Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 28/7/17 at 14:41 [ QUOTE ]

(ตอน..เฉลยปมปริศนา "บั้งไฟพญานาค") พญาศรีสุทโธ แห่งคำชะโนด กับ "ตำนานพญานาค" ที่ถูกลืม


สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

[01]
ตอนที่ ๑ ตำนานต้นชะโนด
[02] ตอนที่ ๒ พญานาคฝั่งไทยและลาว
[03] ตอนที่ ๓ ชาติตระกูลของพญานาค
[04] ตอนที่ ๔ พญานาคขอบวช
[05] ตอนที่ ๕ พญานาคมีจริงหรือไม่ ?
[06] ตอนที่ ๖ พญานาคในพระไตรปิฎก
[07] ตอนที่ ๗ บั้งไฟพญานาค...วันออกพรรษา
[08] ตอนที่ ๘ 7 สถานที่ในตำนาน...ตามรอยพญานาค
[09] ตอนที่ ๙ 7 จุดชม..บั้งไฟพญานาค

[10] ตอนที่ ๑๐ เฉลยปมปริศนา "บั้งไฟพญานาค"


พญาศรีสุทโธ แห่งคำชะโนด
กับ "ตำนานพญานาค" ที่ถูกลืม


...ในสมัยปัจจุบันนี้ เมื่อเอ่ยถึง พญาศรีสุทโธนาคราช แห่งคำชะโนด อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ใครๆ ก็รู้จักทั้งนั้น เพราะระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีมานี้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก โดยเฉพาะมีบุคคลสำคัญอย่างเช่น ดาราสาว ๒ นางเอกดัง “นุ่น วรนุช และ เจี๊ยบ โสภิตนภา” ก็ไปบวงสรวงเพื่อเสริมดวงชะตา แม้นักร้อง "น้องริต้า" ก็มาร่วมรำถวายเป็นปีที่ ๓ แล้ว ยิ่ง "หมอดู" ที่มีชื่อเสียงแนะนำด้วยแล้วก็ยิ่งระบือไปไกล



“หมอลักษณ์” ชี้ปี 2560 - 2565 เป็นปีแห่งพญานาคราช ประทานพร

.....หมอดูฟันธงชื่อดัง "อ.ลักษณ์ เรขานิเทศ" ได้เผยว่า มหามงคลแห่งปี "พญานาคราชประทานพร" ปีพุทธศักราช 2560 - 2565 ให้สร้างบุญสัมพันธ์ แล้วจะโชคดี สร้างบุญสัมพันธ์กับพญานาคราช ในวัดที่เกี่ยวข้องกับ พ่อปู่ศรีสุทโธนาคราช โดยตรง ที่วัดคำชะโนด

ก่อนเข้าสักการะ ถวายบุญ และ ขอพรกับปู่ศรีสุทโธ ในคำชะโนด แล้วอุทิศบุญถวายปู่ศรีสุทโธ และพญานาคราชทุกหมู่เหล่า เพื่อเป็นบุญสัมพันธ์ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต


ที่มา - horoscope.sanook.com/111273/

แต่งเพลง “คู่คอง” ประกอบละคร "นาคี"


“ปู่ศรีสุทโธ ” คือใคร ทำไมถึงได้มาเข้าฝัน “ก้อง ห้วยไร่” ให้แต่งเพลง “คู่คอง” จนทะยานลิ่วกว่า 11 ล้านวิวแล้ว

.....ชั่วโมงนี้ใครไม่รู้จักเพลงประกอบละคร "นาคี" อย่าง “คู่คอง” หมายความว่า คู่ที่รอคอยกัน ที่ก้องประกาศศักดาการประพันธ์เพลง อย่างละเมียดละไม จนหลายๆ คนเปิดฟังในยูทูปเป็นร้อยๆ รอบ

โดยทราบมาว่าก้องแต่งเพลงนี้ในช่วงกลางดึกของคืนหนึ่ง หลังจาก "ปู่ศรีสุทโธ" ได้มาเข้าฝันว่า สัญญาอะไรกับใครไว้ทำให้สำเร็จ และก้องก็แต่งรวดเดียว 3 ชั่วโมงจนเสร็จ


ที่มา - www.khaozaza.com/35721

.....ผู้เขียนได้อารัมภบทมาพอสมควร เพราะส่วนใหญ่ก็ทราบเรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว แต่ก็อยากจะนำ "ตำนานพญานาคที่ถูกลืม" คือไม่มีชื่อพญานาคท่านอื่นๆ ที่มีความสำคัญเช่นกับ "ท่านพญาศรีสุทโธ"

โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่อารักขา "รอยพระพุทธบาท" ตลอดแนวลุ่มแม่น้ำโขง โดยมี "บั้งไฟพญานาค" ขึ้นตรงกับตำแหน่งนั้นๆ ซึ่งจะนำมาเล่าภายหลังจนถึง "วันออกพรรษา" ตอนนี้ขอนำตำนานที่เว็บไซด์ต่างๆ เล่าไว้มาให้อ่านกันก่อน....

ตำนานต้นชะโนด ต้นไม้แห่งสวรรค์ มีที่เดียวในโลก


.....จนมีกระเเสถามว่า "พญาศรีสุทโธ" คือใคร วันนี้ผู้เขียนจะขอรวบรวมประวัติโดยย่อของ "พญาศรีสุทโธ" มาให้ได้รู้กันว่าท่านเป็นใคร และคำชะโนดนั้นคืออะไร จากเว็บไซด์ทั้งหลายที่ลงประวัติเอาไว้
(แล้วผู้เขียนจะมาอธิบายทีหลังว่า ประวัติที่แท้จริงเป็นอย่างไร)

สถานที่ลึกลับดินแดนนาคา เกาะประหลาด ป่าอาถรรพณ์ ณ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานผีจ้างหนังอันลือลั่น เกาะประหลาดแห่งนี้ ชาวบ้านบอกว่า สามารถยกตัวลอยได้ตามสภาพของน้ำขึ้นน้ำลง ยามน้ำขึ้นเกาะก็ลอยขึ้นด้วยน้ำท่วมไม่ถึงแต่อย่างใด แต่ล่าสุดกลับมีข่าวออกมาว่า เกาะชะโนดน้ำท่วม !!! ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นเพราะสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น ทำลายระบบนิเวศน์ต่างๆ ทำให้การระบายน้ำออกจากเกาะเป็นไปได้ยาก

เคยมีนักประดาน้ำลงไปสำรวจพบว่าใต้เกาะ มีรากไม้หนาแน่นเป็นจำนวนมาก แต่เข้าไปไม่ถึงใจกลางของเกาะเพราะถูกรากไม้เหนี่ยวรั้งตัวไว้ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าใจกลางใต้เกาะเป็นประตูสู่เมืองบาดาลนั่นเอง

ป่าคำชะโนด มีข้อห้ามอยู่ว่า หากใครไปเยือนต้องถอดรองเท้า ถอดหมวก ก่อนเข้าไปเดินบนเกาะ ห้ามพูดจาหยาบคายและห้ามนำของจากป่าออกไปเด็ดขาด ซึ่งนักวิชาการถือว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีความน่าสนใจตรงที่ สามารถทำให้คนเชื่อและอยู่ในกรอบที่บรรพชนตั้งไว้ได้อย่างดี

ส่วนเรื่องที่ฮือฮามากเมื่อหลายสิบปีก่อน ถึงขั้นเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ นั่นคือเรื่องราวของ “ผีจ้างหนัง” โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ เมื่อปี 2532 มีคณะหนังกลางแปลงได้รับว่าจ้างให้ไปจ้างหนังที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งด้วยเงิน 4 พันบาท โดยมีข้อแม้ว่าต้องฉายหนังให้จบก่อนตี 4 และต้องกลับออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง

ตอนออกจากหมู่บ้านห้ามหันหลังไปมอง ซึ่งพอไปถึงวันฉายก็มีเหตุการณ์แปลก ๆ คือ ตอนฉายแรก ๆ ไม่มีคนเลย แม้แต่ร้านรวงที่ต้องมาตั้งแผงขายของก็ไม่มี

จนกระทั่ง 3 ทุ่มก็มีผู้หญิงนุ่งชุดขาว และ ผู้ชายนุ่งผ้าสีดำมาดูหนัง นั่งกันสงบเรียบร้อย ฉายหนังสนุกแค่ไหน ตลกแค่ไหนก็ไม่มีเสียง ซึ่งพอคณะออกจากที่ฉายในตอนรุ่งเช้า ได้แวะซื้อของที่หมู่บ้านข้างทาง ชาวบ้านได้ถามว่าไปฉายที่ไหนมา จึงได้ตอบไปว่าที่หมู่บ้าน แต่ชาวบ้านยืนยันว่าตรงนั้นเป็นดงป่าไม่มีคนอยู่ คนฉายก็เพิ่งรู้ว่าบริเวณดังกล่าวคือป่าคำชะโนด และเงินที่ได้รับว่าจ้างมาก็เป็นใบไม้

โดยมีรายการย้อนรอย ทางช่อง ITV เคยลงพื้นที่ทำเป็นสกู๊ปสัมภาษณ์คณะที่ไปทำการฉายหนังจริงๆ ซึ่งเจ้าของคณะยืนยันว่า เรื่องนี้มาจากลูกน้องที่ไปฉายหนังในพื้นที่ดังกล่าว แต่เงินนั้นได้มาจริง ๆ ไม่ใช่ใบไม้แต่อย่างใดตามที่ร่ำลือ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นพนักงานฉายหนังทั้งหมดที่ไปในคราวนั้นได้ลาออกกันหมด


.....ป่าคำชะโนด หรือ เกาะคำชะโนด ตั้งอยู่ใน อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นเกาะกลางน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งต้นชะโนดนี้เป็นพืชประเภทเดียวกับปาล์ม ความสูงของต้นประมาณ 20 เมตร มีใบเหมือนใบตาล ลำต้นเหมือนต้นมะพร้าว ลูกเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายหมาก

ภายในป่าชะโนดยัง มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธ์อยู่ตรงกลางเกาะ เรียกว่า "บ่อคำชะโนด" เป็นน้ำใต้ดินที่พุ่งไหลซึมตลอดเวลา ทางจังหวัดได้เลือกน้ำจากบ่อนี้ไปร่วมในพิธีสำคัญเสมอ นอกจากนี้ยังมี "ศาลเจ้าพ่อพระยาศรีสุทโธ" ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือในความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง

ตามเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เป็นพญานาคราชที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาล และใช้เมืองคำชะโนดแห่งนี้ เป็นที่ขึ้นลงติดต่อระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์

วังนาคินทร์คำชะโนด หรือชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "เมืองชะโนด" สถานที่ดังกล่าวตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อของตำบลวังทอง ตำลบบ้านม่วง และ ตำบลบ้านจันทร์ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี


ตำนาน พญาศรีสุทโธ และ สุวรรณนาค

.....วังนาคินทร์คำชะโนด หรือ เมืองคำชะโนด มีเรื่องเล่ากันมาว่า เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ เป็นพญานาค ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาคเช่นเดียวกันปกครองมีชื่อว่า สุวรรณนาค และมีบริวารฝ่ายละ 5,000 เช่นเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกัน

ด้วยความรักความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีอาหารการกินก็แบ่งกันกิน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนตายกันตลอดมา กระทั่งวันหนึ่งเกิดทะเลาะกันด้วยเรื่องเข้าใจผิด รบรากันใหญ่โตจนเทวดาใหญ่น้อยพลอยเดือดร้อนไปทั่ว

พระอินทร์จึงได้ลงไปห้ามทัพ โดยให้สร้างแม่น้ำแข่งกันคนละสาย สรุปว่าพญานาคศรีสุทโธชนะ เพราะสร้างแม่น้ำโขงได้เสร็จก่อน ได้รางวัลเป็นปลาบึกอยู่ในแม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก

ผู้ชนะแผลงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาค ถ้าจะอยู่บนโลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้ จึงขอทางขึ้นลงระหว่างบาดาลและโลกมนุษย์เอาไว้ 3 แห่ง และทูลถามว่าจะให้ครอบครองอยู่ตรงแห่งไหนแน่นอน พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีทางพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ

1. ธาตุหลวง นครเวียงจันทน์
2. หนองคันแท
3. พรหมประกายโลก (คำชะโนด)



สถานที่ 1 และ 2 เป็นทางขึ้นลงสู่เมืองบาดาลของพญานาคเท่านั้น
ส่วนสถานที่ 3 ที่ "พรหมประกายโลก" คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน (ตามตำนานพรหมสร้างโลก พรหมเทวดาลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ หรือผู้ให้กำเนิดมนุษย์ ) ให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเมืองครอบครองเฝ้าอยู่ที่นั้น ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ ลักษณะต้นชะโนดให้เอาต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลมาผสมกัน อย่างละเท่า ๆ กันและให้ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลแก่สุทโธนาค

วันข้างขึ้น 15 วัน พญาสุทโธนาคและบริวาร จะกลายร่างเป็นมนุษย์เรียกชื่อว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ" มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น ส่วนอีก 15 วัน ในข้างแรมให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค เรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ" ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล


.....ผู้เขียนขออธิบายเพิ่มเติมว่า ในประวัติบางแห่งเล่าว่า "หนองคันแท" อยู่บริเวณตอนใต้ของธิเบต ประเทศจีน แต่ผู้เขียนได้ศึกษาแล้ว ธาตุหลวง กับ หนองคันแท เป็นสถานที่เดียวกัน ใน ตำนานพระธาตุพนม เรียกว่า หนองคันแทเสื้อน้ำ "คันแท" ก็คือ "คันนา" มีผีเสื้อน้ำอาศัยอยู่ ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จมากับพระอานนท์ เรื่องนี้จะนำมาเล่าภายหลัง

ตั้งแต่บัดนั้นมาถึงกึ่งพุทธกาล นับแต่ปี พ.ศ. 2500 ถอยหลังไป พี่น้องชาวบ้านม่วง บ้านเมืองไพร บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จะไปพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญประจำปี หรือบุญมหาชาติที่ชาวบ้านเรียกว่า "บุญพระเวท" ทั้งผู้หญิงและผู้ชายอยู่บ่อยครั้ง และบางทีจะเป็นผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอหูก (ฟืม) ไปทอผ้าอยู่เป็นประจำ

อีกเรื่องที่เล่าขานกันคือ นายคำตา ทองสีเหลือง ซึ่งอ้างว่าตนได้เคยไปเมืองบาดาล เพราะเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธได้จัดมีการแข่งเรือ และประกวดชายงามที่เมืองชะโนด

นายคำตา ทองสีเหลือง ซึ่งเป็นชาวบ้านวังทอง ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง ได้บวชอยู่ที่ วัดศิริสุทโธ (วัดโนนตูม) ติดกับเมืองชะโนด นายคำตา ได้เป็นผู้ได้รับคัดเลือกจากเจ้าพ่อพญาศรีสุทโธให้ไปประกวดชายงาม

ญาติพี่น้องรู้เรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับ ก็จับขังไว้จนนายคำตาเกิดความคลุ้มคลั่งอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ ญาติพี่น้องได้ทำการรักษาโดยใช้หมอเวทมนต์ (อีสานเรียกว่าหมอทำ) จัดเวรยามอยู่เฝ้ารักษา

แต่ในที่สุดได้หายไปนาน ประมาณ 6 ชั่วโมง แล้วได้กลับมาและได้เล่าเรื่องเมืองชะโนดให้พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายฟัง ถึงความงามความวิจิตรพิสดารต่าง ๆ ของเมืองบาดาลให้ผู้สนใจฟัง ภายหลัง "พระคำตา" ได้ถึงแก่มรณภาพเมื่อ พ.ศ.2533


ที่มา - www.partiharn.com/contents/148331

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/8/17 at 05:00 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 2 ]
(Update 10 สิงหาคม 2560)


พญานาคฝั่งไทยและลาว


...ผู้เขียนขอนำข้อมูลในเว็บไซด์มาให้อ่านต่อ ขอย้ำให้ผู้อ่านทราบอีกครั้งว่า นี่เป็นข้อมูลที่เผยแพร่กันทั่วไปมีดังต่อไปนี้...
......ตามคำบอกเล่าของ หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ วัดธาตุมหาชัย จังหวัดนครพนม กล่าวว่า ทางฝั่งไทยและฝั่งลาวต่างมี กษัตริย์แห่งนาคราช หรือ "นาคาธิบดี" แยกปกครองดูแล จะทำให้ผู้ที่มีความศรัทธาในองค์พญานาค น่าจะได้รับความรู้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่งว่าพญานาคนั้นเป็นอย่างไร ลองมาศึกษาเกร็ดความรู้จากองค์หลวงปู่ไปพร้อมกัน

.....ฝั่งลาว คือ พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว เป็นพญานาคเจ็ดเศียร

......ฝั่งไทย คือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย เป็นพญานาคหนึ่งเศียร

พญาศรีสุทโธ ท่านชอบจำศีลบำเพ็ญเพียร และปฏิบัติธรรม มีนิสัยอ่อนโยนมีเมตตา ไม่ชอบการต่อสู้ ชอบมาปฏิบัติธรรมที่พระธาตุพนม โดยมอบหมายให้เหล่าพญานาค 6 อำมาตย์ดูแลแทน ในระหว่างที่หลบมาจำศีลภาวนา

หลวงปู่เอ่ยชื่อ 6 อำมาตย์แห่งพญานาคไว้เพียง 3 คือ

1. พญาจิตรนาคราช เป็นพญานาคที่รักสวยรักงาม มีเขตแดนปกครองของตน ตั้งแต่ตาลีฟู ถึงจังหวัดหนองคาย ตามแนวแม่น้ำโขง โดยมีที่สุดแดนอยู่ วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย

2. พญาโสมนาคราช มีเขตแดนปกครอง ตั้งแต่ วัดหินหมากเป้ง มาจนถึง วัดพระธาตุพนม สุดเขตแดนที่ แก่งกะเบา พญาโสมนาคราช มีอุปนิสัยคล้ายพญาศรีสุทโธนาคราช คือชอบปฏิบัติธรรม จึงเป็นที่ไว้วางใจ และโปรดปรานแก่พญาศรีสุทโธนาคราชมากกว่าพญานาคอื่น ๆ

3. พญาชัยยะนาคราช มีเขตแดนจาก แก่งกะเบา เรื่อยไปจนสุดแดนที่ปากแม่น้ำโขงลงทะเลในเขมร พญานาคตนนี้มีฤทธิ์เดชมาก ชอบการรณรงค์ทำสงคราม คือชอบการต่อสู้เป็นนิสัย

ส่วน พญาศรีสัตตนาคราช เป็นใหญ่เหนือพญานาคทั้งปวงในฝั่งลาว เป็นพญานาคที่ทรงฤทธิ์ ท่านเป็นพญานาคที่ชอบจำศีลและประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนพญาศรีสุทโธนาคราช โดยชอบมาที่วัดพระธาตุพนมเหมือนกัน

หลวงปู่คำพันธ์ยังได้กล่าวอีกว่า ส่วนใดที่อยู่ใกล้ต้นน้ำลำธาร หรือ แม่น้ำใหญ่ หากจะจัดให้มีพิธีกรรมอันใดเกิดขึ้น ให้อัญเชิญบอกกล่าวแก่เหล่าพญานาค พิธีกรรมนั้นจะศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง


เกี่ยวกับพญานาคที่ วัดธาตุพนม มีเรื่องราวบันทึกไว้ว่า

.....ในคืนขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ปี พ.ศ.2500 (วันออกพรรษา) คืนนั้นมีฝนตกหนัก นายไกฮวด และภรรยา ได้ลุกขึ้นมารองน้ำฝนไว้ดื่มกินตอนกลางดึก บังเอิญเห็นลำแสงแปลกประหลาดสว่างเป็นลำโต ขนาดต้นตาล 7 ลำแสง และมีสีสันแตกต่างกัน 7 สี สวยงามมาก โดยที่ลำแสงทั้ง 7 พุ่งมาจากฟากฟ้าทิศเหนือ ด้วยลักษณะแข่งกัน คือแซงกันไปแซงกันมา จนพุ่งเข้าซุ้มประตูวัดธาตุพนมแล้วก็หายไป

มีสามเณรรูปหนึ่งในขณะนั้นประทับทรงบอก "นายไกฮวด" และภรรยาว่า ลำแสงทั้ง 7 คือ พญานาคมาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย มาเพื่อปกปักรักษาพระธาตุพนม และช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ มีนามว่า

1. พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน 2. พญาศีลวุฒินาโค 3. พญาหิริวุฒนาโค 4. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค 5. พญาสัจจะวุฒินาโค 6. พญาจาคะวุฒนาโค 7. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค

(แต่หลวงปู่คำพันธ์บอกว่า นั่นเป็น "พญาศรีสุทโธนาคราช" และอำมาตย์ทั้ง 6 แสดงฤทธิ์ ในโอกาสที่ท่านได้บอกกล่าวเรื่องพญานาคนี้ ท่านจึงได้กล่าวพยากรณ์ว่า)

"...พญานาคจะช่วยผู้ที่บูชาศรัทธาในพญานาคให้ผ่านพ้นอันตรายจากภัยพิบัติ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว 3 ปี หลังหลวงปู่ตาย 3 ปี บ้านเมืองจะเริ่มวุ่นวายเดือดร้อน ให้พวกเจ้าศรัทธาและบูชาพญานาค ก็จะพ้นวิกฤตินั้นได้..”

ท่านบอกว่าจงสังเกตดูให้ดี จะเห็นความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏขึ้นเรื่อยๆ หลวงปู่คำพันธ์มรณภาพ เมื่อ 24 พฤศจิกายน 2546

พยากรณ์นี้สอดคล้องกับพยากรณ์โบราณของ เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (พระครูขี้หอม) ผู้บูรณะพระธาตุพนม ระหว่างปี พ.ศ. 2233 – 2235

“ปี 2555 เมืองไทยจะเกิดวิกฤติ จนถึงขั้นอาจตกต่ำลงไป”

ยายชีนวล วัดภูฆ้องคำ อายุ 90 กว่าปี อดีตเพื่อนสำเร็จตัน (ศิษย์สำเร็จลุน) ได้ย้ำพยากรณ์นี้ในปี 2549 ว่า

"...เริ่มแล้วนะ เค้าของความวุ่นวายเดือดร้อนจะปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนอีก 5 ปีข้างหน้า, ถ้าเป็นผู้อยู่ในศีลธรรมจะปลอดภัย..."


ที่มา - www.khaozaza.com/35721

.....เมื่ออ่านข้อมูลมาถึงตอนนี้ จะเป็นเหตุการร์ที่ผ่านมาไม่นานนัก นับตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ บวกกับอีก ๕ ปี เป็นปี พ.ศ.๒๕๕๔ ขณะที่ผู้เขียนกำลังบรรยายอยู่นี่ก็เป็นปี พ.ศ.๒๕๖๐ กาลเวลาจึงเป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี

(โปรดติดตามตอน "ตระกูลของพญานาค" ต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/8/17 at 05:13 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 3 ]
(Update 17 สิงหาคม 2560)


ชาติตระกูลของพญานาค


...พญานาคเป็นเจ้าแห่งงู แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ถึงกระนั้นก็จัดอยู่ในฝ่ายสุคติภูมิ สถิตอยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พญานาคแบ่งออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ

1. ตระกูล วิรูปักขะ พญานาคตระกูลสีทอง
2. ตระกูล เอราปะถะ พญานาคตระกูลสีเขียว
3. ตระกูล ฉัพพะยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง
4. ตระกูล กัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ

การกำเนิดของสัตว์โลก มี 4 แบบ คือ

1. โอปะปาติกะ เกิดแล้วโตทันที ผุดเกิดสำเร็จเป็นตัวเป็นตน เช่น พรหม เทวดา เปรต หรือสัตว์นรกทั้งปวง
2. สังเสทะชะ เกิดในสิ่งที่หมักหมมในเปลือกในตม ในที่ชื้นแฉะ หรือด้วยเหงื่อไคล โดยไม่อาศัยฟองไข่ และครรภ์ของมารดา คือเกิดนอกครรภ์ เช่น หนอนหรือเชื้อแบคทีเรีย
3. ชลาพุชะ เกิดจากครรภ์ อย่างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เช่น คนและสัตว์บางประเภท
4. อัณฑะชะ เกิดจากฟองไข่

พญานาคที่เกิดแบบ โอปปาติกะ คือเป็นนาคกึ่่งทิพย์กึ่งสัตว์เดัจฉาน ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่แม่น้ำลำคลอง หนอง บึงต่างๆ ในอากาศ ไปจนถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

พญานาคอยู่ในการปกครองดูแลของ ท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้น "จาตุมหาราชิกา" ด้านทิศตะวันตก เหตุที่เกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ


ผู้เขียนขออธิบาย คำว่า "เหตุที่เกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ" ตามที่คัดลอกมาเขาว่าอย่างนี้นะ แต่เท่าที่พบใน "ธรรมบท" มีพระภิกษุต้องอาบัติด้วยการดึงตะไคร่น้ำให้ขาด แต่ไม่ได้ปลงอาบัติ ขณะที่จะมรณภาพจิตนึกถึงเรื่องนี้ จึงทำให้ไปเกิดเป็นพญานาค ชื่อว่า เอรกปัตตนาคราช

ส่วนคนที่ชอบนอนหลับอยู่เสมอก็เคยเกิดเป็น "พญานาค" เหมือนกัน โดยหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่าไว้ในเรื่อง พระพุทธเจ้าปรารภอุบาสก 5 คน (ประมาณนาทีที่ 6 เป็นต้นไป)


.....นี่ก็เป็นจิตที่กังวลเรื่องอาบัติ และประเภทคนขี้เกียจเอาแต่นอน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราคะแต่อย่างใดเลย จึงขอนำมาเป็นข้อสังเกตจากบทความที่คัดลอกต่อๆ กันมานี้ ซึ่งมีหลายคำที่ผู้เขียนได้แก้ไขให้ถูกต้องแล้ว อ่านเรื่องราวกันต่อไป

สำหรับประเภทของพญานาค นาคแบ่งลำดับชั้นตามหน้าที่ไว้เป็น 4 พวกคือ

1.) นาคสวรรค์ มีหน้าที่เฝ้าวิมานเทพไท้เทวา
2.) นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลมให้ฝน
3.) นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำคลอง, ห้วยหนองคลองบึง ตลอดไปถึงฝั่งทะเล
4.) นาครักษาขุมทรัพย์ มีหน้าที่ดูแลทรัยพ์มีค่าใต้ดิน

บรรดาศัตรูที่เหล่านาคทั้งหลายต่างหวั่นเกรงก็คือ "พญาครุฑ" แต่มีพญานาคที่พญาครุฑไม่สามรถกินเป็นอาหารได้ มีอยู่ 7 จำพวกด้วยกันคือ

1.) พญานาคที่มีชาติกำเนิดที่ประณีตกว่า และภพภูมิสูงส่งกว่าพญาครุฑ
2.) กัมพลสัตรนาคราช
3.) ธรตรัฐนาคราช
4.) พญานาคราชที่อาศัยอยุ่ในมหาสมุทรสีทันดรทั้งเจ็ด
5.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน
6.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในภูเขา
7.) พญานาคราชที่อาศัยอยู่ในวิมาน

พญานาคที่กล่าวมานี้ เป็นพญานาคที่มีปรากฏอยู่ในชาดกทางพุทธศาสนา




พิษของพญานาค

.....พญานาคเป็นพญางู เมื่อนึกถึง "งู" ก็ต้องนึกถึงพิษของงู นาคมีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง, ตะขาบ, คางคก, มด ฯลฯ มีพิษได้

ซึ่งก็ด้วยเหตุที่นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน

ความน่าเกรงขามของพิษพญานาคใน "คัมภีร์ปรมัตถโชติกมหาอภิธรรมมัตถสังหฏีกา ปริเฉทที่ 5" จัดหมู่ของนาคไว้ตามชนิดของพิษแบ่งเป็น 4 จำพวกคือ

1.) กัฏฐะมุข เป็นพญานาคมีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วร่างกายจะแข็งไปหมดทั้งตัว อวัยวะต่างๆ แม้จะยืดหรืองอ หรือเหยียดออกไปไม่ได้ จะปวดทรมานมาก ถ้าไม่มียารักษาจะตาย
2.) ปูติมุข พญานาคนี้มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้ว แผลจะเน่าเปื่อยมีน้ำเหลืองไหลออกมาตลอดเวลา
3.) อัคคิมุข เป็นพญานาคมีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วจะเกิดความร้อนไปทั้งตัว และรอยแผลที่ถูกกัดเป็นริ้วรอยคล้ายถูกไฟไหม้
4.) สัตถะมุข เป็นพญานาคมีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้ว มีอาการเหมือนกับถูกฟ้าผ่า จะตายทันที

(ปราชญ์ผู้รู้บางท่านสันนิษฐานว่า เห็นจะเป็นพวกพญานาคพ่นพิษเป็นไฟคล้ายมังกรของจีนที่พ่นไฟได้)

และยังมีการจำแนกวิธีทำอันตรายต่างกันออกไปถึง 4 วิธี ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า พญานาคที่มีฤทธิ์มากอาจจะเนรมิตกายให้เป็นคนได้ ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นคนได้ แต่จะยังคงลักษณะอาการ 5 อย่าง ที่มีประจำตัวอยู่เสมอ ไม่สามารถทำให้หายไปได้ ลักษณะที่ว่านี้ คือ

1. ขณะเกิด ต้องปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นพญานาค
2. ขณะลอกคราบ ต้องปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นพญานาค
3. ขณะเสพเมถุน อยู่กับนาคด้วยกัน ต้องปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นพญานาค
4. ขณะนอนหลับโดยปราศจากสติ ต้องปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นพญานาค
5. ขณะตาย ต้องปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นพญานาค

พญานาคทั้ง 4 ประเภทนี้ แต่ละประเภทก็ยังมีวิธีทำอันตรายอย่างแปลกประหลาดออกไปได้อีกถึง 4 วิธีคือ

1. ทัฎฐะวิสพญานาค ใช้เขี้ยวพิษขบกัด เมื่อขบกัดใครเข้าแล้วจะเกิดพิษซ่านไปทั้งตัว
2. ทิฎฐะวิสพญานาค ใช้ตามองดูแล้วพ่นพิษออกทางตา
3. ผุฎฐะวิสพญานาค มีพิษไปทั่วร่างกาย เพียงแต่ใช้ร่างกายกระทบเข้า ก็เป็นพิษซ่านออกมาได้
4. วาตะวิสพญานาค ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษออกมา และพิษนั้นจะแผ่ซ่านออกไปทั่วร่างกาย

พญานาคทั้ง 4 ประเภท ต่างก็มีวิธีทำอันตรายได้ 4 ชนิด เมื่อรวมแล้วพญานาค 4 ประเภทนี้ ก็มีวิธีทำอันตรายได้ถึง 16 ชนิด ในวิธีทำอันตราย 16 ชนิดนี้ ชนิดหนึ่งๆ ก็แบ่งวิธีทำอันตรายออกไปได้ถึงอีก 4 ชนิด ดังนี้คือ

1. อาคะตะวิส นะ โฆระวิส มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็วแต่ทว่าไม่รุนแรง
2. โฆระวิส นะ อาคะตะวิส มีพิษแรงมากแต่พิษนั้นแผ่ออกไปอย่างช้าๆ
3. อาคะตะวิส โฆระวิส มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็ว และรุนแรงมาก
4. นะ อาคะตะวิส น โฆระวิส มีพิษแผ่ออกไปช้า แต่ไม่รุนแรง

รวมเป็นวิธีที่จะทำอันตรายได้เป็น 64 ชนิด เมื่อรวมนาคทั้ง 4 พวกแล้ว จะมีพญานาคทั้งสิ้นประมาณ 512 ชนิด และแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภทคือ

1.) กามรูปพญานาค พญานาคที่เสวยกามคุณ
2.) อกามรูปพญานาค พญานาคที่ไม่เสวยกามคุณ

รวมเป็นพญานาค 1024 คำอธิบายที่ระบุถึงพญานาคว่ามี 1024 ชนิดนี้ มีมาใน ขันธวัคคสังยุตต อัฏฐกถานาควรรค ดังกล่าวแล้ว.


(โปรดติดตามตอน "พญานาคขอบวช" ต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/8/17 at 06:18 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 4 ]
(Update 24 สิงหาคม 2560)


พญานาคขอบวช



ขอบคุณภาพ - tnews.co.th

...บุคคลที่ไม่มีการกระทำเป็นอันตรายต่อมรรคผล แต่ก็จัดเข้าประเภทติรัจฉาน ธรรมดาเทวดาทั้งหลายล้วนแต่เป็นบุคคลที่ควรได้มรรคผลด้วยกันทั้งสิ้น แต่จัดเข้าจำพวกติรัจฉานนั้น เพราะบวชไม่ได้ ดังมีสาธกบาลีที่แสดงไว้ว่า

"...ยัสสะ อุปะสัมปะทา ปฏิกขิตตา โส ติรัจฉานะคะโต นามะ...."

ิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ ซึ่งความอุปสมบทแก่บุคคลใด บุคคลนั้นชื่อว่า "ติรัจฉาน" บัณฑิตทั้งหลายพึงทราบว่า เฉพาะเรื่องนี้ บุคคลที่ไม่มีชาติเป็นมนุษย์ ถึงแม้จะเป็นพระอินทร์ก็ตาม ต้องจัดเข้าในประเภทติรัจฉาน

"....พญานาค...บนพื้นฐานของความเชื่อในเรื่องพญานาคนั้น มีพระไตรปิฎกเป็นหลัก ด้วยมีการกล่าวถึงพญานาคอยู่หลายวาระ แม้ผู้ไม่เชื่อในเรื่องพวกนาคก็ยังคงสงบปาก ไม่วิจารณ์เพราะเกรงว่าบางทีพญานาคอาจมีจริง แม้ผู้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาแม้ไม่เชื่อ หรือไม่รู้จักพญานาค ย่อมรู้จัก อัตรายิกธรรม ทุกคน

คำว่า อัตรายิกธรรม คือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ ซึ่งมีอยู่ 8 ประการ อันพระอุปัชฌาย์จะต้องให้พระคู่สวดถามผู้ขอบวช 8 ข้อก่อน คำถาม 1 ใน 8 ประการนั้นคือ


“...ท่านเป็นมนุษย์หรือไม่ ?”

ความจริงเรื่องนี้มีปรากฏชัดเจนในพระไตรปิฎก ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งอึดอัดระอาเกลียดกำเนิดนาค จึงได้มีความดำริว่าด้วยวิธีอะไรหนอ เราจึงจะพ้นจากการกำเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน

ครั้นแล้วได้ดำริต่อไปว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล เป็นผู้ประพฤติธรรม ประพฤติสงบ ประพฤติพรหมจรรย์ กล่าวแต่คำสัตย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม หากเราจะพึงบาชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีเช่นนี้เราก็จะพ้นจากการกำเนิดนาค และกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน

ครั้นแล้วนาคนั้นจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม แล้วเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายขอบรรพชา ภิกษุทั้งหลายจึงให้เขาบรรพชาอุปสมบท

สมัยต่อมา พระนาคนั้นอาศัยอยู่ในวิหารสุดเขตกับภิกษุรูปหนึ่ง ครั้นปัจจุบันสมัยแห่งราตรี ภิกษุรูปนั้นตื่นนอนแล้ว ออกไปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ครั้นภิกษุรูปนั้นออกไปแล้ว พระนาคนั้นก็วางใจจำวัด วิหารทั้งหลังก็เต็มไปด้วยงูขนดยื่นออกไปนอกหน้าต่าง

ครั้นภิกษุรูปนั้นกลับมา ผลักบานประตูด้วยตั้งใจจักเข้าวิหาร ได้เห็นวิหารทั้งหลังเต็มไปด้วยงูเห็นขนดยื่นออกไปทางหน่้าต่าง ก็ตกใจจึงร้องเอะอะขึ้น

ภิกษุทั้งหลายพากันวิ่งเข้าไป แล้วถามภิกษุรูปนั้นว่า “อาวุโส” ท่านร้องเอะอะไปทำไม”
ภิกษุรูปนั้นบอกว่า “อาวุโสทั้งหลาย วิหารนี้ทั้งหลังเต็มไปด้วยงู ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง”

ขณะนั้น พระนาคได้ตื่นเพราะเสียงนั้น แล้วนั่งอยู่บนอาสนะของตน
นาคตอบว่า “ผมเป็นนาคขอรับ”
ภิกษุ “อาวุโส ท่านทำเช่นนั้นเพื่อประสงค์อะไร”

พระนาคนั้นจึงแจ้งเนื้อความแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุได้ทราบ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเหตุที่เป็นเค้ามูลนั้น และเป็นเหตุแรกเกิดได้ทรงประทานพระพุทธโอวาทแก่นาคนั้นว่า

“...พวกเจ้านาคมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดา ไปเถิดเจ้านาค จงไปรักษาอุโบสถในวันที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และที่ ๘ แห่งปักษ์นั้นแหละ ด้วยวิธีนี้เจ้าจักพ้นจากกำเนิดนาค และจักกลับได้อัตภาพเป็นมนุษย์เร็วพลัน”

ครั้นนาคนั้นได้ทราบว่า ตนมีความไม่งอกงามในพระธรรมวินัยนี้เป็นธรรมดาก็เสียใจ หลั่งน้ำตาส่งเสียงดังแล้วหลีกไป คงได้แค่รักษา "อุโบสถศีล" เท่านั้น ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาคมีสองประการนี้ คือ เวลาเสพเมถุนธรรมกับนางนาคผู้มีเชื้อชาติเสมอกัน ๑ เวลาวางใจนอนหลับ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งความปรากฏตามสภาพของนาค ๒ ประการนี้แล”

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสดังนี้แล้ว จึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า "นาค" ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน

ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่นๆ บวชอีกเป็นอันขาด และก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวช จะต้องถาม "ท่านเป็นมนุษย์หรือไม่" ซึ่งเป็นข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ จึงเรียกการบวชนี้ว่า "บวชนาค"

บางทีการที่ทรงประทานอนุญาตถามนาคก่อนบวชเป็นพระภิกษุ อาจด้วยเหตุอีกประการหนึ่งหนุนอยู่ นั่นคือ สมัยอดีตชาติหนึ่งของพระพุทธองค์ ทรงเคยเสวยชาติเป็นพญานาคชื่อว่า "ภูริทัต" รวมถึงพุทธสาวกอีกหลายองค์ ที่มีอดีตชาติเป็นพญานาคอย่างเช่น พระสารีบุตร และ พระอานนนท์ ซึ่งเคยเป็นพญานาคชื่อว่า เทวทัตนาคราช

พญานาคเกี่ยวข้องแน่นแฟ้นและลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนาเช่นนี้ จึงไม่มีปัญหาอะไรกับการประทานนาม "นาค" เอาไว้เป็นเครื่องรำลึกถึงนั่นเอง




อายุของพญานาค

.....อายุของพญานาคไม่แน่นอน บางทีก็อายุยืน บางทีก็อายุสั้น พวกที่มีอายุยืนนั้น อาจจะมีอายุยาวนานเป็นกัลป์ก็ได้ ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกถึง 5 องค์ก็ตาม พญานาคก็คงมีอายุอยู่ เช่น พญากาลนาคราช เป็นต้น

พญากาลนาคราชมีอายุมาตั้งแต่พระกกุสันธะจนถึงพระสมณโคดม และจะมีอายุยืนต่อไปอีกจนถึงพระศรีอาริยเมตไตรย เพื่อรอฟังเสียงถาดที่ลอยลงมารวมกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการเสี่ยงอธิษฐานว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่...สวัสดี


(โปรดติดตามตอน "พญานาคมีจริงหรือไม่" ต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/8/17 at 05:48 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 5 ]
(Update 31 สิงหาคม 2560)


พญานาคมีจริงหรือไม่ ?
บทความโดย : destinygoa


...ผู้เขียนเข้าไปอ่านบทความนี้แล้ว คิดว่าคนไทยมีความเชื่อไม่เหมือนกัน อาจจะลังเลสงสัยในเรื่องนี้ว่า... พญานาคมีจริงหรือไม่ ? คุณ destinygoa จึงเขียนวิเคราะห์ไว้ดังนี้ว่า...

...เมื่อพูดถึงความเป็นพญานาค ต้องรับว่าเกิดจากความเชื่อ ซึ่งยากจะหาข้อบ่งชี้ หรือพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ เปรียบเสมือนเรื่องผี ที่มีทั้งผู้เชื่อว่ามี และไม่เชื่อว่ามี แต่พญานาคก็มีเรื่องราวกล่าวถึงมากมายทั้งในตำรา และคำบอกเล่าของผู้รู้ ผู้เคยสัมผัส

ในที่นี้จะกล่าวถึงการเกิดขึ้นเองอย่างเทวดา พญานาคเป็นชาติภพอีกชั้นหนึ่ง มีความละเอียดและพิเศษกว่าสัตว์โลกหรืองูทั่วไป คือ มีสภาวะเป็นทิพย์

ความเชื่อเรื่องพญานาคในพุทธศาสนามีด้วยกันหลายตำนาน แต่ที่พุทธศาสนิกชนทราบกันดีก็คือ
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็จะมีเรื่องราวของพญานาคเกี่ยวข้องเสมอ และพระสมณโคดมกว่าจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญบารมีมาหลายร้อยชาติ กล่าวคือต้องเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน และพระองค์ก็เคยเสวยพระชาติเป็นพญานาค ๓ ชาติ

และก็ยังมีพญานาคผู้ที่มีจิตเลื่อมใสในบวรพุทธศาสนา คอยอุปฐากพระพุทธองค์อยู่เนืองๆ หรือพญานาคที่มีมิจฉาทิฐิ ที่พระพุทธเจ้าทรงปราบให้คลายความเห็นผิดลง ดังจารึกในพุทธประวัติ

นาค..ตามคติพุทธนั้น ไม่เชิงเป็นเทวดา อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงอมนุษย์หรือกึ่งเทพกึ่งสัตว์ แต่พราหมณ์จะถือว่าเป็นเทวดาแท้ๆ เช่น พญาอนันตนาคราช ที่พระอิศวรสร้างขึ้นจากสายสังวาลก็ถือว่าเป็นเทวดา อาศัยอยู่เมืองบาดาล ซึ่งก็ไม่ได้หมายถึงน้ำ แต่เป็นเมืองที่อยู่ใต้โลกมนุษย์ลงไปอีกชั้นหนึ่ง

ชาวฮินดูถือว่า นาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น "อนันตนาคราช" ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า "นาค" เป็นเทพแห่งน้ำ เช่นปีนี้ นาค ให้น้ำ 1 ตัว แปลว่า น้ำจะมาก จะท่วมที่ทำการเกษตร ไร่นา ถ้าปีไหน นาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อย ตัวเลขนาคให้น้ำจะกลับกันกับเหตุการณ์ เนื่องจาก ถ้านาคให้น้ำ 7 ตัว น้ำจะน้อยเพราะนาคกลืนน้ำไว้

นาคมีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ มีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตใกล้กับคน สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า

ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ "ถลชะ" ที่แปลว่า "เกิดบนบก" จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ "ชลซะ" แปลว่า "เกิดจากน้ำ" จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น

นาค..อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่า เมื่อบนสวรรค์มีเทพอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นสูงๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์

นาค..สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วสมสู่กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลกจนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขึ้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ

ส่วนไทยเราเชื่อว่าพญานาคอาศัยอยู่ในน้ำ ก็คือบาดาลไม่ว่าจะเป็นหนองน้ำ แม่น้ำ หรือมหาสมุทรก็ถือว่าเป็นบาดาลทั้งสิ้น นอกจากจะเรียกบาดาลแล้วก็ยังเรียกว่า นาคโลกหรือนาคพิภพอีกด้วย

ใน สังขปาลชาดก พรรณนาถึงนาคพิภพว่า พื้นเป็นทรายรัตนะ 7 แลเงินทองและแก้วมณีนานาประการ อันหญ้า ฝุ่น ผงหามีไม่ อาณาบริเวณงามราวกะแก้วไพฑูรย์ มีสระโบกขรณี ดาดาษไปด้วยกมลอุบลมีพรรณเป็นเอนก มีน้ำอันใส มีสีอันเขียว สวนมะม่วงน่ารื่นรมย์ดีมีใน 7 ทิศ เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ คือพญานาคตามหลักคติพุทธศาสนา ซึ่งผู้เขียนได้ยกมาแค่บางส่วนเท่านั้น ถ้าจะกล่าวกันโดยทั้งหมดแล้วคุยกันสามวันก็ไม่จบสำหรับเรื่องราวพญานาค

และในปัจจุบันก็เกิดแนวคิดที่ว่า พญานาคนั้นมีจริงหรือไม่ จริงๆ แล้วพญานาคจะมีตัวตนจริงหรือไม่ ? ก็ยังไม่มีผู้ใดหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้

แต่ถ้าตามความเข้าใจของผู้เขียนเองแล้ว ถ้าพญานาคมีจริงก็คงจะไม่ได้มีรูปร่างแปลกพิศดาร เหมือนกับนาคที่อยู่ตามขั้นบันไดของวัดต่างๆ ที่หลายๆ ท่านเห็นกัน แต่น่าจะเป็นเพียงงูใหญ่ที่สามารถแผ่แม่เบี้ยได้อาจจะมีหงอนบ้างแต่ก็คงไม่ใหญ่อะไรมากนัก

ซึ่งเรื่องงูหรือนาคนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ ส่งผลให้เพิ่มบทบาทความสำคัญมากขึ้น จนทำให้มีผู้จินตนาการให้มีรูปร่างและขนาดแปลกประหลาดขึ้นตามลำดับ กระทั่งพญานาคในความคิดหลายๆ คนกลายเป็นเพียงสัตว์ที่มีเฉพาะในนิทานเรื่องเล่าเท่านั้น

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่แต่ละบุคคล จะใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ พญานาคจึงคงเป็นเรื่องลึกลับที่รอการค้นหาคำตอบต่อไป

จากตำนานเรื่องราวพญานาคที่มักปรากฏในดินเเดนสุวรรณภูมินี้เอง ก็เป็นเหตุให้มีการสร้างรูปเคารพของพญานาคออกในลักษณะต่างๆ กันตามความเชื่อถือขึ้นว่า ภูมิภาคใดจะมีคติไปแบบไหน

มีผู้พยายามแสดงตัวเป็นผู้รอบรู้ จัดระเบียบเครื่องรางที่เกี่ยวกับเรื่องนาคนี้อย่างเป็นหมวดหมู่ เเสดงทัศนะต่างๆ กันออกไป ถูกบ้างผิดบ้างก็ว่ากันไป และก็มักอ้างเอาความเห็นของตนนั้นถูกต้องเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคงไม่อาจสรุปสาระอะไรได้มากนัก คงเป็นมติของแต่ละคนว่า ศึกษามาอย่างไรมากกว่า...


ที่มา - webboard.news.sanook.com

(โปรดติดตามตอน "พญานาคในพระไตรปิฎก" ต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/8/17 at 06:17 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 6 ]
(Update 7 กันยายน 2560)


พญานาคในพระไตรปิฎก



...เมื่อตอนที่แล้วได้นำบทความเรื่อง พญานาคมีจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อเขียนใน webboard.news.sanook.com แต่ก็ยังไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่า พญานาคมีจริงหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนก็ต้องขอนำเรื่อง พญานาคในพระไตรปิฎก มาให้อ่านกันต่อไปอีกว่า...

.....มีเรื่องเล่าไว้ในพระไตรปิฎก (มหาวรรค) ว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์เสด็จไปโปรด ชฎิล 3 พี่น้อง ที่ตำบลอุรุเวลา ทั้งใจดีและดุร้าย คือ อุรุเวลากัสสป, นทีกัสสป และ คยากัสสป ซึ่งชฎิลทั้ง 3 นี้ มิได้รู้จักพระพุทธองค์ ไม่ได้นับถือพระพุทธองค์ แต่พวกเขานับถือบูชาพญานาคมาช้านาน

พญานาคที่ชฎิล 3 พี่น้องนับถือบูชา ก็ไม่รู้จักและนับถือพระพุทธองค์เช่นกัน พระพุทธองค์ทรงขอเข้าพำนักในโรงบูชาไฟของพวกตน มีพญานาคดุร้ายอาศัยอยู่ พระพุทธองค์หาได้หวั่นเกรงไม่

พญานาคเห็นพระพุทธองค์เข้ามาก็ไม่พอใจ จนในที่สุดแสดงฤทธิ์สู้กัน แต่ก็พ่ายแพ้ต่อพระพุทธองค์ ถึงกับถูกพระพุทธองค์จับพญานาคนั้นขดไว้ในบาตร และทรงตรัสแก่ชฎิลทั้ง 3 ว่า

“ดูกร..กัสสป นี่พญานาคของท่าน เราครอบงำเดชของมันด้วยเดชของเราแล้ว”

หลังจากนั้น ทรงแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่าง จนคลายทิฐิมานะของชฎิลทั้ง 3 ได้ และสุดท้ายชฎิล 3 พี่น้อง ได้ขอบวชพร้อมทั้งบริวารหลายร้อยคน

อีกครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จพร้อมพระอรหันต์ 500 รูป สู่เทวโลก ได้เสด็จผ่านวิมานของเหล่านาคที่กำลังรื่นเริงสนุกสนานกัน ที่มี พญานันโทปนันทนาคราช เป็นประธานใหญ่

เมื่อเห็นพระสงฆ์ผ่านไปเหนือวิมานจึงมีความโกรธมาก จึงได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุแปลงตนเป็นนาคขนาดใหญ่ พันโอบเขาพระสุเมรุด้วยขดถึง 7 รอบ แล้วแผ่พังพานบังชั้นดาวดึงส์เอาไว้ เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผ่านไปได้

และเมื่อเป็นดังนั้นได้มีพระอรหันต์หลายรูปอาสาปราบ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต จน พระโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งตามเสด็จไปด้วยอาสา พระองค์จึงทรงอนุญาต

ดังนั้น พระโมคคัลลานะ จึงได้แปลงกายเป็นนาคราชขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว พันเอาพญานันโทปนันทนาคราช เอาไว้ด้วยขดถึง 14 รอบ นาคราชทนไม่ไหวบันดาลให้ไฟลุกขึ้น พระโมคคัลลานะก็ให้เกิดไฟขึ้นเช่นกัน ไฟของนันโทปะนันทะนาคราชสู่ไม่ไหว

จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใคร"
ตอบว่า "เราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของตถาคต"

พญานันโทปนันทนาคราช จึงบอกว่า ท่านจงคืนร่างกลับเป็นพระเหมือนเดิมเถิด แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปนันทนาคราชเป็นผู้ไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ จึงได้แปลงกายให้เล็กนิดเดียว สามารถเข้ารูหู รูจมูกได้ แล้วเข้าไปตามรูต่างๆ

จนพญานันโทปนันทนาคราช ทนไม่ไหว และนันโทปนันทนาคราชสู้ไม่ได้จึงหนีไป พระโมคคัลลานะจึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไป เมื่อหนีไม่พ้นจึงแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ยอมแพ้พระโมคคัลลานะและที่สุดจึงยอมให้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปแต่โดยดี

เรื่องพญานาคเกเรที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าพญานาคนั้นมีอยู่แล้ว และเป็นพญานาคที่ไม่รู้จักพุทธศาสนาอีกด้วย

พญานาคทั้งปวงจะเลื่อมใสศรัทธา และกลายเป็นผู้พิทักษ์พระศาสนานั้นไม่ง่ายเลย แม้พระเดชานุภาพและคุณานุภาพของพระพุทธองค์จะมีเป็นล้นพ้น

เมื่อพญานาคหันหน้าสู่พระพุทธศาสนาแล้ว พญานาคก็อยู่คู่กับพุทธศาสนาตลอดมา และยังเป็นผู้เลื่อมใสในภารกิจพิทักษ์พระศาสนาที่ไม่เคยคลอนแคลนศรัทธาตลอดมา

ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า ก็มีเรื่องนาคมาเกี่ยวข้องเป็นหลายคราว ตามที่ได้เล่าไปแล้วว่า เมื่อพระพุทธองค์ทรงลอยถาดทอง อัน นางสุชาดา ถวายพร้อมด้วยข้าวมธุปายาส ณ แม่น้ำเนรัญชรานั้น ก็ว่าถาดนั้นได้จมลงไปสู่เมืองนาค พญากาลนาคราช ได้ยินเสียงถาดกระทบกันก็ตื่นขึ้นครั้งหนึ่ง

และครั้งที่สอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ภายใต้ ไม้มุจลินท์(ไม้จิก) พญานาคชื่อ มุจลินท์ ก็ได้มาขนดตัวเป็นแท่น แล้วเพิกพังพานบังแสงแดดบังฝนถวาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า


.....ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้าง พระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา

อนึ่ง เรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงานจิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามศาลาวัดต่างๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน

ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์ คันทวยรูปพญานาค

ในอดีตกาล ทศชาดก ปาง ภูริทัต ก็ว่าองค์พระโพธิส้ตว์ของเรา ยังได้เคยถือกำเนิดเป็นนาคชื่อ ทัตตกุมาร บิดาชื่อ ธตรฐ เป็นพญานาค มารดาชื่อ สมุททชา เป็นมนุษย์ คือ เป็นธิดาท้าวพรหมทัต กรุงพาราณสี ได้ขึ้นมาบำเพ็ญศีลบนฝั่งแม่น้ำยมุนา แล้วถูกอาลัมพายน์หมองูจับเอาตัวไป


พญานาคในตำนานต่างๆ

.....ใน พงศาวดารเขมร กล่าวว่าในราวพุธศตวรรษที่ 6 พระทอง เป็นโอรสกษัตริย์เขมร ก็เคยได้แต่งงานกับพระธิดาพญานาค มีนามว่า นางทาวดี ถึงมีโอรสด้วยกัน ชื่อ พระเกตุมาลา และได้สืบกษัตริย์ครองประเทศเขมรกันต่อๆ มา อีกสามราชวงศ์กษัตริย์

กระทั่งถึง สมเด็จพระอุทัยราช ก็มีมเหสีเป็นนาค คราวนี้ออกลูกครั้งแรกเป็นไข่ เอาไปทิ้ง คือฝังทรายไว้ ถึงคราว นายคงเครา ซึ่งเป็นส่วยน้ำ นำน้ำในทะเลชุบศรเมืองลพบุรีไปส่ง ได้พบไข่นี้ฟักเป็นคน จึงเก็บมาเลี้ยงไว้ ให้ชื่อว่า นายร่วง

แต่นางนาคตนนี้ออกลูกครั้งที่สอง หาตกเป็นฟองไม่ เป็นมนุษย์ทีเดียว โอรสผู้นี้ภายหลังมีนามว่า พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ได้เป็นกษัตริย์เขมรที่มีเดชานุภาพมาก

ท้าววิรูปักษ์ เป็นมหาราชของพวกนาค เป็นท้าวโลกบาลครองททิศตะวันตก มีปราสาททิพย์อยู่บนยอดเขายุคนธร ทางด้านตะวันตก มีพาหนะเป็นช้างทิพย์ชื่อ โสมนัส เหล่านาคจะคอยขับกล่อมบำเรอด้วยดนตรีทิพย์อยู่ตลอดเวลา พระโอรสมีมากถึง 91 องค์

ส่วนตำนานของชาวตะวันตก ถือว่าเป็นตัวแทนของกิเลส ความชั่วร้าย ตรงข้ามกับชาวตะวันออก ที่ถือว่า งูใหญ่ พญานาค มังกร เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจ

ชาวฮินดูถือว่า พญานาคเป็นผู้ใกล้ชิดกับเทพองค์ต่างๆ เป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ เช่น อนันตนาคราช ที่เป็นบัลลังก์ของพระนารายณ์ ตรงกับความเชื่อของลัทธิพราหมณ์ ที่เชื่อว่า นาค เป็นเทพแห่งน้ำ นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิตทั้งปวง

พญานาคเปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้

พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่างๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย

คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลก ขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง

ใน ตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ เรื่องนี้เหมือนกับทางภาคอีสาน คือ ตำนานเมืองหนองหารหลวง (สกลนคร) ซึ่งมีพญานาคเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

ที่เห็นได้ชัดก็คือที่ ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมีพญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมีพญานาค

ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริงๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่น ของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์ เป็นต้น


ที่มา - https://pantown.com/group.php?display=content&id=73366&name=content1&area=

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/8/17 at 08:46 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 7 ]

(Update 14 กันยายน 2560)


บั้งไฟพญานาค...วันออกพรรษา



...ผู้เขียนได้พบบทความนี้ เล่าประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับ "บั้งไฟพญานาค" จะเป็นจริงหรือไม่ก็ไม่ขอรับรอง เพราะเป็นเรื่องเล่าต่อๆ กันมา แต่ประวัติ "วันออกพรรษา" นั้นมีมาในพระไตรปิฎกแน่นอน

.....เรื่องก็มีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อหลายพันปีก่อนสมัยพุทธกาล บนผืนแผ่นดินอันสะอาดบริสุทธิ์ของประเทศลาวในปัจจุบัน ชาวเมืองเป็นผู้มีศีลมีธรรม มีจิตใจที่งดงาม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าผู้แก่ ดูแลมารดาบิดากันเป็นปกติ

พระราชาผู้ปกครองบ้านเมืองทรงมีธรรมราชาครบถ้วน ๑๐ ประการ แล้วก็มีปุโรหิตท่านหนึ่ง เป็นคนจิตใจงาม เป็นผู้มีปัญญามาก เวลาจะตัดสินคดีความอะไรก็บริสุทธิ์ยุติธรรม ท่านชำนาญในไตรเพท มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงพญานาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล

เพราะมีความเชื่อว่า "นาค" เป็นผู้ให้น้ำ ท่านก็ประกอบพิธีอย่างนี้ทุกปีๆ จนกระทั่งหมดอายุขัย ด้วยใจที่ผูกพันกับพญานาคมาก กอปรกับบุญกุศลที่ท่านปุโรหิตทำในระดับที่ดีของชาวโลก ในยุคที่พระพุทธศาสนายังไม่บังเกิดขึ้น

เมื่อละโลกแล้ว ท่านจึงไปเกิดเป็นพญานาค มีกายสีทองสวยงาม เป็นหัวหน้าปกครองชุมชน นาคในระดับล่าง อยู่ใต้ลำน้ำโขง ซึ่งจะเป็นภพซ้อนภพ มีอายุยืนมาก

.....พญานาคมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูง ระดับสูงก็อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ระดับกลางๆ ก็ลดหย่อนลงมาระดับล่างก็อยู่ในระดับพื้นมนุษย์ มีบ้านเมืองที่สวยสดงดงามพอสมควร ท่านเป็นผู้ปกครอง ชุมชนนาคในละแวกลำน้ำโขงนั้น ซึ่งกว้างขวางมาก

พญานาคท่านนี้ เมื่ออยู่ในเมืองนาค ท่านจะแปลงกายเป็นกายทิพย์ ที่คล้ายๆ มนุษย์ มีเครื่องประดับงดงามแล้วท่านปรารถนาพุทธภูมิมานาน ตั้งแต่ก่อนจะมาเกิดเป็นปุโรหิต แม้มาเป็นปุโรหิตก็มีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ลึกๆ ในใจ


วันเทโวโรหณะ


.....ครั้นเวลาล่วงเลยมาถึงสมัยพุทธกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม พอใกล้ถึงวันออกพรรษา เหล่าเทวดาก็โจษกันไปทั่วว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงจากดาวดึงส์ จนเสียงอื้ออึงโจษขานดังไปทั่ว พร้อมๆ กับเสียงดนตรีสวรรค์ดังไปถึงนาคพิภพ ทำให้อาสนะของพญานาคที่เคยอ่อนนิ่มกลับแข็งกระด้างขึ้นมา สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

พญานาคและบริวาร จึงออกมาจากนาคพิภพ ขึ้นไปอยู่บนผิวน้ำของแม่น้ำโขงในวัน "เทโวโรหณะ" ออกพรรษา สายตาก็มองไปบนท้องฟ้า ตอนนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็ยังฟูฟ่องล่องลอยอยู่เยอะแยะ

แต่สักพักหนึ่งเมฆก็แวบหายไป ท้องฟ้าเริ่มเปิดออก มีลำแสงฉัพพรรณรังสีพุ่งออกมา ท้องฟ้ากลวงเข้าไป เหมือนไม่มีท้องฟ้า ในบริเวณนั้น คือท้องฟ้าเปิดจนมองเห็นสวรรค์ ในลำแสงนั้นก็จะเห็นเหล่าทวยเทพทั้งหลาย ในภพ ๓ เต็มไปหมดเลย ยกเว้นอรูปพรหม ๔ ชั้น อสัญญีสัตตาพรหม หรือพรหมรูปฟัก ที่ไม่ได้มา นอกนั้นมาหมดเลย

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ คอยอารักขา นาค ครุฑ ยักษ์ คนธรรพ์ โดยเฉพาะคนธรรพ์จะร้องรำทำเพลง ประโคมดนตรีตลอดเวลา พลุสวรรค์หลากสี แต่ไม่ได้ดังตุ้มๆ เหมือนพลุในเมืองมนุษย์ แต่ดังเป็นเสียงดนตรีสวรรค์ ดอกไม้ทิพย์สวยสดงดงาม หอมฟุ้ง ตลบอบอวลไปทั่ว

บริเวณสองข้าง ทางก็เต็มไปด้วยทวยเทพทุกชั้น ผู้ปกครองของสวรรค์ทั้ง ๖ ชั้น เทพอัปสรเรียงกันลงมาเป็นกระบวน ถัดจากนางเทพอัปสรก็จะมีเหล่าเทวดายืนเรียงรายกันเต็มไปหมดเลย มีบันไดทองคำใส บันไดแก้ว เพชร บันไดเงิน ทอดลงมาจากดาวดึงส์จนถึงพื้นโลกมนุษย์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอยู่ตรงกลางบันไดแก้วเพชรที่มีหลากสี ทั้งม่วง คราม น้ าเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ตามหลังมาด้วยปัญจสิกขเทวบุตร และมาตุลีเทพสารถี

ส่วนบันไดทองคำใสก็เป็นของเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ มีท้าวสุยามา ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามา ถือพัดวีชนี ท้าวสักกเทวราช หรือพระอินทร์ ถือปาริฉัตกะ ถัดมาก็ท้าวสันตดุสิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวนิมมานรมิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนิมมานรดี ถัดมาก็ท้าวปรนิมมิตผู้ปกครองสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี และตามด้วยเหล่าเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย


พญานาคถวายดวงแก้วบูชาพระพุทธเจ้า


.....แต่ในตำนานกล่าวไว้เป็นแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันถัดจากวันออกพรรษา ซึ่งอยู่ในระยะเวลาที่คาบเกี่ยวกัน เพราะหลังเที่ยงคืนของวันขึ้น ๑๕ ค่ำ ก็เป็นวันแรม ๑ ค่ำแล้ว หรือที่ชาวโลกเรียก วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ นั้นว่า เทโวโรหนะ

ในคืน ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ พระอินทร์ทรงนิมิตบันได ๓ อย่างถวาย คือ บันไดทอง บันไดแก้วมณี บันไดเงิน หัวบันไดพาดอยู่ที่ยอดเขาสิเนรุ เชิงบันไดอยู่ที่ประตูเมืองสังกัสสนคร เวลาเสด็จลงทรงใช้บันไดแก้วมณี เหล่าเทวดาลงทางบันไดทอง เหล่ามหาพรหมลงทางบันไดเงิน เรียกการเสด็จครั้งนั้นว่า เทโวโรหนะ

เทโวโรหนะ...ทำให้เกิดประเพณีทำบุญตักบาตรที่เรียกวา ตักบาตรเทโว เป็นการใส่บาตรพระพุทธเจ้าซึ่งมีอานิสงส์มาก

จึงจะเห็นได้ว่า บั้งไฟพญานาค จะปรากฏอยู่ในวันคืนวันออกพรรษา ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ซึ่งลูกไฟจะขึ้นจากน้ำตั้งแต่หัวค่ำ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นในช่วงดึก หรืออาจจะเลยช่วงเวลาเที่ยงคืนออกไป ซึ่งเป็นวันแรม ๑ ค่ำ

การเกิด "บั้งไฟพญานาค" ตามความเชื่อในทางพระพุทธศาสนานั้น เชื่อว่า พญานาคทั้งหลายถวายมณี คือดวงแก้วของพญานาค เป็นพุทธบูชาแด่พระพุทธองค์ในคืนออกพรรษา

บ้างก็จะเรียกว่า "พญานาคพ่นไฟ" บูชาไฟ เป็นพุทธบูชา โดยดวงแก้ว หรือดวงไฟที่ว่านั้น พวยพุ่งออกจากปากของพญานาค ขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อเป็นพุทธบูชาและรับเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยความปีติยิ่ง

ซึ่งไม่ใช่เฉพาะลำน้ำโขงเท่านั้น หากแต่คืนดังกล่าว ในแม่น้ำ คุ้งน้ำ หรือตามป่าเขาที่มีลำธารไหลผ่าน ที่เชื่อกันว่ามีพญานาคอาศัยอยู่ใต้บาดาล ณ บริเวณนั้นก็จะปรากฏดวงไฟประหลาดพวยพุ่งสู่ท้องฟ้า ลักษณะเช่นเดียวกับที่เกิดบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง

กล่าวกันว่า พญานาคนั้นจะร้อนในปากตลอดเวลา เพราะมีไฟอยู่นั่นเอง ทำให้ไม่สามารถหุบปากได้ ไฟในปากพญานาคจะคายออกมาเป็นแก้วก็ได้ หรือจะทำให้เกิดไฟอันร้อนรุ่มก็ได้ สุดแล้วแต่ปรารถนา

ดังนั้นความปรารถนาด้วยปีติ อันซาบซึ้งที่มีต่อองค์สมเด็จพระจอมไตร จึงปรากฏเป็นดวงไฟสวยงามทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านภากาศ สรรเสริญพุทธคุณอย่างยิ่งใหญ่

บ้างก็เชื่อว่า ลูกไฟที่ปรากฏนั้น อาจจะเป็นการจำแลงกาย หรือดวงจิตของพญานาค ที่ขึ้นไปรับเสด็จพระพุทธเจ้า ขณะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะก่อนหน้าวันออกพรรษาไม่กี่วัน ก็มักจะเห็นรอยพญานาคปรากฏบนบก เสมือนแสดงให้เห็นว่า พญานาคบางส่วนอาจจำแลงกายเป็นลักษณะของงู เพื่อมารอรับเสด็จพระพุทธเจ้า

ฝ่าย พญาศรีสุทโธนาคราช และบริวารแสนโกฐิ พร้อมใจต้อนรับพระพุทธองค์เสด็จจากดาวดึงส์ พญาศรีสุทโธนาคราชได้ตั้งสัจจะขอถวายอัญมณี ดวงไฟแห่งนาคราช สมบัติล้ำค่าแห่งเมืองบาดาล เป็นพุทธบูชา เมื่อถึงเพลาแห่งรัตติกาล พญานาคถวายอัญมณีพวยพุ่งขึ้นเหนือน่านน้ำโขง ประกายแดงอมชมพู อย่างสวยงามยิ่ง...


ที่มา - https://pantown.com/group.php?display=content&id=73366&name=content1&area=

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/9/17 at 04:40 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 8 ]

(Update 21 กันยายน 2560)


7 สถานที่ในตำนาน...ตามรอยพญานาค (ที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน)
โดย นพ.ฐาปนันท์ มหิศนันท์


...ผู้เขียนได้นำเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคมาลงให้อ่านกันนี้ แม้ว่าไม่เกี่ยวกับวัดท่าซุงแต่อย่างใดก็ตาม แต่เป็นการให้ความรู้ตามความเชื่อของชาวไทย ไม่ได้นำมีเจตนาที่จะทำให้ใครเสียหาย

ส่วนที่นำเรื่อง พ่อปู่พญาศรีสุทโธ มากล่าวถึงนั้น เป็นเพราะสมัยนี้ท่านมีชื่อเสียงมาก โดยเฉพาะมีคนเอาประวัติของท่านมาลงในเว็บต่างๆ ส่วนใหญ่จะนำมาเล่ากันโดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง ทั้งๆ ที่ ตำนานพระธาตุพนม ได้กล่าวถึงพญานาคไว้อีกหลายท่าน

อย่าลืมว่า ตำนานพระธาตุพนม (อุรังคนิทาน) เป็นเอกสารที่สำคัญทางภาคอีสาน โดยพระอรหันต์ได้บันทึกไว้เกี่ยวกับสถานที่สำคัญที่พระพุทธเจ้าเสด็จ และเกี่ยวเนื่องกับบ้านเมืองในอดีตอีกด้วย

การที่ผู้เขียนต้องหยิบยกเรื่องนี้มากล่าว พร้อมทั้งตั้งชื่อคำท้ายว่า พญาศรีสุทโธ กับตำนานพญานาค..ที่ถูกลืม หมายถึงสมัยนี้ไม่ค่อยมีคนสนใจใน ตำนานพระธาตุพนม กัน แม้ในเว็บไซด์ก็หาอ่านยากเต็มที ซึ่งในตอนท้ายผู้เขียนจะนำอ้างอิงให้เข้าใจกัน

ในตอนนี้ ขอยกตัวอย่างบทความของ นพ.ฐาปนันท์ มหิศนันท์ ที่ได้ให้ความรู้ไว้ใน pantip.com ตามที่ท่านวิเคราะห์ไว้

ถ้าถามผู้เขียนว่าครบถ้วนไหม คงจะตอบว่ายังไม่ครบถ้วน เพราะสังเกตได้ว่าคุณหมอก็ไม่ได้อ่าน ตำนานพระธาตุ อย่างครบถ้วนเช่นกัน ท่านเขียนบทความมีว่าดังนี้


.....ความลี้ลับ ตำนานแห่งเมืองใต้บาดานและตำนานของพญานาค ที่หลายคนยังไม่เคยรู้จัก หรือยังไม่ได้สัมผัสกับตำนานสถานที่ ที่เกี่ยวข้องกับพญานาค ซึ่งมีอยู่จริงในปัจจุบัน

(บทความนี้ถูกโยงกับตำนานพื้นบ้านท้องถิ่น บางเนื้อหาอาจไม่เป็นวิทยาศาสตร์ โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม )

สถานที่แรก ที่วินาทีนี้ใครๆ ก็รู้จัก ใครก็อยากไป หลังจากที่เรื่อง นาคี ละครดังช่อง 3 จบลง ยิ่งทำให้ผู้คนเข้าไปเที่ยวชมกราบไหว้มากขึ้นกว่าเดิม

...1. คำชะโนด
ตำนานทางเชื่อมต่อระหว่างโลกมนุษย์ และเมืองบาดาลของพญานาค ที่บนโลกนี้มีเพียง 3 สถานที่ และหนึ่งในนั้นคือคำชะโนด ตั้งอยู่ที่ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี

ตำนานกล่าวถึงความขัดแย่งระหว่างพญานาค คือ สุทโธนาค และ สุวรรณนาค จนพระอินทร์ทราบเรื่อง จึงสั่งให้พญานาคทั้งสองแข่งกันสร้างแม่น้ำขึ้นคนละสาย

ในที่สุด สุทโธนาคสร้างแม่น้ำได้สำเร็จก่อน (คือแม่น้ำโขงในปัจจุบัน) จึงเป็นผู้ชนะ และ สุทโธนาค ก็ได้ขอทางขึ้นลง ระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ไว้อีก 3 แห่ง

หนึ่งในนั้นก็คือ คำชะโนด ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ โดยให้สุทโธนาคพร้อมบริวารสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ และตั้งบ้านเมืองปกครองอยู่ที่คำชะโนดสืบมา

ตรงกลางคำชะโนดมีบ่อน้ำอยู่กลางดงชะโนด เป็นบ่อน้ำผุด ที่มีน้ำซึมจากใต้ดินตลอดเวลา ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าบ่อน้ำจากพ่อปู่สุทโธนาคประทานมาให้ และอีกความมหัศจรรย์ของคำชะโนคคือ

เป็นเกาะที่ไม่เคยถูกน้ำท่วม เชื่อว่าคำชะโนดมีลักษณะเป็นเกาะลอยกลางน้ำ โดยเกิดจากการสานตัวกันของรากต้นชะโนด จึงทำให้ไม่ถูกน้ำท่วม แม้ว่าน้ำจะเคยท่วมทั่วบริเวณโดยรอบก็ตามที

...2. ถ้ำดินเพียง หรือ ถ้ำพญานาค
ตำนานลี้ลับถึงถ้ำที่เชื่อมต่อโลกมนุษย์และโลกบาดาน ดินแดนแห่งพญานาค ถ้ำเพียงดิน เป็นถ้ำที่อยู่ใต้ดินลึงลงไปในบริเวณวัดวัดถ้ำเพียงดินหรือวัดถ้ำศรีมงคล ตั้งอยู่ที่ บ้านดงต้อง ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย

ชาวบ้านเชื่อว่า ถ้ำนี้สามารถเดินเชื่อมต่อลงไปใต้แม่น้ำโขงผ่านไปยังประเทศลาวได้ โดยใช้เวลา 9 วัน 9 คืน นอกจากนี้ยังเชื่อว่าสามารถเชื่อมต่อไปยัง คำชะโนด ที่จังหวัดอุดรธานีได้ด้วย โดยมีเรื่องเล่าว่า ในถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางที่พระธุดงด์จากลาว ใช้ข้ามฝั่งลอดใต้แม่น้ำโขงมายังประเทศไทย

เหตุที่หลายคนเรียกถ้ำนี้ว่า ถ้ำพญานาค มาจากตำนานความเชื่อว่า ที่แห่งนี่เป็นทางเข้าออกของธิดาพญานาค ซึ่งมาหลงรักเจ้าชายของเมืองโลกมนุษย์ แต่ครั้นพอถึงวันออกพรรษา ธิดาพญานาคต้องกลับสู่เมืองบาดาล เพื่อไปเล่นน้ำกับพญานาคด้วยกัน เจ้าชายตามมาพบรู้ว่าคนรักของตนเป็นพญานาค จึงขอตัดขาดจากกันที่ถ้ำแห่งนี้ (ฟังเรื่องราวคล้ายๆ กับละครเรื่อง นาคี เลยทีเดียวนะครับ)

ภายในถ้ำมีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี ลักษณะเป็นถ้ำที่มีทางเชื่อมต่อกันหลายทาง คล้ายๆ กับใยแมงมุม (จึงต้องมีคนนำทางเมื่อจะเข้าไปในถ้ำ ซึ่งเป็นคนของทางวัดจะนั่งรอที่หน้าทางเข้า) บางช่วงเป็นช่องทางแคบๆ ต้องคานเข้าไป บางช่วงเป็นห้องใหญ่สามารถจุคนได้ร้อยคน ภายในถ้ำประดับไฟแสงสีสวยงาม ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิดนะครับ

ภายในถ้ำแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ ตามความเชื่อของคนในชุมชน เช่น ห้องธิดาพญานาคทั้ง 4 นาง ห้องเก็บหีบศพพญานาค แผ่นคําภีร์ศิลาพญานาค และยังมีเจดีย์ภายในถ้ำ

...3. วัดไทย และ ถ้ำพญานาค
ถ้ำพญานาค หรือ ถ้ำเมืองบาดาลจำลอง ตั้งอยู่ที่ วัดไทย อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย

ตามความเชื่อโบราณ เชื่อว่าเมืองหลวงของพญานาคอยู่บริเวณแม่น้ำโขงหน้าวัดไทย ในคืนหนึ่ง เจ้าอาวาสวัดไทยได้นิมิตว่า มีหญิงชาย ร่างกายสีดำมานิมนต์ให้สร้างสัญลักษณ์ประจำเมืองบาดาล หรือเมืองพญานาคไว้เมืองมนุษย์ ณ บริเวณ วัดไทย

จึงได้ก่อสร้างเป็นอุโมงค์รูปพญานาค สูง 19 เมตร ทางเข้าจะเชื่อมเข้าไปในลำตัวของพญานาค ภายในแบ่งเป็น ถ้ำจำลอง 7 ห้อง แต่ละห้องแสดงถึงเรื่องราวของเมืองบาดาล

ริมฝั่งโขงหน้าวัดไทย เป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคที่ได้รับความนิยมที่สุดของ จ.หนองคาย วันออกพรรษา 15 ค่ำเดือน 11 ขอเชิญทุกท่านมาพิสูจน์ตำนานแห่งพญานาคกันนะครับ


4. แก่งอาฮง
แม่น้ำโขงมีความยาวกว่าสี่พันกิโลเมตร ทอดตัวไหลผ่านถึง 6 ประเทศ ใครเลยจะรู้ว่าจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง หรือที่เรียกว่าสะดือแม่น้ำโขง ตั้งอยู่ที่ แก่งอาฮง จ.บึงกาฬ ประเทศไทยเรานี้เอง

ที่ใต้สะดือแม่น้ำโขงนั้นมีถ้ำขนาดใหญ่ เชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของพญานาค ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางการปกครองนาคพิภพ โดยถ้ำแห่งนี้สามารถใช้สัญจรไปฝั่งลาวได้ซึ่งจะไปทะลุที่ ภูงู ส่วนทางออกอีกด้านคือ คำชะโนด

จุดนี้เป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคที่มีความพิเศษคือ ลูกไฟจะมีขนาดใหญ่สีเขียวลอยขึ้นจากกลางน้ำ
ตำนานเล่าขานว่า ถ้ามีคนตกน้ำตกตายเหนือแก่งอาฮงขึ้นไป ไม่ว่าที่ใดหากหาศพไม่พบก็จะหาได้ที่แก่งอาฮง เชื่อกันว่าศพจะไหลไม่พ้นแก่งอาฮง เพราะตกลงไปในจุดที่เป็นคุ้งน้ำไหลวนและเป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงนั่นเอง

...5. สระมุจลินท์ หรือ สระพญานาค
สระน้ำที่มีตำนานอันเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอาณาจักรล้านช้าง ตั้งอยู่ที่ วัดพระธาตุบังพวน อ.เมือง จ.หนองคาย

ตำนานกล่าวว่า เมื่อครั้งได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มาบรรจุไว้ในองค์พระธาตุได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด มีสายน้ำพวยพุ่งออกมาจากพื้นดิน

พระมหาเทพหลวง ได้สังเกตเห็นว่ามีสายน้ำพุ่งขึ้นมาตลอดเวลา จากปล่องภูพญานาคที่เฝ้ารักษาพระธาตุบังพวน จึงได้ชักชวนญาติโยมขุดสระรองรับน้ำเอาไว้ และสร้างรูปปั้นพญานาค 7 เศียรไว้กลางสระแห่งนี้

ปัจจุบันสระมุจลินท์แห่งนี้ถือเป็นสระน้ำ สำคัญประจำจังหวัดหนองคาย น้ำในสระแห่งนี้ถูกนำไปใช้ในพิธีสรงมูรธราชาภิเษก พิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา และพิธีศักดิ์สิทธิ์สำคัญของประเทศไทย

...6. พระธาตุกลางน้ำ หรือ พระธาตุหล้าหนอง
พระธาตุกลางน้ำ ตั้งอยู่กลางแม่น้ำโขง เขตเทศบาลหนองคาย โดยตำนานกล่าวถึง การอัญเชิญพระธาตุของพญานาคเมื่อกว่า 200 ปีก่อน

เมื่อ 200 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์องค์พระธาตุพังทลายลงกลางแม่น้ำโขง ทำให้ชาวเมืองหนองคายเชื่อว่า เป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของพระญานาค ทำการอันเชิญพระธาตุไปประดิษฐานที่ถ้ำบาดาลไว้มิให้สูญหาย

ซึ่งในช่วงหน้าแล้ง จะปรากฏพระธาตุที่โผ่พ้นจากแม่น้ำโขง ส่วนในช่วงหน้าฝนพระธาตุจะจมอยู่ใต้แม่น้ำโขงจนไม่สามารถเห็นองค์พระธาตุ ปัจจุบันได้จำรองพระธาตุขึ้นมาใหม่ซึ่งอยู่ตำแหน่งเดิม ก่อนที่จะพังลงสู่แม่น้ำโขง

7. หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย
ตำนานพระพุทธรูปหนึ่งเดียวที่พญานาคได้มาร่วมสร้าง หลวงพ่อพระใส ประดิษฐานอยู่ ณ วัดโพธิ์ชัย ตั้งอยู่ในเขต อ.เมือง จ.หนองคาย

ตำนานกล่าวว่า ในสมัย พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงมีพระราชธิดา 3 พระองค์ พระธิดาทรงขอพรจากราชบิดา เพื่อสร้างพระพุทธรูปประจำพระองค์ขึ้น โดยมีข้าราชบริพารและชาวบ้าน ได้ระดมช่างกำลังคนมาช่วยกันสร้าง

การหล่อทองเป็นไปด้วยความยากลำบากใช้เวลาหล่อทองถึง 7 วัน 7 คืน แต่ทองก็ยังไม่ละลาย ทำให้ไม่สามารถประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปตามขั้นตอนได้

เข้าวันที่ 8 ตอนใกล้เพล ในขณะที่หลวงตากับเณรน้อยกำลังช่วยสูบลมหล่อทองอยู่นั้น ก็ปรากฏมีชีปะขาวคนหนึ่งอาสามาช่วย หลวงตากับสามเณรจึงหยุดพักและขึ้นไปฉันเพล

เวลานั้นชาวบ้านก็ต่างแปลกใจ ที่เห็นชีปะขาวจำนวนมากมายกำลังเททองหล่อพระพุทธรูปอยู่ จากนั้นทองทั้งหมดได้ถูกเทลงในเบ้าหล่อทั้ง 3 เบ้า เรียบร้อยแล้ว และชีปะขาวได้หายตัวไป

ชาวบ้านเชื่อกันว่า เหตุอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของเหล่ากายทิพย์พญานาค ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นผู้สร้างพระพุทธรูปในครั้งนั้น


ที่มา - https://pantip.com/topic/36089705

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/9/17 at 06:25 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 9 ]

(Update 28 กันยายน 2560)


7 จุดชม บั้งไฟพญานาค
By นพ.ฐาปนันท์ มหิศนันท์



.....บั้งไฟพญานาค ปรากฏการณ์ลูกไฟมีสีแดงอมชมพูพวยพุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขงในคืนวันออกพรรษา ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้นเฉพาะจังหวัดหนองคายและจังหวัดบึงกาฬเท่านั้น

โดยเจาะจงปรากฏให้เห็นในคืนวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี (แต่ปีไหนมีเดือนแปดสองหนตามปฏิทินทางจันทรคติ บั้งไฟพญานาคจะปรากฏให้เห็นในคืนแรม 1 ค่ำ เดือน 11)

ใกล้เข้าถึงช่วงเวลาออกพรรษา สิ่งหนึ่งที่ถูกกล่าวถึงนอกจากการทำบุญ ก็คือ บั้งไฟพญานาค หลายคน หลายแนวคิด ทั้งตำนาน ความเชื่อ การกระทำของมนุษย์ หลากหลายแนวคิดที่ยังต้องพิสูจน์กันต่อไป…

คุณพร้อมหรือยังกับการเดินทางมาหาคำตอบ ณ 7 จุด ชมบั้งไฟพญานาคที่ดีที่สุดในโลก แน่นอนครับ จุดชมบั้งไฟพญานาคมีอยู่สองจังหวัด ได้แก่ จังหวัดหนองคายและจังหวัดบึงกาฬ


.....มาเริ่มจุดแรกเลยครับ กับจุดยอดนิยมที่สุด

...1. อำเภอโพนพิสัย จ.หนองคาย และ บ้านโดน เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว
เป็นจุดชม ที่มีชื่อเสียงที่สุด เดินทางได้สะดวก อยู่ไม่ไกลจากตัวจังหวัด

อ.โพนพิสัย มีจุดชมหลายจุดครับ
ที่แนะนำจุดแรก คือ บริเวณหน้าวัดไทยและ ริมแม่น้ำโขงตลอดตัวเมืองโพนพิสัย
ซึ่งตรงกันข้ามกับ บ้านโดน เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว


ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของกิจกรรมเลยที่เดียวครับ มีการบรวงสวง การแสดง งานวัด ที่จุดนี้ครับ
บริเวณริมโขงมีถนนเล็กๆ ทอดตัวยาวตามลำน้ำ และจุดนั่งชมบั้งไฟพญานาคริมแม่น้ำโขง สามารถชมวิวได้ตลอดเส้นทาง


นอกจากนี้บริเวณ วัดไทย ยังมีเสาหลักเมืองบาดาล รูปสามเหลี่ยม และถ้ำพญานาคจำลอง ซึ่ง ภายในแบ่งออกเป็น 7 ห้อง บอกเล่าเรื่องราวของเมืองบาดาลและตำนานพญานาค


จุดที่ 2 ของ อ.โพนพิสัย คือ บริเวณพุทธอุทยานนานาชาติ
โด่ดเด่นด้วยสถาปัตยกรรม เจดีย์ดอกบัว ริมฝั่งโขง




เป็นอีกหนึ่งจุด ที่พบว่ามีบั้งไฟพญานาคขึ้นมากเป็นอันดับต้นๆ เป็นจุดที่มีกิจกรรมทางศาสนา
มีกิจกรรม ลอยโคมเป็นพุทธบูชา มีกิจกรรมลอยประทีบเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทใต้เมืองบาดาล


บรรยากาศ บอกได้เลยว่า คล้ายๆ กับ งานลอยโคมยี่เป็ง ของภาคเหนือเลยทีเดียวครับ
จุดนี้ อยู่ห่าง จากตัวเมืองหนองคาย ประมาณ 60 กม. ไปทาง อ.รัตนวาปี


นอกจากนี้ยังมีอีกจุด ที่เป็นจุดที่ธรรมชาติสวยงาม คือ บ้านหนองกุ้ง บริเวณจุดชมวิวแม่นำ้สองสี
ที่แม่น้ำสองสี คือ แม่น้ำงึมของประเทศลาวไหลลงสู่แม่น้ำโขง ซึ่งตรงกันข้ามกับ บ้านปากงึม ประเทศลาว


จุดนี้ อยู่ห่าง จากตัวเมืองหนองคาย ประมาณ 55 กม. ไปทาง อ.รัตนวาปี
ที่พักเป็นแบบโฮมสเตย์ ในบรรยากาศพื้นบ้านอีสาน บ้านที่ปลูกด้วยไม้แบบโบราณริมแม่น้ำโขง


...2. อำเภอรัตนวาปี จ.หนองคาย และ บ้านหนองเขียด เมืองท่าพะบาด ประเทศลาว
เป็นจุดที่พบว่ามีบั้งไฟขึ้นมากที่สุด มาหลายปีติดต่อกัน (เป็นสถานที่ทำงานของผมด้วย) รัตนวาปี มีจุดชมบั้งไฟพญานาคหลายจุดครับ แต่จุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ บริเวณบ้านน้ำเป ซึ่งติดกับ พุทธอุทยานนานาชาติ ที่กล่าวไปข้างต้น ตรงข้ามกับเมืองท่าพะบาด ประเทศลาว


จุดนี้เป็นจุดที่มีการทำถนนริมแม่น้ำโขง สามารถชมบั้งไฟได้ตลอดลำน้ำ
มีที่พักในบรรยากาศ โฮมสเตย์ มีจุดจอดรถหลายจุด เช่น โรงเรียนบ้านน้ำเป
บรรยากาศวิถีชาวบ้าน การจับปลา ถือว่าเป็นเสน่ห์ของจุดนี้เลยครับ


จุดที่สองของ อ.รัตนวาปี คือ บ้านท่าม่วง จุดนี้เอง เคยบันทึกว่าพบบั้งไฟพญานาคมาที่สุดในโลก
พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เคยได้มาชมในจุดนี้
จุดนี้ที่พักเป็นแบบ โฮมสเตย์เช่นกันครับ อยู่ใกล้ตัวอำเภอรัตนวาปี ห่างจากอำเภอ 1 กม.


และอีกจุดของอำเภอรัตนวาปีที่นิยมชมทั้งฝั้งไทยและลาว คือ บ้านโพนแพง และ บ้านอาญา
เป็นจุดที่มีรีสอร์ทเล็กๆ ริมแม่น้ำโขง หลายเเห่ง


จุดนี้มีชื่อเสียงว่า มักพบรอยพญานาคตามริมแม่น้ำ บริเวณนี้เป็นที่ตั้งของวัดที่อยู่ขนานกันสองฝั่งแม่น้ำโขง
โดยฝั่งลาวมี วัดพระบาทโพนสัน และฝั่งไทยคือ วัดราชโพนเงิน เป็นจุดที่มีตำนานเล่าขาน ของพญานาคที่มีส่วนหัวเป็นช้างเผือก


...3. อำเภอเมือง จ.บึงกาฬ และ เมืองปากซัน แขวงบอริคําไซ ประเทศลาว
บริเวณแก่งอาฮง และ วัดอาฮงศิลาวาส ตั้งอยู่ที่ บ้านอาฮง ต.หอคำ อ.เมือง จ.บึงกาฬ
จุดนี้เป็นจุดที่ชมบั้งไฟได้มากที่สุดในจังหวัดบึงกาฬ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ เมืองปากซัน แขวงบอลิคําไซ


แก่งอาฮง อยู่ห่างจากตัวจังหวัดบึงกาฬ 20 กิโลเมตร เดินทางได้สะดวก
อีกทั้งที่วัดยังมีที่พัก ลานให้กางเต็นท์ ลานจอดรถกว้างขวาง
นอกจากนี้ยังมีโบสถ์หินอ่อน เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำ ที่มีความงดงามริมแม่น้ำโขง


แก่งอาฮง เป็นจุดที่มีความเชื่อว่าลึกที่สุดของแม่น้ำโขง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า สะดือแม่น้ำโขง
คนเฒ่าคนแก่เคยวัดความลึกโดยใช้เชือกผูกกับก้อนหินหย่อนลงไป วัดได้ 98 วา
ทางวิทยาศาตร์ ได้คำนวนวัด ช่วงที่ลึกที่สุด ลึก 200 เมตร


...4. อำเภอสังคม
บริเวณจุดชมอ่างปลาบึก บ้านผาตั้ง อำเภอสังคม เป็นจุดที่มีภูมิประเทศสวยงาม มีโขดหินน้อยใหญ่กลางน้ำโขง มีที่พักหลากหลายรูปแบบ แต่เป็นจุดที่ไกลจากห่างจากอำเภอเมือง 95 กิโลเมตร


...5. อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
จุดนี้ชมได้ที่ วัดหินหมากเป้ง วัดที่สร้างบนโขดหินริมแม่น้ำโขง วัดนี้เคยเป็นวัดของ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พระสงฆ์สายพระป่า หลวงปู่มั่น ที่ชมบั้งไฟพญานาค มีจุดเด่นคืออยู่บนลานหินขนาดใหญ่ริมแม่น้ำโขง


...6. บึงโขงหลง และ หาดคําสมบูรณ์ จ.บึงกาฬ
บริเวณบึงโขงหลง เป็นจุดหนึ่งที่สามารถชมบั้งไฟได้โดยที่ไม่ได้อยู่ริมแม่น้ำโขง
ซึ่งเป็นความแปลกของจุดนี้เลยครับ บึงโขงหลงอยู่ห่างจากแม่น้ำโขงถึง 10 กม.


จุดที่ชม คือบริเวณหาดคำสมบูรณ์ เป็นแหล่งพักผ่อนคลายร้อย มีกิจกรรมทางน้ำมากมายเลยครับ
อ.บึงโขงหลง อยู่ห่างจากจังหวัดบึงกาฬประมาณ 80 กม. อาจจะไกลครับ แต่ได้บรรยากาศอีกแบบครับ


7. อำเภอปากคาด จ.บึงกาฬ
บริเวณริมแม่น้ำโขง ของอำเภอปากคาด เป็นจุดหนึ่งที่ชมบั้งไฟได้เป็นอันดับสองของ จ.บึงกาฬ
มีถนนริมแม่น้ำโขง สามารถชมความงามของบั้งไฟพยานาคได้ยาวกว่า 1 กม.
จุดนี้เป็นลักษณะโค้งน้ำโขง ทำให้ชมได้สวยงามอีกด้วย
อำเภอปากคาด อยู่ห่างจาก จ.บึงกาฬประมาณ 40 กม. จุดที่ชมบั้งไฟพยานาค


สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ การแสดงแสงสีเสียง เปิดตำนานบั้งไฟพญานาค
การแสดงที่บอกเล่าเรื่องราวตำนานความเชื่อต่อบั้งไฟพญานาคและพญานาค ตั้งแต่สมัยพุทธกาล


...ออกพรรษานี้ มาพิสูจน์บั้งไฟพญานาคกันได้นะครับ แล้วคุณจะได้รู้จักบั้งไฟพญานาคมากขั้นกว่าเดิมครับ ขอนำเสนอแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณครับ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/9/17 at 05:59 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 10 ]

วันที่ 5 ตุลาคม 2560 (ข้อเขียนตอนนี้ตรงกับ "วันออกพรรษา" พอดี โดยที่มิได้ตั้งใจไว้ก่อน)


เฉลยปมปริศนา "บั้งไฟพญานาค"


".....เมื่อตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้นำข้อมูลและแผนผัง "7 จุดชมบั้งไฟพญานาค" ของ "นพ.ฐาปนันท์ มหิศนันท์" มาให้อ่านกันไปแล้ว

ทั้งนี้ เพื่อผู้อ่านจะได้นำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลและแผนผัง ตามที่ผู้เขียนได้ศึกษา และใช้เวลาเดินทางสำรวจทั่วประเทศ เป็นเวลา 20 กว่าปี ปรากฏมีรอยพระพุทธบาทอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงกับตำแหน่งที่ปรากฏ "บั้งไฟพญานาค" โดยแต่ละปีจะปรากฏขึ้นประมาณ 3-7 ลูก

......มากกว่า 90% ของจำนวนลูกบั้งไฟพญานาคในแต่ละปี จะพบที่จังหวัดหนองคาย หน้าวัดไทย, และบ้านน้ำเป อำเภอโพนพิสัย, วัดอาฮง อำเภอบึงกาฬ, วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่, และอ่างปลาบึก อำเภอสังคม ซึ่งปรากฏว่าตรงกับตำแหน่งที่มี "รอยพระพุทธบาท" ปรากฏอยู่ด้วยทุกหนทุกแห่ง...!!!

และทุกคนที่ได้ศึกษาประวัติ "พญานาค" จะรู้จักในนาม "พญาศรีสุทโธนาคราช" เป็นส่วนใหญ่ แต่เท่าที่ผ่านมายังไม่เห็นมีใครเคยเอ่ยนามถึง "พญาสุกขหัตถีนาคราช" ผู้พิทักษ์ลุ่มน้ำโขง ซึ่งกั้นเขตแดนระหว่างไทยกับลาว บริเวณเมืองบริคำไซ อยู่ตรงข้ามกับ อำเภอโพนพิสัย

...1. แผนผังจุดที่เกิด "บั้งไฟพญานาค" ริมแม่น้ำโขง ระหว่างจังหวัดเลย - หนองคาย - นครพนม


...2. แผนผังจุดที่เกิด "บั้งไฟ" ริมแม่น้ำโขง ณ บ้านตามุย อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี จะเห็นว่ามี "รอยพระพุทธบาท" ทั้งสองฝั่งโขง




รายชื่อรอยพระพุทธบาท (กรุณาดูควบคู่กับแผนที่)
ที่อยู่ริมแม่น้ำโขง ทางฝั่งประเทศลาว

๑. วัดพระพุทธบาทโพนฉัน เมืองท่าพระบาท แขวงบริคำไซ (ตรงข้าม อ.โพนพิสัย)
๒. พระพุทธบาทบ้านสุละ (รอยเกิบ) แขวงจำปาศักดิ์ (ตรงข้ามผาแต้ม จ.อุบลฯ)

รายชื่อรอยพระพุทธบาท (กรุณาดูควบคู่กับแผนที่)
ที่อยู่ริมแม่น้ำโขง ทางฝั่งประเทศไทย

๑. วัดพระพุทธบาท ต.พระบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย (ใกล้วัดหินหมากเป้ง - หลวงปู่เทสก์)
๒. พระพุทธบาทกุญชร บ.ห้วยไฮ้ ต.พระพุทธบาท อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
๓. วัดสร้างฤาษี บ.ศูนย์กลาง ต.ด่านศรีสุข อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
๔. วัดพระพุทธบาทนาหงส์ บ.พระบาทนาหงส์ ต.พระบาทนาหงห์ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
๕. วัดพระพุทธบาทผาจ่อง ต.ผาตั้ง อ.สังคม จ.หนองคาย

๖. พระพุทธหัตถ์คู่ถ้ำฝุ่น หน่วยพิทักษ์ป่าถ้ำฝุ่น อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย
๗. พระพุทธบาท วัดถ้ำศรีวิไลย์ บ.โนนสว่าง ต.หนองแข็ง อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย
๘. พระพุทธบาท วัดถ้ำศรีธน (สว่างอารมณ์) ต.ปากคาด อ.ปากคาด จ.หนองคาย
๙. พระพุทธบาท ภูควายเงิน อ.ปากคาน จ.เลย
๑๐. พระพุทธหัตถ์ วัดป่าดานเทพนิมิต ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย

๑๑. พระพุทธบาทหลัง วัดถ้ำจันทร์ ต.ศรีชมภู อ.โซ่พิสัย จ.หนองคาย
๑๒. พระพุทธบาทถ้ำแคน ต.โพธิ์หมากแข้ง อ.บึงโขงหลง จ.หนองคาย
๑๓. วัดพระพุทธบาทเวินปลา ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม
๑๔. พระพุทธบาท วัดป่าภูจ้อมก้อม ต.นากลางโพธิ์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
๑๕. พระพุทธบาท วัดท่าล้ง บ้านท่าล้ง (ใกล้ผาแต้ม) ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี


.....รอยพระพุทธบาทที่กล่าวถึงนี้ มีหลายแห่งที่ปรากฏอยู่ใน ตำนานพระธาตุพนม (อุรังคนิทาน) ซึ่งเป็นหลักฐานการบันทึกไว้เหมือนกับ ตำนานพระเจ้าเลียบโลก ทางภาคเหนือ จึงขอนำเรื่องราวใน ตำนานพระธาตุพนม มากล่าวไว้พอสังเขป ดังนี้

เส้นทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จ
เลียบแม่น้ำโขง ระหว่างไทย - ลาว

.....ตามประวัติ พระธาตุพนม ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปที่ พระธาตุพนม พระองค์ได้เสด็จไปที่เวียงจันทน์ก่อนคือ "ดอนกอนเนา" (วัดโพนพระเนา) และ "หนองคันแทเสื้อน้ำ" (พระธาตุหลวง) ในเมืองเวียงจันทน์

พระพุทธบาทโพนฉัน (ริมแม่น้ำโขง) ฝั่งประเทศลาว


.....แล้วพระพุทธองค์ได้ไปประทับที่ โพนจิกเวียงงัว (ธาตุบุ หนองคาย) และ ภูเขาลวง (พระธาตุบังพวน หนองคาย) แล้วไปฉันเพลที่ใกล้ “เวินหลอด” คนทั้งหลายจึงเรียกที่นั่นว่า “เวินเพล” (สมัยก่อนเรียก "บ้านโพนเพล" ปัจจุบันเพี้ยนไปเป็น "บ้านโพนแพง" แล้ว) เมื่อฉันเพลแล้ว พญาสุกขหัตถีนาคราช เนรมิตเป็นช้างถือดอกไม้มาขอรอยพระพุทธบาท

พระองค์ได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ที่แผ่นหินใกล้ริมแม่น้ำ ชั่วเสียงช้างร้องได้ยิน บัดนี้เรียกว่า “พระบาทโพนฉัน” (บางครั้งเรียก "โพนสัน") แขวงบริคำไซ ประเทศลาว (ตรงข้ามกับ บ้านโพนแพง อ.รัตนวาปี สมัยก่อนเรียกกันว่า "โพนเพล - โพนฉัน")

พระบาทเวินปลา (ริมแม่น้ำโขง) จ.นครพนม


.....แต่นั้นพระองค์ก็เสด็จไปสู่เมืองศรีโคตบอง (นครพนม) มีพญาปลาตัวหนึ่งได้เห็นพระรัศมีของพระพุทธเจ้า จึงมาวนเวียนขอรอยพระพุทธบาทไว้สักการบูชา พระพุทธองค์จึงทรงพระเมตตาอธิษฐานรอยพระพุทธบาท ไว้บนก้อนหินในน้ำที่นั้น คนทั้งหลายจึงเรียกที่นั้นว่า “พระบาทเวินปลา” มาเท่ากาลบัดนี้

พระธาตุอิงรัง สุวรรณเขต ประเทศลาว

.....ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จมาทางอากาศ ประทับแรมที่ ภูกำพร้า (พระธาตุพนม) หนึ่งคืน ตอนเช้าจึงเสด็จไปอิงต้นรังต้นหนึ่ง (พระธาตุอิงรัง สุวรรณเขต ประเทศลาว) แล้วเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมืองศรีโคตบอง

ครั้งนั้น เจ้าเมืองศรีโคตบองมีนามว่า พระยาศรีโคตบูร ได้เห็นพระศาสดาเสด็จมาดังนั้น จึงทูลอาราธนาให้พระองค์เข้าไปรับบิณฑบาตในพระราชฐาน เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ ทรงรับข้าวบิณฑบาตแล้ว ก็ส่งบาตรให้พระยาศรีโคตบูร เพื่อเสด็จมาประทับที่ใต้ต้นรังดังเดิม

ฝ่ายเจ้าเมืองเมื่อรับเอาบาตรจากพระพุทธองค์แล้ว ก็ยกขึ้นเหนือพระเศียรทำความปรารถนาพุทธภูมิ แล้วจึงนำบาตรไปถวายพระองค์ที่ประทับอยู่ พระพุทธองค์ทรงรับบาตรแล้วเสด็จกลับมาทางอากาศที่ภูกำพร้า เพื่อกระทำภัตกิจ ณ สถานที่นั้น

เมื่อพระยาศรีโคตบูรได้ทอดพระเนตรพระพุทธองค์เสด็จไปทางอากาศดังนั้น ก็ทรงปีติยกพระหัตถ์ขึ้นประนมทอดพระเนตรพระศาสดาจนสุดสายตา จึงคำนึงในพระทัยว่า อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ดังนี้แล้ว จึงเสด็จกลับคืนสู่พระราชนิเวศน์

ต่อจากนั้น พระศาสดาก็ได้พยากรณ์ว่า หลังจากตถาคตปรินิพพานไปแล้ว พระมหากัสสป จะนำ พระอุรังคธาตุ มาบรรจุไว้ที่นี้ ตรัสดังนี้แล้วจึงเสด็จไปสู่เมืองหนองหารหลวง แล้วประทับรอยพระพุทธบาทไว้ ณ พระธาตุเชิงชุม จ.สกลนคร

แล้วจึงเสด็จต่อไปที่ ดอยแท่น (พระธาตุภูเพ็ก) แล้วไปทรมานพญานาคที่ ภูกูเวียน ได้ประทานรอยพระพุทธบาทไว้ ณ พระพุทธบาทบัวบก, พระพุทธบาทบัวบาน, พระพุทธบาทผาแดง (อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี) เป็นต้น

ตามตำนานอุรังคธาตุกล่าวถึงแหล่งโบราณคดีบนเทือกเขาภูพาน (ภูกูเกวียน) นี้ว่าเป็นที่อยู่ของพญานาคชื่อ สุวรรณนาคราช และ พุทโธปาปนาคราช ซึ่งแต่เดิมหนีจาก หนองแส (ตาลีฟู) มาตามลำน้ำโขง แล้วมาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งเรื่องนี้ยังมีปรากฏอยู่ใน "ตำนานพระธาตุเชิงชุม" อ.เมือง จ.สกลนคร อีกว่า

ในขณะนั้น พญาสุวรรณนาคราช ผู้มีเกล็ดเป็นทองคำก็สำแดงตัวให้ปรากฏ ถือน้ำเต้าทองคำอันเต็มด้วยน้ำหอมอันเป็นทิพย์บอกว่า

“ข้าพเจ้าคือ "สุวรรณนาคราช" เป็นผู้เฝ้าพิทักษ์รอยพระพุทธบาทอยู่ที่ภูน้ำรอดนี้”

ดังนี้แล้วจึงเอาน้ำหอมรดสรงอภิเษก เจ้าภิงคาร ให้เป็นพระยาเสวยเมืองมีชื่อว่า พระยาสุวรรณภิงคาร แล้วพระบาทท้าวเธอจึงพาไพร่พลสร้างเมืองขึ้น ณ ที่นั้นเรียกว่า "เมืองหนองหารหลวง" สืบมา

(หมายเหตุ : พระธาตุเชิงชุม เดิมชื่อ "ภูน้ำรอด" เมืองหนองหารหลวง คือ เมืองสกลนคร ในปัจจุบันนี้)

ขอเล่าเรื่องต่อไปอีกว่า ต่อมาเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้มาประทับรอยพระพุทธบาท ณ พระธาตุเชิงชุม แล้วจึงได้เสด็จกลับคืนมาประทับที่ ภูกูเวียน ทรงเปล่งรัศมีให้เข้าไปในเมืองนาคปู่เวียน ขณะนั้น สุวรรณนาคราช ได้เห็นพระรัศมี จึงออกมาจากแม่น้ำขึ้นไปสู่บนยอดเขา แล้วพ่นพิษออกมาเป็นควัน เขาลูกนั้นก็มืดมัวไปทั้งสิ้น

พระพุทธองค์จึงทรงเนรมิตเป็นเปลวไฟ ทำให้สุวรรณนาคราชกระเด็นไปในน้ำปู่เวียน เปลวไฟได้ผุดแต่พื้นน้ำขึ้นมาไหม้เมืองนาค ตลอดไปถึงหนองบัวบาน ซึ่งเป็นที่อยู่ของ พุทโธปาปนาคราช นาคทั้งหลายมาล้อมภูกูเวียนนั้นไว้ แล้วพ่นเปลวไฟขึ้นไปหาพระพุทธองค์

แต่เปลวไฟนั้นก็พุ่งกลับคืนมาไหม้นาคทั้งหลาย แล้วกลับไปบังเกิดเป็นดอกบัวบูชาพระตถาคตเป็นที่อัศจรรย์ จากนั้นจึงทรงสั่งสอนหมู่นาคเหล่านั้น ให้ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ตลอดไป

และใน ตำนานพระพุทธบาทภูควายเงิน เล่าว่า สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของ มลินทนาคราช ผู้เป็นน้องของ
พุทโธปาปนาคราช คือหลังจากที่ตนเองเลื่อมใสในพุทธศาสนาแล้ว จึงได้ขอให้พระพุทธเจ้าไปโปรดน้องด้วย

ต่อมามลินทนาคราชได้ฟังธรรมเทศนาแล้ว มีความปรารถนาจะบวช แต่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามไว้ แล้วได้ประทานรอยพระพุทธบาทลงบนแผ่นหินภูเขา มีบาลีว่า

“มลินทะนาคราชา ยะจิตโต โคตมะ พุทธเชษฐัง ปาทะวะรัง อะหัง วันทามิ สัพพะทา”

เสด็จไปหลวงพระบาง

.....ต่อจากนั้นองค์สมเด็จพระภควันต์จึงเสด็จไปสู่ ดอยนันทกังรี (หลวงพระบาง) ซึ่งเป็นที่อยู่ของนางนันทยักษ์ แต่ก่อนมีพญานาคตัวหนึ่ง ๗ เศียร ชื่อว่า “ศรีสัตตนาค” เข้ามาทูลขอให้พระศาสดาทรงย่ำรอยพระบาทไว้

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคก็เสด็จย่ำพระบาทไว้ ณ ที่นั้น ทรงก้าวพระบาทข้ามตีนดอยข้างขวา แล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์จึงกราบทูลถาม พระศาสดาจึงตรัสว่า

“..เราเห็นนาค ๗ หัวเป็นนิมิต ต่อไปภายหน้านี้ จักบังเกิดเป็นเมืองมีนามว่า “เมืองศรีสัตตนาค” และที่พญานาคได้ให้ความสวัสดีแก่ พระยาจันทบุรี (เจ้าผู้นครเวียงจันทน์สมัยนั้น) จักร้างเสื่อมสูญไป...”

ตรัสดังนี้แล้วจึงเสด็จลงไปไว้รอยพระพุทธบาทเบื้องซ้ายที่แผ่นหินอันจมอยู่ในกลางแม่น้ำ ซึ่งคนทั้งหลายไม่สามารถจะมองเห็นได้ แล้วจึงเสด็จไปบนดอยนันทกังรี (ปัจจุบันคือ พระบาทภูสี อยู่ใกล้กับ พระธาตุภูสี หลวงพระบาง) อธิษฐานให้เป็นรอยพระบาททับหงอนนาคไว้

ซึ่งพญาศรีสัตตนาคได้สมมุติดอยนันทกังรีให้เป็นหงอนแห่งตน เพื่อมิให้ท้าวพญาในเมืองนั้นทำยุทธกรรมกัน จักแพ้พระพุทธศาสนาบ้านเมืองแล้ว พระศาสดาก็เสด็จกลับสู่กรุงสาวัตถี

เป็นอันว่า เส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จมาตามที่พระอรหันต์บันทึกไว้ใน ตำนานพระธาตุพนม จะสรุปได้ว่าพระองค์เสด็จจากกรุงสาวัตถีมาสู่ เวียงจันทน์ ก่อนแล้วจึงเสด็จมาทางภาคอีสานของไทย ก่อนที่จะกลับก็ได้เสด็จไปประทับรอยพระพุทธบาทที่หลวงพระบาง


.....แล้วก็สรุปได้ว่า "ชื่อ" ของพญานาคราชที่ปรากฏอยู่ในตำนานนี้ ตามที่ได้ตั้งหัวข้อไว้ว่า "ตำนานพญานาค" ที่ถูกลืม บัดนี้ก็ได้นำรายชื่อของท่านมาให้รู้จักเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

...1. พญาศรีสุทโธนาคราช ผู้อารักขา "คำชะโนด" อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี
...2. พญาสุวรรณนาคราช เป็นผู้อารักขา "ภูน้ำรอด" (พระธาตุเชิงชุม) และรักษา "ภูกูเกวียน" (พระพุทธบาทบัวบก)
...3. พญาพุทโธปาปนาคราช เป็นผู้อารักขา พระพุทธบาทบัวบาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี
...4. พญามลินทนาคราช เป็นผู้อารักขา พระพุทธบาทภูควายเงิน อ.ปากคาน จ.เลย
...5. พญาสุกขหัตถีนาคราช เป็นผู้อารักขา พระพุทธบาทโพนฉัน แขวงบริคำไซ ลาว
...6. พญาปัพพาลนาคราช เป็นผู้อารักขา พระธาตุบังพวน อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย
...7. พญาศรีสัตตนาคราช เป็นผู้อารักขา พระพุทธบาทภูสี เมืองหลวงพระบาง ลาว


"บั้งไฟพญานาค" ขึ้นตรงตำแหน่ง

ที่มี "รอยพระพุทธบาท" ทุกแห่ง



.....รวมความว่าทำไมจึงมี "บั้งไฟพญานาค" ในวันออกพรรษา โดยเฉพาะจุดที่สำคัญที่ อ.โพนพิสัย ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงจะได้คำตอบเป็นอย่างดีแล้วว่า มี "รอยพระพุทธบาท" ปรากฏอยู่ทั้งสองฝั่งโขง

นั่นก็คือ พระพุทธบาทนาหงส์ (ฝั่งไทย) ที่อยู่ตรงข้ามกับ พระพุทธบาทโพนฉัน (ฝั่งลาว) อันมี พญาสุกขหัตถีนาคราช พร้อมหมู่นาคทั้งหลายเป็นผู้อารักขา

แต่มีบางคนที่ไม่เข้าใจกัน เพราะพลาดไปในเรื่อง "ประวัติศาสตร์" นั่นเอง คนไทยและลาวจึงต้องมานั่งเถียงกันเรื่อง "บั้งไฟพญานาค" บางคนถึงกับปรามาสกันเลยก็มี

ทั้งๆ ที่ "ตำนานพระธาตุพนม" ก็บอกเอาไว้ชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครสนใจอ่านกัน นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าแท้ๆ ที่พระอรหันต์สมัยนั้นท่านอุตส่าห์บันทึกไว้นานนับพันปี


(หมายเหตุ : ข้อควรสังเกตไว้ด้วยว่า ตลอดแนวริมแม่น้ำโขงทั้งสองฝั่ง มิได้มีบั้งไฟพญานาคทุกแห่ง โดยเฉพาะที่ อ.บุ่งคล้า จ.หนองคาย ผลสำรวจปรากฏว่าไม่มี "รอยพระพุทธบาท" แล้วก็ไม่มีปรากฏการณ์ "บั้งไฟพญานาค" อีกด้วย)

.....เป็นอันว่า สมควรที่จะได้อนุโมทนาความดีของท่าน "พญานาคราชทั้งหลาย" ทั้งที่รู้จักนามหรือไม่ปรากฏนามก็ดีที่ได้แสดงความเคารพ โดยการบูชาด้วยการถวายต่าง "ประทีปโคมไฟ" หรือที่เราเรียกกันว่า "บั้งไฟ" เนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงสเทวโลกนั่นเอง..สวัสดี ฯ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)


◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 28/9/17 at 05:14 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 5/10/17 at 05:31 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top