Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 7/1/17 at 06:40 [ QUOTE ]

งานพิธีบวงสรวง ณ พระธาตุจอมกิตติ ปี 2540


สารบัญ

01.
ตอนที่ ๑ การจัดขบวนแห่
02. ตอนที่ ๒ โอวาทหลวงพ่อ..ที่พระธาตุจอมกิตติ
03. ตอนที่ ๓ เหตุที่หลวงพ่อไปเชียงแสนปี ๒๕๑๗
04. ตอนที่ ๔ พิธีการฉลองสมโภช
05. ตอนที่ ๕ คำสั่ง "ท่านแม่ย่าจันทร์เทวี
06. พิธีถวายพระราชสดุดี พระเจ้าพรหมมหาราช
07. บันทึกพิเศษ
08. หลวงพ่อเล่าเรื่อง "พระธาตุจอมกิตติ" ปี ๒๕๒๑

09. ราชวงศ์พระเจ้าพรหมมหาราช


ย้อนรำลึก..งานพิธีฉลองชัย "ตัดไม้ข่มนาม"
ณ อาณาจักรโยนกนครเชียงแสน (พระธาตุจอมกิตติ)
วันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๐



(บรรยายโดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต และ คุณปรีชา พึ่งแสง เมื่อปี ๒๕๔๐)


...เมื่อตอนที่แล้วนั้น ได้เล่าเรื่องการเดินทางไปทำพิธีบวงสรวงสักการบูชา ณ วัดพระธาตุดอยตุง หลังจาก พระครูปลัดอนันต์ ทำพิธีเสร็จแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันกลับลงมา เพื่อรับประทานอาหารกลางวันกัน ส่วนใหญ่คณะรถบัสจะสั่งอาหารกล่องไปทานกันบนรถ เนื่องจากเกรงว่าจะไปไม่ทันตามกำหนดเวลา

เหตุการณ์ในวันนั้น มีความรู้สึกว่าพวกเราที่เป็นลูกหลานหลวงพ่อทุกคน ต่างพร้อมเพรียงกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความกระฉับกระเฉง คล่องตัวกันดีมาก

ทั้งผู้จัดรถก็มีความกลมเกลียวกันดีทุกคณะ ทั้งผู้โดยสารต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเช่นกัน จึงมีความสะดวกและมีความปลอดภัยทุกประการ

เมื่อเรามีความสามัคคีกัน มีระเบียบวินัยที่ดี และตรงต่อเวลาอย่างนี้ ทำให้สามารถจัดงานได้บรรลุผลตามเป้าหมายทุกอย่าง

การรวมตัวกันมากมายอย่างนั้น มิใช่เป็นของง่ายเพราะเป็นการรวมพลัง ที่จะช่วยกันอธิษฐานจิตให้ชาติบ้านเมืองได้พ้นจากภัยพิบัติ อันอาจจะเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติก็ดี หรือภัยจากผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อประเทศชาติก็ตามที

ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น จากการจัดตั้งขบวนอัญเชิญเครื่องสักการะ แล้วเคลื่อนขบวนกันไป ให้ดูเหมือนกับอดีตกาลที่ผ่านมานานนับพันปี

ที่มีการจัดแถวกองเกียรติยศ เพื่อรวมพลกันกอบกู้เอกราช ทุกคนที่จิตใจที่ไม่หวั่นไหวต่อข้าศึกศัตรู เมื่อรู้ว่าจะต้องทำศึกสงคราม มีความคึกคะนองที่จะได้ออกสู่สมรภูมิ

แต่ในครั้งนี้ อาจจะแตกต่างกันไป เพราะเรารวมพลกันในด้านของความดี แล้วทำจิตใจ ไม่หวั่นไหวต่อข้าศึกศัตรู คือกิเลส หรือความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ

ภาระกิจใด ๆ ที่เราตั้งใจไว้ เราก็ได้ปฏิบัติภาระกิจนั้น สำเร็จครบถ้วนทุกประการ ซึ่งเป็นผลงานของพวกเราทุกคน

ส่วนที่บางท่านมีความเห็นว่า น่าจะรวบรัดให้เร็วกว่านี้ หรือผู้จัดไม่สังเกตคนนั่งฟังว่าพลิกท่านั่งหลายครั้งแล้ว และบางท่านก็มีความคิดว่า ใกล้เวลาจะค่ำน่าจะยุติได้แล้ว เป็นต้น




คำชี้แจง

...อาตมาจึงขอเรียนชี้แจงให้ทราบ เพราะในวันงาน อาจจะมีหลายท่านที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง และผ่านจากการเดินขึ้นวัดพระธาตุดอยตุงมาแล้ว บางคนก็ต้องอดทนกับความหิวกระหาย

อีกทั้งก็ไม่ทราบว่า งานจะต้องเสร็จพิธีในเวลาใกล้ค่ำ เหล่านี้เป็นต้น จึงต้องขออภัยทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ ที่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ด้วยเหตุเพราะว่าพิธีกรรมคราวนี้

๑. เป็นการสมโภชพระเจดีย์
๒. เป็นฉลองอายุพระพุทธศาสนา
๓. เป็นการเทอดพระเกียรติคุณพระเจ้าพรหมมหาราช
๔. เป็นการจัดงานย้อนอดีตที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยจัดมาแล้ว ๓ - ๔ ครั้งคือ มีการถวาย "ช้างพลายประกาย"

แล้วถวาย "เครื่องราชกกุฏภัณฑ์จำลอง" และการถวาย "พระเจดีย์องค์เล็ก" เป็นต้น แล้วจึงรวบรัดจัดงานทั้งหมดมากระทำในวันเดียวกันให้เสร็จไปเลย


ฉะนั้น งานพิธีต่าง ๆ เหล่านี้ ก็จำเป็นต้องใช้เวลา เพราะจำเป็นต้องเล่าประวัติความเป็นมาให้ทราบ เพื่อคนที่มาภายหลังจะได้ฟังแล้วเข้าใจ

ส่วนคนเก่าก็จะได้ย้อนความจำกันอีกครั้ง อีกทั้งมีผู้เสนอการฟ้อนรำ และการแสดงรำดาบ รำพลองไฟ การตีกลองสะบัดชัย เป็นต้น

และตามประเพณีของชาวเหนือ ก็จะต้องมีการจุด "พลุพิธี" และ "โคมลอย"เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง ด้วยเหตุนี้ จำต้องรอให้ถึงเวลาค่ำมืดเสียก่อน จึงจะทำพิธีได้ครบถ้วน

แต่บางท่านอาจจะมีข้อแย้งว่า ทำไมไม่บอกกันให้ทราบก่อน เพื่อจะได้เตรียมตัวไว้ให้พร้อม อาตมาก็ขอแจ้งให้ทราบว่า

ในการทำพิธีกรรมอย่างนี้ หรือที่ผ่าน ๆ มานั้น เป็นการทำพิธีแบบ "โบราณกาล" ซึ่งมิได้หมายความว่าคิดดัดแปลงขึ้นมาเอง แต่เป็นการกระทำของคนสมัยก่อนโน้นเป็นแบบอย่าง

เนื่องจากแต่ก่อนนี้ การเดินทางไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อย่างเช่นรอยพระพุทธบาทที่สระบุรี เป็นต้น

จะต้องเดินผ่านป่าผ่านดง มีอันตรายจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ คนสมัยนั้นเขาจะถือเคล็ดคือไม่พูดกันก่อนว่าจะไปไหนเมื่อถึงเวลาเขาจะรู้กัน แล้วเขาก็เดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ

อาตมาก็จำเป็นต้องรักษาธรรมเนียมเก่าๆ ไว้ อีกทั้งได้ประสพการณ์จากที่ได้ผ่านงานมาแล้ว ถ้าไม่รักษาเคล็ดอันนี้ไว้

จะเกิดการยุ่งยากก่อนงานมากทีเดียว จะหาสิ่งของต่าง ๆ หรือบุคคลที่จะมาร่วมงาน จะมีเรื่องที่ยุ่งยากมาก และอีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือจะต้องป่วยไข้ไม่สบายเสียก่อน

ดังตัวอย่างสำหรับงานที่ผ่านมานี้ มีคนป่วยไข้ไม่สบายหลายคน โดยเฉพาะหัวหน้าคณะ คือ "ท่านเจ้าอาวาส" ปรากฏว่ากลับมาถึงแล้วท้องเดินอย่างหนัก ถึงกับต้องให้น้ำเกลือกัน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม งานก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพราะคนส่วนใหญ่ต่างก็ประทับใจ แม้จะเหน็ดเหนื่อยปานใดก็ตาม นั่นคือจุดหมาย เพราะหวังให้คนเร่งรัดบุญบารมีที่จะเต็มเร็วขึ้น

ในตอนนี้ก็ขอย้อนเล่าถึงงานต่อไปว่า ครั้นถึงใกล้เวลาที่นัดหมายกัน คือเวลา ๑๔.๓๐ น. ขบวนรถบัสและรถตู้เริ่มทยอยกันเข้ามา

โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเชียงแสนมาอำนวยความสะดวกให้ เจ้าหน้าที่ของเราก็เตรียมจัดสิ่งของ และแผนผังในการจัดริ้วขบวนตามที่ได้วางแผนกันไว้แล้ว

สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ช่วยกันขนของมาจากวัดก่อนก็มี คณะคุณหมอสุรพงษ์ (อู๊ด) คณะเอ.ไอ.เอ, คณะพุฒตาล และ คุณหมู - คุณนก เป็นต้น

ส่วน คุณอธิก ก็เป็นเจ้าภาพน้ำดื่ม และ คณะรวมใจภักดิ์ โดย อ.วิชชุ มาช่วยกันจัดขบวนในภายหลัง

ส่วนคณะทำบายศรีนอกจากมี โยมน้อย, แม่ชีเล็ก, มณเฑียร แล้วก็ยังมี ทุเรียน, เล็ก, เอ, อุ๋ม, คุณวิชัย และ อ.โอ๋ มาช่วยเสริมอีกหลายคน

โดยมี คุณเครือวัลย์ ซึ่งเป็นพยาบาลไปช่วยขนของกันมาจากวัด ต่างก็ช่วยกันเตรียมอยู่บนลานพระธาตุ

ผู้ที่แต่งกายเป็นชาวเหนือ ก็เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยมี คุณสุทธิลักษณ์ เป็นผู้ให้ยืมชุดบ้าง นอกนั้นก็ได้หาเช่ามาจากที่อื่นด้วย

สำหรับท่านที่หาชุดมาเอง ก็ได้แต่งตัวตั้งแต่อยู่บนรถ ส่วนท่านที่ต้องการมาแต่ง แต่ไม่มีชุดแต่งก็ต้องขออภัยด้วยที่จัดหาได้ไม่ครบทุกคน

เมื่อขบวนรถของท่านเจ้าอาวาสมาถึงแล้ว ขบวนที่ ๑ จัดโดย คณะคุณนราธิปขบวนที่ ๒ เป็นขบวนพระ จัดโดย คณะพุฒตาล

และขบวนที่ ๓ เป็นขบวนหลวง จัดโดย คณะ อ.วิชชุ ทั้งนี้โดยมี คณะหมออู๊ด เป็นผู้ลำเลียงของมาส่งให้

โดยมี พระชัยวัฒน์ คุณอธิก คุณสนิท (ตุ๊) อ.สมพร คุณดรุณ คุณพรเทพ และ คุณเอก เป็นผู้ประสานขบวนทั้งหมด

สำหรับช้างพลายประกายแก้วจำลองนั้น คุณประสงค์, คุณกรลดา และชาวภูเก็ต นำมาร่วมพิธี ส่วนช้างตัวเล็กนั้น คุณสุพัฒน์ ได้ไปหาซื้อมาจากเชียงใหม่ อ.นฤมล ก็ได้ตัดเย็บธงช่อช้าง และหาตุงมาประดับรอบองค์พระธาตุ

ส่วนเครื่องราชกกุฏภัณฑ์จำลองก็เช่นกันซื้อมาแล้วก็ให้ อ.สมพร นำไปแก้ไขใหม่ แล้วให้ ปิราณี ลูกสาว "ช่างเนียน" ปิดทองและประดับเพชรให้อย่างสวยงาม โดยมี ต๋อย ที่อยู่ภายในวัด ช่วยตบแต่งพานรองให้สวยงาม

พุ่มเงินและพุ่มทอง มี คุณวันเพ็ญ และ คณะคุณเครือพรรณ เป็นเจ้าภาพ ส่วนฉัตรเงินและฉัตรทองนั้น มี คุณวิมาลี ศิรประภาชัย และ คุณประพัฒน์ ทีปะนาถ เป็นเจ้าภาพ

สำหรับกรวยดอกไม้นั้น โรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม ช่วยจัดหามาให้ อีกทั้งให้ยืมโซฟา สปอร์ตไลท์ และเครื่องใช้อื่น ๆ อีก ให้เด็กนักเรียนมาช่วยเลี้ยงน้ำ และยืนโปรยข้าวตอกดอกไม้ต้อนรับอยู่สองข้างทาง ในระหว่างที่ขบวนทั้งหมดผ่านไป

ตอนที่ ๑
การจัดขบวนแห่ ขบวนที่ ๑



เมื่อขบวนที่ ๑ ซึ่งเป็น "ขบวนราษฎร์" ผ่านไป โดยการนำของชาวบ้านบรรเลงมองเซิง เริ่มแถวแรกเป็นการอัญเชิญ "ตุงไต" และเสลี่ยงพุ่มผ้าป่า (จัดทำโดย คณะคุณต๋อย แล้วมีผู้มาร่วมปักธนบัตรกันเยอะแยะ) และขนาบด้วยการถือตุงทั้งสองข้าง ต่อจากนั้นจะเป็นผู้ถือป้าย "เวียงโยนกบุรีศรีเชียงแสน" มีผู้ติดตามร่วมขบวนมากมาย

ต่อไปเป็นแถวของผู้ถือป้าย "เวียงไชยนารายณ์" คือชื่อเมือง "เชียงราย" เก่านั่นเอง ปัจจุบันเรียก "ปงเวียงชัย" อันเป็นเมืองของ พระยาเรือนแก้ว พระราชบิดาของ พระนางแก้วสุภา พระมเหสีของพระเจ้าพรหมมหาราช แล้วตามด้วยการถือเสลี่ยงบายศรี ๔ คน พร้อมขนาบด้วยตุงทั้งสองข้าง มีประชาราษฎร์ แต่งกายสวยงามเดินตามเป็นขบวนอีกเช่นกัน


แถวต่อมาเป็นของผู้ถือป้าย "เวียงไชยปราการ" ตามประวัติเล่าว่า เมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชขับไล่ขอมออกไปจากเมืองโยนกบุรีแล้ว จึงทรงให้พระเจ้าพังคราชพระบิดาปกครองเมือง ส่วนพระองค์ขับไล่ขอมไปจนได้เมืองอุมงคเสลา (คือเมืองฝางปัจจุบันนี้) จากขอมได้ แล้วเปลี่ยนชื่อ "เมืองอุมงคเสลา" เป็น "เวียงไชยปราการ"

(หมายเหตุ แต่หลวงพ่อบอกว่า เมืองอุมงคเสลา คือ เมืองหริภุญไชย หรือเมืองลำพูนนั่นเอง คิดว่าเมื่อขอมดำขบายอาณาเขตมาถึงเมืองฝางแล้ว จึงได้ใช้ชื่อว่า "อุมงคเสลา" เหมือนกัน ในตำนาน "สุวรรณโคมคำ" เล่าว่า พวกขอมเคยอยู่แถวเชียงแสนมาตั้งแต่สมัยพุทธกัสสปแล้ว แต่ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาตลอด)

แถวต่อมาเป็นแถวของ "เวียงพางคำ" ซึ่งชื่อของเมืองนี้ ได้ตั้งตามเหตุที่ "พรหมกุมาร" คล้องช้างพางคำ (คือกระดึงทองคำ) ได้แล้วให้ชื่อเมืองนั้นว่า "เวียงพางคำ" อันเป็นบริเวณที่ตั้งค่ายฝึกซ้อมพลทหาร และสร้างสมเครื่องสรรพาวุธทั้งปวง


แถวต่อมาเป็นชื่อ "เวียงสีทวง" อันเป็นเมืองที่พวกขอมขับไล่ให้ไปอาศัยอยู่ ณ ที่นั้นริมแม่น้ำสาย ทิศตะวันตกเฉียงเหนือแห่งโยนกนคร แล้วขอมเข้าจัดการเมืองเป็นใหญ่ในนครโยนกและแว่นแคว้านทั่วไป

เมื่อขบวนแต่ละเมืองผ่านไป ก็ปิดท้ายขบวนด้วยการถือร่มทอง ๒ คน แล้วตามด้วยขบวนอัญเชิญผ้าห่มเจดีย์ และผ้าตุง ๕ เมตร พร้อมด้วยชาวประชาทั้งหลาย

ซึ่งได้เดินขึ้นไปก่อนตามถนนประมาณ ๗๐๐ เมตร จึงจะถึงบริเวณลานพระเจดีย์ เมื่อหัวขบวนเดินขึ้นไปแล้ว ท้ายขบวนจะอยู่เชิงเขา ประชาชนทั้งหมด ได้แหวกแถวออกทั้งสองข้าง เพื่อต้อนรับขบวนที่ ๒ และขบวนที่ ๓ ที่จะเดินผ่านไป

ขบวนที่ ๒



ขบวนที่ ๒ เป็นขบวนพระ โดยมีผู้อัญเชิญป้ายอักษร "คณะศิษย์พระราชพรหมยาน" นำขบวน

ขบวนอัญเชิญเครื่องสักการะที่ ๒ เป็น "ขบวนพระ" มีชาวบ้านตีฆ้องอุยและกังสดาล นำขบวน โดยมี อ.นฤมล และ จารุณี เป็นผู้ถือป้าย "คณะศิษย์พระราชพรหมยาน" แล้ว พระครูปลัดอนันต์ เป็นผู้อัญเชิญพานธูปเทียนแพนำขบวนทั้งหมด



ท่านพระครูปลัดอนันต์ และท่านพระครูวัดโขงขาว ผู้นำขบวนเดินถือพานธูปเทียนแพ

ตามด้วยขบวนอัญเชิญ ฉัตรทอง ฉัตรเงิน, ธงชาติไทย และ ธงธรรมจักร

เป็นการอัญเชิญเสด็จของ "สมเด็จองค์ปฐม" ผู้เป็นองค์ประธานของงานทุกภาค ซึ่งประดิษฐานอยู่ในเสลี่ยงดอกบัวแก้ว มีผู้กั้นกางเศวตฉัตรถวายแด่พระพุทธองค์ ผู้ทรงคุณอันประเสริฐเลิศทั้งไตรภพ


พระบรรจง อัญเชิญรูปพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พร้อมด้วยผู้ถือ พุ่มทองพุ่มเงิน พระไพบูลย์ อัญเชิญรูปหลวงปู่ (พระสุปฏิปันโน) พร้อมด้วยผู้ถือ พุ่มเงินพุ่มทอง


ศ.ดร.ปริญญาเป็นผู้อัญเชิญรูปท่านท้าวมหาราช พร้อมด้วย บัวเงินบัวทอง แล้วติดตามด้วย "คณะศิษย์อาวุโส" ทั้งชายหญิง อันมี จ่าประมวล, จ่าปัญญา และคณะพุทธบริษัททั้งหลาย

ขบวนที่ ๓


ขบวนนี้เป็น "ขบวนหลวง" มีขบวนของผู้อัญเชิญ ธงช่อช้าง (ธงสามเหลี่ยม) นำขบวน ๑๒ คน ติดตามด้วย ขบวนตุง อีก ๘ คน และผู้อัญเชิญเสลี่ยง ช้างพลายประกายแก้ว (เล็ก) ๔ คน ขนาบด้วย ธงช้าง อีก ๒ คน




ต่อไปเป็นขบวนนายทหารองค์รักษ์ ๘ คน ซึ่งเป็นผู้อัญเชิญ "เครื่องราชกกุฏภัณฑ์จำลอง" คือพระมหาพิชัยมงกุฏ, พระแสงขรรค์ธารพระกร (ไม้เท้า), พัดวารวิชนี, พระแส้จามรี, ฉลองพระบาท (รองเท้า) เป็นต้น


แล้วต่อด้วยเสลี่ยง ช้างพลายประกายแก้ว (ใหญ่) ต่อจากนั้นจึงเป็นเสลี่ยงเจ้าเมือง และมเหสี โดย คุณอนันต์ และ คุณแสงเดือน ได้อัญเชิญพานบายศรี (จัดทำโดย คณะพระวันชัย จ.สุโขทัย) ซึ่งติดตามด้วยขบวนชุดฝ่ายในถือร่มทองและถือขันดอกไม้ แล้วตามด้วยขบวนชุดฟ้อนรำ เป็นต้น



ขบวนอัญเชิญเสลี่ยงเจ้าเมือง มีคุณอนันต์ เป็นผู้แต่งกายสมมุติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

...ทั้งขบวนที่ ๑ ขบวนที่ ๒ และขบวนที่ ๓ ต่างก็แต่งกายกันด้วยความสวยสดงดงาม ทั้งหญิงและชาย โดยเฉพาะ อ.ยกทรง สังสัยจะเปิดเซฟสร้อยคอทองคำออกมาทั้งหมดเลย ส่วนบางคนก็ประดับด้วยเพชรนิลจินดา แลดูงดงามระยิบระยับ ตามที่ได้นัดหมายกันมาหลายท่าน



ขบวนอัญเชิญเสลี่ยง ซึ่งมีคุณแสงเดือน พร้อมพันธุ์ เป็นผู้แต่งกายสมมุติเป็นพระมเหสี

...เมื่อ "ขบวนพระ" และ "ขบวนหลวง" เดินผ่านระหว่างกลางของขบวนที่ ๑ ซึ่งกำลังยืนประนมมืออยู่ทั้งสองข้างทาง เป็นการตั้งแถวรอรับเพื่อแสดงความเคารพ แล้วขบวนที่ ๑ จึงกลับมาเข้าแถวรวมกันเหมือนเดิม เดินปิดท้ายขบวนไปจนถึงบริเวณลานพระธาตุ

ครั้นขบวนที่ ๒ และขบวนที่ ๓ เดินมาถึงปะรำพิธีแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้จัดรูปและเครื่องสักการะทั้งหลาย ขึ้นประดิษฐานยังที่โต๊ะหมู่บูชา ส่วนผ้าห่มก็นำไปห่มที่พระเจดีย์ธงช่อช้างและตุงก็นำไปปักไว้รอบ ๆ องค์พระธาตุและกำแพงด้านนอก



ผู้ที่แต่งกายในชุดล้านนาช่วยกันอัญเชิญเสลี่ยง "พานพุ่มเงิน - พุ่มทอง" อย่างสวยงาม

อีกทั้งมีการผูกผ้าประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ไว้ที่ประตูกำแพงด้านใน และที่เต้นท์ปะรำพิธีอย่างสวยงาม

แต่ละคนก็แยกย้ายกันนั่งอยู่ในปะรำพิธีส่วนที่เหลือก็แบ่งออกไปนั่งรอบองค์พระเจดีย์ แต่ที่ไม่สามารถขึ้นมาก็มีอีกหลายท่าน เพราะคนมากมายเหลือเกิน แต่ก็สามารถจะได้ยินเสียงไปทั่วบริเวณนั้น

ครั้นถึงเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ น. จึงได้เริ่มพิธีอันสำคัญ โดยได้เล่าประวัติ พระธาตุจอมกิตติ ต่อจากประวัติ พระธาตุดอยตุงแต่ก็ได้อัญเชิญ "โอวาทของหลวงพ่อ"มากล่าวถึงก่อน แล้วจึงจะเชิญ คุณอนันต์ และ คุณแสงเดือน มาเล่าประวัติกันต่อไป..สวัสดี

<< กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/1/17 at 09:05 [ QUOTE ]



ตอนที่ ๒
โอวาทหลวงพ่อ..ที่พระธาตุจอมกิตติ



...นับตั้งแต่สมัย พระเจ้าสิงหนวัติ มาจนถึงรัชสมัย พระเจ้าพังคราช ครองโยนกบุรีศรีเชียงแสน มีอาณาเขตบริเวณเมืองเชียงแสน ถึงแคว้นพะเยา

ได้สืบพระราชสมบัติติดต่อกันมา ๓๗ รัชกาล ซึ่งหลวงพ่อบอกว่าเป็น พ.ศ.๙๐๐ พอดี ไม่มีการขบถ..ไม่มีทรยศ..ไม่มีการแย่งชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน แล้วหลวงพ่อท่านก็กล่าวต่อไปว่า...

"...ตอนนี้ พ่อขอพูดเรื่องประเพณีนิยมของคนไทยหรือระเบียบวินับ คนไทยที่เป็นไทยจริง ๆ นั้นเป็นผู้รักธรรม ประกอบไปด้วยพรหมวิหาร ๔

แต่ทว่าอาศัยความดีของคนไทย เราจึงต้องขยับขยายพื้นที่ออกไปให้กว้าง ให้พอกับคนจำนวนมาก สมัยพระเจ้าพังคราชนี่ เรามีประชาชนประมาณ ๑ แสนคนเท่านั้น แต่กำลังคนที่จะรวมเป็นกองทัพจับอาวุธสู้ได้ คือตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๖๐ ปี ได้ประมาณ ๓ หมื่นคนเท่านั้น

จงจำไว้ให้ดีว่า "ลูกรัก" ของพ่อทุกคนเป็นคนไทย จงอย่าทำใจเป็นทาส ทำใจของเราให้ทรงไว้ซึ่งความเป็นอิสรภาพ คือความเป็นไท สิ่งที่จะสร้างความสุขให้แก่ลูก อย่าลืมว่าชีวิตของพ่อ...ไม่นานนัก...พ่อก็ตาย...

เวลานี้พ่อมีอายุใกล้ ๗๐ ปีเข้าไปแล้ว ดูพระราชาทั้งหลายเหล่านั้นท่านก็ตาย ความตายของพ่อก็มีจริง พ่อรู้ตัวว่าพ่อจะตาย ฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอยาง วิชาความรู้ที่พ่อให้ลูก...ลูกของพ่อทุกคน...พ่อมีความรัก....


อย่าลืมนะ...! ว่าพ่อรักลูกทุกคน แต่ลูกจงระวังนะ คนอีกพวกหนึ่งที่เขาไม่ใช่ไท เขามีใจเป็นทาส เขาคอยเข้ามาทำลายความสามัคคี มันมีอยู่อีกประการหนึ่ง สังคหวัตถุ ที่จะยึดเหนี่ยวน้ำใจซึ่งกันและกันไว้ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ คือ มโนมยิทธิ ที่พ่อให้ไว้ ต้องรักษาไว้ด้วยชีวิตจิตใจของลูก จับไว้เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตลอดถึงงานสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ

แล้วหลวงพ่อก็ฝากคำพูดที่น่าประทับ ใจไว้อีกว่า...
"ถ้าพ่อตายแล้ว.. ลูกทุกคนยังทำกิจนี้อยู่ ก็ชื่อว่าลูกยังเกาะชายจีวรของพ่ออยู่..."

ประวัติเมืองโยนกบุรี

...เมื่อพระเจ้าพังคราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ในปีที่ ๒ ในขณะมีพระชนมายุ ๒๐ พรรษา พ.ศ.๙๐๒ ก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น

เนื่องจากมีพวก "ขอมดำ" หรือพวก "มอญ" อาศัยอยู่ที่ หริภุญไชยสมัยนั้นเรียกว่า เมืองอุมงคเสลา

ขอมดำนี้ในสมัยนั้นมีอำนาจมาก ปกครองตั้งแต่เมือง "อุมงคเสลา" ลงไปทางใต้ จนถึง "ทวารวดี" นครปฐม ซึ่งในดินแดนนั้น ก็มีคนไทยอาศัยอยู่เกลื่อน เป็นหย่อมๆ เรียกว่า "พวกไทยทวาลาว" ตกเป็นเมืองขึ้นอยู่ในอำนาจของขอมบ้าง โดยเสียภาษีเป็นทองหรือพืชผล ให้กับพวกขอมดำ

ขณะนั้น "พวกขอมดำ" เห็นว่าทางเมืองเชียงแสน มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยข้าวปลาธัญญาหาร มีแหล่งน้ำสำคัญเป็นประโยชน์แก่การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ ประชาราษฎร์ก็อยู่ดีกินดีมีความสุข

บ้านเมืองเป็นปึกแผ่น ว่างเว้นจากการทำศึกสงครามมาหลายรัชกาล มัวแต่ตั้งหน้าทำมาหากินกัน จึงมิได้ตระเตรียมการป้องกันประเทศไว้ให้พอเพียง

เมื่อมีเหตุการณ์คับขันเกิดขึ้น คือพวกขอมดำ ซึ่งเวลานั้นมีกำลังความสามารถมาก ได้ยกกองทัพเข้ามาประชิดติดพระนคร ก็ยากที่จะต่อต้านกำลังข้าศึกศัตรูได้ ผลที่สุดความเป็นเอกราชที่รักษามานานนับเกือบพันปี ก็ต้องสูญสิ้นอิสรภาพไปในบัดนั้น

การยกทัพมาในความครั้งนั้น ได้ยกทัพขยายอาณาเขตมาทางเหนือจะเข้าตีโยนกนครพระเจ้าพังคราชได้แต่งทัพไปรับที่เมืองพะเยา ส่วนทางเมืองโยนกได้จัดให้คนขนย้ายทรัพย์สิน มีค่าต่าง ๆ ไปซ่อนไว้ตามถ้ำ บริเวณหุบเขา "ดอยตุง" และ "แม่สาย"

ทัพไทยตีประวิงเวลาไว้ ๑ เดือน ทัพขอมดำรุกไล่มาถึงเมืองโยนกนคร ไทยจึงยอมแพ้ เป็นอันว่า ขอมดำชนะไทยได้แต่เมืองเปล่า และผู้คนอีกเล็กน้อย

พระยาขอมดำได้ขับพระเจ้าพังคราชให้ไปอยู่ที่ "เวียงสีทวง"หรือ "วังสีทอง" บริเวณแม่สาย ให้เนื้อที่ทำกินไว้แสนไร่

นอกนั้นเขตที่อื่นเป็นของขอมดำ และกำหนดให้ส่งส่วย ทองคำปีละ ๒๐ ชั่ง เวียงสีทวง จึงนับว่าเป็นที่สำคัญ คือ เป็นสถานที่ประสูติของพรหมกุมาร

ไทยได้อพยพไปอยู่เวียงสีทอง มีสันทรายเป็นแดนกั้น ตั้งแต่แม่น้ำโขงถึงแม่น้ำกก ในปีแรกคนไทยลำบากมาก ต้องเตรียมพื้นที่ทำกินใหม่ และยังต้องร่อนทองให้ได้ปีละ ๒๐ ชั่ง เพื่อส่งส่วยขอม

คนไทยอยู่ที่นั่นได้ ๑ ปี พระราชเทวีก็ประสูติราชกุมารองค์แรก พระนามว่า "ทุพภิกขะ" หรือ "ทุกขิตกุมาร" ซึ่งแปลว่า "ผู้เกิดมาในท่ามกลางความทุกข์"

ในปีต่อมาได้มีผู้ทรงคุณวุฒิมาแนะนำเกี่ยวกับวิธีทำ "ทองคำ" โดยใช้ แร่เพรียงไฟ แร่ทองแดง แร่ดีบุก และ สารปากนกแก้ว

นำมาหลอมรวมกันเป็นทองคำ ทำให้คนไทยพ้นจากความลำบาก ที่ต้องไปเสียเวลาร่อนทองเพราะแร่พวกนี้หาได้ไม่ยาก และทำเสร็จสิ้นได้ในเวลาไม่กี่วัน

และคนไทยก็มีทองใช้เหลือเฟือ แม้จะต้องไปแอบทำตามถ้ำเพื่อไม่ให้ขอมเห็น คนไทยได้ร่วมกันทำมาหากิน ในไม่ช้าพื้นดิน บริเวณนั้นก็อุดมสมบูรณ์

พระราชประวัติพระเจ้าพรหมมหาราช


(อธิบายภาพ - หลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมชัย ส่วนที่เห็นหน้าชัดคือ คุณเพ็ญศรี วัสนชิน เรียกกันว่า "พี่แดง ลูกกรอก" ตอนนั้นยังสาวๆ อยู่ และตอนนี้ก็ยังสาวอยู่อีกเช่นกัน วันเวลาเปลี่ยนไป

แต่พี่แดงคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนไป ยังหนักแน่นและมั่นคง สามารถจัดรถนำคณะไปร่วมทุกงานเสมอ ทั้งๆ ที่คนช่วยงานจัดรถที่ "บ้านสายลม" อย่างผู้เขียนก็ยังเคยร่วมงานกับพี่แดงมาก่อนตั้งแต่ยังไม่ได้บวช

ภาพนี้หาชมได้ยาก เพราะสมัยนั้นยังสามารถมองเห็นแม่น้ำโขงได้แต่ไกล ในปัจจุบันนี้ ต้นสักสูงขึ้นปิดบังทิวทัศน์สวยงามไปหมดสิ้นแล้ว สมัยนั้นผู้เขียนยังมีความอาลัยอาวรณ์อยู่เสมอ เมื่อมองออกไปเห็นภาพเช่นนี้ โดยไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน)


....ครั้นอยู่ต่อมาได้อีก ๓ ปี พระมเหสีของพระเจ้าพังคราช ก็ได้ประสูติพระราชกุมารอีกพระองค์หนึ่ง ในวันอาทิตย์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ (เดือน ๔ ไทย) ปีมะเส็ง ในเวลารุ่งแจ้ง พระราชกุมารองค์นี้มีผิวพรรณผุดผ่องและสิริรูปลักษณะงดงามดุจดั่งพรหม จึงให้ชื่อว่า "พรหมกุมาร"

(ในตอนนี้ หลวงพ่อบอกว่า ก่อนที่จะมาเกิดนั้น ท้าวผกาพรหมไปเชิญ ท่านสัมพเกษีพรหม ให้ลงมาเกิดพร้อมกับพรหมอีก ๒๕๐ องค์ เพื่อช่วยกู้ชาติไทยให้ปลอดภัยจากความเป็นทาส)

ครั้นพรหมกุมารเจริญวัย มีชนมายุได้ ๗ ปี ชอบเล่นยุทธวิธี จึงอ้อนวอนขอพระราชบิดาให้ช่างทำเครื่องศาสตราวุธทั้งหลาย และเริ่มซ้อมเพลงอาวุธ ชอบการรบ จึงเอาสหชาติทั้ง ๒๕๐ คน มาเล่นร่วมกัน พออายุเกือบ ๑๐ ปี เริ่มใช้สมอง กราบทูลพระราชบิดาให้ขุดบ่อเป็นที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งจะได้ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ได้

เมื่อพระชนม์ได้ ๑๒ ปี มีเทวดามาเข้าฝันบอกว่า วันรุ่งขึ้นให้ไปที่แม่น้ำโขง จะมีช้างเผือก ๓ เชือก

- ถ้าจับได้เชือกที่ ๑ ได้ จะเป็นจ้าวโลก
- ถ้าจับเชือกที่ ๒ ได้ จะปราบชมพูทวีปได้หมด
- ถ้าจับเชือกที่ ๓ ได้จะปราบขอมได้หมด

พอตอนสาย พรหมกุมารไปดักช้างตามความฝัน แทนที่จะเห็นช้างก็กลับเป็น "งูหงอนแดง" ตัวขาวโพลนใหญ่โตมาก พรหมกุมารกับเพื่อน ๆ คิดว่าเรามาคอยช้าง แต่นี่เป็นงูหงอน ก็ไม่เอา

ตัวที่สองมาเป็นงูหงอนแบบเดียวกันอีก แต่ขนาดย่อมลงไปหน่อยก็ปล่อยไปอีก ตัวที่สามก็มาแบบเดียวกันอีก ก็เลยตัดสินใจกระโดดจับคองูหงอน ก็กลายเป็นช้างเผือกขาวโพลนเดินทวนน้ำมาได้ ภายหลังตั้งชื่อว่า "ช้างพลายประกายแก้ว"เพราะสีใสดังแก้ว

แต่คนทั่วไปเรียกว่า "ช้างพานคำ หรือพังคำ" เหตุที่เอาทองคำหนักพันหนึ่ง มาตีเป็นกระพังทองคำล่อช้างขึ้นจากแม่น้ำ และสถานที่ช้างทวนน้ำ ขึ้นมานั้นได้ชื่อว่า "บ้านควาญทวน"อยู่เหนือสบรวกขึ้นไปเล็กน้อย

พรหมกุมารมีพระชนมายุได้ ๑๖ ปี ก็ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรส และหลังจากได้ช้างเผือกมงคลมาแล้ว จึงทูลขอให้พระราชบิดาเลิกส่งส่วยขอม และให้ชาวเมืองฝึกกำลังอาวุธให้พร้อม ขุดคูขังน้ำ แล้วก็ได้ดัดแปลงหมู่บ้านให้เป็นเมืองชื่อว่า "เวียงพางคำ"ครั้นเตรียมการรบเรียบร้อยแล้ว จึงเริ่มงดส่งส่วยให้ขอม

ฝ่ายพระยาขอมดำเห็นว่างดส่งส่วย จึงได้ให้เกณฑ์ทัพใหญ่ขึ้นมาปราบ ไทยก็เตรียมทัพยกไปตั้งมั่นที่ "ทุ่งสันทราย" และได้เห็นพรหมกุมารและช้างทรงก็ตกใจกลัว หมู่ช้างของขอมก็แตกตื่น

ในตอนนี้ หลวงพ่อท่านได้เล่าว่า
"..เจ้าขอมดำมันรู้ว่าเราแข็งเมือง ก็จัดแจงยกกองทัพมาปราบเรา หวังเผด็จศึกให้สิ้นซากไป ฝ่ายคนไทยพร้อมอยู่แล้วนี่ ก็จัดกองทัพยกออกไปทันที การยกกองทัพไปคราวนั้น มี "ช้างพลายประกายแก้ว" นำทัพ

พรหมกุมารประทับนั่งทรงเครื่องแม่ทัพสวยงาม สง่าผ่าเผยมาก สำหรับพระราชบิดา ประทับบนหลังช้างอีกเชือกหนึ่ง มีเศวตฉัตรกั้น เป็นจอมทัพ มีแม่ทัพนายกองแต่งตัวสวยๆ เป็นการ "ตัดไม้ข่มนาม" ข่มกำลังใจกันไปในตัวเสร็จ

"พลทหาร" ใช้เกราะเงินแกมทอง "นายทหาร" ใช้เกราะทอง "แม่ทัพ" ใช้เกราะทองประดับเพชร มันเป็นการสง่าผ่าเผย ทำให้ข้าศึกครั่นคร้าม เป็นจิตวิทยาอันหนึ่ง แล้วพรหมกุมารจึงประกาศว่า

"การรบคราวนี้ จึงจึกถึงการรบคราวก่อน เราแพ้เขา ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ไปรุกรานเขา ขอมดำยกทัพมารุกรานเราเอง เราแพ้เขา เขาใช้อำนาจทำกับเรายังไง ถ้าเราแพ้คราวนี้ ก็หมายถึงว่า คนทุกคนต้องตายอย่างทรมาน เพราะว่า เขาโกรธเราในฐานะที่เราแข็งเมือง

ฉะนั้น ขอทุกคนจงรบเพื่อชัยชนะ แต่อย่ามีความประมาท ข้อสำคัญที่สุดคือระเบียบวินัย ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา สั่งยังไงทำตามโดยเคร่งครัด เราจะชนะข้าศึกได้ คำว่าแพ้จะไม่มีสำหรับคนไทย..."

พอจบคำประกาศของพรหมกุมาร ก็มีเสียงโห่ร้องกึกก้องขึ้นมาทั้งแผ่นดิน สะเทือนไปหมด พร้อมกันนั้นก็มีฝนตกลงมาเป็นฝอยแสงแดดจ้า เป็นเวลาเที่ยง ละอองฝนตกลงมาในอากาศ แสดงว่าบรรดาเทวดาพรหมทั้งหลายให้พร

เมื่อความมหัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างนั้น ทำให้กำลังใจของคนไทยทั้งหมดก็มีความคึกเพราะ เห็นว่าเทวดาช่วยเรา เราจะเห็นว่าในเวลานั้น การแต่งกายเป็นชายทั้งหมด แต่จริง ๆ เป็นผู้หญิงตั้งเยอะ จับดาบสองมือ และมีอาวุธสารพัด

เมื่อเห็นกองทัพขอมดำเข้ามาใกล้ พรหมกุมารจึงให้สัญญาณโจมตีข้าศึกทันที รุกไล่เข้าไปถึงประตูเมืองโยนกนคร ตอนนี้พระมเหสีที่ติดตามไปเป็นทหารด้วย เสียท่าข้าศึกตอนเข้าประตูเมือง ถูกข้าศึกแอบใช้หอกแทงสิ้นพระชนม์อยู่ข้างประตูเมือง

พรหมกุมารเห็นดังนั้น ยิ่งมีความโกรธแค้นมากขึ้น จึงขับไสช้างประกายแก้วบุกฆ่าฟัน พวกขอมดำล้มตายเป็นอันมาก พวกขอมดำแตกหนีลงมาทางใต้ กองทัพได้ติดตามขับไล่ขอมดำ เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน ก็ได้มาพักอยู่ทีบ้าน "ยั้งทัพ" แล้วเคลื่อนไปรวมพลที่บ้าน "ชุมพล"

แล้วได้ลุกไล่ตีขอมต่อไปอีกนานถึง ๑ เดือน ก็มาถึงเมืองกำแพงเพชร ท่านปู่พระอินทร์ เห็นว่าจะทำบาปมากเกินไป จึงให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาทำให้ทหารทั้งหมด รวมทั้งพรหมกุมารเองก็หมดกำลังใจ พวกขอมพ่ายแพ้ จึงหนีกระจายลงไปทางใต้

เป็นอันว่า พระเจ้าพรหมมหาราชได้ขยายอาณาจักรของโยนกนคร จากพะเยาลงมาถึงกำแพงเพชร เมื่อยกทัพกลับไปแล้ว ก็อัญเชิญพระราชบิดาขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชายเป็นมหาอุปราชแทนที่ตัวท่านจะเป็น แล้วเปลี่ยนนามพระนครใหม่ว่า "เมืองชัยบุรี"

บ้านเมืองแห่งโยนกนครก็เป็นสุขต่อไป เพราะขอมสิ้นปจากแผ่นดินไทยแล้ว เวลานั้น พระเจ้าพังคราชมีพระชนมายุ ๔๒ พรรษา รวมเวลาที่เป็นทาสขอมอยู่นานถึง ๒๒ ปี คนไทยลืมตาอ้าปากได้มีความสุข ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. ๙๒๔ ที่คนไทยได้เป็นอิสรภาพมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้

.

ผู้เขียนใคร่ขอสอดแทรกความเห็นเรื่องปี พ.ศ. สักหน่อย เนื่องจากไปเห็นภาพเดิมๆ จาก oknation เป็นป้ายทางขึ้นพระธาตุระบุว่าทรงสร้างเมื่อปี พ.ศ.๑๔๘๓ ในภาพจะมีวันเดือนปีถ่ายไว้ด้วย

ส่วนภาพในเวลานี้จาก PANTIP.COM จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเป็นปี พ.ศ.๙๒๔ ไปแล้ว นับว่าเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ตรงกันเสียที


ส่วนพระเจ้าพรหมนั้นได้ลงมาสร้างราชธานีใหม่ ทางทิศใต้ ใกล้ลำน้ำกก ให้ชื่อว่า"เวียงไชยปราการ"นอกจากนี้พระเจ้าพังคราช ยังให้เชื้อพระวงศ์ปกครองเมืองใหญ่สำคัญอีก ๒ เมือง คือ เมืองพางคำ กับ เมืองไชยนารายณ์

ซึ่งเคยเป็นราชธานีเก่า สมัย พระองค์ไชยนารายณ์ (โอรสพระเจ้ามังรายนราช องค์ที่ ๒) ปัจจุบันนี้เป็นเมืองร้างที่เรียกว่า "ปงเวียงชัย" ห่างจาก "ศาลากลางจังหวัด" ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร

ในปี พ.ศ.๙๕๖ พระพุทธโฆษาจารย์ ชาวเมืองสุธรรมวดี (สะเทิม) ซึ่งเป็นชาวมอญ ได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระเจ้าพังคราช

พระองค์ได้ทรงแบ่งส่วนหนึ่งให้แก่ พระยาเรือนแก้ว เจ้าเมืองไชยนารายณ์ เพื่อบรรจุในพระมหาเจดีย์ คือที่ "พระธาตุดอยจอมทอง" อ.เมือง จ.เชียงราย

ส่วนภายในให้ขุดดินลึกลงไป ๕ วา ทำผนังศิลาแลงกันน้ำ แล้วบุด้วยทองคำ ตรงกลางตั้งเป็นกระถางทองคำขนาดใหญ่บรรจุน้ำไว้แล้วทำเรือสำเภาทองคำ และทำมณฑปเป็นที่ประดิษฐานผอบแก้ว ผอบทอง ผอบเงิน ผอบนาค และ ผอบงาช้าง เป็นชั้น ๆ

ลักษณะภายในองค์พระธาตุ



(หลวงพ่อนั่งด้านหน้า ส่วนหลวงปู่บุดดานั่งอยู่ด้านหลัง สำหรับสถานที่พวกเราต้องจัดทำกันเอง)

เมื่อบรรจุแล้วก็สร้างเจดีย์ขึ้น ทำทองคำแผ่น คือรีดเป็นแผ่น ๆ แปะหุ้มภายนอกขององค์พระเจดีย์ ตั้งแต่ยอดลงมาถึงฐานเต็มองค์

ดังนั้น เจดีย์องค์เดิมที่บรรดาลูกหลานเห็นเป็นทองอร่ามอยู่ในองค์ปัจจุบัน นั่นเป็นความจริง ต่อมา พระเจ้าผาเมือง ทรงสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ทับเข้าไว้ดังที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน

ในตอนนี้ขอแทรกจาก "พงศาวดารโยนก" เล่าว่า พระพุทธโฆษาจารย์ได้มาสู่แว่นแคว้นนี้ เมื่อวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีพุทธศักราช ๙๕๖ ได้นำพระบรมสารีริกธาตุจำนวน ๑๖ องค์

ส่วนหนึ่งได้นำไปบรรจุไว้เรียกว่า "ธาตุเจ้าจอมทอง" อ.เมือง จ.เชียงราย อีกส่วนหนึ่งบรรจุไว้ที่ดอยน้อยแห่งนี้

พระบรมธาตุเจดีย์สำเร็จใน วันจันทร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ตรงกับ วันวิสาขบูชา แล้วทำพิธีสมโภช โดยมี พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นประธาน

พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เล่าต่อไปว่า เวลานั้น พระพุทธโฆษาจารย์ท่านชี้จุดบนดอยน้อยนี้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับ ณ ที่นี้

(ท่านเสด็จยืนประทับอยู่ตรงที่สร้างศาลาไว้ แล้วจึงเสด็จออกมาตรงกลางพระเจดีย์) ทรงอธิษฐานให้เส้นพระเกศาของพระองค์หลุดติดพระหัตถ์มา ๓ เส้น

เมื่อทรงเสยพระเกศาแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงฝังเส้นพระเกศา โดยการอธิษฐานให้จมลงไปบนยอดดอยน้อยนั้น แล้วทรงพยากรณ์ว่า

"เขตแดนนี้ ต่อไปจะมีนามว่า โยนกนคร จะมีความเจริญรุ่งเรือง จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี..."

เวลานั้นทุกคนทราบเรื่องก็ดีใจ ประกอบกับความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากอยู่แล้ว ในด้านทาน ศีล ภาวนา ครบถ้วน

ต่อมาได้มีการบูรณะและก่อสร้างเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง และในสมัย พระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาของ พระเจ้าเม็งราย ก็ได้ทรงบูรณะเมืองเชียงแสนขึ้นใหม่ จากซากเมืองร้างเดิม พร้อมทั้งบูรณะองค์พระธาตุจอมกิตติ ให้เรียบร้อยเสียใหม่ด้วย

สมัยพ่อขุนผาเมือง

ใน ตำนานพระธาตุจอมกิตติ ยังเล่าไว้อีกว่า ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เล่าต่อ ๆ กันมาว่า มีพระอัฐิของพ่อขุนผาเมือง บรรจุอยู่ในบริเวณพระบรมธาตุจอมกิตตินี้เอง โดยเล่าว่าหลังจากตีเมืองสุโขทัยได้จากขอมแล้ว ให้ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ครองกรุงสุโขทัย

ส่วนท่านก็ขึ้นมาครองเมืองเชียงแสนได้ประมาณ ๓ ปี ก็ให้ช่างต่อฐานพระธาตุ และเสริมยอดพระธาตุเสียใหม่ โดยเพิ่มเหนือคอระฆังเป็นรูปกลีบมะเฟืองหรือ "ปลี" สัญลักษณ์ของ "พระมหามงกุฏ" กษัตริย์ไทยสมัยโน้น

เพิ่มลูกแก้วด้านล่างของพระมหามงกุฎ ๒ ลูก และเพิ่มลูกแก้วตอนบนอีก ๑ ลูก นอกจากนี้ยังได้อัญเชิญพระบรมธาตุขึ้นไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์อีก ๑๓ องค์ ไม่ทราบว่าท่านได้มาจากไหน

ต่อมา พ.ศ. ๒๒๓๗ เจ้าฟ้าเฉลิมเมือง พร้อมด้วยคณะศรัทธาเมืองเชียงแสน ร่วมกันปฏิสังขรณ์อีกครั้งหนึ่ง

ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย และ ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองเชียงแสนกลายเป็นสมรภูมิระหว่างไทยกับพม่าครั้งหนึ่ง พ.ศ.๒๓๔๗ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ครั้งนี้ทหารไทยได้เผาเมืองเชียงแสนทิ้งเสีย เพื่อมิให้เหลือเป็นที่มั่นของข้าศึกต่อไป แล้วอพยพครอบครัว ไปอยู่กันที่อื่นทั้งหมด

ในสมัยต่อมาขณะที่พระเครื่องรางของขลังกำลังเฟื่องฟู มีพวกนักขุดค้นหาของเก่าอันมีค่า พากันมุดพงหญ้าเข้าไปงัดแงะ จนพระบรมธาตุทรุดเซลง เกือบจะล้มลงมาอยู่แลัว ก็พอดีกรมศิลปากรเข้ามารักษาไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐

เวลานั้น พระครูสังวรสมาธิวัตร วัดเพลงวิปัสสนา กรุงเทพฯ พร้อมด้วยคณะชาวอำเภอเชียงแสนทั้งหลาย จึงช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์

โดยมี พระครูวิกรมสมาธิคุณ เป็นเจ้าอาวาส มาจนกระทั้งปัจจุบันนี้ อีกทั้งได้มีการสร้างพระอุโบสถใหม่ และสร้างแผ่นทองคำบุรอบองค์พระธาตุไว้ ดังที่เห็นกันในปัจจุบันนี้

.....ขอย้อนกล่าวถึงในบั้นปลายของชีวิตพระเจ้าพังคราช ได้เสด็จไปเจริญสมณธรรม ที่วัดปากน้ำคำ ใกล้ ๆ บริเวณ วัดพระธาตุผาเงา ในปัจจุบันนี้ ทรงฌานสมาบัติจนทิวงคต ก็ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑ แต่ปัจจุบันนี้ (พ.ศ.๒๕๒๔ ท่านไปนิพพานแล้ว)

ส่วนพระเจ้าทุกขิตะได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ต่อใน พ.ศ.๙๖๕ และพระราชโอรสพระนามว่า พระองค์มหาวรรณ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อมาในปี พ.ศ.๙๗๐ ณ นครโยนกเชียงแสน หรือเวียงชัยบุรี

ส่วน เมืองไชยปราการ พระเจ้าพรหมมหาราชครองราชสมบัติ มีอาณาเขตถึงเมืองกำแพงเพชร หลังจากได้อภิเษกสมรสกับธิดาพระยาเรือนแก้ว เจ้าเมืองไชยนารายณ์ พระนามว่าพระนางแก้วสุภา ทรงมีพระโอรสด้วยกัน พระนามว่า เจ้าไชยสิริกุมาร และได้ขึ้นเสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาเมื่อ พ.ศ.๙๗๕

และในสมัยที่ทรงขับไล่ขอมดำไปถึงกำแพงเพชร ทรงได้พระธิดาเจ้าเมืองเชลียง (เขตเมืองสวรรคโลก) เป็นชายาอีกด้วย พระเจ้าพรหมมหาราชมีราชโอรสและธิดาหลายพระองค์

พระโอรสองค์ใหญ่ พระนามว่า "เจ้าเดือนแจ่มฟ้า" ได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ในปี พ.ศ.๙๗๕ ราชสมบัติจึงได้ตกแก่พระโอรสองค์รองคือ "เจ้าไชยศิริ"

หลวงพ่อเล่าว่า พระเจ้าพรหมมหาราชทรงปกครองบ้านเมืองสงบสุข มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ทรงเจริญสมณธรรม ได้ฌาณสมาบัติ เวลาทิวงคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิม

ตามพงศาวดารบอกว่า พระองค์ทรงพระประชวรทิวงคต เมื่อมีพระชนมายุได้ ๗๗ พรรษา ในปี พ.ศ. ๙๗๕ แล้วหลวงพ่อท่านได้สรุปว่า...

"...ต่อมาภายหลังลูก ๆ ของพระเจ้าพรหมมหาราชเก่งไม่เท่าพ่อ ก็เลยเสียเอกราชให้แก่ไทยใหญ่ แต่ก็ไทยเหมือนกัน แล้วราชวงศ์เชียงแสนก็ถอยหลังลงมาทางใต้ เป็นต้นตระกูลของ พระเจ้าอู่ทอง ที่สร้างกรุงศรีอยุธยา

และเวลานี้ ราชวงศ์จักรี ก็เป็นราชวงศ์ของเชียงแสน อยู่นั่นเอง นี่คนแก่ซึ่งไม่ใช่พ่อนะ ท่านเล่าให้ฟังต่อ ๆ กันมา

พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก

...สำหรับ พงศาวดารชาติไทย โดย พระบริหารเทพธานี ได้เล่าเสริมว่า

ในปีที่พระเจ้าทุกขิตราชสวรรคตไปแล้วนั้น พระเจ้าพรหมมหาราช ได้เสด็จลงมาสร้างเมือง พิษณุโลกสร้างพระพุทธรูป ๓ องค์ คือ พระพุทธชินราชพระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดา จึงได้เฉลิมพระนามว่า "พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก"

แล้วโปรดให้ เจ้าไกรสรราช พระราชโอรสได้อภิเษกกับ นางสุลเทวีพระราชธิดาพระยาศรีสัชนาลัย ให้เสด็จลงไปครองเมืองละโว้

ต่อมา พระเจ้าสายน้ำผึ้งพระราชโอรสเจ้าไกรสรราช ผู้เป็นพระราชนัดดาของพระองค์ก็เสด็จไปครองเมือง เสนาราชนคร ที่ปากน้ำแม่เบี้ยใต้ "วัดพนัญเชิง"

เขตทิศใต้ของเมืองจึงลงมาจรดปากน้ำเจ้าพระยา ในปีนั้น พระเจ้าพรหมมหาราชก็ได้เป็นใหญ่ในอาณาเขตโยนกเชียงแสน สมดังหนังสือพงศาวดารเหนือว่า "พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก"

หากท่านใดที่ยังเข้าใจว่าเป็น พระเจ้าลิไทย นั้น ก็คงจะทราบความจริงตามหลักฐานดังกล่าวนี้ ซึ่งหลวงพ่อเองท่านก็ยืนยันว่า พระบริหารเทพธานี สันนิษฐานถูกต้องแล้ว ดังนี้

พระเจ้าพรหมมหาราชทรงเป็นกษัตริย์ที่กล้าหาญในการรบ และทรงพระปรีชาสามารถในทางธรรมะอย่างแตกฉาน ทรงมุ่งในกิจการพระศาสนา สร้างวัดและสร้างพระเป็นจำนวนมาก

ทรงบำเพ็ญพระจริยวัตรเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย หวังสร้างพระบารมีเพื่อบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนได้เฉลิมพระนามว่า "พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก"

ประวัติเมืองพิษณุโลก

.....ต่อมาพระองค์ได้โปรดให้สร้างเมืองใหม่ใกล้แม่น้ำน่าน เนื่องจากเวลาเสด็จเข้าเมืองเป็นยาม "พิษณุ" จึงให้ชื่อเมืองว่าพิษณุฤกษ์ และเพื่อเป็นการชำระหนี้กรรมที่ได้ทรงนำทัพขับไล่ฆ่าขอมดำเป็นจำนวนมาก จึงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปสำคัญ ๓ องค์นั้น ไว้เป็นอนุสรณ์ ณ เมืองพิษณุฤกษ์

ส่วนหลวงพ่อได้เล่าเรื่องนี้ไว้ว่า...
"เมืองพิษณุโลกนี้ เดิมเขาเรียกว่า "เมืองสองแคว" เพราะว่าบ้านเมืองอยู่สองฝั่งลำแม่น้ำ ท่านผู้เฒ่าเคยเล่าให้ฟังว่า ที่เรียกว่า "พิษณุโลก" ก็เพราะว่าในสมัยหนึ่ง มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งอยากจะตั้งเมือง แต่ไม่แน่ว่าจะตั้งตรงไหน บังเอิญเดินไปพบฤาษีชี้บอกว่าตรงนี้ดี ถ้าสร้างเมืองละก้อ...ตรงนี้ดี

เขามีพังพอนกับอะไรกัดกัน ไอ้สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น สัตว์ที่มีกำลังมากวิ่งหนีสัตว์ที่มีกำลังน้อย เขาว่ากันอย่างนั้น เมื่อชี้ที่ให้แล้วก็เตรียมการจะตั้งเมือง ก็ปรากฏว่าชี้ที่เสร็จท่านฤาษีก็หายไป ท่านผู้รับฟังก็เลยทึกทักเอาว่า

ท่านผู้บอกนี้เป็น วิษณุกรรมเทพบุตร นายช่างของพระอินทร์ จึงได้มอบขื่อเมืองนี้ว่า "พิษณุโลก" มีความหมายว่า "พิษณุฤกษ์" คือ "พิษณุเทพบุตร" เป็นผู้ให้ฤกษ์ ชื่อเรียกตามเดิมเขาเรียก "พิษณุฤกษ์" แต่นาน ๆ ก็เลยเพี้ยนเป็น "พิษณุโลก" ไป.

ผู้สร้างเมืองกำแพงเพชร

ในขณะนั้นบ้านเมืองยังเจริญรุ่งเรืองปกติสุขมาจนถึง พ.ศ.๙๘๖ เมื่อ พระเจ้าไชยสิริ เสวยราชย์ได้ ๑๑ ปี ก็มีเจ้าเมืองสุธรรมวดี เชื้อสายไทยอาหม ไทยใหญ่ ยกทัพข้ามแม่น้ำคงมาตีเมืองไชยปราการ

พระเจ้านรธา
กษัตริย์เมืองสุธรรมวดี คือเมืองสะเทิม ยกไพร่พลมามากและมีกำลังเหนือกว่าไทย เพราะมีปืนใหญ่มาด้วย ทำให้กองทัพไชยปราการไม่สามารถจะต้านทานกำลังได้

พระเจ้าไชยสิริโปรดให้อพยพไพร่พลหนีมานครโยนก แต่ไม่สามารถจะข้ามแม่น้ำกกมาได้ เพราะเป็นฤดูน้ำท่วมฝนตกหนัก

ดังนั้น พระองค์จึงพากันหนีไปทางตะวันออก ล่องใต้ไปทางผาหมื่น จ.แพร่ จนถึงบริเวณพระเจ้าพรหมมหาราชทรงเคยไล่ตีขอมไปถึงที่นั่น คือบริเวณ เมืองแปป ซึ่งขณะนั่นเป็นเมืองร้าง

เมื่อทรงเห็นว่าชัยภูมิดี จึงสร้างเมืองใหม่ให้ชื่อว่า กำแพงเพชร ตามเหตุที่พระอินทร์ทรงให้ไพร่พลของพระเจ้าพรหมอ่อนกำลังลง ไม่สามารถรุกไล่ขอมดำต่อไปได้ ประดุจเหมือนกำแพงมากั้นไว้ ฉะนั้น ทั้งทรงขนานพระนามใหม่ว่า "พระเจ้าไชยสิริเชียงแสน"

และในเวลาต่อมา เชื้อพระวงศ์ได้ขยับขยายจากเมืองแปป ลงมาทางใต้ถึงดินแดนแคว้น สุวรรณภูมิและสืบเชื้อพระวงศ์กัน ต่อมาเป็นต้นตระกูลของพระเจ้าอู่ทอง ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาในที่สุด

ส่วนเวียงไชยปราการนั้น ต่อมากลายเป็นเมืองร้าง แต่นั้นมามหากษัตริย์เจ้าทั้งสองเมืองพี่น้องกัน ต้องพลัดพรากจากกันไปไกล เมื่อพระเจ้าสุธรรมวดียกทัพเข้าเวียงไชยปราการ มิได้พบผู้คนและทรัพย์สินนอกจากเมืองร้างจึงต้องยกทัพกลับไป

เวียงหนองล่ม

ฝ่ายทางเมืองโยนกเชียงแสน หลังจากพระองค์มหาวรรณแล้ว ราชโอรส คือ พระองค์มหาชัยชนะ เป็นกษัตริย์ต่อมาครองราชย์ได้ พ.ศ.๑๐๘๘ พระองค์มหาชัยชนะครองราชย์ได้ ๘ ปี เวียงโยนกนครถูกน้ำท่วมใหญ่ ตำนานว่าประชาชนกินปลาตะเพียนเผือก

แต่ปลาเป็นพิษทำให้เกิดโรคระบาดล้มตายหมด กระแสน้ำจากแม่กกไหลหลากเข้าไปตามร่อง "แม่น้ำลาก" ใน อ.แม่จัน จนท่วมท้น ตลอดทั้งเวียงโยนกนคร จึงล่มจมน้ำแต่นั้นมา สถานที่นั้นได้ชื่อว่า "เวียงหนองล่ม" จนทุกวันนี้

เวียงปรึกษา

ส่วนชาวเมืองที่อพยพหนีน้ำทัน ก็ได้ร่วมใจกันสร้างเมืองใหม่ริมแม่น้ำโขงฝั่งตะวันตก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของโยนกนครเดิม ให้ชื่อเมืองใหม่ว่า "เวียงปรึกษา" แต่งตั้ง "ขุนลัง" เป็นเจ้าเมืองปกครอง ในพ.ศ.๑๐๙๗

แต่นั้นมาได้สิ้นกษัตริย์วงศ์ สิงหนวัติ ผู้สืบเชื้อสายมาจากกรุงราชคฤห์ รวมกษัตริย์ครองราชสมบัติในนครโยนกเชียงแสนรวม ๔๔ รัชกาลด้วยกัน

เป็นอันว่า เรื่องราวก็มาจบลงเพียงแค่นี้ในโอกาสนี้ขอนำคำสรุปจากหลวงพ่อ ถือว่าเป็นคติธรรมที่ท่านพูดไว้สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่

คติธรรมของหลวงพ่อ

"...พ่อมานั่งนึก ๆ ดูนะว่าพวกเราที่กำลังนั่งรวมกันอยู่ที่นี่ ดีไม่ดีก็จะเกิดในสมัยเชียงแสน หรือสมัยพระเจ้าพังคราชตอนโน้นก็ได้ ดีไม่ดีก็เป็นนักรบบ้าง นักรักบ้าง แล้วก็มานั่งป๋อหล๋อ...! กันอยู่ที่นี่ก็ได้...ใครจะไปรู้...!

ถ้าเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ หรือว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านชอบซุกซิก เราก็อาจจะถามท่านได้ว่า พวกเราที่กำลังนั่งฟังอยู่ เวลานี้เกิดทันสมัยนั้นบ้างหรือเปล่า เป็นนักรบบ้างหรือเปล่า ดีไม่ดีท่านก็จะชี้หน้าว่าคนนั้นเป็นคนนี้ คนนี้เป็นคนนั้น ๆ เป็นต้น

ในขณะที่หลวงพ่อพูดนั้น บางท่านอาจจะคิดว่า เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น คงจะไม่มีโอกาสได้เกิดร่วมสมัยก็เป็นได้ อย่าลืมว่าสมัยนั้น กองทัพกู้ชาติของพระเจ้าพรหมมีนับหมื่นนับแสน พวกเราที่มาภายหลังอาจจะเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นก็ได้ ดังที่หลวงพ่อเคยพูดไว้ เมื่อตอนไปเหนือเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ มีใจความว่า

"...คนส่วนมาก ที่มานั่งจ๋ออยู่ที่นี่บ้าง ยังไม่มาบ้าง ตายไปแล้วบ้าง ไปอยู่ที่พรหมบ้าง อยู่เทวดาบ้าง พวกนี้พอใจในความเป็นพระพุทธเจ้า นั่งไปนั่งมา บูชาไปบูชามา นึก เอ...กูเป็นพระพุทธเจ้าก็ดีนี่หว่า...สวยดีนี่..! เลยไปกัน ไม่ได้ ต้องมานั่งติดแหง๋แก๋อยู่นี่แหละ...! เขาเรียกว่า... "โรครักความเป็นพระพุทธเจ้า"

แต่ก็ดี..โรครักความเป็นพระพุทธเจ้านี้ ก็เป็นปัจจัยให้พวกเราไม่ต้องลงอบายภูมิกันมากว่าพันชาติเศษแล้ว นี่เราก็ขี้เกียจตกนรกกันมานานแล้วนะ ใครจะขยันชาตินี้ก็ตามใจ

แต่ว่าหลังจากการสร้างบาป เราก็ทำบุญกันอย่างหนัก เรื่องการถอดเครื่องประดับบูชาพระรัตนตรัย เราก็ทำกันมามาก การส่งเสริมพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เราก็ทำกันมามาก สร้างวัดวาอารามก็ทำกันมามาก การสงเคราะห์กับบุคคลผู้ตกทุกข์ได้ยาก เราก็ทำกันมาก

สมถะและวิปัสสนา

ฉะนั้น เราจึงหลีกบาปกันได้ เพราะอาศัยการเจริญกรรมฐานช่วย ถ้าหากว่าเราจะให้ทาน หรือรักษาศีลอย่างเดียว กำลังใจยังไม่มั่นคงนัก ส่วนที่จะช่วยคุมกำลังใจไม่ให้ลงนรกไปได้คือ สมถะ และ วิปัสสนา บุญบารมีทั้งหลายเหล่านี้ เราทำกันมานับเป็นอสงไขยกัป ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย เมื่อเราทำกันมามาก ความดีก็มีมาก การสั่งสมตัวก็มีมาก

ฉะนั้น การศรัทธาปสาทะ คือความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พวกเราจึงมีความมั่นคง ในเมื่อจิตมีความมั่นคงอยู่ในด้าน"อนุสสติ" ตามที่กล่าวนี้มา การเป็นสัตว์นรก ย่อมไม่มีสำหรับพวกเรา แต่ใครอย่าประมาทนะ ประมาทเมื่อไหร่...ลงเมื่อนั้น..!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคเหนือเป็นแดนที่เราผูกพันกันมาก เพราะเป็นที่อยู่อาศัยกันมาเดิม ถึงแม้ว่าความเป็นไทยในปัจจุบัน เราก็ใช้กำลังห้ำหั่นกับข้าศึก เพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ และปวงชนชาวไทย เรามีปริมาณของคนน้อย

พวกเรามาจากไหน..?

พวกเรามาจากกรุงราชคฤห์มหานครกับเมืองสาวัตถีคนสองเผ่านี้เข้าทางสายเหนือของประเทศไทย เข้ามาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะทรงอุบัติขึ้น ประมาณก่อนพุทธกาล ๒,๐๐๐ ปีเศษ

เราจะพูดกันไปว่าพวกราชคฤห์เป็น "พวกแขก" ความจริงไม่ใช่ สมัยโน้นไม่ใช่แขกครอง แต่พวก ไทยอาหม ครอง เมืองเวสาลี สาวัตถี กับราชคฤห์นี่ เป็นเมืองที่มีคนไทยมาก ในสมัยนั้น

"กรุงราชคฤห์" กับ "กรุงรัตนโกสินทร์" เป็นราชวงศ์เดียวกัน

คำสรุปของหลวงพ่อตอนนี้ ก็เป็นหลักฐานยืนยันกับพงศาวดารที่นำมากล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นแล้ว ซึ่งพอจะสรุปให้ลงกันไปได้ ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้วว่า "ราชวงศ์จักรี" ในบัดนี้ ก็เป็นเชื้อสายเดียวกันกับ "ราชวงศ์ราชคฤห์" นั่นเอง

จะเป็นไปได้หรือไม่ก็ตาม ในเมื่อพระเจ้าพิมพิสารได้มีโอกาสทรงอุปถัมภพระพุทธศาสนา ในสมัยที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงพระชนม์อยู่

และในบัดนี้ พระมหากษัตริย์ไทยที่ได้สืบสันตติวงศ์มาตั้งแต่ "ราชวงศ์เชียงแสน" และ "ราชวงศ์เชียงแสน" ก็สืบเชื้อสายมาจาก พระเจ้าสิงหนวัติ ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์เล็กร่วมอุทรกับพระราชบิดาของ พระเจ้าพิมพิสาร

พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นี้ ก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา หลังจากพระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ไว้ในดินแดนแห่งนี้ เพื่อให้สถิตย์สถาพรอยู่ในหัวใจของชาวไทยตลอดกาล ๕,๐๐๐ พระพรรษาต่อไป

เพราะฉะนั้น พระบรมสารีริกธาตุต่างๆ ที่สำคัญดังกล่าวนี้ จะสังเกตได้ว่า พระอรหันต์ท่านอัญเชิญมาจาก กรุงราชคฤห์ ทั้งสิ้น หรือชื่อดั้งเดิม "นครไทยเทศ"

คงจะเป็นเพราะท่านทราบดีว่าคนไทยสองกลุ่มนี้ ได้เคยสืบเชื้อสายมาจากตระกูลเดียวกัน ถึงแม้จะแยกย้ายกันมาอยู่ห่างไกลกัน คนละเขตประเทศก็ตาม ก็ต้องนำกลับมาให้เจ้าของเดิม คือ "ชาวไทย" อีกนั่นเอง จึงขอฝาก "ประวัติศาสตร์ชาติไทย" ไว้แต่เพียงแค่นี้

แล้วหลวงพ่อก็สรุปลงธรรมะอีกว่า

"...ทำไมประเทศจึงต้องมีกษัตริย์ คำว่า"กษัตริย์" นี่เขาแปลว่า "นักรบ" กำลังใจของคนไทยทั้งหมดอยู่ที่หัวหน้า ถ้าหัวหน้าขี้แย คนไทยก็ขี้แย ถ้าหัวหน้าเอาจริง ขอให้เอาจริง สักอย่างเดียว คนไทยทั้งชาติจะลุกขึ้นจับดาบสู้

อย่างเช่นเวลานั้นที่พรหมกุมารเป็นหัวหน้านำคนไทย แม้เพียงส่วนน้อย น้อยกว่าขอมมาก ถูกขอมย่ำยีอย่างหนัก ต้องแอบซุ่มซ้อมรบกัน เมื่อหัวหน้าเอาจริง เราก็สามารถขับไล่ขอมออกจากเขตไทยได้ แถมขยายอาณาเขตออกไปอีก เป็นอันว่า พระเจ้าพรหมมหาราชตายไป เกิดเป็นพรหมตามเดิม

เห็นไหมลูก...! รบกันเกือบตาย ขยายเขตแดนออกไป ร่ำรวยกัน เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผลสุดท้ายก็ตายหมด ตายแล้วขนอะไรไปได้บ้าง แม้แต่หนวดเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้

ที่ลูกรักของพ่อมีความต้องการธรรมะ หวังพระนิพพาน...พ่อพอใจ เราไปนิพพานกัน ดีกว่า นอนสบายให้มันเป็นสุข เราเหนื่อยกัน มาแล้วเกินกว่า ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป..."

ท่านก็จบด้วยการชวนลูกหลานไปนิพพาน ซึ่งท่านผู้เป็นประธานก็ได้ไปรออยู่ก่อนแล้ว ในตอนนี้เรายังมีสังขารอยู่ ถ้อยคำของท่านย่อมสร้างกำลังใจ เราเดินทางไปไกลกันครั้งนี้ ก็หวังการบูชาตามที่ท่านแนะนำ คิดว่าการรวมพลังใจกันมากมายในครั้งนี้ คงจะไม่มีใครคิดจะเกิดกันอีกต่อไป

แต่ท่านผู้อ่านจะเกิดอีกหรือไม่นั้น ก็ยังไม่มีปัญหา สำคัญตอนนี้หน้ากระดาษหมดแล้ว จำต้องขออำลาไปก่อน ไว้ตอนหน้าจะพบกับ ประวัติพระเจดีย์องค์เล็ก ที่หลวงพ่อสร้างไว้ จึงขอให้ติดตามอ่านกันในฉบับหน้า...สวัสดี

<< กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/1/17 at 11:01 [ QUOTE ]



ตอนที่ ๓

เหตุที่หลวงพ่อไปเชียงแสนปี ๒๕๑๗



...ท่านผู้อ่านที่ได้ติดตามเรื่องนี้ คงจะพอจำได้ว่า ผู้เขียนได้ลำดับเรื่องจากตั้งแต่พิธีการบวงสรวง ณ วัดพระธาตุดอยตุง

และตอนที่ ๒ เป็นการเล่าเรื่องพิธีการบวงสรวง ณ วัดพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งได้ลำดับความมา ถึงตอนที่ขบวนอัญเชิญเครื่องสักการะขึ้นไปถึงบนลานพระเจดีย์แล้ว

สำหรับขบวนอัญเชิญเครื่องสักการะทั้ง ๓ ขบวนนั้น ในขณะที่กำลังเคลื่อนแถวขบวนไปตามทางขึ้นบนเนินเขานั้น เมื่อมองจากด้านหลังขบวนแล้ว รู้สึกมีความสวยสดงดงามตระการตา

นับตั้งแต่ "ขบวนพระ"อัญเชิญเสลี่ยงสมเด็จองค์ปฐม และอัญเชิญรูปหลวงพ่อและหลวงปู่ พร้อมทั้งรูปท้าวมหาราช

ขบวนต่อไปคือ "ขบวนหลวง"ซึ่งนำหน้าด้วยขบวนอัญเชิญธงและตุง ธงช่อช้างได้โบกสะบัดดูเกรียงไกรและสง่างมาเหลือเกิน ติดตามด้วย "ขบวนราษฎร์" ซึ่งมีสาวงามถือป้ายแต่ละเมือง แล้วอัญเชิญเสลี่ยงพุ่มผ้าป่า พุ่มบายศรี พุ่มดอกไม้ ขนาบด้วยผู้ถือตุงทั้งสองข้าง

ผู้ร่วมขบวนต่างก็แต่งกายหลายหลากสีสมมุติกันว่าเป็นชาวเชียงแสนเก่า สวยสดงดงามทั้งหญิงและชาย เดินเป็นแถวยาวเหยียดเคลื่อนไปตามทางระหว่างต้นไม้อันเขียวขจี

ทุกคนเดินพนมมืออัญเชิญเครื่องสักการะ เพราะเป็นการให้เกียรติต่อสถานที่ที่พระพุทธองค์เสด็จมาประทับ การจัดขบวนกองเกียรติยศในครั้งนี้ พวกเราได้จัดทำอย่างสมพระเกียรติเป็นที่สุด

พ่อขุนผาเมือง


...ต่อมาจึงได้เริ่มบรรยายประวัติพระธาตุจอมกิตติ และพระราชประวัติพระเจ้าพรหมมหาราช สำหรับตอนนี้จะได้ต่อเนื่องกับตอนที่แล้ว อันเป็นตอน "ประวัติการสร้างพระเจดีย์" (องค์เล็ก)

แต่ก่อนอื่นขอย้อนกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างพระเจดีย์องค์เล็ก (เดิม) ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อสร้างไว้เมื่อปี ๒๕๑๘

โดยเริ่มแรกการเดินทางของท่าน ณ สถานที่นี้ เมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๗ วันนั้นตรงกับวันเพ็ญกลางเดือน ๙ พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้มาถึง ณ สถานที่นี้ แล้วท่านได้ปรารภไว้ว่า...

“...ในเรื่องการไปเชียงแสนคราวนี้ ไปกันในฐานะพุทธศาสนิกชน แล้วบุคคลทุกคนที่ไปอาตมา เองปลื้มใจเป็นที่สุด เพราะไม่มีใครคิดว่าใครเป็นใคร

คำว่าใครเป็นใครนี่ ไม่ได้ถือเอาฐานะที่ตัวดำรงอยู่ และศักดิ์ศรีที่มีอยู่ ว่าฉันเด่นกว่าคนนั้น ฉันเสมอกับคนนี้ ฉันเลวกว่าคนโน้น..ไม่มีเลย น่าชื่นใจจริง ๆ

เป็นอันว่าทุกท่านยอมรับนับถือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ วางตัวเหมาะสมในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน คนนับถือพระพุทธศาสนาจริง ๆ วางตัวได้สม่ำเสมอกัน เป็นที่น่ารักมาก

มาย้อนกลับไปถึงเหตุที่จะไป ก็อาศัยท่าน พ.ต.อ.(พิเศษ) ม.ร.ว.พงษ์พูนเกษม เกษมศรี มาปรารภว่า ท่านได้มาที่นี่มีความอัศจรรย์ให้ปรากฏ

คือว่าท่านมานั่งกรรมฐานแล้วปรากฏว่ามีแสงสว่าง มีความ ชุ่มชื่นเป็นกรณีพิเศษ จนกระทั่งมีดวงจิตเป็นทิพย์ เห็น ท่านขุนผาเมือง มาปรากฏตัวแล้วก็บอกว่า

ถ้าจะให้บ้านเมืองปกติ ให้ไทยเป็นไท คำว่า "ไทยเป็นไท" ก็หมายความว่า "คนไทยมีใจไม่เป็นทาส" คือฝ่ายบริหารประเทศชาติมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นไทยแท้ๆ จงไปอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำประทักษิณ เวียนเทียนพระบรมสารีริกธาตุจอมกิตติ

ทั้งนี้ เพื่อต้องการจะให้พระบารมีขององค์เด็จพระโลกนาถ พระบารมีของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งทรงมีพระจริยาวัตรคล้าย ๆ กันกับจริยาวัตรของพระองค์เอง และชาวสุโขทัยสมัยนั้นทำเหมือนกัน ทรงเสียสละความสุขทุกอย่าง

เมื่อท่านพูดถึงพ่อขุนผาเมือง จึงได้ถามว่าภาพของพ่อขุนผาเมืองที่ปรากฏนั้น ลักษณะของท่านเป็นอย่างนี้ใช่ไหม.. เป็นคนร่าเริง ผิวขาว ท่านพงษ์พูนเกษมก็พูดต่อไปถึงลักษณะทั้งหมด

ปรากฏว่าเหมือนกับคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง พอเห็นอย่างนั้นก็คิดว่า เอ..ท่านพงษ์พูนเกษมนี่ จะไม่ใช่อุปาทานกินเสียแล้ว เวลานั้นเห็นจะเป็นพระบารมีขององค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงช่วย และบรรดาเทวดาและพรหมทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผาเมืองจะช่วยทำกายให้หยาบ ให้ท่านพงษ์พูนเกษมเห็น

ทีนี้เมื่อพ่อขุนผาเมืองยืนยันมาบอกให้อัญเชิญพระมหากษัตริย์ไปทรงทำประทักษิณ ก็รู้สึกหนักใจ เพราะพระองค์เองก็มีภาระมากเต็มที่อยู่แล้ว จะไปกวนใจเข้าอีกก็จะยุ่ง

อาตมาน่ะไม่มีอำนาจจะไปเชิญท่านได้ แต่ท่านพงษ์พูนเกษมท่านอาจจะเชิญได้ แต่เห็นว่าเวลายังไม่สมควร ถ้ามีอะไรสมควร คือมีฉัตรไปประดับบนยอดพระเจดีย์องค์นี้ มอบให้เป็นเรื่องของกษัตริย์

เพราะว่าเป็นเจดีย์ที่กษัตริย์สร้าง ๒ สมัย คือ "พระเจ้าพังคราช" กับ "พ่อขุนผาเมือง" ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ มันถึงจะสมควร ถ้าถึงเวลานั้นก็เป็นเรื่องของเจ้านาย หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จะกราบทูลกัน ไม่ใช่เรื่องของอาตมา..."



ในสมัยนั้น ผู้ร่วมเดินทางวัยยังหนุ่มๆ สาวๆ กันทั้งนั้น ต่างก็ช่วยกันยืนกางผ้ากั้นบังแสงแดดให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พร้อมทั้งฟังเรื่องราวประวัติความเป็นมาของสถานที่นี้

ผู้เขียนยังจำได้ว่า ตอนที่เดินทางไปครั้งแรกเมื่อปีก่อนๆ โน้น ทุกคนต้องร้องไห้พร้อมๆ กัน โดยไม่ทราบสาเหตุ

ภายหลังจึงทราบว่าหลวงพ่อท่านขอพรพระและเทวดาไว้ว่า ขอให้ทำอะไรสักอย่างเป็นนิมิตหมายอย่างหยาบๆ พอแสดงให้เห็นกันได้ ปรากฏว่าพวกเราต้องนั่งร้องไห้กันทั้งหมด เหลือแต่หลวงพ่อองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นปกติ


"...แล้วท่านพงษ์พูนเกษมถามว่า ทำอย่างนั้นบ้านเมืองจะดีขึ้นไหม เมื่อท่านถามแบบนี้ก็มีความหนักใจ เพราะความรู้ไม่พอ

เลยตอบไปว่าคงจะดี เพราะว่าท่านรับรองแบบนั้น เพราะว่าพระบรมราชาองค์นี้คือ พ่อขุนผาเมืองเป็นเจ้านาย หรือเป็นพ่อของคนไทยที่มีน้ำใจประเสริฐที่สุด

เมื่อเวลารวบรวมกำลังกับพ่อขุนบางกลางท่าวแล้ว ยึดอำนาจขอม แทนที่พระองค์จะทำตนเป็นคนไทยที่มีน้ำใจเป็นทาส เหมือนกับสมัยที่ยึดอำนาจจากราชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตย

นี่เรายึดอำนาจมาได้ ๔๐ ปีเศษ ก็ยังไม่ปรากฏว่าเป็นประชาธิปไตยสักที บุคคลกลุ่มเดียวกันนี้ ก็มายื้อแย่งความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน

นี่แสดงว่าน้ำใจของคนไทยในเวลานี้นั้น ยังไม่เป็นไทยแท้ ยังเป็นทาสกับความโลภอยู่ ยังมัวเมาในอำนาจราชศักดิ์ เห็นว่ายังดีน้อยเกินไป หากว่าพวกเรามีน้ำใจอย่าง "พ่อขุนผาเมือง" กับ "พ่อขุนบางกลางท่าว" ก็จะดีมาก

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าพ่อขุนผาเมืองเป็นคนมีกำลังใหญ่ ขอมไว้วางใจให้ปกครองคนไทย แล้วก็เมื่อพระองค์เองร่วมกับพ่อขุนบางกลาวท่าวยึดอำนาจจากขอมเสร็จแล้ว

แทนที่จะถือว่าตัวเองก็มีอำนาจ อย่างน้อยที่สุดต้องแบ่งเขตประเทศไทยกันคนละครึ่ง เอามาปกครองจอยกันเข้ามา เราเป็นสามัคคีซึ่งกันและกัน แต่ทว่าเราต้องแบ่งกันคนละครึ่ง เพื่อความเป็นใหญ่ แต่ว่าพ่อขุนผาเมืองไม่ได้ทำอย่างนั้น

มอบความเป็นใหญ่ให้แด่พ่อขุนบางกลาวท่าว และขอให้ใช้นามว่า “ขุนศรีอินทราทิตย์” ที่พระองค์ได้มาจากขอมตั้งให้ แล้วก็ขยายตระกูลของพระองค์ไปตั้งอยู่ที่เชียงแสน พระบรมวงศานุวงศ์ของพระองค์ก็มีน้ำพระทัยดีเหมือนกัน

เมื่อพ่อขุนบางกลางท่าวสวรรคต จะปรากฏว่ามาช่วยกันยึดอำนาจว่า นี่เป็นบ้านเมืองที่พ่อแม่เราทำมา พี่น้องเราไปยึดมา..ไม่ได้ พวกแกจะครองคนเดียวไม่ได้ ฉันจะครองบ้าง จะมีน้ำใจทำลายไทยด้วยกัน..ไม่มี

ต่างคนต่างตั้งอยู่ในภาวะสันโดษ แต่ก็ไม่ใช่สันโดษเฉย ๆ ก็คอยกระโดดช่วยกัน ถ้าอันตรายจะเกิดแก่ประเทศไทยและคนไทย ไทยก็ร่วมมือร่วมใจกันจริง ๆ

นี่การที่พ่อขุนผาเมืองให้อัญเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีพระราชจริยาวัตรเช่นเดียวกับกษัตริย์สุโขทัย เข้าถึงประชาชน

ไม่ถือพระองค์ว่าเป็นพ่อคน เป็นเจ้านายคน ทรงมีน้ำพระทัยบำเพ็ญพระราชกุศลอยู่เสมอตลอดเวลา ให้ไปกระทำประทักษิณ ก็จะมีความหมายเช่นนี้

เพราะกำลังสองคนนี้มีกำลังสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง คือว่ากำลังเบื้องหลังที่เรามองไม่เห็นตัว เอาเถอะ..พูดกันแค่นี้นะ...”


ย้อนอดีตรำลึก
งานพิธียกฉัตรพระธาตุจอมกิตติ (จำลององค์เล็ก)
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๘



...ต่อมาหลวงพ่อบอกว่า เวลานั้นเห็นว่าเวลายังไม่สมควร ถ้ามีฉัตรไปประดับบนยอดพระเจดีย์ ก็มอบให้เป็นเรื่องของกษัตริย์ไป เพราะก่อนทำพิธีนี้ "พ่อขุนผาเมือง" มาแนะนำหลวงพ่ออีกว่า

ถ้าจะอธิษฐานเรื่องของชาติบ้านเมือง ต้องเอากษัตริย์นำเวียนเทียนรอบองค์พระบรมธาตุ ฉะนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ได้เสด็จมา หลวงพ่อจึงเอาคนที่เคยเกิดเป็นกษัตริย์มาในกาลก่อนทำประทักษิณแทน แล้วท่านให้อธิษฐานว่า

"..ในขณะเวียนเทียนให้ตั้งใจนึกถึงบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ พรหม เทวดา และบรรพบุรุษทั้งหมด ขอให้ปกปักรักษาเผ่าไทยให้เป็นอิสรภาพ ปราศจากความเป็นทาส คิดว่าให้ศัตรูของประเทศชาติ จงพินาศสลายตัวไป ให้ไทยเป็นไท ใครคิดคดทรยศต่อคนไทย ขอให้บุคคลคนนั้นฉิบหายบรรลัยไป.."

ในตอนนี้ คุณรัฐฎา (ม่ำ) บุนนาค มาเล่าเสริมว่าหลังจากนั้นอีก ๓ ปี พระองค์ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงกระทำพิธียกฉัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้วยเหตุฉะนี้ จึงได้มีการจัดพิธีกรรมแบบเดียวกับที่ท่านได้กระทำไว้แล้ว โดยสมมุติการแต่งกายแบบกษัตริย์ เพื่อทำพิธีกรรมในเรื่องของประเทศชาติ เพราะสภาวะบ้านเมืองในตอนนั้นกับตอนนี้ กำลังจะมีปัญหาเช่นเดียวกัน อาจจะหนักกว่าก็เป็นได้


พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ จุดธูปเทียนที่โต๊ะบายศรี โดยมีหลวงปู่ต่างๆ เข้าร่วมพิธีด้วย ในภาพ หลวงปู่ธรรมไชย วัดทุ่งหลวง, หลวงปู่ชัยวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม เป็นต้น


หลวงพ่อเล่าเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๘

ในตอนนี้ พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เล่าถึงอานิสงส์ในการสร้าง "ยอดฉัตรพระเจดีย์" มีใจความว่า...

“.....ในการที่เรามาบำเพ็ญกุศลบุญราศรีในวันนี้ ได้ตั้งใจนำพระธาตุ ที่เราเรียกกันว่า “เจดีย์” สายใต้เรียกกันว่า “เจดีย์” สายเหนือนี้เรียกว่า “พระธาตุ” มาบูชาความดีของสมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในดินแดนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพยากรณ์ คือทรงเสด็จมาเอง ว่าได้ฝังพระเกศาไว้ดอยธาตุกิตตินี้

ในขณะนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงมีพระพุทธพยากรณ์ไว้ว่า ในดินแดนนี้ ต่อไปจะรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ ๕ พันปี

อีกประการหนึ่ง บุญบารมีของบรรดาท่านพุทธบริษัท ได้มานมัสการองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาค ในที่นี้..คณะของเรามาแล้วรวม ๔ วาระ ทั้งนี้ เราไม่ได้บวกชาติในอดีตเข้าไปด้วย

ในอดีต พระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอทรงเป็นประธาน เมื่อได้รับพระบรมสารีริกธาตุจาก "พระพุทธโฆษาจารย์" แล้ว

พระพุทธโฆษาจารย์ได้แนะนำพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์ว่า ดอยน้อยนี้ ต่อเมื่อสมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดามีชีวิตอยู่ ในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูได้ทรงเสด็จมา ณ สถานที่นี้

ถ้าเราจะดูสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จยืนในขณะแรกที่เข้ามาถึง ก็คือตรงจุด “ศาลายาว” ที่พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่

และต่อมาองค์สมเด็จพระบรมครูทรงเสด็จกลางใจพระธาตุจอมกิตติ คือดอยน้อย เวลานั้นมีพระอรหันต์ ๕๐๐ ติดตามเสด็จมาด้วย

องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจึงทรงเสยพระเกศา แล้วก็วางพระเกศาลงบนพื้นดิน องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสว่า ในสถานที่นี้ ต่อไปจะมีนามว่า “จอมกิตติ” แล้วก็จะเป็นเขตแดนที่ทรงพระพุทธศาสนาได้ครบ ๕ พันปี



ภาพนี้พวกเราหลายคนกำลังห้อมล้อม "หลวงปู่บุดดา" เพื่อถวายสิ่งของมีค่าบรรจุไว้ภายในพระเจดีย์แห่งนี้ ผู้เขียนใส่เสื้อสีขาว ตอนนั้นยังไม่ได้บวช นั่งอยู่ด้านซ้ายมือ และ คุณหน่อง ลูกชายเจ้ากรมเสริมอยู่ด้านข้าง

ส่วนผู้หญิงที่เห็นใส่เสื้อสีม่วงด้านหลัง คือ คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค กำลังเข้าไปถวายสิ่งของแด่หลวงพ่อเช่นเดียวกัน


อานิสงส์ถวายบูชาฉัตร
...และในสมัยหนึ่ง เมื่อองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังเป็นหน่อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ เวลานั้น พระองค์มีพระราชโอรส แล้วก็พระราชโอรส คือลูกชาย

เวลานั้นไม่ใช่กษัตริย์ ออกไปจากบ้าน..หายไป ๓ ปี พระองค์ได้ทรงติดตามก็ทราบว่า ลูกชายไปเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็ปรินิพพานไปแล้ว จึงเหลือแต่อัฐิธาตุที่เขาบรรจุไว้ในพระสถูป

องค์สมเด็จพระจอมไตรไม่มีอะไรจะบำเพ็ญกุศล ก็ได้นำร่มของตนไปกั้นอยู่บนยอดของพระเจดีย์ แล้วก็นำผ้าขาวม้าที่นำติดตัวมานี้ทำเป็นธง และพระองค์ก็ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ

เพียงเท่านี้ พระอรรถกถาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาศัยปัจจัยนั้น จึงเป็นเหตุให้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ

ฉะนั้น การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ได้พากันมาบำเพ็ญกุศลในคราวนี้ ก็ชื่อว่าเป็นการปฏิบัติตามจริยาวัตร ขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต โดยนำพระเจดีย์มาถวายบูชาพระรัตนตรัย มีฉัตรยอดทรงไว้ เช่นเดียวกับร่มของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ด้วยอำนาจในบุญบารมีของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย แล้วก็บุญบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ในอดีต และปัจจุบัน และบารมีของพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกท่าน ตลอดจนถึงพระอรหันต์ทั้งหมด และบรรดาพรหมเทวดาทั้งหมด ที่ได้มาประชุมกัน ณ สถานที่นี้

ตลอดจนกระทั่งพระบรมกษัตริย์ในอดีต และก็บรรดาบรรพบุรุษทั้งหลาย ที่มีคุณต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังความสันติสุขให้แก่ปวงชนชาวไทย ที่สามารถยังทรงความเป็นไทยไว้ได้นี้

ขอบรรดาท่านทั้งหลาย จงอุทิศกุศลบุญราศรีนี้กำหนดไว้ในใจว่า ขอให้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระอรหันต์ทั้งหมด พรหมและเทวดาทั้งหมด ตลอดจนกระทั่งบรรดาบรมกษัตริย์ทั้งหลาย ที่มีพระคุณต่อพวกเรา และบรรดาท่านบรรพบุรุษทั้งหลาย

โปรดได้โมทนาความดีที่พวกเราทำนี้ และขอให้ดินแดนแห่งนี้ คือประเทศไทยทั้งหมด จงเป็นสถานที่กำหนดพระพุทธศาสนาทรงอยู่ได้ครบ ๕ พันปี เพื่อบรรดาพวกเราทั้งหลาย จะได้บำเพ็ญบารมีเพื่อพระนิพพานต่อไป

เอาละ..บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การตั้งใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท ย่อมยังผลให้สำเร็จ ทั้งนี้ เพราะอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านจงพากันนมัสการพระรัตนตรัย อาตมาจะนำ...”




ภาพนี้ก็เก่าเต็มทีเก็บไว้นานแล้ว ประมาณปี ๒๕๑๙ โยมพี่นิด (น้องสาวคุณเฉิดศรี เป็นผู้มอบให้) นั่งอยู่ด้วยด้านข้าง หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดป่าดอนมูล จ.เชียงใหม่ โดยมี หลวงปู่ธรรมไชย นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของหลวงพ่อฯ

ในขณะนั้น ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นผู้จุดธูปเทียนร่วมกับ คุณเฉิดศรี (อ๋อย) ศุขสวัสดิ์ สังเกตบนโต๊ะบวงสรวง สมัยก่อนคนทำบายศรี คือ คณะกองทุน คือ คุณอัญชัญ (ชอ) ศุทธรัตน์ ส่วนใหญ่เป็นบายศรีแห้ง บายศรีสดสมันนั้นเป็นเรื่องยากมาก


โคลงถวายพระเจดีย์ประจำทิศ

....วันนั้นได้เปิดเทปหลวงพ่อเล่าประกอบการทำพิธีก่อน เมื่อกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยจบแล้ว ผู้เขียนก็ได้กล่าวนำคำขอขมาโทษ แล้วขอให้ ดร. ปริญญา นุตาลัย ออกมากล่าวคำถวายสดุดีด้วยบทกลอน พร้อมทั้งมีผู้กล่าวตามดังกึกก้องทั่ว บริเวณนั้นดังมีใจความว่า...

...ปวงข้าฯ ขอประณตเกล้า กราบกราน
สมเด็จพระพิชิตมาร ประทีปหล้า
พระธรรมพระสังฆจารย์ ทั้งหมด
พรหมเทพทุกชั้นฟ้า นบน้อมอัญเชิญ

เนินนี้เกศธาตุเจ้า ฐาปนา
คราเมื่อพระเสด็จมา ม่อนน้อย
ภายหน้าจักชื่อว่า จอมกิต ตินา
พระภควัตตรัสถ้อย แต่ครั้งพุทธกาล

ลุวารเก้าสี่เก้า พรรษา
องค์พระพังคราชา โปรดให้
สร้างสถูปประดิษฐาน์ นลาฏธาตุ
พระพุทธโฆษถวายไว้ เมื่อเมื้อลังกา

อาทิตย์ยี่สิบห้า มกรา คมเอย
พุทธศกสองพันห้า หนึ่งเก้า
พระราชพรหมยานมหา เถระ
สร้างทิศเจดีย์เข้า เทียบไว้บูรพา

ครานี้เหล่าศิษย์ท่าน ทั้งผอง
รวมจิตร่วมกุศลสนอง ก่อสร้าง
สามสถูปทิศปิดทอง พราวเด่น
ครบสี่ทิศสถิตข้าง พระธาตุเจ้าบูชา

เป็นมหาบริจาคไว้ ในพระศาส นาเอย
อุทิศเพื่อพระพังคราช กษัตริย์เจ้า
พระพรหมธิราชชาติ นักรบ
ผองพระคุณล้นเกล้า ลูกแจ้งจับใจ

ขอให้เทวราชทั้ง จักรวาล
โปรดรับเครื่องสักการ กราบไหว้
ขอจงโปรดอภิบาล พระสถูป
ให้อยู่คู่ศาสน์ได้ ครบห้าพันปี

ขออานิสงส์นี้จุ่ง บันดาล
ทุกข์โศกโรคภัยพาล คลาดแคล้ว
เจริญชนม์สุขสำราญ กายจิต ทุกเมื่อ
ครั้นชีพดับลับแล้ว ล่วงเข้านิพพาน ฯ


...สำหรับโคลงบทนี้มีความหมายมาก ทุกคนกล่าวพร้อมกันตามที่ได้แจกให้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่วันที่ หลวงพ่อยกฉัตรอาจไม่ตรงกัน เพราะมิได้เทียบเคียงกันก่อน หลังจากนั้นประธานก็ได้นำเครื่องสักการะไปตั้งไว้บนโต๊ะหมู่บูชาข้างหน้าพระเจดีย์ แล้วผู้เขียนก็ได้เปิดเทปหลวงพ่อต่อไปว่า...

“...ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านเตรียมทำประทักษิณ และขอพระคุณเจ้า ทั้งหมดโปรดเข้าสมาธิแผ่เมตตาจิต ให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัทและปวงชนชาวไทยทั้งหมด ให้มีแต่ความร่มเย็นเป็นสุขและปลอดภัย จนกว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะทำประทักษิณเสร็จ

ในเวลาที่ทำประทักษิณ อาตมาจะยืนอยู่ที่ด้านพระเจดีย์ด้านใดด้านหนึ่ง แล้วก็นำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมให้แก่ท่านพุทธบริษัท ต่อแต่นี้ไปขอบรรดาทุกท่านจุดธูปเทียน ตั้งใจบูชาพระรัตนตรัยและทำประทักษิณได้ตามอัธยาศัย...”


ในตอนนี้ พระครูปลัดอนันต์ จึงเป็นตัวแทนของพวกเราทุกคน ออกไปเจิมแป้งมงคลที่พระเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ แล้วสรงด้วยน้ำหอมและโปรยดอกไม้ แทนการทำประทักษิณ เนื่องจากมีญาติโยมนั่งกันเต็มไปหมดรอบบริเวณนั้น ครั้นแล้วเสียงของหลวงพ่อเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน ก็ดังต่อไปอีกว่า...

“...การบูชานี้ขอให้ตั้งใจให้ดี อธิษฐานตามความประสงค์นะ ตามที่ตั้งใจไว้ เสร็จจากการบูชา แล้ว จะเป็นการฟ้อนก็เริ่มได้ทันที ทั้งนี้ก็เพราะว่า ในสมัยที่พระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอได้ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว

หลังจากนั้นก็ทำการฉลองสิ้น ๗ วัน ๗ คืน ด้วย การฟ้อนรำและมโหรีต่าง ๆ และบำเพ็ญกุศล ในการบูชาคราวนี้ พวกเราก็จะขอเปรียบเทียบในการบูชาคราวนั้น พระธาตุจอมกิตตินี้ ถ้าเราจะเรียกกันตามแบบสมัยที่เขานิยมในปัจจุบัน เขาเรียกกันว่า “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ”

เพราะว่าสมัยนั้น พระเจ้าพรหมมหาราช ได้ปราบอริราชศัตรู คือ ‘ขอมดำ” หรือว่า “มอญ” แห่งหริภุญชัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งเอกราชขึ้นมาใหม่ สร้างเมืองตรงจุดก่อนที่จะเลี้ยวเข้ามานี้ ก่อนที่จะเข้าอำเภอก็รู้สึกว่าเป็นแดนอยู่บ้าง ตรงนั้นเป็นเมืองเก่า

หลังจากนั้น พระพุทธโฆษาจารย์ ท่านได้เอาพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระไตรปิฎก เอามาถวายพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์

จึงได้จัดการสร้างพระเจดีย์นี้ขึ้น แล้วก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ นั่นเป็นสมัยหลังจากเราชนะจากเสร็จศึกสงคราม แล้วก็ได้มีการฉลอง ถ้าจะเทียบกับอนุสาวรีย์ก็เป็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

ต่อมาตอนหลังสมัยที่ "พระเจ้าผาเมือง" เวลานั้นเราก็ตกเป็นทาสของขอมอีกวาระหนึ่ง เมื่อทำการกู้ชาติได้แล้ว ก็ให้ พ่อขุนบางกลางท่าวปกครองสุโขทัย พ่อขุนผาเมืองได้ย้ายมาอยู่ เชียงแสนตามปกติ

เพื่อรักษาเขตแดนในจุดนี้ เมื่อมาอยู่ได้ในปีที่ ๓ ก็ได้นำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุไว้ แล้วก็สร้างเจดีย์ที่ปรากฏแก่สายตาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ครอบเจดีย์องค์เก่าเข้าไว้

ฉะนั้น เจดีย์ที่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายเห็น จึงจัดว่าเป็นเจดีย์สองชั้น ข้างในอีกชั้นหนึ่ง เป็นสมัยพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์ทรงสร้าง องค์ที่เห็นในปัจจุบันนี้ เป็นสมัยพ่อขุนผาเมืองเป็นผู้สร้าง นำพระบรมสารีริกธาตุมาไว้

และก่อนหน้าที่พ่อขุนผาเมืองจะนำพระบรมสารีริกธาตุมา ตอนนั้นก็มี พระเจ้าแสนภู บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอทรงปกครองโยนกนคร จอมบพิตรอดิสรก็ได้ทรงทำทุกอย่างเช่นเดียวกับกษัตริย์โบราณกาล บำรุงพระพุทธศาสนากับพระธาตุทั้งสาม

แถวนี้มีพระธาตุอีก ๒ พระธาตุ แล้วก็สร้างวัดไว้ ๒ วัด วัดด้านหน้าวัดหนึ่ง วัดด้านหลังอีกวัดหนึ่ง วัดด้านหลังนี้เรียกว่า “วัดป่าสัก” ให้เป็นที่อาศัยอยู่ของพระพุทธโฆษาจารย์

** (ขออธิบายเพิ่มเติมว่า พระเจ้าแสนภูเป็นหลานของ "พ่อขุนเม็งราย" ภายหลังเสด็จมาครองเมืองเชียงแสน พระเจ้าแสนภูจึงตั้งชื่อเมืองโยนกเดิมว่า "เมืองเชียงแสน" ตามพระนามของพระองค์

ซึ่งรัชสมัยนี้ตรงกับคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ในคราวเสด็จโปรด "พระเจ้าสิงหนวัติ" แล้วช้างพระที่นั่งได้สบัดหลุดออกมาจากโรงช้าง

จากนั้นก็วิ่งมาหยุดบริเวณริมแม่น้ำโขงนี้ ภายหลังพระพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า ต่อไปภายหน้าจะสร้างเมืองใหม่ที่ตรงนี้)

เป็นอันว่า สมัยที่พระเจ้าผาเมืองทรงสร้างเจดีย์องค์นี้ขึ้นมา เราจะเปรียบกับอนุสาวรีย์ในสมัยปัจจุบัน ก็เรียกว่า “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เพราะว่าเราชนะขอม

เวลานี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ได้พากันมาบูชาพระรัตนตรัย และสร้างพระเจดีย์เป็นการสนองคุณความดีของพระบรมกษัตริย์ และบูชาคุณความดีขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถ

จัดว่าเป็นชัยพิเศษที่เราเข้าถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ยังความอยู่เย็นเป็นสุข ความเยือกเย็นใจให้ปรากฏขึ้น เมื่อการบูชาแล้วก็ควรมีการฉลอง ฉะนั้น ต่อแต่นี้ไปขอให้ท่านทั้งหลายที่ตั้งใจจะฟ้อนฉลอง ก็เริ่มทำการได้แล้ว...”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/1/17 at 16:57 [ QUOTE ]



ตอนที่ ๔

พิธีฉลองสมโภช



...ขอย้อนเล่าพิธีกรรมในวันนั้น หลังจากหลวงพ่อเล่าประวัติพระธาตุจอมกิตติจบแล้ว ในระหว่างพิธีอันสำคัญนี้ หลวงพ่อได้ประกาศขอให้หลวงปู่ทั้งหลายเข้าสมาบัติเต็มที่ เพื่อผลแห่งการกระทำพิธีเรื่องของบ้านเมือง

ในภาพจะเห็นหลวงพ่อและหลวงปู่นั่งบนอาสนะ โดยมีโต๊ะปูผ้าขาววางวัตถุสิ่งของอันเป็นมงคลทั้งหลาย คล้ายกับทำพิธีพุทธาภิเษกไปด้วย


"หลังจากเวียนเทียนเสร็จแล้ว คุณเฉิดศรี (อ๋อย) ศุขสวัสดิ์ ก็นำเงินที่เหลือจากการเดินทางมาถวายหลวงพ่อ ท่านจึงประกาศว่า

เงินนี้ทั้งหมดขอทำ "หมวก" ที่เรียกว่า "หมวก" เพราะอะไร เพราะมีท่านองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังบอกให้เราช่วยกัน ถ้าประเทศชาติบรรเทาความทุกข์ มีความสงบเรียบร้อย ขอให้ทุกคนช่วยกันทำ "หมวก" มาสวมไว้บนยอดเจดีย์

ไอ้ศัพท์นี้เคยเรียกว่า "ฉัตร" แต่พอท่านเรียก "หมวก" เข้ามาเท่านั้น นึกชื่อปัจจุบันไม่ออกว่าเขาเรียกว่าอะไร...คนอื่นถามว่าทำบุญอีกได้ไหม..?

รวมกันไปรวมกันมาปรากฏว่าได้เงิน ๙,๔๐๑ บาท รวมกับเงินที่ คุณเสริมศรื เกษมศรี บอกว่ามีอยู่แล้ว ๔ หมื่นบาท รวมเป็น ๕ หมื่นบาท สำหรับทำฉัตร ๙ ชั้น..."



(ขณะทำพิธีบวงสรวง หลวงพ่อและหลวงปู่ต่างก็เข้าสมาบัติกันเต็มที่)

ภาพถ่ายอีกมุมหนึ่งที่หาดูยากอีกเช่นกัน นับเป็นภาพประวัติศาสตร์จริงๆ พิธีกรรมเช่นนี้มีแค่ครั้งนี้ครั้งดียวเท่านั้น หลังจากนั้นหลวงพ่อยังไม่ได้เคยจัดแบบนี้อีกเลย

แต่หลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว ปี ๒๕๔๐ พวกเราก็ได้กลับมาจัด งานพิธีฉลองชัย ด้วยการแต่งกายย้อนยุค เป็นการย้อนรำลึกนึกถึงท่านอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เศรษฐกิจในปีนั้นจะพังพินาศพอดี จากพิษของการลดค่าเงินบาทนั่นเอง


นี่...เป็นเรื่องที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเล่าไว้ในหนังสือ"เชียงแสน" แต่ภายหลังก็มีเหตุขัดข้องเรื่องระเบียบของทางกรมศิลปากร

หลวงพ่อพร้อมด้วยคณะศิษยานุศิษย์ในสมัยนั้น จึงได้ร่วมกันจัดสร้างพระเจดีย์องค์เล็กนี้แทน เป็นการจำลองจากพระเจดีย์องค์ใหญ่ เพื่อสำหรับประกอบพิธีในการยกฉัตรนั่นเอง

โดยก่อนที่หลวงพ่อจะทำพิธียกฉัตรนั้นท่าน พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์เป็นผู้นำยอดฉัตรเข้าไปที่พระราชวัง เพื่อกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในยอดฉัตรนั้น ซึ่ง คุณสุมิตร (เล็ก) มาเล่าเสริมอีกว่า พระองค์ได้ทรงปิดทองยอดฉัตรด้วย แล้ว "ท่านเจ้ากรมเสริม" จึงได้ไปรับกลับมา


...หลังจากหลวงพ่อและหลวงปู่ทั้งหลายออกจากสมาบัติกันแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ก็ได้ทำน้ำมนต์ เพื่อประพรมให้แก่ผู้ร่วมพิธีทุกท่าน

ในขณะที่ทุกคนเดินเวียนประทักษิณรอบองค์พระธาตุทั้ง ๓ รอบ พิธีกรรมเช่นนี้ได้เริ่มต้น ณ สถานที่นี้ หลังจากนั้นก็มีการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ ในงานพิธีฉลองพระเจ้าพรหมมหาราช ณ วัดท่าซุง กันเป็นประจำทุกปี


ต่อจากนั้นจึงได้อัญเชิญพระเจดีย์พร้อมด้วยฉัตรมากระทำพิธี ณ สถานที่แห่งนี้ โดยมีหลวงพ่อและ หลวงปู่พระสุปฏิปันโนรวม ๗ องค์คือ หลวงปู่คำแสนใหญ่วัดสวนดอก หลวงปู่คำแสนเล็กวัดดอนมูล หลวงปู่ชุ่มวัดวังมุย หลวงปู่ธรรมไชยวัดทุ่งหลวง หลวงปู่ชัยวงศ์วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม และ หลวงปู่พระมหาอำพันวัดเทพศิรินทร์ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๘

สถานที่นี้จึงเป็นสถานที่ทำพิธียกฉัตร เพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่ชายแดนทางภาคเหนือ แล้วจึงได้ไปทำพิธียกฉัตรอีกเช่นกันทางชายแดนภาคใต้ นั่นก็คือที่ วิหารน้ำน้อยอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๙ เป็นพิธีการปักตรึงเขตแดนเอาไว้ทั้งเหนือและใต้ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน


...ต่อจากนั้นก็เป็นพิธีที่สำคัญยิ่ง พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้อัญเชิญยอดฉัตรที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว เตรียมที่จะนำไปประดิษฐานบนยอดพระเจดีย์ต่อไป ภาพที่เห็นด้านข้างคนใส่เสื้อขาว ผู้ชายคือ คุณเกษม สุวินทวงศ์ ภายหลังได้บวชที่วัดท่าซุง จนกระทั่งมรณภาพไปในที่สุด

ส่วนสุภาพสตรีด้านหลัง นั่นก็คือแม่แรงคนสำคัญของงาน คุณโยมอ๋อย ภรรยาท่านเจ้าเสริม ในงานนี้มีผู้ใหญ่ร่วมเดินทางกันมาก ผู้เขียนในเวลานั้นอายุประมาณ ๒๖ ปีเท่านั้น


แผ่นดินไทยจึงได้สงบสุขและทรงความเป็นเอกราชไว้จนถึงบัดนี้ ดังจะเห็นว่าเวลานั้น ลัทธิคอมมิวนิสต์ได้แผ่ขยายเข้ามาทางประเทศเพื่อนบ้านของเรารอบด้าน

ประชาชนในแต่ละประเทศ ต้องประสบชะตากรรมอย่างน่าเวทนา แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยไปได้ เราจึงยังรักษาอธิปไตยไว้ได้ตลอด

ทั้งนี้ ก็เนื่องมาจากพิธีกรรมต่างๆ ที่หลวงพ่อและหลวงปู่ทั้งหลาย ได้กระทำไว้ ณ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และพุทธสถานเกือบทุกแห่ง

จึงมีส่วนช่วย ควรที่พวกเราเหล่าลูกหลานของท่าน ที่ได้ทันในสมัยท่านก็ดี หรือที่ติดตามในภายหลังก็ดี จะได้มาร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ และมาย้อนรำลึกถึงความหลังกันอีกครั้งหนึ่ง



การจัดสร้างพระเจดีย์

แต่ก่อนที่จะถึงพิธีการนั้น ขอย้อนกล่าวถึงรายละเอียดการจัดสร้างพระเจดีย์องค์นี้ คุณยุพดี (แอ๊ะ) จักษุรักษ์ เล่าว่า ได้เดินทางไปหาซื้อเจดีย์กับ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ซึ่งเป็นภรรยาท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ โดยมีผู้ร่วมสมทบทุนในภายหลังกันมากมาย

คุณแอ๊ะได้เดินทางไปหาเจดีย์ที่มีซุ้มสี่ทิศ หล่อด้วยปู่นซิเมนต์ หาไปถึงเมืองกาญจน์ จนไปได้ที่นครปฐม แล้วนำมาที่บ้านสายลม ช่วยกันทาสีปิดทองคำเปลว และเขียนรูปเทวดาไว้ที่ซุ้มละหนึ่งองค์ทั้งสี่ด้าน

ยอดเจดีย์กำกลวงด้านในเพื่อในแกนฉัตรสวมลงไปได้ ส่วน "ฉัตร" ได้สั่งทำที่ร้านแถวเสาชิงช้า เป็นฉัตร ๙ ชั้น ทำด้วยเหล็กหล่อ แล้วพวกเราก็ช่วยกันปิดทองทำเปลวอีกเช่นกัน



พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาเอง

สำหรับพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้บนยอดฉัตรนั้น นับเป็นเรื่องอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาเอง โดยมีบุคคลหลายท่านยืนยันเป็นพยาน คือ คุณจันทร์นวล นาคนิยม

ซึ่งเป็นศิษย์รุ่นอาวุโสเคยเดินทางร่วมกับหลวงพ่อหลายครั้ง ได้เล่าถึงเรื่องนี้ว่า พระบรมสารีริกธาตุพระองค์นี้ ได้เสด็จมาก่อนพระบรมสารีริกธาตุที่นำไปบรรจุไว้ที่ วิหารน้ำน้อย อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งได้เสด็จมา ๑๐ กว่าองค์

สำหรับพระบรมสารีริกธาตุพระองค์นี้ได้เสด็จมาเพียงองค์เดียว ใหญ่มาก (เท่าปลายนิ้วก้อย) สีทับทิม รูปพรรณสัณฐานมีลักษณะ แตกต่างจากพระบรมสารีริกธาตุทั่วไป คือ เจียระไนไว้อย่างสวยงาม เหมือนกับ เพชรพลอย ที่เขาใช้ทำหัวแหวน

ถ้าหลวงพ่อไม่บอกว่าเป็น "พระบรมสารีริกธาตุ" ทุกคนก็เข้าใจว่าเป็น "ทับทิมที่เขาทำหัวแหวน" นั่นเอง สีโปร่งใส ไม่ทึบ สวยงามแวววาว ใหญ่มาก



หลังจากที่คุณเกษมเป็นผู้ถือฉัตร เพื่อให้หลวงพ่อเป็นผู้สวมยอดฉัตรเข้าไปแล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่ที่แข็งแรง สมัยนั้นมี พล.ต.ศรีพันธุ์, คุณสมบูรณ์ (จันทบุรี), คุณเหม่ (เลิศลักษณ์) และคุณอู๊ด (รังสิต สามีคุณแดง) คุณวิวัฒน์ - คุณวิชัย (สองฝาแฝด) ต่างก็ช่วยกันยกฉัตรขึ้นไปสวมที่ยอดพระเจดีย์ โดยมีหลวงพ่อเดินเข้าไปประพรมน้ำพระพุทธมนต์

หลวงพ่อเอาออกมาจากในกุฎิของท่าน นำออกมาให้ชมกันหลายคน พร้อมกับหลวงพ่อกล่าวด้วยความยินดีว่า

"...ได้แล้ว...ที่จะเอาไปบรรจุที่ดอยจอมกิตติ...นี่แหละ...พระบรมสารีริกธาตุ ท่านเสด็จมาเอง อยู่ที่หิ้งที่วางเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่หลวงพ่อบูชาอยู่.."

ในเจดีย์นั้นจะมีพระบรมสารีริกธาตุเต็มไปหมด ท่านเสด็จมาเอง แต่องค์เล็ก ๆ ส่วนที่เสด็จมาสำหรับไปบรรจุไว้ทางภาคเหนือนั้น มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ คือเป็นสีทับทิม

เมื่อทุกคนเห็นแล้วก็เป็นงง ต่างก้มลงกราบ เพราะไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่องค์เล็กๆ ที่วัดท่าซุง เพราะท่านเสด็จมาเป็นประจำ ส่วนในหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓" ได้เล่าไว้ว่า..


...ข้าพเจ้าเห็นก็คิดว่า เป็นหัวแหวนทับทิมที่เจียระไน หัวใหญ่น้ำสวยมาก เกิดมายังไม่เคยเห็น ซึ่งดูแล้วคล้ายกับทับทิมสยาม แต่สีอ่อนกว่า ถ้านับเป็นกะรัตคงไม่ต่ำกว่า 10 กะรัต องค์ท่านใสมาก (ไม่ขุ่นเลย) ถ้าวางบนจานแก้วจะมองเห็นทะลุกระดานเลย

การไปบวงสรวงนี้ ก็มีพวกฟ้อนรำไปด้วยเพื่อไปรำถวายพระธาตุ เวียนเทียนรอบๆ พระธาตุ ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ข้าพเจ้ามีความรู้สึกตัวผิดปกติ แบบครึ่งหลับครึ่งตื่นก็ออกไปรำถวายองค์พระธาตุกับเขาด้วย โดยไม่รู้ตัวเพราะปกติรำไม่เป็น แต่ว่าวันนั้นคนอื่นบอกข้าพเจ้ารำได้นาน และต่างพูดว่าข้าพเจ้ารำได้สวย

แต่ตัวข้าพเจ้าเองกลับไม่รู้ว่าตนเองได้ทำอะไรลงไปบ้าง เพราะมีความรู้สึกคล้ายกับว่า ตนเองอยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่น มารู้ตัวตอนหลังเมื่อมีคนเล่าว่า รำสวยหาที่ติดมิได้ รำแบบรำคาบอ้อมข้ามหัวเอี้ยวตัวไปข้างหลัง แล้วกลับมาข้างหน้า ซึ่งปกติข้าพเจ้าเป็นโรคหืดหอบทำไม่ได้หรอก


หลวงพ่อบอกว่า ท่านย่าท่านมาเอง จับให้รำ ท่านย่าชื่อ "อินทิรา" ย่าใหญ่เป็นแม่ของพระเจ้าพังคราช เป็นย่าของพระเจ้าพรหมมหาราช ทุกคนไปที่นั่นในวันนั้น ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ว่าเด็กเล็ก ร้องไห้กันทุกคน ยกเว้นหลวงพ่อองค์เดียวที่ไม่ร้องไห้

คุณอรอนงค์ (นิด) คุณะเกษม พูดกับ พล.ต.ศรีพันธุ์ วิชพันธุ์ (หรือพี่แดง - ยศปัจจุบัน) ว่าเรา ๒ คน ปรารถนาพุทธภูมิ เราไม่ร้องๆ ๆ ๆ ปรากฏว่า พล.ต.ศรีพันธุ์ เดินอ้อมไปหลังพระพุทธรูป แล้วร้องอื้อๆ ๆ ๆ ดังลั่นกว่าเพื่อน

ที่ต้องร้องไห้กันนั้นเพราะเหตุไร?

หลวงพ่อบอกให้ฟังว่า ท่านได้บอกพรหม เทวดาว่าจะทำอย่างไร เพื่อจะแสดงให้พวกลูกหลานรู้ว่า เหล่าพรหมเทวดาก็พากันมาร่วมพิธีกับพวกเราเยอะแยะ ควรทำปรากฏการณ์อะไรสักอย่างหนึ่งให้เขาเชื่อ

ปรากฏว่าร้องไห้กันทุกคน (ยกเว้นหลวงพ่อ) ส่วนข้าพเจ้านี่ท่านย่ามาเข้าทรง บังคับให้ข้าพเจ้าพูด แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรไปบ้าง เขาเล่าให้ฟังภายหลังว่า (ตอนท่านย่ามาเข้าทรงข้าพเจ้า) ได้พูดว่า

“ตอนสมัยนั้น (อดีต) ลำบากมากต้องต่อสู้กับขอมดำ ผู้หญิงก็ต้องออกรบร่วมกับพวกผู้ชาย ไหนผู้หญิงยังต้องเลี้ยงลูก ทำกับข้าวอีก มือก็ไกว (เปล) ดาบก็แกว่ง ต้องลำบาก

กว่าจะได้แผ่นดินมาแต่ละฝ่ามือต้องเอาเลือดล้างทุกตารางนิ้ว
ตอนที่แพ้ขอม ขอมก็ไล่ไป ต้องหนีไปซุกตัวอยู่ตามป่าตามเขาที่รกร้าง แล้วไปสร้างเมืองกันใหม่ และต้องส่งส่วยทุกปี”

พอทุกคนได้ยินท่านย่าเล่าให้ฟังเช่นนั้น ก็ยิ่งพากันร้องไห้หนักเข้าไปอีก คิดถึงคนที่ทรยศแผ่นดิน กว่าจะได้แผ่นดินคืนแต่ละตารางนิ้ว ต้องแลกด้วยเลือด แล้วยังมีคนคิดทรยศต่อชาติอีก

พอร้องไห้ ก็พากันทำบุญกับท่านย่ากันเป็นแถว ให้เอาเงินนี้บูรณะพระธาตุจอมกิตติ คนเล่าให้ฟังว่าท่านย่า (คือตัวร่างทรงของข้าพเจ้าเอง) ก็เดินงกๆ แบบคนแก่ นำปัจจัยที่ข้าพเจ้ารับมาไปถวายหลวงพ่อ นี่ก็จบเรื่องพระธาตุจอมกิตติ


เมื่อเสร็จพิธีในการยกยอดฉัตรกันแล้ว ญาติโยมทุกท่านต่างก็เข้าไปกราบไหว้บูชา ในเวลานั้น พระเจดีย์จำลองยังตั้งอยู่ด้านหน้าองค์พระธาตุจอมกิตติ

ต่อมาเจ้าหน้าที่โบราณสถานได้ย้ายไปตั้งอยู่มุมด้านซ้าย ภายหลังปรากฏว่ามีคนตายกันไป นี่เป็นเรื่องที่เล่ากันภายในนะ



ในตอนนี้ คุณศุภาพร ปุษยะนาวินเล่าเสริมว่า ต่อมาหลวงพ่อได้อัญเชิญไปไว้ที่บ้านสายลม ก่อนที่จะนำไปบรรจุ เพื่อให้บรรดาพุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาสักการะ โดยเปิดให้ทุกคนได้มีโอกาสสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ


ซึ่งหลวงพ่อได้บอกว่า เป็นพระบรมสารีริกธาตุที่เสด็จมาเป็นกรณีพิเศษ คือเป็นพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นสันนาสิก (ดั้งจมูก) ขององค์สมเด็จพระปฐมบรมครู ที่พระพุทธองค์ได้ทรงประทานให้เป็นกรณีพิเศษ ดังนี้


...นับว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่กระทำพิธียกฉัตร เพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่ประเทศ ตามความประสงค์ของ พ่อขุนผาเมือง ทุกประการ ทั้งนี้ พวกเราก็ได้ดำเนินรอยตามครูบาอาจารย์ จึงได้มาร่วมกระทำพิธียกฉัตร และฉลองสมโภชพระเจดีย์ดังกล่าวนี้


เพื่ออานิสงส์แห่งความดีเช่นเดียวกับ พระมหากัสสปเถรเจ้า และ พระภัททกาปิลานีเถรี คือในชาติปางก่อนท่านได้สร้างพระเจดีย์ทองคำ ไว้เป็นที่บรรจุพระบรมธาตุของ สมเด็จพระพุทธกัสสป

พร้อมทั้งบูชาด้วยเครื่องสักการะ อันมีผ้าห่มพระเจดีย์เป็นต้น ครั้นมาในชาติสุดท้าย ท่านได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว จึงได้ประกาศบุพกรรมของตนเองว่า...


“...เมื่อเราทำจิตให้เลื่อมใสในพระเจดีย์นั้นแล้ว จึงเสวยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ตลอดกาลนาน มาในชาตินี้ เราได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ แล้วได้สละทรัพย์มหาศาลออกบวช

เราได้สำเร็จปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ แล้ว เราได้กระทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ดังนี้...”
ปรากฏว่าชาติสุดท้ายท่านก็ได้นิพพานสมบัติ จึงได้สมบัติทั้ง ๓ ครบถ้วนทุกประการ



เป็นอันว่าเสร็จพิธีกรรมอันสำคัญ พวกเราในภายหลังคงจะตั้งใจอนุโมทนา คุณความดีที่หลวงพ่อและหลวงปู่ทั้งหลาย ได้เคยกระทำไว้สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่

บัดนี้ท่านก็ได้มรณภาพไปหมดแล้ว ยังคงทิ้งคุณงามความดีไว้เป็นอนุสรณ์ ตามที่ผู้เขียนได้บรรยายมานี้ เพราะในเวลาต่อมา พระเจดีย์ก็มีการชำรุดทรุดโทรมลงไป พวกเราก็ได้กลับไปบูรณะซ่อมแซมอยู่เสมอ

ณ โอกาสนี้ หากมีข้อบกพร่องสิ่งหนึ่งประการใด หรือใครที่ยังพอจำเหตุการณ์ได้บ้าง กรุณาช่วยชี้แนะเพื่อต่อเติมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง...สวัสดี


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/1/17 at 17:00 [ QUOTE ]



ตอนที่ ๕
คำสั่ง "ท่านแม่ย่าจันทรเทวี"



คุณอนันต์, คุณแสงเดือน, คุณประสงค์ ได้เสียสละร่วมกันแต่งกายย้อนยุคสมัยเชียงแสน


...โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการมาครั้งนี้ เป็นการรวมตัวของ "คณะศิษย์อาวุโส" เป็นผู้นำร่วมกันกับคณะศิษย์รุ่นต่อมา เพื่อวางพื้นฐานการแต่งกายตามโบราณประเพณี ซึ่งหลวงพ่อได้เคยบอกไว้ในสมัยท่านมีชีวิตอยู่ว่า..

"ท่านย่าได้มาสั่งให้บอกลูกหลานทุกคนว่า ถ้าจะมากราบไหว้ "พระธาตุดอยตุง" หรือ "พระธาตุจอมกิตติ" ก็ดี ขอให้นุ่งผ้าถุงหรือผ้าซิ่น อย่านุ่งกางเกงขึ้นไป เพราะจะเป็นการแสดงความไม่เคารพในสถานที่..."

นี้เป็นคำบอกเล่าจากคุณโยมจันทร์นวล คุณโยมชอ, โยมเชิญ และ คุณสุทธิลักษณ์ ก็ยืนยันอีกเช่นกัน ซึ่งอาตมาเองก็ไม่ทราบมาก่อน ทั้ง ๆ ที่เคยไปกับท่านมาหลายครั้ง

แต่บังเอิญคิดเตรียมงานไว้หลายปีแล้ว เมื่อใกล้จะถึงเวลา จึงได้เรียนปรึกษากับ หลวงพี่อนันต์ ว่าในปีนี้น่าจะทำอะไรให้พิเศษไปกว่าครั้งก่อนๆ และคงจะทำเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

ฉะนั้น เมื่อทุกคนทราบเรื่องนี้ ต่างก็ให้ความร่วมมือด้วยการแต่งกายดังที่ได้เห็นกันแล้ว บางคนอาจจะแต่งไม่เหมือนกัน แต่เรามิได้ทำเพื่ออวด หรือเพื่อแข่งขันกัน

เราทำเพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติพระเจ้าพรหมมหาราช อีกทั้งเป็นการสมมุติเหตุการณ์กันเท่านั้น จึงขออนุโมทนาทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

เหตุที่จัดงานใหญ่


...ส่วนที่ว่าเป็นการบูชาในกรณีพิเศษนั้น ก็ด้วยเหตุ ๓ - ๔ ประการ คือ

๑. การจัดงานพิธีในครั้งนี้ เพื่อเป็นการ ฉลองอายุพระพุทธศาสนาครบ ๒๕๔๐ ปีพอดี เพราะอะไร เพราะสถานที่นี้เป็นที่สำคัญ ที่องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา ได้เสด็จมาประทับยืนพยากรณ์ไว้ว่า ดินแดนแห่งนี้ จะเป็นที่รักษาพระพุทธศาสนาไว้ครบถ้วน ๕๐๐๐ ปี

บัดนี้ พวกเราก็ได้ยืนอยู่พร้อมกัน ณ สถานที่นี้ เพื่อร่วมกันประกาศพระศาสนา ช่วยกันเป็นเสาหลักค้ำจุนพุทธมณฑล ซึ่งมิใช่ของง่ายที่เราจะมีชีวิตผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ คือ เราไม่เป็น "มิจฉาทิษฐิ" ไปเสียก่อน องค์ประกอบเหล่านี้ ถ้าเราขาดข้อใดข้อหนึ่ง เราคงจะมิได้มีโอกาสมายืนพร้อมกันอยู่ ณ ที่นี้อย่างแน่นอน

ฉะนั้น ใครจะฉลองอายุพระพุทธศาสนา เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ จะเป็น ๒๕๕๐ หรือ ๒๖๐๐ จนไปถึงครบ ๕๐๐๐ ปี นั่นเป็นสิ่งที่ยังห่างไกล และมิใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายนัก

เพราะหลังจากนี้ ทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไป แล้วต้องจากโลกนี้กันไปเป็นธรรมดา แต่ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คล้ายกับเรามีนัดกันไว้ ก็จะจารึกฝังอยู่ในความทรงจำของพวกเราตลอดไป

๒. เพื่อเป็นการบูรณะปฏิสังขรณ์พระเจดีย์องค์เล็ก ซึ่งหลวงพี่อนันต์เคยกล่าวไว้ที่ วิหารน้ำน้อย หาดใหญ่ เป็นที่ประทับใจยิ่งนักว่า

"เป็นเสมือนสมบัติที่พ่อให้ไว้" คำนี้ท่าน ศ.ดร.ปริญญา ก็มีส่วนเช่นกัน พวกเราผู้เป็นลูกหลานของท่าน ควรจะได้รักษามรดกธรรมของพ่อไว้

เมื่อปีที่แล้วหลวงพี่อนันต์ก็ได้นำไปทางใต้แล้ว บัดนี้ สมบัติของพ่อทางภาคเหนือ เราก็ได้มารวมตัวทำกันไว้อีก ถือว่าทำครบถ้วนตามที่ท่านสั่งสอนไว้ไม่เสียแรงที่ท่านอุตส่าห์เมตตาสั่งสอนเราไว้ตั้ง แต่สมัยยังมีชีวิตอยู่

ดำเนินการซ่อมเป็นครั้งแรก


ส่วนการบูรณะพระเจดีย์ในครั้งนี้ นับเป็นการซ่อมครั้งแรก ได้ซ่อมทั้งฉัตรและปิดทององค์พระเจดีย์ใหม่ ซึ่งได้ให้ "โยมน้อย" ที่อยู่เชียงราย แต่มาช่วยงานวัดที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ได้มาขอคำแนะนำในการดำเนินงานจากท่านเจ้าอาวาสวัดนี้ก่อน

หลังจากนั้นแล้วจึงให้ คุณสุพัฒน์ และ อ.นฤมล ว่านเครือ จากเชียงใหม่ เป็นผู้ทำหนังสือถึงกรมศิลปากร เพื่อขออนุญาตในการซ่อมแซม

เมื่อเจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเชียงใหม่และเชียงแสนอนุญาตแล้ว จึงได้ดำเนินงานซ่อมให้สวยสดงดงามคงสภาพเดิม จนสำเร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๐ เป็นจำนวนเงิน ๕ หมื่นบาทถ้วน พร้อมทั้งได้ติดแผ่นป้ายจารึกไว้ข้างพระเจดีย์ทั้ง ๔ ด้าน มีใจความว่า

คำจารึก


หลวงพ่อพระมหาวิระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยคณะศิษย์ อันมี พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม และ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เป็นต้น ได้สร้างพระเจดีย์องค์นี้ เพื่อถวายไว้เป็นสมบัติในพระพุทธศาสนา ณ พระธาตุจอมกิตติ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๘

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๐ พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ และ พระชัยวัฒน์ อชิโต พร้อมด้วยคณะศิษย์หลวงพ่อฯ ได้มาบูรณะปฎิสังขรณ์ แล้วจัดงานสมโภช เป็นการฉลองอายุพระพุทธศาสนาครบ ๒,๕๔๐ ปี และ พิธีถวายพระราชสดุดีเทอดพระเกียรติคุณแด่ พระเจ้าพรหมมหาราชบรมโพธิสัตว์ เพื่อเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ ฯ

บ้านเก่าของเราแต่ก่อน


พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เคยเล่าไว้ในหนังสือ "เชียงแสน" ว่าในคราวที่ท่านเดินทางมาครั้งแรกนั้น พรหมเทวดาต่างมาอนุโมทนากันมากมาย ในคืนแรกที่ท่านมาถึง พระเจ้าพังคราช ได้เสด็จมาบอกหลวงพ่อว่า

"ท่านดีใจที่หลวงพ่อนำลูกหลานมาที่นี้ เพราะเป็นบ้านเก่าที่เราสร้างกันขึ้นมา..."

ฉะนั้น การเดินทางมาสักการบูชาในครั้งนี้ หรือทุกครั้งที่ผ่าน หรือจะมาในโอกาสต่อไป ก็ถือว่าเรามากราบไหว้พ่อแม่ของเรา เพราะเป็นสมบัติที่พ่อแม่ได้กระทำไว้

งานครั้งนี้จึงได้เชิญ คุณอนันต์ และ คุณแสงเดือน พร้อมด้วยคณะอีกหลายท่าน แต่งกายสมัยชาวโยนกนครเชียงแสน อีกทั้งได้เชิญคณะศิษย์รุ่นอาวุโสที่ได้เคยติดตามหลวงพ่อไปครั้งแรก ๆ อันมี

คุณจันทร์นวล พล.ต.ศรีพันธ์ (แดง) คุณอัญชัญ คุณอัญเชิญ คุณประดับวงศ์ คุณจำเนียร คุณนิพัทธา (น้อย) คุณเดือนฉาย (ต้อย) คุณเยาวลักษณ์ (เล็ก) คุณยุพดี (แอ๊ะ) คุณชาลินี (ปาน) คุณรัฐฎา (ม่ำ)

โดยมี ศ.ดร.ปริญญา
ได้เป็นผู้ต้อนรับหลวงพ่อเป็นครั้งแรก หลวงพ่อไปถึงเวลา ๒๓.๓๐ น. ได้กางเต้นท์ไว้ให้หลวงพ่อพักข้างล่างบริเวณหลังองค์พระเจดีย์

ส่วนท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่สามารถไปได้ก็ยังมีอีกหลายท่าน ซึ่งจะต้องขออภัยด้วยถ้าจำขาดตกบกพร่องไป เพราะเวลาผ่านมานานแล้ว สำหรับหัวหน้าคณะฝ่ายฆราวาส คือ ท่านเจ้ากรมเสริม ได้ฝากเงินมาช่วยซ่อมด้วย

การจัดงานในครั้งนี้ จึงเป็นการย้อนรำลึก หรือจำลองเหตุการณ์ที่ผ่านมา ว่าครั้งหนึ่งหรือ หลายชาติที่ผ่านมา เราได้เคยเกิดวนเวียนอยู่หลายวาระ เราได้ผูกพันอยู่ในถานที่นี้ เราได้รับทั้งความสุขและความทุกข์ ความระทมจากการเป็นทาสของขอม

ผลที่สุดเราก็สามารถร่วมกันกู้ชาติเป็นผลสำเร็จ ชาติบ้านเมืองจึงได้เป็นอิสรภาพมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คนไทยมีความสุข เพราะการเสียสละอย่างใหญ่หลวง แม้กระทั่งชีวิต ดังเช่น "ท่านแม่" และเหล่าทหารหาญทั้งหลาย

ควรที่เราจะได้สักการะบูรพกษัตริยาธิราชเจ้า ตลอดถึงบรรพชนของเราทั้งหลายด้วย เพราะท่านได้สละชีวิตและเลือดเนื้อของท่านมาคุ้มครองรักษาพวกเรา เอามาทับถมพื้นปฐพี แผ่นดินผืนนี้ที่เราอาศัยอยู่ จึงต้องถือว่าเป็น "พ่อ" เป็น "แม่" ของเรา

โอกาสนี้จึงเป็นการสมโภชพระเจดีย์ ทั้งองค์เล็กและองค์ใหญ่ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะ เพราะการสค้างพระเจดีย์ในสมัยนั้น นอกจากจะบรรจุสิ่งของสำคัญในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ท่านบอกว่าเป็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอีกด้วย

และประการสุดท้าย เรามาในครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติคุณ พระเจ้าพรหมบรมโพธิสัตว์ เป็นกรณีพิเศษอีกด้วย เป็นการย้อนเหตุการณ์ไปนานนับพันปี เพื่อเป็นการสดุดีวีรกรรรมของพระองค์

โดยเฉพาะชาติสุดท้ายของท่านนั้น ที่พวกเราจะต้องย้อนรอยถอยกลับไปในอดีตที่ผ่านไปไม่นาน นับตั้งแต่ท่านเดินทางมาที่นี่เป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๗

ต่อมาท่านก็นำคณะมาถวาย ช้างพลายประกายแก้วจำลองและทำพิธีบวงสรวงเพื่อถวายเครื่องพระราชกกุฏภัณฑ์จำลองเป็นพุทธบูชา

ครั้นการสร้างพระเจดีย์จำลองเสร็จแล้ว ท่านจึงได้เดินทางมาทำพิธียกฉัตร ตามความประสงค์ของเบื้องบนทุกประการ

ฉะนั้น เหตุการณ์ที่ผ่านมาของท่านในอดีตมีมากมายหลายครั้ง ในเมื่อท่านล่วงลับไปแล้วบุญความดีที่มีอานิสงส์สูงสุดเพียงใด พวกเราก็จะขอดำเนินรอยตามท่านทุกอย่าง

โดยจะมารวบรัดกระทำพิธีกรรมรวมกันในครั้งนี้ เพื่อคนบางคนที่ยังไม่มีโอกาสร่วมบุญกับท่าน ก็จะสามารถอาราธนาท่านมาเป็นสักขีพยาน

ในการย้อนเหตุการณ์ไปถึงการทำพิธีถวาย ช้างพลายประกายแกัว (จำลอง) การถวาย เครื่องพระราชกกุฎภัณฑ์ (จำลองง) ตลอดถึงการบูรณะฉัตร และ พระเจดีย์ (องค์เล็ก)

ในฐานะผู้ติดตามการกุ้ชาติร่วมยุคร่วมสมัยเดียวกันกับท่าน เคยถอดเครื่องประดับ เคยถอดอาวุธ ถวายเป็นพุทธบูชากันมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน

แต่มาในชาตินี้ยังมีวิบากกรรมที่ทำให้ติดขัดเรื่องเวลานัด บางคนอาจจะขัดข้อง มาไม่ทันเวลา บางคนก็เถลไถลไปบ้างตามกฏของธรรมดา แต่เราก็ยังสามารถรวมตัวกันได้

เราจึงพร้อมใจกันมาใจชุดสมมุติว่า เป็นชาวเชียงแสนเก่า พร้อมกับชื่อเมืองในอดีต คือ เวียงโยนกบุรีศรีเชียงแสน, เวียงไชยปราการ, เวียงไชยนารายณ์, เวียงพางคำ และ เวียงสีทวง เป็นต้น เป็นการจำลองเหตุการณ์หลังจากเสร็จศึก แล้วเรามาฉลองชัยชนะกัน

สถานที่รวมพระพุทธเจ้า


.....อีกประการหนึ่ง ไม่ว่าสถานที่ใด อันเป็นสถานที่ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เสด็จมาประทับยืนพยากรณ์

สถานที่นั้นมักจะเป็นสถานที่ "พระพุทธเจ้าในอดีต" เคยเสด็จมาก่อนแล้ว และจะเป็นสถานที่ "พระพุทธเจ้าในอนาคต" เสด็จมาอีกเช่นกัน

เพราะเป็น "พุทธประเพณี" ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ภายในกัปเดียวกัน ทรงถือเป็นธรรมเนียมในการปฏิบัติ ตัวอย่างเช่นที่ "พระธาตุพนม" จังหวัดนครพนม และ "พระธาตุเชิงชุม" จังหวัดสกลนคร

ตามประวัติเล่าว่า พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระกกุกสันโธ สมเด็จพระโกนาคม และ สมเด็จพระพุทธกัสสป ก็เคยเสด็จมาแล้ว

ส่วนที่พระเจดีย์ "ถูปาราม" เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา และพระเจดีย์ "ชเวดากอง" ประเทศพม่า ตามประวัติกล่าวว่าเป็นที่ประดิษฐานสิ่งของสำคัญของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ มาแล้วเช่นกัน

ส่วนสถานที่นี้ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเป็นที่สำคัญทางภาคเหนือของประเทศไทย การที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาก่อน เมื่อพรรษาที่ ๑๖ นั้น ก็เหมือนกับทรงมาประทับเหยียบหัวหาดเอาไว้ และการที่หลวงพ่อมายกฉัตรพระเจดีย์องค์เล็กไว้นั้น

ขอให้ทุกคนหลับตานึกภาพถึงแผนที่ประเทศไทย ถ้าเอาหัวขวานขึ้น เอาด้ามขวานห้อยลง เงาของร่มย่อมป้องกันภัยไปตลอดถึงด้ามขวาน จึงขอฝากเรื่องนี้ให้ท่านทั้งหลายช่วยกันวินิจฉัยไว้ด้วย สำหรับเวลานี้เราจะย้อนอะไรกันดีก่อนล่ะ...?

ย้อนอดีตเมื่อ ๒๒ ปี ก่อน


ในตอนนี้ ก็ขอย้อนบรรยากาศไปในอดีตกาลที่ผ่านไปไม่นานนักกันก่อน คือ เหตุการณ์ตอนสำคัญใน วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ณ สถานที่ที่พวกเราได้มาประชุมพร้อมกันนี้

ถ้าเราจะหวลระลึกถึงในเวลานั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พร้อมด้วยหลวงปู่พระสุปฏิปันโน รวม ๗ รูป ดังที่กล่าวไปแล้วนั้น พร้อมทั้งญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ได้มาประชุมพร้อมกันอยู่ ณ ที่นี้เหมือนกัน เพื่อกระทำพิธีบวงสรวงสักการะบูชา

ซึ่งคณะศิษย์ในเวลานั้น ได้ย้อนกลับมานั่งอยู่ในที่นี้ มีหลายท่านคงจะจำได้ดีว่า ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์สร้างพระเจดีย์จำลองเล็ก ๆ เพื่อกระทำพิธียกฉัจนถวายไว้ ณ ที่นี้ แล้ว หลวงปู่ทั้งหลาย ก็ได้เจริญพระพุทธมนต์เป็นทำนองชาวเหนือ

หลังจากนั้นหลวงพ่อได้กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย แล้วได้เล่าเรื่องต่าง ๆ ในอดีต และ "อานิสงส์การถวายฉัตรและธง" ให้พวกเราได้รับฟังกัน โดยยกตัวอย่าง ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงษ์โพธิสัตว์ ได้ติดตามหาลูกชายซึ่งหายไปเป็นเวลา ๓ ปี

ต่อมาภายหลังทราบว่า ลูกชายสำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และได้ปรินิพพานไปแล้ว คนทั้งหลาย จึงได้นำเอาพระอัฐิไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์

ท่านไม่มีอะไรจะบำเพ็ญกุศล จึงได้นำเอาร่มของตนขึ้นไปกั้นไว้บนยอดพระเจดีย์ และเอาผ้าขาวม้าทำเป็นธง เพื่อเป็นการสักการะบูชา แล้วตั้งความปราถนาพระโพธิญาณ

เมื่อหลวงพ่อเล่าจบแล้ว ก็ให้ทุกคนร่วมกันทำประทักษิณรอบพระบรมธาตุ เวลานั้น หลวงพ่อมีบัญชาให้หลวงปู่ทุกองค์เข้าผลสมาบัติ

ส่วนท่านได้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ แต่บรรดาพุทธบริษัทชายหญิงที่เดินผ่านไป ฉะนั้น ถ้าหากทุกท่านน้อมใจไปในเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น เพื่อให้เหมือนกับอยู่ในบรรยากาศที่ผ่านไป ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็พังจะผลเช่นเดียวกันทุกประการ

เริ่มพิธีบวงสรวง


ต่อไป พระครูปลัดอนันต์ เป็นประธานฝ่ายบรรพชิต จุดธูปเทียนที่โต๊ะบวงสรวง หน้าพระเจดีย์ (องค์เล็ก)

ส่วน คุณอนันต์ เป็นตัวแทนฝ่ายคฤหัสถ์ จุดธูปเทียนที่โต๊ะบวงสรวงหน้าพระเจดีย์ (องค์ใหญ่) สำหรับบายศรีในปีนี้ ก็ได้จัดเตรียมเป็นพิเศษ โดยทำเป็นรูปลักษณะบายศรีแบบทางภาคเหนือทั่วไป

ลำดับจากนี้ไปจะเริ่มทำพิธีบวงสรวงและจะกระทำพิธีการทุกอย่าง เพื่อเป็นการย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เป็นการเฉลิมฉลองชัย ในการที่จะเอาชนะข้าศึก คือกิเลส ให้เป็นสมุจเฉทปหาน เหมือนกับหลวงพ่อและหลวงปู่ ทั้งหลาย และฆราวาสบางท่านในเวลานั้น ซึ่งในเวลานี้ได้จากไปแล้วหลายท่าน

อันมี คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ภรรยาท่านเจ้ากรมเสริม ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต และ คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค เป็นต้น เหลือแต่พวกเราที่อยู่ภายหลัง จำต้องขอย้อนพิธีการบำเพ็ญกุศล ให้ได้ผลเช่นเดียวกันกับท่าน

เพื่อขอติดตามท่านไปในสถานที่ไม่ต้องกลับมาต่อสู้กันอีก เพราะเรารบกันมามากมายหลายชาติแล้ว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหลือเกิน จำต้องอำลาสนามชัย แล้วเราจะได้ไปพบกันที่เป็นเอกันตบรมสุขดีกว่า แล้วทุกท่านก็ตั้งจิตกล่าวคำอธิษฐานโดยพร้อมเพรียงกัน

หลังจากนั้นจึงได้เปิดเทป "หลวงพ่อบวงสรวง" และหลวงปู่เจริญพระพุทธมนต์เป็นสำเนียงชาวเหนือ แล้วกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย และกล่าวคำขอขมาโทษ

พระครูปลัดอนันต์ นำพานธูปเทียนแพไปวางไว้ที่พระเจดีย์องค์เล็ก พร้อมทั้งเจิมแป้งมงคลที่ป้ายจารึก โปรยข้าวตอกดอกไม้ สรงด้วยน้ำหอม แล้วห่มผ้าสะไบ รอบองค์พระเจดีย์

ในขณะเดียวกันนั้น คุณอนันต์ และ คุณแสงเดือน ก็ได้นำพานธูปเทียนแพไปวางไว้ที่หน้าพระเจดีย์องค์ใหญ่

พร้อมทั้งโปรยข้าวตอกดอกไม้ และสรงด้วยน้ำหอม ทำพิธีพร้อมกันไปเลย โดยมีพระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ปี่พาทย์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์มหาชัย ตีฆ้องลั่นกลองชัยไปตลอดพิธี

พิธีถวายเครื่องสักการะ


ต่อจากนั้นจะเป็นพิธีถวายเครื่องสักการะ โดยทุกคนได้กล่าวพร้อมกันว่า

"...ภันเต ภควา ข้าแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอกราบน้อมถวายเหนือเศียรเกล้า ด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้ อันมี เครื่องพระราชกกุฎภัณฑ์จำลอง คือ...

พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกรชัยพฤกษ์ พัดวาร วิชนี พระแส้จามรี และฉลองพระบลาทเชิงงอน ช้างพลายประกายแก้วจำลอง

ตลอดถึง ฉัตรเงินฉัตรทอง พุ่มเงินพุ่มทอง ผ้าห่มสะไบ เครื่องบายศรี ดอกไม้ธูปเทียนทอง และของหอมทั้งหลาย เครื่องประดับธงทิวต่าง ๆ เป็นต้น

เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และ สังฆบูชา ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ และความสุขอย่างยิ่ง นั่นคือพระนิพพาน แก่ข้างพระพุทธเจ้าทั้งหลายในชาติปัจจุบันนี้เทอญ"

เมื่อทุกคนกล่าวคำอธิษฐานเสร็จแล้ว คุณอนันต์ จึงเป็นตัวแทนของทุกคนถวาย เครื่องพระราชกกุฎภัณฑ์

ซึ่งได้ปิดทองและประดับเพชรอย่างวิจิตรบรรจง พร้อมทั้งถวายช้างพลายประกายแก้วจำลอง จัดทำได้สวยงามสง่าสมจริงสมจัง แด่เจ้าอาวาสวัดพระธาตุจอมกิตติ

สิ่งของทั้งหมดนี้ ผุ้แต่งชุดทหารองค์รักษ์ ได้รับนำไปวางไว้บนโต๊ะพิธี ต่อหน้าองค์พระบรมธาตุเจดีย์ เพื่อเป็นสักขีพยาน เสร็จสมบูรณ์ ในการทำพิธีถวายอย่างเป็นทางการ

ย่อมเป็นการบอกเหตุว่า พวกเราทุกคนได้วางอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายแล้ว เพราะนับ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มือทั้งสองข้างของพวกเราจะไม่จับอาวุธเพื่อการรบอีกต่อไป เราจะถวายไว้เป็นพุทธบูชา เพื่อเป็นสมบัติในพระพุทธศาสนาสืบต่อไป

หลังจากพิธีบวงสรวงแล้ว ก็จะเป็นการเวียนเทียนรอบพระบรมธาตุ แต่เนื่องจากบนลานพระธาตุ มีคนนั่งอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่สามารถเวียนเทียนได้ทั้งหมด จึงต้องให้ผู้ที่แต่งกายสมมุติในชุกกษัตริย์และข้าราชบริพารได้เวียนเทียนแทนทุกคน

ในขณะที่เวียนเทียนทั้ง ๓ รอบนั้น พระครูปลัดอนันต์ เป็นผู้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่ทุกคนที่เดินผ่านไป โดยมีพระสงฆ์ทั้งหมดได้เจริญพระพุทธคุณ คือ สวดอิติปิโส ไปตลอดพิธี แล้วเปิดโอกาสให้คนที่มีพานธูปเทียนแพได้เข้าไปถวายไว้ที่หน้าพระเจดีย์

พิธีสมโภชพระเจดีย์


ต่อไปก็จะเป็นพิธีการสมโภชพระเจดีย์ โดยฟ้อนรำบวงสรวงชุด เชียงแสน จากคณะนักเรียน โรงเรียนพร้าววิทยาคม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ จำนวน ๒๕ คน ฝึกสอนโดย อ.สุดา ประสานงานโดย อ.ชาญยุทธ

จบแล้วก็เป็นการแสดงชุด ฟ้อนดาบ เด็กทั้งสองคนรำดาบได้เก่งมาก เรียกเสียงปรบมือได้อย่างเกรียวกราว

ต่อมาก็เป็นรำบวงสรวง"ชุดพิเศษ" ด้วยการประพันธ์บทเพลงเอง แล้วนำไปให้ผู้ขับร้องได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง เพลิดเพลินไปกับเนื้อร้องและทำนองเพลง โดย คุณสุทธิลักษณ์ สุทธิ ได้ฝึกซ้อมฟ้อนรำกับคณะเพื่อน ๆ รวม ๕ คน ทั้งนี้ เพื่อสำหรับงานพิธีนี้โดยเฉพาะ

บทขับร้องฟ้อนรำบวงสรวง


นพเอย...นพศิระ นพคุณพระพุทธองค์ ทั้งพระอริยสงฆ์ ผู้ดำรงธรรมวินัย
ไหว้ทวยเทพเทวราช มีอำนาจฤทธิไกร ปกเกล้าเราชาวไทย บันดาลให้ดำรงคง

พระราชพรหมยาน ผู้ทรงฌานดั่งใจจง นำพวกเราให้ดำรง ในศีลมั่นหมั่นภาวนา
อีกพระบรมกษัตริย์ ป้องกันราษฎร์และพารา ก่อเกิดเราชาวล้านนา เป็นปฐมบรมวงศ์

อันมีเจ้าสิงหนวัติ เจ้าพิงคราชญาติพงศ์ พระเจ้าพังคราชก็อาจองค์ พระเจ้าพรหมฤทธิไกร ทั้งพระนางจามเทวี ผู้เป็นศรีหริภุญไชย เกียรติระบือลือไกล ข้าน้อยไซร้นบบูชา

ขุนเจืองเรืองพระยศ ราชโอรสจอมพารา พระยาเม็งรายยกพลมา นพบุรีศรีพิงคนคร
พระยางำเมืองเรืองยศ เกียรติปรากฏแต่ปางก่อน

เจ้าแสนภูน้อมถวายกร ปางข้าเจ้าเฝ้าระลึกคุณ ขออัญเชิญอยู่เหนือเกศ พระทรงเดชโปรดนำหนุน ก่อกุศลผลบุญ ช่วยเจือจุนพูนสุขเอย ฯ


...เมื่อจบพิธีสมโภชแล้ว จึงเป็นการถวายพุ่มผ้าป่า โดยพระชัยวัฒน์ได้กล่าวถวายรายงาน พระครูปลัดอนันต์ ถึงผู้ร่วมประสานงานต่าง ๆ อาทิ

โรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม โดยคณะอาจารย์และนักเรียนทั้งหลาย พร้อมทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน ตลอดถึงกลุ่มแม่บ้านวัดพระธาตุจอมกิตติทั้งหลาย เป็นต้น

ต่อจากนั้น พระครูปลัดอนันต์ ก็ได้มากล่าวสัมโมทนียกถา ในฐานะประธานของงาน โดยได้กล่าวอนุโมทนาคณะญาติโยมที่ร่วมเดินทางมา ที่สามารถทำเวลามาทันพิธี พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ร่วมกันจัดงานทุกคน ตลอดถึงเจ้าของสถานที่ที่ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

ครั้นจบแล้วท่านก็ได้เป็นตัวแทนของ "คณะศิษย์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" ทั่วทุกภาค ถวายปัจจัยไทยทานและพุ่มผ้าป่าแด่ หลวงพ่อพระครูวิกรมเสมาธิคุณ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งได้นัยยอดเงินแล้วประมาณ ๓ แสนกว่าบาท

ทั้งนี้ ได้หักเงินค่าบูรณะพระเจดีย์องค์เล็ก ๕๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดงานต่าง ๆ ๒๐๕,๐๐๐ บาทเศษ ในจำนวนนี้ คุณประสงค์ ช่วยออกค่าพลุให้ ๑ หมื่นบาท และ คุณอธิก ช่วยออกค่าน้ำให้อีก ๒ พันบาท

แล้วยังมีผู้ร่วมสมทบเข้ากองกลางอีกหลายท่าน เงินกองกลางส่วนที่เหลืออยู่นี้ ก็ได้นำไปถวายเจ้าอาวาสแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๕ แสนกว่าบาท ซึ่งท่านบอกว่าจะได้นำเงินจำนวนนี้ ไปสร้างพระเจดีย์องค์ทั้งสี่มุมของพระเจดีย์องค์ใหญ่อีกต่อไป..สวัสดี"

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/1/17 at 08:50 [ QUOTE ]



ตอนที่ ๖

พิธีถวายพระราชสดุดีเทิดพระเกียรติคุณแด่
พระเจ้าพรหมบรมพงศ์โพธิสัตว์



...เมื่อตอนที่แล้วลงบทความตอนที่ 5 ก่อน แล้วจึงลงตอนที่ 4 ที่เป็นตอนสำคัญเกือบจะข้ามไปซะแล้ว ซึ่งเป็นตอนที่หลวงพ่อและหลวงปู่ทำพิธียกฉัตร (พระเจดีย์องค์เล็ก) เมื่อปี 2518

ส่วนตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 6 อันเป็นตอนเล่าเรื่องการจัดงานย้อนอดีต ในสมัยที่ท่านเจ้าคุณ "พระราชภาวนาโกศล" เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง ซึ่งผู้เขียนเองก็ได้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งสองสมัย

"...เป็นอันว่าพิธีกรรมต่าง ๆ ก็ได้ผ่านพ้นไป เมื่อใกล้เวลาจะค่ำมืด ก็มาถึงตอนพิธีอันสำคัญปิดท้าย นั่นก็คือ...พิธีถวายพระราชสดุดีเทอดพระเกียรติคุณแด่ "พระเจ้าพรหมบรมโพธิสัตว์" ได้เริ่มต้นอารัมบทมีใจความว่า...

การกระทำ "พิธีบวงสรวง" ถวายเครื่องสักการบูชา ได้ลำดับขั้นตอนมาตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้กระทำไว้เป็นแบบอย่าง เราได้ย้อนรอยถอยหลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา ท่านที่มิได้มีโอกาสร่วมพิธีในวันนั้น แต่ได้มาทันเหตุการณ์ในวันนี้ก็ยังถือว่าโชคดี

สำหรับพิธีกรรมปิดท้ายรายการในครั้งนี้ ก็จะเป็นการย้อนเหตุการณ์ไปนานยิ่งกว่านี้อีก ซึ่งถือว่าเป็นการย้อน"อดีตรำลึก" ของพระเจ้าพรหมมหาราช ตามที่หลวงพ่อเล่าไว้ในที่ต่างๆ ถือเป็นพิธีการ "ถวายพระราชสดุดีเทิดพระเกียรติแด่พระเจ้าพรหมมหาราช"

เนื่องจากพระองค์ได้สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก แต่ทว่าชาวไทยสมัยปัจจุบันนี้ อาจจะไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ต่อไปนี้จึงขอเชิญท่าน ศ.ดร.ปริญญา นุตาลัย ได้มากล่าวสดุดีเป็นบทกลอนก่อน ต่อจากนั้นจะได้สาธยายเรื่องราวของพระองค์ต่อไป

ในตอนนี้ ศ.ดร.ปริญญา ก็ได้ออกมากล่าวนำ โดยทุกคนต้องว่าตามไปพร้อมกัน

พรหมมหาราชเจ้าบูชา


วันนี้ลูกตั้งพุ่ม บายศรี
พร้อมเครื่องบวงสรวงมี ครบถ้วน
น้อมถวายเพื่อเทวพลี บูชิต
องค์พระไตรรัตน์ล้วน ทั่วทั้งเทพพรหม

ประนมหัตถ์มนัสน้อม บูชา
ไหว้พระธาตุเกศา พุทธเจ้า
นลาฏธาตุพระศาสดา สิบเอ็ด องค์นา
พระพุทธโฆษนำเข้า จากด้าวลังกา

วันทนาพุทธโฆษเจ้า จอมชี
เดิมสถิตสุธรรมวดี ก่อนแล้ว อภิวาทภูบดี
พังคราช ผู้ก่อเจดีย์แก้ว เพริศแพร้วงดงาม

เฉลิมนามมหาราชเจ้า จอมพหล
พร้อมเหล่าพลหาญรณ เก่งแกล้ว
พานคำคชมงคล เศวตชาติ
กู้เอกราชไทยแล้ว ไล่ล้างขอมดำ

วีรกรรมเกริกเกียรติก้อง ควรไทย ลืมฤา
พระเดชแผ่ขจรไป ทั่วหล้า
พระคุณอุ่นดวงใจ ทั้งชาติ
พระปลูกจิตไทยกล้า สฤษดิ์สร้างเวียงไชย

ในวารศุภฤกษ์นี้ บูชา
องค์พระเจ้าพรหมมหา ราชเจ้า
ขอพระจุ่งโมทนา ทุกสิ่ง
ที่ลูกน้อมนบเกล้า อุทิศให้พระองค์

ขอพระทรงทราบด้วย ทิพญาณ
ลูกจักสืบสนองงาน พ่อไว้
งานชาติศาสน์ราชภาร ทุกอย่าง
สนองพระคุณท่านได้ กอบกู้ชาติไทย

ขอไท้เทวราชทั้ง จักรวาล
โปรดรับเครื่องนมัสการ เหล่านี้
ขอพระโปรดประทาน พรสี่ ลูกนา
ทุกข์โศกโรคภัยลี้ ตราบเข้านิพพาน

ในขณะที่ทุกคนกล่าวพร้อมกันนั้น เสียงได้กระหึ่มดังก้องไปทั่วบริเวณนั้น ต่อหน้าองค์พระบรมธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ เหมือนจะประกาศก้องให้ฟ้าดินเป็นพยานว่า

พวกเราเหล่าลูกหลานได้มาสรรเสริญพระองค์โดยพร้อมเพรียงกันแล้ว แต่ละคนก็มีความปลื้มปีติยินดีเป็นล้นพ้น

บทความเทิดพระเกียรติคุณ
พระเจ้าพรหมมหาราช



เครื่องราชกกุภัณฑ์ (จำลอง) ได้จัดขบวนแห่อัญเชิญมารวมกันไว้


...พระราชจริยาวัตรของพระเจ้าพรหมมหาราชนั้น ตามที่เราได้ศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นจาก พงศาวดารโยนก และตำนานสิงหนวัติ หรือจากตำนานโบราณต่างๆ ที่ได้กล่าวถึงพระราชประวัติของพระองค์

ต่างยกย่องสรรเสริญพระบารมีและพระเกียรติคุณว่า พระองค์เป็นผู้มีบุญญาธิการมากมาย มีความสามารถในด้านการรบและการปกครอง น้ำพระทัยในพระองค์ มีความรักใคร่เอ็นดูพสกนิกรเหมือนกับลูกทุกคน พระองค์มีสติปัญญาเฉียบแหลม และทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมทั้ง ๑๐ ประการ

อีกทั้งยังทรงมีพระราชศรัทธาในบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทรงปฎิบัติพระองค์อยู่ในบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๓ ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา ทรงพรหมวิหาร ๔ และมีความกตัญญู เป็นเลิศ

และปลูกฝังชาวประชาราษฎร์ให้มีศีลธรรม รักความสงบ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ดังที่ได้เห็นผลงานการประดิษฐานพระศาสนา

การทหาร การปกครองบ้านเมือง ได้ปรากฎอยู่ตามตำนานและหลักฐานทางโบราณคดี พระปรีชาสามารถของพระองค์นั้น ในที่นี้จะยกตัวอย่างมา ๓-๔ ประการ คือ

ประการแรก พระองค์ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์โพธิสัตว์ทรงมีวาสนาบุญญาธิการมาแต่ในอดีต การเกิดคราวนี้ ทรงตั้งพระทัยลงมาช่วยคนไทยโดยเฉพาะ จึงมีสหชาติมาเกิดร่วมด้วย ๒๕๐ คน พร้อมกับได้ช้างพลายประกายแก้ว มาเป็นช้างพระที่นั่งคู่พระบารมี

ประการที่สอง ทรงมีพระราชวิสัยทัศน์กว้างไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรบ พระองค์ทรงคิดกอบกู้ประเทศชาติจากขอมตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

โดยมีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษาเท่านั้น ก็สามารถฝึกหัดการรบจนชำนาญ มีความเก่งกล้าสามารถ เฉลียวฉลาดในการต่อสู้เป็นอย่างยิ่งเกินกว่าคนธรรมดาสามัญ ด้วยการขุดสระและสะสมอาหาร เตรียมการณ์ไว้ก่อนการรบ

ประการที่สาม ทรงมีความกตัญญูเป็นเลิศ เมื่อพระองค์ทรงรบชนะขอมแล้ว ก็ไม่ทรงคิดขึ้นครองเมืองเอง แต่กลับให้พระราชบิดาครองราชสมบัติต่อไป แล้วให้พระเชษฐาเป็นพระมหาอุปราช

ประการที่สี่ ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นบุคคลตัวอย่าง เพราะหลังจากปลดปล่อยคนไทยจากความเป็นทาสของขอมแล้ว พระองค์ก็หันมาสร้างบ้านแปลงเมืองกันใหม่

จัดสรรพื้นที่ให้ราษฎรทำกินหาเลี้ยงชีพ บูรณะปฎิสังขรณ์วัดวาอาราม อุปถัมภ์บำรุงพระภิกษุสามเณร และชำระพระไตรปิฎกไว้เป็นแบบอย่าง ตามที่พระพุทธโฆษาจารย์นำมา



เครื่องราชกกุภัณฑ์ (จำลอง) ปัจจุบันทางวัดได้นำมาประดิษฐานไว้บนพระแท่นนี้

...สรุปความได้ว่าพระราชจริยาสัมมาปฎิบัติของพระเจ้าพรหมมหาราชนั้น ปรากฎมีลักษณะเหมือนจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปรากฎใน "บันทึกพิเศษ" ที่จะได้นำไปเล่าในตอนต่อไป..สวัสดี"

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 8/1/17 at 17:49 [ QUOTE ]



ตอนที่ ๗

บันทึกพิเศษ


"...สรุปความได้ว่าพระราชจริยาสัมมาปฎิบัติของพระเจ้าพรหมมหาราชนั้น ปรากฎมีลักษณะเหมือนจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปรากฎใน "บันทึกพิเศษ" ท่านเล่าไว้มีใจความว่า

"...จงนับถอยหลังจากชาตินี้ไปขึ้นต้นด้วย เลข ๕ แล้ว ๐ อีก ๕๐ สูญ เป็นจำนวนเท่าไรกันนับเอาเอง สมัยนั้นเป็นสมัยที่ฉันเกิดเป็นมนุษย์ เป็นชาติที่เกิดได้พบพระพุทธเจ้าครั้งแรกในชีวิต ฉันเป็นพ่อบ้านชื่อว่า ปการัง มีแม่บ้านชื่อ "ปการันยา" คือแม่ศรี

เมื่อ "สมเด็จพระพุทธสิกขี" ทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว พระองค์ได้เสด็จมาโปรดถึงบ้านฉันจึงได้เข้าเฝ้าพระองค์บำเพ็ญกุศล แล้วทอดกายเป็นสะพานให้ทรงดำเนิน เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ

แม่ศรีและลูกปราถนาติดตามเป็นคู่บารมี เมื่อตายจากชาตินั้น ทุกคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด ส่วนฉันเป็นเทวดาชื่อ "เกษี"

สมัยต่อมา พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "เวสสภู" ได้เสด็จมาเทศน์โปรด ท่านปู่และฉัน สมัยนั้นฉันมีชื่ว่า "อินทระ" และนักรบทั้งหมด ถอดอาวุธคู่มือถวายเป็นพุทธบูชา

ส่วนท่านย่าและแม่ศรี ชาตินี้มีชื่อว่า "ศิริกัลยา" และลูกๆ ถอดเครื่องประดับกายทั้งหมดถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อตายจากชาตินั้น ทุกคนไปเกิดร่วมกันในชั้นดุสิต..."

ครั้นถึงสมัย "สมเด็จพระพุทธกัสสป" ท่านก็ได้ลงมาเกิดอีกหลายวาระ เช่นบริเวณ "เขื่อนยันฮี" จ.ตาก และบน "ภูกระดึง" จ.เลย

สมัยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช
..ส่วนใหญ่ท่านจะเป็นกษัตริย์ และสมัยหนึ่งท่านเคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ทรงพระนามว่า "พระเจ้าศรีทรงธรรม" มีพระอัครมเหสี ทรงพระนามว่า "พรรณวดีศรีโสภาค"

แต่การเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น มิได้เป็นครั้งนี้เป็นครั้งแรก เมื่อสมัย "สมเด็จพระพุทธทีปังกร" คือย้อนไปเมื่อ ๔ อสงไขยกัปนั้น ได้เคยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิทรงพระนามว่า "นวราชบรมจักรพรรดิ" ครองเมือง "มหาบรมไตรจักรภพ" มีพระราชฐานบริเวณ "เมืองชิคาโก้" สหรัฐอเมริกาปัจจุบันนี้

อันมี ๓ ศรีพี่น้องเป็นมเหสี พี่สาวใหญ่มีนามว่า "พระนางปทุมวดี" น้องรองคือ "แม่ศรี" มีนามว่า "พระนางมหารัตนนารี" เป็นพระมเหสีเอก ส่วนน้องเล็กมีนามว่า "พระนางศิริรัตนาวดี"

สมัยพุทธกาล
...ต่อมาในสมัยพุทธกาลนี้ ท่านได้ครอง "เมืองสาวัตถี" มีพระนามว่า "พระเจ้าปเสนทิโกศล" หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ท่านก็ได้มาครอง "โยนกนคร" ซึ่งเป็นเขตแดนไทยในวาระแรก ประมาณ พ.ศ.๑๐๐ ทรงพระนามว่า "พระเจ้ามังรายนราช"

ในชาติต่อมาประมาณ พ.ศ.๒๔๕ ก็ได้มาเกิดในสมัย "สุวรรณภูมิ" บริเวณราชบุรี ทรงพระนามว่า "พระเจ้าตวันอธิราช" ทรงมีพระราชโอรสคือ "พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า" ซึ่งทรงมีวิสัยเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกับพระราชบิดา ในปัจจุบันทั้งสองพระองค์ ก็ได้เคยทรงทำหน้าที่ร่วมกันมาแล้ว

จนกระทั่งถึงประมาณ พ.ศ.๙๐๐ ปีเศษ ท่านก็ไดัมาเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วนพระเจ้าเดือนเด่นฟ้าก็ได้มาเกิดเป็น "พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า" แต่พระองค์ก็ได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เสียก่อน

ในกาลต่อมาประมาณ พ.ศ.๑๒๐๐ ปีเศษ ท่านก็ได้มาเป็น "พระเจ้ารามราช" ผู้เป็นพระราชสวามีของ "พระแม่เจ้าจามเทวี" แล้วท่านก็ได้เกิดมาอีกหลายวาระ นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

ผลงานการสร้างคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินนั้น ถ้ามิใช่วิสัยของน้ำพระทัยแห่งโพธิสัตว์ ผู้เสียสละชีวิตของตนเองได้เพื่อพระโพธิญาณ

คนไทยคงจะตกเป็นประเทศราชไปนานแล้ว นับตั้งแต่สมัย "พระเจ้าพรหมมหาราช" ท่านก็ได้เช็ดน้ำตาให้ชาวเชียงแสน จากการเป็นทาสของพวกขอมดำ

ครั้นถึงสมัยสุโขทัย ก็ได้มาเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์คือ "พระร่วงโรจนฤทธิ์๐ แล้วกลับลงมาช่วยประสานคนไทยไปถึงภาคใต้อีกคือ "พ่อขุนศรีเมืองมาน"

ต่อมาสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มาเป็น "ขุนหลวงพะงั่ว" เพื่อรวมกรุงสุโขทัยและอยุธยา เป็นราชธานีเดียวกัน "เศรษฐีอำไพ" ผู้ใจบุญ

"ขุนแผน"
ผู้แสนฉลาด "พระเจ้าบรมไตรโลกนาถ" ผู้ปราดเปรื่อง "พระเจ้ามหาจักรพรรดิ" ผู้รุ่งเรืองด้วยช้างเผือก "เจ้าพระยาโกษาเหล็ก" ผู้เข้มแข็งเหมือนดังชื่อ

สมัยต่อมาก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านก็ได้มาเป็นนักรบคู่พระทัยของ "พระเจ้าตากสิน" ช่วยซับน้ำตาให้ชาวกรุงศรีอยุธยา จากการเป็นเมืองขึ้นของพม่าอีก

สมัยรัชกาลที่ ๓ ท่านก็ได้อาสาไปปราบญวณ สมัยต่อมาได้ช่วยซับน้ำตาคนไทยให้พ้นความเป็นทาส ทั้งจากคนไทยด้วยกันและพวกนักล่าเมืองขึ้น

จนได้รับสมัญญานามว่า "พ่อผู้เป็นที่รักยิ่ง" คนไทยทุกสมัยจึงมีอิสรภาพมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะบารมีแห่งพระองค์ "ผู้เป็นต้นวงศ์เผ่าพงษ์ไทย"

เป็นอันว่านับตั้งแต่สมัยเชียงแสนจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เรามีพระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์กันตลอดมานานนับพันปี และคงจะรักษา "ต้นตระกูลไทย" ไว้ได้ตลอดไป

สดุดีพระวีรกรรม
...ในตอนนี้ขอให้พวกเรา "ชาวเวียงเก่า" ทุกเวียง ได้โปรดลุกยืนขึ้นเพื่อไว้อาลัย แล้วอุทิศเพลงนี้ให้แด่เหล่าทหารหาญทุกท่าน ที่พลีชีพเพื่อชาติกันมาตั้งแต่ครานั้น

เพื่อเทิดทูนวีรกรรมอันกล้าหาญ โดยการนำของ "พระเจ้าพรหมบรมพงศ์โพธิสัตว์" ผู้เป็นบรมกษัตริย์จอมทัพไทย ผู้เป็นพระราชบิดาแห่งต้นตระกูลไทยในอดีตนั่นเอง

เมื่อทุกคนยืนขึ้นแล้ว จึงได้เปิดเทปที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี นับตั้งแต่เป็นเด็กจำความได้ เพลงนี้ย่อมก้องอยู่โสตประสาทมานานแล้ว

แต่เวลานี้กำลังจะหายไปจากความทรงจำของคนไทย จำต้องนำมาฟื้นความทรงจำกันอีกครั้ง นั่นก็คือเพลง..."ต้นตระกูลไทย"

เมื่อเสียงเพลงดังขึ้น ทุกคนก็ร้องตามไปด้วยความพร้อมเพรียง เลือกรักชาติมีความเข้มข้นขึ้นมาทันที มีอารมณ์คึกคะนองไปตามทำนอง ร้องด้วยความภาคภูมิใจในความเป็นไทย บางคนถึงกับปีติน้ำตาไหลก็มี

ครั้นเสียงเพลงจบลง ทุกคนก็เปล่งเสียง ไชโย...ไชโย...ไชโย...! กันลั่นสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณแสดงให้เห็นถึงการรวมพลังด้วยความสามัคคี

ที่เสมือนกับกลั่นออกมาจากจิตใจดวงเดียวกันฉะนั้น หลังจากนั้น ทุกคนก็นั่งลงเหมือนเดิมฟัง เสียงสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงคุณอนันต์ต่อไป

"..ในบัดนี้ พระพรหมโพธิสัตว์พระองค์นี้ ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ก็ได้ติดสินใจลาจากพุทธภูมิ เพื่อเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้..!

((( จากนั้น... เสียงเพลง "ธรณีกรรแสง" ดังขึ้นเบาๆ )))

นัดพบกันที่ "พระนิพพาน"

"โอหนอ..คงเหลือแต่คำแนะนำพร่ำสั่งสอน อันเป็นพรแด่ลูกไว้ในเบื้องหลัง เพื่อเป็นที่ยึดไว้ให้เกิดกำลัง ควรจะฝังไว้ในจิตติดอุรา

เพราะเป็นมรดกธรรมคำของพ่อ ที่จะก่อประโยชน์สุขทุกถ้วนหน้า ขอจงอย่าติดกายพ่อรอเวลา คงไม่มาเกิดอีกดอกจะบอกให้

แม้น้ำตาของลูกย้อยเป็นฝอยฝน ไม่เป็นผลเพราะล่วงลับดับสิ้นไป ด้วยสังขารพ่อรออยู่สู้ไม่ไหว จำต้องไปไม่อยากกลับดับไม่เกิด...

แม้ยังมีพันธะอยู่กับผู้มีคุณ ช่วยสนับสนุนท่านพ่อผู้ประเสริฐ เพื่อตอบสนองแทนคุณผู้ให้กำเนิด ไม่เตลิดหลงเลยไปในตัณหา

เพียงต้องการอีกเจ็ดชาติมาบรรจบ จึงจะครบร่วมประกาศพระศาสนา อันลูกหลานติดตามบากบั่นกันมา หวังไว้ว่าได้สดับธรรมคำกล่าวขาน

ในสมัยบิดรเป็นพระพุทธเจ้า แต่น่าเศร้าพ่อมาละพระโพธิญาณ ดับความฝันอันวางไว้ในอดีตกาล ทิ้งลูกหลานผู้เผ่าพงษ์ขององค์อินทร์

นับตั้งแต่ปรารถนาพระโพธิญาณ ตราบเท่ากาลสิบหกอสงไขยหมดไปสิ้น ร่วมทุกข์สุขกับท่านมาเป็นอาจิณ แม้ชีวินจะสิ้นไปไม่หวงแหน ได้ถวายเครื่องประดับกับอาวุธ เพื่อเป็นพุทธบูชาบารมีแทน นับกันหลายพุทธันดรมิคลอนแคลน ไม่กี่แสนที่เหลืออยู่ดูรอรี

ต่อไปนี้ลูกชายหญิงเอาจริงหมด เพื่อจะทดแทนคุณพระชินศรี ควรร่วมแรงร่วมใจสร้างแต่ทางดี ไม่หวังที่ประวิงวันบั่นเวลา เพราะตัณหาชักพาไปให้ประมาท อาจจะพลาดโอกาสขาดวาสนา ควรคำนึงร่วมกันสร้างหนทางลาเพื่อที่ว่าไม่หลงรสบทละคร

อีกทั้งท่านปู่ท่านย่าและท่านพี่ ท่านแม่ศรีท่านพ่อไปรออยู่ก่อน เหลือแต่ลูกน้อยกลอยใจให้อาวรณ์ จำต้องจรตามท่านไปในนิพพาน

ด้วยพันธะผูกพันกันมาอดีตชาติ เพียงแคล้วคลาดพลาดกันไปคงไม่นาน ทนอีกหน่อยก็ตัดวัฎฎะสงสาร ละสังขารไปกันปัจจุบันเอย.."

สมโภชพิธีถวายพระราชสดุดี



(คุณสุทธิลักษณ์ สุทธิ พร้อมคณะเชียงราย ได้มาร่วมพิธีสมโภชในครั้งนี้ด้วย)


...เสียงบรรยายบทกลอนที่ไม่ค่อยจะเป็นกลอนเท่าใดนัก ผสมผสานกับเสียงเพลงที่ได้ บรรเลงอย่างละห้อยหา...พาให้ซาบซึ้ง...จบลงไปแล้ว

จึงทำให้หวลคิดถึงความหลังหลายคนต่างก็สะอื้น บ้างก็พากันหลั่งน้ำตา บางคนกลับมาเล่าให้ฟังว่า ขณะที่กำลังกระทำพิธีนั้น บางครั้งจะมีละอองฝนโปรยปรายตกลงมาด้วย

หลังจากนั่น ก็เป็นการแสดงฟ้อนรำ ชุดพิเศษจากคณะนักศึกษา วิทยาลัยครูสงขลา นำโดย "นกยูง" ซึ่งเป็นศิษย์เก่า โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา

การฟ้อนรำชุดนี้ถือเป็นการฟ้อนรำถวายเนื่องในพิธีพระราชสดุดีเทอดพระเกียรติพระเจ้าพรหมมหาราช มีบางคนก็ด้องสะอื้นอีกครั้ง เมื่อได้ฟังเนื้อร้อง

ในขณะนั้น ก็มีการจุด "โคมไฟ" ลอยขึ้นจากพื้นดิน มีเสียงประทัดดังติดตามขึ้นไปอย่างสนั่นหวั่นไหว

พร้อมทั้ง พลุดาวกระจาย ถูกจุดขึ้นเหนือท้องฟ้า สลับกันกับการฟ้อนรำ พวกเราที่อยู่ตรงบริเวณบนลานพระธาตุในยามค่ำคืนนั้น มองดูพลุสวยสดงดงามหลายหลากสีที่พุ่งขึ้นกระจายอยู่รายรอบองค์พระธาตุเจดีย์

เมื่อการฟ้อนรำจบลงแล้ว ก็เป็นการแสดง การตีกลองสะบัดชัย และ รำคบเพลิงจากคณะนักเรียน โรงเรียนเชียงแสนวิทยาคม โดยแสดงร่วมกับ ชมรมอนุรักษ์มรดกล้านนาไทย

โดยชุดแรกนั้น เป็นการแสดงชุด แปรทัพกระบอง
ชุดที่ ๒ การรำดาบสองมือ กับดาบสองมือ
ชุดที่ ๓ การรำดาบสองมือ กับพลอง
ชุดที่ ๔ การรำพลอง กับพลอง

การแสดงทุกชุดนั้น นับว่าเป็นที่ตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก ปลายพลองทั้งสองข้าง ได้ถูกพันผ้าที่ชุบด้วยน้ำมันแล้วจุดไฟขึ้น ผู้แสดงได้ร่ายรำไปตามจังหวะของกลองสะบัดชัย แกว่งไกวคบเพลิงไปมาอย่างน่าหวาดเสียว

บางครั้งก็แสร้ง (หรือจริงก็ไม่รู้) ทำหล่นลงมากระแทกพื้น เพื่อเป็นจุดให้คนดูขบขัน ครั้นการแสดงจบแล้ว จึงเรียกเสียงปรบมือได้อย่างมากมาย พร้อมกับเสียง "พลุ" และ "โคมไฟ" ที่จุดสลับกันก็หมดไปเช่นกัน

เป็นอันว่า การกระทำพิธีกรรมทั้งหมดได้เสร็จสิ้นลงไปอย่างสมบูรณ์แบบ ในเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับลงไป

เพื่อรับข้าวกล่องที่ได้จัดเตรียมไว้ ต่างก็พกพาเอาความปลาบปลื้มใจในผลงานของพวกเราทุกคน พอที่จะช่วยบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าลงไปบ้าง หลังจากที่ได้ตรากตรำกันมาตลอดทั้งวันและคืน

แต่เจ้าหน้าที่ขนของยังกลับไม่ได้ เพราะต้องรอเก็บของลงไปให้เรียบร้อย ส่วนท่านที่จะต้องคืนชุด ก็ต้องรับรุดลงไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย

ครั้นได้เวลาประมาณ ๒๐.๐๐ น. เศษ ต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอัธยาศัย พกพาความประทับใจกลับไปกัน...สวัสดี

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/6/19 at 09:53 [ QUOTE ]



ตอนที่ ๘
หลวงพ่อเล่าเรื่องการเดินทาง
เมื่อวันที่ ๙ - ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๑



...ขอปรารภเรื่องการเดินทางไปไหว้ "พระธาตุจอมกิตติ" แล้วก็ "พระธาตุดอยตุง" เมื่อวันที่ ๙, ๑๐, ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๑

เป็นอันว่า นับตั้งแต่เวลาก่อนออกจากพื้นที่ ทั้งพระอรหันต์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดาทุกชั้น ท่านก็โมทนาแล้วก็ห้อมล้อม

บรรดาปิยสหายของพ่อทั้งที่อยู่นิพพาน อยู่ที่พรหม กามาวจรสวรรค์ ท่านก็พร้อมหมด แต่การขัดข้องของรถพ่อทราบล่วงหน้า แต่ว่าปฏิเสธไม่ได้ แต่ว่าทราบว่าลูกรักของพ่อทุกคนจะไม่มีอันตรายก็เบาใจ

เมื่อใกล้จะถึง "พระธาตุจอมกิตติ" ออกจากเชียงรายนิดหน่อยบรรดาทหารเก่า หรือเพื่อนเก่า คนเก่าของพ่อ ก็มายืนเรียงรายกันเต็มไปหมด ต่างคนต่างโบกมือ

บางคนก็เอาฉัตรมากั้นให้บ้างอะไรบ้าง ตามเรื่องตามราวของเขา...เขาดีใจ แต่ความจริงพ่อคิดว่าทุกคนเขาสบายกว่าพ่อ เพราะว่าเขาไม่มีขันธ์ ๕ เขามีเมตตาในพ่อมากกว่า

เมื่อไปถึงพระบรมสารีริกธาตุ ตอนนี้ขอเล่าลัดเพราะลูกๆ ทั้งหมดก็ต่างคนเห็นกันคนละมุมสองมุมถูกต้อง กิจที่พ่อทำ เราเรียกกันว่า "บวงสรวง"

แต่ความจริงงานนี้ไม่ใช่งานบวงสรวง "บวงสรวง" นี่แปลว่าอะไรพ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน เราเรียกกันว่า "อาราธนาความดี"

คืออาราธนาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และขอเชิญเทวดาและพรหมทั้งหมด ตลอดจนกระทั่งบรรดาปิยสหายทั้งหลาย ท่านบรรพบุรษ และบรมกษัตริย์ทั้งหมดให้มาพร้อมกันที่นี้

แล้วถือว่าพื้นฐานของเรา สร้างเมืองไทยที่แรกคือ "โยนกนคร" นี้ จอมบพิตรอดิศรทั้งหลายเหล่านั้นท่านก็มาประชุมกันหมด กิจที่พ่อทำนั้นก็คืออาราธณาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์

แต่วันนั้นดูเหมือนว่าจะเสด็จไม่ครบทุกองค์ ที่เสด็จมาแล้วทราบจากองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว "พระสมณโคดม" ท่านบอกว่า

พระพุทธเจ้าที่เสด็จมาวันนี้ประมาณแสนองค์เศษๆ เท่านั้น แล้วก็เทวดาหรือพรหมก็ต้องคูณกันด้วยแสนจากจำนวนพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าท้องฟ้าทั้งหมดสุดสายตาที่เป็นทิพย์

ในขณะนั้น มองไม่ถึงหรือไม่เห็นที่สุดของการประชุม นางฟ้าที่มีความดีใจ ฟ้อนรำขับร้อง แต่กิจที่พ่อทำก็คือ หนึ่ง เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่กลาง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน นี่จุดที่พ่อทำด้านซ้ายของพระองค์ ที่อยู่ทิศเหนือเราหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

ท่านหันหน้ามาทางทิศตะวันออก อยู่ด้านเจดีย์ก็คือ "ท่านพ่อพังคราช" มาในภาพพรหม ด้านขวาขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ คือ "ท่านพ่อโกสีย์สักกเทวราช"

เมื่อท่านประทับเรียบร้อยแล้วทุกองค์ ทรงเครื่องชุดใหญ่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระวรกายใสบางมาก เป็นแก้วแพรวพราว

แล้วก็สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายๆ พระองค์ก็ทรงลอยอยู่เบื้องบน ตอนนั้นกิจที่จะพูดอะไรกันบ้าง พ่อก็ขอสงวนเป็นความลับ แต่ว่าสิ่งที่จะพูดกันได้นั้นก็คือ พ่อทูลขอว่า...

"..ขอให้คนไทยทั้งหมดจงอย่าคิดแบ่งชั้นวรรณะ แบ่งพวก ขอให้ทุกคนรักความเป็นไทย มีความสามัคคีซึ่งกันและกัน

ให้ร่วมกันสร้างชาติไทยให้รอดปากเหยี่ยวปากกา เช่นข้าศึก ขอให้คนไทยทุกคนมีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์ ถ้าเหตุนั้นจะพึงเป็นไปได้"

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรก็ตรัสว่า

"..สัมพเกสี การขอของเธอนี้ถ้าพูดกันตามปกติ มันไม่ใช่วิสัยของพระพุทธเจ้า หรือวิสัยของเทวดา หรือพรหม ที่จะให้ได้

ถ้าหากว่าจะให้พยากรณ์ก็พยากรณ์ได้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายทั้งหมดมันเป็นกฏของกรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประเทศไทยจะมีโอกาสพ้นจากปากเหยี่ยวปากกา เรื่องความสุขของประเทศไม่ต้องห่วง จะต้องเป็นไปตามคำพยากรณ์แน่นอน"


พระพุทธองค์ทรงยืนยัน ไทยจะมีความสุข แต่ขอให้คนไทยอยากจะสุขมากก็ปฏิบัติความดีให้มาก อยากจะสุขน้อยก็จงปฏิบัติความดีให้น้อย

แต่ทว่าคนเลวจะค่อยๆ สิ้นอำนาจ คนดีจะขึ้นมา ลัทธิการปกครองของชาติ ถ้าคนฉลาดแล้วเขาก็ไม่ลอกชาวต่างชาติมาทั้งหมด เขาจะต้องมากำหนดดูสถานการณ์ของบ้านเมือง

คนที่เห็นแก่ตัวหวังกอบโกยผลประโยชน์ของชาติ สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน มักจะปล่อยเสียงเอะอะโวยวายมาว่า

อย่างนั้นไม่ดี อย่างนี้ไม่ดี แต่ว่าตัวของเขา เองเขาไม่ได้มองดูตัว เขาทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง เขาไม่รู้ แต่สิ่งที่มันไม่ดีเขาว่าดี

ถ้าคนพวกนี้ขึ้นมาเมื่อไร ประเทศชาติก็จะย่อยยับเมื่อนั้น ยังดีไม่ได้ ทรัพยากรต่างๆ จะสมบูรณ์แบบไม่ได้ ก็เป็นอันว่ากาลเวลาใกล้เข้ามา

นับแต่นี้ต่อไปโชคชัยของประเทศไทยจะมีขึ้นมาทีละน้อยๆ ค่อยๆ มี คนดีจะมีความรู้สึกตัวว่า จำจะต้องต่อสู้กับคนชั่ว คนชั่วก็จะรู้สึกตัวว่าความย่อยยับมันจะเข้ามาถึงตัว

ในช่วงระหว่าง ๒-๓ ปีนี้ จะต้องต่อยตีกันระหว่างคนดีกับคนชั่ว แล้วในที่สุดคนชั่วก็จะต้องสลายตัวไป เลือดที่มันหลั่งไหลออกมาจากร่างกายของคนชั่ว ก็ไม่ต้องวิตกกังวล ในเมื่อเขาชั่ว เลือดชั่วไหล ความดีมันจะได้ปรากฏ

อันนี้เป็นพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่านั่นเป็นกฏของกรรมของเขา ที่เขาสูบเลือดสูบเนื้อกับคนที่ไม่มีทรัพย์สิน

เขามีเงินเดือนกินเขายังจะไปโกง คนที่เอาเงินมาให้เขา ซึ่งไม่มีข้าวจะกิน ไม่มีผ้าจะใช้ คนประเภทนี้ไม่ช้าจะสลายไป

แล้วก็จงอย่าตกใจว่าคนไหน บางจุดจะต้องตายมาก เห็นว่าตายมากผิดปกติ ก็ถือว่านั่นเป็นกฏของกรรมของเขา ถึงวาระแล้วที่เขาจะปล่อยโอกาสให้คนดีขึ้นมาบริหารประเทศ และก็คนดีจะมีโอกาสได้รับราชการ คนชั่วจะถูกสังหารด้วยกฏของกรรม


(ขอบคุณภาพจาก ecepost.com)

หลังจากนั้นก็นมัสการท่านพ่อทั้งสอง ท่านพ่อทั้งสองยกมือขึ้นโมทนา ท่านตรัสว่า

"...ลูกรัก พ่อดีใจว่าการนำลูกนำหลานมาคราวนี้ แต่ความจริงคนที่มากับเราทั้งหมด ก็ย่อมจะไม่ปรากฏมาด้วยความเต็มใจทุกคน

บางคนก็มาดู บางคนก็มาเที่ยว บางคนก็มาสังเกตการณ์ ในด้านที่เรียกว่าเขาจะมองไปอีกแง่หนึ่ง บางคนก็เห็นว่าลูกนี่บ้าๆ บอๆ

แต่ทว่าพ่อรู้ใจของลูก โยนกนครเคยมีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์ บริเวณที่เป็นมาเกลื่อนกลาดไปด้วยกระดูกและเลือดเนื้อของคนไทยเก่า แล้วก็หลายๆ สมัยต่อมาที่ต้องต่อสู้กัน

บางครั้งก็ต้องตกไปอยู่ในภายใต้อำนาจของคนไร้ศีล ไร้ธรรม ไร้ประโยชน์ เขาจะประกอบแต่โทษก็เป็นเรื่องของเขา

เป็นอันว่าเราก็เป็นเรา เขาก็เป็นเขา ดีใจได้ว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ความดีจะค่อยๆ มีขึ้น แล้วก็คนโง่ แล้วคนที่ทำลายชาติก็ค่อยๆ ตายลงไป.."


หลังจากนั้นแล้วก็รู้สึกว่า มีเสียงทิพย์ส่งเสียงพร้อมเพรียงกัน เป็นการสาธยายมนต์เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ รู้สึกว่าท่านสวดพร้อมๆ กัน

ทั้งพระ ทั้งพรหม และเทวดา มีสภาพเต็มไปด้วยระเบียบ เสียงไพเราะ จังหวะจะโคนไม่ได้แตกต่างกัน ไม่มีการสะดุดขณะที่ส่งเสียง

พอสวดมนต์เสร็จ ก็ปรากฏว่าท่านทั้งหมดสงบนิ่ง แล้วก็มีหญิงชาวสวรรค์โปรยปรายดอกชบาสวรรค์ ลงมาเต็มที่ซึ่งใครมองไม่เห็น

ที่ลูกๆ บอกว่าเขาปล่อยดอกไม้น่ะคือ "ดอกชบา" เป็นแก้วใสสีสดสวย เป็นประกายแพรวพรายเต็มไปหมด ถามว่าโปรยทำไม ?

เธอทั้งหลายก็บอกว่า ก็มีสาวคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ เธอก็ตอบว่า เมื่อชอบใจโปรยเสียอย่างจะว่าอย่างไร !

นี่เป็นอันว่า เมื่อเราล้อแก แกล้อบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาของคนชอบกัน แล้วก็มีท่านหนึ่ง ท่านเป็นผู้ใหญ่มาก รู้สึกว่าท่านนี้เคยเป็นแม่

แล้วเข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว ท่านทรงเครื่องประดับเป็นแก้ว สวยสดงดงามสว่างไสวมาก ท่านมาจับมือบอกว่า

"..ดีใจ ด้วยลูกรัก ต่อนี้ไปประเทศไทยจะค่อยๆ รุ่งเรือง จะค่อยๆ มีความสุข แล้วก็จงอย่ารีบด่วนจนกระทั่งเกินเวลาพอดี

กาลเวลาเป็นของสำคัญ การที่จะสกัดคนชั่วให้สิ้นไปจากชาตินั้น มันสกัดหมดไม่ได้ แต่ว่าคนดีจะมีกำลังใหญ่ขึ้นในวันหน้า ค่อยๆ ทำไป แม่ไม่อยากจะเห็นเลือด

แต่ว่าถ้าจำเป็นๆ จริงๆ เลือดเขาจะออก แม่ก็ต้องทรงอุเบกขา ลูกก็จงตั้งใจแบบนั้น ก็รับปากท่านว่าเวลานี้ก็ทรงอุเบกขาอยู่แล้ว ใครเขาอยากตายก็เชิญตาย ใครเขาอยากอยู่ก็เชิญอยู่ ไม่ได้เคยคิดที่จะไปขัดข้องไปขัดจริตขวางใคร


ต่อมาก็ถามถึงกิจที่จะพึงต้องทำ ท่านก็บอกว่าปีที่แล้วเหนื่อยมาก ปีนี้ร่างกายกรอบมากแล้วนะลูก เบาๆ สักหน่อย ค่อยๆ ดูตามความจำเป็น

ปีพ.ศ.๒๕๒๑ เขาแล้งกันมามาก เขาอดอยากมาก ปีนี้เราค่อยๆ ทำ ไม่ต้องวิ่งไปทุกวี่ทุกวัน จนกระทั่งร่างกายกรอบ

เขาจำเป็นมากเราให้ ทางหน่วยราชการเขามี จะแย่งงานเขาทำจนเกินไป เราสงเคราะห์เป็นจุดให้เป็นพื้นฐาน

ถ้าที่ไหนไม่รู้จักรักตัว ไม่รู้จักสงสารตนเอง เช่นเราให้รักษาทำการอะไรล่ะ ตั้งธนาคารข้าว ถ้าเขาทำกันไม่ได้เราก็จงอย่าให้เขา

นั่นแสดงว่าเขาคอยแต่จะแบมือรับ จะเป็นการทำให้คนยาก ทำให้คนขี้เกียจ ประเทศชาติจะทรุดโทรม

ดูสมัย "โยนกนคร" ภาพก็ปรากฏ ที่บรรดาลูกๆ ทั้งหลายเห็นน่ะถูกต้อง ไม่มีอะไรผิด แต่พ่อเห็นทีเดียวเต็มหมด ลูกเห็นคนละจุด

ขอแต่บรรดาลูกรักทั้งหลายจงจำไว้ว่า ทีหลังถ้าจะไปไหนขอเห็นทีเดียวพร้อมกัน เห็นน้อย..ขออธิฐานให้เห็นมาก ขอให้เห็นครบ

แล้วถ้าเห็นอะไรแล้วถ้าไม่เข้าใจ ให้ตั้งจิตตั้งจิตถามทันที ขอจิตของลูกนี้ จงอย่าห่วงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า เวลาไปเที่ยวแล้วเวลาไปไหนเชื่อว่า ทุกลมหายใจเข้าออกของลูกให้อยู่คู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปกติ

เพียงเท่านี้ลูกรัก กิเลสที่สร้างความเศร้าหมองจิตของลูกจะค่อยๆ คลายไปแล้วผลที่สุดกิเลสทั้งหลายมันก็จะบรรลัยไปเอง ความสุขจะมีกับลูก


วันนั้น "หลวงน้ามหาอำพัน" เห็นยอดมณฑปปรากฏว่าเป็นแก้ว เป็นประกายอยู่บนยอดฉัตร ท่านสะกิดให้ดู

แต่ว่าท่านมองดูต่อไป ปรากฏว่าแก้วหายไปเสียแล้ว นั่นหมายความว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงแสดงอานุภาพให้ปรากฏ

สำหรับสมบัติทั้งหลายที่อยู่ "โยนกนคร" เฉพาะที่พระบรมสารีริกธาตุ พ่อไม่บรรยาย..เพราะไม่จำเป็น..!


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/6/19 at 10:57 [ QUOTE ]



ตอนที่ ๙
หลวงพ่อเล่าเรื่อง
"ราชวงศ์พระเจ้าพรหมมหาราช"


...เรื่อง "พระเจ้าพรหมมหาราช" สมัยหลวงพ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้เล่าเอาไว้ตอนหนึ่งว่า...

“...สมัยพระเจ้าพรหมมหาราชกู้ชาติ ได้ทรงขับไล่ขอมออกไปจากดินแดนแห่งนี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จไปเยี่ยมคนไทยทุกกลุ่ม

ที่ตั้งกลุ่มกันอยู่ที่ไหน แนะนำให้รวมไทยให้เป็นไทย ว่าแต่ละกลุ่มๆ ที่ตั้งกันไว้นี้เป็นเขตๆ นี่เป็นความดี แต่ว่าขอให้คนไทยทุกคนทรงความสามัคคีเข้าไว้

อย่าทำลายไทยด้วยกัน ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกันด้วยประการทั้งปวง ใครมีทุกข์มีสุขเป็นประการใดก็แจ้งข่าวให้กันและกันทราบ

แล้วมีศึกเสือเหนือใต้มาจากไหนก็ตาม ถ้าช่วยกันได้ก็ให้พยายามช่วย เพราะยังไงๆ เราก็เป็นพี่เป็นน้อง พ่อเดียวแม่เดียวกัน

คนไทยไม่ใช่คนต่างพ่อ ไม่ใช่คนต่างแม่ จะมาตั้งแง่ทำลายกันนี่ ไม่มีประโยชน์ ประเภทที่เรียกว่า ฉันเป็นคนกลุ่มนี้ ฉันเป็นคนกลุ่มโน้น ฉันเป็นคนกลุ่มนั้น

หรือที่เรียกว่าเราเป็นคนพรรคนี้ เราเป็นคนพรรคโน้น เราเป็นคนพรรคนั้นพรรคนี้ ทำความดีแบบไหนก็ตาม เราไม่เอา เราหวังจะทำลายพรรคนี้ให้พินาศไป เราจะตั้งตัวเป็นใหญ่

พระเจ้าพรหมมหาราชทรงแนะนำว่า การทำแบบนั้นไม่สมควร ความเป็นใหญ่ต้องเป็นทุกคน ต่างคนต่างใหญ่ เพราะทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน ต่างคนต่างต้องรักษาผืนที่ ว่าผืนที่แผ่นนี้เป็นของเรา ไม่ใช่ใคร

ถ้าใครเขามีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น เราก็ยินดีร่วมมือกับเขาสร้างความเจริญ ไม่ใช่ทำลายเขา นี่เป็นนโยบายของพระเจ้าพรหมมหาราช ในสมัยที่ตั้งไทย คือไทยยุบไปแล้วตั้งไทยขึ้นมาใหม่ ด้วยอำนาจปาฏิหาริย์พิเศษ

ตั้งชื่อ “พรหม” ขึ้นหน้า
...เมื่อพระเจ้าพรหมเสด็จไปเยี่ยมทุกกลุ่ม เห็นว่าคนไทยจริงๆ ตั้งอยู่เป็น ๓ กลุ่ม มีอาณาเขตกว้างขวางดีมาก มีความสามัคคีกันดี มีการค้าขายทำมาหากิน

สร้างความเจริญให้เกิดกับเขตของตนเป็นอย่างดี แล้วก็ทุกคน ทุกเขตมีความสามัคคีกัน ติดต่อถึงกันอยู่เสมอ พระองค์ก็ทรงปลื้มใจ

จึงได้ทรงแนะนำว่า คนไทยน่ะเวลานี้ ชื่อมันยังไม่เหมือนกัน คนนั้นชื่อแบบนั้น คนนี้ชื่อแบบนี้ เมื่อฟังแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นพวกเดียวกัน

ฉะนั้นให้มาตั้งชื่อพ่อเมืองเสียใหม่ ใครจะมาเป็น พ่อเมืองกลุ่มไหนก็ตาม ให้ใช้นามว่า “พรหม” ขึ้นหน้า

นี่แบบเดียวกับคำว่า “รามา” สมัยนี้ ให้ใช้คำว่า “พรหม” ขึ้นหน้า จะได้รู้กันว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มของไทย

เมื่อท่านแนะนำแบบนั้น คนไทยกลุ่มก็เอา เวลาเรื่องร้ายเกิดขึ้นมาแล้ว ก็จะได้รู้ว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มไทย จะได้ช่วยกันกำจัดภัยที่จะบังเกิดกับกลุ่มของตน

การที่พระเจ้าพรหมมหาราชทรงแนะนำแบบนั้น พ่อเมืองต่างๆ อันมีทางภาคใต้เป็นต้น คือ พ่อเมืองฉวี คือกุยบุรี ก็ตั้งชื่อของตนขึ้นมา

โดยบรรดาประชาชนทั้งหลายเห็นชอบว่า เจ้าเมืองกุยบุรีนี่ ควรจะมีพระนามว่า “พรหมภักดิ์”

แล้วก็พ่อเมืองปาวี คือเขตตะกั่วป่า, ภูเก็ต มีนามว่า “พรหมมณี”

แล้วพ่อเมืองฉ่อปา คือกระบี่กับพังงา มีนามว่า “พรหมจักร” (ไม่ยักมีพรหมทัตแฮะ "พรหมทัต" ก็อยู่แถวโน้นสิ..แถวภาคอีสาน)

ต่อมาเมื่อพระเจ้าพรหมมหาราชสวรรคต และบรรดาหัวหน้าไทยทั้งสามเขตก็สวรรคต ตาย นี่เรืองของพระก็ถือว่าเป็นกฎของธรรมดา อัตภาพร่างกายที่เกิดมามันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้

เมื่ออัตภาพร่างกายเป็นอนิจจังไม่เที่ยงแล้ว กิจต่างๆ ของคนที่ทรงอยู่ก็เป็นอนิจจังไปด้วย นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างนั้น จริงหรือไม่จริงขอทุกท่านลองคิดดูว่า

ความรู้จากฝรั่งแค่คาดคะเน
...ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นนิจจัง คือความเที่ยง คนไทยทั้งหมดสมัยนั้นก็ยังปรากฏตัวอยู่ เราจะ ได้รู้ประวัติศาสตร์ที่แน่นอน ไม่ต้องมานั่งเดากันไปเดากันมา

ดีไม่ดีเรื่องของคนไทยเราดันไปรู้จากเมืองฝรั่ง ให้ฝรั่งมันมาโกหกกลิ้งเล่นโก้ๆ ความจริงฝรั่งจะรู้ก็เป็นการคาดคะเน พิสูจน์อย่างนั้น พิสูจน์อย่างนี้

เวลานี้เรากำลังจะถูกกลืนชาติ เพราะบรรดาปลวกและหนอนต่างๆ เข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทยกันเต็ม คนที่มีอำนาจในการบริหารมีความรู้สึกขนาดไหนบ้าง ก็ทราบไม่ได้เหมือนกันทุกคน ท่านบอกว่ามีความห่วงใยประเทศชาติ

แม้แต่ข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนก็เหมือนกันห่วงใยประเทศชาติ ถ้าห่วงใยประเทศชาติละก็ อย่าเก็บภาษีให้มันผิดระเบียบ อย่าข่มเหงกัน อย่าเห็นว่าคนไทยด้วยกันเป็นทาส


...ต่อมาลูกของพระเจ้าพรหมมหาราชก็หมดอำนาจถอยร่นลงมาจากสุโขทัย มาจากกำแพงเพชร มายับยั้งอยู่ที่เมืองสวรรคบุรี แล้วขยายลงมาจนกระทั่งถึงเขตอู่ทอง

ในที่สุดก็ยึดพื้นที่เขตทวาราวดี ตั้งแต่นครปฐม ยันราชบุรี เห็นจะยันเพชรบุรีไว้ได้หมด ตระกูลพระเจ้าพรหมมหาราชนี้ เป็นต้นวงศ์ของกษัตริย์ทั้งสองฝ่ายคือ "ฝ่ายสุโขทัย" แล้วก็ "ฝ่ายอู่ทอง"

ทีนี้ต่อมา "วงศ์อู่ทอง" นี่ก็ไปตั้งอยุธยา "วงศ์ของสุโขทัย" ก็มารวมที่อยุธยา สลับกันไปสลับกันมา ท่านบอกว่าไล่ให้ดี

นี่ผีท่านว่ายังงั้น จะเห็นว่า "วงศ์จักรี" นี่ก็มาจาก "วงศ์พระเจ้าพรหมมหาราช" เป็นอันว่ากษัตริย์ที่ปกครองไทยในเขตนี้ ยังเป็นกษัตริย์วงศ์เดียว..คือวงศ์เดิม..นั่นเอง"


ลำดับ "วงศ์จักรี"
จาก FB. โบราณนานมา
...ในละครเรื่อง "บุพเพสันนิวาส" มีตัวละครหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ซึ่งเป็นน้องชายของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)

เป็นเอกอัครราชทูตคนสำคัญ เป็นหัวหน้าคณะราชทูตไทยไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๒๙

ขออธิบายสาแหรกดังนี้
- เจ้าแม่วัดดุสิต เป็นมารดาของเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) และเป็นพระนมชั้นเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

- เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เป็นบิดาของเจ้าพระยาวรวงษาธิราช (ขุนทอง)

- เจ้าพระยาวรวงษาธิราช (ขุนทอง) เป็นบิดาของพระยาราชนิกูล (ทองคำ)

- พระยาราชนิกูล (ทองคำ) เป็นบิดาของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี)

- สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก (ทองดี) เป็นบิดาของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ทองด้วง) รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี

ดังนั้น เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) จึงมีศักดิ์เป็นเทียดของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ทองด้วง) รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี


นิทานอิงประวัติศาสตร์
โดย ส.ธ. (พิมพ์เผยแพร่เมื่อปี พ.ศ.2530)


...แต่ในหนังสือ "นิทานอิงประวัติศาสตร์" พูดเป็นนัยๆ ว่า

"...ครูสุวรณท่านว่า "นายขุนทอง" เป็นบุตรชายของเจ้าพระยาโกษา (เหล็ก) ให้ถือเอาเป็นบุตรท่านเจ้าพระยาโกษา (ปาน) ก็แล้วกัน..."


แม้แต่พงศาวดารก็ยังไม่แน่ชัด
...ท่านเล่าต่อไปว่า 'พระเพทราชา' นี้ไม่ใช่โอรสพระนารายณ์ ตามที่อ่านมาก็หาที่ไม่พบว่าเป็นลูกใคร แต่ในนิทานมี ท่านว่า 'พระเพทราชา' เป็นลูกติดแม่ หมายถึงหญิงคนนั้นมีสามี และมีลูกชายคนหนึ่งแล้วติดแม่มา

สามีตาย และมีสามีใหม่ สามีคนนั้นเป็นสามีของ "ท่านเจ้าแม่วัดดุสิต" มารดา "ท่านโกษาธิบดี" (เหล็กและปาน) ท่านบัวเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก

ตามประวัติมารดาของ "ท่านบัว" ชื่อ "สีมา" เป็นหลาน "พระยาราม, พระยาเกียรติ" ต่อมาได้เข้าเป็นสนมเอกของ "พระเอกาทศรถ" แล้วคลอดบุตรเป็นหญิงชื่อว่า "บัว" รวมความว่าเป็นเจ้าที่สืบเชื้อสายจาก "พระเจ้าพรหมหาราช" เวียงชัยบุรี เชียงแสน

ใครเป็นพ่อท่านโกษาทั้งสอง
...ต่อมาท่านบัวก็ถึงอายุ ๑๓ ปี ได้ถวายตัวเป็นพระสนมเอก เรื่องนี้ "ท่านครูสุวรรณ" ท่านวินิจฉัยว่า พ่อท่านโกษาทั้งสอง คือโกษา (เหล็ก), โกษา (ปาน)

ท่านบอกว่าเป็นลูก "พระเจ้าปราสาททอง" ท่านบอกว่า เรื่องสามีท่านบัวนี้ หนังสือทุกเล่มอ้อมแอ้ม พูดไม่เต็มปาก

และท่านบัวนี้ก็เลี้ยง "พระนารายณ์" มาตั้งแต่พระองค์อายุได้ ๙ วัน "พระเจ้าปราสาทอง" ให้ท่านบัวเป็นแม่นมเลี้ยงพระนารายณ์ด้วย ท่านบัวต้องให้นมลูกสาวด้วยคือ "ท่านแจ่ม" (ท้าวจุฬาลักษณ์) คนที่ท่านบัวเลี้ยงร่วมกันมาก็คือ

...๑. เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)
..๒. ท่านท้าวจุฬาลักษณ์ น้องท่านเหล็ก พี่ท่านปาน
..๓. พระนารายณ์มหาราช

ในขณะที่ "ท่านแจ่ม" เกิดได้สองเดือน พระนารายณ์ก็คลอดจากครรภ์มารดา ซึ่งเป็นพระสนมเอกของพระเจ้าปราสาททอง เมื่อคลอดออกมาได้ ๙ วัน มารดาท่านก็ตาย พระเจ้าปราสาททองจึงให้ท่านบัวเลี้ยง และเป็นพี่เลี้ยงจนครองราชย์สมบัติ

...๔. ต่อมาท่านปานก็คลอด
...๕. ต่อมาเขาเอา "พระเพทราชา" มาให้ท่านเลี้ยง ท่านบัวก็เลี้ยงอีก

เป็นอันว่าคนที่ท่านบัวเลี้ยงมี ๕ คนคือ ท่านเหล็ก, ท่านแจ่ม, ท่านปาน, พระนารายณ์, พระเพทราชา

..."พระเพทราชา" มาจากไหน พูดสั้นๆ ก็คือ "พระเพทราชา" มีมารดาเป็นคนจีน อายุ ๒๐ ปี มีบุตรชายเล็กๆ ๑ คน สามีตาย สามีเป็นพระยาซึ่งเป็นเพื่อนรักสนิทกันมากกับ "พระยากลาโหม" (พระยาสุริยวงศ์)

เมื่อพระยากลาโหมยึดอำนาจก็ร่วมมือกันทำ ต่อมาก่อนที่พระยาคนนี้จะตาย ก็ฝากลูกฝากเมียกับอดีตท่านพระยากลาโหม (พระเจ้าปราสาททอง) ขอให้พระเจ้าปราสาททองเลี้ยงดูอุปการะด้วย

ต่อมา "มารดา" ของพระเพทราชาก็มีธิดาอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์" (เป็นสนมเอกพระนารายณ์) พูดง่ายๆ ว่า

"พระเพทราชา" ก็กลายเป็นพี่เมียของ "พระนารายณ์" ด้วย (ตามประวัติหากันไม่พบว่า "พระเพทราชา" มาจากไหน ท่าน "ครูสุวรรณ" ท่านว่ามาตามนี้)


ตำราพระร่วง "มหาพิชัยสงคราม"
...จากหนังสือฉบับนี้ จึงได้ทราบว่าพระมารดาของ "พระเพทราชา" หรือ "คุณทองคำ" ชื่อว่า "พระนมเปรม" และเพิ่งทราบว่าเดิมเรียกกันว่า "ขุนเหล็ก" แล้วได้ "คุณนิ่ม" ลูกสาวเจ้าเมืองสวรรคโลกมาเป็นศรีภรรยา

อีกทั้งได้เล่าเรียนวิชาการจากเมืองสวรรคโลก เหมือนกับชาตินี้ (ตำราพระร่วง "มหาพิชัยสงคราม" จากอาจารย์แจง) และชาติก่อนๆ สมัย "พระเจ้าพรหมมหาราช" ก็ได้ "นางปทุมวดี" ลูกสาวเจ้าเมืองมาครอง

จนกระทั่งได้เกิดมาเป็น "พระร่วงโรจนฤทธิ์" ผู้เป็นต้นตำราพระร่วงนั่นเอง จะเห็นว่าเรื่องนี้มีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่อดีต

ขุนเหล็กมีภรรยาหนึ่งคนคือ "คุณนิ่ม" ซึ่งเป็นพี่สาวของ "คุณทิป" (พระยาสีหราชเดโชไชย) และเป็นบุตรีของท่าน "พระยาเกษมสงคราม" เจ้าเมืองสวรรคโลก

ต่อมาจึงได้ตำแหน่ง "พระยาโกษาธิบดี" หลังจากเสร็จการศึกในกรุงอังวะและคืนกรุงศรีอยุธยามาแล้ว พระยาโกษาธิบดีเหล็กทหารเอกแห่งพระนารายณ์ก็ได้พบหน้า "บุตรชาย"

ซึ่งเกิดจากภรรยาคนเดียวคือ "คุณหญิงนิ่ม" และท่านได้กลับมารับราชการเป็น "ออกญาพระคลัง" และกรุงศรีอโยธยาก็ปลอดจากการรุกรานของทัพพม่าต่อมาอีก 70 ปี



(อนุสาวรีย์ "พระยาโกษาเหล็ก" หน้าพระจุฬามณี วัดท่าซุง )

...หมายเหตุ - พออ่านมาถึงตอนใกล้จบรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่พระยาโกษาธิบดีเหล็กกลับมาได้พบหน้าบุตรชาย แต่ไม่บอกว่าชื่อ "ขุนทอง" (ต้นจักรีวงศ์) หรือไม่ ?

ถ้าเป็นไปได้ก็คงจะเข้าเรื่องราวพอดี เพราะตามที่พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า "ขุนเหล็ก" นั้น ในชาติอดีตก็คือ "พระเจ้าพรหมมหาราช" ผู้เป็นต้นตระกูลของคนไทยนั่นเอง..สวัสดี


◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/7/19 at 06:27 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/1/22 at 05:54 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top