(ตอนที่ 14 จบ) ประวัติการสร้าง "สมเด็จองค์ปฐม" วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)
[01] ตอนที่ ๑ พบ "สมเด็จองค์ปฐม" เป็นครั้งแรก
[02] ตอนที่ ๒ ทรงแสดงพระพุทธลักษณะ
[03] ตอนที่ ๓ พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม
[04] ตอนที่ ๔ สถานที่สร้างมณฑป, วัสดุที่จะใช้สร้าง
[05] ตอนที่ ๕ นิพพานมีสภาพไม่สูญ..เฉพาะของคนไม่สูญ
[06] ตอนที่ ๖ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
[07] ตอนที่ ๗ สนทนาที่สายลม (กันยายน ๒๕๓๓)
[08] ตอนที่ ๘ พิธีเททอง "สมเด็จองค์ปฐม"
[09] ตอนที่ ๙ อานิสงส์การสร้าง "สมเด็จองค์ปฐม"
[10] ตอนที่ ๑๐ งานพิธีอัญเชิญ "สมเด็จองค์ปฐม" ขึ้นประดิษฐานบนวิหาร
[11] ตอนที่ ๑๑ งานพิธีบรรจุ "พระบรมสารีริกธาตุ" ในพระเกตุมาลา
[12] ตอนที่ ๑๒ งานพิธียกยอดฉัตรบนวิหาร
[13] ตอนที่ ๑๓ งานพิธีเททองสมเด็จองค์ปฐม "ปางพระนิพพาน"
[14] ตอนที่ ๑๔ คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ประวัติการสร้าง "สมเด็จองค์ปฐม"
โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยานมหาเถระ
เรียบเรียงโดย.. พระชัยวัฒน์ อชิโต
ตอนที่ ๑ พบ "สมเด็จองค์ปฐม" เป็นครั้งแรก
"...ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง "สมเด็จองค์ปฐม" สำหรับคำว่า "สมเด็จองค์ปฐม" ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรก
องค์แรกหรือองค์ที่หนึ่ง เรียกว่า "องค์ปฐม"
การที่จะหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐมก็มีอยู่ว่า นายแพทย์จรูญ ปิรยะวราภรณ์ เคยปรารภว่า หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องสมเด็จองค์ปฐมเสมอ ทำไมจึงไม่หล่อรูป
จึงคิดตั้งใจจะหล่อรูปท่านขึ้นมา
ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิดหนึ่ง คือเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๑ ตอนนั้นอาตมา มาอยู่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็น นาวาอากาศเอก
เป็นผู้บังคับกองฝึก โรงเรียนการบินที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั่น
ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ
บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพาน ยืนสองแถวยาวเหยียด ไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ
จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆ ที่หลังคาต่ำๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป
หลังคาก็สูงขึ้น
แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ "อุปาทาน" คือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้างๆ ท่านบอกว่า
คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐม จะเสด็จมา
อีกประมาณสัก ๕ นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งรูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน
เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆ องค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า
ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า... ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน ก็เลยนั่งบนหัว แล้วท่านก็บอกว่า
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน จะให้เทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น
ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่าวันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด
ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
การเทศน์ของพระพุทธเจ้า มุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวัง คนทั่วไป คนจะนั่ง สักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า
บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุด เฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆ
กัน
อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์หรือสอนกรรมฐาน ก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจจะเป็นเพราะท่านดลใจ
ถ้าจะถามว่า เป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม ก็ขอตอบว่า ไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง
แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่า ในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปท่านขึ้นมา..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 2 ]
(Update 8 กันยายน 2561)
ทรงแสดงพระพุทธลักษณะ
| |
"...วันหนึ่งจึงอาราธนา เมื่อเจริญพระกรรมฐานเสร็จแล้ว ท่องเที่ยวไปที่ต่างๆ ตามความพอใจ เมื่อกลับมาถึงที่ก็คิดว่า
สมเด็จองค์ปฐมจริงๆ รูปร่างสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านเป็นอย่างไร ก็ขออาราธนา ขอต้องการพบท่าน
ท่านก็มาปรากฏพระองค์ให้เห็น ทรวดทรงสวยมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนรูปไข่ แก้มอิ่ม ยิ้มน้อยๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน
แก้มตอนปากบุ๋มลงไป ท่านบอกว่า
รูปร่างของฉันจริงๆ เป็นอย่างนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ และต่อมาก็เปลี่ยนรูป รูปร่างของฉันสมัยนิพพานแล้ว เป็นอย่างนี้
ท่านก็เปลี่ยนให้ดู ก็ถามว่า ถ้าจะปั้นรูปของท่านจะให้ปั้นแบบไหน จะให้ปั้นแบบปางนิพพานหรือแบบมนุษย์
ท่านบอกว่า ปั้นอย่างนี้ก็แล้วกัน แล้วท่านก็นั่งทำภาพให้ดู เป็นเหมือนพระพุทธรูปปั้น แล้วก็มีเรือนแก้วเป็นพระพุทธชินราช
รูปจริงๆ ที่ให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริง คือไม่เหมือนกับรูปที่เป็นมนุษย์ และก็ไม่เหมือนกับรูปที่นิพพาน แต่ว่าเป็นรูปที่ท่านต้องการ
ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึง ๓ วันติดๆ กัน มานั่งให้เห็น วันหนึ่งประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ดูจนละเอียด
ก็คิดในใจว่าเราเป็นคนเห็น แต่ช่างเขาไม่ได้เห็น เขาอาจจะปั้นได้ไม่เหมือนก็ได้ จึงขอบารมีของท่านบอกว่า เวลาที่ช่างเขาปั้น
ขอได้โปรดดลใจให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ ท่านก็ยอมรับ
จึงได้สั่งให้ นายประเสริฐ แก้วมณี ปั้นรูปขี้ผึ้งขึ้น บอกลักษณะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดเมื่อเขาปั้นเสร็จ เขาเอามาให้ดูเหมือนกับ
รูปที่ท่านแสดงจริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์
และนายประเสริฐคนนี้ ก็เจริญกรรมฐานมโนมยิทธิได้แกก็ทำอะไรตามกำลังใจที่แกได้มา อาตมาก็บอกว่า ก่อนจะปั้นให้จุดธูปจุดเทียนก่อน
อาราธนาบารมีของท่านก่อน ขอให้ท่านดลใจให้มือทำตามไปที่ท่านต้องการ ความจริงก็เป็นอย่างนั้น.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 3 ]
(Update 19 กันยายน 2561)
พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม
"...ทีนี้ก็มานั่งนึกอีกทีว่า เรามีพระพุทธรูปทุกองค์ในสถานที่สำคัญ เราก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
แต่พระบรมสารีริกธาตุโดยมากเป็นขององค์ปัจจุบัน
สำหรับพระบรมสารีริกธาตุขององค์ปฐม จะหาได้ที่ไหน กำลังใจก็นั่งนึก คิดว่าเราจะทำอย่างไร จึงจะได้พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม
ก็คิดว่าเวลากาลนานมาแล้ว พระบรมสารีริกธาตุย่อมหาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ถ้าหาไม่ได้ก็เอาขององค์ปัจจุบันบรรจุ เพราะถือว่า เป็นคนขั้นตอน เป็นคนละองค์
ต่อมาเมื่อขณะที่ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ จบ ก่อนจะนอนก็ไป ไอ้การไปนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท การทัศนาจรไปเมืองสวรรค์ก็ดี เมืองนรกก็ดี พรหมก็ดี
มันเบื่อเต็มทีแล้ว... จืด
เวลานี้ไม่ไปไหน ที่ไปจุดแรกคือ..เทวสภา ไปที่ตรงนั้น ก็ไปไหว้ท่านผู้มีคุณตั้งแต่ชาติก่อนโน้นมาถึงชาติปัจจุบัน
ที่ท่านเป็นครูบาอาจารย์บ้าง เป็นผู้มีคุณบ้าง เป็นบิดามารดาบ้าง เป็นต้น ไหว้ท่านแล้วท่านก็แนะนำบางอย่างที่ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง ที่ไหนถูก ท่านก็บอกว่าถูก
ที่ผิดท่านก็บอกให้แก้ไข
ก็เป็นอันว่า ไปอย่างนี้ทุกคืน หลังจากนั้นก็เข้าพระจุฬามณีเจดียสถาน ไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่นั่น พระอรหันต์มีเยอะก็ไหว้ท่าน
ออกจากพระจุฬามณีเจดียสถานแล้ว ก็ไปนิพพาน ไปวิมานขององค์สมเด็จองค์ปัจจุบันก่อน พระสมณโคดม ไปนมัสการท่านเสร็จ
ถ้ามีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็บอก ถ้าไม่มีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็เฉย ก็นั่งสบายๆ ด้วยความชื่นใจ
หลังจากนั้น ท่านก็สั่งให้ไปวิมานของเธอ ในเมื่อไปวิมานของอาตมาเอง ในที่นั้นจะพบพระอรหันต์มาก จะมีพระพุทธเจ้าหลายๆ พระองค์
มีองค์ปฐมเป็นประธาน ทรงให้โอวาทอยู่ทุกวัน เตือนทุกวัน มีอะไรผิด มีอะไรถูก มีอะไรควรทำมีอะไรควรพูด ท่านจะแนะนำ
เมื่อกลับมาแล้วก็นอน คิดว่าเราจะนอนให้หลับ พอกำลังจิตจะเริ่มเคลิ้ม ก็ได้ยินเสียงว่า
"พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม เอามาให้แล้วนะ วางไว้ที่ตลับบนเตียงข้าง ๆ หัวนอน" ได้ยินเสียงชัดเจนแจ่มใสมาก เหมือนเสียงขององค์ปัจจุบัน
จึงลุกขึ้นมาเปิดไฟฟ้า ปรากฏว่าที่ตรงนั้นไม่เคยวางตลับ มีแต่วางหนังสือสำหรับดูก่อนหลับ ก็มีตลับพลาสติก แบบปัจจุบันอยู่ลูกหนึ่ง
ไปเปิดดูเห็น "พระบรมสารีริกธาตุ" องค์โต ๒ องค์ ก็ดีใจว่าเป็นขององค์ปฐมแน่ เพราะเราไม่เคยวางไว้ ก็เก็บไว้ในที่สักการบูชาเอาไว้บรรจุท่าน
ต้นเหตุเป็นอย่างนี้นะ.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 4 ]
(Update 4 ตุลาคม 2561)
เกิดอัศจรรย์ตรงสถานที่สร้างมณฑป
"...ต่อมาท่านก็บอกว่า จะทำมณฑปฉันที่ไหน ก็ถามท่านว่าสถานที่ไม่มีแล้ว ด้านหน้าวัดเต็มไปหมด ที่มองเห็นได้ไม่มี
มีแต่หลังวัด หลังวัดก็ไม่สมควร
ท่านก็บอกว่า มีที่สำคัญอยู่ที่หนึ่ง เวลานั้นกำลังป่วยมาก ก็พยายามให้พระขับรถไป ไปดูสถานที่ ค่อยๆ ลงจากรถ เดินมันก็จะล้ม
แต่ญาติโยมพุทธบริษัทไม่มีใครเข้าใจ เพราะเวลารับแขกเห็นท่าทางพูด ท่าทางแข็งแรง ความจริงไม่ใช่ เป็นกำลังพระท่านช่วย
หลังจากรับแขกแล้วก็ป่วย อาเจียน ลุกไม่ขึ้น เดินไม่ไหว นี่เป็นอำนาจพุทธานุภาพ และสถานที่ตรงนั้น ท่านบอกว่าเอาตรงนี้ สถานที่ตรงนั้นมีความสำคัญ
ท่านบอกว่ามี "พระบรมสารีริกธาตุ" สำคัญมาก แต่ความจริงก็เป็นความจริง มีคนเห็นอยู่เสมอว่า
มีดาวดวงใหญ่ขึ้นจากที่ตรงนั้น มีแสงสว่างมาก ลอยไปเหนือยอดไม้น้อย ๆ วนไปวนมาในวัดแล้วก็กลับที่เดิม
มีคราวหนึ่ง มี พ.ต.พงษ์เทพ เธอมาอยู่เป็นเพื่อน เธอเห็นเข้า เธอก็นั่งรถกวดว่าดาวดวงนี้จะลอยไปไหน เธอก็วิ่งตามไป วนไปวนมาอยู่พักก็กลับที่เดิม
เธอก็มาบอกว่า เมื่อคนนี้แปลก เห็นดวงดาวขึ้นจากแผ่นดิน ก็เลยบอกเธอว่า
"..นั่นไม่ใช่ดวงดาว เป็นพระบรมสารีริกธาตุ..!!!"
วัสดุที่จะใช้สร้าง
"...ท่านให้สร้างมณฑปตรงนั้น จึงสั่ง "ลุงชิด แก้วแดง" เป็นนายช่างทำการก่อสร้าง โดยเฉพาะเรือนแก้ว
บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์ปฐมสร้างหน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระหล่อด้วยโลหะ แล้วก็ผสมทองคำ เฉพาะ เพชร ที่ประดับเรือนแก้ว หรือว่า "ผ้าทิพย์"
เท่าที่เราเห็นมีราคา ๗๗๐,๐๐๐ บาทเศษ
แต่ความจริงไม่ใช่เพชรจริงๆ อย่าขโมยไปนะ ถ้าแกะมาหนึ่งเม็ด ราคาเต็มของเขาจะประมาณ ๑๒-๑๓ บาทเท่านั้นเอง
ที่นี้ซื้อมาก เพื่อประดับเรือนแก้วให้สวย เพราะว่าคนใกล้จะตาย คืออาตมาเองใกล้จะตาย อายุครบอายุขัยแล้ว
ครบอายุขัยก็เป็นอายุที่ควรตาย ก็ทำทิ้งทวน แล้วก็มีคนมาช่วยมาก มีใครบ้างจะไปขอบัญชีเขามาดู ถ้าเขาคัดไว้ก็จะมาพิมพ์ท้ายหนังสือ
มี พล.ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์กับคณะ ช่วยมา ๑ ล้านบาทเท่าที่จำได้นะ นอกนั้นมีใครบ้างก็ไม่ทราบ "องค์ปฐม" นี่ช่วยกันมามาก
สำหรับ "พื้น" ทีแรกคิดว่าจะใช้แกรนิต หรืออะไรไม่ทราบ มันสวยๆ แต่ว่าพระท่านบอกว่า มันแข็งมาก ต้องสั่งให้เขาตัดให้พอดี
ก็เลยล้มความตั้งใจ ก็พอดี พ.ท.นายแพทย์นพพร กลั่นสุภา พร้อมด้วยคณะชาวจังหวัดกาญจนบุรี
พ.ท. นายแพทย์นพพรนี่ เป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ กองพลที่ ๙ สนใจเรื่องบุญกุศลมาก ได้ทำตาดำตาขาวของพระ
พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอกมาถวาย ประมาณ ๖๐๐ คู่เศษ และนำนิลก้อนเล็กๆ นำมาให้ทำพื้น ก็เลยตัด สินใจว่า
ในเมื่อมีผู้ศรัทธานำนิลมาให้ตั้ง ๑ ตันกว่า เราก็ไม่ควรใช้อย่างอื่น ใช้ขัดพื้นด้วยนิล แทนที่จะเป็นหินขัด หรือว่าจะเป็นหินอ่อน จะเป็นแกรนิต
ไม่เป็นแล้ว ใช้นิลเป็นพื้นขัด ถ้านิลไม่พอจริงๆ ก็เอาอย่างอื่นผสม..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 5 ]
(Update 17 ตุลาคม 2561)
นิพพานมีสภาพไม่สูญ..เฉพาะของคนไม่สูญ
"...ก็รวมความว่า ความสำคัญเนื่องในการสร้างองค์ปฐม คือว่าคนไม่เคยคิด หรือว่าอาจจะคิดบ้างก็ไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าจริงๆ
ที่มีความลำบากมาก คือ "องค์ต้น"
เพราะไม่เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นครูมาก่อน ต้องลำบากบุกมาทั้งๆ ที่ไม่มีแบบ เป็นเหตุดลใจให้ตั้งใจคิดจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง ๔๐ อสงไขยกัปเศษ
จึงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
ถ้าถามว่า รู้ได้อย่างไร ก็ต้องขอตอบว่า ถามท่านซิ คนฟังหรือคนอ่านจะคิดไหมว่า พูดอย่างนี้เป็นคนบ้าหรือคนดี
บางท่านจะบอกว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว ..มีสภาพสูญ จะไปคุยกันได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า ก็ต้องเป็นคนสูญเหมือนกัน ก็ท่านสูญไปแล้ว เราก็สูญบ้าง
ถ้าสูญกับสูญพบกัน ก็ต้องเป็นสองสูญ สองสูญก็มีสภาพกลมเหมือนกัน แต่โตเล็กกว่ากันเท่านั้น เมื่อสูญต่อสูญคุยกันก็รู้เรื่องกัน
ถ้าท่านสูญ เรายังไม่สูญ เราก็คุยกับท่านไม่ได้ ก็รวมความว่า อาตมาก็เป็นคนสูญเพราะ
๑. สูญจากความเป็นหนุ่ม
๒. สูญจากความเป็นคนปกติ มีอาการป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ และก็
๓. สูญจากความเป็นคนที่คิดว่าไม่สูญ นั่นคือ ความหวังมีอย่างเดียว คิดว่าเราจะต้องตาย
เวลานี้อายุ ๗๕ ปี ตามใบสุทธิเป็นอายุขัย ควรตายแล้ว ไหนๆ จะตายก็ทำทิ้งทวนเฉพาะสมเด็จองค์ปฐม ราคาเท่าไรไม่ทราบ
เฉพาะเพชรที่ประดับราคา ๗๗๐,๐๐๐ บาทเศษ แล้วก็มณฑปทั้งหมด ก็จะบุแก้ว ปิดแก้วทั้งข้างนอกและข้างใน ให้คล้ายๆ กับวิมานของท่าน
ทำแบบคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือน เพราะวิมานของท่านสวยมาก
เดี๋ยวจะถามว่า รู้ได้ยังไง ก็ตอบตามเดิมว่า คนสูญก็รู้อย่างคนสูญ ที่เขาบอกว่า นิพพานมีสภาพสูญ อาตมาขอย้อนว่า
"...นิพพานมีสภาพไม่สูญ นิพพานจะสูญไปจากความชั่ว จะทรงไว้แต่ความดี..."
ถ้าหากจะมีคนคัดค้านว่า ตายแล้วมีสภาพสูญ ก็ต้องตอบว่า เป็นเรื่องของท่าน ต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างมีความเห็น จะให้เหมือนกันไม่ได้
ถ้าหากว่านิพพานมีสภาพสูญจริงๆ ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวอ้างอิงถึง พระพุทธเจ้าองค์นั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้
อย่างคำว่า
"สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง" ท่านทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง
"กุสะลัสสูปะสัมปะทา" จงทำแต่ความดี
"สะจิตตะปริโยทะปะนัง" จงทำใจให้ผ่องใสจากกิเลส
"เอตัง พุทธานะสาสะนัง" พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้ เหมือนกันหมด
พระพุทธเจ้าท่านรู้ได้ยังไง ถ้านิพพานมีสภาพสูญ ทำไมจึงจะรู้ว่า พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด
ก็แสดงว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ..เฉพาะของคนไม่สูญ นิพพานมีสภาพสูญ..เฉพาะของคนที่สูญจากนิพพาน !!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 6 ]
(Update 5 พฤศจิกายน 2561)
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
"...รวมความว่า บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การหล่อรูปองค์ปฐมนี้ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท นำทองมาถวายกันมาก เป็นกรณีพิเศษ
และการหล่อรูปนี้จะหล่อ วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕ มี "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" วัดสามพระยา เป็นประธานจับสายสิญจน์ในการหล่อ
ความจริงหลวงพ่อ "สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์" นี่ บางท่านอาจจะไม่รู้ ท่านเป็นพระสูญเหมือนกัน คือ สูญจากการยึดตัว ยึดยศฐาบรรดาศักดิ์
ท่านเป็นสมเด็จฯ ท่านไม่เคยแสดงองค์เป็นสมเด็จฯ เลย ไม่เคยถือเนื้อถือตัว ถือเป็นกันเองทุกอย่างกับทุกคนที่ไปหา ไม่มีมานะทิฏฐิ
และมีความเข้าใจเรื่องของคน มีความเข้าใจในเรื่องของใจคน
อย่าง พล.ต.ท.สมศักดิ์ สืบสงวน เคยไปกับหมอลัดดา ไปหาท่าน ท่านจำวัดอยู่บนกุฏิทั้งสองคนก็ไปคอย พอถึงเวลาท่านยังไม่ลงมา
ทั้งสองคนก็บอกว่า ในเมื่อท่านจำวัดเราก็กลับเถอะ พูดเบาๆ เท่านั้นแหละ เสียงกระแอมเปิดประตูหน้าต่าง แล้วท่านก็ลงมา
อาตมาเคยปรึกษากับ "มหาวิจิตร" (วัดภาวนาภิรตาราม) เรื่องที่จะทำบุญวันเกิดของท่าน ปรึกษากันที่ซอยสายลมว่า
เราคิดจะทำอย่างนี้ และไปกราบเรียนให้ท่านทราบ ถ้าหากว่าอันไหนท่านตัด เราก็ตัดตามท่าน อันไหนท่านให้เติม เราก็เติมตามท่าน
เสร็จแล้วก็ไปหาท่าน ท่านนั่งรอรับอยู่ ท่านยังไม่ขึ้นกุฏิ เมื่อกราบพอเงยหน้าขึ้นมา ท่านก็บอกว่า ปีหน้าจะให้ทำอะไรก็บอกนะ ทำตามทุกอย่างแหละ
นั่นคุยกันที่ซอยสายลม ท่านอยู่ที่วัดสามพระยาทำไมจึงรู้
ก็เป็นอันว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์นี้มีความสำคัญมาก เป็นประธานการหล่อพระคราวไร ไม่เคยเสีย
คราวหนึ่งลมแรงจัด ช่างบอกว่า ถ้าลมแรงแบบนี้ การเททองลำบากยังไงๆ พระต้องเสียแน่ ต้องมีเว้า มีโหว่ มีแหว่ง
แต่เธอก็พยายามทำไปด้วยความลำบากจนเสร็จ นี่..สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์จับสายสิญจน์นะ ช่างรีบไปทุบหุ่นไม่อยากให้คนอื่นเห็น คิดว่าถ้าเสียจะรีบเก็บ
แต่ที่ไหนได้บรรดาท่านพุทธบริษัท พระทุกองค์เรียบร้อยเกือบไม่ต้องแต่ง ช่างดีใจจนน้ำตาไหล
นี่..ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความเข้าใจว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ "วัดสามพระยา" เป็นพระที่มีสภาพสูญเช่นเดียวกัน
เอาละ..บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ก็เล่าสู่กันฟังก็แค่นี้ ขอจบเพราะเวลาหมด เหลือเวลาประมาณครึ่งนาที
ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่ท่านพุทธศาสนิกชนผู้รับฟังก็ตาม ผู้อ่านก็ตาม จงมีแต่ความสุขปรารถนาสมหวัง
รวยตลอดชาติ..ทั้งชาตินี้และชาติหน้า
...ถ้าใครต้องการหวังนิพพาน..ขอให้ได้นิพพานสมความปรารถนา
...ใครไม่อยากไปนิพพาน..ก็ขอให้รวยตลอดทุกชาติ..สวัสดี.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 7 ]
(Update 15 พฤศจิกายน 2561)
สนทนาที่สายลม (กันยายน ๒๕๓๓)
"...ผู้ถาม : ได้ข่าวว่าหลวงพ่อจะหล่อสมเด็จองค์ปฐม และสร้างมณฑปใกล้พระ ๓๐ ศอกหรือครับ ?
...หลวงพ่อ : ที่ตรงนั้นแปลก รถแทรคเตอร์เคยเข้าไปดินแห้งๆ ฟรีไปไม่ได้ พอเข้าไปถึงเครื่องติด ล้อหมุน แต่สายพานไม่เดิน
และก็ยามปกติ เวลาพระบรมสารีริกธาตุเสด็จขึ้นจากที่นั้นบ่อย เห็นกันบ่อยครั้งมาก ก็เป็นว่าสร้างทับที่พระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อตอนขากลับขึ้นไป "หมอจรูญ" เขาขึ้นไป มีหมอหลายคนก็คุยกัน ถามว่าจะสร้างวิหารแบบไหน ก็เลยคิดจะสร้างวิหารแบบโบสถ์ใช่ไหม
ท่านเลยตัดสินใจบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สร้างเหมือนหลังนี้ (มณฑปแก้วที่ข้างตึกรับแขก) เอาเหมือนหลังนี้ทุกอย่าง และหาที่ให้เสร็จในวัดนี้นะ
และนั่งมองที่ว่าจะสร้างที่ไหนจะเหมาะ ท่านก็ชี้ให้
...ผู้ถาม : คงจะเป็นองค์แรกของโลก
...หลวงพ่อ : ใช่ ๆ ๆ เออ... ไม่มีใครเขาพูดถึงกันนะ อย่างเก่งๆ ก็สมเด็จพุทธทีปังกร คือว่า สมเด็จพุทธทีปังกรนี่
พระพุทธเจ้าเราปรารถนาพุทธิภูมิเป็นครั้งแรก
แต่ว่า องค์ปฐมไกลกว่านั้นแยะ พระพุทธเจ้านี่มีหลายแสนองค์นะ ไม่ใช่มีองค์เดียว องค์ปฐมนี่ ลำบากมาก
ถามท่านว่าบำเพ็ญบารมีมาเท่าไหร่ บอกเขาบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขย ฉัน ๔๐ อสงไขยกว่า เพราะไม่มีตัวอย่าง ก็ถามท่านว่าทำไมจึงคิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า
ท่านบอกไม่รู้ มันมีชาติหนึ่งคิดว่า คนเกิดมาแล้วมันมีทุกข์ ทำไงจึงหมดทุกข์ ทำไปมันก็ทำผิดบ้าง ถูกบ้าง ใช่ไหม... ใหม่ๆ ต่อไปก็เข้าเขตถูก
...ผู้ถาม : หลวงพ่อเคยมีความเกี่ยวพันกับพระองค์ท่านบ้างไหมครับ
หลวงพ่อ : องค์ปฐมนี่ท่านเคยบอกว่า ฉันเคยเป็นลูกท่าน เคยเป็นลูกในสมัยที่ท่านยังไม่เป็นพระพุทธเจ้านะ ในกาลก่อนๆ นะ
แล้วต่อมาในสมัยที่ท่านเป็นพระพุทธเจ้า ฉันก็ปรารถนา ๑๖ อสงไขย อยากจะให้เก่งเหมือนพ่อ... (หัวเราะ)
...(หลังจากสอนพระกรรมฐาน และลูกหลาน สวดอิติปิโสถวาย ๓ จบแล้ว ในขณะหลวงพ่อฟังสวด หลวงพ่อพนมมือนั่งนิ่งเป็นสมาธิ
สวดจบแล้วท่านมีเรื่องเล่าให้ฟังอีกว่า)
สมเด็จองค์ปฐมท่านมาบอกว่า เออ... ถ้าหล่อรูปฉันน่ะ เอาแก้วอย่างดีติดที่นิ้วก้อยสักแก้วได้ไหม.. นิ้วก้อยซ้าย?
เลยถามท่านว่า ถ้าบังเอิญเขาให้มากกว่านั้นล่ะ ก็ติดที่แท่นก็แล้วกัน
แก้วอย่างดีมันก็เพชร เอาแก้วอย่างดี ท่านบอกอย่างนั้น ถามว่าขโมยเขาไม่ลักหรือ
แกทำให้ดีลักไม่ได้ ท้าวมหาราช มีมาก บีบคอแน่ ถ้ามากจริงๆ ท่านบอกให้ติดที่ผ้าอะไร... ผ้าทิพย์
ก็เป็นอันว่าท่านบอกว่า ถ้าบอกเขาว่าหนึ่ง มันจะไม่เป็นหนึ่ง เพราะองค์ปฐม ท่านเลยบอกเอางั้นก็แล้วกันนะ แก้วน่ะไม่ต้องดีนัก ราคาแพงมากเกินไป
เวลาขโมยลักไปจะเสียดาย เอาแก้วอย่างเลว ตูดขวดก็ได้... (หัวเราะ)
บทผนวก
...หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า สมเด็จพระพุทธสิกขี แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้
โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น พระพุทธสิกขีที่ ๑ พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่าทรงเป็น สมเด็จองค์ปฐมบรมครู อย่างแท้จริง
ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฟัง ที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัยประมาณ ๘ หมื่นปี
พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปี
หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก ๒ หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก
พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์ อีกประมาณ ๒ หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัป
ในการบำเพ็ญพระบารมีเพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง ดังนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 8 ]
(Update 25 พฤศจิกายน 2561)
พิธีเททองหล่อรูป "สมเด็จองค์ปฐม"
เมื่อวันที่ ๑๔ - ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕
...วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๕ เวลา ๑๘.๐๐ น หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวง ที่ปะรำพิธีเททองหน้าวิหาร ๑๐๐ เมตร
...วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๓๕ เวลา ๐๘.๐๐ น หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงที่ปะรำพิธีเททองอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วเดินทางไปที่ศาลา ๒ ไร่ เพื่อทำบุญประจำปีของท่าน
ซึ่งมีพระเถรานุเถระและญาติโยมพุทธบริษัทเดินทางมากันมากมาย
หลังจากเสร็จงานที่นั่นแล้วหลวงพ่อจึงเดินทางไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร ซึ่งมีญาติโยมไปนั่งรออยู่ในเต๊นท์หน้าวิหาร
ก่อนจะถึงเวลาเททอง มีญาติโยมพุทธบริษัทที่คอยทำบุญและถวายทองกับหลวงพ่อเป็นจำนวนมาก จนใกล้เวลาบ่าย ๒ โมง ก็ดูทีท่าว่าจะยังถวายไม่เสร็จ
ดร.ปริญญา จึงประกาศให้วิ่งเร็วๆ เข้ากลายเป็นวิ่งทำบุญไปสนุกไปอีกแบบ
...เวลา ๑๔.๐๐น เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธานพิธีเททอง โดยท่านนั่งอธิษฐานถือ สายสิญจน์ภายในระเบียงวิหาร ๑๐๐ เมตร
ส่วนหลวงพ่อลงไปที่ปะรำพิธีเททองเอง ทองคำที่หลวงพ่อเทลงในเบ้าหล่อสมเด็จองค์ปฐม รวมทั้งสิ้น ๗๘ กิโลกรัม นับว่ามากที่สุดตั้งแต่เททองมา
และเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านบอกว่า พระองค์นี้บูชาให้ดี จะมีลาภมาก
ในขณะที่หลวงพ่อเททองยังไม่ทันเสร็จ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ขอกลับก่อน เมื่อหลวงพ่อเททองเสร็จแล้ว จึงขึ้นมาที่วิหาร ๑๐๐ เมตรอีกครั้งหนึ่ง
เพราะยังมีคนทำบุญกันอีก จนถึงเวลาบ่าย ๓ โมง จึงขึ้นพัก
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 9 ]
(Update 13 ธันวาคม 2561)
อานิสงส์การสร้าง "สมเด็จองค์ปฐม"
หลวงพ่อ : ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือ มีเนื้อมากหน่อย
ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ
และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกันเขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า
ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์ยังไง ลุงสองลุง นายบัญชี กับ ลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ
ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอก นี่...บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) บัญชีสีทอง
เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย
ฉันอยากได้บัญชีเอามาขาย ท่านบอก ถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก...หรือไง?
แต่ก็ไม่ได้หมายความต้องเงินมากนะ คือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกกันถึงพระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม
ส่วนใหญ่ไปนึกถึงพระศรีอาริย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรกก็คุยกันแล้ว
ท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่า เป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช่ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี
เอาของไปประดับก็ตาม
ทีนี้อย่างคนมีเงินน้อยๆ ใช่ไหม ก็มีสตางค์ไม่มาก เอาสตางค์ ๙ สตางค์ ๑๐ สตางค์ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด
คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปนะ ที่เขามีน้อยๆ บาทสองบาท ๑๐ สตางค์ ๒๐ สตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่นอย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด
ก็ถามว่า บัญชีสีทองหมายถึงอะไร ท่านบอก มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนาหมด
ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่ อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือว่าจะแตกต่างกันอย่างไรครับ
ถ้าเป็นทองคำเหมือนกัน ?
หลวงพ่อ : ก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้า บัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง
บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น
ผู้ถาม: หมายถึงเป็นเจ้าภาพหล่อองค์ปฐมนี่หรือครับ ?
หลวงพ่อ : ใช่ๆ ๆ จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม
เหมือนกัน ลงบัญชีเล่มเดียวกัน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 10 ]
(Update 25 ธันวาคม 2561)
งานพิธีอัญเชิญ "สมเด็จองค์ปฐม" ขึ้นประดิษฐานบนวิหาร
...หลังจากนายช่างประเสริฐ แก้วมณี ได้ทำการตบแต่งองค์พระเสร็จแล้ว ด้วยการพ่นสีเหลืองรองพื้นไว้ เพื่อรอปิดทองต่อไปนั้น
ส่วนวิหารสมเด็จองค์ปฐม นายช่างชิต แก้วแดง ก็ได้ทำการก่อสร้างไปบ้างแล้ว พอที่จะทำการอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนแท่นภายในวิหารก่อน
จึงรอแต่วันฤกษ์งามยามดีเท่านั้น
ครั้นถึงวันนี้ที่เป็นวันสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ของวัดท่าซุง นั่นก็คือเป็นวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๓๕ ซึ่งตรงกับ "วันวิสาขบูชา" ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ
ได้กระทำพิธี ๔ อย่าง นับเป็นครั้งสุดท้ายในวันเดียวกัน คือ...
งานสำคัญครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อฯ
...๑. ตอนเช้า เวลา ๐๗.๐๐ น. หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงที่ "วิหารสมเด็จองค์ปฐม" หลังจากนั้นท่านได้เดินขึ้นไปบนวิหาร
เพื่ออัญเชิญพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมขึ้นประดิษฐานบนแท่นภายในวิหาร
เมื่อเห็นว่าช่างได้ยกพระขึ้นบนแท่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านจึงเดินลงไปจากวิหารท่ามกลางผู้ที่มาร่วมพิธีมากมาย หลังจากนั้น
หลวงพ่อก็มิได้กลับมาที่วิหารหลังนี้อีกเลย
...๒. เวลา ๐๘.๐๐ น. หลวงพ่อแสดงพระธรรมเทศนา ที่ศาลาพระพินิจอักษร นับป็นการเทศน์เนื่องใน "วันวิสาขบูชา" เป็นปีสุดท้ายของท่าน
...๓. เวลา ๐๙.๐๐ น. หลวงพ่อเดินทางมาที่ศาลา ๑๒ ไร่ และทำพิธีบวงสรวงเนื่องในงาน "พิธีสะเดาะเคราะห์" นับเป็นการทำ "พิธีสะเดาะเคราะห์"
ให้ลูกหลานเป็นครั้งสุดท้าย
...๔. เวลา ๑๘.๐๐ น. หลวงพ่อทำพิธีบวงสรวงที่วิหาร ๑๐๐ เมตร เนื่องใน "พิธีพุทธาภิเษก" พระคำข้าว, มีดหมอชาตรี, และวัตถุมงคลอื่นๆ
ถือว่าเป็นการทำพิธีปลุกเสกเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน
...ภาพที่คณะพระภิกษุบวชใหม่ได้มาถ่ายภาพเมื่องานธุดงค์ ปี ๒๕๓๕ ก่อนที่จะปิดทองและประดับเพชร
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 11 ]
(Update 8 มกราคม 2562)
งานพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ในพระเกตุมาลา "สมเด็จองค์ปฐม"
...งานนี้เป็นงานทำบุญประจำปีของวัดท่าซุง ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" เคยจัดมา
ถึงแม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วก็ตาม ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสองค์ใหม่ พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ภายในวัดท่าซุง และญาติโยมพุทธบริษัท
ได้ร่วมกันจัดงานเหมือนสมัยที่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่
โดยอาราธนาสมเด็จพระราชาคณะ รองสมเด็จพระราชาคณะ และพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด จำนวน ๖๔ รูป ฉันภัตตาหารเพลที่ศาลา ๒ ไร่
วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๓๖ เป็นวันเริ่มงาน ทางวัดได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ที่วิหาร ๑๐๐ เมตร สำหรับญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย จะได้สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุ
"สมเด็จองค์ปฐม"
(จำนวน ๒ องค์ ที่เสด็จมาเองในห้องนอนหลวงพ่อ ) ก่อนที่จะอัญเชิญไปบรรจุไว้ในพระเกตุมาลาพระพุทธรูป "สมเด็จองค์ปฐม"
ทางด้านพระวิหารสมเด็จองค์ปฐม ก็มีการจัดเตรียมสถานที่เช่นกัน โดยประดับธงและผูกผ้า (ท่านมหาปรีชา วัดอุทุมพร มาช่วย) พร้อมทั้งกางเต๊นท์ไว้ด้านข้างวิหาร
เพื่อญาติโยมทั้งหลายได้นั่งชมพิธีอยู่ด้านล่างทางโทรทัศน์วงจรปิด ส่วนชั้นล่างและชั้นบนของวิหาร ได้ทำความสะอาดอย่างรีบด่วน
เพราะช่างเพิ่งจะทำองค์พระเสร็จ ส่วนช่างไฟก็เพิ่งจะเสร็จเหมือนกัน เมื่อจัดโต๊ะหมู่เรียบร้อยแล้ว ก็เปิดไฟทั้งหมดภายในวิหาร
...หมายเหตุ จริงๆ แล้วโคมไฟในวิหารยังเปิดได้ไม่หมด จนกระทั่งปี 2561 ผ่านไป 25 ปี ถึงจะเปิดได้หมดจริง
ทั้งนี้ ต้องขออนุโมทนา คณะคุณหมอนพพร - คุณหมอเตือนใจ กลั่นสุภา ได้ติดต่อร้านไฟฟ้า บริษัท ทัศศิพร เอ็นเทอไพรซ์ และ หจก.แสงพิบูลย์กาญจนบุรี คือ
คุณติ๋มและสามี ได้ส่งช่างมาทำให้จนสำเร็จอย่างสวยสดสวยงาม
ส่วนการประดับเพชรที่ฐานพระ จะเป็นเพชรขนาดเดียวกันหมด เดิมช่างจะใช้กระจกสีผสมไปด้วย โชคดีที่วันนั้นผู้เขียนเข้าไปดูงานพอดี
จึงได้แนะนำให้ช่างใช้กระจกสีขาวทั้งหมด
...ปรากฏว่าภาพที่ประจักษ์ต่อสายตาของบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทขณะนั้นแล้ว ต่างก็ร้องชื่นชมด้วยความปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง
สมกับเวลาที่รอคอยมานานแล้ว
บางท่านที่เพิ่งเดินทางมาถึง เมื่อก้าวขึ้นไปพบบ้าง ก็ได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า สร้างได้วิจิตรประการตายิ่ง บางคนคงจะเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ชื่นชม
พร้อมกับหลวงพ่อของเรา เหมือนกับที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๓๖ หลังจากฉันภัตตาหารและถวายเครื่องไทยทาน พระสงฆ์ให้พร เป็นเสร็จพิธี ที่ศาลา ๒ ไร่ แล้ว เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
วัดสามพระยา เดินทางไปที่วิหาร ๑๐๐ เมตร
หลังจากญาติโยมได้สรงน้ำพระบรมธาตุกันแล้ว เมื่อได้เวลาอันสมควร (เดิมจะเริ่มพิธีเวลา ๑๔.๐๐ น แต่เจ้าประคุณสมเด็จฯ มีกิจนิมนต์ที่ จ.นครปฐม
จำเป็นจะต้องเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นกว่าเดิม จึงต้องขออภัยญาติโยมในวันนั้นด้วย)
ในเวลา ๑๒.๑๕ น ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐม เพื่ออาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ
บรรจุไว้ในผอบทองคำในขณะทำพิธีบรรจุนั้น พระสงฆ์จำนวน ๙ รูป สวดชยันโต
เมื่อบรรจุในผอบทองคำแล้ว จึงนำไปวางไว้ในเจดีย์แก้วอีกชั้นหนึ่ง เสร็จแล้วท่านเจ้าอาวาสพร้อมด้วยพระสงฆ์ และท่านสาธุชนทั้งหลาย
ได้ร่วมขบวนแห่พระบรมสารีริกธาตุไปยังวิหารสมเด็จองค์ปฐม โดยมีวงโยธวาทิต "โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา" นำขบวน
เวลา ๑๒.๔๐ น ขบวนแห่ไปถึงแล้ว พระสงฆ์ก็ขึ้นไปนั่งข้างในด้านซ้ายมือของวิหาร ส่วนญาติโยมนั่งอยู่ด้านตรงข้ามและนั่งรอกันแน่นวิหาร
ก่อนที่ขบวนแห่จะมาถึงด้วยซ้ำไป ท่านที่มาภายหลัง จึงต้องไปนั่งอยู่ภายในเต็นท์ข้างวิหาร
เวลา ๑๒.๔๕ น เจ้าประคุณสมเด็จฯ เดินทางมาถึงวิหารสมเด็จองค์ปฐม ท่านเจ้าอาวาสส่งเทียนชนวนให้เจ้าประคุณสมเด็จฯ จุดธูปเทียนบูชาที่โต๊ะหมู่บูชา
เมื่อกราบนมัสการแล้ว ท่านก็มานั่งเก้าอี้รับแขกที่จัดไว้ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า
พระองค์นี้มีลาภมากนะ และท่านกล่าวชมอีกว่า
สร้างได้สวยงามมาก เสียดายที่จะต้องรีบไป อยากจะอยู่นาน ๆ กว่านี้อีก ต่อไปคงจะมีโอกาสได้มาชมอีก
หลังจากนั้น พระชัยวัฒน์ อชิโต ได้อัญเชิญพระเกตุมาลาของพระพุทธรูป "สมเด็จองค์ปฐม" ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพานทอง
อันวางรอไว้อยู่ที่บนชั้นสูงสุดของโต๊ะหมู่บูชา
เมื่อมาถึงแล้ว ท่านพระครูปลัดอนันต์กราบอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ อัญเชิญผอบทองคำที่บรรจุพระบรมธาตุของ "สมเด็จองค์ปฐม"
จำนวน ๒ องค์ บรรจุไว้ในผอบทองเหลืองก่อน แล้วจึงนำไปใส่ไว้ในพระเกตุมาลานั้น พระสงฆ์ ๙ รูป สวดชยันโต
เสร็จแล้วท่านพระครูปลัดอนันต์ กราบอาราธนาเจ้าประคุณสมเด็จฯ ขึ้นไปสวมไว้บนพระเศียร ท่านแหงนดูบันไดที่เตรียมไว้ด้านหน้าองค์พระนั้นแล้ว
ท่านบอกขึ้นไม่ไหว จึงมีบัญชาให้ท่านเจ้าอาวาสนำขึ้นไปแทน โดยท่านยกมือทั้งสองขึ้นพนมอธิษฐานเสียก่อน
ในระหว่างเดินขึ้นไปบนบันไดนั้น พระชัยวัฒน์เป็นผู้อัญเชิญพานทองพระเกตุมาลา เพื่อให้ท่านพระครูปลัดอนันต์ ได้ทำพิธีสวมไว้บนพระเศียร ขณะขึ้นไปสวมนั้น
พระสงฆ์ สวดชยันโต เป็นเสร็จพิธี
เมื่อใกล้เวลา ๑๓.๐๐ น อันเป็นเวลาที่ท่านจะต้องเดินทางกลับ พระสงฆ์วัดท่าซุงได้เข้ามากราบนมัสการเจ้าประคุณสมเด็จฯ
ท่านได้ให้โอวาทสั้น ๆ ว่าขอให้ช่วยกันดูแลรักษาสมบัติของพระศาสนาไว้ให้ดีให้มีความสามัคคีต่อกันไว้ดังนี้
พวกเราได้ฟังในขณะนั้นแล้ว แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ปลื้มใจที่พระผู้ใหญ่ให้ความเมตตาปรานี ท่านมีความห่วงใยต่อวัดของเราจริงๆ ถึงกับพลั้งปากออกไปเบา ๆ
ว่า
"..พวกเราจะพยายามช่วยกันรักษาไว้ด้วยชีวิตเลยครับ... !
ก่อนจะกลับท่านก็บอกว่า ผมขอไปกราบพ่อก่อน แล้วท่านได้เข้าไปกราบยังหน้าโต๊ะหมู่บูชานั้น ในระหว่างที่ท่านเดินลงจากวิหาร
บรรดาลูกหลานหลวงพ่อทั้งหลาย ต่างก็ถวายปัจจัยใส่ย่าม ตามธรรมเนียมที่เคยประพฤติมา จนกระทั่งท่านเดินไปถึงรถก็ยังทำบุญกันไม่ขาดสาย
แล้วท่านได้มอบปัจจัยทั้งหมดให้เจ้าอาวาส เพื่อไว้ใช้จ่ายในงานนี้ต่อไป
หลังจากเจ้าประคุณสมเด็จฯ กลับแล้ว ญาติโยมพุทธบริษัทและลูกหลานของหลวงพ่อ ต่างก็ทยอยขึ้นไปทำบุญและถวายเครื่องประดับ เช่น
สร้อย แหวน ของมีค่าต่างๆ มากมาย โดยบรรจุไว้ในแท่นที่ประทับสมเด็จองค์ปฐม เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ไว้เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนาต่อไป
ทั้งนี้ เพราะทุกคนมุ่งหวังอานิสงส์ใหญ่ คือการไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป ตามสิทธิ์ที่จะได้ใน "บัญชีทอง" และได ้ทราบว่าพระศรีอาริย์
เคยมาบอกกับหลวงพ่อว่า
คนของท่านเหลือไปถึงสมัยผม ..ไม่ถึง ๑๐ คนหรอก.. ! ส่วนที่ยังไปไม่ได้นั้น เพราะยังชอบเมาอยู่
ฉะนั้น พวกที่ไม่ชอบเมาคงจะสบายใจได้ จึงขอให้สมความปรารถนาทุกๆ ท่านเทอญ... ขอเจริญพร !
...ก่อนจะจบขอย้ำเตือนความทรงจำของท่านทั้งหลายที่ร่วมกันสร้างพระพุทธรูป "สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐม" พร้อมด้วยวิหารแก้วแห่งนี้
เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวาระทรงมีพระชนมายุครบ ๖๐ พรรษา ณ วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ด้วยประการฉะนี้
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 12 ]
(Update 16 มกราคม 2562)
งานพิธียกยอดฉัตร ณ วิหารสมเด็จองค์ปฐม
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๖
"...งานนี้ได้มีการจัดเตรียมสถานที่ก่อนวันงาน ประมาณสักสองสามวัน ในบริเวณด้านในกำแพง "พระวิหารสมเด็จองค์ปฐม"
โดยกางเต้นท์ไว้เป็นปะรำพิธี ในตอนนี้ คุณอภิชาต สุขุม ได้นำคณะมาร่วมจัดทำกระเช้าดอกไม้ภายในวิหาร เพื่ออัญเชิญยอดฉัตรขึ้นไปบนวิหาร
สำหรับ "ยอดฉัตร" คุณอภิชาต สุขุม ได้รับหน้าเป็นที่จัดทำ โดยมี คุณไพฑูรย์ - คุณสมศรี ตั้งศิริพร และ คุณไพรัช - คุณเบญจวรรณ ตั้งศิริพร
ร่วมเป็นเจ้าภาพ
เมื่อถึงเวลาทำพิธีบวงสรวง ท่านพระครูปลัดอนันต์ และ พระชัยวัฒน์ เป็นผู้จุดธูปเทียนที่โต๊ะบายศรี ท่ามกลางความยินดีแก่ผู้ร่วมงานพิธีกันอย่างคับคั่บ
เต็มลานพระวิหารทีเดียว
ครั้นเมื่อ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ บวงสรวงจบแล้ว ถึงเวลาอันสำคัญที่จะได้อัญเชิญยอดฉัตรขึ้นไปประดิษฐาน สมเจตนาที่ครูบาอาจารย์ได้มีไว้ก่อนที่จะมรณภาพ
พวกเราเหล่าพุทธบริษัทที่เป็นลูกหลาน ต่างก็ได้ทำตามปนิธานของท่านไว้ด้วยดีทุกประการ นับว่าทุกคนได้แสวงตน เพื่อมุ่งหวังมรรคผลนิพพานกันอย่างแท้จริง
pg
หลังจากเสร็จพิธีการแล้ว เจ้าภาพคือ คุณไพฑูรย์ - คุณสมศรี ตั้งศิริพร ได้ถวายไทยทาน เมื่อพระสงฆ์ให้พร จึงเป็นอันเสร็จพิธี
เป็นอันว่า ประวัติการดำเนินการสร้าง "สมเด็จองค์ปฐม" ได้นำมาบรรยายไว้ครบถ้วน เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้รับทราบประวัติอย่างแท้จริง
เพราะในปัจจุบันนี้ ได้มีการสร้าง "สมเด็จองค์ปฐม" มีลักษณะที่แตกต่างจากวัดท่าซุงกันมากมาย
บางรายได้มีการแจกใบปลิว ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันไปหลายรายแล้ว ซึ่งทางวัดมิได้เกี่ยวข้องด้วย จึงขอให้ผู้มีศรัทธาทั้งหลาย โปรดตรอจสอบให้แน่ชัดเสียก่อน
เพราะว่าเวลานี้ "สมเด็จองค์ปฐม" ได้มีชื่อเสียงสมกับคำที่ "สมเด็จปู่วัดสามพระยา" พูดไว้ทุกประการ ขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาไว้ด้วยดี
สมกับที่มีความเคารพพระองค์ท่านอย่างแท้จริง
ครั้นต่อมาภายหลัง ประมาณปี ๒๕๓๗ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พร้อมด้วยพระสงฆ์วัดท่าซุง และคณะศิษย์ฯ ได้มีการจัดงานพิธีหล่อ "สมเด็จองค์ปฐม ปางพระนิพพาน"
เพื่อนำไปประดิษฐานชั้นบนพระวิหาร ตามคำบัญชาของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ครบถ้วนทุกประการ
จึงขออนุโมทนาท่านผู้ร่วมสร้างทั้งหลาย ที่ได้ช่วยกันทำตามปนิธานของท่านไว้ เพื่อช่วยกันคำจุนสถานที่แห่งนี้
ให้ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุพระพุทธศาสนาต่อไป...สวัสดี"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 13 ]
(Update 25 มกราคม 2562)
งานพิธีเททองสมเด็จองค์ปฐม "ปางพระนิพพาน"
เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๓๘
...สำหรับงานพิธีที่สำคัญนี้ นับว่าเป็นความประสงค์เดิมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
โดยท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ สมัยนั้นได้สนองเจตนารมย์ของครูบาอาจารย์ ที่ต้องการจะหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ
ในลักษณะนั่งประทับห้อยพระบาท หรือที่เรียกว่า "ปางพระนิพพาน"
ซึ่งมีกำหนดการทำพิธีเททองเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๓๘ ตรงกับงานทำบุญประจำปี โดยมีท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศฯ เป็นองค์ประธาน
ในตอนนี้ จึงขออัญเชิญ คำสอนสมเด็จองค์ปฐมบรมครู (สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพล) ได้เทศน์โปรดไว้ ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ได้นำมาเล่าให้ลูกหลานฟังว่า
"...ดูก่อนท่านทั้งหลายท่านที่มาประชุมทั้งหมดจะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย
นั่นหมายถึงว่าการจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไปและมันจะทุกข์ทีหลัง
จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์
ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนา ไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน
แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้าทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ
ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหนก็สามารถลอยไป
ถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา
จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย
ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติ คือตาย
แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก
จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติ ๆ ยังมีมากมาย"
(พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดานางฟ้ากับพรหมเห็นเงาบาปอยู่ใน หนามาก
เป็นอันว่าทุกองค์ต่างองค์ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็น เทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเองเวลานั้นร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน
ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสว่า)
"ภิกขเว...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด
จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง
มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น...นรก! (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด)
ท่านทั้งหลาย จะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว
ก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหมใหม่
ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่อาจ ลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่
มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพานระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็นอันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน
ท่านทั้งหลายจงดูนั่น...นิพพาน !"
(ท่านก็ยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดานางฟ้ากับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน
เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้วแพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์
ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุข ขนาดไหน มีความเข้าใจหมดรู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคต ก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)
"ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์
เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว
และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจทั้งนี้เพราะ มีความเข้าใจแล้ว
(ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก)
ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงเทวดานางฟ้าใหม่ ๆ ที่มาเกิดใหม่ ๆ จะหลงความเป็นทิพย์
นั่นหมายความจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติจะไม่มีการเคลื่อน
อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพานนั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ
และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไรก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง
เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม
ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธามีความเคารพในพระพุทธเจ้าในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สองที่ท่านจะไปนิพพานได้
หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลายจงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม"
(พอท่านพูดถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)
"ฤาษี .. เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง ๒๒๗
เหมือนกับความเป็นพระพรหมก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี"
(แล้วท่านก็กลับหันหน้าไปหาเทวดานางฟ้ากับพรหมว่า)
"...ขอทุกท่านจงอย่างลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้
ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดศีล
หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้าย
ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้นอารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราไม่เกิดเป็นมนุษย์
ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์
(แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์)
"...มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ
มนุษย์มีความหิวมีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม
ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดี ๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน
คนภายนอกเข้าไม่ได้เข้าได้แต่คนภายใน
แต่ว่าท่านทั้งหลายเมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก
ท่านจะไม่มีสิทธิเข้าเขตนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่างแล้วท่านจะไม่มีสิทธิ
นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน
เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือ "เงิน" ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน
(ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)
จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง
ไม่มีการทรงตัว
มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุด
และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นางฟ้าเป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดานางฟ้ากับพรหมก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน
เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป
ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันหน้า
ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว ( คำว่า "เข้าใจ" บรรดาท่านพุทธบริษัทหมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้นี่คือ
"อารมณ์พระโสดาบัน" กับ "อารมณ์พระอรหันต์")
สำหรับเทวดานางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป
อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวของเรายังมีอยู่
ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ
จงดูภาพนรกว่ามีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์
และก็ดูเทวดานางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดาเคยเป็นนางฟ้าเคยเป็นพรหมมาแล้ว
แต่ว่าท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด..."
( เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้พระองค์ก็จบ )
หลวงพ่อได้สรุปใจความสั้น ๆ ตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้
"ท่านทั้งหลายการหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของไม่ยาก
๑. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
๒. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ )
๓. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
๔. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว
ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
...หมายเหตุ : เทศน์ที่ "เทวสภา" วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๘.๐๐ น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง
เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๒๑.๐๐ น.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
[ ตอนที่ 14 จบ ]
(Update 5 กุมภาพันธ์ 2562)
คำสอนพระราชพรหมยาน
พระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
"...เรา คือ "จิต" ที่สิงในกาย หรือที่เรียกว่า "อทิสมานกาย" เราจริง ๆ คือ "จิต"
ร่างกายเป็นแต่เพียงเรือนร่างที่อาศัยชั่วคราว เมื่อเรานึกถึงอารมณ์ของจิต
คำว่า เราคือ "จิต" เราไม่เคยคิดเลยว่าต้องการให้ร่างกายของเราแก่ ไม่ต้องการให้หิว ไม่ต้องการให้ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ
ไม่ต้องการให้ป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องการให้มีทุกข์อย่างอื่น ไม่ต้องการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ไม่ต้องการตายในที่สุด แล้วร่างกายมันตามใจเราไหม..
เราคือ "จิต" ร่างกายมันเป็นร่างที่อาศัย อารมณ์ที่เราต้องการแบบนี้ มีความปรารถนาเหมือนกันหมดทุกคน แล้วก็ร่างกายมันตามใจเราไหม
ลองนึกดู เวลานี้ เราอายุเท่าไรแล้ว ถ้าร่างกายมันเป็นของเราจริง เราพอใจอยู่แค่ไหน ถึงความเป็นหนุ่มเป็นสาวร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์
ก็เพราะว่าเราไม่อยากจะไม่แก่ แล้วมันเชื่อไหมล่ะ?
อยากจะกินอาหารอย่างไหนที่ว่ามันดีที่สุดที่มันมีประโยชน์แก่ร่างกายที่สุด ร่างกายจะได้ไม่ทรุดโทรม แต่กินเข้าไปเท่าไรก็โทรมก็แก่
ยาขนานไหนดีที่สุดกินแล้วไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย กินเข้าไปเถอะ ไม่ช้ามันก็ตาย มันก็แก่ นี่เป็นอันว่าเราห้ามร่างกายไม่ได้
ในเมื่อร่างกายเราห้ามมันไม่ได้แล้ว เราก็ต้องรู้ว่าร่างกายความจริงมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
เราคือ "จิต" ที่เรียกว่า "อทิสมานกาย" ที่เข้ามาอาศัยร่างกายเป็นเรือนร่างที่อาศัย อันนี้ ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
แล้วมันก็ไม่อยู่ในอำนาจของเรา
เราจะปรนเปรอบังคับบัญชามันอย่างไรก็ตาม มันจะไม่ยอมปฏิบัติตามด้วยประการทั้งปวง ถึงเวลาที่มันจะแก่ มันก็ต้องแก่
ถึงเวลาที่มันจะป่วย ก็ต้องป่วย ถึงเวลาเวทนาต่างๆ เวทนาจะเกิดขึ้นมันก็เกิด ถึงเวลามันจะตาย จ้างมันเท่าไรมันก็ไม่เอา
แต่พอตายแล้ว ไปสวรรค์บ้าง ไปนรกบ้าง ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปนิพพานกันบ้าง ไอ้ที่ไปจริง ๆ ร่างกายมันไปด้วยรึเปล่า
มันก็เปล่า?
ร่างกายเน่าทับถมพื้นแผ่นดินอยู่ บางทีเขาก็เผา บางรายไม่ได้เผาก็เละกระจายเป็นกรวดเป็นดิน อันนี้ร่างกายมันไม่ได้ไป ผู้ที่ตกนรก ไปสู่สวรรค์
มันเป็นใคร นั่นแหล่ะ คือ "เรา" ที่เรียกกันว่า "อทิสมานกาย" หรือ"จิต" ที่สิงในกาย
นี่มาถึงตรงนี้เราจะเห็นได้ทันทีถ้าไม่โง่เกินไป หรือว่าไม่ฉลาดเกินพอดีก็จะเห็นว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ
ในเมื่อมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราจริง ๆ จะไปนั่งเมาเพื่อประโยชน์อะไร ต้องการมันหรือ เกิดมาชาตินี้ความทุกข์ถมเต็มกำลังอยู่แล้ว เกิดในชาติต่อ ๆ
ไปมันก็เป็นรูปนี้ ไม่ว่าชาติไหน
แต่เกิดเป็นคนมันก็ยังดี แต่ถ้าเป็นคนเลวลงนรกไป มันก็นานนักถึงจะกลับมา นี่พระพุทธเจ้าพิจารณาเห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราก็จงวางภาระเสีย ทำใจให้สบายว่าร่างกายนี้เกิดขึ้นมาในเบื้องต้นแล้วมีความเสื่อมโทรมไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายไปในที่สุดเป็นของธรรมดา
เอาใจเข้าไปรับตัวธรรมดาเข้าไว้ ตนของตนเองก็ยังไม่มี ทรัพย์หรือบุตรจะมีแค่ไหน
"เจ้าจงใคร่ครวญอย่างนี้ จงคิดว่าเราเป็นผู้ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินก็ไม่มี ญาติ เพื่อนลูกหลาน เหลนไม่มี แม้ร่างกายเราก็ไม่มี
เพราะทุกอย่างที่กล่าวมามีสภาพพังหมด เราจะทำกิจที่ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อสิ้นภาระคือร่างกายพังแล้ว เราจะไปพระนิพพาน เมื่อความป่วยไข้ปรากฏจงดีใจว่า
วาระที่เราจะมีโอกาสเข้าสู่พระนิพพานมาถึงแล้ว เราสิ้นทุกข์แล้ว"
คิดไว้อย่างนี้ทุกวันจิตจะชินจะเห็นเหตุผล เมื่อจะตายอารมณ์จะสบายดี แล้วก็จะเข้านิพพานได้ทันที..."
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
|
|