บันทึกโดย คุณบุญถึง สุวรรณวิสิฏฐ์
สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)
[01] ผมกับหลวงพ่อ
[02] ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อ
[03] ความมหัศจรรย์ของพระบรมสารีริกธาตุ (อยู่วัดโพธิ์ จ.ชัยนาท)
[04] ซื้อแท่นพิมพ์ (อยู่วัดโพธิ์ จ.ชัยนาท)
[05] ผ้ายันต์แดง (อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท)
[06] ไปเทศน์งานศพ (วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
[07] กินข้าวแทนผี (อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
[08] อัศจรรย์..หลวงพ่อย้ายที่อยู่
[09] ทำแผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ (อยู่วัดสะพาน)
[10] หลวงพ่อแก้ทุกข์ร้อนได้แม่นยำ
[11] งานนี้ถูกดีดหู (อยู่วัดท่าซุง)
[12] สร้างโบสถ์วัดหนองม่วงไม่เสร็จ (วัดหลวงพ่อรักษ์)
[13] งานเปิดป้าย (ตอนจบ)
"ผมกับหลวงพ่อ"
บันทึกโดย บุญถึง สุวรรณวิสิฏฐ์
"...ก่อนที่ผมจะมอบตัวเป็นศิษย์ ผมขอเล่าเรื่องที่พบกับหลวงพ่อตั้งแต่เริ่มแรกเลย
ตอนไปพบกันครั้งแรกๆ ผมเรียกท่านว่า "มหา" แต่ภายหลังก็ค่อยเปลี่ยนคำเรียก จนกระทั่งเรียกว่า "หลวงพ่อ"
ซึ่งหลวงพ่อก็พูดเองว่า "เอา...เอากับเขาด้วยหรือ" ผมได้พบหลวงพ่อครั้งแรกตั้งแต่ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๐๕
ทั้งนี้เพราะผมได้พบกับพระครูวิชาญชัยคุณ เจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่า ปัจจุบัน ท่านดำรงตำแหน่ง เจ้าคณะอำเภอที่ อำเภอวัดสิงห์
ซึ่งผมขอเรียกสั้นๆ ว่า "พระครูวิชาญ" ผู้ซึ่งทำให้ผมได้กลายเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อ มาจนกระทั่งบัดนี้
เมื่อพบพระครูวิชาญ ท่านบอกผมว่า "ฉันพบพระเก่งอยู่องค์หนึ่ง ชื่อพระมหาวีระ ศิษย์หลวงปู่ปาน คุณลองไปหาซิ อยู่ที่วัดโพธิ์ จ.ชัยนาท"
พออีก ๒ - ๓ วัน ผมก็ไปหาแบบมือเเปล่า แบบที่ไปหาพระทั่วๆ ไป ไปถึงก็เอาสตางค์ไปถวายอย่างนั้นแหละ
เมื่อไปถึงก็กราบท่าน กุฏิท่านเล็กนิดเดียว มีชานออกมานิดหน่อย ท่านจะปูเสื่อให้นั่งก็บอกท่านว่า ไม่ต้อง ท่านพูดว่า "เออ..ตรงนี้ เป็นที่หมานอน
และที่ฉันข้าวด้วย" หลวงพ่อมีหมาหลายตัว
ก่อนที่ผมจะไปหาหลวงพ่อ ผมตั้งใจไปทดสอบท่านก่อน จึงได้จุดธูปไหว้พระก่อนไป โดยตั้งใจอธิษฐานว่า
"อยากจะไปหาพระมหาวีระ และอยากจะไปทดลองท่านด้วย"
ปกติหิ้งบูชาพระของผม ผมเรียงพระหันหน้าไปทางเดียวกันทุกองค์ แต่วันนั้นผมจับอีกองค์หนึ่งที่อยู่ข้างหน้าหันหลังออก เพื่อขอทดลองดูว่า
พระองค์นี้เก่งจริงไหม
พอกราบท่านเสร็จท่านก็ถามว่า "อ้าว..คุณมาจากไหน" ก็ตอบว่า "ผมมาจากมโนรมณ์"
ท่านก็บอกว่า "อ๋อ..คุณบุญถึงหรือ"
แน่ะ..รู้จักชื่อผมด้วย ยังไม่ทันบอกเลย ผมก็ทำท่างง ท่านก็บอกว่า
"พระครูวิชาญเคยพูดไว้ บอกว่าคุณบุญถึงนะดี ชอบคุยด้วย เพราะคุยดี เคยไปช่วยการงานทางวัดอยู่บ่อยๆ"
ท่านก็อยากรู้จัก ท่านก็ถามถึงการทำมาหากินดีไหม คุยกันอยู่พักหนึ่ง ท่านก็พูดว่า "เออ..คุยกันเสียนานมีธุระอะไรหรือ"
ผมก็พูดว่า "ที่มานี่ ก็อยากให้ตรวจดู ก็ไม่ดูอะไรมาก ก็ดูเรื่องการทำมาหากินละอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือ
อยากให้ดูในบ้านว่าจะมีอะไรไหม เช่นอย่างกับหิ้งพระที่ตั้งไว้ถูกต้องไหม" ก็เน้นเลยนะ
หลวงพ่อก็บอกว่า "เอ้า..จุดธูป" ก็เอากระถางธูปมา ตั้งตรงโต๊ะที่ท่านฉันข้าว ผมก็จุดธูป พอจุดเสร็จ ท่านก็นั่งหลับตา
พอลืมตาขึ้นมา ท่านก็เอ่ยว่า "แฮะ..อะไรก็ถูกต้องดีแล้ว ไม่มีอะไรหรอก ที่คุณตั้งศาลไว้นั่น" (ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ถามเรื่องศาลมีหรือไม่มี)
ก็พูดขึ้นมาเลยว่า
"ที่คุณตั้งศาลไว้นั่นไม่มีเจ้าที่อยู่หรอก ท่านอยู่ที่กกมะขามใหญ่ รูปร่างอ้วนดำใหญ่ พุงพลุ้ย คาดผ้าขาวม้า นุ่งกางเกงขาก๊วย
แต่ที่คุณตั้งนะถูกต้อง แต่ข้อสำคัญคุณตั้งพระสำหรับบูชาบนหิ้งนั้น ทำไมคุณตั้งหันหลังออกเสีย ๑ องค์เล่า ทุกองค์ตั้งถูก คุณไปกลับเสียใหม่นะ
ตั้งอย่างนั้นไม่ถูก"
พอผมได้ยินอย่างนั้น ผมก็ยิ้มในใจ จึงกราบบอกว่าผมอยากเป็นลูกศิษย์ ท่านก็ว่า "เออดีๆ"
ผมก็ถามว่าการเป็นศิษย์เขาทำยังไง ท่านก็บอกว่า "นี่ก็ลูกศิษย์แล้ว คุณบอกมา ฉันก็รับ ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์แล้ว"
ผมก็พูดไปว่า "ไม่ใช่ครับ ที่เขาเป็นกันที่ถูกต้องจริงๆ นะ"
ท่านก็บอกว่า "นี่ก็ถูกต้องแล้วละ" ผมก็บอกว่า "เมื่อรุ่นหลวงปู่ปานล่ะ เขาทำกันอย่างไร" ท่านก็บอกว่า
"มีผ้าขาวปู มีเครื่องบายศรีปากชาม ข้าวปากหม้อ และไข่ลูกยอด ธูปเทียน ข้าวตอก ดอกไม้ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ไส้กระทงอย่างละ ๖ กระทง ทำกันวันพฤหัส"
คุยกันไปคุยกันมา ผมก็บอกว่า ถ้าอย่านั้นผมจะทำบ้าง ท่านก็บอกว่า "ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นที่ใจ"
ผมก็บอกว่า ถึงไม่มีใครทำแต่ผมก็อยากจะทำ ผมจึงเล่าเรื่องที่ทดลองท่าน บอกท่านไปตรงๆ ว่า
"การที่ผมจะเคารพพระองค์ไหนผมก็เลือก ไม่ว่าจะเป็นองค์ไหนก็ตาม ปกติใครมาชวนผมไป อย่างเช่นหลวงพ่อองค์อื่น (นี่ผมไม่ได้ลบลู่ท่าน) ผมไม่ไป
เพราะถ้าเกิดผมไปแล้ว มีความศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว แต่ไม่มีเวลาไปกราบท่าน จิตใจผมจะไม่สบายใจ
คล้ายๆ กับปากบอกว่าคิดถึง แต่เวลาเป็นปี หรือ ๒ ปี ก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมกัน อย่างนี้ผมไม่สบายใจ นี่คือเหตุผลของผมที่ผมเลือกพระ"
ผมจึงถามท่านว่า "วันพฤหัสหน้าท่านจะอยู่ไหม ผมจะมาถวายตัวเป็นศิษย์ในวันนั้น" ท่านตอบว่า "เออ..อยู่ !"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 2
ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อฯ
"...ผมจึงถามท่านว่า "วันพฤหัสหน้าท่านจะอยู่ไหม ผมจะมาถวายตัวเป็นศิษย์ในวันนั้น" ท่านตอบว่า "เออ..อยู่ !"
พอถึงวันพฤหัส ผมก็มาแต่เช้าเลย กินข้าวเช้าแล้วก็ไปหา ไปถึงก็เอาเครื่องอะไรต่ออะไรใส่ถุง จะถือไปอย่างนั้นก็อายเขา ใส่ถุงเบ้อเริ่ม กระทงก็เตรียมไปพร้อม
ไปถึงหลวงพ่อก็นั่งรออยู่ก่อนแล้ว จึงเข้าไปกราบๆ ท่านก็พูดว่า "เออ..คุณเอาจริงๆ รึเนี่ย" ก็ตอบว่า "เอาจริงซิครับ"
จึงเริ่มพิธีจัดผ้าขาวปูบนโต๊ะฉันข้าว วางเครื่องบายศรีปากชาม ข้าวปากหม้อ และไข่ลูกยอดธูปเทียน ข้าวตอก ดอกไม้
ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ใส่กระทง มีอาหารสำหรับฉันเพลด้วย ไม่มากนัก เรื่องสตางค์ท่านไม่ได้บอก แต่ผมก็ใส่สตางค์ ๒๐ บาท
(สมัยก่อนเงิน ๒๐ บาท เหมารถไปปากน้ำโพได้เลย ผมเคยเหมารถให้หลวงพ่อเป็นประจำ จากมโนรมย์ ไปชัยนาทแค่ ๑๕ บาทเท่านั้น น้ำมันลิตรละ ๒ บาทเท่านั้น)
เวลานั้นหลวงพ่อไม่ค่อยมีรายได้อะไร ผมเองก็ยังจนอยู่ เมื่อจัดอะไรเรียบร้อย ท่านบอกให้ผมจุดธูปเทียนแล้วพูดว่า "เอ้า..คุณอธิษฐาน"
แล้วท่านก็บอกนำให้ผมว่าตาม จำไม่ได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง พอว่าจนจบ ท่านก็ให้ผมนั่งตรงกับท่าน ท่านก็นั่งหลับตา พอท่านลืมตาขึ้นมา ท่านก็พูดขึ้นมาคำหนึ่งว่า
"แหม..เสียท่าคุณเสียแล้ว"
คำพูดอันนี้มันแปลบ..เข้าไปในใจผมเลย และยังติดใจอยู่ไม่รู้หาย ผมนึกตำหนิหลวงพ่อในใจเลย ตำหนิว่า
"เอ๊ะ..พระองค์นี้จะเอายังไงกับผม ให้ผมจัดการนำสิ่งต่างๆ มา ผมก็นำมาครบตามคำบอกแล้ว แม้แต่เรื่องสตางค์ไม่ได้บอกไว้ ผมก็ใส่สตางค์ไปด้วย
แล้วมาพูดว่าเสียท่าผม
ท่านก็เอี้ยวตัวไปทางซ้ายมือตรงที่วางย่ามของท่าน ท่านก็หยิบผ้ายันต์ผืนใหญ่พร้อมกับพูดว่า "ผ้ายันต์ผืนนี้เนี่ย มีติดย่ามอยู่ผืนเดียว
เป็นของหลวงพ่อปาน"
ท่านบอกว่า "เมื่อกี้ตอนนั่งอยู่น่ะ หลวงพ่อปานมาบอกว่า ให้มอบผ้ายันต์ผืนนี้ให้กับคุณบุญถึง"
ท่านพูดว่าที่ท่านเสียท่าผมเพราะเหตุนี้ ผมจึงถึงบางอ้อขึ้นมา ท่านบอกให้เอาไปใส่กรอบแล้วแขวนไว้บูชาที่บ้าน ผ้ายันต์นี้ ท่านบอก "ไม่มีแพ้"
ในวันที่ผมถวายตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อนั้น ท่านให้ผมเรียนคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า และใส่บาตรด้วย
ผมก็ค้านว่า จะให้ผมใส่บาตรทุกวันนั้น มันมีปัญหา เพราะว่าผมเป็นคนเดินทางบ่อย จึงถามท่านว่า "ผมจะเอาสตางค์มาจบแทนใส่บาตรได้ไหม" ท่านบอกว่า
"เออ..ได้คุณก็ดูว่า ข้าวเปล่าเขาขายราคาจานละเท่าไร คุณใส่สักแค่เท่าลูกไข่ไก่นะ สัก ๓ ลูก" สมัยนั้น ๕๐ สตางค์หรือสลึงเดียวก็ซื้อได้แล้ว
เพราะข้าวแกงจานละแค่ ๒ บาทเท่านั้น ผมจึงรับปากว่าทำได้ และตั้งแต่นั้นก็ทำมาทุกวันไม่เคยขาด เงินที่ใส่บาตรนั้น ผมก็จะนำไปถวายหลวงพ่อและพระครูวิชาญ ๒
องค์
แต่เดี๋ยวนี้ก็มีองค์อื่นบ้าง เวลาผมเดินทางไปต่างจังหวัด ผมก็เอาสตางค์ขึ้นมาจบ แล้วก็ห่อไว้ ถ้าไปหลายวันก็จบแต่ละวันแล้วก็ห่อๆ ไว้ทุกวัน
ผมและภรรยาทำเช่นนี้ไม่เคยขาดแม้กระทั่งลูก ๔ คนก็ทำตามตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน หลวงพ่อยังเคยพูดกับคนอื่นว่า คุณบุญถึงเขาทำอย่างนี้.."
ต่อมาภายหลังหลวงพ่อก็เริ่มทำบาตรมาแจก ผมรู้สึกว่าเป็นคนแรกที่ทำสตางค์ใส่บาตร ผมรู้จักท่านตั้งแต่ครั้งท่านเป็นพระมหาวีระ
จนกระทั่งถึงแม้ท่านจะเป็นเจ้าคุณอะไร ผมก็ต้องถือเอาแบบตั้งแต่เดิมที่ท่านเคยสอนไว้นำมาปฏิบัติ
นอกจากนี้ท่านยังสอนว่า การถวายตัวเป็นศิษย์ต้องรักษาศีล ๕ ด้วย ผมก็บอกว่าเรื่องศีลนี้ ผมอาจจะบกพร่อง ท่านก็บอกว่า "เออ..ต้องพยายามเข้าเถอะ"
การถือศีลของท่านนี้แปลกนะ ท่านแนะว่า
"อย่างการค้า ก็อย่าพูดว่าขาดทุน ถ้าขายไม่ได้ ก็ไม่ขาย บอกเขาเลยว่า ขายไม่ได้ เราก็ไม่โกหก เพราะเราไม่ขาย" อันนี้ก็หมดปัญหาไป
"อย่างหมู่พวกมาขอยืมเงิน เราอย่าบอกว่าไม่มี เราก็บอกไม่ได้ จะเอาไว้ใช้" แน่ะ..ท่านก็หาทางออกให้ผม
ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไปหามาสู่ผมตลอด มาหาผมที่โรงพิมพ์ ส.เจริญกิจ(โรงพิมพ์ของผมเอง) ก็มาหาบ่อย
เรื่องที่เล่ามาเกี่ยวกับความเป็นมาของการพบหลวงพ่อ และจนกระทั่งฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อนั้น เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผม และได้จำติดตาติดใจมาจนทุกวันนี้.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 3
ความมหัศจรรย์ของพระบรมสารีริกธาตุ (อยู่วัดโพธิ์ จ.ชัยนาท)
"...จำไม่ได้ว่า ช่วงนั้นเป็นวันมาฆบูชา หรือวันวิสาขบูขา ก่อนจะถึงวันดังกล่าวหลวงพ่อบอกบรรดาลูกศิษย์ให้หาพระพุทธรูปมา
ท่านจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุให้แก่บรรดาลูกศิษย์
ผมเองก็เช่นกัน พอฟังแล้วกลับมาบ้าน วันรุ่งขึ้น ก็มีคนลาวเอาพระพุทธรูปมาขายเลยซื้อไว้ ๑ องค์ เอาพระไปไว้กับหลวงพ่อ และได้นอนค้างคืนอยู่กับหลวงพ่อ ๑ คืน
ท่านให้ผมนอนตรงที่หมานอน ลูกศิษย์ลูกหาก็เอาพระมาตั้งไว้บนโต๊ะมากมาย หลวงพ่อก็ยกเจดีย์ทองเหลืองของท่านมาเปิดดู
ก็เห็นว่ามีพระบรมธาตุมีอยู่นิดเดียว มีจำนวนไม่พอที่จะบรรจุพระทั้งหมด ท่านก็พูดว่า "ไม่เป็นไร"
พอคุยเสร็จท่านก็เข้ากุฏิ ผมก็เตรียมตัวกางมุ้งนอนก่อน พอเข้านอน ท่านก็ปิดประตู มีหมาเข้ามานอนข้างใน
หลวงพ่อบอกหมาว่า "อย่าไปกวนลุงเขานะ" พอท่านเข้านอนได้เดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียงในกุฏิดังหวิวๆ เหมือนลมพัด แต่ไม่มีลม
ผมก็ฟังอยู่สักครู่ก็หายเงียบไป พอตื่นเข้าขึ้นมาท่านก็ถามว่า "คุณบุญถึง เมื่อคืนคุณได้ยินเสียงพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาไหม"
ตอบท่านว่าได้ยินแต่เสียงหวิวๆ จากทางทิศใต้ ตรงบริเวณหน้าต่างของหลวงพ่อ
หลวงพ่อจึงบอกว่า "นั่นแหละท่านเสด็จมาละ" และแล้วพอเปิดเจดีย์ออกก็เห็นพระบรมสารีริกธาตุเต็มเลย
ท่านพูดว่า "ถ้ามีพระพุทธรูปมากกว่านี้อีก ๑๐ เท่า ก็ยังบรรจุไม่หมด" ท่านก็ให้ติดตัว ๑ องค์ เอามาบูชาที่บ้านขนาดเมล็ดข้าวสารหัก
ปัจจุบันโตขนาดเมล็ดถั่วเขียว และมีเป็นตุ่มๆ งอกเต็มไปหมด..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 4
ซื้อแท่นพิมพ์ (อยู่วัดโพธิ์ จ.ชัยนาท)
"...ตอนนั้นผมรับพิมพ์หนังสือ จะซื้อแท่นนอน หลวงพ่ออยู่ที่วัดโพธิ์ ก่อนที่ผมจะไปกรุงเทพฯ ก็จัดกระเป๋าไปแวะหาหลวงพ่อด้วย
ไปถึงท่านก็ถามว่า
"คุณจะไปไหน เห็นเตรียมกระเป๋า ?"
จึงตอบท่านว่า "ผมจะไปกรุงเทพฯ ไปซื้อแท่นนอน อยากให้ช่วยตรวจดูให้หน่อย อย่าหาว่าเป็นการรบกวนเลย การไปซื้อของอย่างนี้ ผมก็ไม่ค่อยสันทัด
เดี๋ยวจะโดนเขาต้ม จะได้ของไม่ดีกลับมา" ท่านบอกว่า
"ไปเถอะ ได้แน่ ไปหาเพื่อน ไปหาพวกที่เป็นเจ๊กๆ นะ"
คนที่เป็นเจ๊กก็ทำงานตั้งแต่ ๖ โมงเช้าถึง ๖ โมงเย็น ก็ไปกับผมไม่ได้ ผมจึงไปหาคนสูงๆ ดำๆ ไปกัน ๒ - ๓ วัน ไปช่วยกันตระเวนหาในกรุงเทพฯ หลายแห่ง
แม้กระทั่งฝั่งธนบุรีก็หลายที่ เที่ยวตระเวนไป น่าจะได้แต่ก็กลับไม่ได้ จึงชวนคนดำไปหา "เจ้าตง" เป็นเจ๊กขาวจั๊วะเลย ไปหาตั้งแต่ตี ๕ ตั้งแต่ยังไม่ตื่น
จึงไปปลุก และพูดว่า
"ตง..จะซื้อแท่นนอน"
พูดแค่นี้เท่านั้น ออกไปไม่ถึงชั่วโมงซื้อเสร็จเรียบร้อย ก่อนไปเจ้าตงก็บอกว่า
"เวลาไปถึงอย่ากระโตกกระตาก ทำเฉยๆ เพราะเถ้าแก่มีแท่นดีๆ ที่เขาไม่ได้ใช้แล้ว เขาได้แท่นใหม่ทันสมัยมาแทน อันนี้มันล้าสมัยสำหรับเขา
แต่ถ้าเอามาใช้ต่างจังหวัดอย่างบ้านเรา มันก็กลายเป็นของดีสำหรับเรา และเป็นแท่นที่ตลาดต้องการ แท่นนี้เป็นแท่น ๒๖ นิ้ว หายากพิมพ์หนังสือได้
ถูกรื้อเป็นชิ้นๆ กองอยู่กับพื้น"
เจ้าตงจึงพาผมไปหาเถ้าแก่ แล้วถามเถ้าแก่ต่อหน้าผมว่า "แท่นนี้จะขายไหม" ถ้าขายจะบอกขายให้กับผม เถ้าแก่ก็บอกราคามาเลย ๔,๕๐๐ บาท
คนรวยคงเห็นว่า แท่นถูกรื้อทิ้งเป็นชิ้นๆ ก็เหมือนเศษเหล็ก ไม่มีค่าอะไร จึงขายผมถูกมาก เมื่อซื้อแล้ว เจ้าตงก็ให้ผมขนกลับไปก่อน เขาก็ลางานมาค้างกับผม ๑
คืน มาประกอบให้เสร็จ
หลวงพ่อบอกว่า "เจ๊กนี่..มันไม่กินค่านายหน้า" จึงเล่าให้ฟังว่าจะกินได้ยังไง เจ้าของพูดต่อหน้ากันเลย ปกติเจ้าตงก็ไม่กินค่านายหน้าผมอยู่แล้ว
เพราะผมเคยเลี้ยงข้าวปลากันอยู่เรื่อยๆ
ผมได้ของมาราคาถูก ตอนที่ตระเวนดูราคาที่ถามมาตั้งแต่หมื่นกว่าบาท สองหมื่นกว่าบาทบ้าง พอติดตั้งเสร็จ หลวงพ่อก็มาเจิมให้พร้อมกับพระครูวิชาญฯ
(วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
ท่านเอาผ้าแดงห่อเงิน ๑๐๐ บาท ผูกติดกับแท่น เป็นการผูกทำขวัญให้ เรื่องการซื้อแท่นนอนก็จบแค่นี้..."
...สำหรับเรื่องการเงินการทองนี้ หลวงพ่อท่านตอบไว้ในจดหมายของเจ้ากรมอาทร โดยปรารภถึงคุณบุญถึงไว้สมกับชื่อด้วย จึงขอนำมาลงไว้
เพื่อสืบสาวราวเรื่องให้ต่อเนื่องกันไป เพราะเรื่องอดีตเป็นของหาอ่านยากจริงๆ
"...เงินที่ นายบุญถึง พ่อไปเอาแล้ว เกิดรับไม่ได้เพราะสงสารแก แกต้องย้ายสำนักพิมพ์ เพราะห้องที่อยู่ เจ้าของเดิมเป็นหนี้เขา
เขาขายทอดตลาด แกประมูลแพ้เขา ต้องซื้อห้องใหม่ และจะต้องขนย้าย เลยบอกแกว่า เอาไว้ตอนปลายใกล้ออกพรรษาถึงจะเอา เพื่อให้โอกาสแก
เพราะเวลาเราเป็นหนี้แกไม่เคยทวง
ถึงคราวแกต้องอับจน เราเร่งรัดก็จะน่าเกลียด แกเองก็ยืนยันว่า ถ้าต้องการจริงๆ ขอให้บอกล่วงหน้าก่อนสักสองสามวัน แสดงว่า แกต้องวิ่งกู้เขาแน่ ก็น่าเห็นใจ
เพราะการย้ายห้องและต้องชำระเงินสด เป็นการซื้อขาดแกคงหนักน่าคิดทีเดียว..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 5
ผ้ายันต์แดง (อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท)
"...เรื่องการทำหนังสือคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
ผมกับพระครูวิชาญฯ เข้าหุ้นกันคนละครึ่งโดยทำ ๗,๐๐๐ เล่ม ส่วนหลวงพ่อ ทำผ้ายันต์แดง แบบผืนเล็กๆ สามเหลี่ยมยาวๆ ซึ่งผมติดตัวมาจนทุกวันนี้
หนังสือพระปัจเจกพุทธเจ้า โรงพิมพ์ทำบล๊อคพิมพ์คาถา พิมพ์ไปเถอะพรืดๆ มีแต่กระดาษเปล่าๆ ออกมา ถ้าคนอื่นคงพิมพ์ติด
เพราะผมรับคาถามาแล้ว ก่อนพิมพ์ไม่ได้จุดธูปบอก พิมพ์พรืดๆ จึงไม่ติด พอจุดธูปบอกเท่านั้น ติดออกมาแจ๋ว ก็เล่าให้หลวงพ่อฟัง ท่านพูดว่า
"..คุณรับคาถามาแล้ว ไม่จุดธูปบอกจึงเป็นอย่างนี้.."
พอพิมพ์เสร็จก็มาพิมพ์ผ้ายันต์แดงอีก พิมพ์พรืดๆ ออกมามีแต่รอย ไม่มีสีอีก เพราะว่ากำลังทำอยู่ พอลงมือพิมพ์ ผมก็พิมพ์เลยนุ่งกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้าม
ไม่ได้นึกอะไร..ไม่ได้คิดว่าจะต้องจุดธูปบอก พอจุดธูปก็ติดอีก
ผมนี่..ถ้าทำของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่บอก พิมพ์ไม่ติด พิมพ์รูปหลวงศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าก็ไม่ติดอีก แปลกดี พอจุดธูปบอกก็ติด ก็ยังคุยกับหลวงพ่อ
ท่านก็ว่าเพราะเป็นสิ่งที่ผมเคารพนับถือ ถ้าผมไม่เคารพนับถือก็ไม่มีปัญหาอะไร แค่ผมยังถูกเล่นงานขนาดนี้เลย
ตอนปลุกเสกผ้ายันต์แดงนี่ซิ หลวงพ่อผู้เป็นเจ้าตำรับไม่เป็นอะไร โอ้โฮ..พระครูวิชาญ นี่ท้องเดินไม่หยุดเลย เข้าส้วมมองไปที่ใต้ถุนร้าน
เห็นอุจจาระพุ่งเป็นหลาวเลย
ส้วมแบบโบราณ เจาะรูเปิดกระดาน ๑ แผ่นแค่นั้น จึงเห็นชัดว่า อุจจาระพุ่งเป็นหลาว พระหรือเณรไปบอกหลวงพ่อๆ ก็บอกว่า
"เออ..ทำผิดวิธีบวงสรวง"
หลวงพ่อบอกให้เอาผ้ายันต์แดงนี่ไปต้ม พอเอาผ้ายันต์แดงต้มแล้ว เอาน้ำ จากที่ต้มมาให้ฉัน หายเป็นปลิ้ดทิ้งเลย
ผ้ายันต์แดงพิมพ์กันเป็นหมื่นๆ ผืน ใช้ผ้าเป็นไม้ๆ เลย แผ่นนิดเดียว พิมพ์แจกกัน พวกบ้านดอนก็เอาไปแขวนกับต้นไม้ ไปทดลองยิงกัน..ยิงไม่ออก !!!
คนเลยเข้าแถวเวียนเทียนแจกกันไม่หวาดไม่ไหว พระครูวิชาญก็ออกมาช่วยแจกไม่ไหว
พอฉันน้ำต้มผ้ายันต์แล้วหาย ก็ออกมาแจกของได้ตลอดงาน งานนี้ไม่รู้ว่าฤทธิ์ของใคร อยากรู้ต้องถามหลวงพ่อเอาเอง..!!!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 6
ไปเทศน์งานศพ (วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
"...เจ้าภาพงานศพนิมนต์เจ้าคุณภาวนาฯ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ไปเทศน์ แต่ท่านให้หลวงพ่อไปแทน
(เจ้าคุณพระภาวนาภิรามเถระ อดีตเจ้าอาวส วัดโพธิ์ภาวนาราม จ.ชัยนาท)
ท่านก็ชวนพระครูวิชาญไปเทศน์ด้วยกัน งานศพอยู่แถวๆ หนองสะแก อุทัย ไปตั้งแต่เช้า พอฉันเช้าเสร็จก็นั่งเรือหางยาว ผมขอไปด้วยคน ท่านก็อนุญาต
พอไปถึงอุทัยก็ใกล้เพล จึงนิมนต์ให้ฉันเพลก่อน ก็สั่งข้าวผัดกระเพรา เจอเจ๊กใจดีไม่เอาสตางค์ ใจเราก็นึกว่าโชคดีวันนี้
ธรรมดาผมจะเป็นเจ้าภาพก็มีคนเป็นเจ้าภาพแทนเสียแล้ว จากนั้นก็ไปหารถ ได้รถจิ๊บไม่มีหลังคาก็ถามเจ้าของรถว่าจะไปหนองสะแก รู้จักทางไหม ?
เขาบอกรู้จัก ไปวนหาทางเข้าวัดไม่ได้ วนเถอะวนไป ได้ยินแต่เสียงเครื่องขยายดังอยู่ใกล้ เขาจะให้เทศน์บ่าย ๒ โมง
จนบ่าย ๓ โมงแล้ว หนักเข้าบ่าย ๔ โมง ยังหาทางเข้าวัดไม่ได้ วนไปวนมาเลยชวนกันกลับ คิดว่าบ่าย ๔ โมง เขาคงเผาศพไปเรียบร้อยแล้ว ก็กลับวัดดีกว่าไม่ต้องเทศน์
พอตัดสินใจจะกลับวัดเท่านั้น รถดับติดหล่ม ผมก็ดันรถ หนักเข้าดันไม่ไหว พระครูวิชาญและหลวงพ่อก็มาช่วยกันดัน
ไม่มีละ..ทั้งตัว ขี้โคลน โดนจีวร หน้าตาดูไม่ได้ กว่าจะมาถึง ดันไปล้อก็ตะกุยดินโดน รถจิ๊บติดหล่มมันเหมือนหล่มบ้าจี้ ยิ่งดิ้นยิ่งลึก
เมื่อท่านมาช่วยกันหมด จีวรเปื้อนโคลนไปหมด กว่าจะกลับมาถึงวัดปากคลองมะขามเฒ่า ร่วม ๓ ทุ่ม ถึงวัดตอน ๓ ทุ่มก็ดี
ถ้าไปถึงตอนยังไม่มืด ชาวบ้านเห็นเข้าจะหาว่าผมพาพระไปลงหนองจับปลามาหรือไร
นี่ดีนะ..ที่ไปฉันเพลเสียก่อน ถ้าไม่ฉันเพลละก็แย่เลย เรื่องนี้พอไปคุยกับหลวงพ่อ ท้าวความกันก็หัวเราะกันไม่หาย..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 7
กินข้าวแทนผี (อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
"...หลวงพ่อและพระครูวิชาญเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่จังหวัดลพบุรี เข้าไปเจอหัวกระโหลกเป็นหิน ไม่ใช่เป็นกระดูก
หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า พวกนี้เขาหิว เขาตามมาด้วย พอหลวงพ่อและพระครูวิชาญลงมาถึงตลาดลพบุรี ก็มาฉันข้าว เพราะพวกนี้ตามมา..เขาหิว
จึงยืมปากหลวงพ่อและพระครูวิชาญกินข้าว ๒ องค์ก็ฉันเรื่อย ฉันได้องค์ละเป็นสิบๆ จาน เรียกว่าพวกแม่ค้าข้าวแกงหัวเราะกันใหญ่
หัวเราะไป..แล้วก็ตักอาหารส่งให้ ๒ องค์ฉันต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจานเทินเป็นกองสูงเลย กระทั่งอยู่ๆ หลวงพ่อนึกขึ้นมาได้ร้อง...
"เฮ้อ..ไม่เอา อย่ามายืมปากข้าฯ กิน..ไม่ได้ ทำให้ขายขี้หน้าเขาหมด" เลยต้องหยุด !!!
พิมพ์หนังสือ (อยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
"...เวลาหลวงพ่อพิมพ์หนังสือ ท่านเล่าว่า เวลาฉันพิมพ์เรื่องของใคร ฉันก็เชิญท่านผู้นั้นมา ท่านก็นั่งพิมพ์อย่างเดียว เวลาพิมพ์ไปแล้วเรื่องเปลี่ยนไม่ได้
ไปถามท่านตอนนั้น
ตอนนี้ท่านบอกไม่รู้ ท่านพิมพ์ไปเรื่อยๆ เมื่ออยากรู้ท่านต้องมาอ่านใหม่ เพราะท่านบอกเวลาพิมพ์ ใครเป็นเจ้าตำรับก็มาสั่งพิมพ์
ท่านก็นั่งพิมพ์อย่างเดียว..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 8
อัศจรรย์..หลวงพ่อย้ายที่อยู่
"...พระครูวิชาญเห็นว่า ผมมีความชอบพอและคุ้นเคยกับหลวงพ่อ พระครูวิชาญจึงชวนผมไปนิมนต์หลวงพ่อจากวัดโพธิ์ให้มาอยู่วัดปากคลองฯ
ท่านก็ตอบตกลง
พอตอบตกลงเท่านั้นแหละ โอ้โฮ้..พายุ ลมฟ้า ลมฝน แรงขนาดหนักเลย ฝนตกหนักจนเป็นที่น่าอัศจรรย์มาก หลังจากนั้นไม่นานจึงย้ายมาอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า
พออยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่าได้ไม่นาน หลวงพ่อก็ย้ายมาอยู่วัดสะพานอีก เป็นเรื่องของหลวงพ่อที่มีความจำนงอย่างนั้น
ผมก็มีหน้าที่ช่วยขนของย้ายของให้จนเสร็จ พอมาอยู่วัดสะพานได้พักหนึ่ง พล อ.อ.อาทร โรจนวิภาต(ยศปัจจุบัน) ก็มาบวชที่วัดสะพาน
ตอนที่อยู่วัดสะพาน วันหนึ่งหลวงพ่อก็มาหาผม วันนั้นท่านมาพร้อมกับมีตำแหน่ง พระครูฐานานุกรม ๔ ตำแหน่ง ที่จะมอบให้กับใครก็ได้
ได้มาจากเจ้าคุณที่กรุงเทพ(ไม่ทราบว่าองค์ไหน) ผมกำลังพิมพ์หนังสือจั๊กๆ ปกติท่านมาถึงจะฉันโอเลี้ยงเป็นประจำ คราวละเป็นขันๆ
และผมก็ปวารณากับท่านไว้ว่า ขอนิมนต์ตลอด ถ้าแวะมาฉันเช้าฉันเพลมาได้เสมอ ผมบอกไว้เลยว่า ถ้าจะฉัน หมู ไก่ ปลา กุ้ง ของตายทั้งนั้น บอกผมได้
และไม่ต้องกลัวว่าแม่บ้านจะยุ่ง
เพราะเตี่ยผมมีร้านอาหารอยู่ที่นี่ทุกร้าน (ผมคุยเล่นกับท่านในทำนอง เตี่ยผมเป็นเจ้าของร้านอาหารทุกร้าน) แต่ท่านก็ยังเกรงใจอยู่เสมอ ท่านมาก็มาฉันข้าวต้ม
บางทีก็ฉันข้าวผัดกระเพรา ท่านบอกว่า
"เออ..๗ วันฉันเสียทีก็ดีนะ..คุณบุญถึง" ทุกครั้งท่านจะเรียกผมว่าคุณบุญถึง ท่านไม่เคยใช้คำหยาบพูดกับผมเลย อย่างน้อยก็เรียก..บุญถึง
อย่างวันต้อนรับสมณศักดิ์ที่กลับจากกรุงเทพเมื่อ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๓๒ เขากำลังยกหลวงพ่อนั่งเสลี่ยง แห่ไปรอบๆ โบสถ์
ท่านเห็นผมก็ร้องทักว่า "อ้าว..บุญถึง" ท่านพยักหน้าให้ผม ผมยืนประนมมือ มองดูด้วยความปลื้มใจ
เมื่อท่านไปกรุงเทพฯ ทีไร กลับมาก็แวะพัก ท่านแวะมาหาผมเป็นประจำอย่างนี้ ย้อนกลับมาใหม่เมื่อหลวงพ่อฉันโอเลี้ยงเสร็จ ก็พูดกับผมว่า
"เอ้อ..คุณบุญถึง ฉันให้ตำแหน่งพระครูฐานานุกรมคุณ ๑ ตำแหน่ง"
ผมก็พูดว่า "ผมไม่ได้เป็นพระ จะเอาตำแหน่งพระครูมาให้ผมทำไมเล่า"
ท่านพูดว่า "เออ..พระครูฐานานุกรมนี่ ถ้าหากคุณชอบพระองค์ไหนที่ดีๆ ก็ให้ได้"
ผมก็บอก "เอ๊ะ..ให้อาจารย์อรุณ อรุโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง เห็นกิริยามารยาทท่านนิ่มดี รู้จักคุ้นเคยกันดี" ท่านก็พูดว่า
"สุดแท้แต่คุณ..คุณจะให้ใครก็ได้" ท่านก็บอกว่ามี ๔ ตำแหน่ง
ท่านถามว่า "คุณจะเอาอะไรเล่า ?" ผมก็ว่า ชื่อพระครูมีอะไรบ้าง ?
ท่านบอกว่า "มีพระครูปลัด, พระครูสมุห์, พระครูสังฆรักษ์, พระครูใบฏีกา"
ผมก็ว่าชื่อพระครูสังฆรักษ์ชื่อสวยดี ผมเอาพระครูสังฆรักษ์ "เอาละ..คุณก็เอาไป" พอตกลงผมก็ไปบอกอาจารย์อรุณ
เขาก็ดีใจกัน เขาก็จัดขบวนแห่กันไปรับตราตั้งและพัดจากหลวงพ่อที่วัดสะพาน ไม่นานต่อมาอาจารย์อรุณก็มาหาผม
และให้ผมไปนิมนต์หลวงพ่อจากวัดสะพานมาอยู่วัดท่าซุง
ผมเคยเล่าให้คุณนายอ๋อย (คุณเฉิดศรี) และคุณหญิง และพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ฟังว่า เขาแห่กลองยาวมีขบวนยาวเหยียดไปกันเต็มแม่น้ำ
พร้อมด้วยขบวนหมาวิ่งกันเกรียวกราว เขาไปรับกันมาอย่างนี้ ไปนิมนต์มาจากวัดสะพาน ไม่ใช่หลวงพ่อมาเอง..."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 9
ทำแผ่นยันต์ทำน้ำมนต์ (อยู่วัดสะพาน)
"...เรื่องนี้มีสาเหตุเนื่องจากหลวงพ่อมาบอกว่า จะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ ผมได้ยินเข้าก็คิดว่าตายแน่ ต่อไปนี้ถ้ามีความทุกข์ร้อนขึ้นมา
จะไปคุยกับใครเล่า จะไปปรึกษากับใคร
ท่านบอกไม่ป็นไร ถึงอยู่ไกลถ้าตั้งใจก็ถึงกันได้ ผมไม่อยากให้ไป ผลที่สุดหลวงพ่อก็ไม่ไปกรุงเทพ ภายหลังจึงได้ย้ายมาอยู่ที่วัดสะพาน
มีอยู่วันหนึ่งผมก็ไปปรารถกับท่านว่า ถ้าท่านไปอยู่ไกลๆ ผมจะทำยังไง ปกติผมกินน้ำมนต์ที่หลวงพ่อทำให้เป็นประจำ
เรื่องอยากให้ทำน้ำมนต์เพราะสาเหตุภรรยาผมเป็นคนคลอดลูกยาก ตอนสมัยที่หลวงพ่อยังอยู่วัดปากคลองฯ นั้น เคยเห็นท่านทำน้ำมนต์ให้หมากิน
หมาที่มีท้องแก่ เห็นท่านเอาขันต์น้ำมนต์ตั้งทิ้งไว้แล้วก็บอกกับหมาว่า "เดี๋ยวเอ็งมากินน้ำมนต์นะ จะได้ออกลูกง่ายๆ" ให้ทั้งขันเลย
หมามันก็ไปกินของมันเรื่อย
ท่านยังพูดว่า "เออ..หมานี่ดีกว่าคนนะ ลูกมันถ่ายเละเทะ มันกวาดเกลี้ยง มันเลียเสียจนเกลี้ยง กระดานก็เกลี้ยง"
บางทีเห็นหมานอนหลับอยู่ ท่านก็พูดว่า "หมานี่ดีกว่าคนนะ ไปดูถูกมันไม่ได้นะ หมาบางตัวเป็นเทวดามาเกิด และมันก็ซื่อสัตย์
เราจากมันไปหลายๆ ปี เคยสั่งอะไรมันไว้ มันยังจำอยู่นั่นแหละ ไม่หมือนคน บางทีบอกให้ทำอะไรเร็วๆ แต่กลับทำช้าๆ"
ท่านก็เปรียบเทียบหลายอย่าง แม้ข้าวของต่างๆ บางตัวแค่ไปจับของไม่ได้เลย มันทำท่าจะกัดเอาเลย เวลาผมไปหาหลวงพ่อจะบอกว่า
"เอ้า..ลุงถึงมา อย่าทำเขานะ เอ้า..มันไม่ทำแล้ว" บางทีท่านก็พูดว่า
"ลุงถึงมา..ลุงมา..ลุงมา" อย่างโง้น..อย่างงี้ !
ตอนนั้นผมเลยขอให้ท่านทำน้ำมนต์ ทำให้หม้อเบ่อเริ่มเลย เต็มหม้อเชียว เอาเต็มที่ ท่านบอกว่า เออ..เอาไปให้ภรรยากิน
โอ้โฮ้..กินแล้วลูกคนสุดท้องนี่ ภรรยาผมไม่ต้องไปนอนโรงพยาบาลเลย ขณะกินข้าวอยู่รู้สึกปวดท้อง พอไปถึงโรงพยาบาลคลอดเลย
ลูก ๓ คนแรก ภรรยาต้องนอนค้างอยู่โรงพยาบาลตั้ง ๒ - ๓ คืนจึงคลอด คนที่ ๔ กินน้ำมนต์ ไปถึงโรงพยาบาล หมอแทบจะทำให้ไม่ทัน
ตอนนี้ก็เกิดเห็นความสำคัญ และความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์ จึงคิดว่าว่าจะทำน้ำมนต์ไว้ประจำบ้าน อีกหน่อยถ้าหลวงพ่อท่านสิ้นไป หรือย้ายไปอยู่ที่อื่น
จะได้มีน้ำมนต์ไว้เสมอ
หลวงพ่อจึงบอกให้ไปเอาแผ่นเงินแท้หนัก ๑ บาท ตีแผ่ทำเป็นแผ่น พอเข้าพรรษา ผมก็เอาแผ่นยันต์พร้อมโหลใส่น้ำมนต์ไปให้ท่าน
ท่านทำให้ผมตลอดไตรมาส พอออกพรรษาท่านก็เอาลงเรือมาส่งให้ผมเลย ทำมาแล้วผมก็ไว้บนหิ้งพระ เมื่อมีบางคนไปขอน้ำมนต์จากหลวงพ่อ
ท่านบอกโน่นให้ไปเอาที่คุณบุญถึงนั่น แล้วก็เติมไปเรื่อย ไม่ใช่เอาน้ำเติม เทเอาน้ำออกเอาแผ่นยันต์ออก เติมน้ำใหม่ เอาแผ่นยันต์ใส่
เอาน้ำมนต์ของเดิมที่เทออกมาเติมใส่เข้าไป
ท่านไม่ให้เอาน้ำมนต์ใหม่เทรดน้ำมนต์ เวลาลูกผมแต่งงาน ก็เอาน้ำมนต์นี่แหละมาใช้และผสมน้ำ ทำงานอะไรก็เอาน้ำมนต์นี่ไปใช้
นึกอยากอาบน้ำมนต์ก็ใส่ขันราดกันคนละที
ถ้าคนอื่นไปขอท่านๆ ท่านบอกให้ไปเอาที่บ้านบุญถึง บางทีก็ให้ผมเอามาให้คนอื่น น้ำมนต์นี่..แม่ยายผมเอาใส่ขวดขนาดแม่โขง วางบนหิ้ง
รถเมล์..รถเบรคยังไงไม่รู้ ล่วงลงมาชนพื้นเหล็กไม่แตก แม่ยายเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์จริง ขวดใหญ่ขนาดนี้หล่นไม่แตก...!!!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 10
หลวงพ่อแก้ทุกข์ร้อนได้แม่นยำ
"...มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมมีเรื่องเดือดร้อนที่สำคัญที่สุดเลย จึงนั่งเรือหางยาวไปหาหลวงพ่อที่วัดท่าซุง ไปเล่าให้ท่านฟัง
แต่ไม่ใช่จะไปเอาเงินจากท่านนะ ผมไม่เคยคิดหรอก เพียงแต่ไปปรึกษา ท่านบอกว่า
"เออ..ไม่เป็นไร กลับไปบ้านเถอะ ไม่ต้องเที่ยวตะลอนๆ ไปไหน ไม่สำเร็จหรอก กลับไปอยู่ที่บ้านนั่นแหละ จะมีเพื่อนมาหาที่บ้าน
ก็เล่าปัญหานี้ให้เพื่อนฟังก็แล้วกัน แล้วเขาจะช่วย"
พอกลับมาถึงบ้านได้เดี๋ยวเดียว ดื่มน้ำยังไม่ทันจะหมดขันเลย เพื่อนเขาก็มาหาผมที่บ้าน ผมก็เล่าปัญหาให้ฟัง เขาบอกไม่เป็นไรเขาจะช่วย
แต่ขอตัวกลับบ้านก่อน กลับไปปรึกษากับทางครอบครัว เขากลับไปถึงบ้านไม่เกิน ๒ ชั่วโมงหรอก ก็ฝากรถนำจดหมายตอบตกลงที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้ผม
เรื่องก็เรียบร้อยโดยง่าย.."
ซื้อเก้าอี้ (อยู่วัดปากคลองฯ)
"...เวลาหลวงพ่อมาหาผมที่โรงพิมพ์ ก็จะมานอนเก้าอี้นอนพับแบบระนาด เป็นเก้าอี้นอนแบบโค้งๆ ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ธรรมดา ก็นั่งสูงกว่า
ผมเลยเอาเก้าอี้ล้างชามมานั่งกับพื้น แล้วคุยกับหลวงพ่อๆ บอกว่าทีหลังให้แม่บ้านซื้อเก้าอี้อย่างนี้มาอีก ๑ ตัว
พอรุ่งขึ้น ก็มีคนแบกเก้าอี้แบบนี้มาขาย ก็ซื้อไว้ ๑ ตัว ซื้อมาแล้วก็ผูกแน่นเลย กะไว้ว่าถ้าหลวงพ่อมาเมื่อไร ก็จะได้ถวายท่านเอาไปไว้วัดเลย
พอหลวงพ่อท่านมา ท่านเห็นเช่นนั้น ก็บอกว่าที่ให้ซื้อมาอีก ๑ ตัว ก็เพื่อให้คุณบุญถึงนอนคุยกับฉันสบายๆ ต่างหาก ไม่ใช่หลวงพ่อจะเอาไปที่วัด ...!!!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 11
งานนี้ถูกดีดหู (อยู่วัดท่าซุง)
"...พระมหาประทวน จากวัดปากคลองฯ มานิมนต์หลวงพ่อให้ไปร่วมงานพุทธาภิเษก ซึ่งวันที่เจ้าภาพกำหนดพิธีพุทธาภิเษกนั้น
หลวงพ่อต้องไปกรุงเทพหรือเชียงใหม่นี่แหละจำไม่ได้ ท่านบอกว่า
(หมายเหตุ : พระมหาประทวน คือ ท่านเจ้าคุณพระราชสุทธิโสภณ เจ้าอาวาสวัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดชัยนาท)
"เออ..ให้จัดที่ไว้ก็แล้วกัน" พระมหาประทวนก็แน่เหมือนกัน จัดที่อาสนะให้หลวงพ่อเป็นองค์ประธานเลย
เมื่อถึงวันพุทธาภิเษก ผมก็ไป..ขี่รถเครื่องไป พอไปถึงท่าข้ามเรือจ้าง เขานิมนต์พระสวด ๔ องค์ ในพิธีพุทธาภิเษก ได้ยินเสียงพระสวด
ก็จำได้ว่าเป็นเสียงหลวงพ่อ เพราะรู้จักกันมานาน
ได้ยินเสียงสวดมาจากในพิธีชัดแจ๋ว พอจอดรถก็รีบตรงดิ่งเข้าไปที่โบสถ์ โดยไม่แวะทักทายใครเลย ไปถึง..มองทางโน้น..มองทางนี้ ไม่เห็นหลวงพ่อเลย
ฝ่ายหลวงพ่อรักษ์ (วัดศรีรัตนาราม ที่หนองม่วง จ.ลพบุรี) ก็บอกว่า
"เอ้อ..คุณบุญถึง อาจารย์คุณก็มา โน่น..อาจารย์นั่งอยู่โน่น" พร้อมกับชี้ไปที่อาสนะที่จัดไว้เป็นองค์ประธานนั่นแหละ
ผมมองไปก็ไม่มี พอหันไปๆ เจอพระมหาชัยสิทธิ์ (วัดหนัง หรือวัดวิจิตรการนิมิต กรุงเทพ) ท่านก็บอกว่า
"คุณบุญถึง..หลวงพี่มหาวีระมา กำลังเคี้ยวหมากจั๊บๆ อยู่นั่นแหละ" ท่านพูดพลางชี้ไปที่อาสนะตรงที่จัดไว้ให้หลวงพ่อเป็นองค์ประธาน
พอเสร็จงานก็กลับ อีกไม่กี่วันที่วัดท่าซุงก็มีงาน งานบวงสรวงที่หน้าโบสถ์ วันนั้นพี่เหม่ พี่ชอ ก็ร้องว่า
"อ้าว..คุณบุญถึงมาช่วยจัดของสำหรับบวงสรวง พอจัดเสร็จหลวงพ่อก็ลงมา..มาทำพิธีบวงสรวง"
ผมก็บอกว่า "แหม..วันนั้นผมไปหาที่วัดปากคลองฯ ได้ยินแต่เสียงหลวงพ่อสวดมนต์"
หลวงพ่อเอามือดีดหูเสียนิ้งไปเลย ดีดหูเลยนะ และพูดว่า "คุณหูดี แต่ตาคุณใช้ไม่ได้"
(พอถูกดีดหูก็ทำให้นึกถึงตอนที่พระบรมสารีริกธาตุเสด็จที่วัดโพธิ์ในคืนนั้น)
หลวงพ่อยังพูดอีกว่า "พระที่ไปวันนั้น ๙ องค์ มีพระตาดีอยู่ ๒ องค์เท่านั้นแหละ" ทำไมท่านจะไม่รู้ละ เพราะพระ ๒ องค์
เป็นคนบอกผมเองตอนที่เข้าไปในโบสถ์..!!!"
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 12
สร้างโบสถ์วัดหนองม่วงไม่เสร็จ (วัดหลวงพ่อรักษ์)
"...เย็นวันหนึ่งผมไปนั่งคุยกับหลวงพ่อที่เมรุวัดท่าซุง ข้างตึกอำนวยการ ท่านชวนไปดูงานบอกไปเถอะ..ไปเดินเล่นกัน
พอเดินไปๆ เมื่อถึงบันไดเมรุ ท่านก็นั่งที่ขั้นบันได ผมก็นั่งขั้นบันไดขั้นรองลงมา คุยไปคุยมาหลวงพ่อก็ถามว่า
"เออ..คุณบุญถึง โบสถ์ของหลวงพ่อรักษ์เสร็จหรือยังล่ะ ?"
ผมก็บอกว่ายัง พระประธานเขาเอามาองค์หนึ่ง เอามาแล้วหลวงพ่อรักษ์ไม่เอา ท่านบอกว่า "คุณบุญถึง..คุณเอาไป เอาไปไหนก็เอาไป"
ผมก็เอา และถวายท่านไปสามหมื่นบาท นี่เป็นไงก็ไม่รู้ ท่านไม่ยอมเอา จะสร้างใหม่ ความจริงหล่อเข้าโบสถ์แล้ว ตั้งอยู่ในโบสถ์เรียบร้อย
เหลือแต่ยังไม่ได้ปิดทองเท่านั้นแหละ
หลวงพ่อจึงบอกว่า "เออ..โบสถ์นี้สร้างเสร็จไม่ได้หรอก..หลวงพ่อรักษ์เอาส้วมไปไว้ใต้โบสถ์นะ"
ผมก็บอกหลวงพ่อว่ามีส้วมจริงๆ
"คุณบุญถึง...ไปบอกให้เขาเอาออกเถอะ"
ความจริงแล้วหลวงพ่อรักษ์ท่านเจตนาอยากจะให้พวกไปฝึกกรรมฐานสบาย จะได้ใช้ห้องน้ำสะดวก
แต่หลวงพ่อบอกว่า "ไม่ได้.. เอาขี้ไปไว้ใต้โบสถ์ สวดญัตติ สวดถอนไม่ขึ้น" ท่านว่าอย่างนั้น "ให้เอาออกเสีย"
พอบอกผมแล้ว ผมก็กลับมาบ้านก็มืด พอวันรุ่งขึ้นตอนเช้า หลวงพ่อรักษ์มาหาผมที่ปั๊มน้ำมันนี่เลยนะ ท่านมาเอง ผมคิดว่าท่านรู้แน่ อยู่ๆ ก็มาพอดีเลย
นับว่าเป็นเรื่องแปลก
ผมก็บอกหลวงพ่อรักษ์ที่หลวงพ่อมหาวีระบอกว่า "ใต้โบสถ์เอาส้วมไว้ไม่ได้..หลวงพ่อไม่รู้รึไง ?"
หลวงพ่อมหาวีระบอกว่า "ใครจะไปสวดถอนขี้ได้ละ ทำอย่างนี้ไม่ได้ จะไปขี้ไปเยี่ยวใต้โบสถ์ไม่ได้ ทำห้องอาบน้ำได้ ล้างหน้าได้ ล้างตาได้ ให้เอาส้วมออกเสีย"
ท่านพูดอย่างนี้ พอฟังปั๊บ..หลวงพ่อรักษ์ก็พูดขึ้นมาว่า "ไม่เอา..เดี๋ยวฉันจะไปพังวันนี้เลย"
หลวงพ่อรักษ์กลับไปสั่งช่างรื้อออกคืนนั้นเลยนะ ทุบส้วมเลย ท่านตัดสินใจไม่รอช้าเลย โบสถ์จึงสำเร็จมาได้ เอาขี้ออกก็ฝังลูกนิมิตได้
พอไปทีไร หลวงพ่อรักษ์ร้องโอ้โฮ "แหม...ข้าฯ มาติดที่ขี้นี่เอง !!"
ท่านพูดว่ามันให้มีเหตุขัดข้อง ไม่ว่าจะเป็นบานประตู สารพัดไปทุกอย่าง การเงินก็ดี ไม่ใช่ว่าการเงินไม่ดี
ท่านเคารพหลวงพ่อมาก ท่านกลัว..กลัวจัง บอกว่า "พระองค์นี้ไม่ได้ คุณบุญถึง ถ้าพูดอะไร แล้วต้องเชื่อ..ไม่เชื่อไม่ได้ !!"
หมายเหตุ : หลวงพ่อรักษ์ อุปสนฺโต (พระครูศรีรัตนานุรักษ์ ) อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองม่วง (วัดศรีรัตนาราม) อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี - Admin
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ตอนที่ 13
งานเปิดป้าย
"...วันเปิดป้ายปั้นน้ำมันของผม คือปั้มเจริญกิจบริการ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๒๐ มีการเลี้ยงเพลพระจำนวน ๑๐๙ องค์
ไม่ได้นิมนต์หลวงพ่อ แต่เอาการ์ดเชิญไปให้ท่าน ที่ไม่กล้านิมนต์ท่านเพราะเห็นป้ายติดไว้ว่า "หลวงพ่อไม่รับกิจนิมนต์"
แต่ท่านได้ถามว่า "นิมนต์ใครบ้าง" ก็บอกท่านว่า มีพระครูวิชาญชัยคุณ, หลวงพ่อรักษ์, พระมหาชัยสิทธิ์, พระมหาประทวน, พระบุญธรรม, และเจ้าอาวาสวัดเหนือ -
วัดกลาง - วัดใต้
หลวงพ่อพูดว่า "งานนี้ถ้าใครไม่มาให้เลิกนับถือ"
ผมก็งง เพราะผมได้นิมนต์ครบแล้ว ๑๐๙ องค์ แต่ท่านบอกว่า
"ฉันก็จะไป แต่จะไปเช้า จะทำการบวงสรวงให้ ไม่ต้องเตรียมอาหาร ขอน้ำเปล่า ๑ แก้วก็พอ"
พอได้เวลาผมก็ให้รถไปรับ คนรถบอกว่าที่วัดมีรถมาคอยหลายคัน มาถวายผ้าป่า และสังฆทาน แต่หลวงพ่อบอกว่า ให้คอยประเดี๋ยวจะกลับมา
จ่าสายบอกว่า "ไม่รู้หลวงพ่อจะไปบ้านไหน ก็นั่งรถมากับท่าน พอมาถึงปั้ม จึงได้รู้ เพราะจ่าสายกับผมคุ้นเคยกันอยู่ก่อน
และหลวงพ่อให้จุดธูปเชิญหลวงปู่เสร็จ ท่านก็ฉันน้ำแล้วก็ลากลับ (จ่าสาย - ทำงานอยู่ที่ บน.๔ ตาคลี)
นับตั้งแต่นั้นผมเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อจากวันแรกสุดจนบัดนี้ การเคารพนับถือนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผมจะระลึกถึงทุกวัน และเวลาสวดมนต์เช้า -
เย็นก็ระลึกถึงอยู่เสมอไม่เคยขาด
และจากความรู้สึกผมนั้น หลวงพ่อก็ยังคงเป็นหลวงพ่อของผมเหมือนเดิมทุกอย่าง มีแต่สมณศักดิ์เท่านั้นที่เปลี่ยนไป
จนเดี๋ยวนี้จะเรียกตามพระสมณศักดิ์ใหม่ก็คอยจะลืม จึงเรียกหลวงพ่อตามเดิม
...ส่วนศิษย์บางคนจะบอกว่า เดี๋ยวนี้หลวงพ่อไม่เหมือนเดิม ไม่รู้จักเราแล้ว ไปพบยาก ผมว่าท่านคิดผิด
หลวงพ่อท่านเป็นพระที่มีระเบียบตรงต่อเวลา
และท่านเคยบอกผมว่าท่านชอบทหาร เพราะมีระเบียบวินัยเคร่งครัด ศิษย์ทุกคนควรรู้ว่า หลวงพ่อท่านต้องการให้เราเป็นคนรู้จักเวลา กาละและเทศะ
หลวงพ่อท่านปิดป้ายไว้ว่า ไม่รับกิจนิมนต์ เราก็ไม่นิมนต์ รับแขกเวลาเท่าไร ท่านก็ติดป้ายบอกทุกอย่างแล้ว
พวกเราทำไมไม่มาหาท่าน ตามเวลาที่ท่านประกาศไว้เล่า จะให้เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ เพราะท่านแต่ก่อนนั้นยังแข็งแรง และภาระท่านก็น้อย
จึงมีเวลาไปมาหาสู่พวกเรามิได้ขาด
บัดนี้ ภาระท่านมากเหลือเกินและความชราของท่านด้วย ที่แล้วๆ มา ท่านให้เรามาก็มากแล้ว เช่นชี้ทางให้เราพ้นทุกข์ ชี้สุขให้เราทำตลอดมา
ขอให้อานุภาพแห่งพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการ ขอมาดลบันดาลให้หลวงพ่อมีอายุยิ่งยืนนาน และมีสุขภาพและพลานามัยแข็งแรงตลอดไป
จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ ด้วยเทอญ.."
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
◄ll กลับสู่ด้านบน
.
|
|
|
|