Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 16/6/19 at 17:31 [ QUOTE ]

(ตอนจบ) คุณอ๋อยกับ "ผลการปฏิบัติธรรม" โดย ป่อง โกษา


สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

ตอนที่ ๑ บันทึกโดย คุณชาลินี เนียมสกุล
ตอนที่ ๒ บันทึกโดย คุณนุสมล สุขเสริม
ตอนที่ ๓ คุณอ๋อยกับ "การทรงกระดาน"
ตอนที่ ๔/๑ คุณอ๋อยกับ "ผลการปฏิบัติธรรม"
ตอนที่ ๔/๒ กายใสเป็นแก้ว จิตเป็นประกายพรึก
ตอนที่ ๔/๓ "การทรงกระดาน" (ท่านหญิง-จ่าพัว)

ตอนที่ ๔/๔ "การทรงกระดาน" (ท่านอ๋อย)

บทนำ

...ขอเชิญอ่านเพื่อเป็นแนวทางของเรา สำหรับผู้ที่เกิดมาแล้วจะต้องพบกันทุกคน ว่าจะต้องทำใจอย่างไรบ้าง...ถ้าเป็นเรา ?

...คุณอ๋อย อดีตเจ้าของบ้าน ผู้อุทิศทั้งชีวิตและ "บ้านสายลม" ให้แก่หลวงพ่อฯ เพื่อสั่งสอนศิษย์ที่ติดตามกันมา ผู้เป็นกำลังหลักสนับสนุนวัดท่าซุง ตั้งแต่เริ่มแรก จนเจริญรุ่งเรืองถึงปัจจุบันนี้ ผู้เขียนคนหนึ่งละ..ที่เป็นหนี้พระคุณของท่านหาประมาณมิได้

...ด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย จึงขอแสดงความกตัญญูรู้คุณต่ออดีตเจ้าของบ้านสายลม ด้วยการนำบทความเหล่านี้มาให้อ่านกัน ซึ่งจะต้องขออนุโมทนา คุณอภิญญา (ติ๋ม) นาคสวัสดิ์ ที่อุตส่าห์นั่งพิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษรให้อ่านกัน

...เมื่อตอนที่แล้วผู้เขียนได้นำข้อมูลจากหนังสือ "อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ" คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๑ ตั้งแต่เริ่ม "คุณอ๋อยกับธรรมะ" จนจบเรื่อง "พระไตรปิฎก" ไปแล้ว
@ อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2400

...ตอนนี้เป็นเรื่องความเกี่ยวข้องกับ "หลวงปู่" ต่างๆ ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" เรียกว่า "พระสุปฏิบันโน" นั่นเอง
@ อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2532

...ตอนต่อไปเป็นเรื่อง คุณอ๋อยกับความเจ็บป่วย, คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก", คุณอ๋อยไปขุดสมบัติ เป็นต้น
@ อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2578


คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก"
โดย คุณชาลินี เนียมสกุล


"...ผู้เขียนรู้จักหลวงพ่อข้างเดียว จากการอ่านหนังสือ “คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน” ซึ่ง เรืออากาศโท บุญเลี้ยง (ยศในสมัยนั้น) ให้พ่อยืมมาอ่าน จึงได้หาโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่จังหวัดอุทัยธานี

ระยะนั้นใครไปกราบหลวงพ่อ ขอพร ขอธรรมะจากท่าน ท่านก็จะแจกแจงธรรมโดยพิสดารตามแต่จริตของลูกศิษย์ ทุกคนติดหลวงพ่อกันงอมแงม และเมื่อมีผู้สงสัยกันอยู่เนืองๆ ว่า หลวงพ่อรู้เรื่องนั้น เรื่องนี้ได้อย่างไร ท่านก็ตอบว่า ฉันรู้ "วิชชาสาม" พวกเราก็เชื่อท่าน

วันหนึ่งปลายปี พ.ศ. 2516 หลวงพ่อมาสอนกัมมัฏฐานที่บ้านน้าเสริม น้าอ๋อย (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม และคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์)

พ่อ, แม่, ดร.ปริญญา และผู้เขียนได้เตรียมตัวที่จะไปฟังท่านสอนตามปกติ พวกเราก็ปรารภธรรม (ซึ่งไม่รู้แจ้งกันสักคน) เรื่อง "ปฎิสัมภิทาญาณ" กันมาในรถตลอดทาง จนถึงซอยสายลม พอก้มลงกราบท่าน แทนที่ท่านจะทักทายเหมือนเดิม ท่านก็กล่าวว่า

หลวงพ่อรู้ใจ
"...เรื่องปฎิสัมภิทาญาณนั้น เป็นคุณสมบัติพิเศษของผู้ที่ได้เคยเจริญสมาบัติแปดมาก่อน เมื่อละสังโยชน์ห้าได้ ก็จะถึงความเป็นอนาคามีพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาสี่ คือ อรรถ, ธรรม, นิรุติ, และปฏิภาณ

พวกเรากราบเรียนท่านว่า หลวงพ่อหูยาวจัง ท่านก็บอกว่า ก็ฉันได้ "วิชชาสาม" นี่ พวกเราก็เชื่อท่านอีก

ปลายปี 2517 หลวงพ่อรับอาราธนา พล.ต.อ. ประเสริฐ รุจิวงศ์ (อธิบดีกรมตำรวจในสมัยนั้น) เพื่อมาตรวจสุขภาพโดยละเอียดที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยมี ดร. ปริญญา นุตาลัย ลงทุนลาพักร้อนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาเฝ้าในฐานะลูกศิษย์วัด

เช้ามืดวันหนึ่ง ดร.ปริญญา เข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมรู้แล้วว่าหลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทาญาณ ”หลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วท่านก็บรรยายให้ ดร.ปริญญา ฟัง

สายวันนั้น น้าเสริม น้าอ๋อย พี่นิด (สุภาพ ปุณศรี) น้าน้อย (กานดา อมาตยกุล) พี่หมอ (พ.ต.อ. พิเศษ สมศักดิ์ สืบสงวน รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ยศและตำแหน่งในสมัยนั้น)

พ่อ และผู้เขียนไปกราบหลวงพ่อ ดร.ปริญญารีบบอกข่าวสำคัญแก่พวกเราด้วยความภาคภูมิใจ น้าเสริมก็ต่อว่าหลวงพ่อว่า แหม..พวกเราถูกหลวงพ่อหลอกอยู่ตั้งนาน หลวงพ่อท่านหัวเราะชอบใจแล้วก็บอกว่า

“ฉันไม่ได้หลอกนะ "วิชชาสาม" ฉันก็ได้จริงๆ” แล้วท่านก็กำชับลูกศิษย์ทุกคนว่า ห้ามเอาครูบาอาจารย์ตน (คือหลวงพ่อ) ไปเบ่งทับ หรือคุยทับถม หรือคิดว่าเก่งกว่าครูบาอาจารย์ของคนอื่น เพราะครูบาอาจารย์ของใคร ใครก็รัก พระทุกองค์ท่านก็มีลีลาต่างๆ กัน

พวกเราก็ฟังไปงั้นๆ เพราะก็อดคิดไม่ได้อยู่นั้นเอง พระเทพวิสุทธิเวที(ไสว) วัดอนงคาราม เคยเล่าให้ฟังว่า สมัยหลวงพ่อหนุ่มๆ นั้น ใครอย่ามาเปรียบอาจารย์กับท่านเลย หลวงปู่ปานต้องเก่งที่สุด


ภาพในอดีต : พระเกจิอาจารย์ทั้งหลายในอดีต

สมัยนั้นหลวงพ่อจะเล่าให้ฟังถึงพระร่วมสมัย "หลวงปู่ปาน" โดยเฉพาะพระเกจิอาจารย์ 108 รูป ที่ร่วมปลุกเสกเหรียญสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พ.ศ. 2481 ซึ่งหลวงปู่ปานก็ร่วมอยู่ด้วย

หลวงพ่อเล่าถึง หลวงปู่แช่ม วัดฉลอง หลวงปู่สด วัดปากน้ำ หลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า สมเด็จพุฒาจารย์ (นวม พุทธสร) วัดอนงคาราม หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก และ หลวงพ่อยิ้ม วัดหน้าต่างใน ฯลฯ เป็นต้น

เสาร์-อาทิตย์หนึ่ง พ่อ, ดร.ปริญญา, และผู้เขียน ได้เดินทางไปวัดท่าซุง เพื่อปฏิบัติพระกัมมัฏฐานค้างที่วัด ระหว่างพวกเราได้แวะวัดหน้าต่างนอก และได้บูชาตะกรุดคาดเอวของหลวงพ่อจง ที่ยังเหลืออยู่ที่วัดหน้าต่างนอกมาจนหมด กว่าจะมาถึงวัดท่าซุงก็ประมาณบ่าย 2 โมง

พอหลวงพ่อเห็นพวกเราก็ทักทายว่า ไปเยี่ยมหลวงพ่อจงมาหรือ ผู้เขียนกราบเรียนถามท่านว่า หลวงปู่มาบอกหลวงพ่อหรือคะ หลวงพ่อบอกว่า หลวงปู่มาพร้อมพวกแกนั้นแหละ ก็เลยได้ถวายตะกรุดคาดเอวหลวงพ่อไป 10 เส้น เพื่อให้หลวงพ่อแจกคนอื่นๆ

พบหลวงปู่สิม (หลวงปู่ตื๊อมารอพบด้วย)


คุณชาลินี (ปาน) นั่งอยู่ด้านหลัง

...ในปลายปี พ.ศ. 2517 หลวงพ่อพาลูกศิษย์ไปกราบพระสุปฏิปันโนที่ภาคเหนือ โดยเริ่มที่ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร (พระครูสันติวราญาณ) สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่องเป็นองค์แรก

การเดินขึ้นถ้ำผาปล่องในสมัยนั้น ยังไม่มีบันไดคอนกรีตเหมือนสมัยนี้ การเดินขึ้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก

โดยเฉพาะในคณะลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงพ่อนั้นมีผู้อาวุโส 3 ท่าน ที่สุขภาพไม่สมบูรณ์ คือ น้านวลน้อย โลพันธุ์ศรี เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดเพียงเดือนเดียวก่อนเดินทาง อายุ้ย (คุณสบสุข ประกอบไวทยกิจ) และ แม่ (คุณบูรณะ นุตาลัย) ซึ่งหัวเข่าไม่ดี

เดินขึ้นบันไดไม่ค่อยได้ พวกเราขึ้นไปถึงก่อน(นิสัยไม่ดี) ส่วนหลวงพ่อท่านพยายามเดินช้าๆ คอยผู้อาวุโสทั้ง 3 ท่าน

หลวงปู่ตื๊อ อจลธัมโม


...อันที่จริงผู้เขียนก็เป็นห่วงแม่อยู่เหมือนกัน แต่ ดร.ปริญญา บอกว่าไม่ต้องห่วงหรอก หลวงพ่อท่านต้องพาบริวารของท่านขึ้นมาจนได้ เพราะท่านเป็นหัวหน้าคณะ

พอผู้อาวุโส 3 ท่าน ขึ้นมาแล้ว พ่อก็กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อทำอย่างไงครับ ถึงได้พาโยมขึ้นมาได้ น้านวลน้อยตอบแทนว่า

อายุ้ย และ น้านวลน้อย เห็นหลวงพ่อเดินรอ ก็เลยมีกำลังใจเดิมตามมาได้เรื่อยๆ ไม่เคยคิดเหมือนกันว่า ตัวเองจะเดินขึ้นเขาได้ไกลถึงเพียงนี้ และไม่เหนื่อยเท่าไร

ส่วนแม่อาการหนักกว่าเพื่อน หลวงพ่อเลยหยิบไม้ข้างทางส่งให้ถือขึ้นมาท่อนหนึ่ง แม่ก็แบกไม้ท่อนนั้นขึ้นมาด้วย หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เทวดาท่านช่วยกันหิ้วปีกโยมทั้งสามขึ้นมายังไม่รู้กันอีก


หลวงพ่อได้พบกับหลวงปู่สิม ที่วัดถ้ำผาปล่องเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2517

เมื่อขึ้นไปยังถ้ำผาปล่องแล้ว หลวงพ่อสิมท่านก็นิมนต์ให้หลวงพ่อนั่งบนอาสนะที่ปูไว้บนยกพื้นสำหรับพระภิกษุนั่งสวดมนต์ หลวงพ่อท่านไม่นั่ง

กราบพระพุทธรูปเสร็จก็หันมากราบทางด้านที่หลวงปู่สิมนั่ง (ด้านเดียวกับอาสนะ) แล้วก็นั่งแปะอยู่ตรงนั้น หลวงปู่สิมท่านก็เลยต้องนั่งข้างล่างไปด้วยกัน

แล้วหลวงพ่อก็ตั้งต้นคุยเรื่องจริยาของ หลวงปู่ตื้อ อจลธมโม ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ที่หลวงปู่สิมเคารพนับถือมาก ทั้งๆ ที่หลวงพ่อเองไม่เคยพบหลวงปู่ตื้อมาก่อน หลวงปู่สิมมีทีท่าสบอารมณ์ในอัธยาศัยของหลวงพ่อเป็นอย่างยิ่ง

หลวงพ่อเล่าให้พวกลูกศิษย์ฟังวันรุ่งขึ้นว่า หลวงปู่สิมท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าหลวงปู่ตื้อ ท่านมานั่งอยู่บนอาสนะนั้น แล้วจะให้หลวงพ่อไปนั่งอีกได้อย่างไร

ส่วนหลวงปู่สิม ท่านบอกว่า “พระมหาวีระ..เป็นผู้รู้แจ้งโลกในปัจจุบันโดยแท้”


คณะศิษย์หลวงพ่อฯ ที่ขึ้นบนถ้ำผาปล่องเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2517

สมัยนั้นพอได้เวลาประมาณ 10:30 น. เรือที่ไปรับปิ่นโตเจ๊กิมกีจะกลับวัดพร้อมด้วยหนังสือพิมพ์รายวันทุกฉบับที่มีจำหน่ายในจังหวัดอุทัยธานี พี่นนทาจะนำหนังสือพิมพ์ไปถวายหลวงพ่อ

พวกเราจะไปคอยอ่านหนังสือพิมพ์ต่อจากหลวงพ่อ วิธีอ่านหนังสือของหลวงพ่อแปลกกว่าผู้อื่น คือ ยกขึ้นส่องดูพาดหัว แล้วก็โยนปุลงมาหน้าเตียงที่ท่านทีละเล่ม พวกที่เฝ้าอยู่ก็จะคว้ามาอ่านคนละเล่ม

ผู้เขียนสังเกตหลายครั้งว่า ไม่ว่าผู้เขียนกำลังอ่านข่าวอะไร หลวงพ่อก็จะตั้งต้นวิสัชนาเรื่องนั้น พร้อมทั้งถามความคิดเห็นพวกที่นั่งอยู่ด้วยกัน

และไม่ว่าพวกเราจะพยายามแสดงปัญญาอันมีแค่หางอึ่ง ออกความเห็นอย่างไรก็ตาม หลวงพ่อก็จะสรุปว่า “ฉันว่า....................” แล้ว

เหตุการณ์ต่างๆ ก็จะเป็นไปตามที่หลวงพ่อพูด หากผู้เขียนแกล้งเปลี่ยนเรื่องอ่านโดยเจตนา หลวงพ่อก็จะเปลี่ยนเรื่องพูดไปตามข่าวที่กำลังอ่านทุกที่ไป จนท้ายที่สุดผู้เขียนต้องเลิกอ่านข่าว พอหลวงพ่อโยนหนังสือพิมพ์มาให้

ท่านเห็นไม่มีใครอ่าน ท่านก็จะถามว่า “ข่าววันนี้มีอะไรบ้าง ฉันตาไม่ดี” ผู้เขียนก็รีบพนมมือพร้อมทั้งกล่าวว่า “นิมนต์หลวงพ่อกล่าวมาเลยดีกว่าค่ะ” หลวงพ่อท่านจะยิ้มหรือบางครั้งก็จะบ่นว่า “อะไรกันวะ”

วันหนึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผู้เขียนลาพักผ่อนไปอยู่ที่วัดท่าซุง มีผู้นำแหนมมาถวายหลวงพ่อหลายพวง ผู้เขียนจึงสมคบกับปุ๋ย (ลูกสาวน้าน้อยกานดา) ว่าวันนี้ได้การละ

แล้วเรา 2 คนก็ช่วยกันจัดการแกะห่อแหนมหั่นจนพูนจานใบโต พร้อมทั้งนั่งคอยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะพวกเราคอยรับประทานอาหารเหลือหลวงพ่อทุกวัน

หลวงพ่อท่านนั่งลงฉันไม่พูดว่าอะไร ฉันไปก็หยิบแหนมส่งให้หมากินไปพร้อมๆ กับท่านจนแหนมหมดจาน พอท่านฉันเสร็จ ท่านก็บอกผู้เขียนกับปุ๋ย (ซึ่งหน้าจ๋อยเต็มที่ พร้อมทั้งกล่าวหาว่าเพราะผู้เขียนเป็นหัวโจก) ว่า แหนมน่ะให้หั่นเอาใหม่นะ

พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน นั้น มีพระคุณกับผู้เขียนเป็นที่สุดทั้งทางโลกและทางธรรม ไม่อาจที่จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้

แม้ในขณะที่ช่วยกันจัดทำ "หนังสืออนุสรณ์งานสมโภช" และ "หนังสือบันทึกของลูกศิษย์" ฉบับที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ บารมีของหลวงพ่อก็ยังเมตตาแผ่มาถึง เพียงตั้งใจอธิษฐานขอบารมีของหลวงพ่อเป็นที่พึ่งเท่านั้น เหตุการณ์ขัดข้องทั้งหลายจะหมดไป

ปัญหาสุดท้ายที่ผู้เขียนขอบารมีหลวงพ่อ โดยเสี่ยงเอาหนังสือฉบับนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ก็คือตัวพิมพ์และกระดาษ ตัวอักษรที่ใช้ในการพิมพ์หนังสือนี้เป็นตัวอักษรออกใหม่เรียกว่าตัวอักษร “มานพ” ซึ่งเส้นหนา

เมื่อต้องการจะเน้นข้อความใดก็ใช้คำ สั่งให้เป็นตัวเข้ม ซึ่งตัวอักษรจะหนาขึ้นไปอีก คุณสุขหฤทัย ไชยรบ ผู้เชี่ยวชาญการจัดทำหนังสือ เป็นผู้ออกแบบ และวางรูปเล่มหนังสือฉบับนี้บอกว่า

หากจะทำตัวอักษรตัวเข้ม อักษรมานพต้องใช้กระดาษพิเศษสั่งจากนอก มิฉะนั้นเวลาพิมพ์ตัวอักษรจะแตกและซึมกระดาษเลอะไม่น่าดู เหมี่ยว (โศภิษฐ์ สดศรี) จึงช่วยยักย้าย ถ่ายเทเลี่ยงจากการใช้อักษรตัวเข้ม มาเป็นตัวเอนเพื่อเน้นข้อความแทน

ซึ่งก็ปรากฏผลไม่เป็นที่น่าพอใจนัก แต่เหมี่ยวก็เห็นว่าดีกว่าตัวเข้มแล้ว อักษรแตก หมึกซึมเวลาพิมพ์ เพราะเราใช้กระดาษธรรมดาไม่ใช่กระดาษสั่งนอก ผู้เขียนคิดสูตรปรมาณูได้ เลยตัดสินใจแก้กลับไปเป็นตัวเข้มอีก แล้วบอกเหมียวว่า

เราทำหนังสือบูชาคุณหลวงพ่อก็ต้องเสี่ยงบารมีหลวงพ่อกันละ เหมี่ยวดูท่าทางจะไม่สบายใจนัก หากผู้เขียนมีความเชื่อมั่นอย่างแน่นแฟ้นว่า หนังสือจะต้องออกมาดี เพราะเราตั้งใจทำให้ดี ไม่ได้ทำกันเล่นๆ

การเขียนบันทึกเรื่องนี้ หากมีเรื่องที่ไม่สมควรด้วยประการใดก็ดี ผู้เขียนขอกราบขมาต่อพระรัตนตรัยและต่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ซึ่งผู้เขียนได้ยึดไว้เป็นสรณะประจำตน

และขอถือโอกาสนี้อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพ ได้โปรดอภิบาลและและประทานพร 3 ประการ อันได้แก่ อายุ สุขะ และพละ แด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ส่วนวรรณะ และปฏิภาณนั้นคงจะไม่ต้องเพราะท่านมีพร้อมแล้ว.


หมายเหตุ...นักเขียนทั้งสองท่านที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านคงทราบได้ดีว่า คุณลุงดำรงค์ นุตาลัย เป็นพ่อของ คุณชาลินี ซึ่งได้แต่งงานกับ นพ.ชุติ เนียมสกุล เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อกันทั้งเซ็ท

คุณชาลินี หรือเรียกชื่อเล่นว่า "ปาน" มีนิสัยโอบอ้อมอารี หน้าตายิ้มแย้ม เป็นคนนิสัยดีน่ารัก ไม่ค่อยถือตัว ทั้งๆ ที่มีความรู้ และเงินเดือนเป็นแสน ได้เป็นผู้จัดทำหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มนี้ ร่วมกับ "คุณเหมี่ยว" คือ คุณโสภิษฐ์ สดสี

คุณปานได้รู้จักหลวงพ่อมานาน จึงได้สั่งสมประสบการณ์ไว้มาก อีกทั้งเป็นคนที่รู้จักกาลเวลา, รุ้จักบุคคล, รู้จักใช้ถ้อยคำในการคุยกับหลวงพ่อ คือไม่ถูกด่าออกมาเสียก่อนเหมือนคนอื่นๆ (แต่เป็นเพียงบางคนนะ) จึงทำให้ได้รู้เรื่องอะไรดีๆ เกินกว่าที่คนอื่นจะรู้ได้

ความจริงเรื่องที่คาดการณ์กันว่า "หลวงพ่อต้องไม่ใช่แค่พระวิชชาสาม" เป็นเพียงความคิดและเป็นคำพูดที่วิจารณ์กันมานาน ในกลุ่มลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามหลวงพ่อตรงๆ คงมี

แต่ครอบครัว "นุตาลัย" นี่แหละ ที่สามารถยืนยันกับพวกเราในภายหลัง ให้เกิดความมั่นได้ว่า "หลวงพ่อต้องเป็นพระปฏิสัมภิทาญาณ" อย่างแน่นอน จากการเป็นคนช่างสังเกตของคณะนี้นี่แหละ

และอีกประการหนึ่ง ซึ่งมีหลักสูตรบังคับไว้ชัดเจนว่า ผู้ที่เคยปรารถนา "พุทธภูมิ" มาก่อน เมื่อจะลาในช่วง "ปรมัตถบารมี" จะต้องจบกิจเป็น "พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ" เพียงสถานเดียว

เพราะบารมีเกินไปมากแล้วนั่นเอง ดังตัวอย่างที่หลวงพ่อบอกไว้อีกองค์หนึ่ง นั่นก็คือ "หลวงปู่สี ฉันทสิริ" แห่งวัดถ้ำเขาบุนนาค จ.นครสวรรค์ หลวงพ่อบอกว่าท่านลาจาก "พุทธภูมิ" เหมือนกัน.


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/6/19 at 17:36 [ QUOTE ]


คุณอ๋อยกับ "ลูกศิษย์บันทึก"
โดย คุณนุสมล สุขเสริม


"...นับเป็นเวลา 20 ปีเศษ ที่ข้าพเจ้าได้รู้จักหลวงพ่อจากท่านผู้มีพระคุณท่านหนึ่ง และหากข้าพเจ้าจะกล่าวถึงหลวงพ่อโดยไม่เอ๋ยนามท่านผู้นั้น

ข้าพเจ้าก็คงเหมือนคนอกตัญญูที่ไม่รู้คุณผู้ที่ชักนำให้ข้าพเจ้าได้พบสิ่งที่เป็นมงคลอันประเสริฐยิ่งของชีวิต “พี่อ๋อย” หรือคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์

ภรรยาของท่านพลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้าของบ้านสายลม บ้านที่ท่านได้สละให้พวกเราได้ใช้เป็นที่พบปะหลวงพ่อ ได้ทำบุญ ได้ศึกษาธรรม

ท่านผู้นี้เป็นผู้มีเมตตาอย่างสูง เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้าต้องพบกับความขัดข้องของชีวิต ต้องทุกข์ทรมานใจที่ต้องพลัดพรากจากลูกอันเป็นที่รักก็ดี ทุกข์ทรมานกับโรคภัยต่างๆ


ที่ต้องประสบพบพานอย่างหนักเนืองๆ ก็ดี ท่านผู้นี้ได้ยื่นหนังสือ “ประวัติหลวงพ่อปาน” ที่หลวงพ่อเป็นผู้เขียนให้ข้าพเจ้าหนึ่งเล่ม และได้ชักนำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบเท้าหลวงพ่อ ณ บ้านสายลมแห่งนั้นอีกด้วย

นับแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ข้าพเจ้าได้ตระหนักชัดว่า ข้าพเจ้าได้มีที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวอย่างแท้จริง ในความรู้สึกของข้าพเจ้านั้น หลวงพ่อเป็นทั้งพ่อและครู เป็นผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง

ธรรมะต่างๆ ที่หลวงพ่อสอน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจชีวิตมากขึ้นตามลำดับ การโอดโอยต่อสิ่งไม่พึงปรารถนาต่างๆ จึงค่อยๆ เบาลง ตั้งหน้าที่จะใช้กรรมและทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เพราะเหตุทุกเหตุต้องมีผล และผลทุกผลต้องมีเหตุ ที่ต้องเกิด ต้องตาย ต้องร้อน ต้องหนาว ฯลฯ ก็ด้วยกรรมอันเป็นรากฐานของตนทั้งสิ้น

ความผันแปรต่างๆ บนโลกมนุษย์นี้แท้ที่จริงคือ ปกติธรรมดา ข้อสำคัญหลวงพ่อสอนให้รู้ว่า ทุกข์นั้นเราต้องรู้จักเข็ด และมีหนทางที่จะหนีมันได้หนีมันพ้น

พระนิพพานนั้น แม้นจะไม่ใช่สิ่งง่ายๆ ที่จะทำให้แจ้ง แต่ก็ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย หากเรามั่นคงที่จะไป

หลวงพ่อทำให้ธรรมะของสมเด็จพระพุทธครูบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากระจ่าง สว่างแจ้ง ให้เราปฏิบัติได้ ปฏิบัติตรง

หลวงพ่อจึงเปรียบเสมือนดวงแก้วที่ส่องทางให้บรรดาศิษย์และลูกรักทั้งหลายได้เดินพ้นอบายภูมิ และมุ่งสู่แดนสุขอันแท้จริง

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว พระธรรมทั้งหลายที่หลวงพ่อสอน ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในธรรมอยู่เสมอ ข้าพเจ้าจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานอย่างมุ่งมั่นว่า เมื่อข้าพเจ้าได้เกิดมามีบุญได้พบพระอริยสงฆ์เช่นหลวงพ่อ

ข้าพเจ้าย่อมภูมิใจที่ตัวเองนั้นขึ้นชื่อว่าเป็น “ศิษย์มีครู” เป็นลูกพ่อคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงขอเทอดเอาสิ่งที่เป็นมงคลยิ่งนี้ไว้เหนือหัว

และไม่ว่าการปฏิบัติเพื่อให้ถึงความหลุดพ้นอันเป็นยอดปรารถนาสูงสุด จะมีอุปสรรคขวากหนามสักปานใด ข้าพเจ้าจะอดทน จะแก้ไข แก้ทุกข์ และทิ้งทุกข์ให้ได้ เพื่อติดตามหลวงพ่อผู้ซึ่งข้าพเจ้าเทอดไว้เหนือหัว ไปสู่แดนแห่งความสุขอันเกษมชั่วกาล

พระธรรมที่พ่อสอน ด้วยอาทร และห่วงใย
จงนำลูกพ้นภัย ไปทิพยสถาน นิพพานเทอญ

หมายเหตุ

...ตามปกติผู้เขียนเองไม่ค่อยได้อ่านข้อเขียนโดยละเอียด เนื่องจากต้องมีภารกิจต่างๆ มากมาย แต่เมื่อได้มีโอกาสเขียนเพิ่มเติมในเว็บวัดท่าซุงนี้ จึงได้มีโอกาสอ่านทุกถ้อยคำ

อันแสดงถึงความจริงใจของผู้บันทึก ที่ได้หลั่งไหลออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการสะท้อนถึงจิตใจที่มีความรักและผูกพัน จากคำที่ว่า.. "หลวงพ่อเป็นทั้งพ่อและครู"

คุณนุสมล สุขเสริม เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อมานาน จากการบอกเล่าให้ได้ทราบว่า เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้อ่าน "หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน" จึงได้เกิดความสัทธาปสาทะอย่างมั่นคง

ตลอดเวลาอันยาวนานหลายสิบปีนี้ คุณนุสมลจึงได้มีโอกาสอุปถัมภ์บำรุงวัดท่าซุงตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัดท่าซุงหรือวัดอื่นๆ ที่หลวงพ่อให้การช่วยเหลือ ตลอดจนถึงการมอบสิ่งของให้แก่ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารอยู่เสมอๆ


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/6/19 at 17:36 [ QUOTE ]


คุณอ๋อยกับ "การทรงกระดาน"
โดย ป่อง โกษา


"...เมื่อเกือบ ๒๐ ปีมาแล้ว คุณอ๋อยกับคุณเสริมทราบข่าวว่า เขามีการเดินถ้วยแก้วกันที่บ้านข้าราชการผู้หนึ่ง ก็เลยชวนกันไปดูตามประสาคนชอบสนุกและตื่นเต้น

ที่ไปดูก็เพราะเขาเล่าว่าองค์ที่มาเดินกระดานนั้น คือ "หลวงปู่ภู" ท่านเป็นศิษย์ใกล้ชิด "สมเด็จโต" และได้มรณภาพไปเมื่ออายุ ๑๐๓ ปี

ที่ท่านมาเดินกระดานหรือที่ทั่วไปเรียกกันว่า "ผีถ้วยแก้ว" และที่ในขณะนี้ขอเรียกว่า “ทรงกระดาน” นี้ ก็เพื่อสงเคราะห์คน เป็นการสร้างบารมีของตัวท่านเอง

ส่วนมากเกี่ยวกับช่วยรักษาโรค และช่วยขจัดปัดเป่าให้คนที่มีเคราะห์ เจ้าของบ้านไม่ได้มีประโยชน์อะไรเกิดขึ้นกับตัวเองเลย มีแต่ทางเสียสตางค์ซื้อน้ำซื้อขนมเลี้ยงแขกอย่างเดียว

ตัวอย่าง..พี่หนู
...ตัวอย่างความศักดิ์สิทธิ์ของท่านมีมากหลาย แต่ที่จำได้จากคนที่ได้รับผลจริง ๆ ก็คือ "พี่หนู"

เรื่องมีว่าพี่หนู แต่เดิมก็ไม่รู้จักหลวงปู่ภู ที่ท่านเดินกระดาน พี่หนูเป็นโรคอาเจียนเป็นเลือด รักษาไม่หาย ได้ข่าวว่าหลวงปู่ภูท่านรักษาโรคก็เลยไปลองดูๆ กับเขา

วันหนึ่ง ๆ ที่มีการทรงกระดานจะมีคนไปมากด้วยกัน พี่หนูไม่รู้จักใคร ก็เลยต้องนั่งอยู่วงนอกไม่ทันได้พูดกับใคร สักประเดี๋ยวหลวงปู่ก็เดินกระดานบอกว่า

คนที่รากเลือดน่ะ เข้ามาซิ พี่หนูก็เลยเข้าไป ท่านก็บอกยาให้นำไปเสก แล้วก็เลยหายจากโรคนั้น นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่

ลักษณะผีถ้วยแก้ว
...การเล่นผีถ้วยแก้วนี้ รู้สึกว่าใคร ๆ ก็จะลองเล่นกันเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะเด็ก ๆ เวลาเล่นก็มักจะต้องแตะถ้วยเบา ๆ ช่วยกันแตะสัก ๓ คน แล้วถ้วย (ตะไล) จะค่อย ๆ เลื่อนไป

คนก็ต้องเลื่อนมือตาม เลยกลายเป็นแรงช่วยดันถ้วย และเวลาจะผสมเป็นตัวหนังสือ พอให้อ่านได้ความ ใจของผู้เดินก็มักจะเอาใจช่วยให้ถ้วยเคลื่อนที่ไปยังอักษรตัวนั้น ๆ

ที่เล่น ๆ กันก็อ่านได้ความบ้าง ไม่ได้ความบ้างตามเรื่อง แต่ผลที่สุดก็มาลงความเห็นกันว่า ความจริงคนไถกันไปเองมากกว่า จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครถือเป็นเรื่องจริงจัง ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์มีชื่อเสียงหน่อยก็หาว่าเหลวไหล งมงาย

แต่ที่สำนักหลวงปู่ภูนี้ การเดินกระดานไม่เหมือนกับที่เคยเล่น ๆ กัน มีข้อกำหนดอยู่ว่าคุณ จ. จะต้องเป็นผู้แตะถ้วยอยู่คนหนึ่ง ส่วนคนอื่นจะเป็นใครก็ได้ ถ้าคุณ จ. ไม่แตะถ้วย เอาคนอื่นมาแตะแทน ถ้วยก็ไม่เดิน

หรือถ้าช่วยกันเข็นจริง ๆ ก็คงจะเดิน แต่เดินไม่เป็นเรื่อง อ่านไม่ออก ถ้าคุณ จ. แตะถ้วยแล้วพูดง่าย ๆ ว่า ถ้วยจะ “วิ่งปรู๊ด” ทีเดียว

เมื่อพูดว่า “วิ่ง” แล้วขอให้เข้าใจว่าวิ่งจริง ๆ ไม่ใช่ค่อย ๆ เดิน ช้า ๆ คนอ่านจะต้องอ่านเก่งจริง ๆ จึงจะดูได้ทัน ความเร็วในการเดินของถ้วยนั้น เปรียบเทียบได้ว่าเร็วจนจดลงสมุดเกือบไม่ทัน

บางคราวคนอ่านก็อ่านไม่ทัน ต้องขอซ้ำใหม่ ส่วนคุณ จ. คนสำคัญนั้น บางทีก็ไม่ได้มองดูกระดาน มือแตะอยู่ที่ถ้วยแต่ตัวหันไปคุยโต้ตอบกับคนอื่นได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทฤษฎีที่ว่าถ้วยเดินไปเพราะแรงคนดันก็ใช้ไม่ได้เอาเลยทีเดียว ถ้าใครไม่เชื่อก็ควรจะลองพิสูจน์ดูด้วยตัวเอง

คือหาคนไม่เชื่อมาสัก ๓ คน ทำกระดานเข้าแล้วก็ทดลองไถถ้วยแก้วดู สมมุติว่าให้สอนเรื่อง “ศีล ๘ มีอานิสงส์อย่างไร” ก็แล้วกัน

ดูซิว่าสามคนจะช่วยกันดันถ้วยให้ออกมาเป็นคำสอนสักหน้ากระดาษหนึ่งได้หรือไม่ การพิสูจน์นี้ทำได้ง่าย ๆ วิสัยนักวิทยาศาสตร์ หากไม่เชื่อก็ควรจะทดลองดู ไม่ใช่สันนิษฐานเอาเฉย ๆ

คณะพรสวรรค์
...ต่อมาก็มีวงทรงกระดานหรืออีกวงหนึ่งเรียกว่า "คณะพรสวรรค์" ลักษณะการเดินกระดานก็เหมือนวงหลวงปู่ภู

แต่วงนี้อยู่ใกล้บ้านมาก คุณอ๋อยก็เลยห่างเหินวงหลวงปู่ภูไป จะว่าไปคุณอ๋อยก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร ที่จะไปกวนท่านอยู่แล้วอีกอย่างหนึ่งด้วย

สำหรับ “พรสวรรค์” นี้ มักจะมีแต่เรื่องเทศน์เกี่ยวกับธรรมะ ในบางเรื่องการเทศน์ก็ลึกซึ้งและไม่เคยเห็นมีใครเทศน์ที่ไหนมาก่อนเลย เช่น พรหมวิหาร ๔ ตามตำราก็มีเพียง เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

แต่ท่านมาซอยละเอียดในการทรงกระดานลงไปถึงเมตตาในเมตตา เมตตาในกรุณา เมตตาในมุทิตา เมตตาในอุเบกขา กรุณาในเมตตา กรุณาในกรุณา ฯลฯ อย่างนี้ไม่เคยพบ

คนสำคัญของการเดินกระดานชื่อ ม. ก็เป็นหนุ่มเด็ก ๆ ธรรมะไม่แตกฉานอะไรเลย จะว่าแกไถถ้วยก็ไม่เป็นเหตุผลที่ถูก

เพราะการเทศน์อย่างนี้ อย่าว่าแต่ไถถ้วยเลย แม้พูดปากเปล่าก็พูดไม่ได้เสียแล้ว หรือเอาแค่ให้คนอื่นพูดให้ฟัง แล้วให้เราว่าตาม (หรืออธิบายใจความ) ก็ยังทำไม่ได้

ท่านผู้มาสงเคราะห์ ส่วนมากมักจะเป็นพระ บางทีท่านก็เทศน์ บางทีก็ตั้งคำถามให้ตอบ บางทีก็เอ็ดเอา และบางทีท่านก็มีอารมณ์ขัน

เนื่องจากคุณอ๋อยกับพวกขยันทำบุญ ขยันฟังธรรม แทนที่จะเรียกชื่อจริง บางทีท่านก็เรียกคนนั้นคนนี้เป็นบุญนั่นบุญนี่ เช่นเรียกคุณอ๋อยว่าแม่บุญช่วย เป็นต้น

คณะพรรคที่มาร่วมในวงนี้ ต่างได้รับความพออกพอใจกันเป็นส่วนมาก ใครมีข้อพิศวงสงสัยปลีกย่อยอะไร ที่เห็นว่าหากนำไปถามหลวงพ่อ คงจะโดนเอ็ดเพราะเป็นปัญหาไม่เป็นเรื่อง หรือไม่ก็เป็นการเสียเวลาคนอื่นเขา

อย่างนี้ก็ตีกลองปุโหละมาถามกันที่วงพรสวรรค์นี้ บางทีใครมีเคราะห์อะไรท่านก็มาเตือนมาเร่งโดยไม่บอกว่าอะไรเป็นอะไร

อย่างรายคุณอ๋อย ท่านก็มาเตือนหลายครั้งว่า ปฏิบัติธรรมได้ช้ากว่าคนอื่นมาก ให้ละวางการปฏิบัติลงเสียบ้างให้เด็ก ๆ เขาทำไปบ้าง

เตือนมาได้เกือบปี คุณอ๋อยก็ถึงแก่กรรม ดังนี้เป็นต้น เห็นได้ว่า ท่านรู้แล้วว่าจะอยู่ไม่นาน จึงควรต้องเร่งมือในการปฏิบัติ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 23/6/19 at 06:10 [ QUOTE ]


คุณอ๋อยกับ "ผลการปฏิบัติธรรม" (1)
โดย ป่อง โกษา


"...ตามที่ได้เล่าไว้ในที่หลายแห่งข้างต้นแล้วว่า หลวงพ่อท่านสอนให้มุ่งพระนิพพานเข้าไว้ตลอดเวลาแล้วนั้น ขอนำตัวอย่างการอบรมก่อนเริ่มปฏิบัติพระกรรมฐาน

ซึ่งหลวงพ่อทำการอบรมในคืนวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๑ คือในวันที่พระราชทานเพลิงศพคุณอ๋อย ดังต่อไปนี้


หลวงพ่อเทศน์ที่บ้านสายลม
“...คุณอ๋อยคุยอยู่กับเรา ๒-๓ วันนี้เองนะ วันนี้เราไปเผาแกเสียแล้ว แสดงว่ามีจิตใจโหดร้ายมาก จริงไหม นี่ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า โลกนี้เป็นอนิจจัง ความจริงโลกเขาเที่ยง

แต่อารมณ์เรามันไม่เที่ยง ไม่ยอมรับความเที่ยงของโลก คือมันเปลี่ยนแปลงแล้วก็พัง เราไม่รับเราก็เลยทุกข์ มีแต่พระอรหันต์ท่านไม่ทุกข์ กายของท่านทุกข์ แต่ใจของท่านไม่ทุกข์

ท่านจึงให้เราพิจารณาใจของเราไว้เสมอ อย่างที่ท่านว่า

'อัตตนา โจทยัตตานัง' เราจงเตือนตนของตนเองไว้เสมอ
'อัตตาหิ อัตโน นาโถ' ตนแลย่อมเป็นที่พึ่งของตน
'โกหิ นาโถ ปโรสิยา' บุคคลอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
'อัตตาหิ สุทันเตนะ' เมื่อเราฝึกตนดีแล้ว
'นาถัง ลภติ ทุลภัง' เราจะได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่นหาได้ด้วยยาก ก็คือ พระนิพพาน


พระนางสามาวดี
..ตัวอย่างของพวกเราก็คือ "คุณอ๋อย" คุณอ๋อยนี่ เวลานี้เขาบอกว่าตายไปแล้ว แต่ถ้าเราจะไปเทียบกับเรื่อง ๆ หนึ่งในพระธรรมบท ที่ตอนเช้าพระไปบิณฑบาต ได้ข่าวบุคคล ๒ ประเภทตาย

นั่นก็คือ เรื่องของพระนางสามาวดีพร้อมไปด้วยบริวาร ๕๐๐ ถูกพระนางมาคันทิยาให้อาไปเผาปราสาท ตายหมดทั้ง ๕๐๐ คน

แล้วต่อมาพระเจ้าอุเทนพระราชสวามีจับได้ว่า พระนางมาคันทิยาคิดทรยศ ฆ่าพระนางสามาวดี จึงแต่งตั้งให้เป็นอัครมเหสี มียศสูงขึ้น

แล้วเล่าว่านางสามาวดีก็ดี นางสนม ๕๐๐ ก็ดี ย่อมเป็นภัยกับเราอยู่เสมอ ตายเสียก็ดี คนที่ฆ่าต้องเป็นคนที่เรารัก มีความหวังดีกับเรา พระนางมาคันทิยาเสียท่ารับว่าเป็นตัวการ

พระเจ้าอุเทนก็ว่าดีแล้ว ญาติพวกพ้องร่วมกันมีกี่คนเอามารับความดีความชอบให้หมด ได้ตัวมาแล้วจับฝังดิน เชือดเนื้อพระนางมาคันทิยาทอดให้กินทีละชิ้น ๆ จนตาย

พระภิกษุได้ทราบก็กลับไปทูลพระพุทธเจ้า ๆ ตรัสว่า บุคคลทั้งสองนี้มีคติไม่เหมือนกัน สำหรับพระนางสามาวดีกับคณะตายไปแล้วก็เหมือนกับคนที่ไม่ตาย

สำหรับพระนางมาคันทิยานั้นมีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับคนตายแล้ว แปลกไหม เพราะว่าคณะของพระนางสามาวดีทั้งหมดก่อนที่จะถูกไฟเผาเป็นพระโสดาบัน

ในขณะถูกไฟเผาพระนางสามาวดีสอนบรรดาคนทั้งหลายของตนว่า จงอย่าโกรธมาคันทิยาพราหมณ์และพระนางมาคันทิยา ทุกคนจงอย่าประมาท ดังนั้นทุกคนจึงพากันพิจารณาขันธ์ ๕

บางคนก็เลื่อนจากพระโสดาบันเป็นพระสกิทาคามี บางท่านก็เลื่อนเป็นพระอนาคามี ตายแล้วท่านก็ไปเกิดบนสวรรค์ มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า สำหรับพระนางมาคันทิยาตายแล้วพากันไปอเวจีมหานรกหมด


สังขารุเปกขาญาณเต็มระดับ
...นี่พูดกันเรื่องเผาก็เลยว่าเรื่องนี้ให้ฟัง อย่างที่คุณอ๋อยนี่ หลวงน้า (พระมหาอำพัน วัดเทพสิรินทร์ฯ) ท่านปรารภว่า

วันนี้เหตุที่ปรากฏเป็นอัศจรรย์ คนเป็นโรคอย่างนี้มีทุกขเวทนามาก แต่ไม่ครวญไม่ครางไม่ร้องเป็นเรื่องอัศจรรย์

ท่านบอกว่าพบเป็นรายที่ ๒ รายแรกก็คือเจ้าคุณนรฯ ทั้งนี้เพราะท่านมีสังขารุเบกขาญาณ มีอารมณ์วางเฉยในขันธ์ ๕

อาการอย่างนี้ ถ้าหากเราจะฝึกกัน โดยวิธีใช้อารมณ์นั่งหลับตาเป็นสมาธิเป็นปกติ แล้วใจเราก็จะดีแค่สมาธิ อันนี้ใช้ไม่ได้ ยังไกลต่อความเป็นจริง

เวลาเราหลับตาฝึกสมาธินั่น เราฝึกให้อารมณ์ทรงอยู่ อารมณ์ที่ทรงนี้ เราต้องให้มันตรงหลังจากเลิกสมาธิแล้วด้วยให้อารมณ์มันชิน คือชินในกุศล ชินในความดี มุ่งจุดอยู่จุดหนึ่ง นั่นก็คือพระนิพพาน

คนที่จะมีอารมณ์อย่างนี้ได้ จะต้องมีอารมณ์รักพระนิพพานจับใจ อารมณ์รักพระนิพพานนี่ต้องสิงอยู่ในใจ ถ้าอารมณ์รักพระนิพพานไม่เข้าถึงที่สุดมันจะทนไม่ไหว ทนไม่ไหวเพราะสังขารุเบกขาญาณมีกำลังไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์

ถ้ามีกำลังพอก็จะคิดว่า ทุกขเวทนาของขันธ์ ๕ มันจะมีอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ถ้ามันพังเมื่อไรเราก็จะไปพระนิพพานมีความสุข ใจมันไปจับที่ความสุขจุดโน้นนะ ความทุรนทุรายจึงไม่มี

ต่อไปต้องพิจารณาอีกนิดหนึ่ง อย่างคุณอ๋อยนี่นอนอยู่ในห้องก็ฟังเทปธรรมะบ้าง เสียงสวดมนต์บ้าง แกเคยบอกว่า

เขาฝึกมโนมยิทธิกันจะไปดูสวรรค์ดูนั่นดูนี่ แกไม่ต้องการ..แกต้องการไปนิพพานอย่างง่าย ๆ แบบสุขวิปัสสโก แบบนี้พูดมาหลายปี จำได้ว่า ๓ ปีกว่า เกือบ ๔ ปี

นี่ถึงแม้เราจะคิดไว้วันละน้อย ๆ แต่คิดบ่อย ๆ อารมณ์ก็เกิดความเคยชิน คำว่าชินตัวนี้คือฌาน จิตมันตั้งตรง จิตมุ่งเฉพาะพระนิพพาน

คิดว่าถ้าตายเมื่อไร เราจะไปพระนิพพาน ถ้าคิดอย่างนี้ตายก็ไปพระนิพพาน คิดไว้แบบไหนก่อนตาย จิตมันจะไปตามนั้น


ดูตัวอย่างท่านโฆษกเทพบุตร
...ตอนท่านเป็นคน ตอนท่านจะตาย เห็นท่านมหาเศรษฐีมีสุนัข ท่านกินข้าวมธุปายาส ท่านก็แบ่งให้มันกินบ้างหมาตัวเมีย

ก่อนที่แกจะตายแกก็มองดูเจ้าสุนัขตัวนั้น ว่ามันเป็นหมายังดีกว่าเรา ตั้งแต่เกิดมาไอ้ข้าวมธุปายาสไม่เคยกินเลย จิตใจไปจับในสุนัข

ในที่สุดก็ตาย จิตก็เข้าไปสู่ครรภ์ของสุนัข เลยก็เกิดมาเป็นลูกหมา แต่อาศัยที่เพิ่งตายจากคนไป จึงมีความรู้สึกอย่างคน รู้ภาษาคนทุกอย่าง

นี่สังเกตให้ดีนา สุนัขที่เราเลี้ยง แมวที่เราเลี้ยง ถ้าเราพูดรู้ภาษาง่าย ๆ เจ้าพวกนี้จะมาจากที่ ๒ สถาน คือถ้าไม่มาจากคนก็มาจากเทวดา

พระพุทธเจ้าบอกว่าเทวดาก็ดี พรหมก็ดีเมื่อหมดบุญวาสนาบารมีจะเกิดเป็นเทวดาใหม่ หรือจะเป็นพรหมใหม่นี่แสนยาก หายากจะมาเกิดค้างอยู่แค่มนุษย์ก็แสนยากเหมือนกัน

ส่วนมากลงอบายภูมิ เพราะว่าคนเราที่ไปเกิดเป็นเทวดาด้วยอาศัยบุญเบื้องหลัง เกิดมาย่อมทำบาปด้วยกันทุกคน แต่หากก่อนตายเราสร้างความดี เราก็ไปเป็นเทวดาก่อน เป็นพรหมก่อน

พอหมดจากวาสนาบารมี ก็ต้องไปใช้หน้กรรม คืออกุศลต้องลงอบายภูมิ ใช่ไหมล่ะ ทีนี้ถ้าเราจะไปกันก็อย่าไปมันเลยแค่เทวดากับพรหมน่ะ ดีไม่ดีมันป๋อม ตกแค่ท้องหมามันยังดีนะ มีข้าวกินนะ

ถ้าลงนรกนี่มันแย่ กว่าจะมาใหม่ สำหรับท่านโกตุหลิกะ (ชื่อตอนเป็นคน) เกิดเป็นหมาก็มีความรู้ภาษาคนดี ต่อมาเจ้านายมีความเคารพในพระปัจเจกพุทธเจ้า

อาศัยเธอเป็นสุนัขแสนรู้ เวลาที่ท่านเจ้าของไม่มีโอกาสที่จะไปรับพระปัจเจกพุทธเจ้าตอนเช้ามาฉันที่บ้าน ก็ใช้สุนัขแสนรู้ตัวนี้ไปนิมนต์

แกไปถึงหน้าสำนักของท่านก็เห่าบ้างหอนบ้างเป็นสัญญาณว่ามารับ แล้วก็เดินนำมา บางคราวพระปัจเจกพุทธเจ้าแกล้งทำเลยไปไม่เลี้ยวเข้าบ้าน

แกก็ไปขวางหน้า ท่านก็แกล้งไม่หยุด แกก็เอาปากดึงสะบง ฉลาดเสียด้วยนา อาศัยที่จิตใจของเธอมีความรักในพระ ตายไปเธอก็ได้เกิดเป็นเทวดา


นิพพานไปไม่ยาก
...นี่เป็นอันว่าจิตใจของเรามีความสำคัญ ก่อนตายจิตใจของเราจับจุดไหน อย่านึกว่าความดีของเราไม่มี เราจะไปจับพระนิพพานได้ยังไง ?

นิพพานนี่ไปไม่ยาก ไม่ต้องเสียสตางค์ ไปนรกซีต้องลงทุนมากกว่า ต้องลงทุนโกหกเขา ทำร้ายเขาสารพัด ไปสวรรค์ไปนิพพาน นอนในมุ้งเราก็ไปได้ นอนนึกถึงคุณของพ่อ ของแม่

นอนนึกว่าไอ้คนนั้นมันไม่มีข้าวจะกิน พรุ่งนี้จะเอาข้าวไปให้มันสักก้อน ๒ ก้อน บ้านนั้นมันไม่มีสตางค์ใช้ เออ มีสตางค์อยู่ ๒ บาท พรุ่งนี้เอาไปแบ่งให้สักสลึง ยังไม่ทันจะให้ถ้าตายเวลานั้นไปสวรรค์เลย เพราะจิตเป็นกุศล

ถ้าเราอยากจะเป็นพรหมก็นอนภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ จับลมภาวนานึกถึงทาน นึกถึงศีลอะไรก็ช่างจิตมันทรงอารมณ์ มีความชุ่มชื่น เบิกบาน อิ่มเอิบ

นึกถึงความดีว่าภาวนา "พุทโธ" ถึงพระพุทธเจ้าท่านก็ดี "ธัมโม" พระธรรมก็ดี "สังโฆ" พระสงฆ์ท่านก็ดี นึกถึง "ทานการบริจาค" เป็นจาคานุสติกรรมฐาน

ว่าเออ..วันนี้เราเห็นคนเขาหิวข้าว เห็นสัตว์ตัวผอมเดินกระย่องกระแย่ง เราให้ข้าวไปก้อนหนึ่ง เรามีความปรารถนาอย่างไร สัตว์ก็มีความปรารถนาอย่างนั้น

จิตใจคิดอยู่แบบนี้เพลินสบาย เสียงวิทยุในบ้านดังอ้าว ๆ เด็กในบ้านทะเละกัน เราก็ไม่รำคาญ เราคิดเพลิน อย่างนี้อารมณ์เป็นปฐมฌาน คืนนั้นถ้าตายก็ไปเกิดเป็นพรหม ง่ายนิดเดียว


ถ้าเราอยากจะไปนิพพาน
...ก็คิดดูตั้งแต่เช้ามาจนนอนนี่ โอ้โฮ..มันมีอะไรกันบ้างนี่ในวันนี้ เช้าตื่นขึ้นมา อุ๊..ไม่ไหวแล้วขี้ปากเลอะเทอะ ต้องไปแปรงฟัน ต้องไปล้างหน้า ต้องหุงข้าวหุงปลา อาหารก็จะกิน เดี๋ยวก็ถ่ายอุจจาระ เดี๋ยวก็ถ่ายปัสสาวะ ยุ่งกันไปหมด

เฮ้อ..ไอ้เกิดมาเป็นคนนี่ หาความสุขอะไรไม่ได้ จะดูคนไหน ๆ ก็วุ่นวายไปด้วยการงาน ทำงานเกือบตาย สะสมทรัพย์สินไว้มากมาย สิ่งใดที่ปรารถนาก็พยายามไปหามา ในที่สุดต่างคนต่างตาย

เมื่อต่างคนต่างตายทรัพย์สินที่เราหามาได้มันก็ไม่เป็นของเรา ชาวบ้านเอาไปหมด แม้ร่างกายของเราก็เอาไปไม่ได้ พระพุทธเจ้ากล่าวว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานี่เป็นความจริง

แล้วทำไมเราจึงเกิด เราเกิดเพราะว่าเราหลง หลงอยู่ในโลภะ ความโลภ ความโกรธ ความจริงคนทุกคนเกิดมาแล้วมันก็ทุกข์ เกิดมาแล้วมันก็ตาย

คนทุกคนก็มีความปรารถนาดีที่ทำอะไรไป ก็เพราะมีความปรารถนาดีเขาถึงทำอย่างนั้น แต่เราไม่ชอบใจเราก็ไปโกรธเขา

ประการสุดท้ายเราก็เมาในชีวิต ชาวบ้านเขาตายเราก็เห็นแต่เพียงว่าเขาตาย ไม่ได้คิดว่าเราจะตายบ้าง เป็นอันว่าเกิดมาเพราะอาศัยความชั่วที่ในจิต คือ

๑. ติดอยู่ในโลภ
๒. ติดอยู่ในความโกรธ
๓. ติดอยู่ในความหลง

ทีนี้เราไม่เอาละ เลิกเกิดมันเสียทีดีกว่า มีหน้าที่หากินโดยสุจริต ก็ทำไปตามหน้าที่ จะมีรายได้มากเท่าไหร่ไม่สำคัญ แต่เราไม่ทุจริต

คิดว่าเมื่อชีวิตยังมีอยู่ คนในปกครองยังมีอยู่ ต้องทำมาหากินยังชีพให้ทรงตัว เพื่อให้คนในปกครองมีความสุขด้วยอามิสคือ ทรัพย์สินที่หามาได้

แต่ก็มีความรู้สึกอยู่เสมอว่า ทรัพย์สินที่หามาได้นี้ช่างมัน ตายแล้วจะอยู่กับใครก็ช่าง เราไม่สนใจกับมันอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับชีวิตเรา

ถ้าใครเขาจะสร้างความโกรธความพยาบาทให้เกิดขึ้นกับเรา เราถือว่านั่นเป็นความบ้าของเขา เราไม่อยากจะโกรธ ไม่อยากพยาบาท

ถ้าเขาไม่ดีเราไปปพูดกับเขา เขาก็แสดงอาการโหดร้าย สร้างความสะเทือนใจให้เกิด เราก็ใช้อุเบกขาเสีย วางเฉยเสียไม่ใช่เราโกรธ

แต่เมื่อพูดแล้วเขาดีด้วยไม่ได้เราก็ไม่พูด ทำใจให้สบาย ไม่ติดใจในเรื่องของความโกรธความพยาบาท แต่ถ้าเราคิดดูว่า

ถ้าจะฆ่าคนนี้ก็น่านึกดูว่าคนที่เราจะฆ่าน่ะ จะอยู่อีกสักกี่ปี ถ้าเราไม่ฆ่าเขาจะอยู่สัก ๕๐๐ ปีได้ไหม ก็อยู่ไม่ได้ เราไม่ได้ต้องฆ่าหรอก ความจริงไอ้คนจะตายน่ะนะ มันของไม่ยาก คนเกิดมาเท่าไรมันก็ต้องตายหมดเท่านั้นอยู่แล้ว

นี่เป็นอันว่าถ้าจิตใจของเราไม่ผูกพันในขันธ์ ๕ คำว่าไม่ผูกพันนี่ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ปลง จิตตั้งอารมณ์ไว้เพียงน้อย ๆ ว่า หน้าที่ของเรามีเท่าไร เราจะทำตามหน้าที่ที่เราเกิดมาแล้ว

แต่ทว่าชีวิตนี้หรือชีวิตไหนก็ตาม ไม่ว่าจะกี่ชาติก็ต้องอยู่ในสภาพไม่เที่ยงเป็นทุกข์และสลายตัวในที่สุดเหมือนชาตินี้

เป็นอันว่าคิดไว้เสมอว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับเรา ต่อไปชาติหน้าคำว่าเป็นมนุษย์ก็ดี คำว่าเป็นเทวดาก็ดี คำว่าเป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเรา เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน


ใช้ "อุปสมานุสติ" เป็นอารมณ์
...และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าจะให้ไกลไปกว่านั้นนะ ใช้ "อุปสมานุสติกรรมฐาน" เป็นอารมณ์ ท่านเรียกว่านึกถึงนิพพานเป็นอารมณ์ ทำเท่านี้แหละทำไปเถอะไม่ต้องไปใช้เวลามันหนักหรอก

อารมณ์มันจะชินเข้าไปทุกที ๆ ขณะที่เรายังไม่ป่วยไข้ไม่สบายนี่ ยังไม่รู้สึกว่าอารมณ์ขนาดนี้มันดีขนาดไหน พอป่วยไข้หนักขึ้นมาเมื่อไร จะรู้สึกตัว

นี่ทุกคน อาตมาเคยสังเกต พอป่วยหนักขึ้นมาจิตก็จับพั้บว่า เราต้องการพระนิพพาน พอเริ่มป่วยน้อย ๆ นะ ก็ตั้งจิตคิดว่า

คราวนี้เราคงจะตาย มันตายหรือไม่ตายก็ช่างมัน ก็คิดว่าทรัพย์สินทั้งหลายของเรามันไม่มี ญาติพี่น้องที่จะตายร่วมกับเราไม่มี ชีวิตนี้เราอาจจะตาย ตายก็ช่าง เราต้องการไปนิพพาน

คิดบ้างลืมไปบ้าง อะไรก็ตาม นี่สำหรับป่วยน้อย ๆ แต่พออาการเริ่มเครียดเข้ามาจิตมันจะจับเป็นอารมณ์ จับเป็นเอกัคตารมณ์ อาตมาลองมาแล้วนา

ใจไม่ควรยุ่งกับคนอื่น
...นอกจากนั้นในเวลาปกติ เราก็อย่าไปยุ่งกับชาวบ้านเขา เรามันจะแย่ เราควรจะยุ่งกับใจเราเองเป็นสำคัญ ตื่นขึ้นมาแต่เช้าก็ดูว่า

- จิตของเราประกอบไปด้วยราคะไหม ?
- หลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉมโนมพรรณหรือเปล่า ?
- จิตของเราหนักไปด้วยโลภะหรือเปล่า ?

ถ้าอยากร่ำรวยธรรมดานั่นไม่เป็นไร เป็นสัมมาอาชีวะ รับราชการเงินเดือน ๑๐ บาท อยากได้เงินเดือนพันบาท ก็ทำความดีเรื่อยไปจนได้เงินเดือนพันบาท อย่างนี้ไม่ใช่โลภ เป็นสัมมาอาชีวะ

ไอ้โลภนี่อยากจะแย่งเขาอยากจะโกงเขานะ ดูว่าจิตของเรามันข้องในเหตุนี้บ้างหรือเปล่า แล้วโทสะพยาบาทจองล้างจองผลาญน่ะ คิดจะประทุษร้ายคนนั้น อยากจะแกล้งคนนี้ อยากจะทำร้ายคนโน้น มันมีในใจหรือเปล่า

แล้วชีวิตของเราเกิดมาในเบื้องต้นแล้วก็แก่ แล้วก็ต้องตายนะ คิดบ้างหรือเปล่าว่าเราจะต้องตาย ไอ้ความตายมันไม่มีนิมิตรเครื่องหมาย

จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ บอกกาลเวลากันไม่ได้ เราคิดหรือเปล่าว่า เราอาจจะตายเดี๋ยวนี้ นี่เราชำระจิตของเราอย่างนี้ดีกว่า ทะเลาะกับใจเราเองดีกว่า

เป็นอันว่า ถ้าใจของเราเป็นสุข ร้อนก็เป็นสุข หนาวก็เป็นสุข ร่างกายมันร้อนมันหนาว แต่ใจเราไม่หนาวด้วยร้อนด้วย ใจมันสุข มันจะหิวกระหายทำใจเป็นสุข ร่างกายไม่สุขก็ช่าง มันป่วยไข้ไม่สบายใจก็สุข

ทุกขเวทนาจะหนักมากเพียงไร ใจก็สุขเท่านี้ใช้ได้ ถ้าจิตเป็นสุขได้อย่างนี้ เขาเรียกว่า "สังขารุเบกขาญาณ" และประกอบด้วยมี "อริยสัจ" ประจำใจ

คิดว่าร่างกายนี่มันทุกข์อยู่แล้ว ที่ทุกข์จะมีได้อาศัยตัณหาความทะยานอยาก ถ้าอยากเป็นมนุษย์ก็ไม่มีแล้ว อยากเป็นเทวดาเราก็ไม่มี อยากเป็นพรหมก็ไม่มี

พอเราตัด ๓ อย่างนี้ได้เป็นพอ จิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ช้าจิตมันก็เป็นสุข ท่านบอกว่า "นิพพานัง ปรมัง สุขขัง"

ถ้าชาตินี้มันไม่เป็นสุข ตายไปแล้วจะไปพบสุขอันนั้นไม่ได้ ต้องจิตเป็นสุขก่อน ถูกด่าก็เป็นสุข อยากด่าก็ปล่อยให้มันด่า สบาย..เดี๋ยวมันก็แพ้เรา

เอ้า..เวลาล่วงเลยไปมากแล้ว ถึงเวลาปฏิบัติพระกรรมฐานกันเสียที ขอสรุปว่าขอให้ท่านรักษาอารมณ์ที่ประพฤติปฏิบัติมาและทรงอยู่

อารมณ์นั้นบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนต่างทำร่วมกันมาทุกอย่าง จึงขอบรรดาท่านทั้งหลายพยายามทบทวนกำลังใจของท่านว่า

๑. ทานบารมี เราทำครบถ้วนแล้ว
๒. ศีลบารมี เราฝึกฝนไว้ดีแล้ว
๓. ภาวนาปฏิบัติ เราทำไว้ครบถ้วน

ฉะนั้นจงรักษากำลังใจของท่านไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ โดยตั้งจิตคิดไว้เสมอว่า ความเป็นมนุษย์จะไม่มีสำหรับเราอีก จะมีชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ความเป็นเทวดาหรือพรหมก็จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการคือพระนิพพาน

เมื่อคิดไว้ดังนี้แล้วก็พยายามชำระกำลังใจของทุกท่านทุกวัน ว่าอย่าให้ใจไปเมาอยู่ในอำนาจของความโลภ ถือว่าทรัพย์สินทั้งหลายที่เกิดมา มีทรงได้ก็สลายตัวได้ ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้

แต่เมื่อทรงอยู่ก็ต้องมีความขยันหมั่นเพียรเพื่อความสุขตามอัตภาพ ประการที่สองทำจิตให้อภัยแก่คนที่ทำความผิดอยู่เสมอ เว้นไว้แต่ว่าถ้าผิดระเบียบวินัยต้องลงโทษ


สามารถเข้านิพพานได้ในชาตินี้
...การลงโทษผู้อื่นก็ลงโทษเพื่อความหวังดีต่อบุคคนั้น จะได้ไม่ทำความผิดต่อไป ถ้ามีคนเขาด่านินทาว่าร้าย เราให้อภัยแก่เขาถือว่าเขาเป็นผู้หลงผิด

ประการที่สาม คิดอยู่ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายนี้มันเป็นโทษมันเป็นภัย ที่เราเกิดมาได้ก็เพราะอาศัยตัณหาดึงเรามา

เวลานี้เราพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ขึ้นชื่อว่าความต้องการคือความอยากอันเป็นตัณหา อยากจะมีร่างกายอย่างนี้ไม่มีสำหรับเรา

อยากจะเป็นเทวดาหรือพรหมไม่มีสำหรับเรา เรามีความต้องการอย่างเดียวคือธรรมะฉันทะ ความพอใจในธรรมได้แก่พระนิพพาน

สำหรับการฝึกจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน การทรงจิตมีความสำคัญ ควรฝึกไว้เสมอ ๆ เพื่อเป็นการทรงอารมณ์

เพราะบรรดาท่านทั้งหลายก็ทราบอยู่แล้วว่าความดีที่ท่านทำไว้ สามารถจะเข้าพระนิพพานได้ในชาตินี้ หากว่าท่านไม่ประมาท

ต่อจากนี้ไปขอให้ท่านทุกคนตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น รักษากำลังใจ ตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกหมดเวลา”


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 30/6/19 at 05:04 [ QUOTE ]


คุณอ๋อยกับ "ผลการปฏิบัติธรรม" (2)
กายใสเป็นแก้ว จิตเป็นประกายพรึก


"...เมื่อคุณอ๋อย ศิษย์คนสำคัญของหลวงพ่อตายลงไป บรรดาศิษย์ที่เหลือทั้งหลายต่างก็อยากจะทราบว่า คติของคุณอ๋อยเป็นอย่างไร จะได้ผลแค่ไหน

ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่จะต้องรู้สึกเช่นนั้น โดยเฉพาะคุณเสริมมีความเป็นห่วงอยู่ว่าในขณะที่ตายนั้น คุณอ๋อยไม่มีสติ คือไม่รู้สึกตัว

เหมือนคนนอนหลับแล้วตายในขณะหลับ คงจะตั้งจิตไม่ได้ดีกระมัง ไม่เหมือนเมื่อวันอาทิตย์ซึ่งลาพระเรียบร้อยแล้วโดยที่ยังมีสติ จึงต้องคอยถามจากที่พึ่งคือหลวงพ่อ

คืนวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๑ คือวันที่คุณอ๋อยตายและเป็นวันตั้งศพสวดพระอภิธรรม คืนแรกนั้นหลวงพ่อมาถึงตอนเกือบ ๒ ทุ่ม

พอถึงใคร ๆ ก็เข้าไปรุมถาม หลวงพ่อให้คำตอบว่าพระท่านสั่งมาว่า ถ้าใครถามเรื่องนี้ให้ตอบว่า “กายใสเป็นแก้ว จิตเป็นประกายพรึก”

คุณเสริมได้ยินคำนี้ รู้ว่าคุณอ๋อยไปดีไม่ตกต่ำ หน้าบานเป็นกะโล่ หุบยิ้มไม่ลง จนเจ้าตัวออกจะสงสัยว่าใคร ๆ คงนึกว่า หมอคนนี้ดีใจที่เมียตาย

บรรดาศิษย์อื่น ๆ ก็ยิ้มย่องผ่องใสโดยทั่วกัน ทำให้งานศพนี้ผิดกับศพอื่นคือไม่มีใครร้องไห้เลย มัวแต่ดีใจกันหมด บรรดาแขกคงจะแปลกใจไปตาม ๆ กัน


พิสูจน์คำหลวงพ่อ
...แต่อาจารย์เป็นอย่างไร ศิษย์ก็มักเป็นอย่างนั้น คือหลวงพ่อท่านชอบทดลอง ชอบพิสูจน์ ลูกศิษย์ก็เอาอย่าง กล่าวคือได้ยินคำตอบนี้แล้ว ยังต้องอุตส่าห์ไปสอบจากทางอื่นอีกหลายทางจนได้

ทางแรกพิจารณาเอาจากดินฟ้าอากาศในขณะที่พระราชทานเพลิง ซึ่งแต่เดิมมีแดดจ้า แต่พอแขกมาเป็นส่วนใหญ่ฟ้าก็ครึ้ม มีฝนโปรยเป็นละอองละเอียด

อาการของดินฟ้าเช่นนี้ ตรงกับที่จำได้ว่า หลวงพ่อบอกไว้เมื่อคราวไปทำพิธีบวงสรวงพระธาตุจอมกิตติที่เชียงแสนว่าไปคราวนั้นฝนจะตก เพราะเป็นพิธีใหญ่ที่พระเสด็จมามาก

เมื่อใดที่พระองค์ใหญ่ ๆ เสด็จ เทวดาจะมาชุมนุมมาก ฝนจะต้องตก ในคราวนี้ก็เช่นกัน จะเป็นสภาพอากาศเป็นไปโดยธรรมชาติหรืออย่างไร ก็เหลือที่จะเดา ถือเอาว่าเป็นนิมิตดีก็แล้วกัน

ทางที่สอง คุณรัชนี เจนรถา คน “ตาดี” ของพวกเรา บอกเพื่อนฝูงที่งานพระราชทานเพลิงว่า เห็นคุณอ๋อยลอยวนเวียนอยู่รอบเมรุ แต่งกายสวยงามมาก

ทางที่สาม ผู้มีตาดีอาวุโสอีกท่านหนึ่งเล่าว่า “คุณอ๋อยนี่ ถ้าหากว่าเราสามารถจะเห็นได้นะ ความจริงเขามาทุกคืน ฉันว่าเขาอยู่นี่ตลอดแหละ

ในช่วงที่เราทำบุญนี่ ดีไม่ดีเวลานี้เขาอาจจะมายืนยิ้ม ๆ อยู่ก็ได้ เขามีภาพสวยสดงดงาม รัศมีสว่างจ้า ที่เขามีภาพแบบนี้เพราะอาศัยอะไรเป็นสำคัญ

สมบัติของคุณอ๋อยที่ได้แบบนี้ พวกเราทั้งหมดก็ทำร่วมกันมาใช่ไหม พอเขาบอกว่าจะทำบุญอะไรใครบ่นรำคาญมีบ้างไหม มีแต่ต่างคนต่างควัก

ถ้ายอดเงินมันขาดต่างก็แย่งกันเติมเสียจนเกินแล้วเกินอีก ไอ้ทรัพย์ที่ออกมานี่มากหรือน้อยไม่สำคัญ สำคัญที่กำลังใจ คนมีสตางค์น้อยให้น้อย แต่ว่ากำลังใจมันเท่ากัน ให้เท่าที่จะให้ได้

เป็นอันว่ากำลังใจของทุกคนน่ะ สม่ำเสมอกับคุณอ๋อย เวลานี้คุณอ๋อยเขาตายไปแล้ว ขนาดเทวดาชั้นดาวดึงส์ก็ดี พรหมก็ดี สวยสู้เขาไม่ได้

แต่เขาอยู่ไหนฉันไม่รู้นะ ไม่รู้ที่เขาหรอก เห็นเขามานี่ฉันไม่ได้ไปดูบ้านเขา เห็นไหมเขาสวยขนาดนั้นได้ พวกเราก็สวยขนาดนั้นได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ ถ้าใครจะถือเป็นเรื่องของอากาศก็ตามใจ งานศพคุณอ๋อยวันนี้รู้สึกว่าอากาศมันครึ้มนะ

ครึ้มนี่..จะว่าพยับเมฆหรือพยับหนาว มันจะมาก็ตามใจญาติโยม แต่ความจริงฉันไม่ได้สนใจอะไร มันอยากจะครึ้มก็ครึ้ม มันอยากจะแจ๋ก็แจ๋ ตามเรื่องตามราว

เราก็นั่งคุยกันผ่อนคลายความเหนื่อย แต่สักประเดี๋ยวหนึ่งได้ยินเสียงกระชากๆ ข้างหลังว่า

"นี่..นั่งมุดหัวคุยอยู่นั่นแหละ ดูเสียบ้างอะไรมาข้างหน้าข้างหลัง เหลียวหลังชำเลืองๆ ดูใครพูดหว่า.."

เสียงว่ามาอีกว่า มันจะเห็นอะไร ดูข้างบนนี่ แหงนขึ้นไปดูเจอะแต่เพดาน เอ๊ะ..ไม่รู้เสียงมาจากไหน แต่ทราบดีเสียงดุแบบนี้ไม่มีใครหรอก

องค์ปฐมท่านบอกว่าดูอะไรเสียบ้างซี ดูก็เห็นแพรวพราวอยู่ในอากาศเต็มไปหมด สวยบอกไม่ถูก เสียงมาอีกว่านี่ อย่าเสือกดูข้างบน เขาให้ดูข้างล่าง

แล้วกัน..นึกว่าให้ดูข้างบน ท่านบอก ดูคนที่มันมาวันนี้ทั้งหมดน่ะ ไอ้พวกที่มาจริง ๆ แล้วเอาจริงนี่นะ คนพวกนี้ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ มันก็ไปอย่างอ๋อยทั้งนั้นแหละ

ท่านว่าอย่างงั้นแหละ บอกให้ดูตรงนี้ ไอ้เราไปดูข้างบนเห็นแพรวพราวสวยไปหมด อากาศหาที่ว่างไม่ได้เลย..”


ต่อไปเป็นเรื่องของโยมพวง
...โยมพวงเป็นอุบาสิกาอยู่ที่วัดท่าซุง กลางคืนแกหาบของมาที่วัดทำกรรมฐานแล้วนอนค้าง เช้ามืดแกก็รีบกลับ โยมพวงเป็นคน “ตาดี” คนหนึ่ง

แต่เดิมแกเห็นพระนิพพานไม่ได้ หลวงพ่อให้แกทำวิปัสสนามาก ๆ แกทำ ๆ ไปแกก็มองเห็นได้ แต่แกไม่เคยฟังเกร็ดความรู้ต่าง ๆ หลังกรรมฐานของหลวงพ่อ

พอเลิกกรรมฐานแกก็กราบลาไปนอน คราวหนึ่งแกสงสัยก็ถามหลวงพ่อว่า บนนิพพานน่ะผู้หญิงอยู่ได้ด้วยหรือ ?

หลวงพ่อตอบว่า ทำไมจะไม่ได้ ถามทำไมล่ะ ?

โยมพวงตอบว่าเห็นคุณอ๋อยอยู่บนนั้น นี่ก็เป็นเรื่องของโยมพวงแกเห็นไปเอง เรื่องประเภทนี้เคยมีคนเรียนถามหลวงพ่อว่า ในนิพพานไม่มีขันธ์ไม่มีรูป ทำไมจึงเห็นเป็นรูปท่านเหล่านั้นได้

หลวงพ่ออธิบายว่า แล้วแต่ท่านเหล่านั้นจะทำให้เห็น ส่วนมากถ้าท่านให้เห็นท่านก็ให้ปรากฏเป็นภาพ ขณะยังไม่ตายเพื่อจะได้จำได้

เวลาพูดก็ใช้ถ้อยคำเหมือนเดิม มิฉะนั้นก็จะไม่รู้กัน จะเข้าใจว่าเป็นคนอื่น ถ้าท่านไม่ให้เห็นก็เห็นไม่ได้

อีกทางหนึ่งที่คณะของคุณอ๋อยเคยใช้กันคือ ทางการทรงกระดาน ที่ทั่วไปเรียกว่า "ผีถ้วยแก้ว"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 10/7/19 at 05:01 [ QUOTE ]


คุณอ๋อยกับ "ผลการปฏิบัติธรรม" (3)
"การทรงกระดาน" โดย ป่อง โกษา


"...การทรงกระดานนี้มีคณะบุคคลเรียกชื่อว่า "คณะพรสวรรค์" ดำเนินการกันอยู่ ถือว่าเป็นการทดลองการศึกษาอย่างหนึ่ง

ปรากฏว่าการทรงกระ ดานเป็นประโยชน์ในหลายกรณี เช่นสอบถามในปัญหาปลีกย่อย หรือปัญหาทางโลกซึ่งไม่ควรถามจากอาจารย์ของตน จะว่าตามภาษาฝรั่งว่าเป็น “ฮ้อบบี้” ก็ได้

ผู้ที่ร่วมอยู่ในวงล้วนมีการศึกษา ทราบอยู่แก่ใจว่าในวงการนักวิทยาศาสตร์แล้วเขาถือว่า เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องเหลวไหลงมงาย

เพราะฉะนั้นเมื่อได้ความรู้จากการทรงกระดานแล้ว ก็ไม่ได้เอาไปเป็นเครื่องยืนยันกับผู้อื่นว่า เป็นจริงอย่างนั้นอย่างนี้ คือรับฟังไว้ด้วยความสนใจเท่านั้น


ในกรณีที่มีการตายเกิดขึ้น คณะของคุณอ๋อยไปหาความรู้จากการทรงกระดาน ซึ่งปรากฏผลดังนี้

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต
...วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ วันสิ้นชีพิตักษัยของเสด็จพระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต นิมนต์หลวงตาแสงมาถาม

ถ. (ถาม) หลวงตาคงทราบเรื่องท่านหญิง
ส. (หลวงตาแสง) สบายไปแล้ว

ถ. ขอให้หลวงตาเล่า
ส. เขาทำพิธีรับ พึ่งเสร็จ รีบๆ ทำกันไวๆ หมั่นสำรวจทุกข์ที่มีต่อกายต่อใจที่กระทบ ฉะนั้น เรื่องนี้เป็นข้อพิสูจน์

๑. ว่ายึดมั่น เชื่อในพุทธานุภาพ
๒. เชื่อและรู้ในสัจจธรรมของมวลมายา
๓. รู้ในภาวะตนเองของจิตเมื่อกระทบกับความเป็นจริง
๔. รู้ทุกอย่างว่าอนัตตา

ถ. ก่อนจะสิ้นท่านรู้ตัวหรือเปล่า
ส. รู้

ถ. รู้ก่อนสัก ๗ วันได้หรือไม่
ส. เขารู้ รู้ในภาวะของจิต มิใช่รู้อย่างรู้หนังสือ

ถ. ก่อนสิ้นท่านเป็นพระอริยะอยู่ก่อนหรือเปล่า
ส. เป็น

ถ. ระดับไหน
ส. สอง

ถ. คนดีๆ ทำไมไม่อยู่เพื่อประเทศชาติ
ส. คนดีๆ เขาก็หนีไปเสวยวิมุติสุข


ต่อไปเสด็จพระองค์หญิง (ว.) ก็เสด็จ

...ว. ว่าไงจ๊ะ พี่โย่ง ตามหญิงนะ ทุกๆ คนหญิงเป็นสุขที่สุด ไม่มีอะไรสุขมากเท่านี้อีกแล้ว
ถ. จะพยายามเพคะ

ว. ต้องไปให้ได้นะพี่ ทุกๆ คนด้วยจ้ะ หญิงคอย
ถ. หลวงพ่อช่วยยังไงเพคะ

ว. ตั้งอารมณ์ให้หญิง
ถ. ทรงมีทุกขเวทนามากหรือ

ว. ก่อนโดนมันยิงก็รู้สึกตัวหวิว ๆ แล้ว เมื่อโดนยิงรู้สึกชาไปทั้งตัว แล้วระลึกถึงหลวงปู่ พอเริ่มหน้ามืดก็รีบจับลมภาวนา เพราะรู้ตัวว่าคงไปไม่รอดแน่

ทุกครั้งที่หญิงมาทำงานแทนในหลวงก็จุดธูปก่อนทุกที แล้วรู้สึกตัวให้เหมือนว่า เราทำงานทุกครั้งต้องมีภัยแน่ๆ

โธ่..ไปทำงานก็ต้องเตรียมไว้ ไปทำในแดน ผกค. ก็ต้องเตรียมแล้ว หญิงสังหรณ์ตั้งแต่ทำบุญสุโขทัยแล้วว่าแม่ต้องมารับ

ถ. ที่ท่านแม่ย่ามากอด
ว. ใช่ รีบๆ กันซีพี่โย่ง

ถ. จะสำเร็จแค่ไหน
ว. ยึดหลวงพ่อและหลวงปู่ให้มั่นๆ

ถ. เมื่อกี้ทำพิธีอะไร
ว. บวช

ถ. ท่านอยู่ในภาวะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
ว. จิต บวชนี่ไม่ใช่บวชมีนาคอะไรนะ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัส “เอหิภิกขุ”

ถ. คนเวลาไปนิพพานต้องบวชทุกคนหรือ ?
ว. ถวายตัว

ถ. พวกเราดีใจที่ท่านหญิงเป็นองค์นำหน้า
ว. เราชนะแล้วนะ

ถ. เป็นไปได้ยังไง รวดเร็วมาก
ว. ธรรมดาพี่ เอาแน่อะไรไม่ได้

ถ. มีอะไรจะให้พวกเรารับใช้ก็ได้
ว. ดูหลวงปู่ หลวงพ่อ เพราะเป็นหลักใหญ่ที่ทุกคนจะไปสู่ปรินิพพานได้


(คุณหญิงสุวรรณาภา (พี่โย่ง) สังขดุลย์)

ถ. ที่หลวงพ่อเคี่ยวเรื่องนิพพานตั้ง ๓ คืน ท่านบอกว่าไม่ใช่ท่านเคี่ยวเอง ที่เคี่ยวเพราะมีคนจะได้ นั่นหมายถึงท่านหญิงหรือเปล่า

ว. นั่นแหละ เธอก็ได้ธรรมนะ โธ่..สำคัญอารมณ์ตอนตายนิดเดียวเท่านั้นจริงๆ นะ

ถ. หลวงพ่อนำไปหรือ
ว. ท่านตั้งอารมณ์ให้เท่านั้น นอกนั้นอยู่ที่เรา

ถ. ภาวนา พุทโธ หรือว่า นิพพานัง
ว. พุทโธ

ถ. ท่านทรงเห็นพระนิพพานก่อนจะสิ้นหรือ ?
ว. พระท่านมา

ถ. ที่รับสั่งว่า “สว่าง”
ว. จ้ะ

ถ. ท่านไม่ห่วงข้างล่างหรือ
ว. ไม่รู้จะห่วงทำไม ช่วยได้ แต่อย่าห่วง หญิงรู้ก่อนแล้ว เขียนพินัยกรรมก่อนแล้ว

ถ. ที่หลวงปู่บอกว่าท่าน “หมดกรรม” ทรงจำได้ ?
ว. ได้ ถึงได้เตรียม หญิงไม่นึกเลยว่า จะตายอย่างมีเกียรติ นึกว่าคงหง่อมตาย

ขอบใจมากๆ นะ ทุกๆ คน สิ่งใดที่หญิงเคยล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ขออโหสิกรรมด้วย ทุกๆ คนจะได้ไปสบายๆ หมั่นอโหสิกรรมกันนะ จะได้ไม่มีการจองเวร.."


จ่าพัว ชระเอม (สิงห์บุรี)

...ต่อมาจ่านายสิบตำรวจพัว ชระเอม ตายด้วยโรคมะเร็ง จ่าฯ คนนี้มีศรัทธาในหลวงพ่อมาก เคยถวายทานใหญ่ ๆ หลายหน

หลวงพ่อโทรศัพท์ทางไกลมาแจ้งว่า เจ้าตัวเขาขอให้เชิญทรงกระดาน จ่าฯ ผู้นี้จะพูดว่าไม่เคยพบหน้ากันกับกลุ่มคุณอ๋อยก็ว่าได้ เมื่อ ๑๐ มีนาคม ๒๐ ขณะที่ทรงกระดานกันอยู่ก็มีผู้เดินกระดานว่า

คนเฝ้าเยอะนะ ผมหมายถึงเทพ
(ถาม - ท่านพัวหรือ?)
ตอบ - ใช่ครับ
(ถาม - อยากให้ช่วยเล่าให้พวกเราฟัง เพราะเป็นคนที่สอง)
ตอบ - พระมารับฮะ
(ถาม - เห็นว่าจะไปไหว้พระที่พระจุฬามณีสัก ๓ วันก่อน แล้วไปหรือป่าว)
ตอบ - ไป สวยมาก
(ถาม - ตอนอยู่พระจุฬามณี เห็นพระนิพพาน)
ตอบ - พระท่านบอก

(ถาม - ตอนป่วยจิตใจเป็นอย่างไร)
ตอบ - ตอนจะไปรู้สึกว่าหายใจไม่คล่อง มีเจ็บบ้างก็พยายามจับ 'พุทโธ' คิดว่าไม่เอาอีกแล้ว ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น มันรู้สึกเบื่อขึ้นมา

ในขณะนั้นรู้สึกสบายแปลกๆ รู้ตอนหลังพระท่านบอกว่า ตอนอารมณ์สบายนั้น อยู่ในภาวะฌาน เบื่อฮะ..ที่ต้องนอน..ต้องกินยา..อะไรจุกจิก

จิตไปจับ 'พุทโธ' เข้า แล้วเพ่งที่เบื่อเป็นอารมณ์ เลยไปๆ มาๆ ก็เป็นเอกกัคตารมณ์ คิดทวนไปทวนมาก็คิดว่าไม่ขอเกิดตามหลวงพ่อสอนดีกว่า

เหมือนกับเราตกลงใจอะไรสักอย่าง ที่แน่นอนนั่นแหละครับ ถึงอยากให้ท่านๆ ทั้งหลาย ได้เอามาเป็นแนวนิดๆ หน่อยๆ บ้าง

(ถาม - ตอนใกล้ๆ มีอาการทุรนทุราย )
ตอบ - ตอนนั้นผมไม่รู้ เพลินไป รู้แต่ว่าพอคิดได้พระท่านก็มาเรียกไป

(ถาม - เรียกยังไง )
ตอบ - ท่านก็ว่า ลูกสบายแล้ว ลูกตัดสินใจถูกแล้ว มาหาพ่อลูกจะไม่มีทุกข์แล้ว

(ถาม - เห็นฉัพพรรณรังสี)
ตอบ - สว่างมากครับ

(ถาม - มองเห็นตัวเองไหม)
ตอบ - เห็นฮะ

(ถาม - ลักษณะเป็นยังไง)
ตอบ - ก็ศพธรรมดา เห็นศพตัวเองก็สังเวชใจ ยิ่งเห็นคนร้องไห้ก็สงสาร สงสารที่เขารักตัวปลอม

(ถาม - บวชวันนี้)
ตอบ - ฮะ ที่พระจุฬามณี พอออกไปพระท่านก็เรียก เอหิภิกขุ

(ถาม - ร่างบนนั้นในนิพพานเป็นอย่างไร)
ตอบ - เป็นพระฮะ ตามไปนะฮะ

(ถาม - จะพอประทานรสชาดบนพระนิพพานได้ไหม)
ตอบ - อย่าไปติดบรรยายเลย เพราะความสวยเอาไปไม่ได้ฮะ ฟังแล้วก็แค่ชื่นใจประเดี๋ยวเดียว สู้หมั่นฝึก หมั่นหนี หมั่นละ ดีกว่า.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/7/19 at 04:30 [ QUOTE ]


คุณอ๋อยกับ "ผลการปฏิบัติธรรม"
การทรงกระดาน (ตอนจบ) โดย ป่อง โกษา


คุณเฉิดศรี (อ๋อย)
"...ถึงคราวคุณอ๋อยตายบ้าง พรรคพวกก็เชิญมาคุยกันตามธรรมเนียม (คุณอ๋อยสิ้นเมื่อ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๑ วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๑ เป็นวันนัดทรงกระดาน)

☺ ขอบคุณมากนะจ๊ะ
• คุณจ๊ะ ทำใจได้ไหมจ๊ะ

• อ๋อยสบายดีมากเลย ได้พบทุกๆ องค์ ไปไหนก็สบาย
☻ (ถาม – เห็นสมเด็จประทานม้วนอะไร ?)

☺ ให้ตัดเรื่องห่วงวัด ท่านทรงให้ดูคำพยากรณ์ของวัดและหลวงพ่อ
☻ (ถาม – อารมณ์ที่ทำจิตได้นั้น ตอนไหน ?)

☺ ก่อนตาย ถ้าทำได้ก็ไม่พ้นวัน
☻ (ถาม – มีความรู้สึกยังไง ?)

☺ ทุกข์เกิด เป็นห่วงหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อท่านมา ท่านสอนว่าไม่ให้ติดในตัวบุคคล
• อยากให้ทุกคนรีบขึ้นไปจัง อิสระจริงๆ ไปไหนหรือหาใครก็สะดวก ได้ไปกราบพระจนชุ่มใจจริงๆ

☻ (ถาม – ตอนเสวยวิมุติสุข เป็นยังไง ?)
☺ เบา อิ่มใจ สบาย เบาใจ สดชื่น เสียดายว่าเราโง่ตั้งนาน พวกเราไปได้ทุกคนเลย มีความสุขจริงๆ

☻ (ถาม – ตอนไป ไปในฌาน 4 หรือ ?)
☺ ฌาน 4

☻ (ถาม – งั้นคนไม่ได้ฌาน 4 ทำไง ?)
☺ ถึง แต่ไม่รู้

☻ (ถาม – ถึงในเวลาพิจารณา หรือในเวลาทำสมาธิ ?)
☺ ถึงทั้งเวลาพิจารณาและอยู่เฉยๆ ตอนยังไม่ตาย อ๋อยเคยได้อะไรทีไหน

☻ (ถาม – อยากถามเรื่องฌาน)
☺ อย่าเพิ่งถามเลย ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองไปได้ยังไง ขอศึกษาก่อนนะ

☻ (ถาม – พระรูปของสมเด็จองค์ปฐม ท่านเสกให้หรือเปล่า ?)
☺ เดี๋ยวนี้ท่านก็เสด็จ

☻ (ถาม – ถ้าสงสัยพระต่างๆ ว่าองค์ไหนเป็นอะไรแค่ไหน จะตอบได้หรือไม่ ?)
☺ ต้องไปทูลถาม เวลานี้ยังไม่ถึงขั้นบอกได้เอง ต้องทำความเพียรอีกหน่อย

☻ (ถาม – ตอนก่อนตายคงมารับกันกระมัง ?)
☺ มากันมาก เห็นแล้วตกตะลึง

☻ (ถาม – มารับก่อนสิ้นใจหรือ ?)
☺ ใช่ สวยมากๆ สมเด็จฯ ทรงฉัพพรรณรังสีสวยที่สุด

☻ (ถาม – หลวงตา บอกว่า จะไปหนักมากตอนกุมภาพันธ์ ทำไมไปเสียก่อน ?)
☺ ขืนอยู่ก็ต้องครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างนั้น

18 มกราคม 2521
☺ ไปข้างบนสับสนจริงๆ เพราะเป็นของใหม่ ได้รู้อตีตังสญาณมากจนรู้จักใครเป็นใคร ตอนนี้ได้ไปเฝ้าท่านพ่อพระอินทร์ทุกวันเลย พบท่านแม่ศรีใหญ่ แม่ศรีเล็ก

☻ (ถาม – ที่เขาถ้ำมีสมบัติจริงหรือเปล่า ?)
☺ มี เขาเอาไปตั้งนานแล้ว โดนท่านหลอก

☻ (ถาม – เทวดาไม่ควรหลอก)
☺ ท่านให้พ้นเคราะห์จ๊ะ ม่ายงั้นต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยเรื่องอื่นๆ

☻ (ถาม – แล้วที่เมืองกาญจน์ ?)
☺ เป็นเรื่องของความเจ็บป่วย รู้ไหมฉันได้ธรรมเพราะอะไร ?

☻ (ตอบ – ขอให้เล่า คนอื่นจะได้ฟังด้วย)
☺ ท่านมาเร่ง ตอนที่ประทับทรง ท่านทรงเพื่อสอนอ๋อย เพราะท่านรู้แล้วว่าอ๋อยจะอยู่ได้น้อย ตอนนั้นถามจุกจิกท่านได้

☻ (ถาม – พระราชทานเพลิงและผ้าหน้าศพ ทราบหรือ ?)
☺ จ๊ะ ฉันไปหาท่านมาแล้ว แอบไป ไปกับท่านหญิง ท่านชวนไป

25 มกราคม 2521
☻ (ถาม – ขอทราบชื่อข้างบน)
☺ “ธรรมภิกษุ” ท่านเห็นว่าอ๋อยเลี้ยงพระมามาก รู้หรือเปล่าว่าอ๋อยไปเพราะเลี้ยงพระนะ

☻ (ถาม – จิตตอนใกล้จะดับเป็นอย่างไร ?)
☺ ตอนนั้นนะจ๊ะ พิจารณาความทุกข์ของร่างกายว่ามันเลว ใจเลยสบาย คือเราอย่าไปคิดเจ็บตาม (ไปกับ) ร่างกาย อารมณ์เหมือนคนเคลิ้ม ครึ่งหลับครึ่งรู้สึก

นั่นแหละจะรู้สึกเบาขึ้น เบาขึ้นเรื่อยๆ จนใจเราจับอยู่ที่พระ จะเห็นพระท่านใสขึ้น นั่นแหละที่ตัวเราแยกออกโดยแท้เลย

ที่จริงอ๋อยหลุดไปเกือบวันแล้วนะ อ๋อยถึงได้เห็นร่าง และได้พิจารณาร่าง (ของตัวเอง) เรามีพระชั้นเยี่ยมๆ นะ จับท่านไว้ให้ดี

☻ (ถาม – ตอนเผามีฝนปรอย พี่อ๋อยทำหรือ ?)
☺ พระย่ะ

☻ (ถาม – เริ่มตัดเมื่อไร ?)
☺ วันที่ 11 นะจ๊ะ ตอน 3 ทุ่มรู้สึกปวดมาก จะเหมือนวันอาทิตย์ ทนแทบแย่ ใจฉันก็นึกถึงหลวงพ่ออยู่ว่า ท่านจะให้อยู่ต่อต้องขอไม่ทรมาน

แล้วอารมณ์ก็ชักเคลิ้มๆ พิจารณาว่าร่างเรานี่มันทรมานจริงๆ แค่นั้นเองหลวงพ่อท่านก็ปรากฏขึ้น ใจคิดนะ แต่ไม่เหมือนหลวงพ่อตอนนี้หรอก สวยมาก ใจเลยจับที่ท่านกับสมเด็จองค์ปฐม

☺ พอดีตอน 4 ทุ่มกว่าๆ หลวงปู่ (ธรรมไชย) ท่านก็มาทำพิธี ตอนนั้นจิตยังกึ่งห่วงกึ่งไม่ห่วงอยู่ ใจยังได้ยินเสียงหลวงปู่ชัดมาก เลยได้ฟังท่านสวดอะไรต่ออะไรจนเคลิ้มอีกครั้ง

คราวนี้ได้พบพระมากมาย หลวงพ่อ หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่วงศ์ หลวงปู่คำแสนเล็ก หลวงปู่คำแสนใหญ่ท่านก็มา ท่านให้กำลังใจมาก โดยเปล่งฉัพพรรณรังสี เห็นคราวนี้ติดตา

☺ พร้อมกับได้ฟังเทศน์หลวงปู่อีกครั้งในเรื่องของทุกข์ ชาดก จิตก็เลยพิจารณาตามดูตัวเองที่นอนอยู่ ดูกายที่ดีกว่าสังขารขันธ์ 5 แล้วหลวงพ่อท่านจึงชวนไปดูที่อยู่ใหม่

ตอนนั้นสมเด็จตรัสว่า ยังติดที่ห่วงงานของวัดของหลวงพ่อ เป็นตัณหาอย่างหยาบๆ อยู่ เลยต้องพิจารณาทบทวน ท่านทรงเมตตาแสดงภาพในอนาคตให้ปรากฏขึ้น ฉันเลยสบายใจขึ้น

☺ ตอนตี 3 ต่อตี 4 เมื่อจิตคิดทบทวนไปมาเรื่องภาระต่างๆ เรื่องวัดหลวงตา เรื่องคุณ และลูกๆ พร้อมทั้งดูสังขารตัวเองว่า มีแต่จะทรุดลงๆ แล้วยังทำความลำบากให้กับอีกหลายคน

ไหนๆ ก็จะทิ้งแล้ว ไม่ต้องให้ใครเขามาลำบากกับเราอีก เมื่อจิตคิดเพียงเท่านี้ใจเลยเป็นสุข อิ่มเหมือนกับเราตัดสินใจ ตกลงใจจะเอาอะไรอย่างหนึ่งแน่นอน นั่นแหละที่เรียกว่า 'วิมุติสุข'

☻ (ถาม – ตอนจิตออกไปไม่รู้ตัว ใช่ไหม ?)
☺ จ๊ะ เหมือนคนเคลิ้มๆ แล้วเลยไป

☻ (ถาม – นี่เป็นฌาน 4 ด้วยหรือ ?)
☺ จ๊ะ

☻ (ถาม – จิตไม่ได้จับพระนิพพานหรือ ?)
☺ จับซิจ๊ะ จับอยู่ตลอด นี่เล่าให้ฟังถึงความรู้สึก

☻ (ถาม – ทิ้งร่างไปตั้งแต่ตอนตี 4 หรือ ?)
☺ ใช่จ๊ะ ร่างมันยังทำงานของมันไปจนกว่าถ่านจะหมด

☻ (ถาม – แล้วอยู่ตรงนั้นถึงกี่โมง ถึงไปข้างบน ?)
☺ เคลื่อนไปอยู่เรื่อยๆ จ๊ะ เพราะท่านพาไปดู

☻ (ถาม – ไปแล้วเขามีพิธีอะไรบ้าง ?)
☺ วันนั้นแหละจ๊ะ ท่านก็เรียกเป็น 'เอหิภิกขุ'

☻ (ถาม – กระดูกพระอรหันต์เขาว่า ต้องเป็นพระธาตุ ?)
☺ อยู่ที่อธิษฐานจ๊ะ ใครจะไปรู้ว่าจะได้เป็นล่ะจ๊ะ

☻ (ถาม – บนนิพพานมีเพศหรือเปล่า ?)
☺ ไม่ค่ะ

☻ (ถาม – ท่านเป็นภิกษุ หมายถึงผู้ชาย ?)
☺ พระค่ะ เราอย่าไปติดเพศซิคะ

☻ (ถาม – พวกสุกขวิปัสสโกไปข้างบนยังไง ?)
☺ กายทิพย์ยังไงคะ กายบุญ เหมือนเขาทำหุ่นเราไว้


...นี่เป็นเรื่องของการทรงกระดาน ฟังกันไว้เล่น ๆ หรือพูดว่าฟังกันไว้สนุก ๆ จะดีกว่า

สำหรับตัวคุณเสริมเองนั้นมีความสงสัยไม่หายว่า เมื่อพระท่านทำพิธีให้อย่างใหญ่โต และหลวงพ่อบอกว่าหาย แล้วทำไมจึงตายได้

พอดีตอนที่หาหลักฐานต่างๆ ส่งให้ผู้เขียนรวบรวมนั้น บังเอิญพบกระดาษกำหนดการพิธี ซึ่งหลวงพ่อพิมพ์เองตามคำสั่งของพระท่าน ปรากฏว่ามีใจความดังนี้


กำหนดบำเพ็ญกุศลพิเศษ

(๑) เจริญพระกรรมฐานเสร็จ ผู้บำเพ็ญกุศลคลุมตัวด้วยผ้าขาว ประคองรูปเปรียบ ซึ่งมีสายสิญจน์ผูกติดอยู่ด้วย สายสิญจน์ พระถือไว้ทุกรูป

(๒) ในเวลาเดียวกันนั้น พระสวดมาติกา เสร็จแล้วบังสุกุล (ตาย)

(๓) หลังจากนั้น เอารูปเปรียบใส่ไว้ในถาดหรือสังกะสี เริ่มจุดไฟเผารูปเปรียบหรือรูปแทน พระสวดหน้าไฟ (พระอภิธรรม ๗ บท)

(๔) เมื่อพระสวดเสร็จ ผู้บำเพ็ญกุศลถวายไทยทาน แด่ภิกษุสามเณรทุกรูป เมื่อถวายเสร็จ ใช้ผ้าขาวคลุมตัว พระสงฆ์บังสุกุล (เป็น) แล้วให้พร

(๕) ขณะที่พระให้พร ขอให้ผู้บำเพ็ญกุศลนึกถึงเจ้ากรรมทั้งหลายที่เคยถูกกระทำมาในกาลก่อนทั้งหมด คือก่อนวันนี้ เรื่อยลงไปถึงในอดีตทั้งหมด ขอให้มาอโหสิกรรมและอนุโมทนา

(๖) พระให้พร (ยถา) แล้วให้ 'สาอัตถลัทธา' จบแล้ว ใช้ 'มงคลจักรวาลน้อย ภะวะตุสัพฯ' เป็นเสร็จพิธี ตอนที่พระให้พร ให้ผู้บำเพ็ญกุศลและคนอื่นร่วมรับการประพรมพระพุทธมนต์

(๗) หลังจากนั้น เรื่องของหมอ หมดภัยในวัฏฏสงสาร


พิธีนี้ทำเมื่อ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๐ ก่อนวันตายถึง ๖ เดือน ไม่มีใครเอาใจใส่กับคำว่า “หมดภัยในวัฏฏสงสาร” ไปทึกทักกันเอาเองว่า หมายความว่าหายจากโรคกันหมด ซึ่งก็เป็นการดีไปอย่างหนึ่ง คือ ดีแก่กำลังใจของครอบครัว

คติของคุณอ๋อยที่พวกข้างหลังอยากจะรู้ว่ามีผลเป็นประการใด ก็ได้นำมาแสดงไว้แล้ว คุณอ๋อยจะไปอยู่ที่ไหน ผู้ที่รู้เองเห็นเองไม่ได้ ก็ย่อมจะไม่มีความแน่ใจลงไปได้

ที่แน่ใจได้นั้น คือแน่ใจว่าคุณอ๋อยไปสู่สุคติแน่นอน เป็นกำลังใจแก่เพื่อนในทางธรรมที่จะตั้งจิตปฏิบัติ เพื่อผลสูงสุดอันเป็นจุดหมายปลายทางของพระพุทธศาสนาได้ไม่น้อยทีเดียว

บัดนี้เป็นการอันสมควรที่จะยุติเรื่องของคุณอ๋อยได้แล้ว ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจจะยกย่องยืนยัน หรือช่วยอวดอ้างสรรพคุณของคณะปฏิบัติธรรมคณะนี้ว่า จะดีวิเศษกว่าคณะอื่นแต่อย่างใด

เพียงแต่ประสงค์จะให้เป็นเครื่องยืนยันในผลการปฏิบัติธรรม ตามคำสอนขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าปฏิบัติตามได้จริง มีผลประเสริฐจริงเท่านั้น

...ขอนมัสการ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร อาจารย์ผู้มีพระคุณ ผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา จนสามารถเรียบเรียงเป็นหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาได้

กุศลผลบุญ คุณความดีของหนังสือนี้ ขออุทิศแด่คุณเฉิดศรี สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ขอให้มีความสุขสมบูรณ์ด้วยเทอญ.."

“ป่อง โกษา”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/7/19 at 09:55 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 11/8/21 at 10:13 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top