้เห็นว่าแนวทางที่หลวงพ่อสอน ให้ทำจิตนี้ทำได้สำเร็จจริง เป็นการเพิ่มพูนกำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ กำลังใจแก่ผู้ที่อยู่ข้างหลังมาก ความมุ่งมั่นในพระนิพพานก็แน่นแฟ้นขึ้นไปอีกมาก..สวัสดี.

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/1/17 at 18:55 [ QUOTE ]


[07]

บุคคลตัวอย่างคือ.. พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต
โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน


...ผมขอย้อนกลับมาหาเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีรังสิตอีกครั้ง เพราะหากไม่ให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ผมคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิตก็ได้ เรื่องเดิมมีผู้เขียนเรื่องนี้มาแล้ว ๓ ครั้ง คือ

๑. พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นางเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (ท่านอ๋อย) พร้อมทั้งลงจดหมายของท่านหญิงถึงท่านอ๋อย ๒ ฉบับ ลงวันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๑๙ และ ๔ ก.ค. ๒๕๑๙

๒. หลวงพ่อท่านบันทึกเทปไว้ที่จังหวัดเชียงรายแล้ว คุณพรนุช คืนคงดี และคุณสมพร บุณยเกียรติ ช่วยกันถอดเทปลงในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อในเดือนตุลาคม ๒๕๒๔

๓. หลวงพ่อท่านพูดถึงบุคคลตัวอย่าง คือ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ลงในหนังสือธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ. ๓๓

หากท่านผู้ใดได้ติดตามอ่านเรื่องของ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิตแล้วก็คงหมดสงสัยว่า เมื่อท่านสิ้นชีพตักษัย (ตาย) ไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ที่ใด สำหรับผมเองหมดสงสัยแล้ว ตั้งแต่ได้เห็นพระพักตร์ของท่านยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด (ยิ้มอย่างกูผู้ชนะทุกอย่างในโลก) ในตอนที่ไปคอยรับพระศพ และตอนเคารพพระศพ ซึ่งคลุมด้วยธงชาติ ซึ่งยังติดตาและติดใจผมอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้

ข้อเท็จจริง

๑. ผมกับท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย (ในชาตินี้) จนกระทั่งหลวงพ่อท่านแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ ที่บ้านรับรองในจวนผู้ว่าการจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อผมทำความเคารพท่านแล้ว ท่านรับสั่งว่า “ความรู้สึกของหญิง บอกหญิงว่า หญิงไม่ได้เพิ่งเคยรู้จักคุณหมอ หากแต่รู้จักกันมาไม่รู้กี่ชาติ ๆ แล้ว”

๒. ในวันนั้น ท่านหญิงรับสั่งให้ผมเข้าพบในตำหนัก หรือวังส่วนพระองค์ซึ่งปลูกอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่า พร้อมทั้งรับสั่งเรื่องของพระองค์ให้ผมฟังอย่างสนิทสนม และไม่ถือองค์เลย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเคารพและยำเกรงพระองค์ท่านมากขึ้น ต้องคอยระวังตัวพร้อม กาย วาจา ใจ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ

๓. ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผมจึงเสมือนคนสนิทของท่าน และเป็นที่สนทนากึ่งธรรมปฏิบัติของท่าน (ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติของผมในขณะนั้น ยังไม่มีอะไรเลยที่จะไปเปรียบกับท่านได้)เมื่อตื่นบรรทมแต่เช้า ก่อนหลวงพ่อฉันอาหารเช้า พระองค์จะรับสั่งกับผมทุกเช้า ถึงการปฏิบัติของท่านในตอนกลางคืน

๔. ผมสังเกตว่า ธรรมของพระองค์ท่านเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วัน ไม่มีซ้ำกัน เช่น เมื่อเจริญอานาปานุสติ (กำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก) แล้วก็เข้าสู่ปีติ ปีติทั้ง ๕ อย่างพระองค์ได้หมด ที่เขียนเช่นนี้ เพราะหลังจากท่านรับสั่งกับผมแล้ว ก็จะถามหลวงพ่อตรงอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง หลังจากนั้นแล้วก็ไม่เกิดปีติอีก พอเริ่มปฏิบัติ จิตจะรวมตัวเป็นหนึ่ง แล้วเข้าสู่การพิจารณาขันธ์ ๕ เลย (วิปัสสนา) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ใช้วิปัสสนาหรือด้านการพิจารณาทางปัญญาตลอดมา (ผมเขียนตามสัญญา หรือความจำที่ผมฟังการสนทนาระหว่างท่านกับหลวงพ่อ)

๕. ทุกครั้งที่ออกหน่วยโดย ฮ. หากผมไปด้วย พระองค์จะประทับติดกับผมเสมอ และเรื่องที่รับสั่งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะเกือบทั้งสิ้น แม้ระหว่างเดินเยี่ยมตามฐานของตำรวจและทหาร หากมีเวลาส่วนองค์ จะรับสั่งเรื่องการปฏิบัติธรรมในตอนกลางคืนให้ผมฟังเสมอ เรื่องที่ท่านรับสั่งเป็นปกติคือทุกข์ เพราะทุกข์ทั้งหลายล้วนมาห้อมล้อมใจของพระองค์ ทั้งเรื่องภารกิจของชาติและประชาชน ทางเรื่องครอบครัว และเรื่องส่วนองค์อื่น ๆ พระองค์ไม่เคยปิดบังอะไรเลย เล่าให้ฟังหมด จนพระองค์เองก็แปลกใจ ต้องไปถามหลวงพ่อ (เมื่ออยู่กันเฉพาะแค่ ๓ คือ หลวงพ่อท่าน ท่านหญิง และผม) ว่า...

หญิงกับหมอนี่เคยเป็นอะไรกันนะ หญิงมีความลับอะไรต้องบอกคุณหมอหมดเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยบอกความลับเช่นนี้กับผู้อื่นมาก่อน แม้พระองค์จะทุกข์แค่ไหนและอย่างไร ท่านก็ไม่เคยยอมแพ้ กลับเอาทุกข์นั้นมาพิจารณาด้วยปัญญาให้เข้าสู่อริยสัจหมด ท่านรับสั่งกับผมว่า “แม้หญิงจะทุกข์ขนาดไหน หญิงก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ย่อมหวั่นไหว หญิงเอาทุกข์เหล่านั้นมาพิจารณาเป็นอริยสัจหมด” คือ เห็นทุกข์ทั้งหลายที่มากระทบใจนี้เป็นของธรรมดา ที่ท่านรับสั่งกับผมแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งเดียว

๖. หลังจากเยี่ยมตำรวจทหารภาคใต้แล้ว ก็เสด็จไปเยี่ยมตำรวจทหารทางภาคเหนือกับคณะของหลวงพ่อท่าน พระองค์ก็ยังทรงเมตตาให้ความสนิทสนมกับผมตลอดมา มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมหวาดเสียวแทนท่าน เพราะท่านบินไปเยี่ยมฐานทหารที่มองเห็นฐานข้าศึกอยู่ข้างหน้าอย่างแจ้งชัด ขณะที่ไปถึง ผมยังมองเห็นเครื่องบินของฝ่ายตรงข้ามบินมาทิ้งของให้กับพวกเขากับตา ผมยังต่อว่าพวกทหารว่า ทำไมถึงให้ท่านเสี่ยงขนาดนี้ ผ่ายทหารตอบผมว่า “ผมได้พยายามทัดทานท่านแล้ว แต่ท่านไม่ยอม..จะเสด็จมาเยี่ยมให้ได้”

ในตอนนั้น ผมยังจำได้ดีว่า ฮ. ลงจอดไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ชะลอลงใกล้พื้นดิน แล้วพวกเราต้องกระโดดลง พอลงหมด ฮ. ก็ดึงตัวขึ้นไปทันที เพราะหากลงจอด ฝ่ายตรงข้ามอาจยิงปืน ค. มา ที่ผมกล้าไปนั้นไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะผมมีหลวงพ่อท่านไปด้วย และหลวงพ่อท่านก็ต้องโดดลงเหมือนกับพวกเรา

๗. ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ ร.พ.ตำรวจ เมื่อ ๒๙ ต.ค. ๒๕๑๙ และได้รับยศว่าที่นายพลตำรวจตรีในวันเดียวกัน ซึ่งผมเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะกำลังอยู่ในป่า ออกเยี่ยมตำรวจทหารกับหลวงพ่อและท่านหญิง เมื่อกลับมาจึงทราบ (เขาแต่งตั้งให้แล้วประมาณ ๒ วัน)

หลวงพ่อท่านเลยเรียกผมว่า “นายพลป่า” เพราะเขาตั้งให้ขณะอยู่ในป่า ทุกข์ก็เพิ่มขึ้น การจะออกไปเยี่ยมตำรวจ ทหาร กับหลวงพ่อและท่านหญิงก็ต้องชะลอไว้ หลวงพ่อและท่านหญิงทราบดี ผมจึงห่างจากการติดตามไปจนถึง ๓ เดือนกว่า ๆ ก็ได้รับทั้งวิทยุและโทรศัพท์ทางไกลจาก จ.สุราษฎร์ธานี โดย พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต. ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจตะเวนชายแดน)

๘. ตอนท่านหญิงเสด็จไปยุโรป ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงผมหนี่งฉบับ ดังนี้


23 Walpole Street
London S.W.3

วันที่ ๘ ก.ค. ๒๕๑๙

เรียน คุณหมอสมศักดิ์ ทราบ

......ฉันได้ออกเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ เดือนก่อน ท่องเที่ยวมาได้ ๔ ประเทศทั้งอังกฤษนี้ แต่อาการไม่สู้ดีเลย อยากจะกลับไปวิปัสสนาที่วัดท่าซุงมากกว่าอย่างอื่น เพื่อนฉันที่นี่ล้วนแต่หรูหราและน่ารัก อยู่ปราสาทบ้าง บ้านสวยที่สุดบ้าง เป็นดัชเชสก็มี เลดี้ต่าง ๆ ก็มี เมื่อก่อนฉันก็เคยคบ ชอบพอกันดี ตอนนี้ได้แต่ปลง

มีข่าวประหลาดจะเล่าให้คุณหมอฟัง วงการจักษุแพทย์จะต้องงงไปหมด อยู่ ๆ ต้อกระจกของฉันซึ่งเป็นมา ๔ ปีกว่า ๆ จนตาขวามืดไปเห็นแต่เพียงเงา ๆ หมออุทัยว่าจะต้องผ่าตัดจึงจะหายนั้น บัดนี้หลวงปู่รักษา (ฉันท่องคาถาที่หลวงปู่ให้ทุกวัน) หายได้ภายใน ๒๗ วัน เริ่มรักษาเมื่อวันที่ ๓ เดือนที่แล้ว หลวงปู่ว่า ๒๘ วันจะหาย พอถึงวันที่ ๒๗ ก็สว่างโร่ขึ้นมาจนตกใจไปหมด

ท่านชายเมื่อแรกก็ไม่เชื่อ จนฉันใช้ตาข้างเสียอ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟัง (ปิดข้างดีเสีย) จึงต้องเชื่อ แต่งงไปหมด กลับไปกรุงเทพฯ คุณหมอช่วยนัดจักษุแพทย์ที่ รพ.คุณหมอ ให้ใช้กล้องส่องดูตาฉันซิว่าต้อยังอยู่ไหม หมอที่ลอนดอนที่ Harley Street การใหญ่ นัดพบทีเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วก็แพงมาก เสียเวลาด้วย ฉันเลยไม่อยากไปยุ่งด้วย กลาง ๆ เดือนนี้ก็จะกลับแล้ว จะติดต่อกับคุณหมอเพื่อนัดพบหมอตาที่ รพ.ตำรวจก็ยังได้ จะได้พิสูจน์กันหลาย ๆ คน

เรื่องตาของฉันนี้ ถ้าคนอื่นเล่าให้ฟังก็แทบจะไม่เชื่อ นี่เกิดขึ้นกับตัวเองและฉันก็ถือศีล ๕ คงจะไม่หลอกคนทั้งเมืองเป็นแน่ กลับมาก็จะเอาตาไปให้จักษุแพทย์พิสูจน์ด้วย คงจะต้องงงกันบ้างเป็นแน่

เวลานี้ตอนว่าง ๆ ฉันนั่ง edit เรื่องของหลวงพ่อที่จะพิมพ์ใหม่ ชื่อเรื่องกรรมฐาน ๔๐ คุณหมอเตรียมซื้อเถิด เยี่ยมมาก เมื่อกลับไปบ้านฉันเตรียมจะไปอยู่กับหลวงปู่ เพื่อเขียนชีวประวัติของท่าน

คิดถึงมาก
วิภาวดี


๙. หลังเสด็จกลับเมืองไทย ท่านหญิงก็เสด็จเยี่ยมตำรวจและทหาร พร้อมกับหลวงพ่อและคณะทางภาคเหนือหลายหน ผมได้สังเกตเห็นว่า ในตอนเย็น ท่านเกือบไม่ได้เสวยอะไรเลย หากจะเสวยก็เสวยแบบเสียไม่ได้ เพราะผู้จัดหาอาหารมาชักชวนหนัก ๆ เข้า พร้อมทั้งพวกพระสหายต่างก็จัดของเสวยให้ ท่านจึงเสวยแบบเอาใจคน กลัวเขาจะเสียกำลังใจ พอมีโอกาสว่าง ท่านหญิงก็รับสั่งกับผมว่า ความจริงไม่รู้สึกหิวเลย ปกติแล้วจะไม่เสวย เพราะหากเสวยเข้าไปแล้วมันจะออก (อาเจียน) จิตมันอยากจะถืออุโบสถศีลอยู่เรื่อย เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ผมสังเกตทั้งที่เชียงใหม่และเชียงราย ส่วนใหญ่จะเสวยแค่ผลไม้ ๒ - ๓ ชิ้น

๑๐. ตอนปลายปี ๑๙ หรือต้นปี เดือน ม.ค. ๒๕๒๐ จำไม่ได้แน่ ท่านหญิงมีรับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าที่วังวิทยุเป็นการส่วนพระองค์ ท่านหญิงทรงเมตตาต่อผมมาก ที่ให้ชมสมบัติอันล้ำค่าทั้งหมด พร้อมทั้งทรงอธิบายว่าได้มันมาจากที่ไหนบ้าง มีสมบัติหลายชิ้นที่ซื้อมาจากต่างประเทศ ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต นอกนั้นก็มีพระพุทธรูปในสมัยโบราณสวยงามมากอีกจำนวนหนึ่ง แล้วในที่สุดท่านก็สรุปว่า

“สมบัติเหล่านี้ มันไม่มีความหมายสำหรับท่าน วังวิทยุนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับท่าน” หากผมจำไม่ผิด หลังจากนั้นมาอีก ๑ - ๒ อาทิตย์ ผมก็ได้ข่าวว่า ท่านหญิงได้ยกสมบัติอันมีค่าเหล่านี้ให้แก่ทางพิพิธภัณฑ์ไปส่วนหนึ่ง และให้กับผู้อื่นที่ควรแก่การให้อีกส่วนหนึ่งจนหมด คำตรัสอีกประการหนึ่งที่ชอบตรัสเสมอ ๆ ก็คือ “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” รู้สึกว่า พวกเราที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลาย ๆ คน ที่ได้ยินจนชินหูในช่วงระยะ ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพตักษัย

๑๑. พระศพได้ถูกนำเสด็จมาทางเครื่องบินในวันนั้น (๑๖ ก.พ. ๒๕๒๐) เดิมจะให้ทาง ร.พ.ตำรวจเป็นผู้จัดสถานที่รับพระศพ แต่ต่อมาได้ขอเปลี่ยนเป็นที่ ร.พ.จุฬาฯ แทน ผมจึงได้พบกับบุคคลสำคัญ ๓ คนคือ

ก) พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในสมัยนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต.) นายตำรวจท่านนี้มีความใกล้ชิดกับท่านหญิงมาก จะติดตามเสด็จทุกครั้งที่ท่านหญิงเสด็จไป จ. นครศรีธรรมราช และสุราษฏร์ธานี ท่านได้เล่าให้ผมฟังว่า ท่านหญิงได้ประทานพระสมเด็จที่ทรงแขวนประจำองค์อยู่ให้กับตนในการเสด็จภาคใต้ครั้งสุดท้ายนี้ ไม่นึกเลยว่า ท่านหญิงจะจากไปอย่างคาดไม่ถึง ถ้าผมรู้ก่อน ผมจะไม่ยอมรับพระสมเด็จที่ประทานให้ และเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้ผมฟัง

ข) คุณทิพา ซึ่งเป็นข้าหลวงของท่านหญิง ติดตามและรับใช้ท่านหญิงมาตลอด ผมจึงมีความคุ้นเคยกับคุณทิพาดี ผมได้ถามคุณทิพาว่า เมื่อเช้านี้ท่านหญิงรับสั่งกับทิพาว่าอย่างไร ทิพาบอกว่า ท่านตื่นบรรทมแต่เช้าเหมือนปกติ แล้วเรียกทิพาไปพบแล้วรับสั่งว่า “ถ้าฉันตาย เธออย่าร้องไห้นะ” ทิพาเลยปล่อยโฮใหญ่ และพูดว่า ทำไมท่านหญิงรับสั่งอย่างนั้นล่ะเพคะ ท่านหญิงทรงเงียบ ไม่ตอบ แต่รับสั่งเรื่องราวกับทิพาว่า ทิพา บ่าวชื่อนี้เธอจ่ายเงินจำนวนนี้ให้เขา บ่าวชื่อนี้จ่ายเงินให้เท่านี้ ทิพาก็รับคำสั่งโดยไม่ได้จด ท่านหญิงก็รับสั่งว่า “ทิพาครานี้เธอต้องจดนะ” จากนั้นก็ให้ทิพาออกไปและรับสั่งให้มาลีมาพบ

ค) คุณมาลี ซึ่งเป็นพยาบาลประจำหน่วยของท่านหญิง ผมจึงรู้จักเธอดี และได้ถามคุณมาลีว่า มาลีเมื่อเช้าท่านหญิงรับสั่งกับมาลีว่าอย่างไร คุณมาลีตอบว่า ท่านหญิงรับสั่งว่า “มาลี คนอย่างฉันหากจะตาย ฉันไม่ขอตายในบ้าน เพราะมันไม่มีเกียรติ สำหรับฉัน ฉันจะต้องตายนอกบ้าน และศพของฉันจะต้องคลุมด้วยธงชาติ” ท่านหญิงรับสั่งกับมาลีเพียงเท่านี้ แล้วก็ไล่มาลีให้ออกมา

๑๒. เมื่อผมได้คุยกับท่านทั้งสามแล้ว ผมก็อุทานว่า “งั้นท่านหญิงก็ทรงทราบล่วงหน้าก่อนแล้วซิ ว่าจะต้องจากไป คุณทิพาจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในคืนสุดท้ายนี้ ท่านหญิงก็ถวายสังฆทานกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เหมือนกับท่านจะรู้ก่อนจริง ๆ ด้วย

๑๓. รับสั่งสุดท้ายกับหลวงพ่อและหลวงปู่

ก) โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายก็เป็นทุกข์ หญิงไม่ต้องการมีร่างกายอีก ขอลาหลวงพ่อไปพระนิพพาน

ข) หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและทูลท่านชายด้วยว่า หญิงขอลาไปพระนิพพาน

ค) หลวงพ่อ ..หญิงอยากไปพระนิพพาน ช่วยนำหญิงไปพระนิพพานด้วย (ประโยคนี้ผมจำไม่ได้แน่ว่า ท่านอ๋อยเล่าให้ผมฟัง หรือ พ.ต.ท.สุดินทร์) แสดงว่าในขณะนั้น ท่านหญิงทรงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่แสดงอาการว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ควรจะปวดมาก

ง) ท่านเงียบไปสักครู่ แล้วจึงเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ ฟังชัดเจนว่า โอ... สว่างแล้ว ๆ ถึงพระนิพพานแล้ว ๆ สวยจัง เมื่อท่านหญิงทรงตรัสเองเช่นนั้นแล้ว ก็เงียบสงบ มีพระพักตร์ยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุขที่สุด ซึ่งผมได้เห็นอย่างใกล้ชิดตอนรับพระศพ และเคารพพระศพที่คลุมด้วยธงชาติตามที่ท่านได้รับรับสั่งไว้กับคุณมาลีในตอนเช้าวันนั้นทุกประการ

ข้อพิจารณา

ในฐานะที่ผมเป็นหมอตำรวจ ย่อมได้พบและเห็นคนที่ถูกยิงแล้วเสียชีวิตบ่อย ๆ จึงขอเล่ารายละเอียด เกี่ยวกับพระศพของท่านหญิงที่ท่านได้ทรงแสดงธรรมให้ผมเห็น ตามรายงานของแพทย์ และคำบอกเล่าของ พ.ต.ท.สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น)

สรุปโดยย่อได้ว่า กระสุนปืนที่ยิงถูกเฮลิคอปเตอร์นั้นหลายนัด แต่มีเพียงนัดเดียวที่ทะลุลำตัวเฮลิคอปเตอร์ เข้าด้านหน้าเฮลิคอปเตอร์เฉียดเท้าของนักบินแล้วจึงมาโดนท่านหญิง (โดยเฉพาะ) เข้าหน้าท้องกระสุนผ่านตับ ทะลุปอดข้างขวา แล้วออกด้านหลัง บาดแผลด้านหน้า รูกระสุนเข้าเล็ก แต่ทางออกของกระสุนปืนใหญ่มาก จนมองเห็นเลือดและเนื้อของปอดออกมาจุกอยู่ที่ปากแผลชัดเจน

ในลักษณะบาดแผลเช่นนี้ บุคคลธรรมดาแล้วควรจะเสียชีวิตทันที เพราะช็อก (shock) เนื่องจากการเสียเลือดมากอย่างกระทันหัน โดยมีการตกเลือดมากในช่องท้อง ในช่องปอด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความกดดันภายในช่องปอดถูกทำลายทันที จนปอดข้างขวาทั้งหมดแฟบลงอย่างรวดเร็ว คนไข้จะช็อกเพราะขาดทั้งลมหายใจและเลือดไปเลี้ยงสมองอย่างกะทันหัน

แต่เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านหญิงยังทรงมีสติสัมปชัญญะดีตลอดเวลา ยังชะลอขันธ์ ๕ กลับมาได้ และรับสั่งกับหลวงพ่อ หลวงปู่ได้อย่างมีสติดีตามข้อ ๑๓ โดยธรรมชาติที่ท่านแสดงให้ผมเห็นนี้ ผมจึงเข้าใจเอาเองว่า ท่านเป็นผู้ทรงฌานสมาบัติชั้นยอด สามารถใช้ฌานสมาบัติของท่านได้ทันทีเป็นอัตโนมัติ เพื่อบรรเทาทุกขเวทนาทางกาย และใช้วิปัสสนาญาณขั้นสูงพร้อมกันไปด้วย จึงทำให้จิตเป็นสุขตลอดเวลา สมจริงตามที่ท่านได้ตรัสไว้เสมอ ๆ ใน ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ว่า “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย”

(ผมขออนุญาตขยายความว่า ความตายไม่มีความหมาย เพราะคนเราเกิดแล้วต้องตายทุกคน ร่างกายนี้มันหาใช่เรา ใช่ของเราไม่ เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราเป็นเพียงผู้ที่อาศัยร่างกายนี้อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น โลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถจะเอาสมบัติของโลกนี้ติดตัวไปได้เลย ไม่มีใครเป็นใหญ่ได้ในโลก เพราะต้องมีความตายเป็นที่สุด และโลกนี้มีความพร่องอยู่เป็นปกติ เนื่องจากตกเป็นทาสของตัณหา ขอสรุปว่า ท่านไม่ได้ติดวัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้แล้ว รวมทั้งร่างกายที่ท่านอาศัยอยู่ หรือจะกล่าวว่า ท่านไม่ได้ติดสมบัติใด ๆ ในโลกแล้วก็คงไม่ผิด)

นอกจากนั้น ท่านหญิงไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ ที่ไม่พอใจต่อผู้ก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย ทรงให้อภัยทานอยู่เป็นปกติ ด้วยบารมี ๑๐ ครบถ้วนบริบูรณ์ จากทานบารมี-ศีล-เนกขัมมะ-ปัญญา-วิริยะ-ขันติ-สัจจะ-อธิษฐาน-เมตตา และอุเบกขาบารมี ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตาม (ธัมมวิจยะ) บารมี ๑๐ ดูแล้วจะเข้าใจเอง ดีกว่าให้ผู้อื่นมาเป็นผู้บอกให้ฟังพันเท่า หรือหมื่นเท่าทีเดียว

เมื่อเข้าใจด้วยตนเองแล้ว จึงจะเข้าใจในอารมณ์ช่างมัน หรืออารมณ์อุเบกขา หรืออารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้ว่ามันเป็นอารมณ์เดียวกัน แต่มันมีได้ตั้งแต่หยาบ ๆ มาหาชั้นกลาง และละเอียดตามลำดับ และยังเห็นได้ชัดว่า บางคน บางวันก็มีอารมณ์ช่างมัน แต่บางวันกลายเป็นอารมณ์ช่างเผือกไปก็มีอยู่ไม่น้อย

ทั้งนี้เพราะอารมณ์นี้ขึ้นอยู่กับศีลเป็นสำคัญ หากศีลยังไม่เป็นศีล เต็มบ้าง ไม่เต็มบ้าง (ศีล น้ำขึ้นน้ำลง หรือโลกียศีล) อารมณ์ยังขึ้น ๆ ลง ๆ ตามศีล แต่หากศีลของผู้ใดเป็นอัตโนมัติแล้ว หรือมีสีลานุสติอยู่กับใจตลอดเวลา หรือโลกุตรศีล หรือศีลของพระอริยเบื้องต้น หรือศีลของพระโสดาบันนั่นเอง ซึ่งเป็นอธิศีลจะไม่มีคำว่าเผลอ ไม่มีคำว่าขาดอีกต่อไป บุคคลเหล่านี้แหละ จึงจะมีอารมณ์ช่างมันจริง

แม้จะมีอะไรมากระทบก็ทรงอยู่ได้ แต่หากกระทบแรง ๆ ย่อมมีความหวั่นไหวในตอนแรกเป็นธรรมดา แต่ท่านก็สามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้ หรือช่วยตัวเองได้ เอาตัวเองรอดได้ในเวลาไม่นาน (ตามบารมีที่ท่านอยู่ในขณะนั้น) ผู้ที่หมดความหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบคือ พระอรหันต์เท่านั้น

สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความหวั่นไหว ก็คือศีลอีกนั่นแหละ แม้ศีลจะเป็นอธิศีลก็ตาม แต่ยังไม่ละเอียดพอ พระพุทธองค์จึงให้ใช้กรรมบถ ๑๐ คุมอารมณ์จิตต่อไป จากกรรมบถ ๑๐ พระองค์ทรงให้ใช้เทวธรรมและพรหมวิหาร ๔ คุมอารมณ์จิต ไม่ให้เกิดอารมณ์พอใจ หรืออารมณ์ยินดีด้วยในกามฉันทะและปฏิฆะ โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ศีลคือแม่ของพระธรรม หรือศีลเป็นมารดาของพุทธศาสนา (ผมขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาเอาเอง จะได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง เพราะธรรมของพระองค์จะรู้ได้ เห็นได้จริงตามความเป็นจริง ด้วยการปฏิบัติตามวิธีของพระองค์เท่านั้น และรู้ได้เห็นได้เฉพาะตนด้วย หากผู้ใดปฏิบัติยังไม่ถึง หรือยังไม่เข้าใจธรรมะของพระองค์ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ทางเห็นได้ เพราะตัวเข้าใจคือตัวปัญญา หรือสัมมาทิฏฐิเกิด ผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมะ ปัญญายังไม่เกิด หรือยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่) หากจะใช้สังโยชน์เป็นเครื่องวัดความดีของท่านหญิง ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผม คือ

๑. สักกายทิฏฐิ ข้อแรกนี้ชัดเจนในคำอุทานที่ว่า “ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ผมขอผ่านไป

๒. วิจิกิจฉาข้อสองนี้ก็เช่นกัน ท่านเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติตาม ๑๐๐ % คือปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ซึ่งย่อแล้วเหลือ ๓ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือปฏิบัติบูชาด้วยทาน ศีล ภาวนา ท่านปฏิบัติตลอดเวลาชนิดเป็นอกาลิโก (คือ ทำตลอดเวลา ในทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน)

๓. ศีล เป็นอธิศีล หรือเป็นสีลานุสติอยู่ในจิต โดยไม่ต้องระวัง หรือกลัว หรือสงสัยว่า จะผิดศีลหรือไม่จนกระทั่งแม้กรรมบถ ๑๐ เท่าที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน และได้สนทนาธรรมกับท่านเสมอ ๆ พรหมวิหาร ๔ ท่านเต็ม ๑๐๐% จากการเสียสละความสุขส่วนองค์ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อตำรวจทหารที่อยู่แนวหน้า สละแม้แต่ชีวิตและทรัพย์สินที่รักและหวงแหน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเท่ากับตัดโลภะ (ราคะ) นั้นเอง ส่วนปฏิฆะนั้น เมื่อพรหมวิหาร ๔ เต็ม อารมณ์ไม่พอใจย่อมไม่เกิด หรือเกิดก็ดับไปทันที เรื่องกามฉันทะกับปฏิฆะนั้น ผมเพียงแค่คาดคะเนหรือเดาหรือเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เพราะผมปฏิบัติไปไม่ถึง เมื่อยังไม่ถึงก็ต้องมีความสงสัยอยู่เป็นธรรมดา

อนึ่ง จะเห็นได้จากลายพระหัตถ์ที่มีถึงท่านอ๋อย (๑๗ มิ.ย. ๒๕๑๙) และถึงผม (๘ ก.ค. ๒๕๑๙) ท่านรับว่า ท่านทรงศีล ๕ เป็นปกติ.. แต่ใจมันอยากอยู่ในอุโบสถศีลเป็นปกติ และผมก็ขอยืนยันตามเหตุผลในข้อ ๙ ตามตำราศีล ๘ คือ ศีลของพระอนาคามี เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของท่าน เมื่อมีคุณธรรมถึงอนาคามี ศีล ๘ จะปรากฏเอง ไม่ใช่แกล้งทำ หรือต้องบังคับให้เป็นศีล ๘ เหมือนกับผมซึ่งพยายามรักษาศีล ๘ ไว้เกิน ๑๐ ปีแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีคุณธรรมของพระอนาคามีปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย ผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ในขณะนี้มีเป็นแสน ๆ คน แต่ผู้ที่มีคุณธรรมครบหายากจริง ๆ แม้แต่พระสมมุติสงฆ์และสามเณรกว่า ๓ แสนรูปก็เช่นกัน (ยังไม่รวมพวกชีอีกไม่รู้เท่าใด ผมเคยสนทนาด้วยกับชีบางคน พบว่า ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าศีล ๘ มีอะไรบ้าง น่าเศร้าจริง ๆ)

ดังนั้น การถือศีล ๘ จึงไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร หากผู้ใดถือศีล ๘ แล้วไปเที่ยวอวดผู้อื่น หวังประโยชน์จากการถือศีล ๘ ในทางโลก (โลกธรรม) เพื่อตนก็น่าเศร้าเช่นกัน ผู้ถือศีล ๘ โดยขาดปัญญา จึงเป็นการเบียดเบียนตนเอง ทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้จิตใจเศร้าหมอง (จิตเป็นกิเลส หรือเกิดกิเลส) เนื่องจากความฟุ้งซ่านของจิต

ความสงสัยที่เกิดกับจิตว่า สิ่งที่ตนทำไปนั้น ที่ตนกินไปนั้น ที่เวลาเกินเที่ยงไปนั้น มันจะผิดศีลหรือเปล่า จิตเต็มไปด้วยความสงสัย ความระแวง จิตจึงเกิดกิเลส เมื่อกิเลสเกิดอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ ย่อมเกิด (ตัณหา) เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานก็เกิด ผลคือจิตก็ปรุงแต่งไป และสร้างอกุศลกรรมต่อทางใจไปสู่ทางวาจา และออกทางกายในที่สุด และมีบางคนถือศีล ๕ ยังไม่ครบเลย เห็นเขาถือศีล ๘ ก็ถือกับเขาบ้าง โอกาสใกล้นรกจึงมีมากขึ้น ผู้ใดมีปัญญาให้ใช้วิธีของหลวงพ่อท่าน คือถือเฉพาะเวลา เช่น ตอนเจริญกรรมฐาน เจตนาคือตัวบุญ ขอให้บริสุทธิ์จริง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ จิตก็จะไม่เศร้าหมอง

สำหรับท่านหญิงนั้น ศีล ๘ ได้ปรากฏขึ้นกับจิตของท่านเอง เมื่อประมาณ ๖-๗ เดือนก่อนจะทิ้งขันธ์ ๕ ตามตำรากล่าวว่า เมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนา จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๑ วัน หรือ ๒๔ ช.ม. สำหรับส่วนตัว ผมมั่นใจว่าท่านหญิงทรงทราบอยู่แล้วว่าจบกิจ จึงได้บอกกับคุณทิพาและคุณมาลีให้รับทราบตามตรง (โปรดย้อนดูข้อเท็จจริงที่ ๑๑) แต่ทั้งสองคนไม่เข้าใจ นอกจากนั้น หลวงพ่อท่านก็รู้ตามที่พระมาบอกท่านว่า ท่านหญิงจบกิจเมื่อเวลาสองนาฬิกา แต่ขณะนั้น หลวงพ่อท่านพักอยู่ที่ ต.ช.ด. เขต ๘ ทุ่งสง ส่วนท่านหญิงอยู่ที่บ้านรับรองของโรงปูน ส่วนรายละเอียดผมจะไม่ขอเขียนอีก เพราะหลวงพ่อท่านเล่าไว้ละเอียดแล้ว

ปัญหามีอยู่มากในขณะนั้น (เรื่องของทางโลกธรรม) เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ เรื่องฆราวาสจบกิจในพุทธศาสนาจะต้องตายภายใน ๒๔ ช.ม. (ท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านเขียนไว้ชัด ในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพภรรยาของท่าน) ผมก็ของดกล่าว เพราะในหนังสือเล่มนั้นมีของดี ๆ น่าอ่าน น่าศึกษาอยู่มาก

ต่อมาเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมากว่า ๑๐ ปีแล้ว จนถึงในปัจจุบันปัญหานี้ก็หมดไป เพราะมีผู้มาปฏิบัติธรรมและฝึกมโนมยิทธิกันเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน ซึ่งสามารถจะพิสูจน์ความจริงในพระศาสนาได้ด้วยตนเอง หลังจากท่านหญิงท่านสิ้นชีพตักษัยเพื่อประเทศชาติไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาขึ้นเป็น พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต เพื่อตอบแทนคุณความดีของพระองค์ท่าน

ปัญหามีอยู่มากในขณะนั้น (เรื่องของทางโลกธรรม) เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจ เรื่องฆราวาสจบกิจในพุทธศาสนาจะต้องตายภายใน ๒๔ ช.ม. (ท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านเขียนไว้ชัด ในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพภรรยาของท่าน) ผมก็ของดกล่าว เพราะในหนังสือเล่มนั้นมีของดี ๆ น่าอ่าน น่าศึกษาอยู่มาก


บทสรุปส่งท้าย

๑. หลวงพ่อท่านยกเอาท่านหญิงเป็นบุคคลตัวอย่างในการปฏิบัติชอบ หรือสุปฏิปันโน ผมจึงแนะนำให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปดูธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ. ๒๕๓๓ อีกครั้ง เพราะการเห็นพระ (อริยะ) จัดเป็นอุดมมงคล (ในมงคลสูตร)

๒. ขอให้ผู้อ่านพยายามศึกษาปฏิปทา หรือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่านหญิง (ตามอิทธิบาท ๔ และอริยมรรค ๘) อย่างละเอียด เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อที่ใช้เวลาปฏิบัติเพียง ๘ เดือน เรียนวิธีปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงพ่อ แค่ประมาณ ๗ วัน ท่านก็สามารถจบกิจพระศาสนาได้

๓. การปฏิบัติของท่าน ยึดการปฏิบัติที่ใจเป็นหลัก (ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จที่ใจ) ท่านมิได้หยุดงานประจำ ไม่ได้ปลงผมและนุ่งขาวห่มขาว ไม่ได้มานั่งเกาะหลวงพ่อตลอดเวลา ไม่ได้ยึดวัดหรือยึดสถานที่เป็นหลัก ไม่ต้องเลือกเวลา ตั้งเวลาว่าต้องเวลานั้นเวลานี้ แต่ปฏิบัติอยู่ที่ใจตลอดเวลา ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน (ทั้งงานด้านทางโลก และงานทางด้านธรรมะ ถ้าเข้าใจแล้วก็สามารถปฏิบัติจิตไปพร้อม ๆ กันได้)

๔. ท่านยึดสังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางปฏิบัติ ท่านเข้าใจดีว่า ศีลเป็นแม่ของพระธรรม เป็นมารดาของพระพุทธศาสนา สังโยชน์ ๓ ข้อแรก จึงมีความสำคัญอยู่ที่ข้อ ๓ ท่านจึงทรงมีอธิศีลในศีล ๕ ต่อไปก็ทรงกรรมบถ ๑๐ ครบ

(ในระยะ ๗ - ๘ เดือนที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่าน ได้สนทนากับท่าน ไม่เคยได้ยินท่านตำหนิใคร ไม่เคยยกตนข่มผู้อื่น ไม่เคยยกตนเองว่าดี และไม่เคยยุ่งเรื่องของชาวบ้านในเรื่องส่วนตัว ..นอกหน้าที่ท่าน หมายถึงไม่เอาจิตเข้าไปผูกพันให้เกิดทุกข์ ยามช่วยราษฎร์ก็ช่วยอย่างสุดกำลัง หรือทำดีที่สุดเท่าที่จะพึงช่วยได้ พึงทำได้ แต่เมื่อหมดเวลาแล้วจะไม่เป็นทุกข์ เพราะเอาจิตไปผูกพัน

ทรงแยกได้ว่าอย่างไหนโลก (หน้าที่) อย่างไหนธรรม (ทางที่จะพ้นโลก) เมื่อศีลบริสุทธิ์เป็นอธิศีล ย่อมทำให้จิตบริสุทธิ์ตาม (อธิจิต) ส่งผลทำให้เกิดมีความคิดเห็นถูกหรือสัมมาทิฏฐิ หรือเกิดปัญญาในทางธรรม หรือเข้าใจในธรรม ทำให้หมดสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ผู้หมดสงสัยย่อมปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด

สัมมาทิฏฐิคือ ตัวเข้าใจหรือตัวปัญญา ซึ่งเป็นอริยมรรคองค์แรกอันมีองค์ ๘ เมื่อบุคคลใดเข้าใจ มีปัญญา ย่อมหมดความสงสัย และย่อมเลือกเดินทางได้ถูกต้อง คือไม่มีวันเดินทางผิด (ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ)

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ไม่มีโทษอันใดที่จะร้ายแรงเท่ากับมิจฉาทิฏฐิ” เพราะหากเราเริ่มต้นผิด การกระทำของเราก็จะผิดตลอด และด้านตรงข้าม.. หากเราเริ่มต้นถูก มันก็จะถูกตลอด

พระองค์ทรงเห็นแล้วด้วยญาณทัศนะอันบริสุทธิ์ จึงได้จัดให้สัมมาทิฏฐิเป็นองค์แรกในอริยมรรค ๘ ผมจำได้ว่า เรื่องนี้หลวงพ่อท่านเปรียบสัมมาทิฏฐิเหมือนหัวรถจักร (หัวรถไฟ) หากเรายึดหัวรถจักรได้ และตั้งทิศทางที่จะไปได้ถูกต้อง (มรรค แปลว่าทาง) รถย่อมพาเราไปถึงที่หมายได้ถูกต้องและแน่นอน ในทางปฏิบัติองค์ ๗ ที่เหลือก็จะเกิดขึ้นมาเอง และถูกจูงไปทางเดียวกันหมด

ทำนองเดียวกันกับพวกมิจฉาทิฏฐิ จับหัวรถไฟได้เหมือนกัน แต่เลือกทางวิ่งทางผิด (เพราะเป็นมิจฉามรรค) มิจฉาอีก ๗ ตัวก็จะเกิดตามมาเป็นขบวนเช่นกัน

ให้จำง่าย ๆ ว่า อริยมรรคอันมีองค์ ๘ ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ตราบใดที่ยังมีบุคคลปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ของตถาคตแล้ว ตราบนั้น โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า"

๕. ท่านหญิงท่านก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และก็พ้นทุกข์ได้จริงตามที่พระองค์ตรัสไว้ มิได้ไปอาศัยการเข้าทรง ให้องค์นั้นองค์นี้มาประทับมาสอนให้วุ่นวายไปหมด ท่านมีปัญญาอันเกิดจากอธิศีลและอธิจิต ทำให้เกิดปัญญาอันเป็นสัมมาทิฏฐิ หมดสงสัยในธรรมที่หลวงพ่อท่านสอนว่าเป็นสัมมามรรค เป็นสัมมาปฏิปทา จนพ้นทุกข์ได้จริงภายในเวลา ๘ เดือนเท่านั้น ท่านใช้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่ได้พึ่งสิ่งอื่นนอกตัว หรืออำนาจของผู้อื่นมาบันดาลให้เกิดผล

๖. ผู้ใดที่อ่านบุคคลตัวอย่าง (ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต) ของหลวงพ่อท่านแล้ว หากกลับไปทบทวนดูใจ ดูอารมณ์ของตนเองอย่างเป็นธรรม ย่อมต้องเห็นความชั่ว ความเลวของจิตของตนเองอีกมากมาย

เหมือนกับที่ผมเห็นอารมณ์ชั่ว อารมณ์เลวของผมอยู่เกือบตลอดเวลา และพยายามแก้ไขต่อสู้กับมันอยู่เกือบตลอดเวลาเช่นกัน (อัตตนา โจทนัตตานัง) คอยเพ่งดูจิตตนเอง คอยจับผิดที่ใจตนเอง และคอยแก้ไขความผิดที่ใจตนเองไว้เสมอ เป็นอกาลิโก แต่ก็ยังพบความชั่วความเลวอยู่ทุก ๆ วัน

จึงขอยืนยันว่า หากผู้ใดที่ยังไม่เห็นความชั่ว ความเลวที่ใจตนได้ ผู้นั้นจะไม่มีทางละความชั่วได้ (เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ) แต่หากผู้ใดเข้าใจแล้ว กลับตัวกลับใจได้ (มาเป็นสัมมาทิฏฐิ) ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา


(ส่วนดีของบทความนี้ ขออุทิศถวายแด่ พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ส่วนเลวผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/1/17 at 06:55 [ QUOTE ]


[08]

ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ณ พระธาตุจอมกิตติ
เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๙

โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...ผู้จัดทำขอเล่าเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการเดินทางของ "ท่านหญิง" หลังจากเดินทางล่องกลับมาจากเชียงราย เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ กับหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัยแล้ว ครั้งนั้นพระอาจารย์ชัยวัฒน์ก็ได้มีโอกาสไปกับท่านด้วย (ขณะนั้นท่านยังไม่ได้บวช) หลวงพ่อท่านได้นำคณะไปล่องเรือชมเขื่อนในเวลากลางวัน ส่วนในตอนกลางคืนท่านก็ได้พาไปชม "พระพุทธฉาย" ตรงบริเวณสันเขื่อน พร้อมทั้งเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังกัน

สำหรับการไปเขื่อนยันฮี ครั้งที่ ๒ ของหลวงพ่อนั้น (ครั้งแรกท่านเดินทางปี ๒๕๑๖) พวกเราได้มีโอกาสร่วมเดินทางไปกับท่านด้วย โดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๑๙ หลวงพ่อได้นำคณะศิษย์ไปทอดกฐินกับ หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่ แล้วไปงานศพ หลวงปู่คำแสน (ใหญ่) ที่วัดสวนดอก หลังจากนั้นจึงค้างคืนกันที่วัดพระสิงห์ฯ

วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ หลวงพ่อเดินทางแวะที่ ค่ายทหารกองพลที่ ๔ อ.เชียงคำ จ.พะเยา (แต่สมัยนั้นยังขึ้นอยู่กับ จ.เชียงราย) แล้วเดินทางต่อไปที่ ค่ายทหารเม็งราย จ.เชียงราย โดยร่วมกันสมทบทุนเพื่อเป็นค่าสวัสดิการทหารทั้งสองแห่ง

ในตอนเช้าของวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ ทางเจ้าหน้าที่ทหารนำเฮลิคอปเตอร์มา ๒ ลำ เพื่อเดินทางไป วัดพระธาตุจอมกิตติ ลำแรกได้รับหลวงพ่อไปพร้อมกับคณะ ส่วนลำที่ ๒ พระอาจารย์ชัยวัฒน์ได้ไปร่วมกับ หลวงปู่คำแสน (เล็ก) เพื่อคอยดูแลท่าน

ครั้นเมื่อไปถึงวัดพระธาตุจอมกิตติแล้ว หลวงพ่อได้ทำพิธีบวงสรวงสักการบูชา โดยมี ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นผู้จุดธูปเทียนร่วมกับ คุณเฉิดศรี (อ๋อย) ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ต่อจากนั้นพวกเราก็ได้ทำบุญกับหลวงพ่อฯ หลวงปู่คำแสน (เล็ก) และ หลวงปู่ธรรมชัย ในขณะที่ออกจากสมาบัติ

วัดพระธาตุผาเงา

ในเวลาเดียวกันนั้น ได้ข่าวการขุดพบพระพุทธรูปโบราณที่ฝังอยู่ใต้ดิน หลวงพ่อจึงได้นำคณะฯ อันมี ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต และ คุณอ๋อย ภรรยาท่านเจ้ากรมเสริม เป็นต้น เดินทางไปตามถนนเลียบแม่น้ำโขง เมื่อไปถึงจึงเข้าไปกราบนมัสการ พร้อมกับร่วมกันทำบุญสร้างพระวิหาร ซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่า “หลวงพ่อผาเงา”

เขื่อนยันฮี จ.ตาก

...วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ หลวงพ่อพร้อมกับคณะฯ เดินทางกลับมาพักที่ เขื่อนยันฮี จ.ตาก ในตอนกลางวัน เจ้าหน้าที่ของเขื่อนได้นำไปล่องเรือชมความงามตามท้องน้ำ ระหว่างที่เรือแล่นไปนั้น หลวงพ่อจะเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังว่า มีทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ในถ้ำโน้นบ้างถ้ำนี้บ้าง

คณะผู้ร่วมเดินทางต่างก็มองตามที่ท่านชี้บอก เห็นทิวเขาที่อยู่ไกลลิบ มีต้นไม้เขียวชอุ่มไปทั่วบริเวณนั้น บางครั้งท่านก็ชี้ลงไปข้างล่างใต้น้ำ พร้อมกับพูดว่า ถ้าใครไม่เชื่อก็ลองดำลงไปดู ทุกคนฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ เพราะเห็นท้องน้ำใสลึกลงไปหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ความสุขใจจึงเกิดขึ้น พร้อมทั้งกระแสลมที่กำลังพัดเย็นสบายตามธรรมชาติ

การเดินทางไปกับหลวงพ่อในครั้งนั้น ทุกคนยากที่จะลืมเลือนไปจากจิตใจได้ มีความอิ่มใจในด้านทิวทัศน์ของธรรมชาติ และได้รับความประทับใจที่หลวงพ่อให้ความรู้เกี่ยวกับอดีตของสถานที่นี้ ซึ่งยากที่จะมีโอกาสได้รับฟังกันอย่างเปิดเผย เพราะในตอนนั้นจะสังเกตได้ว่าหลวงพ่อมีความสุขมาก เนื่องจากร่างกายของท่านได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ

แต่ในสมัยที่ไปกับหลวงพ่อนั้น หลังจากบูชาพระและชมภาพพระพุทธฉายกันพอสมควรแล้ว ท่านก็ได้กลับมาเล่าประวัติกันที่เรือนพักรับรองนั้น จนถึงเวลา ๒๒.๐๐ น. บางคนก็ต้องเดินทางกลับพร้อมกับคณะอีกหลายคน ส่วนบางท่านก็ยังอยู่กับหลวงพ่อต่ออีกวันหนึ่ง

ในตอนนี้ จะขอนำคำบอกเล่าของหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัยที่ท่านได้เล่าไว้ หลังจากกลับมาจากการบูชาพระพุทธฉาย ซึ่งทุกคนนั่งรับฟังกันอย่างสนุกสนาน โดยมีผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านในสมัยนั้นอย่างเช่น ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา และ พล.ร.อ.จิตต์ - คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ เป็นต้น

อานุภาพแห่งพระพุทธฉาย

“...การที่เราไปบูชาพระเมื่อกี้นี้ ฉันกับหลวงปู่ธรรมชัย เดินกันคนละสาย หลวงปู่ท่านก็เข้าถ้ำไปบ้างตามเรื่องของท่าน ฉันอยู่แต่หน้าถ้ำ ดินแดนแห่งนี้ ความจริงนี่ก็ทราบกันมาแล้ว แต่ทว่าเดี๋ยวเราเปิดกันคนละฉาก ปรากฏว่าหลวงปู่มุดหินมุดดิน.. ฉันก็เล่าเรื่องของฉัน..!

พอพวกเราเริ่มบูชาพระ รูปพระก็ปรากฏ ก็เพราะว่าในสมัยนั้นที่ตรงนี้เป็นเมืองๆ หนึ่ง ที่พระพุทธกัสสปเสด็จเป็นประจำ ถือว่าเป็นเมืองลูกหลวง ท่านไม่จำกัดในนี้

อ้อ..แต่ท่านบอกไว้ตอนท้าย อย่าลืมนะว่า พระศรีอาริยเมตไตรย จะตรัสตรงออกไปจากนี้ เลยจากดินแดนไทยปัจจุบันออกไป ๑๐ กิโลเมตร เป็นที่อุบัติในเขตพม่า สมัยโน้นพม่าไม่มีแล้ว มีแต่พะหมา.. ใช่ไหม.. คนละสมัย..!

พอเราดับไฟลงไปท่านก็ปรากฏ..ที่ปรากฏ ก็คือ พระพุทธกัสสป เป็นเจ้าของภาพ ภาพในสมัยนั้นที่ปรากฏขึ้นก็เพราะว่าท่านเสด็จมาเมืองนี้บ่อยๆ แล้วก็ถ้าเราจะเทียบเอากับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือเมืองของ พระเจ้าปเสนทิโกศล (เมืองสาวัตถี) และเหมือนเมืองของ พระเจ้าพิมพิสาร (เมืองราชคฤห์) เสด็จเป็นปกติ และ เมืองนี้ก็เป็นเมืองอุปัฏฐาก

ที่เมื่อเช้าที่บอกว่า มีพระราชาองค์หนึ่ง ชื่อว่า พระเจ้าปทุมมหาราช นั่นก็คือ พระอินทร์ องค์ปัจจุบันนะ ท่านมาถึงเป็นองค์แรกแล้ว ท่านก็ถามว่า ไอ้เจ้าเมืองปาตลีบุตรมันมาด้วยรึ? ไอ้เราก็งง ฉันงง.. ตั้งแต่เชียงแสนปีก่อนโน้น ตอนนี้ถามว่าใคร บอกว่าก็มันมานั่งหลังแก.. ทำไมไม่จำ..!

หลังจากนั้นก็มีพระมาเยอะ แล้วก็มีพรหม มีเทวดาเยอะ มีตอนหนึ่งที่พวกเราอุทิศส่วนกุศล ขอให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม แต่ความจริง วันนี้เจ้ากรรมนายเวรไม่มีมาเลย มีแต่พวกเก่าๆ ที่เรามาคราวแรก แล้วก็สร้างพระให้เขา เขามาเป็นหมื่น แต่งตัวสวยแพรวพราว บอกว่าขอให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม เขาบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรไม่มี..มีแต่พวก วันนี้มี แต่พวก..ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ใครเห็นใครได้ยิน ตกใจวิ่งหนีกันหมด แกร้องพร้อมกันหมดเลย

ทีนี้ท่านก็เล่าถึงประวัติเดิมว่า ภาพนี้จะปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร...ก็เพราะอาศัย พระเจ้าปทุมมหาราช ท่านมีความเคารพในพระพุทธกัสสป การเสด็จมาของพระพุทธกัสสปก็นานๆ ครั้ง แต่เสด็จประทับครั้งหนึ่งไม่น้อยกว่า ๑ เดือน

บรรดาประชาชนทั้งหลายก็พากันมีความเคารพ เพราะว่าพระราชาบูชานี่ ประชาชนเขาก็เคารพด้วย ทีนี้มีครั้งที่ ๓ ที่ท่านเสด็จมา คือปีหนึ่งมาครั้ง เพราะนานวัน พระเจ้าปทุมมหาราช จึงได้ขอให้พระองค์ทรงแสดงอะไรซักอย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอนุสรณ์.. เป็นที่ระลึก

ท่านจึงแสดงเป็น พระรูปฉาย เข้าไว้ พร้อมไปด้วยพระอัครสาวก แล้วก็สาวกหลายท่านด้วยกัน แต่ว่านี่สมัยมันเลยมาแล้วนะ.. จึงเลือนไป ถ้าสมัยก่อนโน้นก็ยังมีภาพคล้ายๆ พระฉาย เพียงแค่เดินผ่านมาก็จะเห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้าคล้ายกับใครเขียน แต่นูนๆ ขึ้นมาหน่อยปรากฏชัด

แล้วนอกจากนั้นก็แสดง รอยพระบาท ไว้ด้วย แต่รอยพระบาทถูกหินทับไปหมดแล้ว เพราะว่าคนละสมัย ที่ท่านแสดงภาพพระไว้ที่ใกล้แม่น้ำ ก็เป็นเพราะว่า เป็นความต้องการของพระเจ้าปทุมมหาราช ว่าในที่น้ำไหล..มีความเย็น เวลาว่างในตอนเย็นๆ หรือในตอนเช้าๆ ก็พากันมาไหว้พระพุทธเจ้าเป็นที่ระลึก

เป็นอันว่า คนสมัยนั้นมีความเคารพมาก แล้วก็เป็นนักบุญมาก แล้วก็นักบุญสมัยนั้นก็มาเกิดในสมัยนี้ที่เดินมาเป็นแถวๆ นี่ละ แล้วยังมี มากกว่านี้นะ ที่ยังมาไม่ครบ นี่..เรื่องฉันไม่มีมาก เพราะฉันไม่มุดภูเขาเข้าไป ไม่เหมือนหลวงปู่ธรรมชัย..” (เสียงหัวเราะ)

ก่อนที่จะฟังเรื่องราวกันต่อไป ขอขัดจังหวะตรงนี้สักนิด.. ตรงคำที่ว่า...

“นักบุญสมัยนั้นก็มาเกิดในสมัยนี้ ที่ เดินมาเป็นแถวๆ นี่ละ.. แล้วยังมีมากกว่านี้นะ.. ที่ยังมาไม่ครบ..!”

ท่านผู้อ่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่า หลวงพ่อท่านเล่าเป็นปริศนาไว้นานแล้ว เพราะตามธรรมดาท่านไปเล่าเรื่องอดีตไว้ที่ไหน ไม่ว่าที่ดอยตุง หรือ พระธาตุจอมกิตติ เป็นต้น จะไม่มีคำพูดเช่นนี้ เพราะคำว่า “คนที่ยังมาไม่ครบนั้น” ปรากฏว่าตอนหลังพระอาจารย์ชัยวัฒน์ต้องมีหน้าที่พาคนไปอีกเป็นจำนวนมาก

เรามารับฟังเรื่องราวของท่านต่อไป หลังจากที่หลวงพ่อเล่ามาถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็หันไปพูดกับหลวงปู่ธรรมชัย ซึ่งหลวงปู่ก็พนมมือแล้วได้แต่ยิ้ม แต่ท่านไม่ได้หัวเราะเต็มที่อย่างพวกเรา เพราะกำลังเคี้ยวหมากอยู่พอดี ความจริงพวกเราที่กำลังนั่งแวดล้อมหลวงพ่อและหลวงปู่อยู่นั้น ก็อยากจะฟังหลวงปู่เล่าบ้าง แต่เมื่อหลวงพ่อเห็นหลวงปู่ยังฉันหมากอยู่ ท่านก็เล่าต่อไปว่า

“ทีนี้ท่านก็เดินตรวจ พระทุกองค์ท่านก็เดินตรวจ พวกเทวดากับพรหมก็อยู่ห่างออกไปอยู่ล้อมรอบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกที่เราสร้างพระให้ เขาอยู่ทางแถบน้ำไกลลิบแพรวพราว เหมือนกับเพชรต้องแสงดวงพระอาทิตย์.. แพรวไปหมด...!

แล้วตอนหลังสุดท่านก็พยากรณ์ ท่านเดินตรวจไปตรวจมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธกัสสป ท่านบอกว่า...

“คนที่มานี่ทั้งหมดให้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ตายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเสียส่วนหนึ่ง.. ชาตินี้นะ”

ท่านว่าอย่างนั้นนะ ว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ๑ ส่วน เพราะว่าฉันเอาไป ๑ ส่วน ท่านว่าอย่างนั้น

“แล้วเหลืออีก ๒ ส่วน ให้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนเหมือนกัน ท่านบอกว่าเมื่อตายแล้ว ไปสวรรค์นะ ไม่ได้กลับเสีย ๑ ส่วน แล้วเหลือ ส่วนที่ ๒ ที่แบ่งนั้น ก็จะไปหมดในสมัยพระศรีอาริย์...”

เพราะอะไร.. เพราะพวกที่เหลืออยู่นี่นะ มีส่วนในการปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน นี่ก็ต้องเตะโด่งไปอีกนิดหนึ่ง ทำงานแก้ตัว..ใช่ไหม ใครดีใจไหม.. ดีใจเอามาคนละบาท บาท.. บิณฑบาตนะ

นี่...คนที่มองหน้านี่....ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด หรอก..คนใส่เสื้อดำ (ท่านพูดแล้วท่านก็หันไปที่ คุณหญิงสุวรรณาภา) มีหลายคนนะ ๑ ใน ๓ นะ ในจำนวนที่มาอยู่นะ แต่ว่าท่านที่มาทั้งหมดนี่ ถ้าหากที่ว่าท่านพูดกำลังใจที่มีอยู่ในเวลานี้ แล้ว ท่านก็ขมวดท้ายเข้าไปอีกทีว่า...

คำว่า “มรรคผล” นี่..ไม่มีใครสามารถจะ พยากรณ์ได้จริงจัง คนที่ว่าจะล้าหลัง..ไม่แน่ ถ้ารวบรวมกำลังใจเข้มข้น ก็ไปได้หมดเหมือนกัน"

นี่เราพูดกันถึงว่า “กำลังใจ” ที่เรากำลังทำกันอยู่เวลานั้น ที่นั่งอยู่เวลานั้น กำลังใจเราเข้มข้นขนาดไหน ท่านดูกำลังใจเฉพาะเวลา แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า...

“ถ้าหากว่าเขาเร่งรัดตัวเองใช้จังหวะเวลาให้ถูก ใช้กำลังใจให้ถูก คือไม่เคร่งเครียดเกินไป ไม่ย่อหย่อนเกินไป ทำใจสบาย จับ “สักกายทิฏฐิ” เป็นปกติ ทุกคนก็อาจจะไปหมดได้ในชาตินี้”

นี่..ท่านว่าอย่างนั้น ท่านพูดตามกำลังใจที่ ประสบในเวลานั้น เอา..เรื่องของฉันจบแค่นี้ละ..! หลวงปู่ธรรมชัย มุดดินเข้าไปให้ท่านเล่าบ้าง องค์นั้นล่อ “หมาก” เข้าไปพูดไม่ได้ “คนกินหมาก” หรือว่า “หมากกินคน” อย่างนี้เขาเรียก “หมากกินคน” เอ้า..ยังเคี้ยวอยู่..เราก็คุยกันต่อไป

เป็นอันว่า สมัยนั้น..พวกเราที่มานั่ง ทั้งหมดนี้ก็เป็นคนสมัยนั้น คนสมัยนั้นเขาแต่งตัวสวย แล้วคนสมัยนั้นเขาร่ำรวยเพราะ อะไร..? เพราะเขามี พุทธานุสสติ เป็นปกติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นปกติ..เป็นเมืองนักบุญ

แต่ทว่าเวลาจะทำบาปขึ้นมาก็ทำกันเต็ม ที่เหมือนกันเพราะอะไร.. ถ้าใครข่มเหงเมื่อไร เรารวมตัวกันไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ถือดาบถือธนูจัดการกันหมด ปรากฏว่าเราถูกรุกรานหลายวาระ

แต่การรุกรานของข้าศึก เราก็ใช้วิธีปราบ ข้าศึกแบบปัจจุบัน ยันหน้า..ยันหลัง ใช้เป็นกำลังของกองโจรบ้าง ถ้าไม่สำเร็จเราก็ยกทัพใหญ่เข้าประชิด แต่หักล้างข้าศึกได้ทุกคราว เพราะอาศัยที่เราเป็นนักบุญด้วย แล้วก็นักบาปด้วย ถึงไปนิพพานไม่ได้ นั่งป๋ออยู่นี่..ใช่ไหม เอาเข้าหรือเปล่า.. หลวงปู่นะ..?”

เมื่อหลวงปู่ได้ยินหลวงพ่อหันมาพูดกับท่านเช่นนั้น ก็ได้แต่นั่งอมยิ้มอีกเช่นเคย แสดงว่าหลวงปู่ยังไม่พร้อม หลวงพ่อจึงเล่าต่อไปอีกว่า

“...เสร็จแล้วก็หัวหน้านักบาปก็คือฉันล่ะนะ..เดี๋ยวเขาจะหาว่าดีเสียคนเดียว หัวหน้าใหญ่นักบาป ตอนนั้นหนัก..ถูกเขารุกรานหนัก..! พระเจ้าพ่อแก่แล้วท่านเป็นนักบุญ ท่านบูชาพระทุกวัน ท่านบอกว่า...

“เรื่องรบกัน..กูไม่เอาเว้ย..! เอ็งเป็นพระราชา..ข้าเลิก..ข้าเป็นพ่อพระเจ้าแผ่นดินดีกว่า..!”

ท่านเป็นพ่อพระเจ้าแผ่นดิน ปล่อยให้ตัวระยำขึ้นมา..พ่อตีพัง.! นี่..พวกนี้ทั้งนั้น อย่านึก
ว่าแกดี.. ฉันเป็นหัวหน้าคนเดียว.. แกด้วยนะ...”

ลักษณะการแต่งกาย

หลวงพ่อท่านเล่าพร้อมกับชี้หน้าพวกเราที่ นั่งรับฟังอยู่ด้วย พร้อมกับอธิบายต่อไปว่า...

“เราก็ไม่อะไร..แต่งตัวเหมือนกัน เมื่อเวลาข้าศึกประชิดพระนคร ผู้หญิงผู้ชายแต่งตัวเหมือนกัน ตัดผมเหมือนกันหมด แต่ในยามปกติ ผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงยาวขลิบหน้า ใส่เสื้อแขนกระบอก พวกเราฉลาดในการสร้างผ้า โดยมากมีแพรกับไหม

ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เขาถือว่า ผ้าแคว้นกาสี เป็นผ้าที่มีเนื้อดีราคาแพงที่สุด ในสมัย พระพุทธกัสสป ผ้าของเราก็เป็นผ้าที่มีราคา แพงที่สุดเป็นที่นิยมของโลก และนอกจากนั้น เราก็ฉลาดในการหาทองคำกันกับหาเงินใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนแห่งนี้มีทั้งทองทั้งเงิน

เวลานี้น้ำทับไปเสียเยอะแล้ว ใครอยากจะได้ทองและเงินไปวิดน้ำกันมา น้ำแห้งฉันจะชี้ให้ดู ใครอยากจะเป็นพ่อค้าเพชร ไว้ถามท่านธรรมชัย เมื่อกี้ท่านย่องไปดู.. องค์นี้ไม่มีเรื่องอะไร ไปไหนหาแต่เพชรแต่พลอย ถ้าจะให้ดีต้องเจ้ากรมสื่อสารทหาร (ท่านเจ้ากรมเสริม) ไปด้วยก็จะเหมาะ..ไม่มาเสียด้วย..!”

หลวงพ่อเล่าจบก็ส่งไมโครโฟนไปให้หลวงปู่ธรรมชัยเล่าบ้าง พอหลวงปู่ขยับเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง พวกเราก็หัวเราะกันตึง... เพราะเป็นจังหวะที่หลวงปู่รับเรื่องมาจากหลวงพ่อพอดี

“...พวกแก้วแหวนเงินทอง.. เพชรพลอยนี่ บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายที่ติดตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้กราบนมัสการโดยศรัทธาอันแรงกล้า ได้ถอดแหวน เพชร พลอย ทุกอย่าง..ทุกคน เอาบูชาพระพุทธเจ้า แล้วก็เอากองไว้สถานที่นั้น เป็นสักขีพยานพวกเราทั้งหลายที่ได้มานมัสการครั้งนี้”

หลวงปู่ท่านเล่าจบ ก็ได้ส่งไมค์กลับคืนมาให้หลวงพ่อ ท่านจึงได้ถามหลวงปู่ต่อไปว่า..

“อยู่ตรงไหน...เขาอยากจะได้..! ตอนนั้นถอดหนัก..เพราะว่าที่ถอดหนัก..เอาตอนที่ขอให้ท่านฉายพระรูป แล้วก็แสดงรอยพระบาท พอฉายพระรูป แสดงรอยพระบาท ภาพติดกับผนัง แล้วนูนขึ้นมาคล้ายๆ กับคนปั้นพระครึ่งองค์.. ครึ่งตัว..ตั้งเอาไว้ พอตอนกลางคืนมาบูชาก็มีรัศมีปรากฏ ตอนนี้แหละ..หมดตัวกันไปตามๆ กัน หมดตัว..ไม่ใช่ตัวหมดนะ บูชากันหนัก.. ทั้งนี้เพราะอะไร..?

เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระสาวก คำว่า “พระพุทธเจ้านี่..ไม่ใช่พระสาวก” ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าย่อมมีพุทธปาฏิหาริย์มาก เวลาจะไปทางไหนทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ เราก็จะแลดูสวยงาม

ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าท่านสวยเป็นพิเศษอยู่แล้ว นางงามประจำประเทศ นางงามจักรวาล นางงามที่ไหนๆ จะไปวัดหนึ่งในร้อย ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้ เพราะว่าพระองค์ มีอาการ ๓๒ บริสุทธิ์บริบูรณ์หมด..เพียบพร้อม และมีลักษณะอีก ๘๐ ที่เรียกกันว่า “อนุพยัญชนะอีก ๘๐ ส่วน” คือเป็นส่วนย่อยของร่างกาย สมบูรณ์บริบูรณ์หมด นี้ส่วนใดของพระพุทธเจ้า ที่จะเห็นว่าไม่สวยนั้น... ไม่มี..ใช่ไหม..?

เมื่อมีความสวยสดงดงามอย่างนี้ เขาเรียก “รูปัปมาณิกา” พระพุทธเจ้ามีรูปร่างสวยเป็นกรณีพิเศษ เมื่อยังไม่พอก็ยังมีรัศมี ๖ ประการ ประกอบอีก เวลาที่จะแสดงพระธรรมเทศนาที่ไหน ถ้าดูว่าคนมีกำลังใจต่ำ..ต่ำไปหน่อยหนึ่ง หรือว่ามีกำลังใจสูง พอจะกระตุ้นให้เป็นอรหันต์ได้ทันที พระองค์ก็จะทรงใช้ฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการประกอบด้วย คล้ายๆ พระอาทิตย์ทรงกลด

เมื่อพระองค์มีรูปร่างหน้าตาสวย มีผิวพรรณสวย เมื่อแสง ๖ ประการปรากฏขึ้น สะท้อนเข้ามายังพระวรกายก็จะสวยมากขึ้น ตัวก็สวย.. แสงก็สวย ตอนนี้แหละ...เป็นการสร้างศรัทธาแก่พุทธบริษัทให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส

ฉะนั้น คนส่วนมากที่มานั่งจ๋ออยู่ที่นี้บ้าง ยังไม่มาบ้าง ตายไปแล้วบ้าง ไปอยู่ที่พรหมบ้าง อยู่เทวดาบ้าง พวกนี้พอใจในความเป็นพระพุทธเจ้า นั่งไปนั่งมา.. บูชาไปบูชามา.. นึกว่า เอ..กู เป็นพระพุทธเจ้าก็ดีนี่หว่า.. สวยดีนี่.. เลยไป กันไม่ได้ ต้องมานั่งติดแหง๋แก๋อยู่นี่แหละ..!

เขาเรียกว่า “โรครักความเป็นพระพุทธเจ้า” แต่ก็ดี..โรครักความเป็นพระพุทธเจ้านี้ ก็ เป็นปัจจัยให้พวกเราไม่ต้องลงอบายภูมิกันมากว่าพันชาติเศษแล้ว นี้เราก็ขี้เกียจตกนรกกันมานานแล้วนะ ใครจะขยันชาตินี้ก็ตาม ใครไปบ้างล่ะ เดี๋ยวต้องถามท่านเจ้าเมืองปาตลีบุตร ท่านจะพา ใครไปมั่ง...”

คุณภาพของจิตเพียงนิดเดียว

...เมื่อหลวงพ่อท่านพูดถึงเจ้าเมืองปาตลีบุตร ท่านก็หันหน้าไปทาง พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น พวกเราต่างก็สนใจรับฟังเรื่องราวจากท่านต่อไปว่า...

“วันนี้เราไปนั่งกันประเดี๋ยวเดียว แต่ถือว่าเป็นคุณค่ามหาศาล การเจริญพระกรรมฐาน เราก็ต้องฝึกใจให้เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ให้เข้าถึงความดี การเจริญกรรมฐานเวลานั่งเป็นการฝึก เราจะใช้เวลามาก..เวลาน้อย..อันนี้ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณภาพของจิต ถ้าจิตเราสงบสงัดจากกิเลส คือวินาทีเดียว พระพุทธเจ้าก็ทรง สรรเสริญ เคยตรัสกับพระสารีบุตรว่า

“สารีปุตตะ..สารีบุตร! บุคคลใดมีเมตตาจิตก็ดี หรือบุคคลใดทำให้จิตว่างจากกิเลส หรือจิตมีสมาธิชั่วขณะจิตเดียวต่อ ๑ วัน (วันหนึ่งทำได้นิดเดียว อย่าว่า ๑ วินาที ก็รู้สึกว่าจะช้าไปชั่วขณะจิตหนึ่งต่อ ๑ วัน แต่ทำได้อย่างนี้ทุกวัน) เรากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีจิตที่ไม่ว่างจากฌาน”

คำว่า “ไม่ว่างจากฌาน” เป็นปัจจัยให้ ไปเกิดเป็นพรหมได้ ถ้าบุคคลใด ถ้าจิตมีฌาน วิปัสสนาญาณก็เกิด คือ “ปัญญา” เป็นปัจจัย ให้เข้านิพพานได้ นี้เวลานิดเดียวเท่านี้ พระ พุทธเจ้าทรงสรรเสริญ

เวลาเจริญพระกรรมฐาน ก็ขอทุกคนอย่าใช้ปริมาณของเวลาเป็นสำคัญ ขอให้ใช้ปริ มาณคุณภาพของจิตเป็นสำคัญ จะนั่งหลับตา จะเดินอยู่ จะนั่งลืมตา ทำการงานอยู่ กำลังเขียน หนังสือ วางปากกาปั้บ..! จิตจับอารมณ์นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตสบายนิดหนึ่งชั่วขณะนั้น ทีเดียวใช้ได้ เป็นอานิสงส์ใหญ่

หลวงพ่อชวนลา “พุทธภูมิ”

ที่แนะนำเรื่องพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่าพวก เรานี้ติดอำนาจ พุทธานุสสติ มาหลายแสนกัป ทำอย่างไรๆ ก็ตาม ถ้าเราทิ้ง พุทธานุสสติ เมื่อไร พวกเราก็พลาดทางเมื่อนั้น การที่พวกเรายึด พุทธานุสสติ เป็นปัจจัย ฉะนั้น พวกเราจึงมีความมุ่งมั่นกันในขณะนั้น คือหลายสมัยผ่านมา คืออยากเป็นพระพุทธเจ้า

ตัวนี้แหละสำคัญมาก ความอยากเป็นพระพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีต้องใช้ระยะยาว นี้เมื่อใช้การบำเพ็ญบารมีระยะยาว การสั่งสมบารมีก็มีมาก มาในชาติปัจจุบัน.. พวกเราเห็นว่า การเป็นพระพุทธเจ้าลำบาก ต้องบำเพ็ญบารมีกันนานๆ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในสมัย “ปรมัตถบารมี” นี่เราจะต้องประสบกับความทุกข์ยากอย่างหนัก ที่ชาวบ้านธรรมดาเขาไม่มีกัน ถึงแม้ว่าจะมีเงิน จะมีทอง จะมีของใช้เพียบพร้อมอย่างใดก็ตาม แต่ว่าอันตรายทางใจมันจะมีมาก จะต้องใช้ “ขันติ” มาก ขันติบารมีต้องสูง เมตตาบารมีต้องสูง

ในเมื่อเราเห็นความยากลำบากมันจะเข้ามาถึงขนาดนี้ แล้วต้องมาดูตัวนะ..ว่าเวลานี้ “ตุ่มน้ำ” คือบุญ คือกำลังใจที่ขังบุญเหมือนกับตุ่ม ที่ขังน้ำมันก็ใกล้จะเต็มปากเข้ามาแล้ว แต่หากว่าจะต้องการเป็นพระพุทธเจ้า เราจะต้องใช้ตุ่มให้มันโตเข้าไปกว่านี้มาก เราต้องตวงกันเป็นชาติมันถึงจะเต็ม

ถ้าเราจะหันมาเป็น “พระสาวก” ไม่เอาแล้วแบบวิชาครู..ไม่เอา..! มาเป็น เสมียนเสียดีกว่า แล้วก็เห็นว่าน้ำในตุ่มนี่ ถ้า เราจะถ่ายลงตุ่มย่อม คือตุ่มพระสาวก..มันก็จะ เต็ม ยังจะขาดอยู่บ้างก็เล็กน้อย

ฉะนั้น เราจึงกลับใจกันเสียใหม่ เราบำเพ็ญ “พระสาวก” กันดีกว่า ถ้าหากเราจะพูดกันโดยเวลา เราก็เสียเวลามามาก ถ้าเราตั้งใจเป็น “พุทธสาวก” มาเสียนานแล้ว เราก็ไปนานแล้วเหมือนกัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเรานี่ที่เขาไปนิพพานกันนับไม่ถ้วน มันมากกว่า ปริมาณที่มีอยู่โดยปัจจุบัน ที่เขาไปกันแล้ว..เขา ขยันนะ แต่คนขี้เกียจอีกนานหน่อยนะ..!

แต่ดินแดนแห่งนี้เป็นอะไร.. ภาคเหนือก็ดี ดินแดนจุดนี้ก็ดี เป็นดินแดนดั้งเดิมของพวกเรา ฉะนั้นเราจะเห็นว่าการเดินทางน่ะ เราจะมาสายเหนือกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาคนเดียวสำคัญมาก เป็นจอมอันธพาลมาหลายชาติ ฮะ..ท่านเจ้าเมืองปาตลีบุตร..ด้วยกันนะ..พ่อคนนี้ นั่งยิ้มๆ นะ..ไม่ค่อยพูด..พ่อฉะไม่เลือก..ไม่พูดหรอก.. เอาเป็นเอากัน..!

ตรงนี้ถ้าเราจะวัดเขตประเทศไทย ทางแถวนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราเคยใช้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความสำคัญมากกว่าภาคเหนือ โดย มากก็ภาคเหนือเป็นแดนที่เราผูกพันกันมาก เพราะเป็นที่อยู่อาศัยกันมาเดิม เป็นอันว่าพึงรู้ว่า พวกเรานี่.. ไม่ได้ลงนรกกันมาคนละพันชาติเศษ แต่ว่าหลังจากการสร้างบาป เราก็ทำบุญกันอย่างหนัก ไม่ใช่ทำกันอย่างเบานะ..ทำอย่างหนัก..!

เรื่องการถอดเครื่องประดับบูชาพระรัตนตรัย เราทำกันมามาก การส่งเสริมพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เราก็ทำกันมามาก สร้างวัดวาอาราม เราก็ทำกันมามาก การสงเคราะห์กับบุคคลผู้ตกทุกข์ได้ยาก เราก็ทำกันมามาก

ฉะนั้น เราจึงหลีกบาปกันได้ เพราะอาศัยการเจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานช่วย ถ้าหากว่าเราจะ ให้ทานอย่างเดียว หรือว่ารักษาศีลอย่างเดียวอย่างนี้ พระพุทธ เจ้าถือว่ายังเป็น "อนิยตบุคคล" เป็นบุคคลที่ไม่ แน่นอน กำลังใจยังไม่มั่นคงนัก

ส่วนที่จะช่วยคุมกำลังใจไม่ให้ลงนรกไป ได้คือสมถะ และ วิปัสสนาบุญบารมีทั้งหลายเหล่านี้ เราทำกันมานับเป็นอสงไขยกัป ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย เมื่อเราทำกันมามาก ความดีก็มีมาก การสั่งสมตัวก็มีมาก ฉะนั้น การศรัทธาปสาธะ ความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พวกเราจึงมีความมั่นคง

ในเมื่อจิตมีความมั่นคงอยู่ในด้าน อนุสสติ ตามที่กล่าวมานี้ การเป็นสัตว์นรกย่อมไม่มีสำหรับพวกเรา แต่ใครอย่าประมาทนะ ประมาทเมื่อไร... ลงเมื่อนั้น..! แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ก็ที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า พวกที่มาทั้งหมดนี่แบ่งเป็น ๓ ส่วน ๑ ส่วนไปนิพพานได้..ในชาตินี้..!

เหลืออีก ๒ ส่วน แบ่งออกเป็น ๓ แล้วก็ ๑ ส่วนในส่วนนั้นตายเป็นเทวดา.. จะไปนิพพาน เหลือจากนั้นจะไปนิพพานในศาสนา พระศรีอาริย์ ท่านบอกว่านี่เป็นกำลังใจที่สร้างความดีทำบุญในขณะเมื่อกี้นี้..นั่งสมาธิกัน..!

แต่ทว่าบุคคล..คำว่าการบรรลุมรรคผล จะไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้แน่นอนนัก ถ้าทุกคนทำจิตของตนให้ตรงต่อเรื่องของบุญกุศล พิจารณา สักกายทิฏฐิ เป็นปกติ ทำกำลังใจให้มั่นคง ไม่เกียจคร้านจนเกินไป ไม่ขยันจนเกินไป ทำใจให้เป็นปกติ คือเวลาที่ปฏิบัติภาวนา ไม่นึกอยากอย่างนั้น นึกอยากอย่างนี้ มุ่งหน้า อย่างเดียวเพื่อจิตบริสุทธิ์ อย่างนี้ท่านบอกว่า..

“ไปได้หมดทุกคนในชาตินี้..!”


พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เล่าไว้เพียงแค่นี้ แต่ที่ไม่ได้นำมาลงก็เป็นเรื่อง พระเจ้าพรหมมหาราช ซึ่งพวกเราก็ทราบเรื่องกันดีอยู่แล้ว เพราะหลังจากท่านเล่าจบ พวกเราที่ยังมีหน้าที่การงานอยู่ ก็จำใจจำจรจากลาท่านด้วยความอาลัย เพราะความซาบซึ้งตรึงใจในบรรยากาศของค่ำคืนนั้น

ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านมานานเกือบ ๔๐ ปี แต่ก็ยังมีความประทับใจตลอดมา โดยเฉพาะการชวนลาพุทธภูมิ หรือการเล่าว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาพยากรณ์ก็ดี ท่านอาจจะหมายถึง "ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต" ก็เป็นได้ เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนท่านก็ถูกยิงจนสิ้นพระชนม์

ขอสรุปเหตุการณ์คืนนั้นต่อไปว่า ทุกอากัปกิริยาของหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัย รวมทั้งผู้ที่นั่งรับฟังอยู่รอบข้างทั้งหลาย มีทั้งเสียงคุยเคล้าเสียงหัวเราะบ้างในบางครั้ง ผสมผสานกับเสียงจั๊กจั่นเรไรกรีดร้องในยามค่ำคืน ยังปรากฏอยู่ในความทรงจำตลอดเวลา

ซึ่งในปัจจุบันนี้บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้ละสังขารไปกันหลายท่านแล้ว แต่ก็ยังมีอีกคนหนึ่งที่ได้บันทึกไว้ คือ คุณคณิตพร บุณยเกียรติ หรือที่เรียกกันว่า "ครูเปี๊ยก" ได้บันทึกความประทับใจไว้ในหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก ฉบับพิเศษ" อีกว่า

>

>

หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดป่าดอนมูล หลวงปู่ธรรมชัย วัดทุ่งหลวง และ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
ในขณะนั้น ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นผู้จุดธูปเทียนร่วมกับ คุณเฉิดศรี (อ๋อย) ศุขสวัสดิ์ บนโต๊ะบายศรี

...ปลายปี ๒๕๑๙ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ติดตามหลวงพ่อ และคณะศิษย์ของท่าน ไปนมัสการพระธาตุจอมกิตติ ที่อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย และไปเยี่ยมทหารด้วย

การไปคราวนี้มีหลวงปู่ธรรมชัย และท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เสด็จไปด้วย ตอนเช้าได้ไปกราบนมัสการพระธาตุจอมกิตติ ฟังหลวงพ่อเล่าประวัติความเป็นมาของพระธาตุจอมกิตติ ข้าพเจ้ารู้สึกใจสบาย มีความสุขมาก พอวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปลงในค่ายทหารเพื่อเยี่ยมทหาร ท่านมีเมตตาให้ข้าพเจ้านั่งอีกลำหนึ่งที่มีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา และคณะศิษย์อีกไม่กี่คน

ส่วนข้าพเจ้าเป็นศิษย์ใหม่เพียงคนเดียว ยังไม่รู้จักกับใครมากนัก เวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกดีใจและปลื้มปีติมาก เพราะไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน พระเมตตาของหลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้า ตั้งแต่วันแรกจนถึงครั้งนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าอยากมาดูว่า ท่านสอนพระกรรมฐานนั้นเป็นอย่างไร ท่านสอนตอนกลางคืน ข้าพเจ้าจึงชวนน้องชายมาด้วย

เพื่อจะได้เป็นเพื่อนตอนกลับบ้าน พอหลวงพ่อเทศน์จบท่านก็ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก โดยหายใจเข้าภาวนาว่า “พุท” และหายใจออกภาวนาว่า “โธ” พอได้ฟังดังนั้นก็คิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยะจริงๆ เพราะเราหายใจอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิด แต่ไม่เคยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเลย สมัยนั้นเวลาภาวนาจะดับไฟมืดทั้งห้อง ข้าพเจ้าก็มองไปรอบๆ เห็นทุกคนหลับตากันหมด

จึงหลับตาแล้วภาวนาบ้าง แต่จิตก็ฟุ้งซ่าน คิดโน่นคิดนี่ตลอดเวลา เสียงสัญญาณบอกเวลาไฟก็เปิดสว่างขึ้น เห็นท่านหญิงวิภาวดีออกมาจากห้องข้างใน มานั่งคุยกับหลวงพ่อ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าอยากมาเจริญพระกรรมฐานอีก ต่อมาได้รู้จักกับน้าดับ คือคุณประดับวงศ์ นิลประสิทธิ์ กับพี่แอ้ คือ คุณยุพดี จักษุรักษ์ ซึ่งทำงานที่ธนาคารออมสินเหมือนกัน และบ้านก็อยู่ทางเดียวกันด้วย

ได้ชวนข้าพเจ้าให้มาเจริญพระกรรมฐาน และไปส่งที่บ้านทุกครั้งเวลาหลวงพ่อมากรุงเทพฯ นับว่าทั้งสองท่านนี้เป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มาปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ติดตามหลวงพ่อไปจังหวัดสุโขทัย ขณะที่ทุกคนเข้าไปในศาลากราบท่านแม่ย่า วันนั้นท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เสด็จไปด้วย ข้าพเจ้านั่งอยู่ไม่ไกลจากท่านมากนัก

ได้ยินท่านพูดกับหลวงพ่อว่า “เดี๋ยวนี้หญิงไม่ขออะไรอีกแล้ว ขอไปพระนิพพานอย่างเดียว” ข้าพเจ้าฟังแล้วคิดขึ้นมาทันทีว่า ท่านมียศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทาองมากมาย ท่านยังไม่ต้องการอะไรเลย อธิษฐานขอไปพระนิพพานอย่างเดียว ทำให้ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานขอไปพระนิพพานเป็นครั้งแรกเช่นกัน...สวัสดี.

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/2/17 at 12:50 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/2/20 at 04:53 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/2/21 at 05:51 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top