Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 7/5/17 at 10:10 [ QUOTE ]

ท่านจันทนา วีระผล เข้าถึงพระนิพพานได้เพราะ "ทานบารมีเต็ม"


สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

[01]
ตอนที่ ๑ จันทนานุสรณ์ โดย พระสุธรรมยานเถระ
[02] ตอนที่ ๒ จินตนา จรัญวาศน์, มาลินี โชติเลขา
[03] ตอนที่ ๓ ประวัติของคุณแม่จันทนา วีระผล
[04] ตอนที่ ๔ บุคคลตัวอย่าง โดย อัญเชิญ มณีจักร
[05] ตอนที่ ๕ (ตอนจบ) เกร็ดความรู้เรื่อง..เจ๊จันทนาตาย

บทนำ
โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...ผู้เขียนได้นำเรื่องตัวอย่างของผู้ที่สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้มาเล่า คือ ท่านจ่าพัว ชระเอม, ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ผ่านไปแล้ว คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติธรรมภายหลัง จะได้เกิดความมั่นใจและมีความอุตสาหะสร้างความดีต่อไป

ผู้เขียนหวังใจว่า ผู้อ่านคงจะอ่านให้เข้าใจทุกตัวอักษร เพื่อจะได้ซึมซาบไปกับบุคคลตัวอย่างเหล่านี้ ที่ท่านก็เคยมีสภาพเดียวกับเรา คืออาจจะมีความท้อแท้ หรือไม่มั่นใจว่าจะไปนิพพานได้ในชาตินี้ แต่ผลที่สุดเมื่อบารมีเต็ม และด้วยคำสอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน สอนไว้ ก็สามารถตัดใจไปให้ถึงที่สุดได้

โดยเฉพาะ ท่านจ่าพัว ชระเอม ท่านก็ไม่เคยหวังว่าชาตินี้จะไปได้ คลิกอ่านที่นี่ ส่วน ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ก็มีภารกิจมาก อีกทั้งเพิ่งจะได้พบกับหลวงพ่อฯ ไม่นาน ผลสุดท้ายแม้จะประสบเหตุถูกลอบยิง ถึงจะมีทุกขเวทนามากเพียงใด ท่านก็ตัดสินใจไปได้ในวินาทีสุดท้าย คลิกอ่านที่นี่

ส่วนท่านนี้ก็มีความสำคัญเช่นกันที่เป็นถึงเศรษฐีนี แต่สามารถไปนิพพานได้แบบสบายๆ โดยไม่ได้ยึดติดความร่ำรวย หรือความมีศักดิ์ศรีแต่อย่างใด ส่วนคำว่า "ทานบารมีเต็ม" ท่านหมายถึงกำลังใจเต็มในเรื่องการให้ทาน ตามกำลังความสามารถของตนเอง (ไม่ใช่เต็มเพราะต้องทำตามกันเยอะๆ) ท่านผู้นี้คือ เจ๊จันทนา วีระผล (เรียก "เจ๊" ตามๆ กันมา) ที่จะขอนำเรื่องราวของท่านมาเล่ากันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเคยมีเรื่องราวอยู่ในหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก" มาแล้ว

แต่ก็ยังไม่ได้นำมาเป็นบุคคลตัวอย่าง โดยผู้เขียนขอนำมาเล่าไว้ ณ ที่นี้ พร้อมทั้งหมายเหตุไว้ด้วย เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ ถ้าท่านใดยังไม่มั่นใจตนเอง อ่านแล้วก็คิดว่าพวกเราที่ไปทีหลัง คงไปได้แบบสบายๆ เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน (ขณะนั้นยังเป็น พระสุธรรมยานเถระ) เขียนไว้ในหนังสือ จันทนานุสรณ์ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๒

ท่านได้เล่าเรื่อง นางปติปูชิกา เป็นตัวอย่างว่า แม้จะได้มีโอกาสถวายทานกับพระพุทธเจ้าและพระสาวกแล้ว แต่ก็ตั้งจิตอธิษฐานให้ไปเกิดในสำนักของสามี ที่เป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทั้งที่มีโอกาสไปได้ดีกว่านั้น เพราะฉะนั้น จึงอยู่ที่กำลังใจจะปรารถนาอะไร ถ้าเราตั้งใจจะไปนิพพาน ก็น่าจะไปได้เหมือนกับนางปติปูชิกาเช่นกัน (มีคลิปวีดีโอด้วย)

ส่วนตอนต่อๆ ไปก็จะเป็นข้อเขียนจากหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก" เพื่อให้มีรายละเอียดมากขึ้น ตอนจบก็จะเป็นบันทึกของ "ชาโดว์" (อัญเชิญ มณีจักร เสียชีวิตแล้ว) ซึ่งมีเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ฉะนั้น เรื่องที่นำมาลงย้อนหลังนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนใคร่กราบขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

แต่ถ้าจะมีผลดีต่อผู้อ่านเพียงใด โดยเฉพาะผู้ที่มีอุปนิสัยในชาติปัจจุบันนี้ นับว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง เหมือนกับมีแสงไฟที่ส่องสว่าง หรือเช่นกับหงายของที่คว่ำอยู่ เพราะมีบุคคลตัวอย่างเช่นนี้แล้ว การตั้งอารมณ์คงจะง่ายขึ้นกว่าเดิม ขอให้ผู้อ่านตั้งใจอ่านให้ครบถ้วนทุกตัวอักษร ผู้เขียนเพียงแค่หวังบุญกุศลของ "ธรรมทาน" ก็พอใจแล้ว


[ ตอนที่ 1 ]

จันทนานุสรณ์
โดย พระสุธรรมยานเถระ


"...เมื่อคืนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๐.๓๕ นาที กำลังฉันยารักษาโรค เพราะกลับจากสอนกรรมฐานที่ซอยสายลมใหม่ๆ ทุกคราวที่กลับจากซอยสายลม ต้องปรับปรุงร่างกายไม่น้อยกว่าหนึ่งอาทิตย์ ร่างจึงจะทรงตัวได้ ขณะฉันยา ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์ "พรนุช" พูดกับ "มาลินี" บุตรสาวเจ๊จันทนา ได้ยินว่าอยากให้อาตมาเขียนคำไว้อาลัย หนังสือจะพิมพ์อยู่แล้ว ฟังแล้วก็เห็นใจ ตั้งใจเขียนเท่าที่ควรจะเขียน เพราะเขียนแล้วต้องส่งข่าวกันทางโทรศัพท์ เขียนมากก็ไม่ได้

เป็นอันว่า เขียนกันตามที่คิดว่าควรเขียน เจ๊จันทนา วีระผล ที่เขียนว่า "เจ๊" ก็เพราะปกติเรียกอย่างนั้น เจ๊จันทนาเป็นคนมีศรัทธาสูงมาก หลายปีมาแล้ว เมื่อรู้จักกันใหม่ๆ จำไม่ได้ว่าใครแนะนำให้รู้จัก เจ๊ทำบุญเป็นปกติ เดือนละหลายพันบาท บางเดือนหลายหมื่นบาท

ต่อมาไม่นานนัก อาตมาจะสร้างมณฑปเป็นเจดีย์ห้ายอด ประดับกระจกทั้งหลัง ที่บรรดานักบุญทั้งหลายเรียกว่า พระจุฬามุณี เจ๊จันทนาถามว่าค่ากระจกเท่าไร อาตมาก็ตอบไป ได้บอกว่าทำบุญตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน เจ๊ตัดสินใจทำบุญนิดๆ หน่อยๆ เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ ขอทำบุญนิดๆ หน่อยๆ หนึ่งแสนบาท

อาตมาฟังแล้วตะลึง เพราะไม่เคยรับเงินแสนจากใครมาก่อนเลย ต่อมาเจ๊ก็ทำบุญทุกเดือน มาทราบภายหลังว่า ทำบุญประจำเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ส่วนที่ทำพิเศษเป็นแสนนั้นมีสลับหลายครั้ง มาตอนหลังใกล้มรณภาพนี้ ทำบุญสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร และพระพุทธชินราชหลายแสนบาท

ต่อมาก็ดำริสร้าง โคมไฟในวิหาร รวมสร้างทั้งโคมใหญ่และโคมเล็ก ๒๓ โคม และช่วยให้ซื้อโคมไฟได้ถูกลงมาก โคมใหญ่ราคาปกติที่ร้านค้าขายราคาโคมละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท แต่เจ๊ขอร้องทางร้านค้าให้เอาเพียงโคมละ ๑๘๐,๐๐๐ บาท โดยขนาดย่อมราคาปกติโคมละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท เจ๊ขอร้องไห้ลดลงมาเหลือโคมละ ๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมาเมื่อใกล้มรณะ ขอลดโคมขนาดย่อมได้อีก ๒,๐๐๐ บาท เหลือโคมละ ๔๘,๐๐๐ บาท ทำให้วิหารมีโคมไฟฟ้ามากขึ้น เพราะราคาถูกลง

นอกจากจะมีเจตนาเป็นมหากุศลแล้ว ทุกครั้งที่พบกัน จะต้องปรารภเรื่องไปนิพพานเป็นปกติ เวลานี้เธอมรณะไปแล้ว จะไปนิพพานได้หรือไม่ เป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ของใจ ไม่มีกำลังใจที่จะพยากรณ์ได้

นางปติปูชิกา

......ในพระธรรมบทมีเรื่องๆ หนึ่งที่น่าสนใจ คือท่าน ปติปูชิกา ก่อนตายท่านปรารภอยากไปอยู่ในสำนักของสามี ทำบุญคราวไร เป็นอธิษฐานขอให้ไปเกิดในสำนักสามี เมื่อตายแล้วพระพุทธเจ้ายืนยันว่า เธอไปเกิดในสำนักของสามีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ทว่าเจ๊จันทนาปรารถนานิพพาน สูงมากกว่าท่านปติปูชิกา ความประสงค์ของท่านจะสมหวังหรือไม่เป็นเรื่องของกำลังใจ

ในที่สุดนี้ อาตมาขออวยพรให้คณะผู้จัดงานศพ และท่านที่มาในงานศพทุกท่าน จงมีความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด

พระสุธรรมยานเถระ

๘ มิถุนายน ๒๕๓๒





(โปรดติดตามตอนต่อไป "จินตนา จรัญวาศน์ จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก")


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/5/17 at 02:02 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 2 ]


(มณฑปหลวงปู่ปาน หน้าวิหารร้อยเมตร)



จินตนา จรัญวาศน์
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


"...ในชีวิตของข้าพเจ้า นอกจากบิดารมารดา ผู้ซึ่งเป็นที่รักและเป็นผู้มีพระคุณแล้ว ก็ยังหลวงพ่ออีกองค์หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ารักและเคารพท่านอย่างที่สุด ข้าพเจ้าได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์ท่าน เมื่อ ๑๕ ปีที่แล้ว

หลวงพ่อได้เพียรพยายามสอนพวกเราให้รู้จักธรรมะต่างๆ จนถึงเรื่องพระนิพพาน ตั้งแต่ได้เข้าถึงธรรมะของหลวงพ่อ ในความรู้สึกลึกๆไม่ว่าข้าพเจ้าจะทำอะไรก็มีความรู้สึกว่า มีบุญกุศลมาช่วยทำให้ชีวิตของข้าพเจ้าดีขึ้นในทุกๆ ด้านสิ่งที่ประทับใจข้าพเจ้ามากก็คือ

เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้าพเจ้าและครอบครัวจะย้ายไปอยู่อเมริกากันหมด เรากะกันไว้ว่าจะย้ายไปอยู่ที่นั้นตลอด ข้าพเจ้าได้ชวนสามีไปกราบลาหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลมเพื่อขอพรท่าน พอกราบลาท่านว่าจะไปอยู่อเมริกาเลย

ท่านก็บอกว่า "ไปเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ..!"

ข้าพเจ้าฟังแล้วก็งง สามีข้าพเจ้าฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจเท่าไร เพราะตอนนั้นสามีของข้าพเจ้าตั้งใจจะย้ายไปอยู่เลย อย่างไรก็ตาม ครอบครัวข้าพเจ้าไปอยู่ได้ปีครึ่งก็กลับกันมาหมด ข้าพเจ้าก็ได้ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านซอยสายลม แล้วก็ได้เรียนหลวงพ่อว่า ลูกได้กลับมาแล้ว หลวงพ่อได้ทักข้าพเจ้าคำแรกว่า

"เห็นไหม..ว่าไปเดี๋ยวเดียว..?"

ท่านยิ้มใหญ่เลย ทำให้ตัวข้าพเจ้าและสามีมีความเชื่อมั่นในตัวหลวงพ่อเพิ่มมากขึ้น ข้าพเจ้าและพี่ๆ และคุณพ่อคุณแม่ ได้มีโอกาสทำบุญกับหลวงพ่อเสมอมา สิ่งที่หลวงพ่อได้สอนธรรมข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะได้รู้จัก "พระนิพพาน" เพื่อชาตินี้ ข้าพเจ้าจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์และกิเลสโดยสิ้นเชิง บุญคุณอันนี้ ข้าพเจ้าจะขอจำจนวันตายหลวงพ่อได้พยายามช่วยพวกข้าพเจ้ามาก ร่างกายท่านเองก็ไม่แข็งแรง แต่ท่านมีเมตตาต่อครอบครัวของข้าพเจ้ามาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ คุณแม่จันทนา วีระผล ท่านได้โปรดเมตตาและเมตตากรุณาให้ปั้นรูป "คุณแม่จันทนา วีระผล" ไว้ที่มณฑปหน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตรอีก พวกข้าพเจ้าลูกๆ ของคุณแม่จันทนา วีระผล ขอกราบแทบเท้าของหลวงพ่อ ที่ได้โปรดเมตตาหาที่สุดมิได้แก่พวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าทั้งหลายรู้สึกสำนึกในพระเดชพระคุณของหลวงพ่อมากที่สุด

ข้าพเจ้ากราบขอให้สิ่งศักดิ์ทั่วจักรวาล ได้โปรดดลบันดาลให้หลวงพ่อมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยาวนาน เพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้แก่พวกเราได้อีกนานแสนนานเทอญ...


หมายเหตุ : คุณสุวรรณ - จันทนา วีระผล คือ คุณพ่อคุณแม่ของ คุณจินตนา จรัลวาสน์ ครอบครัวนี้เป็นทายกทายิกาที่อุปถัมภ์บำรุงวัดท่าซุง ตั้งแต่หลวงพ่อเริ่มสร้างวัดที่ฝั่งโบสถ์ใหม่ ประมาณปี ๒๕๑๗ ที่หลวงพ่อเริ่มซื้อที่ดินจำนวน ๑๑ ไร่ แล้วเริ่มก่อสร้างมากมายในบริเวณนั้น มี พระอุโบสถ ศาลานวราช ศาลาธรรมสถิตย์ และ ศาลาพระพินิจ เป็นต้น

ในตอนนั้น หลวงพ่อต้องเป็นหนี้ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ในแต่ละปี คุณสุวรรณ - จันทนา วีระผล จะนำครอบครัวและหมู่คณะ เพื่อนสนิทมิตรสหาย จำนวนคนเต็มรถบัสปรับอากาศ โดยเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ณ ศาลาพระพินิจ ตลอดต่อเนื่องกันมาหลายปีทีเดียว เพื่อเป็นการชำระหนี้ให้ร้านค้า สมัยนั้นนับว่าหายากที่จะมีคนไทยเชื้อสายจีน ระดับเศรษฐีคหบดีที่มีความศรัทธาเลื่อมใส แล้วก็มีความมั่นคงจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบันนี้

ด้วยเหตุนี้ หลังจาก เจ๊จันทนา วีระผล เสียชีวิตไปแล้ว หลวงพ่อจึงได้ให้ปั้นรูปเท่าตัวจริงไว้ใน "มณฑปหลวงปู่ปาน" ต่อมาภายหลัง เถ้าแก่สุวรรณ วีระผล เสียชีวิตไปอีกคนหนึ่ง หลวงพ่อก็ให้หล่อรูปไว้อีกเช่นกันที่ "มณฑปพระปัจเจกพุทธเจ้า" หน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร สมัยนี้บางท่านอาจจะไม่ทราบรายละเอียดว่า บุคคลสองท่านนี้มีความสำคัญอย่างไร จึงจะต้องปั้นรูปเอาไว้เป็นสำคัญ

ขอบอกให้พวกเรารุ่นหลังได้ทราบว่า เศรษฐีสองท่านนี้พร้อมทั้งบุตรธิดาและญาติมิตร ได้เป็นผู้มีอุปการคุณแก่วัดท่าซุงตั้งแต่เริ่มต้น (โครงการที่เริ่มสร้างศาลาและอาคารที่พักต่างๆ บริเวณรอบโบสถ์ ) การที่พวกเรารุ่นหลังได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด แล้วได้หลับนอนกันอย่างสุขสบาย เวลามาพักค้างคืนที่วัดนั้นนะ ครอบครัวนี้ก็มีส่วนที่ร่วมกันสร้างวัด ตลอดจนถึงการขยายพื้นที่มาสร้างที่บริเวณวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ซึ่งจะนำไปเล่าในโอกาสต่อไป.

(รูปเหมือนคุณแม่จันทนา วีระผล ประดิษฐานภายในมณฑปหลวงปู่ปาน)


(ขอบคุณภาพ - เว็บแดนนิพพาน)

มาลินี โชติเลขา
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

".....พระคุณของหลวงพ่อ ที่มีต่อดิฉันและครอบครัวนั้นมากมาย ดิฉันไม่ทราบจะบรรยายอย่างไรจึงสมกับความเมตตาของท่าน เริ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่ดิฉัน คุณพ่อ คุณแม่ และน้องสาวได้ไปกราบหลวงพ่อที่บ้านสายลมในปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ดิฉันได้เกิดความรู้สึกเลื่อมใส เคารพและผูกพันกับท่านมาก ในวินาทีแรก ทั้งๆ ที่ดิฉันเองก็ไม่เคยรู้จักกับท่านมาก่อน

สาเหตุที่ดิฉันได้มากราบหลวงพ่อ เนื่องจากดิฉันได้อ่านหนังสือเรื่อง ประวัติหลวงพ่อปาน ดิฉันอ่านแล้วเกิดความรู้สึกเลื่อมใสและอยากพบท่านมาก จึงได้สอบถามหาที่อยู่ของหลวงพ่อ ในที่สุดได้ทราบว่าท่านมาสอนการปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่ที่ซอยสายลม จึงได้รีบไปกราบท่าน ตอนกราบท่านครั้งแรกนั้น พวกเราได้ขอพรท่าน หลวงพ่อให้พรเป็นภาษาบาลี

เมื่อให้พรเสร็จท่านได้บอกว่า กลุ่มนี้ขาวแล้วนะ พวกเรางง ไม่ทราบว่ามีความหมายอย่างไร ไม่กล้าถาม แต่ก็มีความภูมิใจว่า ท่านว่าเราขาวก็แปลว่าดี ถ้าบอกดำคงแย่ หลังจากนั้น ดิฉันพร้อมด้วยคุณแม่และน้องสาว ก็จะมากราบหลวงพ่อทุกครั้งที่ท่านมาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม นอกจากบางครั้งบางคราวที่ติดธุระจึงไม่ได้มากราบ

สิบกว่าปี ที่ได้ร่วมทำบุญกับหลวงพ่อ ดิฉันมีความรู้สึกว่า ยิ่งทำบุญมาก ลาภผลก็ยิ่งเกิดมาก การงานต่างๆ ก็เจริญขึ้นตามลำดับ ทำให้ดิฉันยิ่งเชื่อมั่นในการทำบุญกับท่านมาก หลวงพ่อเป็นเนื้อนาบุญที่วิเศษที่สุด ซึ่งให้ผลเร็วทันตาเห็น คำอวยพรของหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์มาก ท่านให้พรรวย..ก็จะรวย ให้งานการสำเร็จผล..ก็สำเร็จผล

สำหรับธรรมะของหลวงพ่อนั้นลึกซึ้งมาก ท่านสอนเสมอให้เราไปพระนิพพาน ซึ่งเป็นแดนที่มีความสุขนิรันดร์ ไม่ต้องกลับลงมาเกิดให้ทุกข์อีกต่อไป ดิฉันได้มีโอกาสนำธรรมะของท่านส่วนนี้ของท่านมาเล่าให้ คุณแม่จันทนา วีระผล ฟัง ซึ่งคุณแม่ชอบใจมาก และได้ตั้งปรารถนาจะไปนิพพานเมื่อละจากโลกนี้

ตลอด ๑๐ ปีกว่าที่ผ่านมา คุณแม่ได้สร้างวิหารทาน ทำบุญสังฆทาน สร้างพระ บวชพระ บวชเณร ทำบุญโคมไฟ ฯลฯ เป็นต้น เพื่อหวังพระนิพพานอย่างเดียว ตลอดปลายชีวิตยังได้ฝึกหัดนั่งสมาธิบ้างเล็กๆน้อยๆ และด้วยความเมตตาของหลวงพ่อ ที่มีต่อคุณแม่และพวกเราทุกคน ในที่สุดคุณแม่จันทนา ก็ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเมื่อละจากโลกนี้แล้ว ดังที่ดิฉันจะขอเล่ารายละเอียดดังนี้

ในตอนเย็นวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ คุณแม่จันทนา วีระผล ได้ถึงแก่กรรมลง ดิฉันได้โทรศัพท์ไปที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เพื่อกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบ เมื่อพี่พรนุชรับสาย พี่พรนุชได้บอกดิฉันว่า หลวงพ่อได้ขึ้นห้องนอนไปแล้ว อยู่บนชั้น ๓ จะไปรบกวนท่านไม่ได้ ดิฉันจึงได้พูดกับพี่พรนุชว่า ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยกราบเรียนหลวงพ่อด้วย

ทันใดนั้นเองหลวงพ่อก็พูดมาเองทางโทรศัพท์ว่า “ว่ายังไงลูก..มาลินี”

ดิฉันตกใจเพราะไม่ได้คาดคิดว่า หลวงพ่อจะรับสาย แต่ก็ดีใจจึงกราบเรียนท่านไปว่า คุณแม่จันทนา วีระผล ถึงแก่กรรมแล้ว ท่านถามว่าเมื่อไร เป็นอะไรตาย ดิฉันก็ตอบว่า เมื่อเย็นนี้เองและไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเลย

หลวงพ่อก็ตอบว่า เออ..แม่มาอยู่ที่นี้แล้วนะ แม่บอกว่าตัดได้ตั้งแต่ ๘.๑๐น. ตอนเช้า แม่สวยและสว่างมาก ไม่เป็นไรนะลูก

เมื่อดิฉันได้ยินเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ดิฉันกำลังเสียใจอย่างสุดซึ้ง ก็ยังรู้สึกภูมิใจและดีใจที่คุณแม่ได้ไปดี อีก ๒-๓ วันต่อมา หลวงพ่อก็มากรุงเทพฯ เพื่อสอนกรรมฐานที่ซอยสายลมเช่นเคย ดิฉันพร้อมด้วยคุณพ่อสุวรรณ วีระผล และน้องสาว ได้รีบไปหาหลวงพ่อที่ซอยสายลม เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณแม่ หลวงพ่อได้เมตตาเล่าให้พวกเราฟัง โดยที่พวกเรายังไม่ทันได้เล่าอะไรให้หลวงพ่อฟังเลย

ท่านเล่าว่า คุณแม่ได้มาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า ก่อนตายได้ไปงานสวดพระอภิธรรมศพของน้องชายคุณแม่ ซึ่งตายกระทันหัน (น้องชายคนนี้อายุอ่อนกว่าคุณแม่มาก คราวลูก) คุณแม่ได้ปลงว่าน้องชายอายุน้อยกว่าตั้งมากยังตาย แล้วเราล่ะ อายุตั้ง ๗๐ ปีแล้ว จะตายเมื่อไรไม่รู้ได้ ความที่เสียใจน้องชายตายทำให้คิดมาก คิดไปคิดมาเกิดปัญญา เห็นพระมามากสวยสดงดงามเต็มจักรวาล เห็นท่านแม่ศรีด้วย

ท่านลุง (พระยายมราช ) ท่านมาบอกคุณแม่ให้หยุดคิดแค่นั้นก่อน ถ้าอยากอยู่ต่ออีก ๑๒ ปี คุณแม่จึงได้ถามว่า ถ้าอยู่ต่ออีก ๑๒ ปี ร่างกายของคุณแม่จะเป็นอย่างไร ท่านลุงก็ทำภาพให้ดู คุณแม่ก็ได้ถามอีกว่า ถ้าไปวันนี้ละ..จะเป็นอย่างไร

ท่านลุงก็ทำภาพให้ดู เห็นพระท่านสวยสว่างมากเต็มจักรวาล เห็นวิมานตนเองก็สวยมากสว่างไสว ตัวเองก็สว่างไสว มีความสุขมาก จึงได้ตัดสินใจว่าจะไปวันนี้ จิตจึงได้ออกจากร่างไป ร่างกายข้างล่างก็ค่อยๆ หมดลมไป นอนในท่าขัดสมาธิ ไม่มีทุกขเวทนาแต่อย่างใด

จากที่หลวงพ่อเล่าให้ฟัง ดิฉันมั่นใจว่าคุณแม่ได้เข้าถึงพระนิพพานแล้ว เพราะคุณแม่ทำตามที่หลวงพ่อสอนทุกอย่าง จึงได้มีโอกาสถึงพระนิพพานสมความปรารถนา และทิพย์สมบัติที่ได้ก็เพราะทำบุญกับหลวงพ่อนั่นเอง หลวงพ่อล่วงรู้ทุกอย่าง เพียงแต่ท่านจะพูดหรือไม่เท่านั้น ที่ดิฉันรวบรวมมาเล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยประการเดียวเท่านั้น

ดิฉันขอกราบเท้าของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ด้วยความเคารพรักอย่างสูง พระคุณของหลวงพ่อนั้นเหลือล้น ดิฉันไม่ทราบจะบรรยายอย่างไร ดิฉันขอยึดถือคำสอนของหลวงพ่อเป็นหลักปฏิบัติตลอดไป เพื่อจะได้ไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน..


หมายเหตุ : ตามที่ผู้หมายเหตุได้เกริ่นตอนที่ คุณจินตนา จรัญวาสน์ บันทึกเรื่องของ คุณแม่จันทนา วีระผล ไว้แล้วนั้น ท่านผู้อ่านที่ติดตามมาอย่างต่อเนื่อง คงจะเดาได้ว่าผู้ที่บันทึกทั้งสองคนนี้ ต้องเป็นพี่น้องกันอย่างแน่นอน ถูกต้องแล้วครับ..คุณมาลินีเป็นพี่สาวคุณจินตนา แต่เปิดโอกาสให้น้องสาวลงบันทึกไปก่อน

ในตอนนี้ ท่านผู้อ่านคงจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้เป็นอย่างดี จุดสำคัญก็คือ คุณแม่ของทั้งสองคนนี้แหละ ที่ผู้หมายเหตุอยากจะนำรายละเอียดหลังจากการเสียชีวิตของคุณจันทนา วีระผล ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เขียนไว้อาลัยในหนังสือ "จันทนานุสรณ์" โดยมีเนื้อหาภายในเป็น "ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค" นั่นเอง เพื่อมอบให้เป็นที่ระลึกเนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพของคุณจันทนา วีระผล

(โปรดติดตามตอนต่อไป "ประวัติของคุณแม่จันทนา วีระผล")


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/5/17 at 06:17 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 3 ]

(Update 25 พฤษภาคม 2560)


ประวัติของคุณแม่จันทนา วีระผล


...คุณแม่จันทนา วีระผล เกิดเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๑ เป็นลูกคนโตของ นายแสงฮี แซ่โอ้ว และ นางเลี่ยงสุง แซ่อึ้ง มีพี่น้องรวม ๗ คน ดังนี้

๑. นางจันทนา วีระผล
๒. นางใช่ แซ่โอ้ว
๓. นางชุนเอ็ง แซ่โอ้ว
๔. นายบุญส่ง โอสนานนท์
๕. นางนงลักษณ์ พงศ์ไพบูลย์
๖. นายชุมศักดิ์ โอสนานนท์
๗. นายอเนก โอสนานนท์
(ถึงแก่กรรม)

คุณแม่จันทนา วีระผล ได้ทำการสมรสกับ คุณพ่อสุวรรณ วีระผล เมื่ออายุ ๑๘ ปี มีบุตรธิดารวม ๘ คน ดังนี้

๑. นางมาลินี โชติเลขา สมรสกับ พลตรีพัลลภ โชติเลขา มีบุตร ๑ คน คือ
นายจิรเดช โชติเลขา

๒. นางวนิดา วัฒนศิริพงศ์ สมรสกับ นายสุมิตร วัฒนศิริพงศ์ มีบุตรธิดา ๓ คน คือ
นางสาวศุภมาศ วัฒนศิริพงศ์
นางสาวพินทิพา วัฒนศิริพงศ์
ด.ช.ชัยเกษม วัฒนศิริพงศ์

๓. นางกรรณิการ์ วิบูลย์ลาภ สมรสกับ นายบุญเลิศ วิบูลย์ลาภ มีบุตรธิดา ๓ คน คือ
นางสาวสุพีชา วิบูลย์ลาภ
นางสาวสโรชา วิบูลย์ลาภ
นายอรรถสิทธิ์ วิบูลย์ลาภ

๔. ดร.สารสิน วีระผล สมรสกับ นางสาวนันทนา เภกะนันท์

๕. นางจินตนา จรัญวาศน์ สมรสกับนายวิวัฒน์ จรัญวาศน์ มีธิดา ๓ คน คือ
นางสาวศิริอร จรัญวาศน์
ด.ญ.ภัทรา จรัญวาศน์
ด.ญ.จิตรา จรัญวาศน์

๖. นายสุทธิพงศ์ วีระผล
๗. นางสาวศรีจันทรา วีระผล
๘. นายพงศ์เฉลิม ชิวชรัตน์ (บุตรบุญธรรม) สมรสกับนางสาววิมล ซอปิติพร


ครอบครัวของคุณตาคุณยายเป็นครอบครัวที่พอมีอันจะกิน คุณแม่เป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวเมื่อเด็ก จึงต้องช่วยพ่อแม่ทำงานทุกอย่าง ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ประกอบกับคนจีนสมัยนั้นไม่มองเห็นถึงความสำคัญของการเรียนหนังสืออยู่แล้ว โดยเฉพาะลูกผู้หญิง ถึงแม้คุณแม่จะไม่มีความรู้เรื่องหนังสือก็ตาม แต่คุณแม่เป็นคนเฉลียวฉลาด มีเหตุมีผล ไม่แพ้คนมีความรู้

ชีวิตวัยเด็กถึงวัยสาวของคุณแม่ แม้จะลำบากก็ไม่มากมายนัก พออายุ ๑๘ ปี ก็ได้แต่งงานกับคุณพ่อสุวรรณ วีระผล ถึงแม้เวลาแต่งงานนั้นครอบครัวยากจน แต่คุณแม่ก็สบาย เพราะคุณพ่อไม่ยอมให้คุณแม่ออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อช่วยเหลือครอบครัว คงให้ทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น

คุณพ่อรับภาระหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวโดยตลอด ตลอดระยะเวลา ๕๓ปีที่แต่งงานกัน คุณแม่มีความสุข โดยเฉพาะช่วงวัยกลางคนถึงวาระสุดท้าย ชีวิตของคุณแม่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง และยังมีคุณพ่อคอยดูแลพาไปรับประทานอาหารอร่อย ๆ เป็นประจำพร้อมกับลูก ๆ ซึ่งคุณแม่จะชื่นชอบมาก ถึงวันเกิดของท่าน ลูก ๆ ก็จะพร้อมใจกันจัดงานวันเกิดให้ คุณแม่มีความสุขมาก ท่ามกลางคุณพ่อและลูก ๆหลาน ๆ ในขณะเดียวกันคุณแม่ก็จะแจกรางวัลให้ทุกคน

คุณแม่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศหลายครั้งหลายหนกับคุณพ่อบ้าง กับลูก ๆ บ้าง กับเพื่อน ๆ บ้าง บางครั้งก็ไปพร้อมกันทั้งพ่อแม่ลูก เวลาคุณแม่ไปไหนมาไหน ก็จะมีลูกสาวไปเป็นเพื่อนคอยดูแลใกล้ชิดตลอดเวลา ลูก ๆ ของคุณแม่ทุกคนมีครอบครัวกันแล้ว คุณแม่มีหลานยายรวม ๑๐ คน

คุณแม่เป็นคนใจบุญ มีเมตตา มีศรัทธาในพระพุทธศาสนามากตั้งแต่ยังสาว ชอบทำบุญเสมอ โดยเฉพาะในตอนปลายชีวิต นี้ยิ่งทำบุญมาก คุณแม่ได้ทำบุญสร้างโบสถ์ กุฏิ วิหาร ศาลา มณฑป โคมไฟ ฯลฯ รวมทั้งทำบุญสังฆทานเป็นประจำ ตลอดจนการสร้างพระพุทธรูป บวชพระ บวชเณร ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ระยะหลังนี้คุณแม่ยังได้เจริญภาวนา ทำสมาธิ คุณแม่ปรารภกับลูกเสมอว่า คุณแม่ปรารถนาพระนิพพาน ไม่อยากกลับมาเกิดอีกแล้ว

ปกติคุณแม่เป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง เพิ่งจะเป็นโรคเบาหวานหลังอายุ ๖๐ ปีแล้ว ต้องฉีดอินซูลินทุกวัน ตาข้างหนึ่งของคุณแม่เป็นต้อหิน ได้เดินททางไปรักษาที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายปี ๒๕๓๑ ทำให้อาการดีขึ้นมาก เมื่อประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๓๒ คุณแม่เกิดมีอาการโรคหัวใจโตเล็กน้อย แต่ยังคงไปไหนมาไหนได้เหมือนเดิม แต่อยู่ในความดูแลของหมอ

ตอนเย็นวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๒ คุณพ่อได้ชวนคุณแม่และลูก ๆ ออกไปรับประทานอาหารที่โรงแรมไวท์ออคิด กับคุณอาอนุตรและคุณอาล้วนมณี อัศวานนท์ คุณแม่ยังรับประทานอาหารได้เก่ง พูดคุยยิ้มแย้ม ไม่มีอาการว่าจะเป็นอะไร

ต่อมาตอนเย็นวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๒ คุณพ่อคุณแม่พร้อมด้วยลูก ๆ และญาติได้ไปงานสวดพระอภิธรรมศพน้องชายของคุณแม่ รุ่งขึ้นเช้าวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๒ คุณแม่ก็ยังมีอาการปกติอยู่ ลูกกรรณิการ์ได้ชวนคุณแม่ออกไปรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกัน แต่คุณแม่ปฏิเสธ บอกว่าท้องไม่ค่อยดี อยากอยู่บ้าน ตอนสาย คุณแม่ยังได้พูดคุยโทรศัพท์กับน้องสาวของคุณแม่

ตอนบ่ายได้นั่งดูวีดีโอเทปเรื่องคุณพ่อได้เป็นบุคคลตัวอย่างด้วยความชื่นชมกับหลานจุ๊บแจง เวลาประมาณ ๑๖.๐๐ นาฬิกา เด็กรับใช้ได้ขึ้นมาหยอดยาตาให้คุณแม่ คุณแม่ก็ยังปกติอยู่ แต่พอครั้นเวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกาเศษ ลูก ๆ กลับถึงบ้านพบคุณแม่ได้จากไปแล้วอย่างสงบเหมือนคนนอนหลับ นอนอยู่บนเตียงในห้องนั่งเล่น หมอได้ลงความเห็นว่าเส้นเลือดหัวใจตีบตันเฉียบพลัน

คุณแม่ได้จากไปแล้ว เหลือแต่คุณงามความดีให้ลูก ๆ ไว้คิดถึง ลูกขอกราบแทบเท้าคุณแม่ด้วยความเคารพรักอย่างสูง และขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอผลบุญกุศลและคุณความดีที่คุณแม่ได้ทำมาตลอดชีวิต จงดลบันดาลให้คุณแม่ที่รักของลูก ๆ เข้าถึงซึ่งพระนิพพานสมความปรารถนาเถิด



คิดถึงคุณจันทนา

...ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ๕๓ ปี คุณเป็นภรรยาและเพื่อนที่ดี เป็นแม่ที่ประเสริฐของลูก ๆ เมื่อคุณมาด่วนจากไปโดยไม่ได้คาดคิดเช่นนี้ ทำให้ผมเศร้าใจมากที่สุด

คุณเป็นคนใจบุญ ใจดี มีเมตตา ชอบทำบุญเสมอ ผมจำได้เสมอว่า เวลาหลวงพ่อ พระสุธรรมยานเถระที่คุณเคารพนับถือมากมาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม กรุงเทพฯ คุณจะต้องรีบไปกราบท่านและทำบุญเป็นประจำด้วยความสุขใจ แล้วก็มาเล่าให้ผมฟังบ่อย ๆ ตั้งแต่นี้ไป ผมจะทำบุญต่อเนื่องให้คุณกับหลวงพ่อสืบไป ขอคุณจงอนุโมทนาด้วย

ตลอดเวลาคุณปรารถนาพระนิพพาน เบื่อการเกิดอีก ขอผลบุญที่คุณทำมาทั้งหมด จงดลบันดาลให้ดวงจิตอันบริสุทธิ์ของคุณได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด


สุวรรณ วีระผล


๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๒
กราบเท้าคุณแม่ที่เคารพรักอย่างสูง

เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๒เวลา ๑๗.๓๐ น. ลูกได้เข้าไปหาคุณแม่เช่นทุกวันเป็นประจำ แต่วันนี้เป็นวันที่ลูกลืมไม่ได้ในชีวิต ลูกมาพบคุณแม่นอนหมดลมหายใจอยู่บนเตียงที่ห้องนั่งเล่น คุณแม่ได้จากพวกเราไปอย่างกะทันหัน รวดเร็วเกินกว่าที่คาดคิดไว้มาก

ลูกจำได้ว่า ระยะหลัง ๆ เวลาไปเที่ยวและรับประทานอาหารด้วยกัน คุณแม่เคยพูดว่า “แม่อยู่เป็นเพื่อนลูกก็คงอีกไม่กี่ปี” ลูกไม่คิดเลยว่าจะเป็นวันนี้ ลูกเสียใจมากที่ลูกช่วยอะไรคุณแม่ไม่ได้เลยในวินาทีสุดท้าย

การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณแม่จึงนำความเศร้าสลดใจให้กับลูก ๆ และหลาน ๆ เหลือที่จะพรรณนาเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงในครอบครัว โดยเฉพาะคุณพ่อ ท่านเสียใจมากกับการจากไปของภรรยาที่แสนดีร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเป็นระยะเวลาถึง ๕๓ ปี ความรัก ความคิดถึง ความอาลัยอาวรณ์ ที่มีต่อคุณแม่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเราเสมอ

คุณแม่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรและกำลังใจให้กับพวกลูก ๆ หลาน ๆ มาโดยตลอด เป็นผู้ให้และผู้เสียสละ ให้กับลูก ๆ ทุกคน ตลอดชีวิตของคุณแม่ คุณแม่น่ารัก ใจดี เมตตา เผื่อแผ่ เป็นที่รักใคร่ของลูก ๆ หลาน ๆ และเพื่อนฝูงเป็นอย่างมาก

ดวงวิญญาณของคุณแม่คงเห็นแล้วว่า งานคุณแม่สมเกียรติอย่างยิ่ง เพื่อนฝูงมาอธิษฐานภาวนาคับคั่งแด่ดวงวิญญาณที่แสนบริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยหลักธรรม “ เมตตาค้ำจุนโลก” ที่คุณแม่ยึดถือมาตลอดชีวิต ให้ได้ไปสู่สุคติ

สุดท้ายนี้ ลูกขอตั้งจิตอธิษฐานให้กุศลกรรมที่คุณแม่ได้บำเพ็ญไว้ในชาตินี้ โปรดช่วยนำพาดวงวิญญาณของคุณแม่ไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญ

ด้วยความรักและอาลัยอย่างยิ่ง

จาก ลูก ๆ และหลาน ๆ
วนิดา (วีระผล) วัฒนศิริพงษ์
สุมิตร วัฒนศิริพงษ์
พินทิพา วัฒนศิริพงษ์
ชัยเกษม วัฒนศิริพงษ์


รำลึกถึงคุณแม่

"......คุณแม่จากพวกเราไปในลักษณะคนมีบุญแท้จริง ในวันสุดท้ายเริ่มแต่ตอนเช้า ผมได้รับประทานอาหารเช้ากับคุณแม่ ท่านคุยกับผมอย่างแจ่มใส พูดถึงการจัดงานวันเกิดของท่าน ซึ่งพวกลูกๆ วางแผนให้มีขึ้นอีกประมาณ ๒ อาทิตย์ข้างหน้า ผมกราบลาคุณแม่ไปทำงานเหมือนปกติทุกวัน

ตอนเที่ยงเล็กลงมารับประทานอาหารกลางวันกับคุณแม่ ตามปกติคุณแม่จะออกไปรับประทานอาหารเที่ยงนอกบ้านกับหน่อยและพี่นก แต่เผอิญหน่อยไปยุโรป พี่นกมาถามว่า คุณแม่อยากออกไปข้างนอกหรือไม่ คุณแม่บอกว่าอยากอยู่บ้าน เล็กจึงโชคดีได้คุยกับคุณแม่โดยไม่รู้ตัวว่านั่นเป็นวันสุดท้าย

เล็กเล่าว่าคุณแม่หน้าตาสดชื่น คุยเรื่องความหลังและอีกหลายเรื่อง ด้วยอารมณ์เบิกบานอยู่เกือบสองชั่วโมง ปกติเล็กจะรีบออกไป RBSC ในระหว่างเที่ยงครึ่งถึงบ่ายโมงเพราะรถไม่ค่อยติด แต่เห็นคุณแม่อยากคุยก็คิดว่าปล่อยให้คุยไปถึงเกือบบ่ายสองโมงจึงขอตัว เวลาจากกันนั้นก็ช่างน่ารัก เพราะเล็กโบกมือลาเป็นเชิงล้อเล่นกับคุณแม่ และคุณแม่ก็โบกมือพร้อมกับพูด "บ๋าย บาย" ตอบกับเล็ก

เล็กเล่าว่า คุณแม่เปิดดูวิดีโอเทปบุคคลตัวอย่างของคุณพ่อด้วยความภูมิใจ ตอนบ่ายจุ๊บเข้ามานั่งคุยกับคุณแม่อย่างมีความสุข ตามประสาคุณยายกับหลาน ซึ่งเพิ่งกลับจากสหรัฐอเมริกามา Summer แล้วคุณแม่ก็หลับไป จนได้เวลารับประทานอาหารเย็น พี่ดากับพี่นกเข้าไปปลุก เห็นคุณแม่นอนนิ่งอยู่ จึงรีบเรียกรถพยาบาลจากสมิติเวช

ปรากฏว่าหมอบอกว่า คุณแม่หัวใจล้มเหลวเนื่องจากเส้นเลือดใหญ่ตีบตันกะทันหัน หน้าคุณแม่ไม่ส่อเค้าของคนตายแม้แต่น้อย หากเป็นเพียงลักษณะคนนอนหลับอย่างมีความสุข ท่านมีบุญจริงๆ เพราะท่านทำบุญไว้มากตลอดชีวิต

คุณแม่มาจากเมืองจีน อำเภอฮุยไล้ จังหวัดแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง มาตั้งแต่อายุ ๙ ปี มากับคุณยาย จากนั้นก็พบกับคุณพ่อซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่ชลบุรี และอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลา ๕๓ ปี ต่างช่วยกันทำมาหากินจนเป็นหลักฐานมั่นคงจนถึงทุกวันนี้

ลูก ๕ คนของคุณแม่ได้รับการศึกษาอย่างดีทั้งในและต่างประเทศ ได้รับความสุขบนผืนดินไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารตลอดชั่วชีวิต ๖๒ ปีของคุณแม่ คุณแม่ภูมิใจตลอดมาที่คุณพ่อได้เฝ้าถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี

รวมทั้งการที่เล็กและผมได้รับพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯ พระราชทานสมรสแก่เราเมื่อปี ๒๕๑๓ โดยมีคุณพ่อคุณแม่ของเราทั้ง ๒ คน ร่วมเป็นสักขีพยาน ตราบจนโอกาสสุดท้าย คุณแม่ปลื้มใจมากที่ผมได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผมในตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงฯ

ระยะหลัง คุณแม่มักพูดคุยในลักษณะของผู้ปลงตก และพอใจในความสำเร็จของคุณพ่อและลูกๆ เชื่อในการสร้างกุศลว่า จะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถนำติดจิตและวิญญาณได้ตลอดไป คุณแม่มักชอบดูภาพยนต์จีนทางโทรทัศน์ที่เกี่ยวกับสวรรค์นรก แล้วนำมาสอนเด็กรับใช้ในบ้านถึงการคิดดีทำดี เพียงแค่คิดเท่านั้น ดีชั่วฟ้าดินและตนเองรู้ประจักษ์

ท่านพระสุธรรมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เป็นพระอริยะ พระสุปฏิปันโนองค์หนึ่งที่คุณแม่ศรัทธามากที่สุด จากการทำบุญและปฏิบัติธรรมนั้น คุณแม่ได้หัดทำสมาธิ ทำให้จิตใจของคุณแม่เยือกเย็นสงบลงได้อย่างมาก ลูกๆ เชื่อว่าคุณแม่จากไปด้วยอารมณ์ในสมาธิ เพราะตาหลับสนิท มีรอยยิ้มที่มุมปาก

แม้พวกเราจะเสียดายอาลัยเป็นที่สุด แต่ความเชื่อว่าท่านไปอย่างสว่างด้วยกุศล บุญ ทาน ทำให้เรายอมรับในสภาวะความไม่เที่ยงของสังขาร ทุกคนที่ใกล้ชิดคุณแม่ล้วนมีแต่ความรู้สึกที่ดีงาม และกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า

".....ท่านไปอย่างคนมีบุญจริง ๆ.....”

จาก
สารสิน - เล็ก วีระผล


แด่คุณแม่ที่รักดั่งดวงใจของลูก

เมื่อลูกได้รู้ว่า คุณแม่ได้จากลูกไปไม่มีวันกลับมาอยู่ใกล้ลูกอีก ใจของลูกในตอนนั้นแทบจะขาด มีความรู้สึกว่าชีวิตของลูกนั้นแทบจะไม่มีความหมายเมื่อขาดคุณแม่ไปแล้วจริง ๆ ลูกเพิ่งจะได้ประจักษ์ว่า ลูกรักคุณแม่สุดหัวใจ คุณแม่เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่คอยให้ความอบอุ่นแก่ลูก ลูกคิดเสมอ คุณแม่เป็นแม่พระของลูก และบุญบารมีของคุณแม่นั้นคุ้มลูกให้อยู่เย็นเป็นสุขเสมอ

ลูกเศร้าใจและคิดถึงคุณแม่มากสุดที่จะพรรณนาออกมาป็นคำพูดได้ ลูกอยาก........อยากเหลือเกินที่จะรับใช้ปรนนิบัติคุณแม่อีก ลูกไม่เคยคิดเลยว่าคุณแม่จะมาด่วนจากลูกไปเร็วเช่นนี้ แม่จ๋า.......”.แม่รู้ไหมจ๊ะว่าลูกคนนี้รักและคิดถึงคุณแม่เพียงใด”

ตอนนี้คุณแม่ก็ได้จากลูกไปจริง ๆ แล้ว ลูกแน่ใจว่าคุณแม่ของลูกจะต้องไปอยู่อีกภพหนึ่ง ซึ่งเป็นภพที่ดีที่สุด เพราะว่าคุณแม่ชอบทำบุญมาก และแต่ละครั้งที่คุณแม่ทำบุญ คุณแม่ก็ทำเพื่อหวังพระนิพพานแต่เพียงอย่างเดียว

แม่จ๋า.....ลูกขออธิษฐานว่าขอให้ลูกสามารถทำได้เช่นเดียวกับคุณแม่ที่ได้ปฏิบัติดีที่สุดมาแล้วจนพบถึงซึ่งความสุข ลูกมีความภูมิใจในตัวคุณแม่มาก คุณแม่เป็นบุคคลตัวอย่างที่เป็นกำลังใจให้ลูก ๆ และเพื่อนรอบข้างจะได้ปฏิบัติให้หลุดพ้นเช่นเดียวกับคุณแม่ได้

ลูกขออนุโมทนาต่อบุญกุศลและความดีต่าง ๆ ที่คุณแม่ได้ทำแล้ว และขอกราบอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลกจงมาเป็นสักขีพยาน และช่วยทำให้ความปรารถนาของคุณแม่ให้สำเร็จถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
จากลูกที่รักและเคารพคุณแม่ดั่งดวงใจ

ลูกหน่อย



เทิดคุณแม่ที่ประเสริฐยิ่ง

...ตั้งแต่ผมได้มีโอกาสรู้จักคุณแม่เมื่อครั้งผมยังเยาว์วัย เพราะเป็นเพื่อนกับหน่อย ก็รู้สึกว่าคุณแม่เป็นคนใจดี แม้ผมจะไม่ได้ใกล้ชิดกับคุณแม่ในระยะต้น ๆแต่ก็มีความรู้สึกว่าคุณแม่ได้ให้ความเป็นกันเองเสมอมา

ครั้นเมื่อได้สมรสกับลูกสาวคนเล็กของคุณแม่แล้ว คุณแม่ก็ยิ่งให้ความรัก ความเอาใจใส่ดูแลทุกข์สุขมากยิ่งขึ้น เมื่อใดที่ทราบว่าลูกหลานคนใดไม่สบายก็มักแนะนำวิธีรักษาตัว และบ่อยครั้งที่ได้จัดยาบำรุง (จีน) ให้

คุณแม่เป็นคนมีอารมณ์ดี และให้ความเป็นกันเองกับบุคคลทั่วไป คุณแม่มักเล่าเรื่องขำขันและประสบการณ์ชีวิตให้ฟัง ทำให้เกิดข้อคิดดี ๆ หลายอย่าง เช่น ในเรื่องการพึ่งตนเอง อย่าหวังแต่พึ่งคนอื่น ซึ่งคุณแม่ได้หารายได้จากการทำธุรกิจของตนเองจนสามารถมีเงินก้อนใหญ่ ทั้งเคยปรารภกับผมว่า ผู้ใดดีต่อเรา ช่วยเหลือหรือให้ของแก่เราเท่าใด เราควรตอบสนองให้เขามากยิ่งกว่าที่เราได้รับเท่านั้น

มีเรื่องหนึ่งที่ผมมักเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง ในประเด็นแม่ยายตัวอย่างว่า มีคราวหนึ่งผมมีเรื่องเบาะแว้งกับภรรยา ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ลิ้นกับฟันย่อมกระทบกันได้ ภรรยาเกิดน้อยใจ ออกจากบ้านไปหาคุณแม่เขา แต่กลับถูกคุณแม่สอนให้รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว มีความอดกลั้น แล้วให้ลูกสาวตนเองรีบกลับบ้านไปหาสามีโดยเร็วเพื่อปรับความเข้าใจ ซึ่งทำให้ผมยิ่งต้องระมัดระวังมิให้ฟันไปกัดถูกลิ้นเช่นนี้อีก

ครอบครัวทางฝ่ายภรรยาผมมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก เมื่อก่อนผมมีโอกาสไปร่วมรับประทานอาหารกับคุณพ่อคุณแม่ตามภัตตาคารต่าง ๆ อาทิตย์ละ ๒ ครั้ง คุณพ่อเองเป็นนักกินและรักเอ็นดูลูกหลานทุกคน ผมเลยมีลาภปาก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เห็นผมชอบรับประทานก็มักจะถามบ่อย ๆ ว่า “ทานอิ่มไหม จะสั่งอะไรเพิ่มอีก” นอกจากเรื่องอาหาร การถามถึงทุกข์สุขแล้ว คุณแม่ยังมีอะไรหลาย ๆ อย่าง ที่ทำให้เรารู้สึกว่าคุณแม่รักและเอาใจใส่เราอยู่เสมอ

ลูกหลานทุกคนมีความรู้สึกว่าคุณแม่เป็นที่พึ่งของพวกเราได้ หากมีเรื่องขัดแย้งกันภายใน คุณแม่ก็จะเป็นผู้กล่าวสอนตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา และเป็นผู้ประสานเรื่องให้เรียบร้อย ส่วนใครทำดีเป็นศรีต่อวงศ์ตระกูล คุณแม่ก็มีความภาคภูมิใจในบุคคลเหล่านั้น โดยเฉพาะคุณพ่อและพี่สารสิน

ชีวิตการทำงานในปัจจุบันทำให้ผมห่างเหินคุณแม่ไป ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ได้พบกันบ่อย ๆ หลายครั้งผมคิดว่าผมน่าจะทำได้ดีกว่านี้ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสผมจะเรียนคุณแม่ว่า ถึงแม้ผมจะห่างเหินไปบ้าง ผมก็รักและห่วงใยคุณแม่เสมอ

โชคดีที่ผมมีโอกาสช่วยจัดเตรียมให้คุณแม่ไปหาหมอตาที่สหรัฐอเมริกา โดยคำแนะนำของเพื่อนผมคนหนึ่ง ซึ่งภรรยาผมได้ติดตามไปรับใช้ และปรากฏว่าตาหายเจ็บ และในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา (๑๙ พฤษภาคม ๒๕๓๒) ผมได้มีโอกาสไปร่วมทำบุญกับคุณแม่ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี ของหลวงพ่อพระสุธรรมยานเถระ ซึ่งคุณแม่เคารพและนับถือหลวงพ่ออย่างมาก

ระหว่างอยู่ในรถ ผมกำลังทำบางสิ่งบางอย่างให้คุณแม่อยู่ คุณแม่ก็บอกว่า “ให้คนที่หนุ่มกว่าทำเถอะ” ผมจึงถือโอกาสเรียนว่าผมไม่ใคร่มีโอกาสรับใช้คุณแม่อยู่แล้ว จึงอยากทำด้วยความสมัครใจและขออนุญาตตามไปรับใช้คุณแม่ในภพหน้าด้วย ซึ่งคุณแม่ก็หัวเราะอย่างเอ็นดู

หลวงพ่อพระสุธรรมยานเถระ เป็นผู้ชี้นำและให้แสงสว่างในเรื่องธรรมะแก่คุณแม่ จนคุณแม่สามารถตัดและละกิเลสทั้งปวงได้ เมื่อคุณแม่สละร่างไปอย่างสงบแล้ว ใบหน้าของท่านยังคงเสมือนหลับอยู่อย่างปกติ ในงานพิธีสวดศพ มีบุคคลชั้นผู้ใหญ่และอื่น ๆ อีกมากมายให้เกียรติมาร่วมงาน

ทั้งนี้ป็นเพราะผลบุญและคุณความดีของคุณแม่ในระหว่างที่ยังครองร่างอยู่ คุณแม่เป็นศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง เมื่อคุณแม่ได้หลุดพ้นไปแล้ว หลวงพ่อจึงโปรดให้สร้างมณฑปที่วัดหลวงพ่อ เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นขนาดเท่าตัวจริงของคุณแม่ เป็นอนุสรณ์ให้พุทธศาสนิกชนได้เดินตามรอยต่อไป

สองคืนก่อนที่คุณแม่จะจากไป ผมมีโอกาสได้อยู่กับท่านทั้ง ๒ คืน เมื่อผมทราบว่าคุณแม่จากพวกเราไป ผมใจหาย แต่เมื่อทราบว่าท่านไปอย่างสงบสมความปรารถนาของท่านก็มีความโสมนัสยินดีกับท่าน ท่านหลุดพ้นแล้ว ส่วนพวกเราที่ยังคงอยู่หลาย ๆ คน ก็ต้องสะสมบุญ เพื่อจะได้หลุดพ้นและจากไปอย่างสงบอย่างท่าน

ผมมีความรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นลูกเขยของคุณแม่ที่เปี่ยมประเสริฐยิ่งท่านนี้

ด้วยความเคารพบูชาอย่างสูง

วิวัฒน์ จรัญวาศน์


โปรดติดตามตอนต่อไป บันทึกของ คุณอัญเชิญ มณีจักร (ชาโดว์)


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/5/17 at 03:43 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 4]

(Update 1 มิถุนายน 2560)


คุณแม่จันทนา วีระผล บุคคลตัวอย่าง

หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑


...ตื่นนอนเช้า ของวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๓๒ ลืมตาดูนาฬิกา ๖ โมงกว่า ๆ นอนภาวนานิพพาน ๆ เพื่อยืนยันว่าปรารถนานิพพานแน่นอน ว่าไปไม่ถึง ๑๐ ลมหายใจ นึกขึ้นมาทันทีว่าต้องบันทึกเรื่องของคุณแม่จันทนา ไว้เป็นบุคคลตัวอย่างอีกท่านหนึ่งที่ตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีก เก็บไว้ในหนังสือบันทึกของชาโดว์ เล่ม ๓ เป็นตัวอย่างพวกเราลูกหลานพุทธบริษัท ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระคุณเจ้าพระสุธรรมยานเถระ วัดจันทาราม (ท่าซุง) จังหวัดอุทัยธานี ที่คุณแม่จันทนา เคารพนับถือมาก ทำทุกอย่างที่หลวงพ่อท่านสอน หรือลูก ๆ พูดให้ฟัง

เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม คุณมาลินี (วีระผล) โชติเลขา โทรศัพท์ถามเรื่องน้องชาย ของคุณแม่ชื่อ คุณอเนก โอสนานนท์ ตายแล้วอย่างกะทันหัน เวลานี้สบายหรือลำบาก เห็นแล้วรับโทรศัพท์ก็โผล่มาเลย ถาม รูปร่างหน้าตา ใช่แล้ว เท่าที่เห็นนี้ไม่ลำบาก ท่าทางดี ว่าน้าชายถามถึงหลวงพ่อจะมากรุงเทพฯเมื่อไร จะไปถวายสังฆทาน มิน่าจิตจับบุญกุศลนั่นเอง ตายหมดอายุแบบนี้จะสะเดาะเคราะห์หรือช่วยยังไงก็ไม่พ้น

จึงเล่าเรื่องแม่ของแก่ ที่เรากำลังเตรียมตัวจะไปงานศพให้ฟัง ไปวัดท่าซุงที่ ๑๙ เหมือนกัน ติดเตาหุงข้าวใส่บาตรสะเดาะเคราะห์ เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตก ฟุบข้างเตาตายในวันนั้นเลย สบายเหมือนกัน ถามน้าชายจะให้ทำบุญอะไรให้บ้าง

บอกให้ทำสังฆทานตามที่ตั้งใจไว้ก่อนตาย นอกนั้นแล้วแต่คนอยู่ทำตามสะดวก ภาพที่เห็นยังแข็งแรง อายุ ๔๐ กว่า ๆ เท่านั้น ถ้าอยู่เป็นประโยชน์แก่ครอบครัวและสังคมอีกมาก เสียดายความรู้ ความสามารถ ข้อสำคัญยังหาเงินทำบุญถวายพระได้อีกมาก

วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๓๒ พวกเราเจ้าหน้าที่กองทุนวัดท่าซุง ไปสวดศพ แม่บุญช่วย มานพ แม่ของแก่ ที่วัดโพธิ์ ชลบุรี นอนค้างคืนบ้านเจ้าภาพ อยู่ช่วยจนเผาเสร็จเย็นวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๓๒ ถึงบ้านทุ่มกว่า ๆ ลูกสาวบอกว่าคุณต้อย (เดือนฉาย คอมันตร์) โทรบอกวีระผลตาย แม่รู้แล้ว คุณมาลินีโทรบอกก่อนไปเมืองชล ไม่ใช่คนนั้น ลูกเอาชื่อที่จดไว้หน้าโทรศัพท์ให้ดู คุณจันทนา วีระผล ตาย รดน้ำศพบ่าย ๓ โมง วันนี้ที่วัดธาตุทอง

เป็นความจริงหรือนี่ ทำไมเป็นอย่างนี้...ยังเห็นเดินไปวัดดี ๆ แท้ ๆ ในคณะนั้นตายไปแล้ว ๒ คนกับอีก ๑คนเพิ่งเผากลับมาเดี๋ยวนี้เอง ภายใน ๑๐ วันตายแบบกะทันหัน ๓ คน ไม่อยากเชื่อ แต่ภาพคุณแม่จันทนา ปรากฏขึ้นแล้ว ยกมือสาธุด้วยความดีใจและโล่งใจกับท่าน อยากตายแบบท่านบ้าง ยิ้มขณะที่เรานั่งรถกลับ ยังพูดถึงในรถว่า ทำไมหน้าน้องชายคุณแม่จันทนาลอยอยู่ข้างหน้า..เรื่อย

มีเรื่องอะไรจะบอกก็ไม่รู้ หรือบอกแต่เรารับไม่ได้ เดี๋ยวนี้ขี้เกียจคุยกับผีแล้ว ไม่มีใครถามไม่อยากดู คุยกับพี่ชอว่า จะต้องขอดูรูปเสียหน่อยว่าใช่คน ๆ เดียวกันหรือไม่ แล้วคุยกันถึงครอบครัววีระผลว่าทำบุญเก่ง พวกเราเอาคำพูดของท่านที่เอาเงินถวายหลวงพ่อท่านเมื่อหลายปีก่อนโน้น ท่านบอกหลวงพ่อว่า ทำบุญนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่กล้าอาจเอื้อมปรารถนานิพพาน

พวกเราจึงพูดกันให้หายเครียดเวลาทำงานวัดยุ่ง ๆ เหนื่อย ๆ หรือควักเงินทำบุญจะพูด ทำบุญนิด ๆ หน่อย ๆ แสนสองแสนไม่กล้าปรารถนาพระนิพพาน เป็นที่ทราบว่าหมายถึงท่าน เรารึ ๕ บาท ๑๐ บาท จะเอานิพพาน โมทนายังเอาด้วยเลย ชื่นชมโมทนากับการทำบุญของ “วีระผล” บ่อยๆ โทรศัพท์บอกพี่ชอ ๆ ตกใจเหมือนกัน

บอกเสียดาย ถ้ารู้ก่อนพวกเราลูกศิษย์หลวงพ่อท่านหลายคนแวะเข้าวัดธาตุทองเคารพศพ ฟังสวดก่อนเข้าบ้านก็ดี พรุ่งนี้หลวงพ่อท่านเข้ากรุงเทพฯ ไม่มีเวลาไปอีกหลายวัน คงต้องมีคณะลูกศิษย์หลวงพ่อท่านเป็นเจ้าภาพคืนหนึ่งแน่ ๆ ค่อยไปคืนนั้น

วางหูโทรศัพท์อาบน้ำ ๆ เย็นสบาย ๆ นึกถึงคุณแม่จันทนา อยากรู้สาเหตุและอาการก่อนตาย ท่านทำใจอย่างไร ท่านพูดสั้น ๆ ว่า

“เบื่อความไม่เที่ยง..กับเซ็งร่างกาย”

ที่นี้ก็เหมือนนึกเองตอบเอง อ้อ. น้องชายอายุอ่อนกว่าหลายปี ยังแข็งแรงไม่น่าตาย นึกไม่ถึงว่าจะตาย เราแก่กว่ามากน่าจะตายก่อนไม่เที่ยง แล้วเซ็งร่างกายเป็นอย่างไร ปกติไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ตอนนี้เหนื่อยงานศพน้องชายทำให้เบื่อมากขึ้น ไม่อยากอยู่ เบื่อแล้ว ทิ้งได้ แบบนี้เอง สามีไม่ห่วง ลูกไม่ห่วง สบายหมดแล้ว ห่วงก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้

อาบน้ำเสร็จกราบพระหน้าห้องอย่างรวบรัดเสร็จเร็ว ๆ เข้าห้องนอนหลับตาด้วยความเพลีย ตื่นกลางดึกขอดูภาพท่านที่ตายรายใหม่นี้ สวยดี ถึงแล้วจริง ๆ ด้วยไม่สงสัย แล้วหลับต่อ ตื่นอีกทีสว่าง แล้วลุกขึ้นจดบันทึก ได้นิดหน่อย ไปบ้านสายลม จัดอาหารถวายหลวงพ่อท่านและพระติดตาม บ่ายสอนมโนมยิทธิอย่างเคย ถึงบ้านสายลมพบหน้าพวกเราถามถึงหลวงพ่อท่านว่าอย่างไรบ้าง

ท่านเล่าว่าคุณแม่จันทนาไปหาท่านที่วัด บอกหลวงพ่อท่านว่า “ยังไม่ตาย มาเอง” ขณะที่ฉันเพล หลวงพ่อท่านพูดถึงอีก ข้าพเจ้าคิดว่าท่านสอนเราด้วย รายละเอียดมีใครเขียนไว้แล้ว อทิสมานกายขึ้นไปถึงวิมานของท่านแม่จันทนาเอง

ขณะแรกท่านได้อรหัตมรรค ยังมีชีวิตอยู่ได้อีก ๑๒ ปี ตามที่ท่านพยายมราชและท่านท้าวสหัมบดีพรหมบอก ถ้าอยู่เลยจะได้อยู่วิมานแบบนี้ ชี้วิมานของท่านแม่จันทนาให้ดู ท่านเลือกอยู่เลย อยู่อย่างไร ไปได้แบบไหน โดยที่ยังมีลมหายใจไม่ตายจริง

พวกเราลูกศิษย์หลวงพ่อที่ฝึกมโนมยิทธิได้แล้วและเชื่อมั่นในตัวเอง จะรู้ดีและเข้าใจความหมายที่ข้าพเจ้าเขียนบันทึกไว้ให้พวกเราอ่าน เอาแบบอย่างบุคคลที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระคุณเจ้า หลวงพ่อพระสุธรรมยานเถระ หรือคนทั่วไปรู้จักท่านในนาม “ท่านฤๅษีลิงดำ” ผลลัพท์ที่ได้เมื่อเวลาตายแล้วจริง ๆ ได้มรรคผลสมความปรารถนาที่ตั้งใจไว้คือ ไม่เกิดอีก

เช้าวันนั้น จึงกราบพระขออนุญาตเจ้าของเรื่อง เขียนเรื่องท่านเก็บเอาไว้เป็นบุคคลตัวอย่างที่ดี ปกติเขียนเรื่องคนตายจะขอและให้ช่วยเขียนด้วย เขียนได้ ๕-๖ บรรทัด เจ้าซูโม่สุนัขตัวใหญ่ น้ำหนัก ๓๐ กิโลกว่า หอนที่หน้าห้องพระ เอ๊ะ ๆ ทำไมปกติไม่หอน สงสัยเห็นผี จึงพูดดัง ๆ ว่า

ถ้าเห็นคุณแม่จันทนา เจ้าของเรื่องมา หอน ๒ ครั้งหยุดนะ จะให้ครั้งเดียวเผื่อกำลังเพลิน ๒ ครั้งพอหยุดทัน อีก ๒ หอนหยุดจริง ๆ มาจริง ๆ ด้วย รีบยกมือไหว้ด้วยความดีใจที่ท่านเต็มใจให้เขียน ต้องเขียนให้เสร็จ ขี้เกียจไม่ได้แล้วเรา (บางเรื่องเขียนไม่จบ)

ถ้าเรื่องของท่านแม่จันทนามีประโยชน์ เป็นกำลังใจให้รุ่นที่ตายทีหลัง ซึ่งกำลังปฏิบัติเพื่อจะขอไปอยู่แดนที่ไม่เกิดกับท่านได้ ขอท่านจงโมทนาและช่วยข้าพเจ้าเขียนหนังสือด้วยเจ้าค่ะ พักไว้ก่อนเตรียมตัวไปซอยสายลมอีก ขณะที่หลวงพ่อท่านฉันเพลบนห้องนอนท่านเล่าให้ฟังอีกว่า

ท่านสหัมบดีพรหมสั่งให้หลวงพ่อท่านหล่อรูปท่านแม่จันทนากับคุณพ่อสุวรรณไว้หน้าศาลา ๑๐๐ เมตร สร้างมณฑปด้วย ข้างล่างรูปหล่อทำเป็นช่องเก็บกระดูกไว้หมด (หลวงพ่อท่านเคยบอกข้าพเจ้าว่า ถ้าเก็บไว้ไม่ดีคนอื่นเหยียบย่ำจะเป็นบาป ของคุณพ่อข้าพเจ้าหลวงพ่อท่านก็สั่งให้สร้างเจดีย์ใหญ่บรรจุไว้หมดทั้งขี้เถ้าด้วย)

ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า เมื่อเช้าก่อนมานี่ลูกเขียนไว้เป็นตัวอย่าง หมาหอนบอกให้หอนอีก ๒ครั้งหยุด ๆ จริง ๆ ท่านพูดว่า “แกมันเซ่อกว่าหมา” ถูกใจข้าพเจ้าจริง ๆ ต้องให้หมายืนยัน (บ่อยด้วย)

คุณแม่จันทนา วีระผล เป็นบุคคลตัวอย่างที่ดีปฏิบัติจริง คือ..ทำเลย ไม่ต้องเรียนรู้มาก ปรุงแต่งมาก ไม่เป็นแบบรู้มากยากนาน ท่านอ่านหนังสือไม่ออก พูดไทยไม่ชัด พูดไม่เป็น ท่านบอกหลวงพ่อ แต่เวลาพูดด้วยท่านรู้หมดและพูดได้ทุกคำ อันนี้เป็นคำพูดของหลวงพ่อท่าน เรื่องทำบุญมากใจถึงไม่เสียดาย ขนาดจะเหมาช่อไฟที่ยังไม่มีเจ้าภาพหมดในวิหาร ๑๐๐ เมตร ดวงละ ๕๐,๐๐๐ บาท วิมานท่านจึงสว่างมาก

สมัยก่อนงานวัดคนยังไปน้อย ท่านสั่งลูกชิ้นให้ร้านก๋วยเตี๋ยวกองทุนตั้งแต่ครั้งละ ๑๐ กิโล ๒๐ กิโล – ๕๐ กิโล – ๘๐ กิโลจนถึง ๑๐๐ กิโล ตอนหลังไม่ไหวแม่ครัวแพ้ขนไม่ไหว ถังแช่มีไม่พอ จึงงดขอลูกชิ้น สั่งหมูบดที่ตลาดอุทัยมาส่งให้เป็นวัน ๆ ให้เงินสะดวกกว่า แต่ท่านยังให้ไส้กรอก แฮม ทำแซนวิช แจกงานทำบุญวันเกิดหลวงพ่อท่านทุกปี

เมื่อหนังสือบันทึกของชาโดว์เล่ม ๒ พิมพ์ครั้งที่ ๑ เกือบหมด คุณแม่จันทนา คุณพ่อสุวรรณ และครอบครัว พล.ต. พัลลภ โชติเลขา ออกค่าพิมพ์ครั้งที่ ๒ ให้อีก ๑,๐๐๐ เล่ม จำหน่ายที่วัดและบ้านสายลม คือ บ้าน พล.อ,ท, หม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ ได้เงินถวายหลวงพ่อท่านทั้งหมด บุญจากธรรมทานนับเป็นทานอันยิ่งใหญ่กว่าทานการให้ทั้งปวง

นอกจากเป็นตัวอย่างการทำบุญแล้ว ท่านยังเป็นตัวอย่างที่ดีในทางโลกอีก คือ เป็นผู้หญิงที่ใจดี เงียบ ๆ เรียบร้อย ไม่แสดงตัวว่าฉันเป็นเศรษฐี ฉันทำบุญกับหลวงพ่อท่านตรั้งละมาก ๆ เมื่อ ๓-๔ เดือนก่อน หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังขณะฉันเพลว่า

“เมื่อเช้าแม่จันเอาเงินมาให้ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แล้วแต่หลวงพ่อจะใช้อะไรก็ได้ เผื่อตายก่อน”

ไม่ประมาทในความตาย และอีกหลายรายการทุกเดือน ข้าพเจ้ารู้แล้วเล่าให้พวกเราโมทนายินดีในผลบุญของท่านด้วยเสมอ พอรู้ว่าท่านสิ้นแล้ว พวกเราใจหาย เสียดายทีนี้ใครจะช่วยมาก ๆ แบบนี้อีก ใจหนึ่งก็ดีใจ ชื่นชมที่ท่านไปแล้วไม่กลับมาเกิดอีก สมความตั้งใจของท่าน พวกเราก็จะขอตามท่านไปอยู่ในแดนที่ไม่กลับมาอีก เช่นเดียวกับท่านด้วย

ร่างกายท่านไปแล้วเหลือแต่ความดีไว้ให้พวกเราเป็นแบบอย่าง ที่นี้ก็จะมีคำพูดของท่านให้พวกเราคลายเครียด เวลาทำงานวัดเหนื่อย ยุ่ง คือ

“ทำบุญนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่กล้าปรารถนานิพพาน” กับคำใหม่อีกคือ
“อั๊วไม่ได้ตาย...อั๊วมาเอง”

ซาบซึ้งจริง ๆ ท่านเล่าให้หลวงพ่อท่านฟังว่า ท่านสำเร็จอยู่ที่วิมาน (อทิสมานกาย) ไม่ลงมากายเนื้อข้างล่าง ค่อยๆ เหี่ยวดับไปทีละน้อย ๆ (คงหมายถึงลมหายใจค่อยเบาลง ๆ จนหมดลม) ข้าพเจ้าเคยเห็นแต่ลมหายใจหมด กายทิพย์จึงจะไป บางคนตายไม่รู้ตัวกายทิพย์ออกแล้ว...ยังงงอยู่ พอรู้ว่าตายจึงจะไปตามบุญตามกรรม

นี่ท่านขึ้นไปก่อนเป็นอรหัตมรรค กายเนื้อข้างล่างท่านยังเดินจงกรมในห้องนอน เด็กรับใช้เข้าไปเห็น แต่ท่านไม่เห็นเด็ก เดินจงกรมแล้วนั่งสมาธิต่อ ลูกเข้าไปพบคุณแม่นอนหงายขาสองข้างยังขัดกันอยู่ ไม่หายใจ ตัวเย็นแล้ว แบบนี้ต้องเรียกว่าท่านไปขณะอยู่ในสมาธิทำวิปัสสนากรรมฐาน ออกแบบนี้ได้ต้องไม่มีเวทนาเลย

ดีจริง ๆ สาธุ,,,,,,ข้าพเจ้าขอเป็นแบบท่านบ้าง ทุกวันนี้ก็อธิษฐานขอมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า ถ้าจะตายขอให้หลับตาย อย่ามีความรู้สึกเจ็บ ปฏิบัติได้บ้างก็ว่าขอให้หลับตาย หรือตายในฌาน อย่ามีเวทนาและหลงทาง สงสัยมีหวัง เพราะมีบุคคลตัวอย่างแล้ว คือ คุณแม่จันทนา วีระผล ทำได้ มีกำลังใจขึ้นมากจริง ๆ ขอพรท่านช่วยสงเคราะห์ลูกหลานทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติ ให้ตายแบบท่าน ให้ได้มรรคผลเหมือนท่าน คือไม่กลับมาเกิดอีก

กรรมหรือการกระทำใด ๆ ที่พวกเราเคยล่วงเกินท่าน ไม่ว่าทางกาย วาจา ใจ เจตนาหรือไม่มีเจตนาทั้งในอดีตชาติ ปัจจุบันชาติก็ดี ขอท่านจงอโหสิกรรมให้แก่พวกเราด้วยเทอญ

อัญเชิญ มณีจักร

และ "คณะเจ้าหน้าที่กองทุนวัดทุกคน"


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 1/6/17 at 06:17 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 5 ตอนจบ ]

(Update 8 มิถุนายน 2560)


เกร็ดความรู้



หลวงพ่อเล่าเรื่อง "เจ๊จันทนาตาย"


...เมื่อคืนวานนี้มีคนโทรศัพท์มาว่า "แม่เขาตาย" คนที่ตายคือ คุณจันทนา วีระผล เมียเถ้าแก่ สุวรรณ วีระผล คือว่าถ้ามาทุกครั้ง แกต้องมาทำบุญตอนเช้ามาถวายสตางค์ มาถวายอาหารเป็นประจำ ทีนี้ลูกสาวเขาโทรศัพท์ไปบอกว่าแม่เขาตาย แต่เขาไม่ได้บอกว่าแม่เขาตาย บอกแม่เขาเสีย

ฉันก็นึก เอ...คนดีๆ มันจะเสียยังไงหว่า ถามว่าอาการเป็นยังไงมาก่อน เขาบอกว่าไม่มีอาการมาก่อน ก็พอดีตอนพูดอยู่นั่น..ตัวแกก็ปรากฏ..!

เขาบอก "ฉันไม่ได้ตาย..ฉันไปเอง"

ถามว่า "อาการโรคที่จะต้องตาย มันเป็นโรคอะไร?"

แกบอกว่า "ต้องเป็นโรคไม่ตรงกับหมอพิสูจน์" หมออาจพิสูจน์ตามตำรา ตามวิชาความรู้ ถ้าไปไหนไม่รอดก็บอกหัวใจวาย คนที่หัวใจไม่วายไม่ตายหรอก

ก็เลยถามว่า "ไม่ตายเอง..หมายความว่าอย่างไร?"

แกบอกว่าอย่างนี้ คืนแรกก่อนจะตายแกไปเยี่ยมศพน้องชาย น้องชายตาย เมื่อเห็นศพก็มีความรู้สึกว่า น้องของเราเกิดทีหลังเราเขายังตาย แล้วเราล่ะ ชีวิตของเราก็ต้องตายเหมือนกัน ตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่แน่

ความตายจะมาเมื่อไรก็ได้ มันไม่เลือกนะ แกก็มานั่งนึกถึงตัวแก แกเจ็บตา แกคิดถึงร่างกายของแก ร่างกายก็ไม่ดี ไม่ปกติ ถ้ามันจะตายก็เรื่องของความตายมาถึง

ทีนี้ต่อมาขณะเดินจงกรม เดิมไปเดินมา เดินมาเดินไป ลูกสาวบอกขณะเดินจงกรม เด็กเข้าไปมองแกไม่เห็น คือว่าจิตกำลังตั้งอยู่ในอารมณ์ฌาน คือจิตไม่สนใจอะไร จิตไม่ต้องการจะมองใครเวลานั้น จิตตั้งจุดเดียวคือหวังพระนิพพาน คนนี้เจอะหน้าทีไร บอกต้องการนิพพาน เคยไปถามฉันที่วัด แกชี้มือไปข้างบน ถาม

"ฉันจะขึ้นไปข้างบนได้ไหม?" ไอ้กุฏิฉันมัน ๒ ชั้น ถาม

"เจ๊จะขึ้นไปทำไมชั้นบน?" บอก

"ไม่ช่าย...จะขึ้นไปบงโน้ง..!" บนโน้นคือนิพพาน

หลังจากตอนเช้าเดินจงกรมแล้ว ตอนสายก็เอนตัวลงนอนพักผ่อน พอพักผ่อนไปจิตมันเป็นสุขมาก มีปีติมาก อะไรต่ออะไรมันเกิดให้เห็นเยอะ เต็มจักรวาลไปหมด สวยสดงดงามบอกไม่ถูก เทวดาบ้าง พรหมบ้าง นางฟ้าบ้าง พระอริยะบ้าง เห็นไปหมดทุกชั้น แกบอกอย่างนั้น

พบกับท่านสองลุง

นี่คนจะตายบุญมาก สังเกตจะเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ คนที่จะตายถ้ามีบุญเข้าสนองจะเป็นแบบนี้ทุกคน เวลานั้นแกบอกว่ามีปีติมาก ก็มีท่านผู้มีเกียรติ ๒ ท่าน คือ ๒ ลุง "ท่านพระยายมราช" กับ "ท่านนายบัญชี" ท่านมา

ท่านถามว่า "เอ็งจะอยู่ต่อไป หรือว่าจะตายวันนี้ หรือจะไปวันนี้ ?"

ท่านก็เปิดบัญชีบอกว่า "ถ้าเอ็งจะอยู่ต่อไปยับยั้งใจไว้แค่นี้นะ อีกนิดหนึ่งไว้ต่อปีที่ ๑๒ เอ็งจะอยู่ต่อไปได้ ๑๒ ปี หากว่าเอ็งจะไปวันนี้ ขยับใจไว้นิดหนึ่งจะถึงจุดนี้"

เจ้าของร่างกายถามว่า "ถ้าฉันอยู่ร่างกายจะเป็นอย่างไร" เวลานี้แกก็เบื่อร่างกายเต็มที เดี๋ยวป่วยๆ คนก็ไม่แก่สาวน้อยแล้ว ๗๐ กว่า คือไม่มีความแก่แล้วมีแต่หง่อม

ลุงก็บอกว่า "ร่างกายก็มีสภาพแบบนี้ ดีบ้างไม่ดีบ้าง" แล้วลุงก็บอกว่า

"บ้านเอ็งหลังนี้นะ" บอกมันสวยสดงดงาม พอชี้ให้ดูมันใกล้เหลือเกิน บ้านมีเยอะแยะ วิมานก็เยอะแยะ บ้านของแกมันสวย ท่านบอกว่า

"ออกจากร่างกายวันนี้ ร่างกายจะเป็นแบบนี้" เห็นเลย แกก็เลยตัดสินใจว่าไปดีกว่า ไปแล้วมีความสุข

พอตัดสินใจไปดีกว่า ก็ขยับจิตออกนิดหนึ่ง แค่ ๒ นาทีก็ถึง ถึงแล้วจิตก็ออกจากร่าง จิตออกจากร่างตัวก็นอนเฉย กว่าลูกสาวจะไปเห็นก็ ๕ โมงเย็น เห็นว่าแม่นอนสายเกินไป ก็เข้าไปปลุก ตัวแข็งแล้ว เลยถามว่า

"ตอนที่ไปเอง..หมายความว่าอย่างไร" บอก
"ฉันออกไปเอง ไม่ได้ป่วยตาย" ถามว่า

"ออกไปแล้วมันเป็นอย่างไรต่อไป" แกบอกว่า
"เมื่อจิตออกจากร่างแล้ว ร่างกายค่อยๆ ลดตัวลง ปอดทำงานน้อยลงๆ แล้วก็ดับไปเอง"

เป็นอันว่า ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วย จิตขยับนิดเดียว ไปถึงจุดนั้นก็ไม่ยาก คือจิตไม่ต้องการทุกอย่าง ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องนึกอะไร ไม่ต้องการร่างกายอย่างเดียว การเกิดไม่ต้องการอีกเท่านั้นแหละ การทำพระกรรมฐาน สิ่งที่ต้องการง่ายๆ ก็คือ

มรณานุสติกรรมฐาน ให้มีความรู้สึกตามความจริงว่า ร่างกายจะต้องตาย นึกไว้เสมอ
ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
มีศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ ก็มีเท่านี้ อันดับแรกของพระนิพพาน ถ้าเข้าจุดนี้ได้ก็เข้าใจไม่ยากนิพพาน คือมีเริ่มต้นแค่นี้ ทำให้ได้ แค่นี้ก็หวังนิพพานได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์.."


......เป็นอันว่า ข้อเขียนของหลวงพ่อในหนังสือ จันทนานุสรณ์ และเกร็ดความรู้ที่นำมาย้อนกันอีกครั้ง ก็จบลงเพียงแค่นี้ คิดว่าน่ามีประโยชน์ต่อนักปฏิบัติรุ่นต่อมาเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นบุคคลตัวอย่าง หรือเป็นแบบฉบับในการทำอารมณ์เพื่อหวังพระนิพพานได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะบางท่านอาจจะยังไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่อได้อ่านข้อเขียนเหล่านี้ ก็จะเกิดกำลังใจ เกิดความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น ซึ่งผู้หมายเหตุยังมีเกร็ดเล็กๆ น้อยเสริม เพื่อเป็นการจุดประกายให้ท่านผู้อ่านได้เกิดความวิริยะอุตสาหะยิ่งขึ้น

ย้อนไปตอนก่อนที่เจ๊จันทนาจะเสียชีวิตหลายปี ในตอนที่หลวงพ่อเพิ่งเริ่มฝึกมโนมยิทธิกันใหม่ๆ (เริ่มฝึกประมาณปี ๒๕๒๑) ใครๆ ก็ฝึกกันได้ แต่บางคนฝึกแล้วหลายครั้งจึงจะได้

มีการฝึกทั้งที่วัดท่าซุงและบ้านสายลม คราวใดที่หลวงพ่อไปบ้านสายลม เจ๊จันทนาจะไปกราบหลวงพ่อแทบทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ๊เข้าไปกราบหลวงพ่อใกล้ๆ แล้วปรารภเรื่องการฝึกมโนมยิทธิว่า

"...อั๊วยังไปไม่ล่าย.." (ฉันยังไปไม่ได้)

หลวงพ่อท่านยิ้มแล้วแนะนำสั้นๆ ว่า "...พี่ไปอยู่ที่ไหน..เราก็ไปอยู่ที่นั่น..!"

เมื่อเจ๊จันทนาได้ฟังคำสอนแค่สั้นๆ เพียงนิดเดียว ต่อมาอีกหลายปีเจ๊ก็ยังสามารถทำจิตไปนิพพานได้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ฝึกมโนมยิทธิเหมือนคนอื่นๆ ซึ่งอยากจะขอขยายความคำพูดของหลวงพ่อเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยว่า

คำว่า "พี่" หลวงพ่อหมายถึง "ท่านแม่ศรี" ท่านบอกว่า "เจ๊จันทนา" เคยเป็นน้องสาวของท่านแม่ศรีมาหลายชาติแล้ว (เรื่องนี้ผู้เขียนได้ยินด้วยตนเอง)

อานิสงส์ถวายโคมไฟระย้า


(ขอบคุณภาพจาก tpkcdn.com)

อนึ่ง ในขณะที่จิตจะออกจากร่างนั้น หลวงพ่อบอกว่า เจ๊จันทนาออกไปรัศมีกายสว่างสวยงามมาก สวยกว่าท่านแม่ศรีเสียอีก เพราะอานิสงส์ถวาย โคมไฟระย้า ภายในวิหารร้อยเมตรนั่นเอง

สมัยก่อนหลวงพ่อจะจ้างช่างไฟไว้ประจำภายในวัด ต่อมามีข่าวเรื่องเจ๊จันทนาตายแล้วสว่างกว่าท่านแม่ศรีนี่แหละ จึงเป็นเหตุให้หลวงพี่ หลวงน้าทั้งหลายภายในวัด หันมาเป็นช่างไฟกันหลายรูป ฝ่ายฆราวาสก็ร่วมทำบุญค่ากระแสไฟกัน โดยเฉพาะระหว่างนั้น หลวงพ่อกำลังซื้อเครื่องปั่นไฟมาใช้ในวัดหลายเครื่อง

ปรากฏว่าทั้งพระและฆราวาสร่วมกันทำบุญเต็มที่ เมื่อพระบางรูปไปเป็นช่างไฟกันแล้ว ภายหลังหลวงพ่อสั่งให้พระทำงานแทน แล้วเลิกจ้างช่างไฟตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงขอนำรายละเอียดมาเล่ากันอีกครั้ง จากหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก เล่มที่ ๕"

ช่างไฟจำเป็น

.....ตามปกติผู้เขียนไม่เคยมีความรู้ในทางช่างไฟฟ้ามาก่อน แต่สาเหตุที่จะต้องมาเป็น "ช่างไฟจำเป็น" นั้น ก็เพราะการตายของ "เจ๊จันทนา" เป็นเหตุ โดยในปลายเดือน พฤษภาคม ๒๕๓๒ หลังจากทราบข่าวการเสียชีวิตแล้ว มีผู้มาเล่าให้ฟังว่า

หลวงพ่อได้บอกไว้ที่บ้านสายลมว่า เจ๊จันทนาสามารถไปนิพพานได้ ขณะที่จิตออกไปจากร่างกายนั้น มีรัศมีกายสวยสว่างมาก ด้วยอานิสงส์ที่ได้ถวายโคมไฟระย้าไว้ภายในมหาวิหาร ๑๐๐ เมตรนั่นเอง

เรื่องนี้ทุกคนคงจะทราบดี บางคนที่ได้มโนมยิทธิก็ยืนยันว่าเป็นจริงตามนั้น ส่วนพระบางองค์ ท่านปรารภว่า เราเป็นพระคงจะไม่มีทุนพอที่จะทำให้เหมือนเขาได้ ถึงกับคิดกันว่า

การที่โคมไฟระย้าจะสว่างขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยเครื่องปั่นไฟฟ้า บางองค์ท่านก็บอกว่า เครื่องปั่นไฟฟ้าถ้าไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ไม่สามารถทำงานได้ รวมความว่าต่างองค์ต่างหาวิธีตามที่กล่าวมานี้

ส่วนผู้เขียนก็ได้ร่วมทำบุญทุกอย่างเหมือนกัน แต่ยังไม่จุใจจึงคิดในใจว่า ถ้าเราได้มีโอกาสทำด้วยแรงกาย เช่นเดินสายไฟด้วยก็จะดี จะได้มีอานิสงส์ในด้านแสงสว่างยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้หวังอะไร จึงมิได้คุยให้ใครฟังเลย เพราะว่าในขณะนั้น ทางวัดได้ว่าจ้างช่างไฟไว้ประจำ และทำกันมานานนับสิบปีแล้ว เราคงจะไม่มีโอกาสเสียแล้ว หลังจากที่คิดไว้ในใจอยู่ไม่นาน

วันหนึ่ง ผู้เขียนก็ได้ทราบข่าวจาก หลวงพี่พระใบฎีกาประทีป มาบอกว่า

"...หลวงพ่อให้พระเดินสายไฟ..."

ผู้เขียนได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสตามที่คิดไว้ อีกทั้งไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ ตามเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว และรู้สึกฉงนใจเป็นอย่างมาก ที่เรื่องนี้เราคิดไว้แต่เพียงในใจเท่านั้น ไม่เคยปรารภกับใครในเรื่องนี้เลย

ดังนั้น เมื่อท่านเปิดโอกาสให้เช่นนี้ ผู้เขียนจึงได้ถือโอกาสนี้ไปหัดเดินสายไฟรอบทางเดินวิหาร ๑๐๐ เมตร และที่อาคาร ๒๕ ไร่ โดยเริ่มงานในช่วงเข้าพรรษาปี ๒๕๓๒ หลังจากนั้นทางวัดก็มิได้จ้างช่างไฟไว้เลย โดยให้พระภายในวัดทำแทนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาอีกหลายปี...


ถวายสังฆทานเพราะนางฟ้า

.....เหตุเกิดต้นเดือนกันยายน ปี พ.ศ.๒๕๓๓ เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปที่บ้านสายลม หลังจากหลวงพ่อสอนกรรมฐานประจำเดือนแล้ว ในตอนเช้าของวันอังคารที่จะเดินทางกลับวัด

ขณะที่พระกำลังนั่งฉันภัตตาหารเช้าอยู่ภายในบ้านท่านเจ้ากรมเสริม คุณปรุง ตุงคะเศรณี ได้ลงมาจากห้องของหลวงพ่อ ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านฉันเสร็จแล้ว ได้มาเล่าให้พระที่กำลังนั่งฉันฟังว่า

ในตอนกลางคืนของวันจันทร์ หลังจากหลวงพ่อสอนกรรมฐานเสร็จแล้ว ก็มีการถวายสังฆทาน ก่อนที่จะมีการถามตอบปัญหาธรรมต่อไป ปรากฏว่ามีผู้หญิงสาวคนหนึ่งใส่ชุดขาว หิ้วของสังฆทานเข้ามาถวายหลวงพ่อ

หลวงพ่อท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในขณะนั้นท่านมองเห็นผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามาแต่ไกล ก็มีความสงสัย จึงคิดว่าเป็นท่านแม่ศรี หรือเป็นเจ๊จันทนา (เวลานั้นเจ๊เสียชีวิตแล้ว) แต่ทว่าท่านแม่ศรีและเจ๊จันทนา ก็ยังอยู่ข้าง ๆ ท่าน ในเวลานั้นใกล้ที่จะถามปัญหากันแล้ว คนที่ถวายสังฆทานยังเดินมาเรื่อย ๆ แต่ไม่มาก

ในขณะที่หลวงพ่อนั่งก้มหน้ารับสังฆทาน ผู้หญิงคนนั้นก็เดินเข้ามาถวาย เมื่อเธอถวายแล้วก็หมุนตัวเดินตามคนอื่นออกไป หลวงพ่อแหงนหน้าขึ้นมาจะมอง ปรากฏว่าไม่เห็นตัวเสียแล้ว

รุ่งขึ้นเช้าของวันอังคาร หลวงพ่อกำลังจะเข้าห้องน้ำ ท่านย่ามาถามหลวงพ่อว่า

"รู้ไหมว่าคนเมื่อคืนนี้เป็นใคร?" เมื่อหลวงพ่อตอบว่าไม่รู้ ท่านย่าจีงบอกว่า

"เธอเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กำลังจะตัดไปนิพพานเลย แต่ขาด "ทานบารมี" อยู่นิดหน่อย จึงได้ลงมาถวายสังฆทานกับท่าน..."

เรื่องนี้ผู้เขียนก็ได้สอบถาม ท่านพระครูสมุห์อาจินต์ สมัยนั้น ซึ่งในเวลานั้นนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อ ท่านพระครูบอกว่าเห็นเหมือนกัน เป็นผู้หญิงสาวหน้าตาดีใส่ชุดขาว โยมปรุงเป็นผู้เล่าถึงกับบอกว่า ต่อไปถ้าผมมาบ้านสายลมทุกเดือน ผมจะต้องถวายสังฆทานทุกครั้ง หลังจากหลวงพ่อออกจาสมาบัติแล้ว ซึ่งรวมทั้งผู้เขียนเองด้วย บางทีก็ฝากเขาเข้าไป

ด้วยคิดว่า นางฟ้าท่านมีใจเป็นทิพย์ ท่านต้องรู้วาระดีว่า เวลาไหนควรจะทำบุญแล้วได้อานิสงส์มาก ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ของมาก จะเป็นของน้อยหรือของมากไม่สำคัญ ขอให้ทำบ่อย ๆ ให้ถูกกาลเวลา ก็จะได้อานิสงส์มาก เช่นเดียวกับท่านเป็นตัวอย่าง

ผู้เขียนถือเรื่องนี้เป็นเครื่องเตือนใจ โดยคิดว่า ท่านเป็นนางฟ้ายังอุตส่าห์ย่องมาทำบุญได้ เราเป็นคนทั้งทียังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสสร้างความดี บางทีอาจจะมีมากกว่าท่านก็ได้ ทำไมถึงจะต้องปล่อยโอกาสให้พลาดไปเช่นนี้ ใช่ไหมล่ะ...ท่านผู้อ่าน..!

....นี่คือเกร็ดย่อยๆ เรื่องของ เจ๊จันทนา วีระผล ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านรุ่นหลัง จะได้ถือเป็นแบบอย่าง การทำความดีในพระพุทธศาสนานั้น นับว่ามีอานิสงส์สูงค่าหาประมาณมิได้ แล้วแต่เราจะขี้เกียจหรือขยันหมั่นทำความดี ตายไปแล้วก็จะไม่เสียดายเวลา สำหรับชีวิตที่เกิดมานั้น พวกเราต้องถือว่าได้เปรียบ เพราะมีบุคคลตัวอย่างไว้แล้วนั่นเอง...สวัสดี.

(โปรดติดตามบุคคลตัวอย่าง พ.ญ.วัชรี หิรัญยูปกรณ์ ต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 19/7/21 at 10:30 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top