Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 3/4/19 at 09:34 [ QUOTE ]

"ครูบาชุ่ม โพธิโก (วัดวังมุย)" บันทึกโดย พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา


สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

ตอนที่ 1 หลวงพ่อห่วงใยทหารตำรวจ
ตอนที่ 2 เหตุที่พบหลวงพ่อ
ตอนที่ 3 ออกทัศนาจรกับฤาษี (หลวงปู่สิม)
ตอนที่ 4 ครูบาพรหมจักรสังวร (วัดพระพุทธบาทตากผ้า)
ตอนที่ 5 ปรารภถึงท่านผู้มีความดี
ตอนที่ 6 ครูบาอินทจักรรักษา (วัดน้ำบ่อหลวง)
ตอนที่ 7 ครูบาบุญทึม พรหมเสโน (วัดจามเทวี)
ตอนที่ 8 หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร (วัดดอนมูล)
ตอนที่ 9 ครูบาชุ่ม โพธิโก (วัดวังมุย)
ตอนที่ 10 ลูกแก้วของหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก
ตอนที่ 11 หลวงพ่อสั่งใหพิมพ์หนังสือ

ตอนที่ 12 "ลูกแก้ว" ลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ


[ ตอนที่ 1 ]
(Update 9 มิถุนายน 2562)


"หลวงพ่อห่วงใยทหารตำรวจ"
บันทึกโดย พ.ต.ท.อรรณพ กอวัฒนา (ยศสมัยนั้น)


"...เมื่อประมาณปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๓ ผมได้รับข่าวจากตำรวจที่ดูแลรักษาความปลอดภัยวัดท่าซุง จดหมายมาบอกเล่าเก้าสิบว่า “หลวงพ่อ” (พระเดชพระคุณพระราชพรหมยาน)

รับนิมนต์ไปประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปพระประธานที่ “วัดเขาไผ่” จังหวัดระยอง ระยะนั้นจะจำวัดอยู่ที่บ้าน “พี่สมบูรณ์ เวสารัชชานนท์” จังหวัดจันทบุรี

บอกมาด้วยว่า หลวงพ่ออยากให้ผมไปพบ แต่ไม่ยักกะบอกว่า เรื่องอะไร ผมก็เลยต้องเดาว่า หลวงพ่อคงอยากไปเยี่ยมทหารและตำรวจ ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด

ทั้งนี้เพราะเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๓๒ หลวงพ่อได้เดินทางไปประกอบพิธีให้ทหารเรือ ที่อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ซึ่งในขณะนั้นผมรับราชการอยู่ที่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด

จึงได้มีโอกาสไปดูแลให้ความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ และในโอกาสนี้เอง หลวงพ่อได้ปรารภกับผมว่า ปีหน้าจะมาอำเภอคลองใหญ่ (ตอนปรารภนั้นปลายปี ๒๕๓๒ ตอนที่เขียนถึงนี้ปี ๒๕๓๓)

และผมก็เดาถูกนิดหน่อยเพราะมาทราบภายหลังว่า หลวงพ่อมีรายการไปบวงสรวงที่ "บ่อพลอย" ของศิษย์ที่อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมทหาร

เพราะเมื่อผมเดินทางไปพบก็เป็นวันสุดท้ายของกำหนดการแล้ว และได้ทราบจากหลวงพ่อภายหลังว่า ท่านมีเจตนาจะไปเยี่ยมทหารและตำรวจจริงๆ

แต่เมื่อผมไปถึงนั้นเลยเวลาแล้ว และผมก็ได้ย้ายมาที่อำเภอบางคล้าแล้ว จึงไม่สะดวก ที่ผมเดาได้ถูกนั้น เพราะหลวงพ่อนั้นไม่เคยทอดทิ้งทหารและตำรวจ โดยเฉพาะพวกที่ไปปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน

หลวงพ่อได้กรุณาอนุเคราะห์และเอื้อเฟื้อมาโดยตลอด ไม่ว่าดินแดนนั้นจะอยู่ห่างไกลเท่าไร ทุรกันดารเพียงไหนหรืออันตรายปานใด

หลวงพ่อได้เคยพากเพียรดั้นด้นไปเยี่ยมเยียนมาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน ระหว่างที่เดินทางไปสงเคราะห์ ก็มิใช่จะสะดวกสบาย พูดอย่างภาษาชาวบ้านว่า ต้องกินอยู่หลับนอนเหมือนกับพวกเขาที่เราไปสงเคราะห์

หลายครั้งที่หลวงพ่อ “ต้องกินข้าวลิง” เพราะระว่างเดินทางอยู่นั้น ไม่มีร้านรวงหรือบ้านเรือนให้นิมนต์ฉันได้ สองข้างทางเป็นป่าทึบ

นอกจากนั้นก็เป็นพื้นที่สู้รบอีกด้วย เวลาก็จะเลยเพลแล้ว ลูกศิษย์ที่ไปด้วยจำต้องถวายกล้วยและผลไม้อื่นๆ บ้างเป็นภัตตาหารมื้อเพล เพราะไม่มีอย่างอื่น ฆราวาสไม่เดือดร้อน เพราะจะกินเมื่อไรก็กินได้

แต่พระไม่ได้ แล้วพวกเรารู้ไหม คำน้อยสักคำหนึ่ง หลวงพ่อไม่เคยบ่น ท่านกลับคุยจ้อพออกพอใจ ท่าทางยิ่งแช่มชื่นอะไรจะปานนั้น

ท่านพูดว่า “ไอ้เป๋เอ๋ย..ไม่เป็นไรน่ะ เอ็งรู้ไหม..ข้าฯ อดข้าวสบายมาก การที่ข้าฯ ต้องอดข้าว เพราะเพื่อมาสงเคราะห์ลูกๆ ของข้าฯ ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละอยู่ที่ชายแดน คนเหล่านี้ยอมสละชีวิตเลือดเนื้ออวัยวะ

ความสุขส่วนตัว เพื่อปกปักรักษาชาติ รักษาในหลวงของเราและพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง เขาต้องอดยิ่งกว่าเรา ถึงแม้ว่าข้าฯ จะต้องอดข้าวตลอดชีวิต เพื่อให้ได้มาสงเคราะห์ให้กำลังใจพวกเขา ข้าฯ ก็จะทำ”

หลวงพ่อโสธร
...ผมไปพบหลวงพ่อที่จันทบุรี ช้าไปจนหลวงพ่อไม่อาจไปสงเคราะห์ทหารและตำรวจที่อำเภอคลองใหญ่ได้ ผมก็เลยนิมนต์อาราธนาหลวงพ่อมาเยี่ยมอำเภอบางคล้า ที่ผมเป็นสารวัตรใหญ่อยู่

เพราะเป็นเส้นทางผ่าน และอยากให้คณะศิษย์ของหลวงพ่อได้มีโอกาสมานมัสการ "หลวงพ่อพระพุทธโสธร" ว่ายังงั้นเถิด

หลวงพ่อก็รับนิมนต์คงจะเพื่อสงเคราะห์คณะศิษย์ เมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว หลวงพ่อเคยพาคณะศิษย์มานมัสการหลวงพ่อพระพุทธโสธร

หลวงพ่อว่า "เทพ" (หมายถึงเทวดาหรือพรหม) องค์ที่ดูแลรักษาหลวงพ่อพระพุทธโสธร ชื่ออะไรผมก็จำไม่ได้ เป็นเทพที่มีบุญบารมีทางโชคลาภสูงมาก

แล้วในวันที่หลวงพ่อมาโรงพักบางคล้า ก็พูดอีก ผมฟังไม่ถนัด แต่ถ้าให้เดาก็คงจะเป็นท่าน “สหัมปติพรหม” แน่ๆ.."


หมายเหตุ - (แอดมิน) การที่หลวงพ่อเรียก.."ไอ้เป๋" เป็นเพราะผู้การอรรณพเคยถูกผู้ก่อการยิงจนบาดเจ็บ เวลาเดินก็กระโผลกกระเผลกมาตั้งแต่เป็นผู้หมวดอยู่ชายแดนแถวภาคเหนือ

การปฏิบัติงานเช่นนี้ หลวงพ่อฯ บอกว่าเป็นการเสียสละ "อวัยวะ" เพื่อรักษาชาติรักษาแผ่นดิน โดยเฉพาะผู้การอรรณพเคยปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ท่านบอกว่าเข้มกว่า พล.ต.ศรีพันธ์ (พี่แดง) วิชชุพันธุ์ ที่ปรารถนาพุทธภูมิเช่นกัน

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/4/19 at 09:34 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 2]
(Update 20 มิถุนายน 2562)


เหตุที่พบหลวงพ่อ


"...ผมถือกำเนิดมาในตระกูลพ่อค้าใหญ่ ผู้คนในตระกูลของผมส่วนใหญ่ไม่มีใครนับถือเจ้าอย่างจริงจังอะไร คุณก๋งผมเป็นพ่อค้าข้าวมีโรงสีหลายโรง

สมัยก่อนแถวถนนสาธรยันถนนตกข้ามเจ้าพระยาไปจนถึงบางอ้อ ไม่มีใครไม่รู้จัก “เจ้าสัวกอเป็งเชียง” หรือ “เจ้าสัวเจียร” ร่ำลือกันว่า ร่ำรวยกว่าใครๆ ในย่านนี้

บ้านที่พักอาศัยเรียกว่า “บ้านสามภูมิ” ประกอบด้วยบ้านของ ๓ ตระกูลคือ “กอวัฒนา” “พยัคฆาภรณ์” และ “ทวีสิน” มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่

ใครจะจัดงานแต่งงาน ลูกหลาน มักจะมาขอยืมสถานที่เพื่อจัดงานพิธีและงานเลี้ยง เดือนๆ หนึ่งมีงานหลายงาน ผมจำได้เพราะถือว่าเป็นลาภปาก มีงานทีไรอิ่มสบายทุกที เขาเล่ากันว่า

สมัยหนึ่งที่รัฐบาลไทยห้ามส่งข้าวออกนอกประเทศ คุณก๋งของผมตกงาน ไม่มีอะไรจะทำ จึงจัดตั้งสมาคมขึ้นมา ไม่ใช่สมาคมอั้งยี่

แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ เลี้ยงดูปูเสื่อกันทั้งวันทั้งคืน คุณก๋งทิปนักร้องครั้งละ ๑ บาทเชียวครับ โชคดีที่รัฐบาลห้ามเพียง ๓ เดือนก็อนุญาตให้ส่งข้าวออกได้ คุณก๋งก็ยุบสมาคมตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินต่อไป

คนเก่าๆ แถวนั้นจึงเรียกสมาคมนี้ว่า “สมาคมสามเดือน” แต่ถึงจะไม่นับถือพระนับถือเจ้า คุณก๋งของผมก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อค้าที่ซื่อตรงที่สุด

เอาพระไว้ที่ใจ
...ผมเองนั้นเมื่อสมัยเด็ก เขาลงในทะเบียนว่า นับถือพุทธ ผมก็นับถือสักแต่เพียงกราบไหว้บูชา แต่ผมไม่เคยรู้ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร เขาให้กราบผมก็กราบ เขาให้ไหว้ผมก็ไหว้ แต่ผมไม่เคยเข้าใจว่า

หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ยิ่งต้องไปเรียนในโรงเรียนฝรั่งก็โรงเรียนอัสสัมชัญ นั่นแหละครับยิ่งไม่มีโอกาสศึกษาเรียนรู้

แม้จะผ่านโรงเรียนเตรียมทหารและโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ผมก็ไม่รู้เรื่องศาสนาพุทธเอาจริงๆ ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร สมัยเป็นเด็กมัธยมก็ดอดไปโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัดมหาธาตุ ก็ไม่รู้อะไร

ได้ทุนไปเรียนเมืองนอก ก่อนไปก็พยายามศึกษาก็ไม่รู้อีก ฝรั่งถามทีไรก็จนมุมมันทุกที กลับมาออกไปรบทางชายแดน ก็ห้อยพระห้อยเจ้าไปตามเรื่อง

พอไปเจอพวกนิยมของขลัง คุยกันแต่เรื่องอยู่ยงคงกระพัน ก็เลยเลิกห้อยพระไปเลย เพราะหมดความเชื่อถือ เนื่องจากพวกเขาคุยอวดกันว่า พระเครื่องของพวกเขาคุ้มครองพวกเขาได้ตลอดกาล

ผมนึกค้านว่า ถ้าไอ้โจรห้าร้อยระยำอัปรีย์มันห้อยพระเครื่องดีๆ เกิดปะทะกัน ผมใส่มันเข้าไปเปรี้ยง! ไม่เข้า! เพราะมันมีพระดี แต่พอมันใส่ผมตูม! ผมตาย! เพราะผมไม่มีพระดีๆ จะใส่

เอ..พระท่านน่าจะคุ้มครองคนดีมากกว่านะ อย่ากระนั้นเลย ห้อยไปก็หนักเปล่าๆ ผมจึงออกรบโดยไม่เคยห้อยพระเครื่อง และผมก็แคล้วคลาดมาโดยตลอด เพราะผมเอาพระไว้ที่ใจ

ได้ศึกษาพระธรรมในยามป่วย
...ในหมวด ต.ช.ด. ที่ผมบังคับบัญชาอยู่ตอนออกรบมีกำลังตำรวจ ๑ หมวด แต่ห้อยพระไป ๑ กองพล เวลาออกลาดตระเวน เสียงพระเครื่องที่ห้อยอยู่กระทบกันดังพิลึกดี

จนกระทั่งต่อมาผมถูกยิงได้รับบาดเจ็บ เพราะปากไม่ดี ไปด่ามารดาฝ่ายตรงข้ามเข้า หนังยุ่ยทันตาเห็น ต้องนอนขี้เยี่ยวอยู่บนเตียง ๙๖ วัน หัดเดินอยู่อีก ๒ ปี ช่วงระยะเวลานั้นเอง

ผมจึงได้มีโอกาสหวนกลับมาศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนาอีก ตื่นตั้งแต่ตี ๔ เปิดวิทยุฟังธรรมะ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องอภิธรรมและปริยัติธรรม ฟังไปจดไปนะครับ

จดไม่ทันเอาเทปมาอัด ซื้อตำรับตำรามาเต็มบ้าน เต็มช่อง ไม่รู้เรื่องอีกเช่นเคย เลิกครับเลิก คราวนี้หันมาสนใจพระเกจิอาจารย์ เขาว่ามีพระอาจารย์ที่ไหนดี เฮโลสาระพา ตามไปนมัสการ กลับบ้านได้มาแต่พระเครื่องแหละครับ

เริ่มจากหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน"
...ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร จนวันหนึ่งเพื่อนต่างวัยมีอาวุโสกว่าผม เขาเอาหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" วัดบางนมโค บันทึกโดย “ฤาษีลิงดำ” มาให้อ่านก็เลยสนใจ

แต่ผมกับเพื่อนสนใจกันคนละอย่าง เพื่อนเขาสนใจจะนำพระเครื่องไปให้ท่านปลุกเสก ส่วนผมสนใจว่า "ฤาษีลิงดำ" เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน ซึ่งเป็นพระหมอคงจะรักษาขาที่พิการได้

เอาละครับ..มีประโยชน์ร่วมกัน จึงพากันออกตามหาหลวงพ่อ จนทราบว่าอยู่ที่วัดท่าซุง ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี จึงมานมัสการหลวงพ่อ

อะไรทำให้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ
...อย่างที่เล่ามาแล้วข้างต้น เพื่อนผมเขาจะสร้างพระ มาขอให้หลวงพ่อปลุกเสก ผมก็ไม่ขัดศรัทธา ระหว่างเดินทางพวกเราปรึกษากันเรื่องทำพระ และตกลงกันว่า จะให้ผมเป็นคนพูดขอกับหลวงพ่อ

ผมก็เออๆ คะๆ ไปตามแกน นึกในใจว่า เขาให้พูดก็จะพูดได้หรือไม่ได้ผมไม่สนใจมาก คิดแต่เพียงว่า ถ้าท่านมีฤทธิ์เดช เราก็จะขอให้ท่านช่วยรักษา ก็แค่นั้น

เพราะผมนั้นเคยขนข้าวขนของไปถวายวัดหนึ่งมากมายก่ายกอง พยายามดักพบท่านเจ้าสำนัก ท่านก็ไม่ให้พบ เขียนจดหมายถามท่านระบายความในใจว่า ผมอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรจริงๆ

ท่านก็ไม่ยอมตอบ ส่งเงินไปก็หลายครั้ง ก็ไม่ยอมพบ ไม่ยอมตอบ เสียทั้งของ หมดทั้งเงิน แต่ยังเป็นควายเหมือนเดิม

หลวงพ่อรู้ภาวะจิต
...พวกเราสามคนมาถึงวัดเวลาอะไรจำไม่ได้ รู้แต่ว่าไม่ใช่เวลารับแขก จึงไปนั่งรออยู่ที่หอกรรมฐานขาว รอเวลาที่หลวงพ่อจะลงมารับแขก

เผอิญไม่มีแขก พวกเราจึงถือโอกาสงีบหลับตามอัธยาศัย เพราะยังอีกนานโขกว่าจะได้เวลา และทั้งเหนื่อยและหิว แต่ก็ยอมอดข้าวด้วยเกรงจะไม่ได้พบ ครั้นแล้วก็ได้พบหลวงพ่อ เมื่อผ่านพ้นระบบทักทายและรายงานตัวกันแล้ว

พวกเราก็นั่งเลิกลั่กไม่ทราบว่าจะสานเรื่องต่อไปได้อย่างไรดี เพราะทั้งดีใจที่ได้พบ และทั้งงัวเงียเพราะเพิ่งจะตื่น แต่ก่อนหน้าที่เราจะได้พบ

ต่างก็อาราธนาบารมีของหลวงปู่ปาน และหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ แล้วว่า ขอให้การที่คิดเอาไว้สำเร็จ

หลวงพ่อนั้นครั้นเมื่อเห็นพวกเราเงียบอึกอัก จู่ๆ ท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “เออ..หลวงพ่อแดงนี่ ท่านเป็นพระดีนะ”

พวกเราตะลึงเพราะว่าเมื่อเหยียบย่างเข้ามาในวัด ไม่มีใครพูดถึงหลวงพ่อเลย เราพูดกันในรถปรึกษาหารือกันในรถเท่านั้น หลวงพ่อรู้ได้อย่างไร แล้วท่านก็พูดต่อไปอีกว่า

“พวกคุณจะสร้างพระผงกันหรือ มีเจตนาดีนะ จะสร้างแบบไหน ฉันอนุญาต”

ความรู้สึกของผมในตอนนั้นบอกไม่ถูก เหมือนคนเป็นหูหนาตาเร่อ รู้สึกตัวชาหน้าชาแบบเห่อๆ

บรรยากาศรอบตัวมันหนาวๆ ร้อนๆ วูบๆ วาบๆ บอกไม่ถูก ปากปิดสนิท แต่ในใจร้องว่า “อัศจรรย์ๆ จริง” แล้วก็ต่างมองหน้ากัน เข้าใจว่าทุกคนคงมีความรู้สึกแบบเดียวกัน

หลวงพ่อรู้จิตพวกเราได้ไงแฮะ “ไปทำตัวอย่างมาให้ดู มีเจตนาดีอย่างนี้ ฉันอนุญาต”

หลวงพ่อพูดย้ำอีก คนหนึ่งในจำนวนพวกเรา จึงรีบกราบเรียนรับคำว่า จะไปทำตัวอย่างให้สวยให้ดีมาถวายภายหลัง เพราะเราเพียงแต่เคยปรึกษากันว่าจะสร้างพระผง แต่ยังไม่ได้ตกลงกันว่า จะสร้างแบบไหน จำนวนเท่าใด

ครั้นแล้วเพื่อนผมอีกสองคนก็กราบลา เพราะเขาสมประสงค์แล้ว ผมก็จำใจเข้าไปกราบลา หลวงพ่อเอามือตบศีรษะของผมพูดว่า

“เออ..ดีๆ คุณเสียสละเพื่อประเทศชาติ พระท่านสอนว่า การเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นเป็นทุกข์ ร่างกายของเราก็ดี ทรัพย์สมบัติของเราก็ดี

อะไรๆ ต่างๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขังอนัตตา ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และบังคับไม่ได้ ถ้าไม่ต้องเกิดก็ไม่ต้องทุกข์ ถ้าคุณปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คุณก็จะไม่ต้องเกิดอีก

มีอยู่หลายวิธี ไปหาหนังสืออ่านเอานะ ค่อยๆ ศึกษาไปนะ ถ้ามีโอกาสก็มาฝึกกรรมฐานที่นี่ก็ได้ ที่บ้านสายลมก็ได้”

เจ้าประคุณเอ๋ย ผมดีใจจนบอกไม่ถูก แม้ในขณะนั้นผมจะยังเข้าใจคำว่า กรรมฐานน้อยมาก แต่ในใจก็คิดว่า

“เออ..เข้าเค้าๆ แล้ว มีหลัก มีเกณฑ์นี่” แล้วก็กราบลาพากันกลับ สรุปว่าผมศรัทธาหลวงพ่อเพราะท่านรู้ภาวะจิตนั่นเอง

จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็พยายามหาโอกาสมารับการสอน มาฟังการเทศน์ของหลวงพ่อบ่อยๆ พยายามทำความเข้าใจจนผมหายสงสัย

สมัยนั้นหลวงพ่อจะสอนกรรมฐาน เน้นมากเรื่อง อานาปานัสสติ เพื่อโยงจิตให้เป็นสมาธิ คำภาวนา ไม่จำกัด แต่นิยมคำว่า “พุทโธ” เพ่งอะไรไม่จำกัดแต่นิยมให้เพ่งพระพุทธรูป สอนเรื่องจิต สอนเรื่องอิริยาบถ

สอนให้รู้ว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิในระดับไหนแล้วมีอาการเป็นอย่างไร จะใช้สมาธิทำอะไรได้บ้าง แต่ในที่สุดก็สอนให้พิจารณาบางครั้งว่า กรรมฐาน ๔๐ เป็นเดือนๆ ต่อด้วยมหาสติปัฏฐานอีกเป็นเดือนๆ

แล้วมาสรุปด้วยอารมณ์ของพระอริยบุคคล วนเวียนอยู่เป็นปีๆ ไม่มีการเรียนลัด นี่ผมว่าโดยย่อนะครับ ความจริงท่านแจงละเอียดให้ความรู้ไม่มีปิดบัง ผมอยากรู้อะไรท่านก็ยินดีสอนให้ ในที่สุดผมก็เลือกเอาไม่ต้องเกิดอีก.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/4/19 at 09:53 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 3]
(Update 27 มิถุนายน 2562)


ออกทัศนาจรกับฤาษี


"...ผมได้เล่าเรื่องมายืดยาวตั้งแต่เหตุผลว่า ทำไมจึงเขียนเรื่องอะไรๆ นี่เนื่องด้วยหลวงพ่อของเรา

การเริ่มต้นที่ได้มาพบหลวงพ่อ อะไรที่ทำให้ผมเกิดศรัทธา จนถึงการได้มาฝึกกับหลวงพ่อ ความจริง ถ้าจะเขียนให้ละเอียดก็จะยืดยาวมากกว่านี้มาก ได้พยายามย่นย่อพอสังเขปแล้วนะครับ

ต่อไปก็จะเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เมื่อครั้งที่ได้มีโอกาสไปทัศนาจรร่วมกับหลวงพ่อ เอาพอหอมปากหอมคอนะครับ

เรื่องยาวไปหาอ่านเอาจากหนังสือเรื่อง “ฤาษีทัศนาจร” และ “ล่าพระอาจารย์” จากนี้ไปถ้าผมจั่วหัวข้อเป็นชื่อหลวงพ่อหรือหลวงปู่องค์ไหน ก็หมายความว่า ผมจะเขียนถึงท่านเหล่านั้นในเหตุการณ์ที่ผมได้ประสบ

ขณะเดินทางไปทัศนาจรกับหลวงพ่อของเรา โดยที่ผมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ได้สัมผัส ในเวลาและโอกาสนั้น หรือในกาลถัดมา

หลวงพ่อสิม พุทธาจาโร
...หรือพระครูสันติวรญาณ แห่งสำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ผมไม่เคยพบท่านมาก่อนหน้านั้น แต่ทราบจากการบอกเล่าของผู้อื่นว่า

ท่านเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต จาริกมาแสวงหาความสงบวิเวกอยู่ที่ถ้ำผาปล่อง ท่านเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ แต่ท่านเบื่อคน จึงหนีมาอยู่ถ้ำ

กระนั้นก็ยังมีผู้เสาะแสวงหาท่านจนพบ เขาว่าท่านเป็นพระที่มีเมตตาสูงมาก ผมเคยคิดจะไปนมัสการท่านอยู่แล้ว แต่ล้มเลิกไป เพราะได้มาพบหลวงพ่อเสียก่อน

มีอะไรให้ต้องเรียน ต้องศึกษามากมายไม่รู้จบจากหลวงพ่อ จึงไม่คิดจะไปหาอาจารย์องค์ไหนอีก เผอิญหลวงพ่อท่านชวนว่า คณะของท่านจะไปนมัสการหลวงพ่อสิมฯ และจะเลยไปนมัสการหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ด้วย

“อ๊ะ ได้การ” ผมคิดในใจ เพราะว่าหลวงปู่แหวนฯ นั้น ผมก็เคยได้ยินกิตติศัพท์มาจากรุ่นพี่และเพื่อนๆ ทหารอากาศว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่เคยได้ไปนมัสการสักที “ฮ้า เหมาะเลย”

จึงกราบเรียนรับปากว่าจะไป แต่ผมขอไม่ไปพร้อมคณะ จะไปสมทบที่เชียงใหม่เลย เพราะตอนนั้นผมถูกยิงแข้งขาไม่ค่อยจะดี นั่งรถนานมันปวด จึงเดินทางไปโดยเครื่อง บดท.

แล้วตามไปสมทบที่น้ำตกแม่สา ตอนนั้นผมช่วยราชการอยู่ที่กองอำนวยการเคลื่อนย้ายทหารจีนชาติ หรือ บก.๐๔ ซึ่งมีหน่วยงานอยู่ที่เชียงใหม่ ทหารมารับผมจากสนามบิน

แล้วร่วมกับขบวนลูกศิษย์ของหลวงพ่อ แวะชมถ้ำเชียงดาวแล้วขึ้นไปนมัสการหลวงพ่อสิมฯ บนถ้ำ อันว่าทหารคนขับรถนี้ ไม่ใช่คนเดิมที่เคยขับรถให้ผมเสมอๆ

แต่เขามีหน้าที่ดูแลบ้านพักของนายทหารระดับผู้ใหญ่มากๆ ท่านหนึ่งที่นั่น เขาอยากจะได้พระเครื่องของหลวงพ่อสิมฯ จึงอาสาขับรถแทนให้

ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้อง เพราะเห็นว่าหน่วยก้านพอไปไหว แม้จะอ้วนไปสักหน่อย เป็นทหารอากาศ แต่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินหรอกครับ อยู่ภาคพื้นดินมาโดยตลอด

โดยผมชี้แจงว่า ที่เรามานี้เรามากับคณะนักบุญ ซึ่งมีหลวงพ่อเป็นผู้นำ กำหนดจะพักค้างคืนบนถ้ำ พวกนักบุญเหล่านี้ เขาไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมา

แต่เราก็ทราบดีอยู่แล้วว่า บริเวณดังกล่าวนั้นเป็นที่เปลี่ยวมีโจรผู้ร้ายชุกชุม เราจะต้องทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองปลอดภัยกับพวกเขาด้วยนะ ไม่ใช่มาเที่ยว เขาบอกว่า เขาเต็มใจตกลงเบิกเอ็ม ๑๖ ไป ๒ กระบอก นอกจากนั้น ผมมีปืนพกไปอีก ๑ กระบอก

ลูกน้องถูกยิง
...เมื่อเดินทางไปถึงเชิงเขา เวลายังไม่ทันพลบค่ำ ผมกับเขาเดินตามคณะขึ้นไปที่ถ้ำผาปล่อง โดยเขาอาสาจะเอาเอ็ม ๑๖ ทั้ง ๒ กระบอกขึ้นไปด้วย

โดยจะห่อให้มิดชิด ไม่ให้ประเจิดประเจ้อ และอาสาว่า เมื่อมืดแล้วเขาจะลงมานอนเฝ้าทรัพย์สินในรถของคณะใหญ่ซึ่งจอดอยู่ที่เชิงเขา ส่วนผมนั้นจะดูแลด้านบนถ้ำเอง เขาลงมาเมื่อมืดแล้ว

หลังจากรับพระเครื่องมาจากหลวงปู่สิมฯ เอาปืนพกของผมไปด้วย เพราะระหว่างทางลงเขาสภาพก็ไม่น่าวางใจ ตอนดึกระหว่างคณะกำลังนอนพักผ่อน ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด บริเวณที่จอดรถ

ชายฉกรรจ์ทั้งหลายพากันกรูลงไปดูเหตุการณ์ พบว่าเขาถูกคนร้ายยิงที่บริเวณท้องถึงไส้ทะลัก พวกนักบุญช่วยกันพาเขาไปส่งอนามัย

และต่อมาตำรวจนำไปส่งโรงพยาบาลสวนดอก ผมว้าวุ่นมาก ไหนจะห่วงคนเจ็บ ไหนจะห่วงคนเป็น เพราะหวั่นไหวกันไปหมด ด้วยเกรงภัยจากโจรร้าย

ต่อมาตำรวจท้องที่ทราบเหตุ นำตัวเขาส่งโรงพยาบาลสวนดอก ที่เชียงใหม่ ผมนั้นคิดว่าเขาไม่น่าจะรอด เพราะบาดแผลฉกรรจ์มาก ผมขอให้คุณหมอชุติ เนียมสกุล ขับรถพาผมไปดูเขาที่โรงพยาบาล

เพราะผมขับรถเองไม่ได้ หลังจากที่ได้นมัสการกราบเรียนให้หลวงพ่อทราบแล้ว แต่ได้ติดต่อขอให้ตำรวจท้องที่มาดูแลให้ความปลอดภัยคณะใหญ่เป็นที่เรียบร้อย หมดกังวลไปเปลาะหนึ่ง

หมอชุติฯ ท่านก็แสนดี คำน้อยสักคำก็ไม่ปริปากบ่น ระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆ นะครับ แถมยังคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปตามภูเขา ขนาดคนเป็นยังแย่

แล้วคนเจ็บจะเป็นอย่างไรผมไม่อยากคิด เพราะผมเองก็เคยมาแล้ว เมื่อครั้งถูกยิงที่ชายแดน นอกจากนั้นผมก็ยังกังวลใจว่า จะรายงานผู้บังคับบัญชาอย่างไรดี เพราะคนที่ถูกยิงไม่มีชื่ออยู่ในคำสั่งให้มาปฏิบัติหน้าที่ ขอแทนกันเอง

อุบา! ปัญหาร้อยแปดพันเก้าแต่แล้วทุกอย่างก็คลี่คลาย เขาปลอดภัย เรื่องทางวินัยก็ไม่โดนได้อาศัยท่านโกษาป่อง กรุยทาง

ผู้บังคับบัญชาที่นั่นให้ผมแก้ปัญหาจนเสร็จสรรพ จึงได้วกกลับมายังถ้ำผาปล่อง คณะใหญ่กลับไปแล้ว หลวงพ่อสิมฯ ท่านกรุณาให้ผมกับลูกน้องชุดใหม่พักผ่อนหลับนอนในถ้ำที่ท่านจำวัดอยู่

สงสัยหลวงพ่อฤาษี
...ผมจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับหลวงพ่อสิมฯ อย่างใกล้ชิด โดยในขณะนั้นผมเกิดความลังเลสงสัยในตัวหลวงพ่อ เพราะในวันที่เกิดเหตุก่อนเกิดเหตุ

หลวงพ่อได้พูดกับศิษย์ลูกหาว่า มีเทวดามากันมาก ท่านแม่ศรีฯ ก็มา ท่านพ่อพระอินทร์ก็มา ท่านท้าวมหาชมพู วู้ย! เยอะแยะ ไม่น่าเชื่อ.. ก็จะไปให้เชื่อได้ยังไง

ถ้ามีจริงและมากันจริง ทำไมจึงปล่อยให้ลูกน้องของผมถูกคนร้ายยิงเอาเกือบตาย ไม่จริงละมั้ง ขอเรียนให้ทราบเสียก่อนนะครับ ในสมัยที่เกิดเหตุนั้น ผมเพิ่งจะหัดภาวนา “พุทโธ” เท่านั้นเอง

ลืมตาหลับตาได้แต่ภาวนาพุทโธ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรพิสดาร แต่เอาละ..ไอ้เรามันก็ชายชาตินักรบ ไม่ชอบทำอะไรคลุมเครือ เราไม่เห็นเองและไม่เชื่อ

อย่ากระนั้นเลยเราถามหลวงพ่อสิมฯ ดีกว่า ผมตัดสินใจถามหลวงพ่อสิมฯ เลยครับ ถามว่าเทวดามีจริงหรือ หลวงพ่อฤาษีท่านติดต่อกับเทวดาเห็นเทวดาได้จริงหรือ เทวดาเหล่านั้นเป็นใคร มีความผูกพันอย่างไรกับหลวงพ่อฤาษี

ท่านแม่ศรีคือใคร ท่านท้าวมหาชมพูคือใคร เทวดานักรบมีจริงหรือใครเป็นหัวหน้า ทำไมปล่อยให้ลูกน้องผมถูกยิง เรียกว่าผมระดมคำถามแบบกระหน่ำยิงไม่เลี้ยงเลยครับ

คิดในใจว่าถ้าหลวงพ่อสิมฯ ตอบไม่ตรงกับที่หลวงพ่อเคยพูด หรือแม้เพียงลังเลบิดพลิ้ว ผมก็จะเลิกนับถือ “ทั้ง ๒ องค์” นั่นแหละครับ พ่อแม่พี่น้องรู้ไหม หลวงพ่อสิมฯ มิได้ลังเลเลย

หลวงปู่สิมยกย่องหลวงพ่อฯ
...ท่านตอบทันทีว่า เทวดามีจริง มาจริง ท่านแม่ศรีเป็นเทวดาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านท้าวมหาชมพูเป็นใคร ใครเป็นใคร หลวงพ่อแจง ๑๕๐ เบี้ยเลยครับ คือแถมให้อีก ๑๔๖ เบี้ย

กระเซ้าผมว่า ถ้าอยากรู้เองเห็นเองให้หมั่นฝึกตามที่หลวงพ่อพระมหาวีระฯ สอนเถิด แล้วจะได้รู้ความจริงไม่ต้องถามใคร ส่วนเหตุที่บังเกิดนั้นเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม

โยมอย่าไปโกรธอย่าไปโทษเทวดา แน่ะ..รู้อีกแน่ะ ว่าผมเคืองเทวดา ก็ผมคิดเอาไว้ในใจว่า ถ้าเทวดามีจริงและมาจริงต้องถูกลงโทษ เพราะดูแลรักษาพุทธบริษัทไม่ดี

ปล่อยให้เกิดเหตุร้ายในพื้นที่ อันเป็นเขตนิวาสสถานของพระอริยบุคคล เอาละครับหลวงพ่อสิมฯ ท่านไม่ได้เทศน์โปรดผม ท่านเล่าไปเรื่อยๆ แบบตามสบาย ท่านว่าเป็นกฎแห่งกรรม

คนทำตำรวจจะจับไม่ได้ แต่เขาจะต้องเสวยผลกรรมอันนั้นไม่เกิน ๓ วัน ๗ วัน น่าสงสารเขานะ เขาติดยาเสพติดคิดว่า คณะของหลวงพ่อมหาวีระฯ มีทรัพย์มามาก จึงมาขโมยของเอาไปซื้อยาเสพติด

เขากำลังงัดแงะรถที่จอดอยู่ พอมีคนลงไปเขาก็โดดหลบอยู่ที่กอไม้ นายคนนั้นก็บังเอิญปวดทุกข์ ถอดเสื้อถือปืนเดินตรงไปที่เขา เขาคิดว่าเห็นเขา จะมาจับเขา

เขาก็เลยยิงเอาแล้วหนีไป คนถูกยิงมีกรรมเก่า คนยิงมีกรรมใหม่หนักมาก น่าสงสารคนยิง แน่! เป็นงั้นไป! แทนที่จะสงสารคนถูกยิงหลวงพ่อสิมฯ กลับไปสงสารคนยิง

ท่านย้ำว่าเป็นกรรมหนัก ผมถามท่านอีกว่า ตำรวจท้องที่เขาขึ้นมารายงานท่านหรือ ท่านยิ้มหัวเราะ ตอบว่าเปล่า ผมถามว่า แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร ท่านย้อนถามผมว่า แล้วโยมว่าอย่างไร

ผมตอบว่าจริงครับ คนของผมไปสืบมาแล้วเหตุการณ์เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตรงกับที่หลวงพ่อพูดทุกอย่าง แล้วหลวงพ่อรู้ได้อย่างไรครับ

“เฮ่ย รู้ก็แล้วกันน่ะ โยมน่ะ มีครูดี แล้วหลวงพ่อมหาวีระฯ ไม่ใช่พระธรรมดานะ สร้างบารมี ปรารถนาพระโพธิสัตว์เชียวนะ แต่เลิกได้ก็ดีลูกศิษย์เยอะแยะ ตามสร้างบารมีมานาน แต่นั่นแหละ พอหัวหน้าเลิก

ลูกน้องก็จะเลิกตามบ้าง เหนื่อยๆ เหนื่อยแทนนะ แบกๆ ไปไว้ที่กามาวจร สวรรค์ก่อนก็ยังดี ลูกน้องยังตั้งตัวไม่ทัน

เออ..โยมนอนเสียเถิด หลับให้สบาย ไม่ต้องกลัวอะไร เหนื่อยมามาก นอนอยู่กับหลวงพ่อนี่ เย็นใจ สบายใจ เก็บปืนเสีย ไม่ต้องใช้

หลวงพ่อจะเจริญกรรมฐาน มีอะไรเกิดขึ้นในถ้ำนี้ ไม่ใช่กิจของโยมเป็นเรื่องของอาตมา หลับเถิด หลับให้สบาย” สิ้นเสียงหลวงพ่อสิมฯ พวกผมก็หลับปุ๋ยโดยพลัน (ยังก๊ะโดนยานอนหลับ)

ผมมาะสดุ้งตื่นตอนราวๆ ตีสอง มองไปไม่เห็นหลวงพ่อสิมฯ ที่ที่นอนของท่าน เหลือบไปอีกที โอ้โฮ..อะไรกันนะ มีคนเต็มถ้ำจนเรียกได้ว่าแออัด รูปร่างเหมือนคน แต่ตัวโปร่งใส แต่งตัวเหมือนพวกเล่นลิเก

ทุกคนสำรวมและเคร่งขรึม หลวงพ่อสิมฯ นั่งอยู่บนอาสนะ ท่าทางเหมือนกำลังเทศน์ เพราะนุ่งห่มพาดสังฆาฏิเรียบร้อย พอผมผลุดขึ้นนั่ง คนตัวใสๆ ก็หันมามองผมเป็นตาเดียว

ทุกคนที่มองมาที่ผมมีพลังออกมาให้ผมรับรู้ว่า พวกเขากำลังไม่สบายใจ จิตของผมรับสื่อที่เขาส่งออกมาว่า เขาขอโทษผม ผมเริ่มจะตื่นเต็มตัวอยากลุกขึ้นมาพูดจาด้วย แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของหลวงพ่อสิมฯ ก็ลอยมา

“โยม นอนเสียเถิด นอนให้สบาย ไม่ต้องกังวล ที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่กิจของโยม นอนเสียเถิดนะ อาตมาดูแลเอง” เท่านั้นเอง ผมก็หลับผล็อย.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/6/19 at 05:59 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 4]
(Update 7 กรกฎาคม 2562)


ครูบาพรหมจักรสังวร (วัดพระพุทธบาทตากผ้า)


"...ก่อนหน้านี้ผมพอทราบเลาๆ ว่า พระเดชพระคุณเจ้าเป็นพระที่สำรวมอย่างยิ่ง ท่าทางติ๋มๆ หนิมๆ แต่ไม่ทราบว่าท่านดีกว่านั้นอย่างไร

ก่อนที่ผมจะได้ไปพบ มีลูกศิษย์หลวงพ่อมาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่าไปนมัสการท่านแล้วมีคนถามท่านว่า เขารู้ว่าท่านทรงอภิญญา และจะไม่ต้องเกิดแล้ว (หมายถึงเป็นพระอรหันต์แล้ว) แต่ท่านไม่ยอมพูดด้วย

หลวงพ่อของเราจึงยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า ท่านวัดพระบาทตากผ้าทรงคุณธรรมอย่างนั้นจริงๆ ต่อมาเมื่อหลวงพ่อของพวกเราพาพวกเรามานมัสการ

ก็ได้มีการถามไถ่ไล่เลียงกันอย่างมีชั้นมีเชิง ใครอยากรู้ว่าท่านถามไถ่กันอย่างไรให้ไปหาอ่านเอาจากหนังสือ “ฤาษีทัศนาจร หรือล่าพระอาจารย์”

สรุปได้ว่าหลวงพ่อของเราก็ไม่ได้ถามโต้งๆ แต่ถามอย่างมีชั้นมีเชิงว่างั้นเถิด ท่านก็ตอบโครม ๆ ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อของเราในวันนั้นที่ได้ยินได้ฟังอยู่

บ้างก็เข้าใจ บ้างก็ไม่รู้เรื่อง ว่าท่านทั้งสองโต้กันว่าอย่างไร แต่หลวงพ่อของเราซิครับ ถึงจะเรียกได้ว่าแน่จริง ถามประโยคหนึ่งแล้วก็หันมาอธิบายขยายความให้ลูกศิษย์ทุกคนได้เข้าใจในทันทีทันใดนั้นเอง

แล้วยังหันกลับไปถามท่านพระบาทตากผ้าอีกว่า จริงไหมขอรับ ถูกต้องไหมขอรับ ที่กระผมได้อรรถาธิบายให้ลูกศิษย์ของกระผมได้เข้าใจ

ท่านพระบาทฯ ท่านก็ว่าถูกๆ พอรับปากว่าถูกๆ ไปเรื่อยๆ หลวงพ่อของเราก็หันขวับกลับไปประจันหน้าทันทีว่า เอ๊ะ..พระคุณก็ยอมรับสิขอรับว่า พระคุณเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วคราวนี้สิขอรับ

ญาติโยมทั้งหลาย มือไม้ของท่านพระบาทตากผ้าฯ ไม่ได้หยุดอยู่นิ่งแล้ว จับโน่นจับนี่ให้วุ่นวายไปทีเดียวเชียวขอรับ มองคนนั้นที คนโน้นสองที ค้อนหลวงพ่อของเราอีกห้าที

มองฟ้ามองดินอีกยี่สิบที กว่าจะวางลายด้วยการแกล้งทำเป็นครางว่า “อือๆ ฮือๆ” แท้จริงก็เป็นการยอมรับ ยอมแพ้นั่นเอง

แต่ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ ของสวยของงาม ของมีสกุล มีศักดิ์ศรี จู่ๆ จะมายอมกันง่ายๆ ได้ก็เสียเชิงพระอรหันต์น่ะซี้

หลวงพ่อของเราสำทับไปอีกสองครั้ง ก็ยังวางมาดร้องครางว่า “อือๆ” อีกทั้งสองครั้ง หลวงพ่อของเราจึงกล่าวขอขมาว่า

ลูกศิษย์ของกระผมนั้นยังมีความสงสัยข้องใจว่า ในยุคนี้ยังจะมีพระอรหันต์หลงเหลืออยู่อีกหรือ กระผมจึงจำเป็นที่จะต้องแสดงความจริงให้ปรากฏ คราวนี้ก็ฮากันทั้งวงน่ะสิขอรับ ว่ากันงอหาย

ชื่นอกชื่นใจกันไปทั้งหมด เมื่อยอมเปิดแล้ว ดูท่านพระบาทตากผ้าสบายอกสบายใจเป็นอันมาก สรวลเสเฮฮา เออออ..ห่อหมกดีไปหมด หายเคร่ง..คลายเครียด

กระผมเองนั้นก็บอกแล้วว่าเพิ่งจะภาวนา "พุทโธ" เป็นก็รู้สึกสนุกสนานเป็นที่ยิ่งนัก ยิ่งได้เห็นพระคุณเจ้าทั้งสองกอดไม้กอดมือกันสนิทสนมกัน ผมงี้..น้ำตาแทบร่วง ไอ้เราก็ว่าเรานี้เป็นคนใจอ่อนแล้ว

หันกลับมาดูพี่ป้าน้าอา โอ้โฮ..ร้องไห้กันกระจองอแง อะไรกันนักกันหนา เอาเถิดนี่มันเป็นปิติน่ะ หันกลับมาอีกที

เอ้า..ท่านพระบาทตากผ้าเทศน์เสียแล้ว คราวนี้ว่าตั้งแต่ “พระโยคาวจร พระโสดาปฏิมรรค – ผล สกิคาทาปฏิมรรค – ผล อนาคามีมรรค – ผล” พอจบแล้วยถาสัพพี..ทันที

คราวนี้ก็จะขอเก็บเกร็ดจากการซักการถามบ้างเท่าที่จะพอจำได้ และเห็นสำคัญนะครับ ท่านพระบาทตากผ้า ท่านเล่าว่า

ท่านบิดาชื่อ “ครูบาพ่อเป็ง โพธิโก (พิมสาร)” บวชเมื่ออายุมากแล้ว ท่านแม่ชื่อ “บัวถา” ได้นุ่งขาวห่มขาวรักษาอุโบสถศีลทุกวันพระตลอดอายุท่าน มีพี่ชายบวชเป็นพระ ๑ องค์

ชื่อท่าน “วัดน้ำบ่อหลวง” หรือ “ครูบาอินทจักรรักษา” ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นที่ "พระสุธรรมยานเถระ"

เมื่อท่านมรณภาพแล้ว หลวงพ่อของเราก็ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์นี้ต่อ และมีน้องชายบวชเป็นพระอีกหนึ่งองค์ ชื่อ "ครูบาคัมภีระ" หรือ "พระครูสุนทรคัมภีรญาณ" วัดดอยน้อย อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่

ต่อมาหลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระสุพรหมยานเถระ” ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๒๗

พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราได้ปรารภถึงท่านไว้ในหนังสืออนุสรณ์ เนื่องในงานพระราชทานเพลิงศพของท่านดังนี้


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/6/19 at 06:01 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 5]
(Update 17 กรกฎาคม 2562)


ปรารภถึงท่านผู้มีความดี


"...เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๓๐ อาจารย์ปฐม มาแจ้งให้ทราบว่า เธอมีหน้าที่จัดทำหนังสือ เนื่องในงานถวายเพลิงศพ หลวงพ่อวัดพระบาทตากผ้า

ขอเรียกท่านอย่างนี้ เพราะได้เรียกท่านมาอย่างนี้เป็นปกติ วันนั้นเป็นวันเป่ายันต์เกราะเพชร และอาตมาเองก็กำลังป่วยหนัก แต่เมื่อถึงวาระทำงานเพื่อท่านพุทธศาสนิกชน ก็ทำด้วยความเต็มใจ

มันจะเป็นจะตายเรื่องของร่างกาย เมื่ออาจารย์ปฐมเธอมาขอให้เขียนคำปรารภก็ไม่รู้ว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี แต่ก็ขอเขียนตามความรู้สึกตามที่ได้พบกับท่านมา เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ หรืออาจจะไม่ตรงนัก เพราะนานมาแล้ว

เวลานี้กำลังป่วยไม่แน่ใจเรื่อง พ.ศ. ที่จะพูดถึงในปีนั้น คุณแม้นเทพ ศุภนคร มาเป็นสรรพากรจังหวัดลำพูน อาตมามีโอกาสมาเยี่ยมเธอ

ต่อมาวันรุ่งขึ้น ได้ถามเธอว่า ที่จังหวัดนี้มีพระที่ปฏิบัติธรรมชั้นดี พอมีไหม ขณะนั้นอาตมาเองยังเป็นเด็กที่เพิ่งจะลืมตาเห็นโลกได้ในระยะใกล้ มองไกลไม่เห็น เพราะยังต้วมเตี้ยมในธรรมปฏิบัติ

จึงสนใจพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพื่อความรู้คำแนะนำจากท่าน คุณแม้นเทพ ศุภนคร ก็บอกว่า เห็นจะมีก็วัดพระบาทตากผ้า ตามความรู้สึกว่าท่านปฏิบัติดีมาก

ก็บอกเธอว่าอยากไปนมัสการท่าน ภรรยาคุณแม้นเทพได้ยินเข้า เธอก็ค้านว่าไม่ไหวแล้ว ท่านดีแต่ท่านไม่พูด เคยเอาผ้าป่าไปถวายตั้งหมื่นบาท ท่านออกมานั่งเฉย เราพูดคำท่านก็ตอบคำ ไม่พูดต่อไป

อาตมาก็คะนองปากพูดล้อเธอว่า ถ้าไม่พูดก็เอาไม้ทิ่มปากเสียก็แล้วกัน..จะได้พูดเป็น เป็นอันว่า ตกลงกันว่าวันรุ่งขึ้นไปวัดพระบาทตากผ้า

เมื่อไปถึงแล้วคณะที่ไปด้วยก็เข้าไปหาท่าน อาตมาก็ชมสถานที่ ดูการก่อสร้างที่มีอยู่แล้ว ซึ่งคนนำทางบอกว่าส่วนนี้ ท่านครูบาศรีวิชัยท่านสร้างไว้บ้าง

ดูรอยเท้าที่ผู้แนะนำบอกว่า เป็นรอยพิเศษที่ท่านผู้มีฤทธิ์แสดงรอยไว้ เป็นเวลาพอดีที่คุณแม้นเทพออกมาจากที่รับแขก มาบอกว่านิมนต์เข้าไปได้แล้วครับ หลวงพ่อท่านออกมาแล้วครับ

วันนี้ดีกว่าวันก่อนเพราะวันก่อนที่ผมมา ผมพูดคำท่านก็ตอบคำ วันนี้ดีกว่าวันนั้นมาก เพราะออกมาแล้วนั่งหลับตาปี๋เลย ไม่พูดไม่จากับใครทั้งหมด

อาตมาฟังแล้วก็มีความรู้สึกว่า วันนี้คงพบละครโรงใหญ่ แสดงบทพิเศษแน่ ด้วยพระขนาดนั้นไม่รู้อะไรเลยไม่มี เว้นไว้แต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น

เมื่อคุณแม้นเทพเตือน ก็เดินเข้าไป และนมัสการท่านด้วยความเคารพด้วยความจริงใจ ไม่ใช่กายเคารพแต่ใจต่อต้าน

เมื่อนมัสการท่านแล้ว ท่านก็ทักทายปราศรัย คราวนี้พูดเก่งมาก พูดกับคนโน้นคนนี้ไม่หยุดปากเลย ขณะที่ท่านพูดอยู่ อาตมาก็คิดในใจว่า ท่านบรรลุขั้นไหน ที่คิดอย่างนี้ไม่ใช่อวดวิเศษ คิดด้วยความชื่นชอบในปฏิปทาของท่าน

เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วอารมณ์ใจที่ใช้เป็นปกติก็อยากรู้กำลังใจ แต่ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เป็นเรื่องจริงที่หาได้ยาก นั่นก็คือ มองใจท่านไม่เห็น มืดตื๋อไปหมด

ที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ท่านมืด แต่เป็นเพราะอาตมาพบของจริงเข้า นั่นคือ..เด็ก ไม่สามารถเสมอผู้ใหญ่ได้ หรือคนตามัวไม่สามารถเห็นอณูเล็กๆ ได้ นั่นก็คือ อาตมามีอารมณ์ใจเลวกว่าท่านมาก

จึงไม่สามารถเห็นอารมณ์ใจของท่านได้ ทันทีที่ต้องการรู้อารมณ์ใจของท่าน ท่านก็หันมา พูดทันทีว่า

"..คนเรานี่แปลกนะ เห็นคนอื่นเขาได้ ก็คิดว่าตนเองจะได้บ้าง ท่านพูดตรงกับอารมณ์ที่นึกอยู่พอดี จึงแน่ใจว่าท่านองค์นี้เป็นพระที่ควรบูชาอย่างยิ่งองค์หนึ่ง.."


คุยกันตามลำพัง

"...เมื่อถึงเวลาพอสมควร ทุกคนก็อำลาท่านเพื่อกลับ ก่อนกลับก็ชมสถานที่ก่อน ตอนนั้นอาตมาขออนุญาตคุยกับท่านตามลำพัง

เมื่อปลอดคน ก็เรียนถามท่านว่า “ท่านปรารถนาพุทธภูมิ หรือตัดตรงไปเลย” ท่านตอบว่า “ตัดตรงไปเลยดีกว่า” เป็นอันทราบว่า ท่านมุ่งอะไร จึงถามท่านต่อไปว่า

(คำถามตอนนี้ ฟังดูแล้วเหมือนถาม แต่พระที่ท่านปฏิบัติได้แล้วท่านจะทราบว่า ไม่ได้ถามเพื่อต้องการศึกษา เป็นการถามถึงผลที่ได้แล้ว)

ได้เรียนถามท่านถึงสังโยชน์สิบ บอกท่านว่าต้องการศึกษา ท่านยิ้ม แล้วท่านก็อธิบายย่อสังโยชน์ถึงข้อห้า แล้วกลับต้นใหม่ รวม ๓ รอบ ท่านบอกว่า “ผมเข้าใจจริงๆ เท่านี้เองครับ”

ฟังแล้วเมื่อเทียบกับตำราที่เคยรับทราบมา ถ้าตำราไม่โกหก ก็ต้องยอมรับว่าท่านบรรลุพระอนาคามี เมื่อคิดว่าเวลานี้ท่านทรงอนาคามี และกำลังอยู่ในอรหัตมรรค มองหน้าท่านไม่ได้พูดด้วยวาจา

ท่านมองหน้าแล้วท่านก็ยิ้ม ท่านพูดออกมาโดยที่ไม่ได้ถามว่า “ใช่แล้ว” เมื่อหมดความข้องใจแล้ว ก็คุยวิธีการปฏิบัติ

ด้วยเวลานั้นอาตมาก็มีความรู้แค่งู ไม่ถึงปลาทั้งนี้หมายถึงความรู้ในด้านปฏิบัติธรรม มีความรู้กระจุ๋มกระจิ๋มจริงๆ แล้ว

ขณะนั้นก็ไปอยู่ในสำนักของปาดที่อยู่ในถ้วยน้ำพริกครอบ จึงก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า เพราะเพื่อนช่วยกันต้านทานทุกวิถีทาง แต่ก็ไปได้เรื่อยๆ เมื่อขอศึกษากับท่าน ท่านก็แนะนำสังโยชน์สิบ อธิบายสั้น แต่หมดข้อข้องใจ

แล้วท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไรนะ จากนี้ไปไม่กี่ปี อาจไม่เกินสี่ปีก็เข้าใจหมดทุกอย่าง พยายามท่องจำไว้ก็แล้วกัน”

เมื่อหมดภารกิจก็ลาท่านกลับ ก่อนจะกลับท่านจับมือสองมือไปกำแน่นแล้วท่านก็บอกว่า “ดีใจมากนะ ที่เราได้พบกันและเข้าใจในกัน อย่าลืมนะไม่เกินสี่ปีท่องจำให้ดีจะเข้าใจสังโยชน์ทั้งสิบ” ในที่สุดก็ลาท่านกลับ

เมื่อพบพระดี ดีทั้งปริยัติและดีทั้งปฏิบัติ ท่านมีวิริยะ และอุตสาหะ เป็นพิเศษ ท่านบอกว่าตั้งแต่บวชท่านธุดงค์ตลอดมา

เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษาอยู่ใกล้วัดไหน ก็อาศัยวัดนั้นจำพรรษา ออกพรรษาก็อำลาจากวัดนั้นอยู่ป่าอยู่เขาธุดงค์ต่อไป

ต่อเมื่ออายุ ๕๕ ปี ญาติโยมอาราธนาให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบาทตากผ้า ท่านก็สงเคราะห์พุทธศาสนิกชนตลอด

เวลานี้ท่านมรณะแล้ว คือกายดับ ประสาทดับ การท่องเที่ยวคงดับด้วย ข้อนี้ช่วยกันดูด้วยนะ ท่านดับการท่องเที่ยวด้วยหรือไม่ อาตมาไม่ทราบตามที่พูดกับท่าน

แต่ตามความรู้สึกทางใจคิดว่า ท่านยอมแก่ด้วยประการทั้งปวงแล้วท่านคงขี้เกียจเที่ยวต่อไป อาตมาขออนุโมทนา ที่ท่านทั้งหลายพบพระดี แต่ละท่านก็เก็บความดีของท่านมาใช้มากบ้างน้อยบ้าง

ตามกำลังใจที่จะพึงรับได้ ก็ต้องถือว่าทุกคนมีโชคดีที่พบพระสุปฏิปันโนแท้ๆ ไม่ใช่ยัดไส้ หรือไม่มีอะไรปลอมไว้ภายใน

เมื่อท่านพบพระดี ได้ของดีไว้ใช้ จะมากน้อยเพียงใดนั้นไม่แปลก ต้องถือว่าทุกคนมีดี จงพยายามรักษาความดีนั้นไว้อย่างให้สลายตัว สำหรับอาตมาเอง ต้องถือว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่ชี้ทางตรงให้

และก็ตั้งใจเคารพท่านตลอดเวลา ขอท่านพุทธศาสนิกชนโดยถ้วนหน้า จงบูชาความดีของท่านด้วยการปฏิบัติตาม ทุกท่านจะไม่พลาดจากผลของความดี คือความสุขตลอดกาล.."

(พระสุธรรมยานเถระ)


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 27/6/19 at 04:13 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 6]
(Update 26 กรกฎาคม 2562)


ครูบาอินทจักรรักษา (วัดน้ำบ่อหลวง)


"..พวกเราเสร็จจากนมัสการเยี่ยมที่พระบาทตากผ้า ก็เดินทางไปวัดดอนมูล สันกำแพง จะไปนมัสการกราบเยี่ยมพระอริยะที่จนเกือบจะที่สุด

แต่ไม่เจอะเจอ “ท่านทุกขะตะ” หรือหลวงปู่คำแสนน้อย พวกเราก็เลยเบนเข็ม ไปนอนก่อนสักวัน วันพรุ่งนี้จะไปนมัสการ ท่านวัดน้ำบ่อหลวง

ดังนั้นครั้นพอเช้ามืดเราก็ปลุกพรรคพวกออกไปช้อปปิ้งกันก่อนไป ส่วนท่านวัดน้ำบ่อหลวง พอตื่นจากจำวัด ก็สั่งให้มรรคทายกจัดเตรียมศาลาและอาหาร

บอกว่าจะมีศรัทธาจากกรุงเทพฯ มากันมาก ไวยาวัจกรว่าไม่มีใครมาบอกอะไรไว้นะหลวงพ่อ ท่านก็ว่า เหอะ เดี๋ยวจะมีมาละก็จะไม่ทัน ปรากฏว่าพอรถเลี้ยวเข้าวัดถามไถ่ได้ความว่า

ท่านวัดน้ำบ่อหลวงรอรับอยู่ที่ศาลาก็พากันนมัสการ แหม..แทบไม่น่าเชื่อ สำรับอาหารคาวหวานพร้อมยังกับรู้ล่วงหน้า

พอลงจากรถมาก็ได้กินได้ฉันทันเพลพอดี เมื่ออิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว หลวงพ่อของเราฯ ก็พาพวกเข้าไปกราบนมัสการทันที สอบถามเลยว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่า พวกกระผมจะพากันมาหาขอรับ ?

ท่านก็ว่า มีคนบอก หลวงพ่อของเราซักอีกว่า ใครบอก ท่านก็ไม่ยอมพูดถึงว่าใครบอก ตอบสั้นๆ ว่า รู้ แล้วมองหน้าหลวงพ่อของเราพูดกันด้วยภาษาสายตา

ที่ผมขอเดาเอาเองว่า แหม..ท่านก็แกล้งทำเป็นมาถาม แกล้งทำเป็นไม่รู้ อะไรต่ออะไรมันก็เหมือนไก่เห็นไข่พญานาคา เอ๊ย..ไม่ใช่ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่..นั่นแหละ

หลวงพ่อของเราจึงขออภัยนมัสการกราบเรียนว่า กระผมนั้นทราบดี แต่ทว่าลูกศิษย์ที่ติดตามมาล้วนเป็นนักบุญก็จริง

แต่ยังมีความสงสัยจึงเป็นหน้าที่ของอาจารย์ที่จะต้องทำให้ข้อสงสัยข้องใจนั้นปรากฏความจริงออกมา หาได้มีจิตคิดจะลบหลู่ครูบาไม่ ท่านก็หัวเราะและอมยิ้ม

กิริยามารยาทที่พระสุปฏิปันโนสององค์ท่าน น้อมคารวะปฏิสันถารกันอย่างน่าจดจำไว้เป็นตัวอย่าง สร้างความประทับใจให้กับเหล่าศิษยานุศิษย์ยิ่งนัก

เมื่อหลวงพ่อปฏิสันถารโต้ตอบกับท่านวัดน้ำบ่อหลวง จนกระทั่งท่านยอมรับแล้วว่า สำหรับท่านนั้น สังขารมันป่วย แต่ใจไม่ป่วย แล้วพวกเราต่างก็ชื่นอกชื่นใจได้ฟังสองท่าน ปุจฉา..วิสัชนา กันจนสิ้นสงสัยชื่นอกชื่นใจ

แหม..องค์ปุจฉาก็ฉลาดลึก ส่วนองค์วิสัชนาก็ฉลาดล้ำ บัวก็ไม่ช้ำ น้ำก็ไม่ขุ่น ผู้เห็นผู้ได้ยินได้ฟังต่างบังเกิดปีติ

เมื่อสนทนากันเสร็จสิ้นกระบวนความแล้วก็ถึงพิธีการแจกเครื่องรางของขลัง สำหรับผมเองนั้นบอกแล้วไงครับว่า สมัยนั้นน่ะอยู่หางแถว ผมนั่งอยู่ไกลกว่าใครเขา ไม่ว่าใครจะมาจากไหน ท่านก็แจกพระรอดให้คนละองค์

ใครตื๊อดีก็ได้เพิ่มไปฝากลูกฝากหลานอีกคนละองค์สององค์ ผมนั้นตั้งจิตอธิษฐานว่าเครื่องรางของขลังนั้น กระผมอยากที่จะได้นำไปฝากพวกที่กำลังรบหนักอยู่ที่ชายแดน

ผมมาเจ็บป่วยถูกยิงเสียก่อน ทิ้งพวกทิ้งเพื่อนรบราอยู่ ไม่ได้อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา จึงอยากจะได้เพื่อนำไปช่วยเป็นกำลังใจ

เออแน่ะ..ได้ผลแฮะ !! พอผมเข้าไปรับปุ๊บ พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราว่าให้เองเลย ไอ้นี่มันเป็นนักรบอยากได้เครื่องรางไปให้พวกของมัน

ขอให้มันเยอะๆ เถิดขอรับ พวกมันมีมาก ปรากฏว่ามีพระเหลืออยู่สิบกว่าองค์ ท่านก็ให้หมดและยังบอกว่าวันหลังมาเอาใหม่ พวกเราว่าหลวงพ่อของเราท่านรู้วาระจิตไหมขอรับ ?

ท่านวัดน้ำบ่อหลวงนั้น ก่อนหน้าที่พวกเราจะพากันไปนมัสการ ท่านป่วยเป็นมะเร็ง หมอเขาให้นำกลับมาที่วัด จะได้ทำศพกันสะดวก

แล้วท่านก็ตายไปจริงๆ ตายไปกี่วันผมจำไม่ได้ ดีที่เขาไม่จับท่านฉีดยากันเน่า ไม่อย่างนั้นท่านก็คงจะต้องเน่าเพราะยา ดูเหมือนจะเป็นสามวันที่ท่านตายไป พอวันที่สามท่านก็ฟื้น

โชคดีอีกที่เขาไม่เอาท่านใส่โลงปิดฝา ไม่งั้นไม่ฟื้นดีกว่าเพราะจะต้องมาตายซ้ำเพราะขาดอากาศ ไปหาหนังสืออ่านเอาเองนะครับว่า

ตอนที่ท่านตายท่านไปเที่ยวที่ไหนมา มีพระหมอประสาน เหตระกูล ลูกศิษย์ของท่านเขียนเล่าไว้ละเอียดแล้ว ท่านที่ไม่เคยอ่านลองไปเที่ยวที่วัดน้ำบ่อหลวง แล้วไปดูเจดีย์ครอบพระพุทธบาทจำลอง

จะเห็นการจำลองพระจุฬามณี นรก สวรรค์ เพียบตามที่ท่านไปมาแล้วกลับมาสร้างเลียนแบบ มีการรับรองอย่างนี้แล้ว

ท่านว่า นรก สวรรค์ พระจุฬามณี มีไหมครับ พวกเราจะไปดูของจริงก็ได้นะครับ มโนมยิทธิ ไง้ พ่อคุณแม่คุณ อยากเห็นปุ๊บ..ได้ดูปั๊บ

พอวันหลังผมก็ไปหาท่านอีก ท่านก็ให้พระรอดมาถุงใหญ่ เรียกให้ไปเอาที่กุฏิ ได้พบได้คุยเป็นส่วนตัวอยู่นาน แหม..ไม่เห็นคุยเรื่องอื่น ชมหลวงพ่อของเราตลอดเวลา

ตักเตือนผม ให้หมั่นปฏิบัติธรรมและดูแลหลวงพ่อฯ ให้ดี ท่านว่าหลวงพ่อฯ ของเรานั้น ลาพุทธภูมิแล้ว และมีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งหลวงพ่อฯ ให้ผมไปขอ "สังฆาฏิ" จากท่านๆ ก็ไม่ขัดข้อง ให้ไปรับที่กุฏิ

ก่อนท่านจะมอบ ท่านก็ยกขึ้นบรรจบหลับตาอธิษฐาน ผมก็ไม่ถามไถ่ ยกกล้องถ่ายรูปขึ้น ถ่ายหมับ..ปรากฏว่าแฟล็ชช็อตร้อนวาบจนต้องโยนทิ้ง ทั้งกล้องทั้งแฟล็ช

ท่านก็ลืมตาขึ้นมาแล้วร้องห้ามว่า เดี๋ยวจบก่อน พอท่านจบเสร็จท่านก็ว่า เอ้า..ถ่ายได้แล้ว ลูกน้องผม ก็รายงานทันทีว่าถ่ายไม่ได้แล้วครับ

ท่านถามว่าทำไม เรียนท่านว่า พังครับ พังทั้งกล้องทั้งแฟล็ช ถามอีกว่า แพงไหม ตอบไปว่าไม่ทราบครับ (กล้องผมขอยืมเขาไปครับ แพงหรือไม่ผมจะไปรู้เหรอหลวงปู่)

ท่านว่าอีกว่า ดูใหม่ซิ ผมก็เอามาลูบๆ คล้ำ ใจนั้นคิดว่าจะทำพอเป็นพิธี เพราะก่อนที่จะรายงานว่าพังนั้น เห็นว่ามันพังแล้วจริงๆ กลไกมันติดขัดไปหมดแล้ว มันจะไม่พังได้อย่างไร

เอ๊ะ..พอลูบๆ คลำๆ อ้าว ไหงไอ้บรรดากลไกต่างๆ กลับทำงานได้ตามปกติ (ตอนนั้นใช้แฟล็ชหลอด จานไหม้ไปนิดหนึ่ง ราคาไม่กี่สตางค์) เก่งจริงๆ หลวงปู่ฯ นี่

ถามอีกว่าห้อยพระอะไร ตอบท่านห้อยลูกแก้วราหู ของ "หลวงปู่ชุ่ม" ท่านก็ว่า ศักดิ์สิทธิ์นะ แล้วเจ็บบ้างหรือเปล่า เรียนท่านว่า ไม่เจ็บแต่มือชาไปหมด

ท่านขอดู ลูบคลำ..ไม่เสกไม่เป่า แพล็บเดียว..ก็หายเป็นปกติ ความจริงก่อนจะถ่ายรูปนั้น ผมอวดดีระแวงอยู่แล้วว่าจะต้องเจอดี

เพราะเคยฟังคนรู้เขาเล่าถึงประสบการณ์แบบนี้กับพระที่ทรงอภิญญา แต่มันอยากลองดี แอบอธิษฐานกับลูกแก้วขอให้ช่วยคุ้มครองขณะลองดี แล้วก็เจอดีสมใจปรารถนา

แต่ว่าก็ว่าเถิดนะครับ ถ้าตอนนั้นผมไม่ยอมเสี่ยง ก็คงจะไม่มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ จริงไหมขอรับ สังฆาฏิ ผืนที่ว่านี้ ยังมีเหลืออยู่ จะเอาไปสร้างพระ เก็บหอบหิ้วมา ๑๓ ปีแล้วนะจะบอกให้.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/7/19 at 06:23 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 7]
(Update 7 สิงหาคม 2562)


ครูบาบุญทึม พรหมเสโน (วัดจามเทวี)



(จากซ้ายมือ : หลวงพ่อฯ - พระอรรณพ - หลวงปู่ชุ่ม - หลวงปู่บุญทืม ณ วัดจามเทวี เมื่อปี 2518 ในตอนนั้นผู้เขียนยังไม่ได้บวช นั่งอยู่ด้านหลังพระอรรณพ กอวัฒนา)


"...ด้วยกายเนื้อ หลวงพ่อเคยนำพวกเราไปพบและนมัสการพระคุณเจ้าศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย องค์นี้มาแล้ว ๒ ครั้ง

- ครั้งแรก ที่วัดจามเทวี หลังจากที่ไปนมัสการหลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร (วัดป่าดอนมูล) และได้รับคำแนะนำให้มาพบให้ได้

“เป็นพระเฉยๆ ไม่เอาไหน พระที่วัดก็ไม่มีใครรู้ ชาวบ้านก็ไม่รู้ แต่เป็นพระแท้ ไปหาให้พบให้ได้” หลวงปู่คำแสนเล่าพลางหัวเราะ หลวงพ่อฯ รีบพาพวกเราไปพบ

หลังจากนมัสการกราบลาหลวงปู่คำแสน ท่านเตือนมาก่อนแล้ว ผมจะไม่เล่าตอนนี้เพราะรายละเอียด “โกษา ป่อง” เล่าอย่างละเอียดเอาไว้แล้วในหนังสือเรื่อง "ล่าพระอาจารย์"

- ครั้งที่ ๒ ที่วัดจามเทวี หลวงปู่ทึมฯ ได้นิมนต์หลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก ศิษย์ครูบาเจ้าศรีวิชัยเ ป็นพระสุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่งมาคอยรับอยู่ด้วย

- ครั้งที่ ๓ ที่วัดพระธาตุจอมกิตติ พร้อมกับหลวงปู่ครูบาชุ่ม

- ครั้งที่ ๔ รับนิมนต์หลวงพ่อของเรา ไปแจกพระเครื่องและผ้ายันต์ให้กับ ตชด. ที่ค่ายดารารัศมีพร้อมกับหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล (พวกเรารับท่านออกมาจากโรงพยาบาล เพราะหลวงปู่ท่านอยากจะมา)

- ครั้งที่ ๕ ไปเยี่ยมหลวงปู่ครูบาชุ่ม โพธิโก ที่วัดวังมุยพร้อมกับหลวงพ่อ

- ครั้งที่ ๖ หลวงพ่อพาพวกเราไปเยี่ยมหลวงปู่ ที่วัดนาเลียง พระพุทธบาทห้วยต้ม ซึ่งทำให้พวกเราได้รู้จักหลวงปู่ครูบาวงษ์

หลวงปู่บุญทึม เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็น “พระสุปฏิปันโน” โดยแท้ เป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนาที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว

หลวงพ่อของพวกเราเป็นองค์รับรองอย่างแข็งแรง และสุปฏิปันโนทุกๆ องค์ที่หลวงพ่อพาพวกเราไปนมัสการมา ก็รับรองเช่นนั้น...

ผมนั้นทั้งรักทั้งสงสารท่านเป็นนักหนา เมื่อเห็นท่านป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งในตับ เคยใช้กลอุบายต่างๆ นานาเพื่อที่จะให้ท่านอยู่กับพวกเรานานๆ แต่แล้วก็ไม่ไหว สงสารท่าน ปล่อยให้ท่านไม่ต้องทรมานสังขารจะดีกว่า

ผมเคยเห็นท่านเรียก "พระรอดมหาวัน" หรือพระเครื่อง "สมเด็จ" หรือของ "หลวงปู่ปาน" ออกมาให้ดูหลายครั้งเหมือนกับแขกเล่นกล

ผมสนิทสนมกับท่านจนบางครั้งกล้าพูดเล่นหยอกล้อกัน เมื่อท่านทำให้ดูแล้วท่านก็กำชับผมนักหนาว่าอย่าไปเล่าให้ใครฟัง เขาจะหาว่าเอ็งบ้า

เหมือนกับเรื่องยักษ์หรือเปรตที่วัดหลวงปู่คำแสน ก็กำชับไม่ให้ผมเล่าเช่นเดียวกันว่า เขาไม่เชื่อเขาจะหาว่าเราบ้า แต่บัดนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึง ๑๓ ปีแล้ว ผมก็เริ่มมีอายุมากแล้วอีกทั้งสุขภาพไม่ค่อยดี

ผมระลึกอยู่เสมอว่า ความตายไม่มีนิมิตหมาย วันเวลาล่วงเลยไป บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ ถ้าผมไม่บอกไม่เล่าเสียตอนนี้ถ้าผมตายไปแล้ว ใครเขาจะมารู้เรื่องเหล่านี้

กลับมาเรื่องหลวงปู่บุญทึมฯ ดีกว่า เรื่องราวของท่านก็พื้นๆ ไม่มีอะไรโลดโผนพิสดาร ในวัดท่านก็เป็นเพียงพระปลัดฯ ของท่านเจ้าคุณธรรมฯ เจ้าอาวาส นอกจากเครื่องอัฏฐบริขารแล้ว

หลวงปู่ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตนเองเลยก็ว่าได้ ท่านเคยเล่าให้ผมฟังสมัยท่านครูบาศรีวิชัย ดังๆ หลวงปู่ท่านยังเป็นเณรอยู่ทางภาคเหนือนี่เขาเรียกเณรว่า "น้อย"

แต่พอโตเป็นพระกลับเรียกว่า "ตุ๊เจ้า" ถ้าเป็นที่เลื่อมใสเคารพสักการะก็เรียกว่า "ครูบา" สำหรับหลวงปู่ทึม พวกกระเหรี่ยงนับถือมาก

สมัยที่ยังหนุ่มแน่น ท่านก็ออกจาริกธุดงค์ไปทั่ว พะม่งพม่าท่านเดินไปมาหมด ท่านเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับจังหวัดลำพูนหรือเมืองหริภุญชัย

เกี่ยวกับ 'พระนางจามเทวี' มาจนถึงสมัยวัดจามเทวีเมื่อครั้งเจ้าจักรคำฯ มาบูรณะวัด เล่าถึงเชื้อสายของเจ้านายทางเหนือพระองค์ ซึ่งเป็นพระภิกษุที่ทรงบุญญฤทธิ์บอกชื่อแซ่มาเสร็จ

ให้เหรียญมา ๑ เหรียญ พร้อมกับรอยขมิ้นประทับรอยเท้าบนผ้าขาวมา ๑ ผืน ไม่รู้ไปทำหายที่ไหน แถมยังจำชื่อท่านก็ไม่ได้ เชื่อว่า พี่แดง (พ.อ.ศรีพันธ์) น่าจะจำได้ เพราะท่านชอบประเภทกำลังภายในอยู่แล้วนี่ครับ


ตอนที่หลวงปู่ป่วยมากใกล้จะตาย พวกเราเอาท่านไปไว้ที่โรงพยาบาลลำพูนอยู่ติดกับวัดนั่นแหละ เพราะพี่ชวาล (ท่านพล.อ.ชวาล กาญจนกูล) ท่านมีพรรคพวกคอยดูแลอยู่

หลวงปู่นั้นป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ เรารู้ว่าท่านจะอยู่ได้ไม่นาน ก่อนหน้านั้น กะเหรี่ยงก็มาเอาท่านไปนอนรับการรักษาอยู่ที่วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ท่านก็ตั้งใจจะไปตายที่นั่น

แต่ผมไปกราบเรียนท่านว่าพวกเราจะทอดกฐินที่วัดจามเทวี ท่านถึงยอมมารอรับกฐินอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นท้องของท่านป่องเหมือนลูกบอลลูน

น้ำเต็มช่วงอกทำให้ปอดชื้นด้วย หมอเขาเอาเข็มแทงเจาะเอาน้ำออกได้วันสองวันก็ป่องขึ้นมาอีก เหมือนคนท้อง ๙ เดือน ท่านเคยเรียกผมเข้าไปพูดตรงๆ ว่า ท่านขอตายเถิดนะ ผมไม่ยอม

ท่านเอามือผมเข้าไปกอดพูดไปหอบไป แต่หน้ายิ้มแย้มตาใสแจ๋วแฝงความจริงจัง ขอฝากผมเรื่องกฐินวัดจามเทวี ผมดึงมือของผมออกจากฝ่ามือหลวงปู่ และกราบเรียนท่านว่าเสียใจหลวงปู่ ถ้าหลวงปู่ตาย กฐินไม่มา

ท่านทอดถอนใจมองหน้าผมตาแป๋วจนผมนั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ร่ำๆ จะใจอ่อนพูดว่า จะตายก็ตายเถิดครับ อย่าห่วงอย่าทรมานอยู่เลย แต่ในตอนนั้นผมยอมรับครับว่า โหดจริงๆ ผมนี่ ผมให้เอาเหรียญครูบาศรีวิชัยที่หลวงปู่ฯ แอบไปสร้างมาไว้ที่โรงพยาบาล

ขอร้องว่า ถ้าหลวงปู่ ฝากเหรียญชุดนี้มาให้ผม ขอพี่ชวาลฯ อย่าได้รับปาก เพราะผมทราบดีว่าเป็นเหรียญรุ่นสุดท้ายที่หลวงปู่สร้างเตรียมเอาไว้แจกงานกฐินและงานศพ

ตอนหลังหลวงปู่เอาเหรียญชุดนี้ไปไว้ที่พระอุโบสถวัดจามเทวีให้พระที่วัดโยงสายสิญจน์มาที่เตียงที่ท่านนอนอาพาธ ปลุกเสกตลอดพรรษา เหรียญชุดนี้ตอนหลังท่านฝากพี่ชวาล เอามาให้ผม

พี่ชวาล แกล้งทำลืมที่ผมสั่งรับเอามา ซึ่งผมเองก็รู้ทันว่าพี่ชวาล คงทนสงสารหลวงปู่ไม่ไหว ยินยอมพร้อมใจให้ท่านพ้นจากความทรมาน ทั้งๆ ที่พี่ชวาลฯ ก็เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้ผมอาราธนาหลวงปู่ให้อยู่ต่ออย่าพึ่งทิ้งขันธ์ ๕

หลวงปู่ท่านพูดทำนองปรึกษาหารือกับผมว่า สังขารของท่านนั้นภายในมันเน่าหมดแล้วนะ ผมถามว่าแล้วหลวงปู่ทำอย่างไร

ท่านว่า ธาตุไฟก็เอาเตโชมาหล่อเลี้ยง ดินก็เอาปฐวี ที่เป็นน้ำก็เอาอาโป ที่เป็นลมก็เอาวาโย วิญญาณเอาอากาสะ ทุกอย่างเอากสิณมาหล่อไว้ ท่านว่านานไปคนเขาจะจับได้ ผมก็ย้อนถามท่านไปว่า แล้วหลวงปู่ถามพระบ้างไหม พระท่านว่าอย่างไร

ท่านว่า พระว่าแล้วแต่ปู่ ผมบอกว่าไม่เชื่อ หลวงปู่ขี้เกียจ หลวงปู่ว่าเปล่าไม่ได้ขี้เกียจ มันเหนื่อย กลัวบาป ผมก็เลยบอกว่า

ถ้างั้นเป็นอันว่าเราปู่หลานไม่ได้พบกันจนกว่าจะถึงวันกฐิน ถ้าเสร็จรับกฐินแล้วแขกจากกรุงเทพฯ กลับหมดแล้ว นิมนต์ตายตามสบาย หลวงปู่พอฟังคำนี้นอนหลับตาไปเลย

ไม่รับปากแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ผมก็กลับกรุงเทพฯ ทันทีเหมือนกัน ในใจนั้นภาวนาขอพรพระ (ผมว่าพระนี่ขอได้โปรดเข้าใจนะครับว่าผมหมายถึง พระพุทธเจ้า)

ขอฉันทานุมัติสั่งไม่ให้หลวงปู่ตาย แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ผมอยู่ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อของเราเรียกผมเข้าไปหา ท่านว่า ไอ้เป๋ ปู่เอ็งมาหาข้าฯ เมื่อคืนที่แล้ว เอาไม่ไหวจะตายวันนี้

ฟังคำหลวงพ่อผมก็งงเหมือนโดนระเบิด แต่ก็ไม่นานจนเกินรอ พอตอนกลางวันโทรเลขด่วนจี๋จากพี่ชวาลก็มาถึงวัดท่าซุง หลวงปู่มรณภาพแล้ว

ขนาดที่ผมรู้จากปากของหลวงพ่อของเรามาก่อน ผมยังทำใจไม่ได้ ระยะหลังผมเรียนรู้จากหลวงพ่อมากจนมีความรู้สึกกับความตาย เหมือนกับเดินออกจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่งเท่านั้น

และห้องใหม่ก็ดีกว่าห้องเก่าทุกทีไป คนที่สร้างความดีไม่เคยกลัวตาย คนกลัวตายเป็นผู้ที่ไม่แน่ใจว่าจะลงอเวจีมหานรกหรือไม่

ความตายนั้นสำหรับพระอรหันต์นั้นท่านปรารถนาทุกลมหายใจเข้าออก ท่านไม่ได้ห่วงอะไร เหมือนหลวงปู่ทึม ผมอยากจะถามทุกท่านที่กรุณาอ่านข้อเขียนของผมว่า

ท่านห่วงกฐินหรือ ท่านห่วงวัตถุเงินทองหรือ สมมุติอย่างท่านอย่างหลวงพ่อของเรา ท่านจะเอาเงินเอาทองไปทำอะไรส่วนตัว หรือว่าท่านอยากจะให้เราสร้างถาวรวัตถุ จะได้สร้างชื่อเสียงของท่านว่าสร้างวัตถุใหญ่โตมโหฬาร

ผมคิดของผมอย่างนี้นะ หลวงพ่อหลวงปู่มีหรือท่านจะไม่รู้ว่าไม่วัตถุอะไรในโลกนี้หรือโลกไหน มันย่อมจะอยู่ในกฎ

อนิจจัง ทุกขํ อนัตตา สมบัติใดๆ ไม่ว่าจะในโลกมนุษย์ ในสวรรค์ แม้ในชั้นพรหมก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์อันนี้ อย่างนั้นก็จะมีคนถาม ว่า กระนั้นแล้วจะไปสร้างเอาไว้ทำไม

ผมว่าประการที่หนึ่ง ท่านต้องการให้เรารู้จัก จาคะ คือ ความเสียสละ หรือ ให้ รู้จัก ทานํ ทานหรือการให้ เพื่อเอาตัวนี้ไปตัดตัว โลภะ

ประการที่สองการที่เสียสละเพื่อตัดความโลภแล้ว ให้ยังประโยชน์แก่ตัวของผู้บริจาคถ้าพลาดพลั้งเขายังไม่บรรลุอรหัตผลของเหล่านี้ก็จะบังเกิดอยู่เป็นสวรรค์วิมานของเขา อยู่ในสุคติของเขา

ในประการเดียวกันถ้าไม่ต้องบังเกิดในกามาวจรอีก ของเหล่านี้จรรโลงพระศาสนา ศิษย์ของพระตถาคตมีหน้าจรรโลงพระศาสนานี้

ไม่ว่าพระศาสดาจะเป็นพระองค์ใดก็ในกัปนี้เป็นหน้าที่ของ "พระสมณโคดม" ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ว่ากัปไหน พระพุทธเจ้าพระองค์ไหน เป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ พวกเราควรจะจรรโลงเอาไว้หรือไม่

ประการต่อไปมีบางท่านที่ปรารถนาพระพุทธภูมิ ย่อมจะต้องบารมี น้อยสุดก็ต้องสิบทัศ หลวงพ่อหลวงปู่ ท่านไม่มาห่วงสมบัติเหล่านี้หรอกครับ

ท่านอยากลากเราเข้าไปเสวยโลกุตตรธรรมสมบัติมากกว่าน่ะ ในที่สุดหลวงปู่ฯ ก็ถึงกาลมรณภาพ พวกเราไปดูแลไม่ได้หลวงพ่อฯ มอบหมายให้พี่ชวาลดูแล

เพราะพวกเราติดงานวัด "ฉลองวันครบรอบ ๑๐๐ ปี เกิดของหลวงปู่ปาน" ปรมาจารย์ของพวกเรา เสร็จแล้วเราก็รวมสมัครพรรคพวกไปกัน งานศพของหลวงปู่ไปทอดกฐินกันจนได้

ได้เงินเท่าใดผมไม่ทราบเพราะไม่ได้เป็นคนเก็บเงิน ทราบว่าในวันเผาศพของหลวงปู่ฯ มีทั้งพระทั้งคนมากมายจนเดินแทบจะไม่ได้

นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ก่อนหน้านั้น ผมยอมงัดเอาพระเครื่องสมบัติส่วนตัวของผมออกมาให้ทำบุญเพื่องานกฐินและงานศพของหลวงปู่ฯ เช่นพระรอดเณรจิ๋ว

หรือที่เซียนพระเขาเรียกกัน "พระรอดครูบาศรีวิชัย" พระชุดนี้นั้นหลวงปู่เป็นคนแกะพิมพ์เมื่อครั้งยังเป็นเณร ถวายให้ครูบาชุ่ม โพธิโก วัดวังมุย นำให้ครูบาศรีวิชัยปลุกเสก

ราคาพระในตลาดตอนนั้นประมาณองค์ละ ๕๐๐ บาท ผมลงทุนทำกล่องเอง แล้วมอบให้กับที่บ้านสายลมออกให้บูชา จำนวนหลายร้อยองค์ๆ ละ ๕๐๐ บาท

พรึบเดียวหมด แถมด้วยพระรอดพรหมเสโนอีกหลายพันองค์ หลายพันพรึบยังไม่หมด ยังเหลืออยู่ที่บ้านสายลมทุกวันนี้ ราคาเท่าเดิมเท่ากับให้บูชาเมื่อ ๑๓ ปีก่อน

บัดนี้หลวงปู่ได้มรณภาพลงแล้ว พวกเราอยากจะใช้คำว่า “นิพพานแล้ว” หลวงปู่บุญทึมฯ นิพพานแล้ว ปู่นิพพานแล้ว ปู่นิพพานแล้วครับ... อย่างโดดเดี่ยว

ไม่มีผู้ใดได้ทันเห็นใจท่านในวาระที่กายสังขารแตกดับ เพราะพวกเราต่างก็มีภาระมากมายระยะทางหรือก็ไกลกัน แม้จะไม่ประมาทในเรื่องของสังขารร่างกายว่า

ความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าวาระแตกดับแห่งกายสังขารของหลวงปู่จะรวดเร็วถึงปานฉะนี้...ก็พรรษาเพียง ๖๐ ปี

เปรียบเทียบกับบรรดาพระคุณเจ้าพระสุปฏิปันโนที่พวกได้เคยไปนมัสการมา นับได้ว่าหลวงปู่พรรษาเยาว์กว่าทุกองค์ ก็แล้วนี่เมื่อถึงวาระ หลวงปู่ก็เดินทางล่วงหน้าไปสู่แดนพระนฤพานแล้วแต่เพียงองค์เดียว...

ที่เหลือไว้ก็คือซากกายสังขารที่ยังรอให้พวกเราดำเนินการ และเรื่องราวแต่หนหลังอันเป็นอนุสรณ์แห่งคุณความดีอนุสรณ์แห่งความเป็นผู้ให้

ผู้แจก แจกยัน...แจกทั้งวัตถุ แจกทั้งบุญกุศล หลวงปู่ช่างเป็นผู้ให้เสียจริงๆ แจกเป็นกอบเป็นกำเป็นถุง เรื่องลาภเรื่องยศสักการะไม่เอาไหนสักอย่าง เกิดมาเพื่อให้ประการเดียว

แบบฉบับเดียวกันกับหลวงพ่อของพวกเรา...“ทำเป็นตีหน้าเซ่อ...ทีจริงละก็ตัวร้ายกาจเชียวละ”

หลวงพ่อเล่าพลางหัวเราะ “มิน่าเล่า..สมเด็จฯ จึงทรงสั่งนักหนาว่า เดินทางไปทางภาคเหนือต้องไปพบพระที่ชื่อทิมฯ ให้ได้”

(ทิม เป็นสำเนียงทางภาคกลาง สำเนียงทางภาคเหนือออกเสียง ทึม หรือ ทืม) ความตายแม้จะไม่มีนิมิตเครื่องหมาย แต่ก่อนหน้าที่กายสังขารของหลวงปู่จะแตกดับนั้น

มีสิ่งบอกเหตุอยู่หลายประการ เพียงแต่ว่าไม่มีใครสังเกตหรือคอยจับตาดู ใครจับทันหลวงปู่ได้ก็นับว่าเป็นยอดแห่งยุค

พ้นจากหลวงพ่อแล้วคนอื่นเห็นที่จะไล่ทันยาก ขนาดหลวงพ่อยังไล่กันเสียแทบตาย ทุกขเวทนาจากอาการอาพาธกำเริบหนักหนาแต่หลวงปู่ก็ไม่เคยปริปากบ่น

ยิ่งเป็นระยะที่พวกเราทั้งหลายกำลังชุลมุนวุ่นวายอยู่กับการตระเตรียมงานครบรอบร้อยปีเกิดหลวงปู่ปาน หลวงปู่กลับแสดงอาการให้เห็นว่าไม่น่าต้องเป็นห่วง

ปรากฏอาการทางร่างกายให้เห็นเป็นว่าทุเลาลงแล้ว การแสดงออกภายนอกของท่านเป็นลักษณะพิเศษประจำตัวของท่านคือทำไม่รู้ไม่ชี้ตีหน้าตาย

เมื่อพวกเราถามท่านว่าจะอยู่จนถึงวันรับกฐินไหม ท่านก็ว่าจะพยายามอยู่ เมื่อเคี่ยวเข็ญให้ท่านฉันโอสถท่านก็ฉันให้ตามใจพวกเรา พวกเราว่าหลวงปู่หายนะ

ท่านว่าหายก็หาย แต่พอพวกเราเผลอหลวงปู่ไม่ฉันเสียแล้ว ไม่ฉันทั้งอาหารทั้งโอสถ ระหว่างอาพาธอยู่อย่างหนักทุกขเวทนากำเริบหนักถึงเข้าขั้นตรีทูต ๒ ครั้ง

ก็ฝืนกลับมาทรงอาการอยู่ ไม่เคยร่ำร้องไม่เคยบ่นไม่เคยทุรนทุรายในเมื่อทุกขเวทนากำเริบ อย่างมากที่สุดเท่าที่เคยเห็นก็เพียงเอามือตบที่หลังร้องบอกว่าอึดอัด

พวกเรามาทราบกันภายหลังว่าอวัยวะภายในของหลวงปู่ท่านแทบจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว มันเน่าไปหมดด้วยโรคมะเร็งที่ตับ

ศรัทธาทายกทายิกาไปเยี่ยมท่านก็ไม่เคยแสดงอาการเบื่อหน่าย ลุกขึ้นนั่งรับได้ก็จับลุก ลุกไม่ไหวเขาไม่ยอมให้ลุกก็นอนยิ้มอยู่บนเตียง

สังขารแม้อ่อนระโหยโรยแรงร่างกายซูบซีดเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ประกายตายังคงใสสด แวววาว บริสุทธิ์ และเจิดจ้า ตาพระอริยะ พระอรหันต์เป็นอย่างนี้นี่เอง

อายุขัยแห่งสังขารของหลวงปู่บุญทึมฯ หมดสิ้นลงไปนานแล้ว หลวงปู่ครูบาธรรมชัยฯ สุปฏิปันโนอีกองค์หนึ่งซึ่งพวกเรารู้จักท่านดีได้พยากรณ์

เมื่อตอนที่ พ.อ.ชวาล ไปนิมนต์ให้ท่านรับรักษาให้หลวงปู่ทึม อาการอาพาธของหลวงปู่ทึมนี้หลวงปู่ครูบาธรรมชัยซึ่งเคยรักษาหลวงปู่ครูบาอินทจักรรักษาวัดน้ำบ่อหลวง

เมื่อครั้งอาพาธเป็นมะเร็งที่กระดูกสันหลังจนแพทย์ขอให้กลับมาตายที่วัด และหลวงปู่ครูบาธรรมชัยฯ รักษาจนหาย ไม่รับรองว่าจะหาย แลได้พยากรณ์เพิ่มเติมอีกว่าสำหรับหลวงปู่ทึมฯ วันเสาร์เป็นวันอุบัติเหตุและวันอาทิตย์เป็นวันมรณะ

ต่อมาในวันเสาร์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๘ หลวงปู่ทึมหงายหลังศีรษะฟาดขอบเตียง และนิพพานในวันอาทิตย์รุ่งขึ้น ตรงตามคำพยากรณ์ทุกประการ...

เล่ามาถึงตรงนี้ น่าคิดไหมว่าก็ในเมื่ออายุขัยท่านหมดลงนานแล้ว แต่ที่ท่านยอมทนรับทุกขเวทนาจากความอาพาธแห่งกายสังขารรอจนมามรณภาพเอาเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ นั้น เพราะอะไรหนอ..

“มันเป็นกรรมเก่าของปู่” หลวงปู่เล่าพลางยิ้มเห็นฟันหลอ มองหน้าคนนั้นทีคนนี้ที แล้วตีหน้าเหรอหราตามแบบฉบับ



(สภาพโบราณสถาน "พระเจดีย์กู่กุด" ก่อนบูรณะ ณ วัดจามเทวี) ที่มา - เว็บ Lannacorner.net

“วัดจามเทวีนี้กษัตริย์ทรงสร้าง เป็นพระอารามหลวงรุ่งเรืองมาแต่อดีตครั้งสมัยพระนางจามเทวี ปฐมบรมกษัตรีแห่งนครหริภุญชัย

ตกมาถึงสมัยครูบาเจ้าศรีวิชัย หมู่ศรัทธาทายกทายิกามีเจ้าจักรคำ ขจรศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครนครลำพูนเป็นหัวหน้าก็ได้ไปนิมนต์ครูบาเจ้าฯ มาช่วยบูรณะซ่อมแซมพระวิหาร

สร้างองค์พระประธานและซ่อมกำพงรอบวัด งานแล้วเสี้ยวพรรษา ครูบาเจ้าฯ ป่วยก็มาป่วยอยู่นี่ หมู่ทายกทายิกามาเชิญไปบ้านปาง ตายที่นั่น มาเผาศพที่นี่ อยู่นั่นไงอัฐิครูบา”

หลวงปู่ชี้มือไปทางพระสถูปอันเป็นอนุสรณ์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยซึ่งบรรจุอัฐิเอาไว้ นี่หีบศพ หลวงปู่หันไปชี้ที่หีบบรรจุศพครูบาเจ้าฯ ตามบันทึกพวกเราพอจะทราบกันมาแล้วว่า

วัดจามเทวีแห่งนี้เป็นวัดที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยรักมากที่สุด หลังจากครูบาเจ้ามรณภาพแล้วได้ ๓ ปี ได้เชิญศพมาตั้งไว้ที่วัดจามเทวี

เพื่อรอให้บรรดาศิษยานุศิษย์ได้มีโอกาสเดินทางมานมัสการได้อย่างทั่วถึงเป็นเวลาอีก ๔ ปี และก็ที่วัดจามเทวีแห่งนี้นี่เอง ที่ใช้เป็นสถานที่ประชุมเพลิงถวายครูบาเจ้าศรีวิชัยฯ...

“ทั้งครูบาเจ้าฯ และหมู่ทายกทายิกาได้ไว้วางใจให้ปู่เป็นผู้ดูแลวัดนี้สืบต่อมา แต่ปู่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำไม่ได้มาก เราเป็นพระธรรมดาๆ ยศศักดิ์หรือก็ไม่มี

เขาให้เป็นรองเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสก็ดีอยู่นะ แต่พูดไปก็พูดยาก วัดก็ยังทรุดโทรมอยู่ นี่โบสถ์ก็ยังสร้างไม่แล้ว ยังต้องใช้เงินอีกมาก หน้าบันอุโบสถเป็นไม้สักแกะลายลงรักปิดทอง ใช้ไม้หนาสามนิ้วแกะ เอาไปจ้างครูบาวงษ์ฯ ทำให้ ปู่เสี้ยงเงินไปสองหมื่นป่าย ตุ๊วงษ์ฯ ท่าจะเสี้ยงหลายเสี้ยงสี่หมื่นมั้ง?”

มุขตลกเด็ดขาดของหลวงปู่ก็คือเรื่องหน้าบันพระอุโบสถ ท่านเอาไปจ้างครูบาวงษ์แกะด้วยไม้หนาสามนิ้วลงรักปิดทอง หลวงปู่ผู้ว่าจ้างหมดเงินไปสองหมื่นบาทเศษ

แต่หลวงปู่ครูบาวงษ์ผู้รับจ้างขาดทุนไปอีกสี่หมื่นบาทเศษ นับตั้งแต่พบกับหลวงพ่อเป็นต้นมาแล้ว หลวงปู่ดูสดใสและกำลังใจดีขึ้น งานเพิ่มขึ้น มีคนไปรบกวนมากขึ้น

แต่เป็นสุขมากขึ้นที่ได้เห็นศรัทธาของบรรดาลูกหลานที่มีต่อพระศาสนา และต่อสาวกขององค์สมเด็จพระศาสดาฯ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะได้ยินหลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฯ เสมอๆ เป็นต้นว่า

“เออนี่! หลวงพ่อมหาวีระนี่นะเป็นพระดีนะ เป็นพระแม้จะเป็นพระโพธิสัตว์ ทำบารมีมามากแล้วบารมีล้นเหลือ มาเลิกละเสียจะไปนิพพานในชาตินี้ ลำบากมาก หนักแรงเอาการ

บริวารติดตามมีมาก ต้องเป็นภาระขนไปให้หมด เยอะแยะเหลือเกิน ยังจะมีมาอีก จะตายก็ตายไม่ได้ เป็นหนี้เขามามากจะเกาะพะรุงพะรังไปหมด สบายไม่ได้ เอ้อ..สงเคราะห์ให้เป็นเทวดาไปก่อนก็ยังดี ทันฟังเทศน์พระศรีอาริย์”

เมื่อพวกเราขอร้องให้หลวงปู่ช่วยหลวงพ่อบ้าง หลวงปู่ก็ยิ้มตามแบบฉบับเช่นเคย พยักหน้าแล้วก็ว่า “ลูกหลานทั้งนั้น เรื่องมันยาว มันเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน พูดมากก็ไม่ดี คนไม่รู้หาว่าบ้า???”

“ได้มาพบกับหลวงพ่อมหาวีระมีทายกทายิกาลูกศิษย์ลูกหลานมากมาย นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลพระศาสนาและวัดจามเทวีก็คงจะได้รุ่งเรืองต่อไป

ศิษย์มหาวีระศรัทธาจริงๆ ศรัทธาแก่กล้า นักบุญจริงๆ” หลวงปู่เล่าด้วยประกายตาที่สดใส แล้วพูดต่อไปเหมือนกับจะพูดกับตนเอง

“สังขารมันเป็นของไม่เที่ยง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นอนิจจัง ทุกขังเป็นอนัตตา จะตายก็ให้มันตายไป ไม่สนใจมันเสียอย่างตายก็ช่างมัน” น้ำเสียงของหลวงปู่ฯ ตอนนี้เด็ดเดี่ยวจนพวกเราที่ได้ยินขนลุกซู่




(ผู้เขียน-อธิบาย) "ภาพแรกเป็นภาพถ่ายที่วัดจามเทวี ระหว่างที่หลวงพ่อกับหลวงปู่ชุ่มและหลวงบุญทึมกำลังสนทนากัน โดยมีอดีตพระอรรณพอยู่ใกล้ๆ ส่วนผู้เขียนตอนนั้นยังไม่ได้บวช จะเห็นอยู่ด้านหลังหลวงปู่บุญทึมเช่นกัน

ภาพต่อมาเป็นภาพด้านหลังของรูปที่ว่านี้แหละ อดีตพระอรรณพหลังจากลาสิบขาบทแล้ว ท่านก็ได้ขอจีวรของพระสุปฏิปันโนทุกองค์ พร้อมกับยันต์ส่วนองค์ของแต่ละท่าน แล้วนำมาแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ และพิมพ์ยันต์ไว้ด้านหลังรูปภาพ เพื่อให้คณะศิษย์สมัยนั้นนำไปบูชากัน

ซึ่งเป็นวัตถุมงคลอย่างหนึ่งที่ผ่านพิธีพุทธาภิเษกมาแล้วด้วย เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องใน "งานพิธีหล่อรูปหลวงปู่ปาน" เมื่อปี ๒๕๑๘

ตามที่หลวงพ่อจัดงานสำคัญเป็นครั้งแรกของวัดท่าซุง โดยมีพระสุปฏิปันโนที่หลวงพ่อไปนิมนต์มาในงานหลายรูป พร้อมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินวัดท่าซุงเป็นครั้งแรกเช่นกัน

แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง พระสุปฏิปันโนที่หลวงพ่อไปนิมนต์นั้น ที่ไม่สามารถเดินทางมาวัดท่าซุงได้ ๓ รูป หนึ่งในจำนวนนั้นคือ หลวงปู่บุญทึม เพราะท่านได้มรณภาพเสียก่อนนั่นเอง ส่วนอีก ๒ รูป คือ หลวงปู่แหวน และ หลวงปู่วัดพระบาทตากผ้า นอกนั้นท่านก็เดินทางมาครบถ้วน"


“...ศิษย์หลวงพ่อมหาวีระต้องสร้างศรัทธาให้ดีๆ นะ หลวงพ่อมหาวีระอยู่ได้ด้วยอำนาจบุญอำนาจแห่งศรัทธาของลูกศิษย์ลูกหา ไม่งั้นจะหนีตาย จะหนีเข้าป่า อย่าทิ้งกันนะ อย่างทิ้งกัน วัดสองสามวัดนี้อย่างทิ้งกันนะ”

ในตอนเช้าของวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๑๘ อันเป็นวันมรณภาพ หลวงปู่ได้ฉีกผ้ากาสาวพัสตร์ที่ใช้ห่มใช้ครองอยู่ ออกแจกบรรดาศิษย์และญาติโยมที่คอยเฝ้าดูแลอยู่

แต่ไม่มีผู้ใดสักคนที่จะเกิดเอะใจหรือเฉลียวใจ เพราะเมื่อก่อนหน้านี้หลวงปู่ก็ได้สละสังฆาฏิ อันเป็นผ้าที่หมู่ทายกทายิกาถวายเป็นผ้าพระกฐินปีที่แล้ว ให้มาตัดจำหน่ายจ่ายแจกในงานที่วัดท่าซุง

ตอนที่จะมองสังฆาฏิ ท่านลุกขึ้นมาบรรจงเซ็นชื่อ และอธิบายว่าชื่อที่เซ็นเป็นภาษาไทยลานนาอ่านว่า “ชัยเสนภิกษุ” เป็นสมญานามของท่านที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยตั้งให้

ก่อนเที่ยงของวันที่มรณภาพ พ.อ.ชวาล ซึ่งไปดูแลและให้การรักษาพยาบาลท่านเช่นเคย ได้ขอร้องให้ท่านฉันอาหารอ่อนและโอสถบ้าง แต่...หลวงปู่ปฏิเสธและกลับขอให้ประคองท่านลุกขึ้นนั่งในท่าสมาธิ

หลวงปู่นั่งทำสมาธิอยู่สักครู่หนึ่ง ร่างกายของท่านก็มีปรากฏอาการสะอึกแรงและถี่ พ.อ.ชวาลจึงค่อยๆ ประคองร่างกายของท่านลงนอนราบลงบนเตียง หลวงปู่ลืมตาขึ้นถามว่าเอาท่านลงนอนทำไม

เมื่อรับคำอธิบายว่านั่งแล้วมีอาการสะอึกท่านก็ยิ้มแต่ไม่ว่ากระไร นอนตะแคงข้างทำสมาธิในท่าสีหไสยาสน์และนิ่งอยู่นาน ร่างกายไม่มีอาการทุรนทุรายและไม่มีอาการสะอึก

นั่งเงียบไปจนกระทั่ง พ.อ.ชวาล เข้าใจว่าท่านนอนหลับพักผ่อน จึงได้นมัสการกราบลาเนื่องจากมีนัดหมายจะต้องรีบไปรักษาหลวงปู่แหวน ที่วัดดอยแม่ปั๋ง

๑๔.๔๐ วันนั้นเอง หลวงปู่ครูบาบุญทึม พรหมเสโน หรือ "ชัยเสนภิกขุ" สาวกขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ

ผู้ชนะแล้วซึ่งกิเลสทั้งสิ้นปวง ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสุปฏิปันโนโดยแท้ ก็ได้พ้นจากอำนาจความทรมานแห่งขันธมารโดยสิ้นเชิง.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/7/19 at 05:08 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 8]
(Update 15 สิงหาคม 2562)


หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร (วัดดอนมูล)


"...องค์นี้ภายหลังหลวงพ่อฯ ของเราเปิดเผยว่า เคยเป็นพี่ชายของท่านมาหลายชาติแล้ว ท่านเป็นคนใจบุญ ได้ทรัพย์ได้สมบัติมาเท่าใดก็ไม่สะสม เทออกทำบุญจนหมดสิ้น

ทำบุญหมดตัวเหมือนท่าน 'มหาทุกขตะ' ยังไงยังงั้น แต่จริงๆ แล้วสมัยเดิมโน้น...โน้น...โน้น ท่านเคยมีชื่อว่า “ท่านทุกขิตะ" หรือ "ท่านทุพภิกขะ”

เพราะฉะนั้น เมื่อประสบพบกัน ทั้งสององค์ก็คุยกันโน่น เรื่องราวสมัย 'พระเจ้าพรหมมหาราช' มีโต้มีเถียงกันบ้าง เรื่องยุทธการสมัยนั้น

แล้วพวกผมจะไปรู้เรื่องเรอะ ตอนที่กำลังคุยกันเรื่องนี้ หลวงพ่อของเราท่านหันกลับมาพูด ขอเวลานอกกับพวกเรา แล้วหันไปคุยรู้เรื่องกันเพียง ๒ องค์

ต่างก็แสดงทัศนะในเรื่องรายละเอียดของมหายุทธวิธีในยุคที่ว่า หลวงปู่ว่าถ้าหลวงพ่อเชื่อท่าน ทำตามที่ท่านคิด เหตุการณ์จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หลวงพ่อฯ ก็ว่าท่านมีเหตุผลที่ดีกว่านั้น

ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างโน้น เอ้อ..ดี รู้เรื่องกันเพียง ๒ คน ตาเถนเณรยายชีไม่มีใครรู้เรื่อง บางตอนหลวงพ่อฯ ก็หันมาถาม ท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์

ที่พวกเรามักจะเรียกท่านว่า "ท่านเจ้ากรมเสริม" หรือลุงเสริมฯ นั่นแหละ ท่านนี้หลวงพ่อฯ ว่าเป็นเพื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านมาทุกยุคทุกสมัย


หลวงปู่สร้าง "วัดป่า"



หลวงปู่คำแสนนั่งบนเสลี่ยง โดยมีคณะศิษย์หลวงพ่อฯ รวมทั้งอดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุงด้วย แห่รอบพระอุโบสถวัดท่าซุง)

...สมัยนั้นหลวงปู่ฯ ท่านกำลังหนีคนไปสร้างวัดใหม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดเดิม ซึ่งเริ่มไม่สงบท่านเรียกว่า “วัดป่าดอนมูล”

ผมเคยถามท่านว่าด้านหลังวัดอยู่ติดลำห้วย มีป่าอยู่นิดหน่อย ไหงหลวงปู่ตั้งชื่อเสียน่ากลัวว่า "วัดป่า" ท่านว่าป่าที่เอาเป็นชื่อวัดนั้นไม่ได้หมายความตามอย่างที่ผมเข้าใจ ท่านหมายถึง "ป่าช้า" ต่างหาก

เพราะเดิมที่ตรงนั้นเป็นป่าช้า เป็นอันว่าที่ท่านตั้งชื่อว่า "ป่า" ไม่ใช่เพื่อความขลังให้กับสถานที่ แต่ได้ตัดคำว่า "ช้า" ออกไป เพราะเกรงว่ามันจะน่ากลัวเกินไปต่างหาก

พอรู้แล้วผมก็หมดกังขาว่า เวลาวิกาลหลวงปู่ฯ ต้องได้ความสงบวิเวกอย่างเต็มที่ เพราะจำวัดอยู่ในป่าช้า ไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนหรอก

และแล้ววันหนึ่งกรรมของผมก็มาถึง จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อใช้ให้ไปหาเรื่องอะไร ก็ไปกันหลายคนกับน้องๆ นี่แหละครับ กำลังหนุ่มแน่น

แทนที่จะรีบไปทำธุระให้หลวงพ่อ แวะโน่นแวะนี่ไม่เห็นเจ้าเห็นหลังคาบ้านเจ้าก็ชื่นใจแท้ เที่ยวกันจนดึกดื่นเลี้ยวควับเข้าไปที่วัดนอก กะนอนวัด ตาย...แล้วหลวงพี่ก็ไม่อยู่ หลวงปู่ก็ไปจำวัดอยู่ที่ป่า

หาข่าวได้มาอีกว่า รุ่งขึ้นแต่เช้าหลวงปู่ก็จะไม่อยู่จะเข้ากรุงเทพฯ แต่มืดทำไงดี เอาละวา..สู้ตายมากันหลายคนนี่หว่า จะไปกลัวอะไร

เอ็ม ๑๖ ในรถก็มีหลายกระบอก ผมเป็นหัวหน้ารับผิดชอบอยู่แล้วใครๆ ก็เชื่อมือ หลับกรนครอกๆ กันทุกคน ผมก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาด้วยความชำนาญ ป่าจะมีอะไร ไม่พอมือพอขี้ยา

ป่าดงดิบกับระเบิด พ่อยังฝ่ามาเสียหลายสมรภูมิ ป่าใกล้ๆ แค่นี้ไม่พอมือพอตีน ขับอยู่นาน เอ๊ะ..ไหงมันนานนักไม่ถึงเสียที มันน่าจะถึงตั้งนานแล้วนี่นา

ง่วงก็ง่วง..รำคาญเสียงกรนก็รำคาญ เพราะอยากจะนอนเต็มแก่เหมือนกัน แต่เอ๊ะ..นั่นรอยรถบนถนนข้างหน้าทำไมมันถึงได้เหมือนกับรถเรา จอดลงไปดู จะไม่เหมือนได้ไง

มันก็คือรอยล้อรถของเราเอง ตาย..หลงว่ะ หลงทางรู้ไปถึงไหนอาย ตาย..พวกมันยังหลับไม่รู้ว่าเราพาหลงทาง จอดรถข้างทางคว้าปืนคว้าไฟฉายลงไปดูลู่ทาง

มองไปแต่ไกลเห็นหลอดไฟแดงๆ สูงระดับยอดตาลอยู่ ๒ หลอดไม่ไกลนัก เออ..ค่อยยังชั่วน่าจะเป็นอะไรสักอย่างที่มนุษย์ทำขึ้น ถ้าไปที่ตรงนั้นก็คงจะได้พบคนจะได้ถามทาง

กลับมาขึ้นรถอีก คราวนี้ไม่ไปตามทางแล้ว เอาทิศทางจับทิศทางที่เห็นหลอดไฟแดงมุ่งตรงเข้าไปหา พอเข้าไปใกล้ เอาไฟฉายหายไปอีกแล้ว

ลงจากรถอีก ไฟฉายท่านก็ไม่เป็นใจเหลือไฟอยู่ริบหรี่ นี่ขนาดเป็นไฟฉายในรถของท่านนายพลเอกในอนาคตนะ (รถขอยืมไปจากท่าน พล.อ.ชวาล กาญจนกูล สมัยนั้นเป็น พ.อ.) เดินเข้าไปสำรวจ

เห็นลำตาลคู่ทะมึนอยู่ตรงหน้า คะเนว่าต้องเป็นเสาที่เขาแขวนหลอดสีแดงที่เห็นมาก่อน เดินเข้าห่างซัก ๕ วา เอาไฟฉายดู ใจหายแว้บ

ไอ้เวร..ไม่ใช่ลำตาลนี่หว่า ดูๆ มันคล้ายกับหน้าแข้งคน ถอยห่างมาอีก ๕ วา กลั้นใจส่องไฟฉายไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ กูว่าแล้ว เปรตโว้ย..ยืนทะมึนนัยน์ตาแดงโร่คร่อมทางอยู่ตรงหน้า

โกยแน่บกลับมาที่รถแหกปากร้องเรียกน้องๆ ให้ตื่น เปรตมันจะมาเหยียบกบาลพวกมึงแล้วไม่รู้หรือ ชุลมุนกันไปหมด นึกขึ้นมาได้สองมือประนมขอให้พระช่วย

แล้วตัดสินใจหันหัวรถเอาไฟรถส่องดู อ้าว..หายไปแล้ว เอ๊ะ..แล้วไอ้ตรงที่ขามันยืนคร่อมอยู่ ถัดออกไปหน่อยคือประตูเข้าวัดป่านั่นเอง รอดตายแล้วกู กระทืบคันเร่งเลี้ยวควั้บเข้าไปเลย

จอดลงตรงหน้ากุฏิ หลวงปู่ยิ้มเผล่รอรับอยู่ที่ระเบียง ไอ้ทโมนทั้งสี่ตัวเผ่นผลุงเข้าไปในกุฏิ จับกลุ่มนั่งกอดเข่าตัวสั่นงันงก ไม่พูดไม่จา กว่าจะตั้งสติได้ จึงหันไปกราบหลวงปู่

ท่านถามว่าไปทำอะไรมา หนาวเหรอ หลวงปู่นะ..หลวงปู่แกล้งทำเป็นมาถาม ไม่เห็นเรอะ ขี้อยู่บนหัวขมองกันทุกคน คราวนี้ต่างคนก็ต่างอ้อนซิ คนโน้นก็เห็น กูเห็น มึงเห็น เห็นกันทุกคน

ชิงกันเล่าน้ำไหลไฟแลบ ตกลงนอนกันในกุฏิหลวงปู่ฯ กันทุกคน ภายหลังหลวงปู่ฯ ท่านก็เล่าให้หายสงสัยว่า ที่เห็นนั้นน่ะ ไม่ใช่เปรต แต่เป็นยักษ์ !!

เอาเถิดครับ..หลวงปู่ ไม่ว่าจะเป็นเปรตไม่เปรต พวกผมก็ไม่อยากได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ โปรดเอาคืนไปให้หมด

ในส่วนลึกผมคิดเอาเองนะครับว่า หลวงปู่ฯ จะต้องมีส่วนร่วมหรือรู้เห็นเป็นใจอย่างแน่นอน บางทีอาจจะเป็น ตัวการ ส่ง 'คุณตาแดง' ตนนั้นออกไปดัดสันดานพวกผม.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/7/19 at 21:17 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 9]
(Update 24 สิงหาคม 2562)


ครูบาชุ่ม โพธิโก (วัดวังมุย)


"...พวกเราได้พบกับหลวงปู่ครูบาชุ่มก็เพราะครั้งหนึ่งเมื่อหลวงพ่อฯ พาพวกเราไปนมัสการหลวงปู่ทึม ปรากฏว่าหลวงปู่ทึมไปนิมนต์หลวงปู่ชุ่ม มารอรับพวกเราด้วย

เห็นไหมครับปฏิปทาพระสุปฏิปันโน ไม่มีหวงลูกศิษย์ ไม่กลัวว่าจะถูกแย่งลาภสักการะ อะไรๆ ที่คิดว่าดีท่านจะสรรหามาให้ลูกศิษย์

หลวงปู่ชุ่ม ท่านเป็นศิษย์ครูบาศรีวิชัยฯ รุ่นพี่ของหลวงปู่ทึม เมื่อสิ้นบุญครูบาศรีวิชัยฯ แล้วหลวงปู่ทึมได้โลงศพ หลวงปู่ชุ่มได้ไม้เท้ากับพัดขนนก ท่านเดินตามรอยเท้าของครูบาอาจารย์มาโดยตลอด

ถนนทางขึ้นพระธาตุดอยตุงสมัยโน้นเป็นทางเท้า หลวงปู่ชุ่มนี่แหละที่ไปนั่งหนักเอาคนเมือง คนดอยมาช่วยกันกรุยถนน จนเป็นทางรถยนต์ขึ้นได้ถึงยอดดอย โดยรัฐบาลไม่ต้องออกสตางค์สักบาทหนึ่ง

บนพระธาตุมองไปด้านหลัง จะเป็นหน้าผาสูงชันแบ่งเขตไทยกับคู่ต่อสู้สมัยดึกดำบรรพ์ก็พม่านั่นไงล่ะ

หลวงพ่อของเราเคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหาทุนให้กรมศิลปากร เปลี่ยนฉัตรทองยอดพระธาตุ ซึ่งเดิมชำรุดเสียใหม่ และท่านก็ไปทำพิธีบวงสรวงให้ด้วย เหนือ – ใต้ – ออก – ตก

การใดเพื่อชาติ การใดเพื่อพระพุทธศาสนา การใดเพื่อพระมหากษัตริย์ หลวงพ่อของเราด้นดั้นฝ่าฟันไปมาหมด บางครั้งก็หลายรอบจนกว่าภาระจะเสร็จสิ้น

นิวาสถานบ้านเดิมของหลวงปู่ชุ่ม ท่านอยู่ที่บ้านวังมุย อันคำว่า 'มุย' นั้นเป็นภาษาทางเหนือแปลว่า 'ขวาน' ส่วนวังนั้นแปลว่า 'ชุม' หรือ แหล่ง เมื่อรวมกันแล้วไม่ทราบว่าจะแปลว่าอย่างไรดี

จะแปลว่าบ้านที่มีขวานขายเยอะก็แปลได้ เพราะอาจจะเป็นหมู่บ้านที่ประชาชนทำขวานขายมากมายก็อาจจะเป็นได้ ดูเข้าท่า เพราะถ้าแปลว่า 'ชุม' ก็น่าจะแปลว่าเป็นหมู่บ้านขวานชุม ตรงและใกล้เคียงกับคำแปลในตอนแรก

แต่เมื่อสอบถามหลวงปู่แล้ว ท่านว่าไม่ใช่หรอก สมัยก่อนคนบ้านท่านดุมาก มีทั้งนักเลงและไม่นักเลง แต่เป็นอันธพาล

และไม่ว่าเป็นนักเลงหรือไม่นักเลง ไม่ว่าอันธพาลหรือไม่อันธพาลก็เป็นคนดุทุกคน ทั้งหมู่บ้านชอบทำขวานและขอบพกขวานเป็นอาวุธ ในการเข้าต่อสู้ตะลุมบอนกัน

ไม่ว่าจะเป็นตัวต่อตัว หรือหลายตัวต่อหลายตัว หรือหลายตัวต่อตัว เขาถึงเรียกว่า หมู่บ้านวังมุย ท่านยังเล่าให้ผมฟังด้วยนะครับว่า

ผู้หญิงบ้านวังมุย สวยกว่าผู้หญิงบ้านอื่นๆ ในละแวกใกล้และไกล สมัยที่พวกเราไปคนบ้านวังมุยไม่ดุแล้วครับ แต่หลวงปู่ท่านว่าเขาเลิกดุก่อนหน้านั้นแล้ว

เพราะท่านเสกเครื่องรางของขลังให้ใช้ มันตีมันฟันกันเท่าไรๆ ก็ไม่ยักกะถึงตาย หนักเข้าก็เบื่อละซีครับ ตีกันฟันกันแล้วไม่มีใครตายมันก็เหนื่อยมากซิครับ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

พอเลิกตีกันฟันกันมันก็มีเวลามากขึ้น เริ่มเข้าหาวัด หลวงปู่ก็ได้โอกาสเทศน์สั่งสอน ฟังธรรมะบ่อยๆ เข้าจิตใจก็อ่อนโยนเยือกเย็น


หลวงปู่เข้านิโรธสมาบัติ
...ทีแรกผมก็ไม่เชื่อหลวงปู่หรอกครับ แต่เมื่อครั้งที่เอา ต.ช.ด. ไปดูแลไม่ให้ใครไปรบกวนเมื่อครั้งที่หลวงปู่ 'เข้านิโรธสมาบัติ' ตามคำอาราธนาของหลวงพ่อของเรา ก็เห็นจริงตามนั้น พอพูดถึงคำว่า 'นิโรธสมาบัติ' แล้ว เชื่อว่ามีคนสนใจอยากจะรู้เรื่องราว

ครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ (ประมาณ ๑๐ กว่าปี เท่านั้นเอง) หลวงพ่อท่านเทศน์ถึงอำนาจแห่งบุญที่พวกเราจะได้รับ หากได้ทำบุญกับพระอริยบุคคลที่เพิ่งจะออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ ว่าจะมีอานิสงส์เพียงใด

ท่านจึงได้อาราธนานิมนต์หลวงปู่ให้ทำตามนั้น และในวันที่หลวงปู่ออกจากนิโรธสมาบัติ หลวงพ่อของเราท่านก็ได้นัดหมายให้พวกเราพากันไปทำบุญ

เช้าวันนั้นหลวงพ่อจะให้หลวงปู่ออกไปรับคณะที่วัดวังมุย เพราะเห็นทีรถจะเข้ามาไม่ได้ เนื่องจากฝนตกหนัก คืนก่อนที่พวกเราจะมาทำบุญ

เมื่อหลวงปู่หันมาหารือผม ผมก็ไม่มีความเห็นแต่รายงานไปว่า ขณะนี้รถเข้าได้แล้ว หลวงปู่ก็ว่าอย่างนั้นปู่ไม่ออกไปให้หลวงพ่อเข้ามา

หลวงพ่อก็ส่งข่าวมาอีกว่า ถ้าหลวงปู่ไม่รีบออกไป คณะหลวงพ่อก็จะพากันกลับ ผมก็คลานเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่อ้อนวอนหลวงปู่ออกไปเถิดครับ

อ้าว..หลวงปู่สั่นหัวบอกว่า หลวงปู่ไม่ออกไป เดี๋ยวหลวงพ่อเข้ามา อ้าว! นั่นผมตาฝาดหรืออย่างไร รถหลวงพ่อมาแล้ว เอาร่มเอาผ้าไปต้อนรับเร็วๆ เข้า

เอ้า! ไปบอกกระเหรี่ยงกับกระหร่างว่าไม่ต้องร้องงอแงแล้ว พ่อมาแล้ว พอหลวงพ่อลงจากรถก็เข้าไปกราบ น้ำไหลพรากๆ ดีใจ

เฮ้อ..เป็นอันว่าแฮบปี้เอนดิ้งขอรับ ทุกคนได้ทำบุญทำทานสมใจอยาก ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคนเลย แหม! อยากจะเล่าซ้ำนะครับ น่าชื่นใจน่าปลื้มใจจริงๆ

เสลี่ยงหามหลวงปู่เราเตรียมกระเหรี่ยงเอาไว้ให้หาม กระเหรี่ยงก็กระเหรี่ยงเถิดครับ ถูกกระหร่างผลักกระเด็นหมด แย่งเอาไปหามกันเอง

ดีไม่ไปแย่งฆ้องแย่งกลองเข้ามาล่อเอง ผู้คนหลามไหลกันเข้า สาดเงินสาดธนบัตรเข้ามาที่ตักที่เท้าของหลวงปู่ ที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ก็ใช้วิธีโยนเอา

เงินทองหกเรี่ยหกราด ต.ช.ด.ลูกน้องของผมก็เก็บก็กวาดเข้ากระสอบ แค่โกยเงินเข้ากระสอบก็เหงื่อไหลไคลย้อยหอบแฮ่กๆ

งานบุญครั้งกระนั้นทำให้ถนนสายเข้าวัดวังมุย มีไฟฟ้าเดินสายเข้าไปให้ชาวบ้านชาวช่องแถวนั้นได้ใช้ทั่วหน้ากัน มาจนตราบท่าวถึงทุกวันนี้.."


เครื่องรางของขลัง
...หลวงปู่ชุ่มนั้น ท่านเป็นลูกศิษย์ของครูบาศรีวิชัยฯ เมื่อเริ่มแรกทีพวกเราไปนมัสการท่าน ท่านจะแจกเครื่องรางของขลังประเภท พระรอด ตะกรุดเหน็บ ตะกรุดหนัง (ลูกวัวตายในท้อง) และตะกรุดปรอท

พระรอดที่ว่าพวกนักเลงพระเรียกกันว่า “รอดเณรจิ๋ว” เป็นพระรอดที่หลวงปู่บุญทึม ออกแบบและสร้าง ถวายให้หลวงปู่ชุ่ม แล้วหลวงปู่ชุ่มก็ถวายให้หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยปลุกเสก

ท่านเก็บเอาไว้นานเหมือนกับจะรอพวกเรา ผมเห็นท่านเก็บเอาไว้ในบาตร ฝุ่นหนาปึ๊ก เมื่อจะเอามาแจกพวกเราท่านเอาน้ำล้าง พวกที่นิยมของเก่าโวยวายเพราะหลวงปู่ท่านไม่เข้าใจ

ท่านเห็นว่ามันสกปรกท่านก็ล้าง เพราะกลัวลูกศิษย์ชาวกรุงเทพฯ จะรังเกียจ ตอนหลังผมจึงไปอธิบายให้ท่านทราบ จะล้างก็ไม่ขัดคอหรอกครับ เขย่าๆ พอสังเขปก็พอ ท่านก็เชื่อ

พระชุดปัจจุบันไม่เหลืออยู่วัดแม้แต่องค์เดียว ผมรับรอง เพราะตอนหลังผมเอามาให้กับวัดจามเทวีจนหมด ตามที่เล่าให้ฟังไปแล้วตอนหลวงปู่ทึม

ตะกรุดหนังลูกวัวก็เหมือนกับตะกรุดปรอท เป็นเครื่องรางเฉพาะตัวของท่านเอง ท่านได้ตำรามาจากใครผมจำไม่ได้

ทีนี้หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ผมฟังว่า อาจารย์ของท่านนั้นเก่งเหลือหลาย เก่งกว่าลูกศิษย์อย่างท่านมากมายนัก ท่านทำได้แค่ซัดปรอทให้แข็งตัวทำเป็นตะกรุดปรอท

แต่พระอาจารย์ของท่านนั้นเก่งเหนือไปกว่านั้น ซัดต่อจากปรอทจนกลายเป็นแก้ว ถ้าเป็นตัวเมียจะมีรูเรียกว่า 'แก้วราหู' แต่ตัวผู้ผมจำไม่ได้ว่าท่านเรียกว่าอย่างไร ใครรู้และจำได้ช่วยบอกที

ท่านได้รับมรดกมา ๓ ลูก เป็นตัวผู้ใหญ่ ๒ ลูก ตัวเมีย ๑ ลูก ใหญ่สุดท่านถวายพระเจ้าอยู่หัว รองลงมาท่านถวายหลวงพ่อของเรา ลูกเล็กสุดท่านให้ใครผมไม่บอก

แต่ลูกสุดท้ายกลับคืนไปอยู่กับครูบาอาจารย์แล้ว ลูกแก้วนี้เมื่อหลวงพ่อของเราได้มาแล้วก็เป็นที่สุดหมายปองของบรรดาเหล่าศิษย์

หลวงพ่อจึงได้ทำจำลองแจก ต่อมาก็มีการสั่งลูกแล้วเจียระไนมาให้หลวงพ่อทำพิธีปลุกเสก เราจึงมี 'แก้วมณีรัตนะ' ไว้บูชากันทุกคน นับเป็นมหากรุณาของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/8/19 at 05:53 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 10]
(Update 2 กันยายน 2562)


ลูกแก้วของหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก


"...ย้อนกลับมาเล่าเรื่องลูกแก้วกันต่อดีกว่า หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านบอกผมว่า ลูกแก้วนี้ ครูบาอาจารย์ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาลูกแก้วนี้เต็มใจให้ผม ท่านว่าเป็นแก้วสารพัดนึก โดยมีพระคาถากำกับ

แต่เจ้าของและผู้ปกปักรักษาเขาขอสัญญากับผมว่า การที่จะขออะไรกับลูกแก้วนี้ จะต้องขอสิ่งที่อยู่ในศีลในธรรม เช่น ถ้าขอให้ผู้หญิงรัก เมื่อได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นภริยาแล้ว จะต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู

นอกจากนั้นมีเงื่อนไขพิเศษก็คือ ท่านว่าผู้ดูแลรักษาท่านหนึ่งขอว่า ห้ามใช้กับหญิงโสเภณี และถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ แล้ว อย่าพกลูกแก้วนี้เข้าไปหรือผ่านไปในแหล่งหญิงนครโสเภณี เพราะผู้ดูแลท่านรังเกียจ ผมก็รับสัญญานั้น

หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านลงมือขวั่นเชือกด้วยมือท่านเอง ร้อยในรูของลูกแก้วผูกทำเป็นห่วงเชือกคล้องคอให้กับผม ต่อมาผมกลัวเชือกขาดลูกแก้วจะหาย จึงมาดัดแปลงให้ดีขึ้น

โดยให้แม่นิดถักเชือกไนล่อนเป็นตาข่ายล้อมลูกแก้วเอาไว้ และขนาดเชือกก็เปลี่ยนใหม่ให้โตขึ้น จนพอไว้ใจได้ว่า ไม่อาจขาดได้โดยง่าย แต่ก็คิดไว้ในใจว่า ถ้ามีเงินเมื่อใด ก็จะเอาไปเลี่ยมทองให้คู่ควรเหมาะสมเสียที

แต่แล้วก็ไม่มีโอกาส เพราะระยะนั้น ยอมรับกันอย่างตรง ๆ เลยครับว่าชะตาชีวิตในตอนนั้นเป็นเหมือนที่หมอดูเขาว่า พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก

แต่ที่ผมประสบนั้นเรียกใหม่ได้เลยว่า พระศุกร์กระทืบจมเบ้า พระเสาร์กระแทกมิดธรณี จวนเจียนจะอยู่ จะไปหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเรื่องทอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตครอบครัว บ้านแตกสาแหรกขาดกระจุย

ขนาดหลวงพ่อ ฯ ของเราท่านอุตส่าห์ทำพิธีบังสุกุลเป็นให้ถึง ๒ ครั้ง พาไปปล่อยปูกับท่านอีก ๑ ครั้ง ก็ประทังได้แค่ร่อแร่ จะตายก็ไม่ตาย จะเป็นก็ไม่เป็น

ตอนนั้นผมออกจากบ้านที่ผมอยู่มาตั้งแต่เกิดจนเป็นร้อยเอก โดยมีเครื่องแบบไป ๒ ชุด ไปอาศัยอยู่กับเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อฉายาที่บรรดาลูกศิษย์เก่า ๆ เรียกกันว่า “ไอ้ตี๋เล็ก”

สำหรับผมนั้นเขาเรียกกันว่า “ไอ้ตี๋ใหญ่” (ฉายานี้หลวงพ่อ ฯ ของพวกเราตั้งให้นะครับ) ในตอนนั้นถ้าไม่ได้ไอ้ตี๋เล็ก ผมคงแย่แน่ ๆ

จำได้ว่าในตอนนั้น ผมถูกพรากทั้งลูกทั้งเมีย และเป็นความกันอยู่กับบรรพสตรีของเมีย ก็แม่ยายนั่นแหละครับ และโดยเพียงเพื่อให้ชนะผม เขาก็สาดโคลนผมจนเลอะเทอะหมดทั้งชีวิต ฝ่ายเขามีพวกมากด้วย เคยเป็นภรรยาของคุณพระท่านหนึ่งซึ่งเป็นอดีตคนใหญ่คนโตในกระบวนการยุติธรรม

แหม....เวลาเรียกเข้าไปพบและตกลงกันนอกบัลลังก์ ผมงี้กระดิกตัวแทบไม่ได้เลยครับ ขยับตัวหน่อยถูกท่านตวาดแว๊ด ขนาดอยู่ข้างหน้าโต๊ะทำงานของท่าน ผู้แทนของเขาซึ่งเป็นผู้หญิงยังกล้าถอดรองเท้าส้นสูงขึ้นมาเงื้อจะเคาะกะโหลกผม โดยท่านทำเป็นนั่งก้มหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไม่เห็น

พอผมเตือนท่าน กว่าท่านจะเงยหน้า เขาก็เก็บรองเท้าเสร็จแล้ว และท่านก็ตวาดขู่ฟ่อ ๆ เอากับผมอีกว่า อะไรเป็นถึงร้อยตำรวจเอกจะมาทำนิสัยเที่ยวพาลหาเรื่องคนอื่นเขาต่อหน้า...นะเนี่ย

ไอ้ผมก็ยืนนึกปลงอนิจจัง อื้อฮือ....นี่ขนาดผมแต่งเครื่องแบบด้วยนะครับ ท่านก็ไม่ยอมให้เกียรติ ไม่รู้ว่าตุ้มเงินตุ้มทองหรือตุ้มอะไรมันถ่วงอยู่ ถึงได้เอียงกะเท่เร่ขนาดนี้

ถ้าเป็นแม่ค้าละก็ ขายอะไรก็รวยครับ ก็โกงตาชั่งนี่ครับ ผมก็นึกในใจอีกว่า อีแบบนี้เราแพ้ความแน่ เพราะไอ้บ้านี่ตาบอด ไม่เห็นความดีความชั่ว

(ต่อมาท่านนี้ประสบอุบัติเหตุตาบอดครับ ต้องออกจากราชการทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย คงไม่ใช่กรรมจากที่ทำกับผมเรื่องเดียวหรอกครับ คงทำบ่อย ๆ กับคนอื่น ๆ ด้วย ส่วนผมก็ให้อภัยทานไปแล้ว แต่บังเอิญอ่านหนังสือพิมพ์เจอเข้าพอดี)

ฝ่ายผมมีผู้ที่เลี้ยงดูอุปการะผมมาตั้งแต่เกิด ซึ่งเข้าใจและเห็นใจผมอย่างแท้จริง ก้คือคุณย่าของผมเท่านั้น แต่เวลานั้นท่านก็แก่มากแล้ว และผมคิดว่าถ้าผมอยู่ที่บ้านคุณย่า คุณย่าก็คงจะต้องทุกข์ร้อนไปกับผมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมจึงตัดสินใจบากหน้าไปอาศัยอยู่กับไอ้ตี๋เล็ก เพื่อความสะดวกในการวางแผนและต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม

เรื่องราวการต่อสู้ของผมในตอนนี้ มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่คำแสนใหญ่ ฯ หรือพระครูสุคันธศีล ฯ แห่งวัดสวนดอก ซึ่งกรุณาสอนผมในเรื่อง แม่ทัพแขนด้วน

และเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ครูบาวงษ์ ฯ หรือพระครูใบฎีกาชัยยะวงษาพัฒนา แห่งวัดพระบาทห้วยต้ม ที่กรุณาเตือนผมด้วยเรื่อง ไอ้วัวหำคด ซึ่งขออนุญาตเก็บเอาไว้เล่ารายละเอียดในตอนที่เขียนถึงหลวงปู่ ฯ ทั้งสองนะครับ

และผมยอมรับครับว่า ในตอนนั้นมีความกลัดกลุ้มใจมาก ๆ ทำให้บางครั้งผมก็หาทางออกโดยไปเที่ยวเตร่แบบที่ผู้ชายทั่ว ๆ ไปเขาเที่ยวกัน แต่ถ้ามีรายการพรรค์อย่างนั้น ผมจะถอดลูกแก้วทิ้งไว้ในรถทุกครั้ง ลืมล็อคประตูรถเป็นสิบ ๆ ครั้งก็ไม่เคยหาย

หลาย ๆ ครั้งที่ผมลืม ถอดลูกแก้วเอาไว้บนหัวเตียงในโรงแรมตามต่างจังหวัดที่ไปปฏิบัติราชการ กว่าจะรู้ว่าลืมเอาไว้ก็กลับมาถึงกรุงเทพ ฯ แล้ว

ครั้นโทรศัพท์ทางไกลไปให้คนไปตามไปหาให้ก็ไม่มีใครพบใครเห็น ผมก็ได้แต่จุดธูปเทียนขอขมาและอธิษฐานว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด ผมรีบร้อนจริง ๆ ผมผิดไปแล้ว หมดปัญญาแล้ว แต่ถ้ายังมีบุญบารมีอยู่ก็ขออให้มีผู้พบเห็น

ส่วนผมก็จะพยายามติดตามให้ได้คืนมาให้จงได้ แล้วผมก็เข้านอน รุ่งขึ้นเช้าผมไปกราบพระก็พบว่าลูกแก้วนี้กลับมาอยู่ที่หน้าหิ้งพระของผมทุกทีไป บางครั้งก็ ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง

ต่อมาไอ้ตี๋เล็กประสบปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจการค้า แต่ขณะนั้นก็มีช่องทาง คือ ถ้าลูกค้าชาวญี่ปุ่นที่ติดต่อกันอยู่ยอมตกลงข้อเสนอตามโครงการของไอ้ตี๋เล็ก

ไอ้ตี๋เล็กก็จะได้งานที่สามารถกอบกู้สถานภาพเอาไว้ได้ และอาจจะร่ำรวยมหาศาลเลยทีเดียวแหละ แต่การที่อุตส่าห์ลงทุนเชิญไอ้ญุ่นปี่ญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทย เพื่อจะได้มีโอกาสมีเวลาได้ชี้แจงเรื่องงาน เรื่องโครงการดังกล่าวนี้นั้น

ปรากฏว่าไอ้ญุ่นไม่สนใจ เลยจำเป็นต้องวางแผนพาไปเที่ยวต่อที่เชียงใหม่ เพื่อเป็นการเอาใจ และเพื่อยืดเวลาหาโอกาสในการเจรจาต่อไปอีก

ก่อนเดินทางไปเชียงใหม่ ไอ้ตี๋เล็กวุ่นวายใจมาก เพราะภริยาก็ท้องแก่ใกล้คลอด ท่าทีที่หยั่งเชิงไอ้ญุ่นไปแล้วนั้น นอกจากไอ้ญุ่นจะไม่สนใจเอาเสียเลยแล้ว ยังแทบจะหัวเราะเยาะเอาเสียด้วย ตั้งท่าจะไม่ไปแล้ว เพราะปรารภกับผมว่าไปก็เท่านั้น เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา

ผมจึงได้ตัดสินใจมอบลูกแก้วให้กับไอ้ตี๋เล็กไป เพื่อให้เป็นกำลังใจ และหวังขอให้ท่านช่วยให้ไอ้ตี๋เล็กประสบความสำเร็จในการเจรจาครั้งนั้น

และก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์เหลือที่จะกล่าว เพราะระหว่างการเดินทางบนเครื่องบินนั่นเอง นายทุนญี่ปุ่นซึ่งเคยแสดงท่าทีสนใจน้อยมาก กลับขอเซ็นสัญญาตกลงกันบนเครื่องบิน โดยไม่ยอมอ่านสัญญาเลย

ทีนี้ไอ้ตี๋เล็กก็ดีใจซิครับ แทบจะคลุ้มคลั่งเลยทีเดียว พาญี่ปุ่นเที่ยวอย่างหามรุ่งหามค่ำ เที่ยวเตร่กินเหล้าเมายาเฮฮากันทั้งวันทั้งคืน ด้วยมองเห็นเงินเป็นร้อย ๆ ล้านวางแบบอยู่แค่เอื้อม

ผมโทรศัพท์ทางไกลไปเตือนสติอยู่ทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ ครั้ง ให้ระวังเรื่องเงื่อนไขของเจ้าของลูกแก้ว ไอ้ตี๋เล็กก็สักแต่ว่ารับปากอู้อี้มาทุกครั้งว่า ไม่มีปัญหา ไม่ได้ทำอะไรผิดเงื่อนไข ถ้าจะมีรายการซึ่งขัดกับเงื่อนไข ก็จะเก็บไว้ในกระเป๋าเอกสาร จะไม่นำติดตัวไปเป็นอันขาด

แต่แม้ผมจะได้รับการยืนยันมาอย่างแข็งขันทุกครั้งที่โทรศัพท์ไปถาม ผมก็ไม่ได้มีความสบายใจเลย เพราะไอ้ตี๋เล็กมักจะขาดสติสัมปชัญญะ และขาดความรับผิดชอบอยู่เสมอ การรับปากสั่ว ๆ แต่ไม่สนใจจะปฏิบัติตามคำพูดของเขาเป็นที่ร่ำลือระบือไกล

และในคืนวันก่อนที่ไอ้ตี๋เล็กจะต้องเดินทางกลับตามกำหนดการ ผมก็ฝันร้ายว่าได้พบกับผู้หลักผู้ใหญ่หลาย ๆ คน และหลาย ๆ องค์ ทุกท่านตำหนิผมน่าดูเรื่องลูกแก้ว ผมตื่นขึ้นมากลางดึก นอนต่อไม่หลับตลอดคืน กังวลใจตลอดเวลา

ตั้งแต่เช้ามืด ผมได้พยายามติดต่อทางโทรศัพท์กับไอ้ตี๋เล็ก แต่ติดต่อไม่ได้ เจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่ไอ้ตี๋เล็กพักอาศัยแจ้งให้ทราบว่า ในห้องพักไม่มีคนอยู่ ผมจึงเดินทางไปรอรับเขาที่สนามบินดอนเมืองในตอนบ่าย

พอไอ้ตี๋เล็กเดินออกมาจากห้องผู้โดยสารขาเข้า ผมก็กรากเข้าไปถามหาลูกแก้วทันที ไอ้ตี๋เล็กหัวเราะก๊าก ๆ มันมองผมด้วยสายตาที่ผมแปลความหมายได้ความว่า แหม....ท่านพี่ ช่างงกเสียจริ๊ง แล้วมันก็พูดเสียงกลั้วหัวเราะดังลั่นแอร์พอร์ตว่า

“นี่ไงพี่ ลูกแก้วของพี่อยู่ในคอผม ยังอยู่ดี ไม่หายไปไหน”

พูดจบ มันก็เอามือคลำที่คอของมันอย่างมั่นใจเต็มที่ ผมเองก็จ้องมองตามมือของมันอย่างเขม้นเขม็ง ในใจภาวนาว่า ขอให้จริงอย่างที่มึงพูดเถิดวะ จริงไม่กลัวกลัวไม่จริง

แต่แล้วผมก็เห็นมันหยุดชะงัก เสียงหัวเราะที่ดังกั๊ก ๆ หยุดกึ๊ก หน้าที่บานปานตูดหมาของมันซีดเผือดแล้วหุบลง ๆ จนเล็กเหลือเท่าจู๋มด มันลุกลี้ลุกลนล้วงโน่นควักนี่อุตลุดอลหม่าน ล่วงไปปากก็ร้องไปบ่นไปว่า

“เฮ้ย....ๆ ตายห่า.... เฮ้ย....ๆ ตายห่า.....” อยู่เป็นนานสองนาน แล้วในที่สุดก็พูดอย่างแหย ๆ แต่หน้าตาเฉยตามฟอร์มถนนมิตรภาพ

“พี่ ลูกแก้วไม่รู้หายไปไหนแล้ว”

พอได้ยินมันพูดเช่นนั้น ผมก็แทบสลบ ตาเบิกโพลง แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากแสงระยิบระยับคล้ายดวงดาวเป็นหมื่นเป็นแสน ๆ ดวงหมุนติ้วอยู่รอบศีรษะ หูก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร

นอกจากเสียงดัง หวิ๊ง ๆ หวิ๊ง ๆ อื้ออึงราวกับลมพายุสลาตันพัดหมุนอยู่รอบกาย มีอาการอย่างนี้อยู่นานเท่าใดไม่ทราบ แต่ในความรู้สึกเหมือนนานแสนนาน

มารู้สึกตัวอีกที เมื่อได้ยินเสียงไอ้ตี๋เล็กตะโกนร้อง เรียกว่า “พี่ ๆ พี่ ๆ”

พอรู้สึกตัว ผมก็กระโจนพรวดเดียวถึงตัวไอ้ตี๋เล็ก เปิดกระดุมคอเสื้อของมันเกือบจะเป็นกระชาก ล้วงเอาไถ้ที่เคยใส่ลูกแก้วที่ผมแสนรักพร้อมเชือกห้อยคอออกมาจากคอของมัน รู้สึกจุกแน่นไปหมดที่หน้าอกและคอหอย พาลวิงเวีย นเหมือนกับจะเป็นลมเสียให้ได้

เมื่อเห็นว่าไถ้นั้นว่างเปล่า ผมกำไถ้เปล่านั้นแน่นติดมือที่เปียกเหงื่อจนชุ่ม อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ได้แต่กลอกตาไปมา คิดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงได้แต่ยืนเซ่อ ไอ้ตี๋เล็กยืนหันรีหันขวางอยู่ครู่ใหญ่ มันก็ร้องโวยวายออกมาอีก

“สงสัยตกอยู่ในเครื่องบินแหงเลย ก็เมื่อเช้านี้ยังอยู่ในคอผมเลยนี่นา พี่คอยผมหน่อย เดี๋ยวผมจะไปหาเพื่อน มันทำงานใน บ.ด.ท. จะลองให้เขาช่วยให้เจ้าหน้าที่หาให้”

ไอ้ตี๋เล็กยังมีความหวังและอดโม้ไม่ได้ตามนิสัยเดิม ผมก็เออ ๆ คะ ๆ ไปตามแกน ได้พยายามตามและค้นหากันทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะโทรศัพท์ทางไกลไปที่เชียงใหม่ ให้ญาติช่วยกันไปหาที่สนามบินก็แล้ว ที่โรงแรมก็แล้ว ตั้งรางวัลเสียสูงลิ่วก็หาไม่พบ

ระหว่างที่โกลาหลกันอยู่นั้น ผมก็เดินทางกลับ เพราะผมสังหรณ์เหลือเกินว่า เขาไปแล้ว และคราวนี้คงจะไม่มีหวังที่จะกลับคืนมา เพราะนอกจากที่ผมจะฝันเหมือนเป็นลางบอกเหตุ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง ๆ แล้ว

เมื่อผมได้พิจารณาดูไถ้ที่เคยใช้หุ้มลูกแก้วนี้อย่างละเอียด ก็ไม่พบว่ามีร่องรอยฉีกขาดแต่ประการใด ยังคงเป็นไถ้ที่สมบูรณ์อยู่เหมือนไถ้อันเดิม ที่แตกต่างกันก็มีเพียง ไม่มีลูกแก้วของศักดิ์สิทธิ์ที่ผมแสนจะหวงแหนอีกต่อไปแล้ว

เมื่อผมกลับไปถึงบ้านไอ้ตี๋เล็กแล้ว ผมก็เก็บเสื้อผ้าเตรียมกลับบ้านของผม เพราะผมเชื่อว่า ไอ้ตี๋เล็กต้องกระทำการอย่างใด ๆ ที่เป็นการละเมิดต่อสัญญาที่ผมเคยกำชับเอาไว้ไม่ให้ละเมิด และไม่นำพาต่อคำพูด

คำมั่นสัญญาที่รับปากผมไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ คนประเภทนี้ถ้าจะคบหาต่อไป เห็นทีจะไม่ต้องตามตำรามงคล ๓๘ ประการเป็นแน่แท้ อย่ากระนั้นเลย ขืนอยู่ด้วยก็ซวยเปล่า ๆ กลับบ้านเราดีกว่า

แบบนี้เขาไม่เรียกว่า หนีเสือปะจระเข้นะครับ เข้าตำรา หนีนรกตกอเวจีมากกว่า แต่ผมก็ยังไม่กลับบ้านของผมในทันที ผมรอเพื่อที่จะถามว่า ไปทำอะไรมาที่เป็นการผิดสัญญาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาลูกแก้วนี้ แต่คืนนั้นเขาไม่กลับบ้าน คืนต่อมาก็ไม่กลับอีก

ผมรออยู่สองวันสองคืนจึงได้พบ ก็แก้ตัวว่า ไปนอนที่บ้านพ่อเพราะสะดวกในการติดตามหาลูกแก้วที่หายไปนั้น และเขาตามมาโดยตลอดแต่ติดตามคืนมาไม่ได้ แล้วมันก็ทำหน้าทะเล้นร้องว่า

“แน่ะ....ลูกแก้วกลับมาอยู่ที่พี่แล้วซิ หลอกให้ผมไปหาเสียเกือบตาย”

ผมโมโหสุดขีด ตะโกนให้อวัยวะเบื้องต่ำกว่าเข็มขัดมันไปหลายอย่างและหลายอัน ในที่สุดมันจึงสารภาพว่า ในคืนวันก่อนที่จะเดินทางกลับได้เข้าไปเที่ยวในบาร์ ไปพบนักร้องสาวสวยถูกอกถูกใจเสียเหลือหลาย แต่จีบผู้หญิงคนนั้นสู้คนอื่นเขาไม่ได้ มันเกิดอาการหน้ามืดสุดขีด จึงเอาลูกแก้วขึ้นมาอธิษฐาน

ตอนที่อธิษฐานนั้น แม่นักร้องคนนั้นก็ได้เดินไปนั่งอยู่บนรถของเพื่อนที่จีบแข่งกันแล้ว แต่พอมันอธิษฐานเสร็จ จู่ ๆ แม่นั่นก็เดินมาขึ้นรถมันเสียดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ

เป็นอันว่ามันได้ผู้หญิงคนนั้นมาเชยชมเพียงชั่วคืน แต่ผมต้องสูญเสียลูกแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว

แถมมันยังแก้ตัวอีกว่า มันใช้กับนักร้อง ไม่ใช่โสเภณี ผมฟังมันแก้ตัวก็ปลงอนิจจังคิดในใจว่า เจ้าตี๋เล็กเอ๋ย...เอ็งเห็นทีจะเจริญยาก

แล้วในกาลต่อมา เจ้าตี๋เล็กก็เจริญยากจริง ๆ ทรัพย์สมบัติที่เคยมีนับสิบล้าน (เมื่อประมาณปั พ.ศ. ๒๕๑๘ นะครับ) ก็หมด ตัวเองก็ระเห็จเข้าไปดัดสันดานอยู่ในคุกเสียระยะหนึ่ง ปัจจุบันออกมาแล้วแต่ก็ยังห่วยเหมือนเดิม

เมื่อลูกแก้วหายไปแล้ว ผมก็กลับบ้านสวดมนต์ภาวนาขอให้กลับมา จากอาทิตย์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็น ๑๖ ปี (ไม่ใช่ ๑๖ ปีแห่งความหลังนะครับ) ลูกแก้วก็ไม่กลับมาเสียที หมดหนทางหมดปัญญาก็จำต้องตัดใจ

ผมคิดปลง ๆ เอาว่า ท่านที่ปกปักรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้คงจะน้อยใจที่ในตอนแรก ผมก็ทำท่ายึกยักเหมือนไม่เต็มใจจะรับมาจากหลวงปู่ชุ่ม ฯ ต่อมาก็ทำหลงลืมทิ้งไว้ตามโรงแรมที่ไปพักหลายครั้ง เหมือนไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นความสำคัญ ต้องให้ท่านนำมาคืนให้ก็หลายครั้ง

แล้วในที่สุด ก็ได้ให้คนที่เหลาะแหละไม่น่าเชื่อถือขอยืมไปอีก แม้จะแก้ตัวว่าเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณก็คงจะรับฟังไม่ขึ้น ท่านก็เลยไม่อยากอยู่กับผม ผมก็ตัดใจไม่คิดมาก ด้วยในส่วนลึกก็ยอมรับในความผิดและเห็นว่ายังไม่คู่ควรที่จะได้ท่านไว้เป็นกรรมสิทธิ์

…เมื่อลูกแก้วหายไปแล้ว ผมก็ยอมแพ้ความ เลิกสู้ความเสียดื้อ ๆ ยึดเอาหลัก “อภัยทาน” เป็นที่ตั้ง มุมานะก้มหน้าก้มตาพากเพียรสร้างสมคุณงามความดี ชั่วก็มีบ้าง

แต่ได้พยายามมีให้น้อยที่สุด ผมได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการมาเรื่อย ๆ แม้จะเทียบเทียมกับบรรดาเพื่อนฝูงชั้นแนวหน้าไม่ได้ แต่ก็สามารถรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้โดยตลอด แม้บางครั้งกว่าจะรอดก็อึแทบจะเล็ดก็ตาม

ในที่สุดลูกทั้งสองคนก็กลับมาอยู่กับผม ศัตรูที่เคยพรากลูกผมไปนั้น ก่อนเขาจะตาย เขายกมือไหว้ขอโทษผมได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว คนที่จะเอาส้นสูงเคาะกระบาลผมระเห็จไปอยู่ต่างประเทศ ไปทำงานเป็นขี้ข้าเขาด้วยความสมัครใจ ทั้ง ๆ ที่มีทรัพย์สมบัติอยู่ในเมืองไทยนับสิบล้าน

เจ้ากุนซือคนที่แนะนำให้โกงทรัพย์สมบัติที่ผมควรจะได้ เมื่อคุณพ่อของผมถึงแก่กรรมไปแล้วอย่างไม่ละอายต่อบาป ทำให้ทรัพย์มรดกที่ควรอย่างยิ่งที่จะต้องตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ต้องถูกยื้อแย่งไปโดยการกระทำเยี่ยงฝูงสัตว์ในอเวจีมหานรก และผมก็เฉยเสียไม่ต่อสู้ เพราะผมได้ฝันถึงหลวงปู่ทืม ฯ มาทำภาพในอดีตชาติให้ผมได้เห็นว่า

ผมกับคนกลุ่มนี้ได้สร้างเวรก่อกรรมทำเข็ญต่อกันมานานแสนนาน ซึ่งผมรู้สึกว่า เป็นสิ่งที่น่าเบื่อเสียนี่กระไรที่จะต้องไปต่อสู้กับกลุ่มคนที่ไร้คุณภาพทางศีลธรรมอย่างนั้น และช่างไร้ค่าสำหรับผมเสียจริง ๆ

สิ่งที่ยืนยันและสร้างความเชื่อมั่นในจิตใจของผมว่า ที่หลวงปู่ทืม ฯ มาเล่าในฝันของผมนั้นน่าคิด น่าพิศวงก็ตรงที่ว่า เจ้ากุนซือแก่คนที่เป็นต้นคิดให้คนกลุ่มนั้น ยื้อแย่งประโยชน์ไปจากผมอย่างหน้าด้าน ๆ

ได้รับบทเรียนหรือการตักเตือนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปอย่างเบาะ ๆ ก็คือ ตาแก่คนนี้รับอาสาอาราธนาศีลและพระปริตรแทนผม ในวันงานทำบุญหลังจากที่ได้ลอยกระดูกคุณพ่อผมเสร็จสรรพไปแล้ว จึงจะต้องรับศีลจากพระสงฆ์ด้วย

ปรากฏว่า พอพระท่านให้ศีลถึงข้ออทินนาทานากับข้อมุสาวาทา ตะแกรับศีลสองข้อนี้ออกมาไม่ได้ อึกอัก ๆ อยู่อย่างนั้นจนหน้าเขียวหน้าหลือง กว่าจะหลุดปากออกมาได้แต่ละคำ

ทั้ง ๆ ที่พระสงฆ์ท่านก็บอกซ้ำให้ตั้งหลายครั้ง แกก็พูดไม่ออก ตั้งท่าจะกระอักเลือดตายอยู่อย่างนั้น ในท่ามกลางสายตาของแขกที่เชิญมา และรู้จักกับแกเป็นร้อยคน พากันหันมาดูเหตุการณ์เป็นตาเดียวกัน

ตะแก..ซึ่งก่อนหน้านี้รื่นเริงเสียไม่มี เมื่อได้เห็นผมเซ็นต์มอบทรัพย์สมบัติของผมให้ กับพวกของแกโกงแต่โดยดี กลับกลายเป็นเศร้าซึมเงียบขรึมไปจนผิดหูผิดตา

ก้มหน้างุด ๆ พูดน้อยลงและพูดไม่กล้ามองหน้าคน ทำเอาผมไม่กล้าคิดว่า ถ้าแกตายจากโลกนี้ไป แกจะเกิดเป็นอะไร ถ้าเมื่อยังอยู่ในโลกแกก็ไม่กล้ามองหน้าคนแล้ว น่าสงสารจริง ๆ พวกมนุสเปโตพวกนี้

ที่ผมเล่ามาถึงตอนนี้ จะเห็นว่าสิ่งที่ผมควรจะได้ ผมกลับถูกยื้อแย่งไป แต่ผมได้วางเฉยเสียนึกว่าใช้หนี้ไปและไม่พยาบาทตอบ แต่สิ่งที่ผมไม่น่าจะได้ ผมก็กลับได้ เช่น

อยู่ดี ๆ คนที่เพิ่งจะรู้จักกันเพียง ๒-๓ ชั่วโมง จู่ ๆ ก็พอใจเมตตาผมขึ้นมา ได้ควักเงินช่วยเหลือผมด้วยจำนวนเงินเป็นแสน ๆ เพราะรู้ว่าผมรับราชการมา ๒๐ กว่าปี ไม่มีบ้านของตนเองอย่างนี้ เป็นต้น

และปัจจุบันผมก็มีบ้านอยู่เป็นสัดส่วนของตนเองและสวยงามสะดวกสบายตามควรแก่อัตภาพของผม และดีกว่าของเก่าที่ถูกยื้อแย่งเอาไปเสียอีก

มาเข้าเรื่องลูกแก้วต่อกันดีไหมครับ เถลไถลออกไปไกลเดี๋ยวจะลืมเรื่องลืมประเด็นเดิม เมื่อครั้งที่ลูกแก้วยังอยู่กับผม ผมมักจะประสบความสารพัดนึกทุกอย่าง

ผมสามารถสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้คนที่ประสบเคราะห์กรรมเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุแห่งความบกพร่องของกายสังขาร หรือเพราะจากการกระทำทางไสยศาสตร์

วิธีช่วยก็อย่างง่าย ๆ เพียงให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมนต์ที่ได้นำเอาลูกแก้วนี้แช่ไว้กับน้ำธรรมดาเท่านั้นเอง คนที่ป่วยและไม่ถึงฆาตจริง ๆ ส่วนใหญ่หายเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว

ผู้ที่ป่วยเรื้อรังและด้วยโรคร้ายแรงก็ต้องมีกรรมวิธีเพิ่มขึ้นไปตามส่วน แล้วแต่ท่านเจ้าของจะสั่งการโดยตรง หรือผ่านมาทางใดทางหนึ่ง แม้ไม่อาจหายขาด ก็ทุเลาเบาบางลง แต่ถ้าเป็นเรื่องคุณไสยอะไรทำนองนี้แล้ว ไม่เคยเกิน ๓ ครั้งก็หายสบายดี

ครั้งหนึ่ง เคยมีเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ท่านหนึ่งของผมที่กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้าได้หัวเราะเยาะผม แล้วบอกว่า ผมเอาลูกแก้วโป่งข่ามที่ไม่สวยเอาเสียเลยมาห้อยใส่คอเอาไว้ทำไม ผมบอกว่าไม่ใช่โป่งข่าม ท่านก็เลยขอท้าให้เอามายีกับเพชรหัวแหวนที่ท่านกำลังสวมใส่อยู่

ผมเห็นว่าท่านดูถูกและอยากลอง ก็ยินยอมให้ทำเช่นนั้น พอนำของสองสิ่งมาถูยีกัน ก็เกิดเป็นขุยละเอียดสีขาว ๆ คละเคล้ากันไปหมด ใจผมนั้นคิดว่า แย่แล้ว....เจ๊งเขาแน่ เพราะว่าแก้วไหนเลยจะแข็งไปกว่าเพชร

ส่วนเจ้าของแหวนเพชรก็หัวเราะฮ่า ๆ อย่างสะใจ แต่ครั้นพอลูบผงลูบฝุ่นออก ลูกแก้วนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย แต่หัวแหวนเพชรนั้นเหลี่ยมเพชรถูกบดมนไปหมด ที่เคยหัวเราะเยาะ..ฮา ฮา ก็กลับกลายเป็นคราง..ฮือ..ฮือ เสียดายของ..!

เลยสงสัยและพากันไปร้านค้าเพชรให้ช่วยตรวจดู อาเฮียแกก็อุตส่าห์ตรวจสอบให้ แล้วก็ตอบมาอย่างง่าย ๆ ว่า ไม่ทราบว่าเป็นหินอะไรไม่เคยเห็น จึงพากันเอาไปให้กรมทรัพยากรธรณีตรวจกันอีก เขาตอบมาว่า เป็นธาตุและสารประกอบที่ไม่มีในโลกนี้ สันนิษฐานว่าเป็นส่วนหนึ่งจากสะเก็ดดาว

ก็เลยต้องอนุมานเชื่อเอาไว้ก่อนว่า น่าจะเป็นจริงตามที่หลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านเล่าว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านฤาษี อาจารย์ของท่านเสกน้ำปรอทจนแข็งและเสกปรอทที่แข็งนั้นจนกลายเป็นลูกแก้วที่ว่านี้จริง เชื่อหรือไม่...ไม่รู้นะ

สำหรับลูกแก้วองค์ที่หลวงปู่ชุ่ม ฯ ถวายให้กับหลวงพ่อ ฯ ของพวกเรานั้น ผมจำได้ว่าเป็นลูกแก้วตัวผู้เพราะไม่มีรูกลางลูก ใหญ่กว่าที่ผมได้มาประมาณ ๓ เท่า ข้างในมีแก้วสีสันอื่น ๆ ปะปนอยู่ด้วย ดูเผิน ๆ ก็จะเหมือนกับแก้วโป่งข่าม แต่รับรองว่าไม่ใช่โป่งข่ามแน่นอน

ลูกแก้วองค์ที่อยู่กับหลวงพ่อของเรานี้ หลวงพ่อ ฯ เคยเอาแช่น้ำไว้ทำน้ำมนต์อยู่ในอ่างน้ำมนต์ที่บ้านสายลม ซึ่งวางเอาไว้อย่างเปิดเผย ไม่ยักกะกลัวหาย

แม้จะเป็นที่หมายปองของบรรดาศิษย์จำนวนมากเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นเพราะว่าหลวงปู่ชุ่ม ฯ ท่านให้กับหลวงพ่อ ฯ เป็นการเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง

และเป็นเพราะว่าหลวงพ่อ ฯ ของเราท่านรักศิษย์เสมอกันอีกประการหนึ่ง ท่านจึงไม่สามารถที่จะมอบให้กับใครเพียงคนใดคนหนึ่งได้

ท่านจึงได้สร้างเลียนแบบเป็นลูกแก้วที่มีรูปร่างและสีสันคล้ายคลึงกันกับองค์ที่ท่านมีอยู่ เพื่อแจกจ่ายให้กับบรรดาลูกศิษย์ที่อยากจะได้เอาไว้บูชากันอย่างทั่วถึง ไม่น้อยหน้ากัน โดยได้ทำแจกอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ต่อมาทราบเลา ๆ ว่าพระท่านได้แนะนำหลวงพ่อ ฯ ให้ทำลูกแก้วที่ดีกว่าเดิมทั้งคุณภาพและความงดงาม จนปัจจุบันนี้ได้พัฒนามาเป็นแก้ว “มณีรัตนะ” ให้พวกเราได้ห้อยคอกันอยู่ทุกวันนี้


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 15/8/19 at 09:16 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 11]
(Update 10 กันยายน 2562)


หลวงพ่อสั่งใหพิมพ์หนังสือ


"...เรื่องของ 'ลูกแก้วราหู' ที่มีความเป็นมาและวิวัฒนาการเรื่อยมา จนกลายมาเป็นแก้วมณีรัตนะนี้ ผมได้เขียนเล่าเอาไว้มาก่อนหน้านี้ คือ ก่อนที่จะนำมารวมเป็นหนังสือเล่มนี้

โดยเรื่องตอนลูกแก้วสารพัดนึก ตอนต้น ๆ ผมได้เขียนเสร็จเมื่อประมาณเดือนกันยายน ๒๕๓๓ และท่านที่จัดพิมพ์หนังสือที่ให้ชื่อว่า “ลูกศิษย์เขียน” ได้นำไปพิมพ์รวมกับข้อเขียนของลูกศิษย์ท่านอื่น ๆ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อ ฯ

และต่อมา เมื่อหลวงพ่อฯ ได้อ่านต้นฉบับเรื่องนี้ของผม ท่านจึงได้ทราบว่า ลูกแก้วนี้หลวงปู่ชุ่ม ฯ มอบให้ผม และนึกได้ว่า

ลูกแก้วองค์ที่ผมเคยมีนั้น บัดนี้ท่านได้ย้ายนิวาสถานไปอยู่กับหลวงพ่อ ฯ แล้วอย่างน่าอัศจรรย์

ทั้งนี้ เมื่อแม่นิดมาเล่าให้ผมฟังว่า ลูกแก้วของผมไปอยู่กับหลวงพ่อ ฯ ผมก็ยังทำเฉย ๆ


มีผู้หญิงเอาลูกแก้วมาให้หลวงพ่อฯ
...ต่อมาเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๔ หลวงพ่อ ฯ ไปเยี่ยมผมที่โรงพักบางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งขณะนั้นผมเป็นสารวัตรใหญ่อยู่

ท่านได้กรุณาไปแจ้งให้ผมทราบว่า ลูกแก้วองค์เล็กไปอยู่ที่ท่านแล้วด้วยตนเอง โดยได้มีหญิงวัยกลางคนที่คงจะไม่ใช่คนนำไปถวายท่าน

ซึ่งเมื่อผมทราบอย่างนั้นก็รู้สึกดีใจเป็นอันมาก วันนั้นผมจำได้ว่าเมื่อ “ท่านปู่ใหญ่” รสบัสที่เป็นพาหนะมาจอดที่โรงพัก

ผมเข้าไปต้อนรับและไม่ทันที่หลวงพ่อ ฯ จะนั่ง ท่านก็พูดและสั่งผมในระหว่างที่เดินอยู่ ๓ ประการ คือ

๑. “ไอ้เป๋...เอ็งเขียนหนังสือให้ข้า ฯ ๑ เล่ม ข้า ฯ จะพิมพ์เอาเป็นเรื่องที่เอ็งเขียนล้วน ๆ ทำขนาดนี้”

ว่าแล้วท่านก็ส่งหนังสือขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คที่ท่าน พล.อ.ต. มนูญ ชมพูทีป เขียนให้เป็นตัวอย่าง ๑ เล่ม

๒. “ลูกแก้วของเอ็งที่หายไป ตอนนี้อยู่ที่ข้า ฯ มีผู้หญิงวัยกลาง ๆ คน นุ่งซิ่นเก่าสีมอ ๆ สวมเสื้อแขนกระบอกปอน ๆ เอามาถวายข้า ฯ พูดกับข้า ฯ ว่า

“คุณ ๆ โยมเอาแก้วองค์น้องมาให้ เป็นองค์น้องเจ้าค่ะ รักษาเอาไว้ดี ๆ มีอานุภาพไม่แพ้องค์พี่ เก็บไว้ให้ดี”

แล้วก็ลาไป ข้า ฯ ก็ไม่รู้ว่าโยมเป็นใคร แล้วไม่ทันนึกว่าเป็นแก้วอะไร เห็นอมยิ้ม จนข้า ฯ มาอ่านหนังสือที่เอ็งเขียน จึงได้รู้ว่าเป็นลูกแก้วของเอ็ง โยมคงไม่ใช่คน”

นอกจากนั้น หลวงพ่อ ฯ ยังบอกผมว่า ทีแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นแก้วอะไร แต่เมื่อรู้เรื่องแล้ว ท่านจึงสงสัยว่า ผู้หญิงคนที่ว่านี้จะไม่ใช่คนเสียแล้ว

๓. สั่งให้เจ้าบัง (คุณนที) นำเอาชานหมากจำนวน ๙ ก้อน ที่ท่านได้ทำพิธีบวงสรวงแล้วที่จันทบุรี ก่อนหน้าจะมาบางละมุงมอบให้ผม กำชับให้เก็บไว้ให้ดี เพราะอาจจะมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นกับชานหมากชุดนี้ก็ได้

เมื่อหลวงพ่อ ฯ กลับไปแล้ว ผมก็เริ่มต้นรวบรวมเรื่องที่เขียน จนกระทั่งวันที่เขียนถึงบรรทัดนี้รวมเวลาได้ปีเศษ ก็ยังไม่เสร็จ แต่ใกล้แล้วละครับ


ผู้หญิงลึกลับคนนี้กลับมาอีก
...และเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๕ ผมได้ไปพบหลวงพ่อ ฯ เพื่อรายงานถึงความคืบหน้าของการรวมเรื่องหนังสือเล่มนี้

หลวงพ่อ ฯ จึงได้กรุณาเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นนำลูกแก้วมาถวายที่บ้านสายลม เมื่อประมาณ ๔ ปีมาแล้ว (พ.ศ. ๒๕๓๑)

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ หญิงคนนี้ก็กลับมาอีก นำพระพุทธรูปโลหะเก่า ๆ เปื้อนฝุ่นมอมแมมมาถวายหลวงพ่อ ฯ ที่วัดท่าซุง ๑ องค์

ซึ่งเมื่อหลวงพ่อ ฯ ให้พระทำความสะอาด แล้วปรากฏว่าเป็น 'พระพุทธรูปทองคำแท้' ปางมารวิชัย สมัยเชียงแสน

และเป็นเชียงแสนแท้แต่ยุคเก่า หน้าตาจึงไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา คือ มีพระพักตร์ยาวกว่าพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนปกติที่เคยเห็น


ที่แท้เป็นท่านย่านั่นเอง
...คราวนี้หลวงพ่อ ฯ อดรนทนไม่ได้ จึงได้ไปถามโยมท่านพ่อพระอินทร์ แต่โยมท่านพ่อพระอินทร์ไม่ตอบเอง เลี่ยงให้ไปถามโยมท่านแม่

จึงได้ความว่าหญิงกลางคนที่นำลูกแก้วและพระทองคำมาถวายนั้น คือ โยมแม่ของท่านนั่นเองที่แปลงมา

เล่ามาถึงตอนนี้ หลวงพ่อ ฯ ก็อดหัวเราะไม่ได้ บอกว่าใครจะไปจำได้ ก็โยมเล่นนุ่งห่มเสื้อผ้าเสียกะรุ่งกะริ่ง

และเหตุที่นำมาถวายก็เพื่อจะช่วยอาการป่วยของหลวงพ่อ ฯ นั่นเอง เพราะเป็นระยะที่หลวงพ่อ ฯ ร่อแร่เอามาก ๆ

ทำให้ผมยิ่งรู้สึกยินดีมากยิ่งขึ้น ที่ลูกแก้วของผมมีส่วนช่วยให้อาการป่วยของหลวงพ่อ ฯ หายและร่างกายสบายขึ้น

เพราะในวันนั้นผมสังเกตว่า หลวงพ่อ ฯ สบายเป็นปกติ และดูแข็งแรงกว่าที่เคยเห็นอยู่เสมอ ๆ และไม่ต้องให้น้ำเกลือ

สำหรับพระพุทธรูปนั้น โยมแม่ท่านเล่าว่า เป็นพระพุทธรูปที่ 'พระเจ้าพรหมมหาราช' ทรงสร้าง โดยตั้งจิตปรารถนาเพื่อขอบังเกิดเป็นพรหม

ก่อนหน้านั้นพระพุทธรูปองค์นี้บรรจุอยู่ในกรุโบราณ โยมแม่ไปนำมาจากกรุแล้วนำมาถวายทันที จึงได้เปื้อนฝุ่นเลอะเทอะอย่างนั้น และหลวงพ่อ ฯ ยังได้รำพึงออกมาว่า

“เมื่อตายตอนเด็ก มีพระทองคำ ๑ องค์ แต่เมื่อตายตอนแก่ มีพระทองคำ ๒ องค์”


ปรึกษาเรื่องพิมพ์หนังสือ
...ผมได้กราบเรียนถามหลวงพ่อ ฯ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้อีกว่า จะให้พิมพ์กี่เล่ม เพราะผมเกรงว่าถ้าพิมพ์มากแล้วจะจำหน่ายไม่ออก

จึงเสนอความเห็นว่า ควรจะพิมพ์สักสองพันเล่มก็พอ และผมจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

หลวงพ่อ ฯ มองลอดแว่นมาที่ผมอยู่ครู่หนึ่ง บอกว่า “สองพันเล่มคงจะไม่พอ เพราะหนังสือเล่มนี้ต่อไปเมื่อหลวงพ่อ ฯ ตายไปแล้ว จะมีคนต้องการมาก”

แบบนี้ก็ชื่นใจเป๋ไปละซีครับ หน้าบานเป็นกล้วยโดนรถบดถนนทับ กราบเรียนขออภัยไปอีกว่า โดยปกติแล้ว ไม่มีความถนัดในการเขียนเรื่อง

และไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเขียนให้ เพราะลูกศิษย์ที่ทรงคุณวุฒิ และมีความพร้อมมากกว่าก็มีตั้งหลายท่าน จึงขาดการเตรียมการที่ดี

นอกจากนั้น แม่นิดก็มาป่วยหนัก รูปภาพต่าง ๆ ที่ได้เคยขอให้ท่านเป็นผู้เก็บรวบรวมก็กระจัดกระจายไป

ซึ่งถ้าสามารถหามาประกอบและพิมพ์อยู่ในหนังสือเล่มนี้ได้ ก็จะทำให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น เช่น

รูปหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่ ฯ ครูบา ฯ ต่าง ๆ เสกสังฆาฏิให้ รูปหลวงปู่แหวน สุจิณโณ เสกพระเครื่องโดยให้ผมทูนพระที่ให้เสกไว้บนศีรษะ ในขณะที่ท่านกำลังเสกอยู่

รูปที่หลวงปู่วงศ์ ฯ ให้กะเหรี่ยงนำเสลี่ยงมาหามผมเข้าวัดนาเลี่ยง รูปที่ผมในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุถ่ายคู่กับหลวงพ่อ ฯ ที่น้ำตก ที่เมืองลับแล จ. อุตรดิตถ์ โดยต่างก็ถือไม้เท้าด้วยกัน ดูแล้วตลกดี เป็นต้น

รูปดี ๆ อย่างนี้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ดีกว่าข้อเขียนเป็นไหน ๆ ใครยังพอหามาให้ได้ก็จะเป็นกุศลอย่างยิ่ง เพราะเคยอัดแจกกันไปไม่ใช่น้อย

สำหรับผมนั้น เดิมไม่มีบ้านช่องเป็นของตนเอง ขณะนี้แม้จะมีแล้วก็กำลังต่อเติมอยู่ สิ่งของก็นำไปฝากบ้านคนอื่นเขาเอาไว้สามบ้านแปดบ้าน..หาไม่เจอ

ไม่ทราบว่าอยู่ในกล่องไหนและอยู่ที่ไหนบ้าง ช่วยทีเถอะครับ นึกว่าทำบุญคราวนี้ไม่ทัน คราวหน้าก็ยังดี ถ้าได้ก็สุดสวยเลยครับ..นับว่าสมบูรณ์..!

ตกลงหลวงพ่อ ฯ ให้พิมพ์หนังสือนี้เป็นปฐมฤกษ์หนึ่งหมื่นเล่ม ผมปวารณาออกสตางค์ค่าพิมพ์สองพันเล่ม ที่เหลือหลวงพ่อ ฯ ออก คงไม่สิ้นเปลืองเท่าไร เพราะผมทำเองเกือบทุกอย่าง..แฮ่ะ..แฮ่ะ !!"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 24/8/19 at 05:49 [ QUOTE ]


[ตอนที่ 12]
(Update 19 กันยายน 2562)


"ลูกแก้ว" ลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ
โดย หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (สมัยนั้น)


"...แก้วนี้ทำด้วยบารมีพระพุทธเจ้า เวลาทำจริงๆ อาตมาไม่รู้เรื่องเลย ต้องไปศึกษากับท่านมา ๒ คืน คืนแรกที่ขึ้นไป ก็อยากทราบประวัติว่า

ลูกแก้วนี้มีประวัติมาจากไหน คือแก้วอาตมามีอยู่ลูกหนึ่ง ไม่ทราบว่ามาจากไหน ทราบแต่ว่าเป็นของต้นตระกูลสืบต่อกันมาหลายชาติ

ก็ขึ้นไปหาโยมท่านที่ดาวดึงส์ ไปถามโยมผู้ชาย (ท่านปู่พระอินทร์) ว่า โยมทราบประวัติของลูกแก้วนี้ไหม ท่านบอกว่า ท่านทราบประวัติแต่ไม่เคยใช้มาก่อน คนที่เคยใช้จริงๆ คือโยมผู้หญิง

...โยมผู้หญิงท่านบอกว่า ท่านใช้มาแล้วหลายสิบชาติ และก็สมัยครองราชย์ ท่านบอกว่า เรามีแก้วลูกเล็กลูกเดียว ประชากรในประเทศของเรายังไม่มีใครจนเลย ท่านเลี้ยงพอ

ก็เลยถามประวัติความเป็นมา ท่านบอกว่าเดิมทีเป็น "ลูกแก้วลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ" เลยถามท่านว่า เวลานี้แก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ์อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อยู่ที่พระจุฬามณี จึงพาไปดู

...ความจริงสมัยของพระเจ้าจักรพรรดินี่ มีแก้วมณี มีพระขรรค์แก้ว มีเกือกแก้ว มีจักรแก้ว แต่ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้อยู่คนละที่ มีเทวดารักษาอยู่

ถ้าใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เทวดาก็จะนำทั้ง ๔ อย่างมามอบให้ แต่ว่าพระเจ้าจักรพรรดิคนนั้นตาย คนอื่นจะรับมรดกแทนไม่ได้

เทวดาต้องเอาของเขากลับคืนไป เทวดาท่านต้องหวงแหน เพราะว่าของ ๔ อย่างนี้ ต้องเป็นของคนที่มีบุญพอจึงจะครองไว้ได้


อานุภาพของลูกแก้ว
...สร้างวัดท่าซุงในตอนแรก หลวงปู่ชุ่มท่านเอามาให้ เมื่อวันที่ท่านจะกลับท่านขึ้นไปหาบนห้อง ท่านบอกว่า

"น้อง..ไม่ช้าพี่ก็ตาย..อยู่ไม่ได้ แต่ว่าน้องจะต้องอยู่อีกนาน" ประวัติเดิมเคยเกิดเป็นพี่น้องกันมา ท่านก็เลยนำแก้วออกมา บอกว่า

"แก้วลูกนี้เป็นของต้นตระกูล สืบต่อกันมาหลายชาติ น้องจงรักษาไว้ เมื่อมีลูกแก้วนี้แล้ว จะทำอะไรก็สำเร็จทุกอย่าง"

ในช่วงนั้น สร้างเงินเป็นหมื่นก็เป็นหนี้เขา แต่ว่าต่อมาเมื่อได้ลูกแก้วนี้ขึ้นมา สร้างอะไรต่างๆ ทางด้านโบสถ์ สร้างทั้งหมดใช้เวลา ๓ ปี โบสถ์หลังเดียวใช้เวลา ๓ ปี ยังไม่ยากจะเสร็จเลย แต่ว่าสิ่งก่อสร้างทางด้านโบสถ์นะ

เมื่อได้ลูกแก้วนี้มาแล้วใช้เวลาสร้างทั้งหมด ๓ ปี และก็ ๓ ปีนะ อาตมาไม่ได้ปั๊มเงินเองนะ ก็ได้เงินจากท่านพุทธบริษัททั้งหมดนี่แหละช่วยสร้าง

และต่อมาปี ๒๕๒๐ ท่านก็สั่งให้สร้างสถานที่ใหม่ ท่านบอกว่า สถานที่นี้ควรจะเป็นที่เพาะพระอริยะเจ้า ท่านมาสั่งสร้าง แล้วท่านก็ออกแบบของท่านเอง ก็เลยคิดตามท่านว่า

ถ้าเป็นแบบนี้จะต้องใช้เงินเดือนหนึ่ง ๖ แสน กับ ๘ แสน สลับกัน ถ้าเดือนไหนใช้ต่ำไปหน่อยอีกเดือนหนึ่งก็จะใช้เกินไป

ถามท่านว่า ถ้าจำเป็นแบบนี้แล้วจะไปเอาเงินที่ไหน ท่านบอกว่า "แกทำไปเถอะ ฉันไม่ให้เป็นหนี้มาก ถ้าเป็นหนี้ก็ใช้ง่าย"

พอเริ่มลงมือทำเข้าจริงๆ ก็ต้องใช้เงินเดือนละ ๖ แสน กับ ๘ แสน สลับกันมา พอหลังจากน้ำท่วมปีที่แล้ว (ปี ๒๕๒๓) เข้าเดือนธันวาคม

ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายกลายเป็นเดือนละล้านเศษ แต่ว่าเงินให้เขาไม่พอ ได้จากญาติโยมเท่าไหร่ พวกเจ้าหนี้ก็มาเอาไปหมด แต่เราได้วัตถุคืนมานะ

ก็เป็นอันว่า แก้วนี้ถ้ารับไปเพื่อใช้ให้ทำเป็นกรรมฐานทุกวัน และทุกวันที่บูชาให้บูชาด้วย 'คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า' และควรอธิฐานว่า


"..ขอความปรารถนาทุกอย่างจงสำเร็จทุกประการ เท่านั้นแหละ.."

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 2/9/19 at 07:57 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/9/19 at 05:00 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 19/9/19 at 06:07 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top