Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 11/4/19 at 09:33 [ QUOTE ]

หลวงพ่อตามหา..ลูกไกล้และลูกไกล (บันทึกพิเศษ ภาค 2 จบ)


สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

[01]
ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖
[02] ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ (ตอนที่ ๒)
[03] ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙
[04] ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (ตอนที่ ๒)
[05] ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๓
[06] “ลูกใกล้” และ “ลูกไกล” มีสามแสนคน
[07] ประวัติในชาติอดีต ณ ดอยอินทนนท์ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๖
[08] ประวัติในชาติอดีต ณ ภูกระดึง ๑๙-๒๒ เมษายน ๒๕๒๓
[09/1] ประวัติในชาติอดีต ณ สหรัฐอเมริกา ๑๑ เมษายน ๒๕๓๐ (ตอนที่ ๑)
[09/2] ประวัติในชาติอดีต ณ สหรัฐอเมริกา ๑๑ เมษายน ๒๕๓๐ (ตอนที่ ๒)

[10] ประวัติในชาติอดีต ณ นิวซีแลนด์ มีนาคม ๒๕๒๙

เขื่อนยันฮี (ภูมิพล) จ.ตาก
เรียบเรียงโดย พระชัยวัฒน์ อชิโต

อารัมภบท

"...เมื่อตอนที่แล้วได้ลงเรื่อง "หลวงพ่อตามหาลูกสาว ๒ คน" จนจบไปแล้ว ต่อไปจะนำเรื่องที่ท่านตามหาลูกๆ ต่อไปอีก

ตามที่ท่านเรียกว่า "ลูกใกล้" หมายถึงเคยเกิดกับ "ท่านแม่ศรี" มาก่อน ส่วน "ลูกไกล" จะเป็นอย่างไร จะลงให้อ่านในตอนต่อๆ ไป

ก่อนอื่นขอสรุปหลวงพ่อว่า ท่านเคยเดินทางมาที่ "เขื่อนยันฮี" ทั้งหมด ๓ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๖

ครั้งนั้น ท่านมาสร้างพระพุทธรูปขนาด หน้าตัก ๒๔ นิ้ว ๑ องค์ ให้แก่ผู้ที่เคยทำศึกสงครามกันมาในอดีต นับตั้งแต่สมัย "พระเจ้าพรหมมหาราช" บ้าง สมัย "พ่อขุนรามคำแหง" บ้าง ประมาณหมื่นคนเศษ นั่นเป็นการมาครั้งแรกของท่าน

ต่อมาก็เป็นการเดินทางมาครั้งที่ ๒ โดยล่องกลับมาจากลำพูนเมื่อ วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ กับ หลวงปู่ครูบาธรรมไชย และ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต

ครั้งนั้นผู้เขียนยังไม่ได้บวช จึงได้มีโอกาสมากับท่านด้วย ท่านได้พาไปล่องเรือในเวลากลางวัน ส่วนในตอนกลางคืนท่านก็ได้พาไปชม "พระพุทธฉาย" พร้อมทั้งเล่าประวัติความเป็นมาให้ฟังกันในค่ำคืนนั้น

ต่อมาหลังจากที่ผู้เขียนอุปสมบทแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ หลวงพ่อก็ได้มาอีกเป็นครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๓ แล้วท่านก็มิได้มา ณ สถานที่นี้อีก

จนกระทั่งมรณภาพไปในที่สุด ควรที่พวกเราจะภูมิใจในการที่จะมาย้อนรำลึกนึกถึงท่าน ที่ได้เคยมานั่งคุยกับลูกหลานในอดีต ณ สถานที่นี้.."


ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖


“...ที่ตรงยันฮีนี้ เป็นที่มีความสำคัญอยู่เยอะ พระพุทธเจ้าเคยเสด็จผ่านมาหลายพระองค์

๑. พระพุทธทีปังกร ๒. พระปทุมุตตระ ๓. พระกกุสันโธ ๔. พระโกนาคม ๕. พระพุทธกัสสป ๖. พระสมณโคดม

ท่านบอกว่า เขาลูกที่สามจากนี้ไปน่ะ เป็นแดนที่ประทับของพระพุทธเจ้า ที่ท่านเสด็จมาโปรด อีแถวนี้มันเจริญ..ไม่ใช่ป่า ตอนนั้นเป็นเมืองใหญ่..เจริญมากนะ

เวลาพอจะขึ้น “ปุริมทิสังราชา...” จะหัวเราะให้ได้เลย เพื่อนมิสเตอร์เหม่ (คุณเลิศลักษณ์ ศรีสิงหสงคราม) เขามา เป็นคนที่เคยฟาดฟันกันมานะ

เขามาชี้บอกว่า ไอ้ระยำนี่น่ะ ฟันหัวมันไม่ได้สักที มันหลบเก่ง แล้วมันใช้ผ้าโพกหัวหนาๆ ฟันทีไร ติดผ้าทุกที วันนี้มากันหมื่นกว่า

แต่ว่าเขาไม่ได้จองเวรนะ เลยไม่ได้พูดถึงเรื่องเวรกรรมกัน พอพูดเสร็จแล้ว ท่านท้าวมหาราชก็มากางบัญชีกัน บอกว่า

“พวกเราที่ต้องทำบุญอุทิศให้เขานี่น่ะ ตั้งแต่สมัย "พระเจ้าพรหมมหราช" แล้วก็สมัย "พระเจ้าขุนรามคำแหง" ไล่ฆ่าเขาแถวนี้ เขามากันหมื่นเศษ”

ถามเขาว่า “เวลาทำบุญที่วัด ทำไมไม่ไปทวงเอาที่โน่นล่ะ ?”

เขาบอกว่า “กฎของกรรมมันปิด ไปไม่ได้” ก็เลยถามเขาต่อไปว่า “คนที่มาอยู่ที่ยันฮีนี่ก็มาก พวกแกไม่ได้บุญบ้างเรอะ ?”

เขาบอกว่า “ไม่ได้.. ส่วนมากเขามาสนุกกันครับ ไม่ได้มาทำบุญ (นี่เป็นคำตอบจากพวกชั้นหัวหน้า ๆ สัก ๑๐๐ กว่า ที่ท้าวมหาราชท่านอนุญาตให้เข้ามานะ)

เขาก็แหง..อยู่อย่างนี้ คอยจะเอาอะไร จากคนอื่นมันก็ไม่ได้ เห็นพวกท่านมาวันนี้ แหม..ผมดีใจจังเลย”

ถามเขา “ว่ามาทวงหนี้เรอะ ?”

ตอบว่า “ไม่ทวงหรอกครับ เรื่องของสงคราม ไม่ทวงหรอก สงครามนี่ส่วนใหญ่ ไม่มีเจตนาฆ่าฟันกัน เป็นการทำตามหน้าที่เพื่อรักษาพื้นที่กันทั้งสองฝ่าย”

ทีนี้เลยถามว่า “พวกเรานี่..ใครเคยเกิดในสมัยสุโขทัยกันบ้าง ?”

สมเด็จฯ ท่านมาท่านก็ดุเอาเลยว่า “จะพูดอะไรกันล่ะ เรื่องสมัยน่ะ เรื่องบุญเรื่องบาป ควรจะพูดไม่พูดกันเลยควรจะพูดอย่างเดียวว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะพึงอยู่”


สมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร

"...แล้วท่านก็เล่าว่า ดินแดนแถวนี้ พวกเราเคยมาบำเพ็ญทานบารมีกันมาก ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพุทธทีปังกร โน่นแน่ะ..

เวลานั้นพวกเรากินแดนไปถึงอินเดีย แต่ตอนนั้นไม่ใช่ชาติไทยนะ ชาติอะไรก็ไม่รู้ ปลายสุดอยู่ที่ตาก

เป็นเมือง ๑๐ เมือง เป็นสัมพันธมิตรกันด้วยธรรมสามัคคี คือเขามาขอขึ้นด้วย ไม่ใช่เที่ยวไปไล่ตัดหัวเขานะ เห็นจะเป็นด้วยเขาอยากจะมาขอทองคำไปใช้กันนั่นแหละ

สมัยนั้น พวกเราบำเพ็ญกันหนักนะ ในด้าน "ทานบารมี" แต่ท่านตำหนิอยู่นิดหนึ่งว่า ที่ใครต่อใครทำบุญกันตอนนั้นน่ะ ที่ตั้งความปรารถนาที่จะไปนิพพานในชาตินั้นกันน่ะ.. ไม่มีเลย มีแต่ขอกันว่า..

“…ให้ได้พระนิพพานในชาติอนาคตกาลเถิด...” เหมือนกันหมด

นี่ไหมล่ะ..ถึงได้ถูกเตะโด่งมาจนถึงเวลานี้ ท่านบอกว่าถ้าปรารถนานิพพานในชาตินั้น มันก็จะได้นิพพานในชาตินั้นกันเยอะแล้ว นี่.. "สมเด็จพระพุทธทีปังกร" ท่านยืนยันเองนะ..!!"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/4/19 at 09:33 [ QUOTE ]


ตอนที่ 2

ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖

สมัยสมเด็จพระปทุมุตตระ


"...ต่อมาในสมัย 'สมเด็จพระปทุมุตตระ' พวกเราก็เกิดอีกทันพระพุทธเจ้าอีก สมัยนั้นก็ตั้งท่าแบบนั้นตามเคย มีคนปรารถนา “พุทธภูมิ” เป็นหัวโจก พอปรารถนาพวกเราก็เกาะหางตามกันมาเรื่อย เลยไม่ได้นิพพานกันสักที..!

ต่อมา สมัยพระกกุสันโธ, พระโกนาคม, พระพุทธกัสสป ก็เกิดทันกันมาทุกสมัย จนถึงสมัย 'พระสมณโคดม' นี่ส่วนใหญ่ก็ทำด้าน 'ทานบารมี' กัน

แล้วก็มาขอให้นิพพานในอนาคตกาลกันอีก ฉันก็โง่แบบนั้น แล้วก็ “พระราชาช้าง” (ท่านเจ้ากรมเสริม) ด้วย ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอก !

ทีนี้ก็ทูลถามท่านว่า ถ้าอย่างนั้นเวลานี้ หากทุกคนเขามีความตั้งใจไปนิพพานกัน จะมีหวังไหม ท่านก็หัวเราะ..บอกว่า

“เอ..ฉันก็พูดแล้วนะว่า ถ้าปรารถนาพระนิพพานตั้งแต่ชาติโน้นมันก็ได้ ชาตินี้ถ้าตั้งใจจริงๆ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ..ได้แน่..!

ขอให้เราตั้งใจจริง หวังจริงๆ เถอะ แล้วทำเพื่อตัด ไม่ใช่ทำเพื่อเกาะ จะไปสาวประวัติกันทำไม ว่าใครเป็นสุโขทัยใครเป็นลพบุรี

อานิสงส์ถวายเครื่องประดับ
...ถามท่านว่า ไอ้ ๑๐ เมืองนี้น่ะ มันมีดี อะไร.. ถึงได้มีทองมาก มันต้องมีดีซิ..ไม่งั้นทองมันมารวมกันไม่ได้หรอก ท่านบอกว่า...

“...ถอยหลังไปอีก ไปสืบสาวราวเรื่อง เอาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ที่ ๖ นี่..พวกเรามักจะทำบุญกันด้วยเครื่องประดับ คือถอดเครื่องประดับทั้งหมดออกถวายเป็นพุทธบูชา...”

ตอนนั้นเป็นพระราชากันบ้าง เป็นเศรษฐีกันบ้าง ใหญ่โตมาก เวลาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้ว มีสร้อย มีทองคำ มีเพชร อะไรต่ออะไร...ก็ถวายไปเป็นพุทธบูชา ปรารถนาพระนิพพานในอนาคตกาล

อาศัยบารมีอันนั้นแหละ เป็นเหตุให้เกิดทรัพย์สินมหาศาลขึ้นด้วยอำนาจบุญญาธิการ ทองซึ่งเป็นทรัพย์แผ่นดินมันจึงมารวมตัวกันมาก ได้แจกจ่ายกันเป็นการใหญ่ ไปขุดกัน เอาเองไม่รู้จักหมด

ไม่ตกนรกกันมา ๑,๐๐๐ ชาติแล้ว
...นี่ที่เราได้พบพระพุทธเจ้ามาหลายองค์ นี่ก็แสดงว่าเราไม่ได้ตกนรกกันมานานแล้ว แต่ว่าไม่ใช่ว่าพบพระพุทธเจ้าแล้วจะตกนรกไม่ได้นะ

บางทีก็เสด็จลงไปเยี่ยมเขาเหมือนกัน หนาวๆ หน่อยก็ย่องลงไปผิงไฟเสียที แต่ที่ไม่ตกนรกก็กว่า ๑,๐๐๐ ชาติแล้ว

พระพุทธเจ้าเสด็จ ๓ พระองค์
...วันนี้พระพุทธเจ้าเสด็จมา ๓ พระองค์ ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วงพวกนี้ทำใจให้สงบ 'พระอินทร์' ท่านก็บอกว่าควรสงเคราะห์ เราสงเคราะห์เขา เราเองก็คล่องขึ้น เพราะเมื่อเราสงเคราะห์เขา เขาก็จะสงเคราะห์เรา เราจะมีเทวดาเป็นพวกมาก

ที่ว่า ๓ องค์ตะกี้นี้ ก็มี พระพุทธทีปังกร, พระพุทธกัสสป, พระพุทธกกุสันโธ หลวงพ่อกกุสันโธไม่เคยมาเลยนะ ท่านชี้บอกว่า

ภูเขาลูกที่ ๓ เป็นแดนที่ประทับ ท่านทำให้เห็นภาพบ้านเมืองสวยงาม บ้านสูงปรี๊ด..อุดมสมบูรณ์ มีนักบุญมาก

ทูลถามท่านว่า ชมพูทวีปมีเขต ถึงไหน..?
ท่านตอบว่าแถวๆ นี้แหละ...”


เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๖
...ที่ถามว่าสมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า 'พระพุทธสิกขี' แต่ในพระไตรปิฎกบอกว่า พระพุทธสิกขีตรัสรู้ในกัปหลังๆ น่ะ ความจริงพระนามของพระพุทธเจ้าซ้ำกันก็มี ในพระไตรปิฎกที่ท่านกล่าวถึงไว้นะ กล่าวถึงแค่ ๕๐๐ องค์หลังนี่เท่านั้น

สมเด็จพระพุทธสิกขีนี่ องค์หนึ่งดำองค์หนึ่งขาว เมื่อกี่นี้ก็เสด็จมาด้วยกัน องค์หลังนี่ขาวสวย คือพระพุทธเจ้าท่านสวยตามสมัยเหมือนกัน สมัยไหนเขาชอบแบบไหน ท่านก็สวยที่สุดตามแบบนั้น 'รูปัปปมาณิกา' ใช่ไหม?

รูปัปปมาณิกามีรูปร่างสวย มีลักษณะ อาการ ๓๒ ครบถ้วน มีพยัญชนะเล็กๆ ๘๐ ครบถ้วน คนเห็นแล้วก็รู้สึกว่าสวย ถ้าคนชอบสวยเห็นแล้วจะติดใจในความสวย...”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน

-


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/4/19 at 10:27 [ QUOTE ]


ตอนที่ 3

ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี
เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙

สมัยพระพุทธกัสสป


บูชาพระฉาย (บนสันเขื่อน)
“...การที่เราไปบูชาพระเมื่อกี้นี้ ฉันกับ 'หลวงปู่ธรรมไชย' เดินกันคนละสาย หลวงปู่ท่านก็เข้าถ้ำไปบ้างตามเรื่องของท่าน ฉันอยู่แต่หน้าถ้ำ

ดินแดนแห่งนี้ ความจริงนี่ก็ทราบกันมาแล้ว แต่ทว่าเดี๋ยวเราเปิดกันคนละฉาก ปรากฏว่าหลวงปู่มุดหินมุดดิน.. ฉันก็เล่าเรื่องของฉัน..!

พอพวกเราเริ่มบูชาพระ รูปพระก็ปรากฏ ก็เพราะว่าในสมัยนั้นที่ตรงนี้เป็นเมืองๆ หนึ่งที่ "พระพุทธกัสสป" เสด็จเป็นประจำ ถือว่าเป็นเมืองลูกหลวง ท่านไม่จำกัดในนี้

อ้อ..แต่ท่านบอกไว้ตอนท้าย อย่าลืมนะว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย" จะตรัสตรงออกไปจากนี้ เลยจากดินแดนไทยปัจจุบันออกไป ๑๐ กิโลเมตร เป็นที่อุบัติในเขตพม่า สมัยโน้นพม่าไม่มีแล้ว มีแต่พะหมา.. ใช่ไหม.. คนละสมัย..!

พอเราดับไฟลงไปท่านก็ปรากฏ..ที่ปรากฏ ก็คือ "พระพุทธกัสสป" เป็นเจ้าของภาพ ภาพในสมัยนั้นที่ปรากฏขึ้นก็เพราะว่าท่านเสด็จมาเมืองนี้บ่อยๆ

แล้วก็ถ้าเราจะเทียบเอากับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือเมืองของพระเจ้าปเสนทิโกศล (เมืองสาวัตถี) และเหมือนเมืองของ พระเจ้าพิมพิสาร (เมืองราชคฤห์) เสด็จเป็นปกติ และเมืองนี้ก็เป็นเมืองอุปัฏฐาก

ที่เมื่อเช้าที่บอกว่า มีพระราชาองค์หนึ่งชื่อว่า "พระเจ้าปทุมหาราช" นั่นก็คือ "พระอินทร์" องค์ปัจจุบันนะ ท่านมาถึงเป็นองค์แรกแล้ว ท่านก็ถามว่า ไอ้เจ้าเมืองปาตลีบุตรมันมาด้วยรึ ?

ไอ้เราก็งง..ฉันงง..ตั้งแต่เชียงแสนปีก่อนโน้น ตอนนี้ถามว่าใคร บอกว่าก็มันมานั่งหลังแก.. ทำไมไม่จำ..!
หลังจากนั้นก็มีพระมาเยอะ แล้วก็มีพรหม มีเทวดาเยอะ

มีตอนหนึ่งที่พวกเราอุทิศส่วนกุศล ขอให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม แต่ความจริงวันนี้เจ้ากรรมนายเวรไม่มีมาเลย

มีแต่พวกเก่าๆ ที่เรามาคราวแรก แล้วก็สร้างพระให้เขา เขามาเป็นหมื่น แต่งตัวสวยแพรวพราวบอกว่าขอให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม

เขาบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรไม่มี..มีแต่พวก วันนี้มีแต่พวก..ไม่มีเจ้ากรรมนายเวร ใครเห็นใครได้ยิน ตกใจวิ่งหนีกันหมด แกร้องพร้อมกันหมดเลย


พระเจ้าปทุมมหาราช
...ทีนี้ท่านก็เล่าถึงประวัติเดิมว่า ภาพนี้จะปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร...ก็เพราะอาศัย 'พระเจ้าปทุมมหาราช' ท่านมีความเคารพในพระพุทธกัสสป

การเสด็จมาของพระพุทธกัสสปก็นานๆ ครั้ง แต่เสด็จประทับครั้งหนึ่งไม่น้อยกว่า ๑ เดือน บรรดาประชาชนทั้งหลายก็พากันมีความเคารพ เพราะว่าพระราชาบูชานี่ ประชาชนเขาก็เคารพด้วย

ทีนี้มีครั้งที่ ๓ ที่ท่านเสด็จมา คือปีหนึ่งมาครั้งเพราะนานวัน "พระเจ้าปทุมมหาราช" จึงได้ขอให้พระองค์ทรงแสดงอะไรซักอย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอนุสรณ์..เป็นที่ระลึก

ท่านจึงแสดงเป็นพระรูปฉายเข้าไว้ พร้อมไปด้วยพระอัครสาวก แล้วก็สาวกหลายท่านด้วยกัน แต่ว่านี่สมัยมันเลยมาแล้วนะ.. จึงเลือนไป

ถ้าสมัยก่อนโน้นก็ยังมีภาพคล้ายๆ พระฉาย เพียงแค่เดินผ่านมาก็จะเห็นเป็นรูปพระพุทธเจ้า คล้ายกับใครเขียน แต่นูนๆ ขึ้นมาหน่อยปรากฏชัด

แล้วนอกจากนั้นก็แสดง "รอยพระบาท" ไว้ด้วย แต่รอยพระบาทถูกหินทับไปหมดแล้ว เพราะว่าคนละสมัย ที่ท่านแสดงภาพพระไว้ที่ใกล้แม่น้ำ

ก็เป็นเพราะว่า เป็นความต้องการของพระเจ้าปทุมมหาราช ว่าในที่น้ำไหล..มีความเย็น เวลาว่างในตอนเย็นๆ หรือในตอนเช้าๆ ก็พากันมาไหว้ พระพุทธเจ้าเป็นที่ระลึก

เป็นอันว่า คนสมัยนั้นมีความเคารพมาก แล้วก็เป็นนักบุญมาก แล้วก็นักบุญสมัยนั้นก็มา เกิดในสมัยนี้ที่เดินมาเป็นแถวๆ นี่ละ แล้วยังมี มากกว่านี้นะ ที่ยังมาไม่ครบ

นี่..เรื่องฉันไม่มีมาก เพราะฉันไม่มุดภูเขาเข้าไป ไม่เหมือน หลวงปู่ธรรมไชย..” (เสียงหัวเราะ)


นักบุญสมัยนั้น..ที่ยังมาไม่ครบ
...ก่อนที่จะฟังเรื่องราวกันต่อไป ผู้เขียนขอขัดจังหวะตรงนี้สักนิด.. ตรงคำที่ว่า...

“นักบุญสมัยนั้นก็มาเกิดในสมัยนี้ ที่เดินมาเป็นแถวๆ นี่ละ.. แล้วยังมีมากกว่านี้นะ.. ที่ยังมาไม่ครบ..!”

ท่านผู้อ่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่า หลวงพ่อท่านเล่าเป็นปริศนาไว้ตั้ง ๔๐ กว่าปี เพราะตามธรรมดาท่านไปเล่าเรื่องอดีตไว้ที่ไหน ไม่ว่าที่ "ดอยตุง" หรือ "พระธาตุจอมกิตติ" เป็นต้น จะไม่มีคำพูดเช่นนี้

เพราะคำว่า “คนที่ยังมาไม่ครบ นั้น” ในสมัยปัจจุบันนี้ ผู้เขียนไม่นึกเลยว่า จะต้องกลับไปที่นั่นอีก ๒ ครั้ง ซึ่งรวมเป็น ๓ ครั้ง

ทั้งการไปครั้งแรกกับหลวงพ่อ และคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เพราะเป็นภาระที่หนักมากกับปริมาณของคน

เรามารับฟังเรื่องราวของท่านต่อไป หลังจากที่หลวงพ่อเล่ามาถึงตอนนี้แล้ว ท่านก็หันไป พูดกับหลวงปู่ธรรมไชย ซึ่งหลวงปู่ก็พนมมือแล้วได้แต่ยิ้ม แต่ท่านไม่ได้หัวเราะเต็มที่อย่างพวกเรา เพราะกำลังเคี้ยวหมากอยู่พอดี

ความจริงพวกเราที่กำลังนั่งแวดล้อมหลวงพ่อและหลวงปู่อยู่นั้น ก็อยากจะฟังหลวงปู่เล่าบ้าง แต่เมื่อหลวงพ่อเห็นหลวงปู่ยังฉันหมากอยู่ ท่านก็เล่าต่อไปว่า..


พระพุทธพยากรณ์
“..ทีนี้ท่านก็เดินตรวจ พระทุกองค์ท่านก็เดินตรวจ พวกเทวดากับพรหมก็อยู่ห่างออกไปอยู่ล้อมรอบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่เราสร้างพระให้ เขาอยู่ทางแถบน้ำไกลลิบแพรวพราว เหมือนกับเพชรต้องแสงดวงพระอาทิตย์..แพรวไปหมด!

แล้วตอนหลังสุดท่านก็พยากรณ์ ท่านเดินตรวจไปตรวจมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธกัสสป ท่านบอกว่า...

“คนที่มานี่ทั้งหมดให้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ตายไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดเสียส่วนหนึ่ง.. ชาตินี้นะ”

ท่านว่าอย่างนั้นนะ ว่าไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ๑ ส่วน เพราะว่าฉันเอาไป ๑ ส่วน ท่านว่าอย่างนั้น

“แล้วเหลืออีก ๒ ส่วน ให้แบ่งออก เป็น ๓ ส่วนเหมือนกัน ท่านบอกว่าเมื่อตายแล้ว ไปสวรรค์นะ ไม่ได้กลับเสีย ๑ ส่วน แล้วเหลือ ส่วนที่ ๒ ที่แบ่งนั้น ก็จะไปหมดในสมัยพระศรีอาริย์...”

เพราะอะไร.. เพราะพวกที่เหลืออยู่นี่นะ มีส่วนในการปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน นี่ก็ต้องเตะโด่งไปอีกนิดหนึ่ง ทำงานแก้ตัว..ใช่ไหม ใครดีใจไหม.. ดีใจเอามาคนละบาท บาท.. บิณฑบาตนะ

นี่...คนที่มองหน้านี่....ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด หรอก..คนใส่เสื้อดำ (ท่านพูดแล้วท่านก็หันไปที่ คุณหญิงสุวรรณาภา)

มีหลายคนนะ ๑ ใน ๓ นะ ในจำนวนที่มาอยู่นะ แต่ว่าท่านที่มาทั้งหมดนี่ ถ้าหากที่ว่าท่านพูดกำลังใจที่มีอยู่ในเวลานี้ แล้วท่านก็ขมวดท้ายเข้าไปอีกทีว่า...

คำว่า “มรรคผล” นี่..ไม่มีใครสามารถจะพยากรณ์ได้จริงจัง คนที่ว่าจะล้าหลัง..ไม่แน่ ถ้า รวบรวมกำลังใจเข้มข้น ก็ไปได้หมดเหมือนกัน"

นี่เราพูดกันถึงว่า “กำลังใจ” ที่เรากำลังทำกันอยู่เวลานั้น ที่นั่งอยู่เวลานั้น กำลังใจเราเข้มข้นขนาดไหน ท่านดูกำลังใจเฉพาะเวลา แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า...

“ถ้าหากว่าเขาเร่งรัดตัวเอง ใช้จังหวะเวลา ให้ถูก ใช้กำลังใจให้ถูก คือไม่เคร่ง เครียดเกินไป ไม่ย่อหย่อนเกินไป ทำใจสบาย จับ “สักกายทิฏฐิ” เป็นปกติ ทุกคนก็อาจจะไปหมดได้ในชาตินี้”

นี่..ท่านว่าอย่างนั้น ท่านพูดตามกำลังใจที่ประสบในเวลานั้น เอา..เรื่องของฉันจบแค่นี้ละ..! หลวงปู่ธรรมไชย มุดดินเข้าไปให้ท่านเล่าบ้าง

องค์นั้นล่อ “หมาก” เข้าไปพูดไม่ได้ “คนกิน หมาก” หรือว่า “หมากกินคน” อย่างนี้เขาเรียก “หมากกินคน” เอ้า..ยังเคี้ยวอยู่..เราก็คุยกันต่อไป

เป็นอันว่า สมัยนั้น..พวกเราที่มานั่ง ทั้งหมดนี้ก็เป็นคนสมัยนั้น คนสมัยนั้นเขา แต่งตัวสวย แล้วคนสมัยนั้นเขาร่ำรวยเพราะ อะไร..?

เพราะเขามี 'พุทธานุสสติ' เป็นปกติ 'ธัมมานุสสติ' 'สังฆานุสสติ' เป็นปกติ..เป็นเมืองนักบุญ แต่ทว่าเวลาจะทำบาปขึ้นมาก็ทำกันเต็มที่เหมือนกัน

เพราะอะไร.. ถ้าใครข่มเหงเมื่อไร เรารวมตัวกันไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย ถือดาบถือธนูจัดการกันหมด ปรากฏว่าเราถูกรุกรานหลายวาระ

แต่การรุกรานของข้าศึก เราก็ใช้วิธีปราบข้าศึกแบบปัจจุบัน ยันหน้า..ยันหลัง ใช้เป็นกำลังของกองโจรบ้าง ถ้าไม่สำเร็จเราก็ยกทัพใหญ่เข้าประชิด

แต่หักล้างข้าศึกได้ทุกคราว เพราะอาศัยที่เราเป็นนักบุญด้วย แล้วก็นักบาปด้วย ถึงไปนิพพานไม่ได้ นั่งป๋ออยู่นี่..ใช่ไหม เอาเข้าหรือเปล่า.. หลวงปู่นะ..?”


เมื่อหลวงปู่ได้ยินหลวงพ่อหันมาพูดกับท่านเช่นนั้น ก็ได้แต่นั่งอมยิ้มอีกเช่นเคย แสดงว่าหลวงปู่ยังไม่พร้อม หลวงพ่อจึงเล่าต่อไปอีกว่า

“...เสร็จแล้วก็หัวหน้านักบาปก็คือฉันล่ะนะ..เดี๋ยวเขาจะหาว่าดีเสียคนเดียว หัวหน้าใหญ่นักบาป ตอนนั้นหนัก..ถูกเขารุกรานหนัก..!

พระเจ้าพ่อแก่แล้วท่านเป็นนักบุญ ท่านบูชาพระทุกวัน ท่านบอกว่า...“เรื่องรบกันกูไม่เอาเว้ย..เอ็งเป็นพระราชาข้าเลิก..ข้าเป็นพ่อพระเจ้าแผ่นดินดีกว่า”

ท่านเป็นพ่อพระเจ้าแผ่นดิน ปล่อยให้ตัวระยำขึ้นมาพ่อตีพัง นี่พวกนี้ทั้งนั้น อย่านึกว่าแกดี ฉันเป็นหัวหน้าคนเดียว..แกด้วยนะ !”

ลักษณะการแต่งกาย
หลวงพ่อท่านเล่าพร้อมกับชี้หน้าพวกเราที่นั่งรับฟังอยู่ด้วย พร้อมกับอธิบายต่อไปว่า...

“เราก็ไม่อะไร..แต่งตัวเหมือนกัน เมื่อเวลาข้าศึกประชิดพระนคร ผู้หญิงผู้ชายแต่งตัวเหมือนกัน ตัดผมเหมือนกันหมด

แต่ในยามปกติ ผู้หญิงจะนุ่งผ้าถุงยาวขลิบหน้า ใส่เสื้อแขนกระ บอก พวกเราฉลาดในการสร้างผ้า โดยมากมี แพรกับไหม

ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เขาถือว่า "ผ้าแคว้นกาสี" เป็นผ้าที่มีเนื้อดีราคาแพงที่สุด ในสมัย "พระพุทธกัสสป" ผ้าของเราก็เป็นผ้าที่มีราคาแพงที่สุดเป็นที่นิยมของโลก

และนอกจากนั้น เราก็ฉลาดในการหาทองคำกันกับหาเงินใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนแห่งนี้มีทั้งทองทั้งเงิน เวลานี้น้ำทับไปเสียเยอะแล้ว

ใครอยากจะได้ทองและเงินไปวิดน้ำกันมา น้ำแห้งฉันจะชี้ให้ดู ใครอยากจะเป็นพ่อค้าเพชร ไว้ถามท่านธรรมไชย เมื่อกี้ท่านย่องไปดู..

องค์นี้ไม่มีเรื่องอะไร ไปไหนหาแต่เพชรแต่พลอย ถ้าจะให้ดีต้องเจ้ากรมสื่อสารทหาร (ท่านเจ้ากรมเสริม) ไปด้วย ก็จะเหมาะ..ไม่มาเสียด้วย..!”


หลวงพ่อเล่าจบก็ส่งไมโครโฟนไปให้หลวงปู่ธรรมไชยเล่าบ้าง พอหลวงปู่ขยับเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง พวกเราก็หัวเราะกันตึง... เพราะเป็นจังหวะที่หลวงปู่รับเรื่องมาจากหลวงพ่อพอดี

“...พวกแก้วแหวนเงินทอง.. เพชรพลอยนี่ บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายที่ติดตามองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้กราบนมัสการโดยศรัทธาอันแรงกล้า

ได้ถอดแหวน เพชร พลอย ทุกอย่าง..ทุกคน เอาบูชาพระพุทธ แล้วก็เอากองไว้สถานที่นั้น เป็นสักขีพยานพวกเราทั้งหลายที่ได้มานมัสการครั้งนี้”


หลวงปู่ท่านเล่าจบ ก็ได้ส่งไมค์กลับคืนมาให้หลวงพ่อ ท่านจึงได้ถามหลวงปู่ต่อไปว่า..

“อยู่ตรงไหน...เขาอยากจะได้..! ตอนนั้น ถอดหนัก..เพราะว่าที่ถอดหนัก..เอาตอนที่ขอให้ท่านฉายพระรูป แล้วก็แสดงรอยพระบาท

พอฉายพระรูป แสดงรอยพระบาท ภาพติดกับผนังแล้วนูนขึ้นมาคล้ายๆ กับคนปั้นพระครึ่งองค์.. ครึ่งตัว..ตั้งเอาไว้

รูปัปมาณิกา
...พอตอนกลางคืนมาบูชาก็มีรัศมีปรากฏ ตอนนี้แหละ..หมดตัวกันไปตามๆ กัน หมดตัว..ไม่ใช่ตัวหมดนะ บูชากันหนัก.. ทั้งนี้เพราะอะไร..?

เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระสาวก คำว่า “พระพุทธเจ้านี่..ไม่ใช่พระสาวก” ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้าย่อมมีพุทธปาฏิหาริย์มาก เวลา จะไปทางไหนทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ เราก็จะแลดูสวยงาม

ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าท่านสวยเป็น พิเศษอยู่แล้ว นางงามประจำประเทศ นางงามจักรวาล นางงามที่ไหนๆ จะไปวัดหนึ่งในร้อยของพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้

เพราะว่าพระองค์ มีอาการ ๓๒ บริสุทธิ์บริบูรณ์หมด..เพียบพร้อม และมีลักษณะอีก ๘๐ ที่เรียกกันว่า “อนุพยัญชนะอีก ๘๐ ส่วน”

คือเป็นส่วนย่อยของร่างกายสมบูรณ์บริบูรณ์หมด นี้ส่วนใดของพระพุทธเจ้าที่จะเห็นว่าไม่สวยนั้น... ไม่มี..ใช่ไหม..?

เมื่อมีความสวยสดงดงามอย่างนี้ เขาเรียก “รูปัปมาณิกา” พระพุทธเจ้ามีรูปร่างสวยเป็นกรณีพิเศษ เมื่อยังไม่พอก็ยังมีรัศมี ๖ ประการประกอบอีก

เวลาที่จะแสดงพระธรรมเทศนาที่ไหน ถ้าดูว่าคนมีกำลังใจต่ำ..ต่ำไปหน่อยหนึ่ง หรือว่ามีกำลังใจสูง พอจะกระตุ้นให้เป็นอรหันต์ได้ทันที พระองค์ก็จะทรงใช้ฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการประกอบด้วย คล้ายๆ พระอาทิตย์ทรงกลด

เมื่อพระองค์มีรูปร่างหน้าตาสวย มีผิว พรรณสวย เมื่อแสง ๖ ประการปรากฏขึ้น สะท้อนเข้ามายังพระวรกายก็จะสวยมากขึ้น ตัวก็สวย.. แสงก็สวย ตอนนี้แหละ...เป็นการสร้างศรัทธาแก่พุทธบริษัทให้เกิดศรัทธาเลื่อมใส

ฉะนั้น คนส่วนมากที่มานั่งจ๋ออยู่ที่นี้บ้าง ยังไม่มาบ้าง ตายไปแล้วบ้าง ไปอยู่ที่พรหมบ้าง อยู่เทวดาบ้าง พวกนี้พอใจในความเป็นพระพุทธเจ้า

นั่งไปนั่งมา.. บูชาไปบูชามา.. นึกว่า เอ..กู เป็นพระพุทธเจ้าก็ดีนี่หว่า.. สวยดีนี่.. เลยไปกันไม่ได้ ต้องมานั่งติดแหง๋แก๋อยู่นี่แหละ..!

เขาเรียกว่า “โรครักความเป็นพระพุทธเจ้า” แต่ก็ดี..โรครักความเป็นพระพุทธเจ้านี้ ก็เป็นปัจจัยให้พวกเราไม่ต้องลงอบายภูมิกันมากว่าพันชาติเศษแล้ว

นี้เราก็ขี้เกียจตกนรกกันมานานแล้วนะ ใครจะขยันชาตินี้ก็ตาม ใครไปบ้างล่ะ เดี๋ยวต้องถามท่านเจ้าเมืองปาตลีบุตร ท่านจะพาใครไปมั่ง...”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 6/7/19 at 06:26 [ QUOTE ]


ตอนที่ 4

ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี
เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙

คุณภาพของจิตเพียงนิดเดียว


“...เมื่อหลวงพ่อท่านพูดถึงเจ้าเมืองปาตลีบุตร ท่านก็หันหน้าไปทาง พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น พวกเราต่างก็ สนใจรับฟังเรื่องราวจากท่านต่อไปว่า...

“วันนี้เราไปนั่งกันประเดี๋ยวเดียว แต่ถือ ว่าเป็นคุณค่ามหาศาล การเจริญพระกรรมฐาน เราก็ต้องฝึกใจให้เข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ให้เข้าถึงความดี

การเจริญกรรมฐานเวลานั่งเป็นการฝึก เราจะใช้เวลามาก..เวลาน้อย..อันนี้ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณภาพของจิต ถ้าจิตเราสงบสงัดจากกิเลส คือวินาทีเดียว พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญ เคยตรัสกับพระสารีบุตรว่า

“สารีปุตตะ..สารีบุตร! บุคคลใดมีเมตตาจิตก็ดี หรือบุคคลใดทำให้จิตว่างจากกิเลส หรือจิตมีสมาธิชั่วขณะจิตเดียวต่อ ๑ วัน

(วันหนึ่งทำ ได้นิดเดียว อย่าว่า ๑ วินาที ก็รู้สึกว่าจะช้าไป ชั่วขณะจิตหนึ่งต่อ ๑ วัน แต่ทำได้อย่างนี้ทุกวัน) เรากล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นผู้มีจิตที่ไม่ว่างจากฌาน”

คำว่า “ไม่ว่างจากฌาน” เป็นปัจจัยให้ไปเกิดเป็นพรหมได้ ถ้าบุคคลใด ถ้าจิตมีฌาน วิปัสสนาญาณก็เกิด คือ “ปัญญา” เป็นปัจจัยให้เข้านิพพานได้ นี้เวลานิดเดียวเท่านี้ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ

เวลาเจริญพระกรรมฐาน ก็ขอทุกคนอย่าใช้ปริมาณของเวลาเป็นสำคัญ ขอให้ใช้ปริมาณคุณภาพของจิตเป็นสำคัญ จะนั่งหลับตา จะเดินอยู่

จะนั่งลืมตา ทำการงานอยู่ กำลังเขียนหนังสือ วางปากกาปั้บ..! จิตจับอารมณ์นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตสบายนิดหนึ่งชั่วขณะนั้นทีเดียวใช้ได้ เป็นอานิสงส์ใหญ่


หลวงพ่อชวนลา “พุทธภูมิ”
...ที่แนะนำเรื่องพระพุทธเจ้า ก็เพราะว่าพวกเรานี้ ติดอำนาจ 'พุทธานุสสติ' มาหลายแสนกัป ทำอย่างไรๆ ก็ตาม ถ้าเราทิ้ง 'พุทธานุสสติ' เมื่อไร พวกเราก็พลาดทางเมื่อนั้น

การที่พวกเรายึด 'พุทธานุสสติ' เป็นปัจจัย ฉะนั้นพวกเราจึงมีความ มุ่งมั่นกันในขณะนั้น คือหลายสมัยผ่านมา คืออยากเป็นพระพุทธเจ้า

ตัวนี้แหละสำคัญมาก ความอยากเป็นพระพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีต้องใช้ระยะยาว นี้เมื่อใช้การบำเพ็ญบารมีระยะยาว การสั่งสมบารมีก็มีมาก มาในชาติปัจจุบัน..พวกเราเห็นว่าการเป็นพระพุทธเจ้าลำบาก ต้องบำเพ็ญบารมีกันนานๆ

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้าในสมัย “ปรมัตถบารมี” นี่เราจะต้องประสบกับความทุกข์ยากอย่างหนัก ที่ชาวบ้านธรรมดาเขาไม่มีกัน

ถึงแม้ว่าจะมีเงิน จะมีทอง จะมีของใช้เพียบพร้อมอย่างใดก็ตาม แต่ว่าอันตรายทางใจมันจะมีมาก จะต้องใช้ “ขันติ” มาก ขันติบารมีต้องสูง เมตตาบารมีต้องสูง

ในเมื่อเราเห็นความยากลำบากมันจะเข้า มาถึงขนาดนี้แล้วต้องมาดูตัวนะ..ว่าเวลานี้ “ตุ่ม น้ำ” คือบุญ คือกำลังใจที่ขังบุญ เหมือนกับตุ่มที่ขังน้ำมันก็ใกล้จะเต็มปากเข้ามาแล้ว

แต่หากว่าจะต้องการเป็นพระพุทธเจ้า เราจะต้องใช้ตุ่มให้มันโตเข้าไปกว่านี้มาก เราต้องตวงกันเป็นชาติมันถึงจะเต็ม

ถ้าเราจะหันมาเป็น “พระสาวก” ไม่เอาแล้วแบบวิชาครู..ไม่เอา..! มาเป็นเสมียนเสียดีกว่า แล้วก็เห็นว่าน้ำในตุ่มนี่ ถ้าเราจะถ่ายลงตุ่มย่อม คือตุ่มพระสาวก..มันก็จะเต็ม ยังจะขาดอยู่บ้างก็เล็กน้อย

ฉะนั้น เราจึงกลับใจกันเสียใหม่ เราบำเพ็ญ “พระสาวก” กันดีกว่า ถ้าหากเราจะพูดกันโดยเวลา เราก็เสียเวลามามาก ถ้าเราตั้งใจเป็น “พุทธสาวก” มาเสียนานแล้ว เราก็ไปนานแล้วเหมือนกัน

และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเรานี่ที่เขาไปนิพพานกันนับไม่ถ้วน มันมากกว่าปริมาณที่มีอยู่โดยปัจจุบัน ที่เขาไปกันแล้ว..เขาขยันนะ แต่คนขี้เกียจอีกนานหน่อยนะ..!


ดินแดนดั้งเดิมของพวกเรา
...แต่ดินแดนแห่งนี้เป็นอะไร.. ภาคเหนือก็ดี ดินแดนจุดนี้ก็ดี เป็นดินแดนดั้งเดิมของพวกเรา ฉะนั้นเราจะเห็นว่าการเดินทางน่ะ เราจะมาสายเหนือกันมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาตมาคนเดียวสำคัญมาก เป็นจอมอันธพาลมาหลายชาติ ฮะ..ท่านเจ้าเมืองปาตลีบุตร..ด้วยกันนะ..พ่อคนนี้นั่งยิ้มๆ นะ..ไม่ค่อยพูด..พ่อฉะไม่เลือก..ไม่พูดหรอก.. เอาเป็นเอากัน..!

ตรงนี้ถ้าเราจะวัดเขตประเทศไทย ทาง แถวนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราเคยใช้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมีความสำคัญมากกว่าภาคเหนือ โดยมากก็ภาคเหนือเป็นแดนที่เราผูกพันกันมาก เพราะเป็นที่อยู่อาศัยกันมาเดิม

เป็นอันว่าพึงรู้ว่า พวกเรานี่..ไม่ได้ลงนรกกันมาคนละพันชาติเศษ แต่ว่าหลังจากการสร้างบาป เราก็ทำบุญกันอย่างหนัก ไม่ใช่ทำกันอย่างเบานะ..ทำอย่างหนัก..!

การถอดเครื่องประดับบูชาพระรัตนตรัย
...เรื่องการถอดเครื่องประดับบูชาพระรัตนตรัย เราทำกันมามาก การส่งเสริมพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เราก็ทำกันมามาก สร้างวัดวาอารามเราก็ทำกันมามาก การสงเคราะห์กับบุคคลผู้ตกทุกข์ได้ยาก เราก็ทำกันมามาก

ฉะนั้น เราจึงหลีกบาปกันได้ เพราะอาศัยการเจริญ 'สมถกรรมฐาน' และ 'วิปัสสนากรรมฐาน' ช่วย ถ้าหากว่าเราจะให้ 'ทาน' อย่างเดียว หรือว่า 'รักษาศีล' อย่างเดียว

อย่างนี้พระพุทธเจ้าถือว่ายังเป็น 'อนิยตบุคคล' เป็นบุคคลที่ไม่แน่นอน กำลังใจยังไม่มั่นคงนัก

ส่วนที่จะช่วยคุมกำลังใจไม่ให้ลงนรกไปได้ คือ 'สมถะ' และ 'วิปัสสนา' บุญบารมีทั้งหลายเหล่านี้ เราทำกันมานับเป็นอสงไขยกัป ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย

เมื่อเราทำกันมามาก ความดีก็มีมาก การสั่งสมตัวก็มีมาก ฉะนั้นการศรัทธาปสาธะ ความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธ ศาสนา พวกเราจึงมีความมั่นคง

ในเมื่อจิตมีความมั่นคงอยู่ในด้าน 'อนุสสติ' ตามที่กล่าวมานี้ การเป็นสัตว์นรกย่อมไม่มีสำหรับพวกเรา แต่ใครอย่าประมาทนะ ประมาทเมื่อไร...ลงเมื่อนั้น..!


พุทธพยากรณ์
...แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันนี้ก็ที่ได้รับพุทธพยากรณ์ว่า พวกที่มาทั้งหมดนี่แบ่งเป็น ๓ ส่วน ๑ ส่วนไปนิพพานได้..ในชาตินี้..!

เหลืออีก ๒ ส่วน แบ่งออกเป็น ๓ แล้วก็ ๑ ส่วนในส่วนนั้นตายเป็นเทวดา.. จะไปนิพพาน เหลือจากนั้นจะไปนิพพานในศาสนา 'พระศรีอาริย์' ท่านบอกว่านี่เป็นกำลังใจที่สร้างความดีทำบุญในขณะเมื่อกี้นี้..นั่งสมาธิกัน..!

การบรรลุมรรคผล
...แต่ทว่าบุคคล..คำว่า 'การบรรลุมรรคผล' จะไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้แน่นอนนัก ถ้าทุกคนทำจิตของตนให้ตรงต่อเรื่องของบุญกุศล พิจารณา 'สักกายทิฏฐิ' เป็นปกติ

ทำกำลังใจให้มั่นคง ไม่เกียจคร้านจนเกินไป ไม่ขยันจนเกินไป ทำใจให้เป็นปกติ คือเวลาที่ปฏิบัติภาวนา ไม่นึกอยากอย่างนั้น นึกอยากอย่างนี้ มุ่งหน้าอย่างเดียวเพื่อจิตบริสุทธิ์

อย่างนี้ท่านบอกว่า.. “ไปได้หมดทุกคนในชาตินี้..!”


...พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เล่าไว้เพียงแค่นี้ แต่ที่ไม่ได้นำมาลงก็เป็นเรื่อง 'พระเจ้าพรหมมหาราช' ซึ่งพวกเราก็ทราบเรื่องกันดีอยู่แล้ว

เพราะหลังจากท่านเล่าจบ พวกเราที่ยังมีหน้าที่การงานอยู่ ก็จำใจจำจรจากลาท่านด้วยความอาลัย เพราะความซาบซึ้งตรึงใจในบรรยากาศของค่ำคืนนั้น

ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านมานาน ๒๐ กว่าปี แต่ก็ยังมีความประทับใจตลอดมา ทุกอากัปกิริยาของหลวงพ่อและหลวงปู่ธรรมไชย

รวมทั้งผู้ที่นั่งรับฟังอยู่รอบข้างทั้งหลาย มีทั้งเสียงคุยเคล้าเสียงหัวเราะบ้างในบางครั้ง ผสมผสานกับเสียงจั๊กจั่นเรไรกรีดร้องในยามค่ำคืน

ยังปรากฏอยู่ในความทรงจำตลอดเวลา ซึ่งในปัจจุบันนี้บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ได้ละสังขารไปกันหลายท่านแล้ว

ถึงอย่างไรก็ตาม..ผู้เขียนก็ยังระลึกถึงความทรงจำในครั้งกระนั้น จึงได้มีโอกาสนำคณะศิษย์ของหลวงพ่อรุ่นหลัง ซึ่งมีคณะศิษย์รุ่นเก่าบางท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ ที่ได้เคยร่วมเดินทางไปกับหลวงพ่อด้วย

ต่างก็ช่วยกันนำไป ณ สถานที่นี้ เพื่อช่วยกันย้อนความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งได้เปิดเทปที่บันทึกเสียงไว้ ดังที่ได้นำมาลงให้อ่านกันนี้

เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ของค่ำคืนวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ จึงได้นำมาถ่ายทอดเพื่อเป็นการย้อนรำลึกถึง ความหลังกัน ดังที่หลวงพ่อท่านกล่าวไว้ว่า..

“คนสมัยนั้นมาเกิดในสมัยนี้ ยังมีมากกว่านี้..ที่ยังมาไม่ครบ..!”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/7/19 at 08:35 [ QUOTE ]


ตอนที่ 5

ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี
เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๓


“...โอ้โฮ..ทองแถวนี้มันแดงเถือก! แม่นํ้า นี่..ไม่เชื่อใครลองดำไปดูสิ เพราะเคยเป็นเมืองเก่านะ

เคยเป็นเมือง..ไม่ใช่หมายถึงจังหวัด..เป็นประเทศ เข้ามาเที่ยวก่อนเขาทำภาพพื้นให้ดู มันเป็นบริเวณเมืองนะ นี่ถือว่าเป็นเมืองโบราณ

และคนก็รู้สึกว่ามีสภาพเป็นคน..ไอ้จริยาคนเก่าๆ น่ะท่านดี ดีเพราะอะไร.. เพราะว่าไอ้คนเก่ามันมีระเบียบ คนเก่าเขามีระเบียบเขามีวินัย เป็นการรักษาประเพณี เพราะประเพณีเขาถือเป็นใหญ่

ฉะนั้นคนโบราณเขาจึงมีระเบียบประเพณีดี และก็อีกอย่างหนึ่ง..จริยาเขาดีมาก การแต่งตัวก็..ไอ้คนไทยเรานี่มันแต่งตัวเป็นผ้าพื้นปกติ

ปกติของคนไทย เอ๊ะ! คนไทยหรือเปล่าไม่รู้ แต่ไอ้ประเภทที่นุ่งผ้าถุงยาวใกล้ๆ ตาตุ่มนี่ และใส่เสื้อแขนกระบอก แขนยาวแขนสั้นนี่มันเรื่อยๆ มาแต่โบราณ เขาคงจะตามๆ กันมา

คืนนั้นมานอนอยู่ที่นี่ คืนแรก..อีตาอะไร ตาปาน..ที่อยู่กับคุณหญิง..ใช่ไม่ใช่..ชื่อ “ปาน” ที่อยู่จังหวัดสมุทรสาคร แกนอนอยู่ด้วยคืนเดียว

คืนหลังแกไม่นอนด้วยเลย แกนอนไม่หลับ ไอ้เราคุยกับเขานี่.. เสียงมันไม่ออกจากปาก ตานั่นมันได้ยิน คืนหลังเลยไม่นอนด้วยเลย

เริ่มนอนปั๊บ! มาล่ะ..ยามมาแล้ว..ยืน ๒ คน ถามมาทำไมล่ะ..เขาบอกว่าเขาใช้ให้ผมมาอยู่ยาม และต่อมาก็มีพระบ้าง มีพวกคนเก่าๆ เทวดาบ้าง พรหมบ้าง ก็มาชี้ชัดตามที่นํ้ามันท่วมแล้วบอกว่า

บริเวณนั้นมันเป็นเมืองที่มีความสวยสดงดงามมาก แล้วภาพเมืองก็เกิด ก็ดูคนเดินไปเดินมาความอุ่นหนาฝาคั่งของคนนะ

การเดินการเหินก็เต็มไปด้วยความสุภาพ คือรักษาจารีตประเพณีดี แล้วบ้านเมืองก็สวย คนก็แต่งตัวสวย อยู่ในความสงบ

แต่ความจริง คำว่าอยู่ในความสงบ ยังไม่มีใครเขามารบ ยังไม่ต้องรบกับเขานะ แต่ว่าเจ้าของบ้านเจ้าของเมืองก็ต้องซ้อมรบเป็นปกติ

ผัวกับเมีย เพื่อนกับเพื่อน พี่กับน้อง ทะเลาะกันอยู่เรื่อย เรียกว่าซ้อมรบใช่ไหม..เปี๊ยก! อย่างนี้เขาถือว่าซ้อมรบ เผื่อคนอื่นเขามารบ จะได้รู้ลีลาของการรบ

แล้วก็คุยกันไปคุยกันมา..ก็สมัยหลังถอยไปนาน มันถอยไปนาน แล้วพอเวลาเราไปเที่ยว เรือเจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่าก่อนที่จะทำเขื่อนรอบมันมีคูเมือง มันมีกำแพงเมืองเก่า อันนี้เราหลงไป ไม่ยักหลงแฮะ เราก็ไม่ได้ไป เขาบอกนะ

คำว่าอุปาทาน
...ทีแรกคิดว่าความเข้าใจที่เราเห็นนี่ มันเป็นอุปาทานหรือเปล่า คำว่าอุปาทานนี่..เราต้องวาดภาพขึ้น ต้องคิดไว้ก่อนว่า ไอ้นี่เป็นอย่างนั้น ไอ้โน่นเป็นอย่างนั้น ไอ้นี่เป็นอย่างนี้ แล้วก็เวลาทำสมาธิภาพนั้นมันเกิด นี่แหละ..อุปาทาน!

ถ้าภาพเกิดมาเราต้องตัดทิ้งไปก่อน เมื่อตัดทิ้งไปแล้วเราก็ทรงอารมณ์ใหม่ ขอดูตามความเป็นจริง คือว่าอารมณ์เดิมเป็นอุเบกขารมณ์

จริงๆ เฉยๆ จิตสบาย ไม่เกาะภาพนั่น ไม่เกาะซ้าย ไม่เกาะขวา..เสร็จขอดู ถ้าภาพนั้นมาอีก แสดงว่าของนั้นของจริง บางทีของจริงเขาก็มี

คำว่า “สงสัย” ใช่หรือไม่ใช่ๆ ส่งเดชนี่ไม่ได้ หรือว่าอันนี้ใช่ของจริงหรือว่าอุปาทาน แน่หนอ..ต้องเชื่อมั่นในอารมณ์เรา

ไม่ใช่อารมณ์เราพลอยเป๋ไปด้วย ต้องเชื่อมั่นอารมณ์ เราในการรู้ตามความเป็นจริงด้วย เพื่อความเป็นจริงขอดูใหม่

แต่ว่าก่อนจะขอดูใหม่จะต้องใช้กำลังใจตัดอารมณ์เสียก่อน มันใช้เวลาไม่มาก ถ้าตัดได้ ๑ นาที..ครึ่งนาที..ก็ใช้ได้แล้ว แล้วถามตรงพระพุทธเจ้าเลย แต่ว่าอย่าไปรู้เอง ถ้ารู้เอง..มันพลาด ถามตรงพระพุทธเจ้าเลย..ไม่พลาด

เอ๊ะ! วันนี้เรามาไม่ได้ถาม..ถนนขาดหรือเปล่า บอกขอให้มาสะดวก ท่านก็บอกมาสะดวก เราขอแค่นั้นนะ ถามว่ามีอะไร บอกไม่มีอะไร

การเดินทางสะดวก แต่เราไม่ได้บอกเดินทางไปไหน ถ้าถามว่าพักนี่ถือว่าสุดทางไหม..พักนี่ก็ถือว่าสุดทางล่ะ!

อ้อ..แล้วที่พวกเราไปสร้างพระ ๒๕ นิ้วน่ะ พวกไหนมาขอไม่รู้ พวกเก่าๆ เออ..ถ้าเขาขอได้แสดงว่ามีสิทธิ์ ถ้าหากกรรมหนักจริงๆ เขาไม่มีสิทธิ์ขอ

ถ้าหากเขาออกปากขอได้นี่ แสดงว่าโอกาสเขามาถึงแล้ว แล้วก็บางทีไอ้กฎของกรรมความดีของเขาน่ะ..น้อยไป.. เบาไป ถ้าขอได้ก็มีกำลังเพิ่ม


สมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป
...ถอยไปสมัยไหนดีล่ะ..ถ้าถอยไปสมัย “พระพุทธกัสสปทศพล” ท่านลงท้ายทศพล ถูกไหม "ทศพล" แปลว่าอะไร เอ้า..อาจารย์ใหญ่!

เออ..มีกำลัง ๑๐ อย่าง ญาณ ๑๐ อย่างเป็นกำลังพระพุทธเจ้า เป็นกำลังเฉพาะพระพุทธเจ้า พระสาวกไม่มีนะ เป็นญาณพิเศษเรียกว่า "ทะสะพะละญาณ"

สมัย "พระพุทธกัสสป" ตอนต้น เราก็ครองเมืองๆ หนึ่งในเขตด้านเชียงใหม่ แล้วก็หางแถวคงจะถึงนี่บ้าง แต่ว่าตอนปลาย..หลัง

เวลานั้นทรงมีพระชนมายุเป็นหมื่นปี หลังที่ทรงปรินิพพานไปแล้ว แล้วก็ศาสนากำลังห้อยท้าย อันนี้เราเป็นจักรพรรดิ เป็นจักรพรรดินี่ครองโลก

(เรื่องนี้หลวงพ่อเคยบอกชื่อว่า “พระเจ้าศรีทรงธรรม” ท่านจึงได้จารึกชื่อนี้ไว้ที่ฐานของพระประธานในวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร)

ความจริงเขาก็มีเมืองต่างๆ อยู่ เขาขอขึ้นด้วย ตำแหน่งจักรพรรดินี่ โอ๊ะ! ลำบากนะ ลำบากไหม ตำแหน่งจักรพรรดิน่ะ.. ใครว่าดี โถ.. เป็นนายก! เอ๊ะ..เป็นนายกดีแฮะ นี่เขา เป็น “รวย” ใช่ไหม..?


นักการเมืองสมัยนี้
...นักการเมืองนั่งยองๆ กินข้าวต้มอยู่ข้างถนน พอเข้าไปบริหารเรื่องการเมืองอยู่วันสองวัน ตึกเบ้อเร่อ..ราคาเป็นร้อยล้าน!

แต่นั่นก็บางคน มีคนหนึ่งถ้าพูดอย่างนี้ก็ผิด นั่นคือ "เจ้าคุณพหลฯ" ลาออกครั้งแรกมีเงิน ๒๗ บาท ฮึ! รวยมหาศาลเลย รวมถึงโบนัสเข้ามาอีก

อ้อ..แต่ครั้งหลังนี่แกรวยมากหน่อย เงินมันไม่พอใช้ เขาให้เบี้ยบำนาญพันบาท มีที่ที่กาญจนบุรีจะขายคนอื่นก็อายเขา เลยขายหลานสาว ราคาก็ไม่แพง มันแถมโกงเสียอีกครึ่งหนึ่ง ไอ้จะไปฟ้องไปร้องก็อายมัน

นี่แกเล่าให้ฟังเองนะ ไม่ใช่ผี..ตัวแกมา ตอนนั้นตอนเย็นๆ ตอนวันเสาร์ พวกขุนนางเก่าๆ ที่เกษียณไปแล้ว เขาจะมารวมกันที่กุฏิ "เจ้าคุณราชเมธี" วัดประยุรวงศ์ เราก็มีโอกาสเข้าไปคุยกับเขาด้วย ถามว่าเล่าความเป็นมาต่างๆ

แต่ความจริงรู้สึกว่าคนรุ่นนั้นเขาทำงานกันเพื่อชาติจริงๆ จะเห็นว่าเขาบริหารงานกันมานานๆ เขาไม่รวยกันมาก ใช่ไหม

แต่สมัยหลังนี่เผลอไม่ได้ เป็นไอ้ตี๋สองสามวัน เผลอแผล็บ..เดียวเป็นท่านรัฐมนตรีไปซะแล้ว แต่ว่าพอพ้นตำแหน่งมาแล้วเป็นมหาเศรษฐีฉิบ..แหม..!

นี่คนสมัยนั้นก็มีระเบียบ มีประเพณี มีศีลธรรม..มากเกินไปหรือไง? แต่ว่าทุกคนท่านก็เป็นสุข เป็นสุขเพราะอะไร..

เป็นสุขก็เพราะว่า ท่านไม่ได้โกงไม่ได้กินนะ ใครเขาว่าอะไร ท่านก็เฉย สบายๆ ใครเขาว่าเขาโกงเขากินที่ไหน แต่ว่าท่านพวกนี้ถ้าลองรวยนะ..ก็รวยดีเลย

อย่าง "เจ้าพระยารามราฆพ" เราไม่รู้ประวัติจริง ท่านโกงใครมาหรือเปล่าเราก็ไม่รู้ แต่ว่ารู้สึกว่ารัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชทานมากนะ นั่นพระยาโขน..เป็นพระราม แต่ว่า เจ้าพระยารามราฆพ นี่มียศเป็นพลเอกนะ

พอสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาขึ้นมา..รับมาเป็นผู้บริหาร จำได้ว่าปี ๒๔๗๖ เขาตั้งให้ "เจ้าพระยารามราฆพ" มอบหมายงานให้คือเป็น "จเรทหารบก" ใช่ไหม พลเอกเจ้าพระยารามราฆพ

พอมอบตำแหน่งจเรทหารบกให้ ปรากฏว่าเจ้าพระยารามราฆพขอไปเรียนต่อต่างประเทศ แหม..เจ้าพระยา..พลเอกจะไปเรียนต่อต่างประเทศนะ..ต้องคิด..หรือไง..เรียนการเมืองนะ

ท่านเล่นโขน "บ้านนรสิงห์" คือทำเนียบรัฐบาลปัจจุบันใช่ไหม นี่ขายเท่าไหร่..สิบล้าน หรือยี่สิบล้าน อ้อ..สิบสี่ล้าน สมัยนี้ถ้าต้องสร้างก็พันล้าน

คือสร้างจริงสักสามร้อยล้าน เก๋าเจี๊ยะสักอีกสองร้อยล้าน โกงสักอีกสองร้อยล้าน แต่ว่าสวยนะ ในนั้นเขาสวยจริงๆ สมัยก่อน แกสร้างถึงล้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เวลานั้นค่าของเงินเขาสูง


สมัยพระกกุสันโธ
...เอ้า! คุยอะไรบ้างล่ะ ใครมีอะไรถามบ้าง ถามเขาสิกินข้าวกับอะไร เออ..ความเป็นอยู่ของ คนสมัยนั้น เอ้า..ใครมานี่สักคนสิ ไอ้ต๋อมแต๋ม..ใครมา..ข้างหน้านี่? ท่านย่า..เดี๋ยวให้ท่านย่า ทำภาพที่ท่านเกิดสมัยนั้นสิ

ท่านย่าทำภาพสมัยนั้น ห่มผ้าตะแบงมาน ถือขวาน..ตีเขา! เออ..เห็นไหม..นั่นฉากหนึ่ง ก็แสดงว่าเราเกิดที่นี่เราต้องรบ อ๋อ..ท่านบอกไม่ใช่สมัย "พระพุทธกัสสป" สมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “กกุสันโธ” สมัยโน้น...

อ๋อ..ถอยหลังไปยาวนะ "กกุสันโธ" ต้นกัปนะ คำว่า “ต้นกัปนี่” ไม่ได้หมายความว่า “ต้นดิ่ง” เลยนะ คือว่ากัปนี้มีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “กกุสันโธ” ทรงอุบัติขึ้นเป็นองค์แรก

แต่ก่อนที่จะมีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “กกุสันโธ” นี่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “พระสมณโคดม” นี่เคยเป็นจักรพรรดิมาก่อน

โดยมากพวกจักรพรรดินี่ จะมาปูพื้นฐานพระศาสนาก่อน คนที่จะเป็นจักรพรรดิได้นี่ ต้องทรงคุณธรรมดีมาก แล้วก็ในเมื่อครองโลก จักรพรรดินี่ครองโลกโดยธรรม

เป็นการปูพื้นฐานให้คนเข้าใจเรื่องศีล เรื่องทาน เรื่องเมตตานี่ เป็นการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันใช่ไหม ปูพื้นฐานไว้ ท่านบอกว่าไกลนะ เกือบสองหมื่นปีแน่ะ ห่างกัน พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติขึ้น

นี่สมเด็จฯ ท่านบอกเลยนะ ว่าท่านเป็นจักรพรรดิตอนนั้นแล้วอยู่เกือบ ๒ หมื่นปี พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “กกุสันโธ” จึงได้ทรงอุบัติขึ้น

เมื่อสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า “กกุสันโธ” ทรงอุบัติขึ้น ท่านบอกว่าพวกเรานี่ ยังไม่ลงมาในตอนต้น ท่านบอกว่าพวกเรานี่ ลงมาในตอนท้ายที่ท่านใกล้จะนิพพานแล้ว

อายุของท่านเหลือเวลาอีกประมาณ ๒,๕๐๐ ปี ท่านจะนิพพานเราจึงลงมา แหม..ใช้เวลานิดหน่อยเองนะ ลงมาปลายแถวเลยเรานี่..ฮึ !

คนสมัยนั้นมีอายุ ๒ หมื่นปี พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนา ที่ท่านบอกเวลานี่น่ะอยู่ ๒ หมื่นปี ฉะนั้นเราลงมาได้เท่าไหร่ล่ะ ๑ ใน ๘ มั้ง! ทันท่านนะ

นี่ท่านทรงตรัสว่าไง..ก็ว่าตามนั้นนะ ทรงตรัสว่าที่ต้องลงมาทันก็เพราะว่าปรารถนาพุทธภูมิ เพราะพวกพุทธภูมินี่ ต้องลงมาให้ทันเพื่อรับพยากรณ์ คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ถ้ายังไม่ได้รับคำพยากรณ์ ยังไม่ถือว่าเข้าเขตพุทธภูมิจริง แล้วท่านก็ชี้ให้ดู

เอาล่ะๆ ท่านถามว่ามันไปไหนกันหมดล่ะ ทำไมถึงมาเท่านี้ ท่านถามว่ามันไม่ได้มาเกิดเท่านี้ มันไปไหนกันหมด พอท่านถามแล้ว ท่านก็ยิ้ม

บรรดา “ลิงเล็ก” ทั้งหลายมาเป็นแถวมากกว่านี้เยอะมากกว่าในปัจจุบันนี้เยอะ เพราะเวลานี้เขาไปนิพพานกันเกือบหมดแล้ว...


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 25/7/19 at 05:59 [ QUOTE ]


ตอนที่ 6

ประวัติในชาติอดีต ณ เขื่อนยันฮี (๒)
เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๓

“ลูกใกล้” และ “ลูกไกล” มีสามแสนคน


“...เอาล่ะๆ ท่านถามว่ามันไปไหนกันหมดล่ะ ทำไมถึงมาเท่านี้ ท่านถามว่ามันไม่ได้มาเกิดเท่านี้ มันไปไหนกันหมด พอท่านถามแล้ว ท่านก็ยิ้ม

บรรดา “ลิงเล็ก” ทั้งหลายมาเป็นแถวมากกว่านี้เยอะมากกว่าในปัจจุบันนี้เยอะ เพราะเวลานี้เขาไปนิพพานกันเกือบหมดแล้ว

ที่เหลืออยู่นี่..อ๋อ..ที่เหลืออยู่นี่ เรียกว่าไม่เฉพาะที่มานั่งนี่ ทั้งหมดจริงๆ ท่านพูดเหมือน แม่ศรี นะ ทั้ง “ลูกใกล้” และ “ลูกไกล” ประมาณสามแสน.. ยังค้างอยู่นะ แม่ศรีแกบอกว่าแสนเศษน่ะ ลูกแก..ลูกใกล้..!

“ลูกใกล้” เป็นยังไงรู้ไหม ลูกที่เคยผ่านท้องแกมาก่อน แล้วต่อมาจะเข้าท้องใครมาก็ตามถือว่า “ลูกใกล้”

ถ้า “ลูกไกล” หมายความว่าฉันเป็นพ่อแน่ แต่คนนั้นไม่เคยผ่านท้องแม่ศรี แสดงว่าแม่ศรี นี่มีความสามารถน้อยกว่าฉันใช่ไหม แกเรียก “ลูกไกล”

แต่ว่า “ลูกใกล้“ “ลูกไกล” ก็ตาม ถ้าแกยัง มีชีวิตอยู่นะ แกจะถือว่าเป็นลูกตัวเสมอ เขาเลี้ยงเด็กแบบการเมืองในตัวเสร็จ คือว่าจะเป็นลูกใครก็ตาม

ถ้าเป็นภรรยาร่วมสามี เขาจะถือว่าเป็นลูกเขา และให้อะไรก็ต้องให้เหมือนกัน ลูกเมียหลวงได้อย่างนี้ ลูกเมียน้อยได้อย่างนี้ อันนี้เขาก็ตีกัน นี่เป็นสภาพตีกัน ท่านบอกเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง

ท่านบอกลงมาตอนท้ายสมัยพระพุทธศาสนาของท่าน ท่านเหลืออายุอีกประมาณ ๒,๕๐๐ ปี..โดยประมาณ ท่านใช้ศัพท์ว่าโดยประมาณนะ

ท่านบอกว่าถึงแม้ว่าโดยประมาณ แต่ก็ใกล้เคียงมาก ถ้าว่าเต็ม ๕๐๐ ปีเป๊ง! ทุกวินาทีนี่...ไม่ได้ แต่ว่าเข้าเขต ๒,๕๐๐ ปีจริงๆ ท่านจึงนิพพาน แล้วพวกเราก็มาในตอนนั้น


หลวงพ่อปรารถนาพุทธภูมิ
...แหม..ตอนนั้นก็ต้องถือว่ายังเป็นเด็ก อายุ ๒,๕๐๐ ปี..ยังเป็นเด็ก แปดหมื่นปีนี่ ต้องเป็นเด็กจริงๆ เสียสองหมื่นปี น่ากลัวจะอยู่ในท้องกี่ปีก็ไม่รู้ ดันเสือกอยู่ในท้องสักสองหมื่นปีนี่ แม่อดแย่!

อ๋อ..ไม่หรอก ท่านบอก “ทะสะ สัตตะเยนะ” คืออยู่ในท้องแม่สิบเดือนเหมือนกัน มันยังเป็นไข่อยู่ตั้งสองหมื่นปีนี่แย่เลยนะ ไม่ต้องทำมาหากินนะ

แต่ว่า 'ทศมาส' (บาลีว่า ทะสะมาสะ) 'ทะสะ' แปลว่าสิบ 'มาสะ' แปลว่า เดือน 'มาสะ' แปล ว่ากาลฝน กาลฝนเขาถือว่าเป็นเดือน สิบเดือนเหมือนกัน

สิบเดือนมันก็คลอด คลอดมาแล้ว เด็กทำอะไรบ้าง ทำไมจึงได้มาปรารถนาพุทธภูมิ ทำไมจึงรับพุทธพยากรณ์ การที่จะรับพุทธพยากรณ์ได้...

อ๋อ..ฮึ! ใหญ่โตเหมือนกันน่ะ ท่านบอก เพราะพ่อเป็นกษัตริย์ พ่อเป็นพุทธมามกะ ทั้งพ่อทั้งแม่ ทั้งพี่ทั้งน้องทุกคน เป็นกรุ๊ปใหญ่นี่เป็นกษัตริย์ และก็เป็นคนที่มีศรัทธา

พระพุทธเจ้ามา..พระสงฆ์มา เขาไม่ขาดในด้านศรัทธา เป็นนักบุญ เพราะอาศัยพ่อแม่หรือสิ่งแวดล้อม คือคนใกล้เคียง เขามีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ท่านบอกเรื่องนี้ก็ไม่ยากในการที่ได้รับพุทธพยากรณ์

เพราะต่อมาเมื่อไม่โตมาก เมื่อเป็นเด็กน้อยๆ ขนาดที่วิ่งไปวิ่งมา..ไว้จุกนี่ เอ๊ะ! ปิ่นอยู่ที่ไหนหว่า..ชักห่วงปิ่นนี่แล้ว

แล้วอะไรล่ะวงๆ เขาเรียกอะไร หา..(มีผู้ตอบว่ารัดเกล้า) รัดเกล้า! และใครว่าอะไรอีกล่ะ (มีคนตอบว่าเกี้ยว) อ๋อ.. เกี้ยว! เกี้ยว..ต้องผู้หญิงผู้ชายคุยกัน

ครอบแล้วก็เอาปิ่นแทงใช่ไหม ไอ้สองอย่าง นี่ตอนนี้น่ากลัวหลายสตางค์เหมือนกันนะ เห็นเพชรมันแพรว แล้วก็กำลังมีจุก ผู้หญิงผู้ชายเขาไว้จุก พ่อให้ไปกราบ

พ่อบอกว่าวันนี้พระพุทธเจ้าทรงเสด็จ ว่าเจ้าจงไปไหว้พระพุทธเจ้า นมัสการพระพุทธเจ้า แล้วไปฟังเทศน์ อาศัยที่ท่านทำภาพให้ดูนะ

อาศัยที่จิตเป็นพุทธภูมิมาก่อน พอมีความรู้สึกว่าพระพุทธเจ้า พอฟังคำว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้น กินข้าวอยู่เลยอิ่ม ปลื้มใจ..

ลุกขึ้นอาบนํ้าแล้วก็แต่งตัวหาดอกไม้ธูปเทียน ท่านพ่อ ท่านแม่บอกกินข้าวให้อิ่มเสียก่อน เลยบอก ไม่กินล่ะ เวลานี้มันอิ่มแล้ว

แล้วพอตอนไปถึงก็ไปกราบที่พระบาทมูล คือเท้าของพระพุทธเจ้า..ถวายดอกไม้ ตามปกติเขาไม่ถวายดอกไม้ เขาเอาดอกไม้ไปบูชา

นี่ถือว่าเป็นเด็กทำตามประสาเด็ก เพราะความเลื่อมใส เห็นพระพุทธเจ้าก็เกิดปีติมาก..ทนไม่ไหว เข้าไปกราบที่พระบาทของพระองค์แล้วก็ถวายดอกไม้

เวลานั้นพระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี คือรัศมี ๖ ประการ เออ..สีที่เปล่งมาเป็นแสงสว่างก่อน เห็นพระองค์แต่เห็นเหมือนกับแสงสว่างธรรมดาๆ

แล้วก็ต่อมาจึงมีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาเป็นเส้นใหญ่ เหมือนกับพระอาทิตย์ทรงกลด พุ่งตรงมารอบๆ ตัว

ตอนนี้ก็เกิดความเลื่อมใสมาก จิตอยากจะเป็นพระพุทธเจ้า เห็นว่าพระพุทธเจ้าสวยแบบนี้ เราก็ควรจะเป็นพระพุทธเจ้า อยากเป็นพระพุทธเจ้าด้วย จึงได้กราบทูลถามว่า

“ถ้าข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ไหม..ถ้าอยากเป็นอย่างนี้..จะเป็นได้ไหม?”

ท่านบอกว่าได้ ได้ก็ขอประทานพร ขอให้ช่วยให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า พูดแบบตามประสาเด็ก ท่านก็ทรงพยากรณ์ว่า

“ถ้าการปรารถนาพุทธภูมิของเธอ ถ้าไม่มีอะไรเป็นอุปสรรค ก็จะเป็นพระพุทธเจ้าจริง”

แล้วก็บอกชื่อบอกเสียงนะ นี่เป็นพุทธพยากรณ์ ถ้าทรงพยากรณ์แบบนี้ เดี๋ยวก่อน..ท่านว่ายังไงนะ ท่านพูดไม่ค่อยชัด อ๋อ..ท่านเรียกว่า..

“ปิยะ ปุตตะ..! (เรียกว่า “บุตรที่รัก”) เจ้าจงเข้ามานี่”

แล้วก็ทรงรับดอกไม้ แล้วก็เอามือลูบหัว แล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ เปล่งพระวาจาว่า...

“การปรารถนาพุทธภูมิของเจ้าย่อมมีผล”

ท่านทิ้งไว้เท่านี้นะ ท่านบอกว่าการปรารถนาพุทธภูมิของเจ้าย่อมมีผล ความจริงถ้าปรารถนานี่ ท่านจะต้องบอก..เจ้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่านั้นนะ สมัยกัปโน้นนะ และไปอีกกี่กัป มีพระนามว่าอย่างไร

เมื่อกี้นี้ท่านบอกว่าฉันไม่ได้บอก ฉันบอกว่าการปรารถนาพุทธภูมิของเจ้าย่อมมีผลเท่านี้ ธรรมปีติมันก็เกิด ยังไง..ต้องทำใช่ไหม จะว่าไปเราก็ใหญ่โตเหมือนกัน


อาณาเขตเมืองเดิม
...ไอ้เมืองมันตั้งอยู่ตรงไหนหนอ เดี๋ยว...ไอ้ปราสาทปราเสิทมันตั้งอยู่ตรงไหน..ไอ้นก..! ปราสาทตั้งตรงไหน ท่านบอกว่าอาณาจักรมันไม่โต ทิศเหนือจากจุดนี้ไประยะไกล ๑๗ โยชน์

ท่านบอก “โยชน์” ปกตินะ เราก็นึกว่า “โยชน์” สมัยโน้นกับสมัยนี้เหมือนกันไหม ท่านก็เลยบอก “โยชน์” ปกติ ปกติหมายถึง ๔๐๐ เส้น

เออ..ทิศใต้ลงไปจากนี้ ๓๐ โยชน์ เอ๊ะ! ไม่ขนานกันนะ ทิศตะวันออกเราขยายอาณาจักรไปพันโยชน์ ทิศตะวันตกขยายไปเจ็ดร้อยโยชน์ เพราะแคบ

หือ..ท่านบอกขยายออกไปไม่ได้ ถ้าขยายไปก็ต้องไปตีเมืองอาเมืองน้า ใช่..ใช่.. ไม่ต้องขยายนะ..ไปติดกันพอดี

ท่านบอกขยายเหนือขยายใต้นี่ไม่ได้ เพราะต้องไปตีเมืองอาเมืองน้า..นี่ขยายไม่ได้ เป็นอันว่าเมืองไม่ต้องขยาย นี่เราพูดถึงสภาวะมันจริงๆ มาจุดนี้ก็ต้องคุยจุดนี้

จุดนี้ถือว่าเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง ทีนี้ไอ้การที่เมืองเดิมจริงๆ ท่านบอกว่า ถ้าเมืองเดิมจริงๆ มันตั้งอยู่ที่นี่จริงๆ ตอนตะวันออกนะ มันไม่เลยกำแพงเพชร ไปทางนี้ล่ะ มันเป็นเขตเดิม

ไอ้พื้นนํ้านี่มันเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เดี๋ยวก็เป็นนํ้าท่วม เดี๋ยวก็เป็นแผ่นดินอย่างนี้นะ มันไม่สมํ่าเสมอกัน เราจะเห็นว่าอย่างลพบุรีก็ดี อย่างสระบุรีนี่สมัยพระพุทธเจ้าเราเอง สระบุรีนี่อยู่ติดทะเล เวลานี้พื้นที่งอกไปตั้งเยอะ

ท่านบอกว่ามันก็เปลี่ยนแปลงแบบนี้ เมื่อก่อนผืนแผ่นดินมันก็ยาวไปจนกระทั่งไปติดมหาสมุทรด้านโน้น ท่านบอกว่าด้านโน้น..ไกลออกไป

เป็นอันว่า ถ้าทิศเหนืออาณาจักรเดิมก็ไม่เกินลำปาง ทิศใต้..ท่านใช้ศัพท์ว่าไม่เกิน อาจจะไม่เกินก็ได้..ก็ไม่เกินกาญจนบุรี ทิศตะวันตก

โอโฮ้! เราเจี๊ยะเลยเขตพม่าไปเยอะนะ มันก็ไม่เกินเขตของ 'ยะขิ่น' รู้จักไหม..? ยะขิ่น ตั้งอยู่ไหน..?

ท่านเรียกว่า “ยะขิ่น” รัฐไทย เดิมเวลานี้ เวลานี้เราต้องเรียกว่า “รัฐไทยเดิม” เพราะ “อุนุ” เป็นชาวไทย ชาวไทยเดิมถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่นั่น “ยะขิ่น” ใช่ไหม..ไม่ไกล!


การทำศึกสงคราม
...เมื่อกี้ ท่านย่า ท่านมาทำให้ดูท่านก็ถือ ขวาน ไอ้ตอนถือขวานนี่ความจริงเราไม่ได้ไป ตี..เขามาตี จะหาว่าเราไปรุกรานเขาไม่ถูก เพราะเขามาตีเราต่างหาก

ในเมื่อเขามาตีเรา เราก็ต้องรับ กำลังของเรามีเท่าไหร่ อ๋อ..กองทัพของเขามหาศาลเลยนะ แต่ไม่เยอะหรอก!

ท่านทำภาพให้ดูว่าเขาตีตะวันออกก่อน ตะวันออกหวดกันหนักหน่อยนะ ตะวันออกเขาแต่งตัวสวยนะ กองทัพของเขานี่ คือว่าพวกเรานี่รู้สึกว่าจะไม่ค่อยทันเขา

เรื่องวัฒนธรรมต่างๆ นี่ของเราไม่ค่อยทันเขามั้ง เพราะเขา เป็นมหาประเทศ แต่ว่ามันก็ไม่แปลก ในเมื่อเขามาตีเรา เราก็ต้องตีเขา..นั่นมันของธรรมดา

ท่านว่าไง อ๋อ..วิธีเตรียมทัพ ประเดี๋ยว..ให้ “ไอ้นก” มันเต้นนะ เมื่อนั้น..ทศพักตร์.. ถ้าเขาพากย์อย่างนั้น แกต้องนั่งเลยนะ..

ทศพักนี่เวลาข้าศึกมาตีทัพเข้ามา เมืองหน้าด่านแจ้ง แจ้งกว่าเมืองหลวงจะรู้..เขาก็ตีด่านพังไปแล้ว กองทัพเมืองหลวงก็ต้องกวาดต้อน ทั้งผู้หญิงผู้ชายออกรบ คือว่า “สู้” กันประเภท “สู้ตาย” หรือว่า “สู้ไม่ตาย” สู้เพื่อไม่ตายนะ

แต่ว่ากองทัพของเขา เขามาจริงๆ เป็น ๓ ประเทศนะ เขามีอำนาจมาก เขาเป็น ๓ ประเทศ เขามีเมืองขึ้นด้วย เขามีปีกซ้ายปีกขวา เข้าไปตีเมืองน้าด้วย

มันก็เป็น ๓ ประเทศต่อ ๓ ประเทศรบกัน เอ้า..ใครดูภาพก็ตามใจ ไอ้คนนั้นนั่งก้มหน้า..เห็นอะไรบ้างไหม..เห็นขี้กี่กอง?


บารมีแห่งพระโพธิสัตว์
...ดูยุทธวิธี “เก่งการรบ” คือหมายความว่ารบเราไม่แพ้แน่ ทำไมจึงไม่แพ้ ถ้าแพ้จะได้ที่ยังไง เดี๋ยวถามท่านดูสิ! ท่านบอกว่า... “ พุทโธ อัปปมาโณ..คุณของพระพุทธเจ้าย่อมหาประมาณไม่ได้”

ฉะนั้น คนที่ปรารถนาพุทธภูมิ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ การรบครั้งใดพระโพธิสัตว์แพ้ย่อมไม่มี ใช่ไหม..นี่อาศัยบุญที่สั่งสมเข้ามาๆ แล้วคนส่วนใหญ่เขาก็สั่งสมโดยบุญ

จะถือว่าหนังเหนียวไหม หนังเหนียวก็ต้องคนแก่ ก็ถือว่าต้องมีความเข้มข้น ความจริงอาวุธที่จะรบก็ทันๆ กัน แต่ว่าที่ 'ท่านย่า' ท่านถือขวาน ท่านมีกำลังมาก ท่านชำนาญในขวาน..เสร็จ! “ท่านเจ้ากรม”.. ใช่ไหม?

ท่านย่าเก่งเรื่องขวาน
ไอ้เรื่องขวานนี่..เคยเจอะ..'ท่านทองดี' ที่นครราชสีมา โรงเรียนการบินเก่า นี่ท่านเป็นพระยาอะไร..จำไม่ได้เสียแล้ว

ท่านบอกท่านเคยเป็นพี่ นี่ท่านเก่งขวาน ถามว่าไอ้ขวานนี่ มันจะสู้ดาบเขาได้หรือ ท่านบอกไม่ยาก ตีด้วย ขวานดาบหลุดหมด

ยุทธวิธีตอนนั้นการแพ้การชนะกันจริงๆ ก็ด้วย “ปัญญา” อาศัยปัญญาในการรบ ก็ถือว่าเป็นการรบใหญ่ครั้งแรก ที่ไม่เคยมีประสบการณ์มา

ในเมื่อด่านหน้าแตก เมืองหลวงก็ต้องรบ แต่ว่าการรบนี่ถ้าหากใช้กำลังกันโดยเฉพาะ ก็แพ้ข้าศึกอย่างไม่เป็นท่าก็ต้องใช้กลลวง โดยมากกลยุทธนี่ เราใช้อยู่ตลอดเวลา จนกว่ากษัตริย์ของข้าศึกจะถูกจับ

เมื่อกษัตริย์ของข้าศึกถูกจับ นายทหารผู้ใหญ่ก็อยู่ในวงล้อมออกไม่ได้ ถ้าขยับทหารธนูก็ยิง เขาจำต้องยอมแพ้ อ๋อ..มีช้างมีม้าเยอะแยะ เขาจำต้องยอมแพ้ ยอมแพ้ก็ต้องเป็นเมืองขึ้น

ทีนี้ในเมื่อเขาแพ้ทั้ง ๓ ประเทศแล้ว ไอ้ประเทศใหญ่ที่มีอีกเขาก็รุมเจี๊ยะ เขาไม่ยอมให้เราตั้งตัว เราได้เมืองนั้นจริง

แต่อย่าลืมว่าทหารเมืองนั้น คนทั้งเมืองมันก็ยังไม่แน่นักว่า เขาจะยอมขึ้นทั้งหมด ไอ้เรื่องสงครามมันก็ ต้องติดพันกันไป ๓๔ ปี รบไม่ต้องหยุดเลย ยังน้อยกว่าญวนนะ

ไอ้คำว่าติดพันจริงๆ มันหมายความว่า รบบ้างหยุดบ้าง เขามาตีเราก็สู้ แต่เมืองอื่นมาตี เราก็สู้ มันก็ต้องการให้เพลีย

แต่ว่ากำลังเมื่อยึดเมืองไหนได้แล้วก็เอาคนเมืองนั้นเป็นทหาร เป็นภาระใหญ่ในการชนะจิตใจคนเขาด้วย..ท่านปู่..!

ท่านปู่ท่านย่ายิ้ม แต่ยิ้มกันละอย่าง ท่านย่าบอก..ฉันยิ้มนำทัพ พ่อเขายิ้มแจก ท่านปู่ความจริงท่านก็เป็นนักรบมาก่อน แต่ว่าท่านเก่งน่ะ! ลีลาท่านเก่ง เราจะเห็นได้ว่าประวัติในตอนที่เป็น “มฆมาณพ”

อ๋อ..ไม่ใช่ท่าน 'มฆมาณพ' นี่พระพุทธเจ้า ความเป็นมาของ 'พระอินทร์' ต้องมี “วัตรบท ๗”

"มาตาเปติภะรัง ชันตุง กุเลเชฏฐาปะจายินัง" วาจาอ่อนหวาน มีความเคารพในบุคคลผู้ใหญ่กว่า เลี้ยงบิดามารดาให้เป็นสุข ระงับความ โกรธ มีการให้ทาน แล้วก็สลัดความตระหนี่

การสลัดความ “ตระหนี่” กับตัวให้ “ทาน” มันน่าจะเป็นตัวเดียวกัน แต่ท่านแยกก็คือไม่มีความตระหนี่ แต่บางทีก็ไม่ให้ทาน เขาไม่หวง

แต่ว่าไม่ขอเขาก็ไม่ให้ เขาถือว่าไม่ตระหนี่เหมือนกัน นี้การไม่ตระหนี่ท่านก็ให้ด้วย นี่การชนะใจคนก็เป็นเรื่องของท่าน ท่านก็ใช้แจกทานสงเคราะห์ ไม่ถือว่าเป็นทาน ถือเป็นการให้ เพราะเป็นคนของเราเอง

การทำอย่างนั้นจะทำกับคนทุกคนน่ะไม่ได้ แต่ทำกับคนส่วนใหญ่ จุดใหญ่ๆ การทำจุดใหญ่ๆ นี่ก็เป็นเหตุให้คนพวกนั้นก็โฆษณาไป

ว่าการแพ้สงครามนี่ ไม่ได้มีผลร้ายกลายเป็นผลดี ในเขตของเราแทนที่จะมีความยากจนเข็ญใจ ผู้ชนะสงครามจะเอาเปรียบกับเรา แต่เปล่า..กลับ เป็นผู้ให้ ทำให้พวกเรามีความสุข

นี่จึงได้กำลังในประเทศนั้นจริงๆ เป็นกำลังจริง ไม่ใช่ว่าเราได้แล้วเอาเขาไปรบ เขาพร้อมคิดจะต่อต้านอยู่เสมอ ไม่ใช่อย่างนั้น นี่หากว่าเราแพ้จริงๆ เขาก็แพ้ด้วย ถ้าหากว่าเขาต้องไปเป็นทาสชาตินั้นน่ะ เขาจะอยู่กับเราไหม

อันนี้เขาก็เห็นใจ นี่อาศัยผลอันนี้ล่ะ เราจึงขยายอาณาเขตไปกว้าง ถือว่าขยายอาณาเขตยาว..กว้างไม่ได้ เดี๋ยว “ท่านอา” เตะเอา กว้างขวา “ท่านอา” เตะเอา กว้างซ้าย “ท่านน้า” เตะเอา..เสร็จ! ต้องยาวไปยาวมา

ทีนี้ท่านสรุปตอนไหน ท่านสรุปว่าถึงแม้ว่า จะมีการรบติดพันกันอยู่เสมอ คำว่าใช้ระยะเวลาถึง ๓๔ ปี มันไม่ได้รบทุกวัน มันมีการหยุด มีชนะสงคราม แล้วก็มีการพัก

ไอ้เมืองอื่นกว่าจะคิดเป็นศัตรูก็ต้องใช้เวลาบ้าง บางทีก็ตีแบบโจรบ้าง..หวังเผลอ มันก็หาทางอย่าง “วัสสการพราหมณ์” ยุแยกให้แตกกัน แต่ผลมันไม่สำเร็จ (วัสสการพราหมณ์ เป็นพราหมณ์ในสมัยพุทธกาล)

สมเด็จฯ ท่านก็บอกว่าในที่สุดเราก็เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาจักรมาก มีกษัตริย์อยู่ในขอบเขตหลายสิบองค์ แล้วท่านก็ลงท้ายถามว่า เราก็ทำไมถึงตายล่ะ..ท่านถาม

ไอ้ตอนนั้นเป็นกษัตริย์โอ่โถงมากใช่ไหม มีอาณาจักรยาว แต่ว่าก็กว้างไม่มาก แต่ยาวมาก ไอ้กว้างก็ถือว่า กว้าง เมืองอาเมืองน้าก็ถือว่าเป็นของตัวเอง เหมือนเมืองเดียวกัน

ท่านถามว่าทำไมถึงตาย ไอ้อยากจะพูดสัก คำ..แต่ไม่กล้าพูด ท่านบอกว่าจะพูดก็ได้ คุณจะถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงนิพพานใช่ไหม

ท่านก็บอกว่านี่มันเป็นกฎของความเป็นจริง ถ้าเป็นพระก็สูงสุดอยู่แค่พระพุทธเจ้าใช่ไหม ถ้าเป็นคนก็สูงสุดอยู่แค่ความเป็นกษัตริย์

แต่ว่าไอ้คนสูงสุดหรือว่าตํ่าสุด ไอ้คนที่ตํ่าสุดก็คือยาจกวณิพกมันตํ่ากว่ายาจก วณิพกคนขอทาน ยาจกแปลว่าผู้ขอ วณิพกนี่เจ๊งใหญ่ไปเลย มันเจ๊งกว่ายาจก ท่านบอกว่าไอ้ขอทาน ยาจะโก แปลว่า ขอทาน

ยาจกนี่มันยังดีมีหวังในการกินอยู่เสมอ จะกินเช้า กินกลางวัน กินเย็น กินกลางคืน ยังมีกินอยู่ เพราะมีผู้คนเขาให้อยู่เสมอ

ถ้าวณิพกนี่มันแย่จริงๆ มีสภาพตํ่าทรามมาก อดๆ อยากๆ การขอไม่ได้ตามปกติ เพราะพวกนี้ไร้ทานจริงๆ ไร้เมตตาจริงๆ ก็ต้องไปดูใครล่ะ 'อานันทเศรษฐี' สิ!

อานันทเศรษฐี แกไร้ทาน ไร้เมตตา ทรัพย์ สินทั้งหลายเหล่านี้ จะมีขึ้นมาได้เพราะพ่อแม่เราหามา ไอ้พวกนี้มันจะมาขอกูไม่ให้ล่ะ

พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขาสะสมมา เราจึงมีทรัพย์ขนาดนี้ถึง ๘๐ โกฏิ ที่ดินไม่คิด อะไรต่ออะไรไม่คิด มีเยอะแยะ คำว่า “ให้” ไม่เคยมีในชีวิต แต่ว่าไอ้เรื่องศีล ๕ ที่ท่านจะละเมิด ท่านก็ไม่มีในชีวิตเหมือนกัน

นี่คนเขาไม่ละเมิดศีล ๕ แต่ว่าไม่มีการให้ ความดีเขาก็ยังมีอยู่ไม่ละเมิดศีล ๕ พระพุทธเจ้าว่าไง “ละความชั่ว ประพฤติความดี” แต่ว่า 'อานันทเศรษฐี' ท่านละความชั่ว แต่ไม่ประพฤติความดี ขาด “ทาน” การให้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ

“ศีล” ท่านไม่ได้ละเมิดจริง แต่ท่านไม่ได้ ส่งเสริมในศีล ที่ไม่ละเมิดเพราะว่ามีใจมัธยัสถ์ สันโดษอยู่ แต่ว่าขาด “เมตตา” ขาดความ “ปรานี” “กรุณา” ขาดความสงสาร..

อาจจะมี มีจิตสันโดษมากเกินไป ถือว่าทรัพย์สินทั้งหลาย เป็นของปู่ย่าตายายหามาให้..ขอนี้เราไม่ให้

แต่เขาก็ไม่ได้ไปตีไปด่าว่าใคร ไปเข่นฆ่า ใคร ไปยื้อแย่งใคร ศีลข้อ “ปาณา” เขาก็ไม่ขาด “อทินนา” เขาไม่ขาด “กาเม” เขาก็ไม่ขาด “มุสา”

จะมาขอยืมสตางค์ จะบอกว่าไม่มีนี่ เขาไม่ได้บอก บอกมีแต่ทรัพย์สินส่วนนี้ เป็นของปู่ย่าตายายของฉันสะสมมา อ๋อ..ดีเหมือน กัน “สุราเมรัย” เขาก็ไม่กิน

ตายแล้วเลยไปเป็นจอมวณิพก..เป็นไง? ตายแล้วโทษของศีล ๕ ไม่มี ความโหดร้ายไม่มี กาเมไม่มี อทินนาทานไม่มี มุสาไม่มี สุราเมรัยไม่มี นรกก็ไม่เปิดโอกาสให้ลง

หือ..ในเมื่อนรกไม่เปิดให้ลง..ก็ไปไหน..จะเป็นเทวดาก็ไม่ได้ก็ต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่ไร้ความเป็นสุข คือว่าเข้าท้องแม่ ไปขอทานเขาก็ไม่ให้ อะไรก็ไม่มี นี่แหละ..“ความชั่วไม่มี..ความดีไม่ปรากฏ..”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/8/19 at 05:49 [ QUOTE ]


ประวัติในชาติอดีต ณ ดอยอินทนนท์
(หลวงพ่อเล่าเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๑๖)


"พระเจ้าศรีธรรมปิฎก" และ "พระเจ้าศรีทรงธรรม"
...คงมีใครหลายคนที่เคยเข้าไปกราบ “พระพุทธชินราช” ภายในวิหารร้อยเมตร เมื่อได้เห็นป้ายผู้สร้างที่ฐานองค์พระแล้ว

จะเห็นคำที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ จารึกไว้ว่า "พระเจ้าศรีธรรมปิฎก" และ "พระเจ้าศรีทรงธรรม" เป็นผู้สร้าง บางคนอาจจะแปลกใจว่า ท่านทั้งสองเป็นใคร...แล้วมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร..? อ่านรายละเอียดได้ที่นี่.. http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=769

เรื่องนี้ผู้เขียนได้เคยเฉลยปัญหาไปแล้วว่า "พระเจ้าศรีธรรมปิฎก" คือ "พระเจ้าพรหมมหาราช" เป็นผู้สร้างพระพุทธชินราชนั่นเอง ส่วน "พระเจ้าศรีทรงธรรม" นั้น ลองมาฟังท่านเล่ากันต่อไป อีกทั้งมีคลิปให้ฟังกันด้วย

พระพุทธเจ้าเสด็จที่ 'ดอยอินทนนท์'
“...เรื่องที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับที่ 'ดอยอินทนนท์' ท่านบอกให้เอาเข็มทิศวัดไปจากเครื่องเรดาร์ ตรงไปทางทิศเหนือครึ่งกิโลเมตร ประทับอยู่ตรงนั้นพอดี

เสด็จมา ๓ ครั้ง ก็ประทับตรงนั้นแหละ ท่านมาพักกับพระอรหันต์อีก ๔ พระองค์ มีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระมหากัสสป พระมหากัจจายนะ และพระอานนท์ พระอานนท์ตอนนั้นยังไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ว่ามาได้เพราะ เป็นพระอภิญญา

เมื่อมาพักตรงนี้ ที่ตรงนี้จึงถือว่า เป็นมงคลใหญ่ เสด็จมาโปรดแถวจอมทอง ๓ ครั้ง แล้วก็บอกว่า จะไม่มาอีก เพราะที่นั่นมีพระอรหันต์ขึ้นแล้ว ต่อไปมีแต่พระสาวกจะมาแทน

องค์ที่มาบ่อย คือ 'พระมหากัสสป' ท่านธุดงค์มาถึงที่นี่ เล่นกับท่านได้รึ พระปฏิสัมภิทาญาณ ชวนลูกน้องเดินแค่ ๒ -๓ นาที ก็ถึง

เทวดาที่รักษาดอยอินทนนท์ เวลานี้องค์ใหญ่ที่สุดชื่อ 'จันทรเทพ' เรียกย่อ ๆ ว่า 'เทวดาจันทร์' ก็แล้วกัน ท่านอยู่ชั้นมายา แต่องค์แทนนะ ใครก็ได้นะ มีลูกน้องเยอะ

เทวดาตัวจริง ที่รักษาเฉพาะตรงที่พระพุทธเจ้าประทับ ไม่ว่าจะประทับที่ไหน ชื่อ 'มหาสักขา' มีศักดาใหญ่อำนาจมาก ท่านเป็นเจ้าของแดน

พระเจ้าจักรพรรดิศรีทรงธรรม
...'เทวดาจันทร์' รูปร่างขาวใหญ่ สวย ใจดี ตะกี้นี้อยู่ตรงนี้ตลอด ท่านเล่าว่า 'สมัยพระพุทธเจ้ากัสสป' ทรงอุบัติขึ้นในโลก พวกเราตั้งดินแดนอยู่ที่นี่

ความจริงดินแดนของฉันจริง ๆ เดิมตั้งอยู่ที่ลำพูนนี่ เป็นเมืองเล็ก ๆ เขตกินไปถึงเมืองลพบุรี ตอนนั้นยังเป็นชายทะเลอยู่ แล้วไปถึงนครปฐม

พ่อเมืองใหญ่ชื่อ 'ศรีธรรมวราบดี' คือ 'พระอินทร์' องค์ปัจจุบัน พระบรมราชินีชื่อว่า 'ศิริจันทราราชเทวี' คือ พระชายาองค์ปัจจุบันของพระอินทร์ แล้วลูกเมืองก็ชื่อ 'ศรีทรงธรรม' กับ 'พรรณวดีศรีโสภาค'

อาณาจักรข้างเหนือ ไปยันเชียงตุง ยันนะ ไม่ใช่เล็กเหมือนกัน อีกเมืองหนึ่ง 'ราชาช้าง' (เจ้ากรมเสริม) กินตั้งแต่ 'เชียงตุง' ถึง 'อิมพัน' ในเขตอินเดียโน่น เวลานั้นชื่อ 'พระเจ้าธรรมเสนา' พระบรมราชินีชื่อว่า 'พระนางอินทรมหาปชาบดี'

แล้วอีกเมืองหนึ่งชื่อว่า 'ปทุมวดี' พระชายาชื่อ 'แสนหวี' จำสร้อยไม่ได้ ถามว่าทำไมจึงชื่อ 'แสนหวี' ตอบว่า มีหวีมาก เรื่องหวีนี่เลือกจริงๆ ยายคนนี้มีหวีเป็นกรุเลย จะไปงานโน้นต้องหวีชนิดนี้ ไปงานนี้ต้องหวีชนิดนั้น

อันนี้เขากินเขตแดนต่อไปถึงญวนทั้งหมด สามเมืองนี้เป็นพันธมิตรกัน มีอะไรก็ช่วยกัน ส่วนมากก็ทำการค้าขายกับกสิกรรม ๒ อย่าง เป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก มีความเป็นอยู่เป็นสุข โดยมากอยู่กันโดยธรรม ไม่รุกรานใคร

แต่ทว่ามีพวกแขก อาบังนี่น่ะ อยู่ต่อจากอิมพันออกไป พวกนี้นิสัยไม่ดีเกกมะเหรก ถือว่ามีพวกมากกว่า ก็จะมารุกราน เรียกว่า 'ชาวปาฐะ'

เมื่อมันโกงเรา ก็รวมกันสู้ตีกันไป มันสู้ไม่ได้ เราก็ยึดเรื่อยไป พอตีแดนนี้หมด เลยได้เครื่องจักรพรรดิ คราวนี้เลยไม่ต้องตี เหาะได้แล้ว ทีนี้ใคร ๆ ก็มาขอขึ้น

อานิสงส์ถวายเครื่องประดับ
...ท่านบอกว่า การเกิดชาตินี้ เป็นการชำระกรรมครั้งสุดท้าย ของพวกนี้ทั้งหมด คือ พวกถวายเครื่องประดับ กับพระพุทธเจ้านี่แหละ

จากชาตินี้ก็ยกล้อกันแล้ว คือ ตายไปแล้วไปเป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้างบางคน ก็จะไปนิพพานในชาตินี้บ้าง

พวกที่ไปเป็นเทวดา เป็นพรหมน่ะ เกิดอีกชาติเดียวก็นิพพานไม่มีเหลือ เพราะอำนาจการถวายเครื่องประดับเป็นพุทธบูชา.."


ตามหาลูกๆ ที่เกิดมาภายหลัง
"...เป็นอันว่า พวกลูกๆ ของท่านที่เกิดมาภายหลัง เมื่อได้ฟังคำนี้แล้วคงปลื้มใจ เพราะพวกเราคงเคยเกิดในสมัยนั้นเช่นกัน

บุพจริยาใดๆ ที่พ่อแม่เคยทำไว้ พวกลูกๆ ก็ได้ประพฤติปฏิบัติตามกันมาทุกภพทุกชาติ เมื่อถึงเวลาก็มารวมตัวเพื่อพระพุทธศาสนากันต่อไป ตามที่พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งกับหลวงพ่อที่ "เขื่อนยันฮี" ถึง ๒ ครั้งว่า

วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๑๙ (ครั้งที่ ๑)
"...คนสมัยนั้นมีความเคารพมาก แล้วก็เป็นนักบุญมาก แล้วก็นักบุญสมัยนั้นก็มาเกิดในสมัยนี้ที่เดินมาเป็นแถวๆ นี่ละ แล้วยังมีมากกว่านี้นะ ที่ยังมาไม่ครบ.."

วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๓ (ครั้งที่ ๒)
"..ท่านถามว่ามันไปไหนกันหมดล่ะ ทำไมถึงมาเท่านี้ ท่านถามว่ามันไม่ได้มาเกิดเท่านี้ มันไปไหนกันหมด พอท่านถามแล้ว ท่านก็ยิ้ม

บรรดา “ลิงเล็ก” ทั้งหลายมาเป็นแถวมากกว่านี้เยอะมากกว่าในปัจจุบันนี้เยอะ เพราะเวลานี้เขาไปนิพพานกันเกือบหมดแล้ว.."

อีกทั้งได้ทราบปูมหลังของทั้งสองพระองค์นี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พระเจ้าศรีทรงธรรม" ภายหลังก็ได้เป็น "พระเจ้าจักรพรรดิราช" ครอบครองมหาสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต

เพราะเหตุนี้ ท่านจึงได้สร้างพระพุทธชินราชไว้ ๒ องค์ ยังดินแดนที่เคยอุบัติทั้งสองสมัย เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการเกิดของท่าน

ส่วน "พระราชาช้าง" หลวงพ่อบอกว่าเป็น "ท่านเจ้ากรมเสริม" และเจ้าเมืองแสนหวี ถ้าจำไม่ผิดท่านบอกว่า คือท่าน พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ด้วยประการฉะนี้..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/8/19 at 06:24 [ QUOTE ]


ประวัติในชาติอดีต ณ ภูกระดึง
(หลวงพ่อเล่าเมื่อวันที่ ๑๙-๒๒ เมษายน ๒๕๒๓)


"...ณ ริมสระอโนดาต บนภูกระดึง หลวงพ่อเล่าว่า...ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระพุทธกุกุธสันโธ" พื้นที่ภูกระดึงนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ๑ โยชน์

และเวลาผ่านไปชั่วพุทธันดรหนึ่ง แผ่นดินสูงจากเดิมขึ้นมา ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กม. แสดงว่าสมัยนั้น ภูกระดึง จมอยูใต้ทะเลลึกถึง ๑๖ กม.)

วันต่อมาพวกเราอันมีหลวงพ่อเป็นผู้นำเดินทางไปนั่งพักคุยกันใต้ต้นไม้อีกแห่งหนึ่งบนภูกระดึง อากาศร้อนเพราะเป็นช่วงเดือนเมษายน แต่ลมพัดเย็นสบาย ใจของพวกเราเป็นสุข หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า

เราเกิดบนภูกระดึงแห่งนี้มา ๓ วาระแล้ว ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "พระโกนาคม" เราเกิดบนภูกระดึงแห่งนี้ มีเนื้อที่ ๔ หมื่นไร่เศษ มีสภาพเป็นเกาะกลางทะเล

ท่านปู่และท่านย่าอินทิรา เป็นกษัตริย์ปกครองดินแดนนี้ มีลูกชาย ต่อมาได้เป็นพระราชาแทนพระราชบิดาต่อไป

สำหรับพระราชาองค์นี้ปรารถนาพระโพธิญาณอยู่ มีน้องชายเป็นพระเจ้าอนุราช มีนามว่า พระเจ้าวชิระราชา ชื่อเล่นว่า "เจ้าชายตุ่ม" เพราะตอนเด็กอ้วน โตแล้วไม่อ้วน

ในสมัยนี้เอง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "โกนาคม" เสด็จมาโปรดบนภูกระดึง มาประทับที่พระราชวังซึ่งทำด้วยไม้ธรรมดาๆ ก็ไม่ใหญ่โตนัก

จัดเป็นสถานที่รับรองสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เวลานั้นประชาชนมีศีล ๕ กันเป็นส่วนมาก องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเทศน์โปรดให้ฟัง....ถึงตอนไหนภาพก็ปรากฏแก่ผู้ฟังด้วยอำนาจพุทธานุภาพ พระองค์ตรัสว่า...

"...ตอนพวกเราเป็นเทวดามีรูปร่างอย่างไร มีวิมาน ทิพย์สมบัติเป็นประการใด ก็มีภาพในตอนเราเป็นเทวดาปรากฏทันที

เราเคยเกิดเป็นพรหมแล้วกี่ชาติ แต่ละชาติมีรูปร่างอย่างไร มีวิมาน มีความสุขยังไง ภาพตอนเป็นพรหมก็ปรากฏทันที

ทุกคนเห็นภาพตัวเองตอนเป็นเทวดา เป็นพรหม มีความสุขด้วยอำนาจของความดี ทั้งนี้ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ และพระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า

แล้วเราก็ต้องกลับมาเป็นคนอีก การเกิดทีไรมันก็มีแต่ความทุกข์ เกิดมาทีไรมันก็แก่ แล้วเกิดมาทีไรมันก็ตาย พระองค์เน้นเรื่อง การตาย การเกิดเป็นเทวดาเป็นสุขกว่าเกิดเป็นคน แต่ก็พักทุกข์ชั่วคราว

การเกิดเป็นพรหมมีความสุขกว่าการเกิดเป็นเทวดา แต่แล้วก็กลับมาเกิดเป็นคนอีก ความสุขตอนเป็นเทวดาสู้ความสุขตอนเป็นพรหมไม่ได้

แล้วพระองค์ก็จบลงด้วยความสุขบนพระนิพพาน เป็นสุขที่สุด พระพุทธองค์ทรงรับรอง จบพระธรรมเทศนา หลายคนเป็นพระอริยเจ้า เพราะศีล ๕ เขาบริสุทธิ์อยู่แล้วเป็นปกติก็เป็นของไม่ยาก

โดยเฉพาะท่านปู่ ท่านย่า เวลาสิ้นชีพตักษัยเป็นพระอริยเจ้าขั้นพระอนาคามี แต่เวลานี้ท่านไปนิพพานแล้ว

ประชาชนส่วนใหญ่เป็นพระอริยเจ้า แต่หัวหน้าคือพระราชาผู้ครองประเทศได้ไตรสรณคมน์ เพราะปรารถนาพระโพธิญาณ และมีบุคคลใกล้ชิดอีกพวกหนึ่งขอติดตามหัวหน้าไปด้วย เลยยังไม่มีโอกาสไปนิพพาน

ส่วนท่านที่เป็นพระอริยเจ้ากราบทูลขอบวชเป็นพระภิกษุและภิกษุณี พระพุทธองค์ทรงบวชให้ด้วย "เอหิภิกขุ อุปสัมปทา..เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด"

จีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็มาสวมกาย ศีรษะก็โล้นเป็นภิกษุ นี่ด้วยอำนาจพุทธานุภาพ และบุคคลผู้บวชเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนามาก่อน

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโกนาคมตรัสว่า "ตอนที่เราเกิดเป็นพรหมน่ะไม่ใช่นั่งหลับตาปี๋ เพราะเรามีสังคหวัตถุ ๔ และมีพรหมวิหาร ๔ เราทรงแบบนี้ได้เป็นปกติแบบสบายๆ

(นี่แหละอารมณ์เป็นฌานไม่ใช่ต้องนั่งหลับตาปี๋จึงจะเป็นฌาน) พวกเราทำหนักมาในด้าน "ทาน" ใจก็คิดเสมอในการให้ทาน ก็เป็นฌานใน "จาคานุสติกรรมฐาน"

จิตทรงอารมณ์แบบนี้จนชินก็เป็นอารมณ์ฌาน (ฌาน ก็คือ อาการชิน ทำจนชิน) ตายแล้วก็ไปเป็นพรหมได้"

ตอนนี้หลวงพ่อเน้นว่า "พวกเราเดินตามปฏิปทาเดิมของเราคือ "ทางสายกลาง" อย่าเปลี่ยนทางเดิม "การเครียด" ไม่ใช่ทางของพวกเรา จะทำให้ช้าลง เพราะเป็นอัตตกิลมถานุโยค แทนที่จะก้าวไปหน้ากลับไปไม่ถึง"

ขณะนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาโปรดอีกว่า "ชาตินี้พวกเราควรจะพอกันเสียที เกิดทุกชาติ ก็ตายทุกชาติ เคยเป็นใหญ่ เคยเป็นกษัตริย์นี่ทรัพย์สินมากมาย เอาติดมาไม่ได้เลย" แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงเน้นสรุปว่า...

๑. ให้นึกถึงมรณัสสติกรรมฐานไว้ เพราะเป็นสมถะ และตัดสักกายทิฏฐิไปด้วย เพราะคิดถึงความเสื่อมคือความตายเป็นปกติ

๒. มีอนุสติครบ เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์

๓. ทรงศีลบริสุทธิ์

๔. นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์

พระพุทธองค์ตรัสว่า "พวกเราทำ ๔ ข้อนี้ให้ได้ ไปนิพพานหมด ไม่ต้องทำอะไรมากมายไปกว่านี้ เพราะเราทำทุกอย่างมาเต็มหมดแล้ว"

ในคราวนั้นเมื่อองค์สมเด็จพระทรงธรรมพระพุทธโกนาคมทรงเทศน์จบ หัวหน้าคือกษัตริย์ท่านปรารถนาพระโพธิญาณ เข้าขอรับคำพยากรณ์จากพระพุทธองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า...

จะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระอุตตรสมณโคดม" แต่ในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "สมเด็จพระสมณโคดม" ก็จะลาจากพุทธภูมิเสียก่อน

เพราะจะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศานา โดยเฉพาะเวลานั้นมีคนกลุ่มหนึ่งขอติดตามหัวหน้าคือกษัตริย์ คนกลุ่มนั้นจึงยังไม่ไปนิพพาน”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 17/8/19 at 08:07 [ QUOTE ]


ประวัติในชาติอดีต ณ สหรัฐอเมริกา (ตอนที่ ๑)
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


บทนำร่อง
โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต
"...ก่อนอื่นขอเล่าเรื่องที่ผู้เขียนเคยเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ๒ ครั้ง แต่ขอเล่าเฉพาะครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน-๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ (ลอสเองเจลิส - ชิคาโก)

สำหรับการเดินทางครั้งนี้ได้มีโอกาสเดินทางร่วมกับ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ (สมัยนั้น) พร้อมด้วยคณะครูฝึกมโนมยิทธิ มีกำหนด ๑๕ วัน

มีชาวไทยที่อยู่ในสหรัฐสนใจมาร่วมฝึกกันมาก บางคนต้องเดินทางไกลมาจากรัฐอื่นๆ เจ้าอาวาสท่านได้เห็นถึงความมีศรัทธาเช่นนี้ จึงได้เดินทางไปเป็นประจำทุกปี

โดยเฉพาะปีสุดท้ายก่อนที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" จะมรณภาพ ท่านก็ได้เดินทางไปครั้งสุดท้าย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕

ผู้ที่เคยพบและเคยกราบท่านด้วยความเคารพนับถือ ต่างก็ยังมีจิตศรัทธากันอย่างมั่นคง ผู้เขียนจึงได้มีโอกาสรู้จักกับโยมที่นี่หลายคน

หลังท่านมรณภาพไปแล้ว จากการเดินทางเมื่อวันที่ ๑๖ เม.ย. ๒๕๔๓ จึงนับเป็นครั้งแรกในชีวิตของผู้เขียน ที่ได้มีโอกาสมาเยือน "เมืองลอสเองเจลิส" พร้อมกับ "หลวงพี่โอ" ส่วน "ท่านอาจินต์" ท่านเคยมากับหลวงพ่อหลายครั้งแล้ว

ในขณะที่เครื่องลงจอดรันเวย์แล้วเข้ามาถึงชานชาลา พอเดินออกมาข้างนอกก็ได้เห็นพระอาทิตย์ทรงกลดสวยเด่นอยู่ท่ามกลางนภากาศ ท้องฟ้าก็แจ่มใสในเวลากลางวัน

พระแต่ละองค์ก็ปลื้มใจ แม้แต่คุณฉลาด เพชรรัตน์ ไปต้อนรับที่สนามบินก็ได้เห็นด้วย ทรงกลดอยู่นานนับชั่วโมง จนกระทั่งเดินทางไปถึงที่พักบ้านคุณโสมนัส (ต้อย) จิตตนูน แสดงให้เห็นถึงว่า เมืองนี้มีเทพยดาผู้อารักขาอยู่ด้วย

ถ้าจะจำไม่ผิด หลวงพ่อท่านเคยเล่าว่า อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาบางคน ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดา เช่น ท่านรูธเวลส์ และ ท่านทรูแมน

บางครั้งท่านจะมาต้อนรับหลวงพ่อ ในขณะที่เดินทางอยู่บนเครื่องบิน พร้อมกับฝากบอกว่า หากใครจะให้ท่านช่วยเหลือ จะบนแค่บุหรี่ซิการ์มวนเดียว ท่านก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ

ในเมืองลอสเองเจลิส บ้านเมืองสะอาดเป็นระเบียบ บ้านแต่ละหลังจะมีสวนหย่อมอยู่หน้าบ้าน เมืองดูสวยงามน่าอยู่ คนไทยอยู่ในเมืองนี้กันมาก

หลังจากพระสงฆ์อยู่ที่นี่ประมาณ ๖ - ๗ วันแล้ว วันที่ ๒๔ เม.ย. ๔๓ จึงเดินทางต่อไปที่เมืองชิคาโก มีการฝึกสอนมโนมยิทธิที่บ้าน คุณหมอสุภรณ์ หล่อพิศิษฐ์ โดยมี คุณไพโรจน์ เป็นผู้ประสานงานให้เป็นอย่างดี

เมืองชิคาโกนี้ก็ไม่ธรรมดา ขณะที่คณะของท่านเจ้าอาวาสและคณะครูฝึกจะเดินทางกลับ ในตอนเช้าวันนั้น ฝนจะโปรยลงมาเป็นละอองด้วย

คือ อากาศเปลี่ยนไปไม่เหมือนวันแรกที่มาถึง จึงคิดว่าน่าจะมีอะไรดีอยู่บ้างในสมัยอดีต จึงขออนุญาตนำบันทึกของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" มาเล่าสู่กันฟัง

แต่ก่อนที่อ่านบันทึกของหลวงพ่อฯ ผู้เขียนอยากให้อ่านบันทึกของ "คุณหมอสุภรณ์" ก่อนว่า เป็นเพราะเหตุใด จึงได้มาศรัทธาหลวงพ่อฯ ซึ่งอยู่ห่างไกลกันมากดังนี้


แพทย์หญิงสุภรณ์ พงศ์หล่อพิสิษฏ์

"...ณ นครชิคาโก รัฐอิลลินอยศ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ข้าพเจ้าและน้องๆ ได้พบปะสนทนาธรรมะกับลูกศิษย์ของพระมหาวีระ ถาวโร ผู้หนึ่ง

และหลังจากได้ฟังกระแสธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลวงพ่อท่านได้นำมาเผยแพร่ สั่งสอนยังศิษย์ผู้นั้นบ่อยครั้ง ทำให้ข้าพเจ้าและน้องๆ มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระองค์นี้มาก

คุณวิรัช วรวรรณธนะชัย (พระปลัดวิรัช โอภาโส ในปัจจุบัน) ที่ชิคาโก จึงชวนไปฝึกกรรมฐานกัน และก็คอยติดตามอ่านหนังสือธรรมะ พร้อมกับฟังเทปของหลวงพ่อไปด้วย ตามแต่โอกาสจะอำนวย

ได้พบหลวงพ่อเป็นครั้งแรก
...ในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ข้าพเจ้าและน้องๆ ได้มีโอกาสไปกราบนมัสการหลวงพ่อครั้งแรก ที่บ้านคุณโต (คุณสุภรณ์ แทนศิริ)

เมื่อหลวงพ่อและคณะศิษยานุศิษย์ได้เดินทางมาโปรดบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท เพื่อสนทนาธรรม สอนพระกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิ ที่เมืองวีตัน รัฐอิลลินนอยส์

หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ได้ติดตามข่าวคราวของวัดจันทาราม(วัดท่าซุง) พร้อมทั้งอ่านหนังสือคำสอนต่างๆ และฟังเทปของหลวงพ่อเป็นประจำ

ข้าพเจ้าและน้องๆ พำนักอยู่ไกลจากเมืองไทยมาก ไม่มีโอกาสฟังเทศน์ ฟังธรรมหรือไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดจันทาราม หรือที่บ้านซอยสายลม

แต่ด้วยความเมตตาอย่างสูงของหลวงพ่อ ที่ให้กำลังใจ ให้คติข้อคิดธรรมะ แนะนำแนวปฏิบัติพระกรรมฐานให้ เมื่อเวลาทุกข์กาย ทุกข์ใจหรือมีอุปสรรคในการงาน ก็ได้ธรรมะเหล่านี้เป็นแรงบันดาลใจ และกำลังใจที่จะฟันฝ่าภัยทั้งปวงได้

วันที่ข้าพเจ้าและน้องๆ มีความปลื้มปิติสุขมากในชีวิตก็คือ วันที่หลวงพ่อรับกิจนิมนต์มาพำนักยังสถานที่ๆ ข้าพเจ้าได้จัดไว้ ที่บ้านพักเมืองเกลนวิว

ตลอดระยะเวลาที่ท่านมาเจริญพระกรรมฐาน และฝึกมโนมยิทธิแก่บรรดาพุทธบริษัทที่รัฐอิลลินอยส์ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๐ และปี พ.ศ. ๒๕๓๒ นั้น

หลวงพ่อได้ให้ความเมตตากรุณาอย่างสูง แก่ข้าพเจ้าและน้องๆ ตลอดทั้งเพื่อนๆทั้งหลาย ทั้งคนไทย ลาว และชาวต่างประเทศ ซึ่งมาจากหลายรัฐเป็นต้นว่า รัฐอินเดียนนา รัฐนิวยอร์ค และรัฐเวอร์จิเนีย

ระหว่างที่หลวงพ่อและพระภิกษุที่ติดตามมาพำนักที่นี้ ท่านได้โปรดให้บรรดาท่านพุทธบริษัทไต่ถามข้อสงสัยในการปฏิบัติธรรมะ

ร่วมทำบุญถวายปัจจัยสร้างวิหารทานและถวายสังฆทาน สอนพระกรรมฐาน ฝึกมโนมยิทธิและฝึกญาณ ๘ ทั้งตอนบ่ายและตอนค่ำของทุกวัน

การที่ท่านเดินทางไกลมาโปรดญาติโยมพุทธบริษัทเหล่านี้ เพราะท่านมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวคือ เพื่อสงเคราะห์ในการปฏิบัติพระกรรมฐานและศีลธรรม

แม้ว่าสุขภาพของท่านจะไม่แข็งแรง เจ็บป่วยตลอดเวลาและอายุมากแล้ว ท่านก็มีแต่ความเมตตา พร้อมด้วยขันติบารมีอย่างสูง

เมื่อถึงเวลาเจริญพระกรรมฐาน ท่านก็มานั่งแนะนำสั่งสอนธรรมะด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส มิได้แสดงถึงความเจ็บป่วยอะไรเลย ซึ่งข้าพเจ้าเป็นแพทย์เองก็ยังมีความอดทนไม่เท่ากับธุลีของท่าน เป็นที่น่าปลื้มปีติยินดีอย่างยิ่ง

เมื่อหลวงพ่อพาพระภิกษุ ครูฝึกและคณะศิษย์ที่ติดตามเดินทางมายังประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งใด จะมีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจากรัฐต่างๆ มามากมาย ทั้งที่พูดภาษาไทยและพูดภาษาอังกฤษ มิได้มีแต่ผู้ใหญ่ที่สนใจการเจริญพระกรรมฐานฝึกมโนมยิทธิเท่านั้น

แต่เด็กในวัยต่างกันที่สนใจที่จะแสวงหาธรรมะเช่นกัน ตลอดระยะทางที่คณะหลวงพ่อเดินทางไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ เป็นต้นว่าโบราณวัตถุสถาน พิพิธภัณฑ์ ร้านค้า บ้านเรือนนั้นๆ

หลวงพ่อจะแนะนำสอนคณะศิษย์อยู่เสมอว่า "ให้ดูสิ่งต่างๆ โดยพิจารณาหลักธรรม อริยสัจ ๔ ไตรลักษณ์และอสุภกรรมฐานตามไปด้วย

ในการเจริญพระกรรมฐานให้ บูชาระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีศีลบริสุทธิ์ ยึดไตรสรณาคมน์เป็นที่ตั้งระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์ ก็จะเข้าถึงกระแสธรรม"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/8/19 at 06:32 [ QUOTE ]


ประวัติในชาติอดีต ณ สหรัฐอเมริกา (ตอนที่ ๒)
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน


บทนำร่อง
โดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต
"...เมื่อตอนที่แล้วได้นำบันทึกของ "คุณหมอสุภรณ์" มาให้อ่านกันแล้ว เพื่อผู้อ่านจะได้เข้าใจไว้ก่อน ส่วนตอนนี้คงเข้าเรื่องสำคัญที่น่าสนใจมาก คือ หลวงพ่อเล่าเรื่อง "สหรัฐ" เคยเป็นเมือง "พระเจ้าจักรพรรดิ" มาก่อน ดังนี้










(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/9/19 at 04:24 [ QUOTE ]




บทนำร่อง

"...พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เดินทางไปนิวซีแลนด์หลายครั้ง จึงมีเรื่องเล่าหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่บันทึกเสียงนี้ อาจจะฟังไม่ค่อยชัด

แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรฟัง เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ท่านเล่าไว้ 2 ตอน เป็นเรื่องปลาตัวใหญ่ที่จะไปเกิดในสมัยพระศรีอาริย์

ส่วนบันทึกพิเศษก็สำคัญมากมีทั้งหมด 26 หน้า อ่านรวดเดียวจบเลย เป็นความรู้ในอดีตชาติของท่านที่หาอ่านได้ยาก


🍀 สรุปประวัติในชาติอดีตที่โพสต์ไปแล้วมีดังนี้
✅ ตอนที่ 1 เขื่อนยันฮี ปี 2516
✅ ตอนที่ 2 เขื่อนยันฮี ปี 2519
✅ ตอนที่ 3 เขื่อนยันฮี ปี 2523
✅ ตอนที่ 4 ดอยอินทนนท์ ปี 2516
✅ ตอนที่ 5-7 ภูกระดึง ปี 2523
✅ ตอนที่ 8 บันทึกของ คุณหมอสุภรณ์ พงศ์หล่อพิสิษฏ์
✅ ตอนที่ 9 สหรัฐอเมริกา ปี 2530
✅ ตอนที่ 10 นิวซีแลนด์ ปี 2529


...ตามที่ได้รวบรวมมาทั้งหมดนี้ หวังว่าเรื่องราวที่หลวงพ่อตามหา "ลูกไกล้และลูกไกล" คงเป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่เกิดมาภายหลัง

ดังที่หลวงพ่อท่านเคยกล่าวไว้ที่ "เขื่อนยันฮี" จ.ตาก เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2519) ว่า..

“คนสมัยนั้น..มาเกิดในสมัยนี้ ยังมีมากกว่านี้..ที่ยังมาไม่ครบ..!”

ซึ่งผู้เขียนได้นั่งอยู่ในคืนวันนั้นด้วย ได้ทำหน้าที่ติดตามมาให้แล้ว คงต้องขอยุติบทบาทไว้เพียงแค่นี้

จึงขออวยพรให้ "ลูก" ของท่าน จงได้ติดตาม "พ่อ" ไปให้ถึงฝั่งพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้กันทุกคน..สวัสดี"


พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต
22 กันยายน 2562

































[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 12/9/19 at 04:24 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/9/19 at 06:37 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top