Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 13/8/19 at 17:34 [ QUOTE ]

บันทึกของคุณหมอที่เคยรักษาพยาบาลหลวงพ่อฯ


สารบัญ (เลือกคลิกที่รายการ)

ตอนที่ 1 ประสบการณ์ และความประทับใจ โดย พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์
ตอนที่ 2 คุณวิเศษของหลวงพ่อ โดย แพทย์หญิง รำจวน หงสเวส
ตอนที่ 3/1 เล่าเรื่อง "อาการป่วยของหลวงพ่อ" โดย น.พ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์
ตอนที่ 3/2 คำว่า "หมอจะเผาตำรา" โดย น.พ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์ (ตอนจบ)
ตอนที่ 4/1 พบหลวงพ่อเป็นครั้งแรก โดย ครูพรนุช คืนคงดี
ตอนที่ 4/2 กิจวัตรประจำวันของหลวงพ่อ โดย ครูพรนุช คืนคงดี
ตอนที่ 5 บันทึกหลวงพ่อป่วยหนักที่อเมริกา ปี 2530

ตอนที่ 6 บันทึกของคุณหมอสุวิทย์ บุณยะเวชชีวิน, คุณหมอนพพร-เตือนใจ กลั่นสุภา

[ ตอนที่ 1 ]
(Update 14 สิงหาคม 2562)


ประสบการณ์ และความประทับใจ
โดย พลอากาศโท ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์


"...เมื่อมีผู้ชักชวนให้พวกศิษย์เขียนประสบการณ์ และความประทับใจในหลวงพ่อ (พระมหาวีระ ถาวโร หรือ พระสุธรรมยานเถระ หรือ พระราชพรหมยาน)

ผู้เขียนก็เกิดความรู้สึกว่า การกระทำเช่นนี้ อาจเป็นเหตุให้มีผู้ตำหนิว่าอวดอ้างอาจารย์ได้ แต่เมื่อคิดดูแล้วตัด สินใจว่า ให้เป็นเรื่องของผู้ชักชวนรับไปก็แล้วกัน

...โดยธรรมดาคนเราย่อมชอบคนเก่ง ถ้าจะไปหาพระก็ต้องไปหาพระเก่ง ไม่เคยมีใครชักชวนกันไปหาพระไม่เก่งเลย เมื่อพูดถึงพระเก่งก็ยังมีเก่งใน ๒ ทาง คือ

- เก่งทางธรรมะ
- กับเก่งทางความสามารถพิเศษ เช่นดูหมอ รดน้ำมนต์ รักษาโรค ฯลฯ

เวลาชวนไปหาพระเก่งก็มักจะเป็นพระเก่งความสามารถพิเศษเสียมากกว่า หากชวนไปหาพระเก่งธรรมะ ผู้ถูกชวน ชักจะหน้าเหย เพราะพื้นความรู้ทางธรรมไม่ค่อยมี คุยกันไม่รู้เรื่อง

ในพ.ศ. ๒๕๑๑ คุณเฉิดศรี ภรรยาของผู้เขียนให้ไปทอดกฐินที่วัดท่าซุง ตามคำชวนของ "คุณสุรนุช" ภรรยา พล.อ.ต.พะเนียง กานตรัตน์ (ยศขณะนั้น) บอกว่าพระองค์นี้เก่ง ถามเธอว่าเก่งยังไง ?

เธอเล่าว่า ร.อ.มนูญ ชมพูทีป (ยศขณะนั้น) ถามหลวงพ่อว่าสอบเข้าโรงเรียนผู้บังคับฝูงไปแล้วได้เลขคู่หรือเลขคี่ (เพราะเลขคี่ เข้าเรียนก่อน)

ท่านตอบว่าได้ที่ ๓ ผลปรากฏว่า เป็นดังนั้นจริงๆ ภายหลังผู้เขียนสอบถามคุณมนูญดูก็ได้รับคำยืนยัน เป็นอันว่าไปกฐิน

เมื่อได้มีโอกาสพบปะเป็นการส่วนตัว ก็เรียนถามท่านว่า นรก สวรรค์มีจริงหรือ ท่านตอบว่ามีจริง เพราะท่านเคยไปมาแล้ว เรื่องนี้ถ้าอยากพิสูจน์ก็ต้องฝึกกันให้ไปเห็นด้วยตนเอง

ผู้เขียนนึกในใจว่าต้องอย่างนี้ถึงจะใช้ได้ (ภายหลังหลวงพ่อสอนมโนมยิทธิ คนที่รับการฝึกมีทิพจักขุญาณเห็นสวรรค์ นรกได้จำนวนมากมายเห็นจะหลายหมื่นคน)


...ในโอกาสนั้นผู้ใกล้ชิดบอกว่าท่านมักจะพยากรณ์ให้ ๓ ข้อ จึงขอให้ท่านพยากรณ์เมื่อจุดธูปบูชาพระแล้ว ท่านก็พยากรณ์ (ไม่ใช้ วันเดือนปีหรือลายมือ)

๑. จะปลูกบ้านใหม่
๒. จะเป็นเจ้ากรม
๓. จะได้เข้าวัง

เรื่องปลูกบ้านใหม่นี้ไม่ได้คิดจะปลูก เพราะมีบ้านอยู่แล้วที่สร้างด้วยเงินกู้ธนาคารออมสิน ฐานะก็ไม่ใช่ร่ำรวย ดังนั้นจึงออกจะคิดว่าพยากรณ์ไม่ถูก แต่ไปๆ มาๆ ก็ปลูกจนได้เนื่องจากลูกสาวแต่งงาน

เรื่องเป็นเจ้ากรมก็ได้เป็นจริง และได้รับแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์เวร ซึ่งในภายหลังได้มีวาสนารับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ และทุติยจุลจอมเกล้า นับได้ว่า "เข้าวัง" ตามที่พยากรณ์

การพยากรณ์ต่างๆ นี้ว่ากันตามตำรา ก็เรียกว่า "ปัจจุบันนังสญาณ" และ "อนาคตังสญาณ" นอกจากฌานเหล่านี้แล้วยังจับได้ว่า "เจโตปริยญาณ" (รู้ใจผู้อื่น) ของท่านก็มี

ยกตัวอย่างผู้เขียนกำลังนึกในใจว่า หลวงพ่อพูดฟังไม่ชัด ขยับไมโครโฟนหน่อยก็จะดีหรอก พอนึกหลวงพ่อก็จับไมโครโฟนขยับทันที

อีกคราวหนึ่งทำกรรมฐานอยู่คนละห้อง พอถึงจังหวะให้พร ผู้เขียนนึกในใจว่า ยถา...หลวงพ่อพูดมาทางไมโครโฟนทันทีว่า วันนี้เหนื่อยมาก "ยถา" ไม่ไหว เรื่องเช่นนี้มีเล่ามากมาย

นักธรรมบริสุทธิ์มักตำหนิว่า ความเก่งอย่างนี้ไม่มีประโยชน์แก่การรู้ธรรม ไม่เป็นปัจจัยแก่การหลุดพ้น แต่ความจริงแล้ว ทางไปสู่การหลุดพ้นพระพุทธเจ้าแสดงว่า "มีมรรค ๘" ทางเดียวทางอื่นไม่มี อันมรรค ๘ นั้น ปฏิบัติแล้ว ผลสรุปไปลงที่ข้อท้าย "สัมมาสมาธิ"

ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงขยายความว่าคือการเข้าฌาน ๑ ถึง ๔ จากนั้นจึงไต่ไป "สัมมาญาณ" และ "สัมมาวิมุตติ การได้ญาณต่างๆ จะต้องเป็นผู้ผ่านฌาน ๔ มาก่อน

ดังนั้นที่จับได้ว่าหลวงพ่อมี "ทิพจักขุญาณ" และญาณอื่นๆ ก็ย่อมแปลว่าได้ปฏิบัติ "มรรค ๘" ตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนมาแล้ว

ใน "อุทุมพริกสูตร" พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าได้ "ทิพจักขุญาณ" ก็คือได้ "แก่น" ไปตามความประสงค์

ผู้เขียนต้องการจะชี้ว่า ที่เลื่อมใสในหลวงพ่อนั้น ไม่ใช่ว่าจะหยุดอยู่เห็นแต่ความเก่งแล้วบูชาแต่ตัวหลวงพ่อ ความสำคัญอยู่ที่เป็นการยืนยันคำสอนของพระพุทธเจ้า

ตามที่มีปรากฏในพระไตรปิฎกนั้นว่าเป็นของจริง ปฏิบัติตามเห็นผลได้จริง เป็นการสร้างความเชื่อถือในพระไตรปิฎก อันเป็นหลักฐานอย่างเดียวในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดความมั่นคงยิ่งขึ้น

ในด้านของธรรมแท้ๆ หลวงพ่อได้แสดงธรรมที่เห็นได้ว่าเป็นผู้รู้จริง และสอนให้พยายามปฏิบัติเพื่อพระนิพพานอยู่ตลอดเวลา

เรื่องนี้สังเกตว่าที่อื่นไม่ค่อยจะพูด มีแต่การแสดงหัวข้อธรรมเป็นส่วนใหญ่ ไม่เน้นพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา

ยกตัวอย่างด้านธรรม หลวงพ่อสอนถึงอารมณ์ในฌานต่างๆ สอนถึงอารมณ์ของพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ ซึ่งจะหาองค์อื่นสอนได้อยาก

ขอยกคำพูดสักนิดหนึ่งที่หลวงพ่อพูดคือ ท่านบอกว่าอารมณ์พระอนาคามีนั้นใกล้กับพระอรหันต์มากเหลือเกิน จะเผลอว่าเป็นพระอรหันต์ได้ง่ายๆ แต่นานๆ จะมีอารมณ์บางอย่างปรากฏ ซึ่งรู้ได้ว่ายังไม่ถึง ดังนี้เป็นต้น

เป็นเรื่องที่ท่านรู้แต่ไม่มีในตำรา ท่านสอนมาอย่างนี้ก็ควรรับไว้อย่างนี้ ไม่ควรสันนิษฐานว่า ท่านจะเป็นขั้นนั้นขั้นนี้ เดี๋ยวจะพลาด


...ในด้านความประทับใจ ขอสรุปเพียงสั้นๆ ว่า

๑. หลวงพ่อรู้จริงทั้งทางปริยัติและทางปฏิบัติ ไม่มีการอับจนในปัญหาธรรมทั้งปริยัติและปฏิบัติ ท่านยืนยันว่าพระไตรปิฎกเชื่อถือ ได้มากกว่า ๙๐ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะหลักสูตรพระอรหันต์มีอยู่ครบบริบูรณ์

๒ หลวงพ่อไม่หวงลูกศิษย์ ใครจะไปหาอาจารย์ไหน พบว่าเก่งยังไงเอามาเล่าให้ท่านฟังได้สบาย ท่านมักจะพูดว่า ดีช่วยกันหลายๆ คน

นอกจากนั้นไม่พูดด้วยว่าคำสอนของสำนักนั้นๆ ไม่ถูก ไม่ดี หรือที่ท่านสอนจึงจะถูก คนอื่นสอนไม่ถูก

๓. หลวงพ่อมีความเคารพพระพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เวลามีคนชมว่าได้ผลดี เพราะปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ ท่านจะแก้เสมอว่าไม่ใช่คำสอนของท่าน หากเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า

๔. หลวงพ่อเป็นผู้มีพระคุณ ที่แนะวิธีเข้าพระนิพพานให้กับทุกคน.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 13/8/19 at 17:59 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 2 ]
(Update 22 สิงหาคม 2562)


"คุณวิเศษของหลวงพ่อ"
โดย แพทย์หญิง รำจวน หงสเวส


...บันทึกนี้จะกล่าวถึงเฉพาะที่เป็นปัจจัตตัง ประจักษ์ชัดแก่ข้าพเจ้า พ.ญ. รำจวน หงสเวส เท่านั้น..

"...ประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๙ หลวงพ่อท่านยังมีสุขภาพดีพอที่จะนำหมู่คณะลูกศิษย์ออกตระเวนเยี่ยมเยือน แจกของกินของใช้แก่ราษฏรที่ยากจนในถิ่นทุรกันดาร และรวมทั้งตำรวจทหารตามชายแดน เพื่อเป็นกำลังขวัญ กำลังใจ

...ข้าพเจ้าได้เดินทางร่วมไปกับหลวงพ่อ หลวงปู่คำแสน(เล็ก) หลวงปู่ธรรมชัย และคณะอันมีท่านหญิงวิภาวดี รังสิต พร้อมทั้งคุณอ๋อย(เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์)

เพื่อเยี่ยมทหารที่อำเภอปัว จังหวัดน่าน อันติดกับประเทศลาว มีแม่น้ำสายนิดเดียวคั่นอยู่ พาหนะที่ใช้เดินทางคือ เฮลิคอปเตอร์ (ฮ.) ๒ ลำ

...คุณอ๋อยให้พวกเก๋ากึกทั้งนั้นไปกับ ฮ. ส่วนพวกเราที่ยังแข็งแรงเดินทางด้วยรถยนต์ มุ่งไปพบกันที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เพื่อค้างคืนที่นั่น

จุดเริ่มเดินทางจำไม่ได้ว่าออกจากที่ไหน แต่ได้ลงพักถวายเพลพระและเลี้ยงอาหารแก่คณะที่ค่ายทหารอย่างเร่งด่วน แล้วเดินทางต่อไปที่ปัวเป็น ๒ จุด ด้วยกัน

ซึ่งนายทหารที่ไปกับเรา ได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า รถบรรทุกเพื่อขึ้นมาผลัดเปลี่ยนบนเนินถูกซุ่มโจมตีตรงทางขึ้น เสียชีวิตไปหลายสิบคน เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง พวกเราก็พากันอุทิศส่วนกุศลให้แก่ทหารเหล่านั้น


พระบรมราโชบาย รัชกาลที่ ๙
...ต่อมา ณ บริเวณเหล่านั้น ด้วยพระบรมราโชบายอันสุขุมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงให้สร้างหมู่บ้านอาสาสมัครขึ้น ซึ่งยังผลให้เป็นสถานที่ปลอดภัยได้

ในภายหลัง จุดที่ลึกเข้าไปในป่านั้น ฮ. ต้องผลัดกันลงมาทีละลำ บนยอดเนินเขาลูกหนึ่งต่างหากจากฐานที่ตั้งของทหารอยู่บนเขาอีกลูกหนึ่ง

แล้วนัดเวลามารับหลวงพ่อ หลวงปู่ อุตส่าห์ลงจากเนินลานจอด ฮ. ไปเยี่ยมถึงที่ตั้งทหารอีกลูกหนึ่งเพื่อเป็นกำลังใจ และมอบธงชาติอันมียันต์หลวงพ่อปานไว้ให้ประจำฐานเพื่อเป็นมิ่งขวัญ

พร้อมกับให้ความมั่นใจว่า ลูกปืนใหญ่หรือระเบิดก็ถล่มฐาน ที่มีธงนี้ไม่ได้ ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริง ในเวลาต่อมาภายหลัง

จากจุดที่สอง ฮ. จะนำเราไปลงที่เขื่อนก่อนค่ำ เพราะเป็นเส้นทางบินที่ไม่สู้จะปลอดภัยนัก ตอนนี้ หลวงพ่อย้ายจาก ฮ. ตำรวจลำที่ท่านหญิงวิภาวดี คุณอ๋อย คุณน้อย(กานดา) นั่งกัน มานั่งที่ ฮ. ทหาร ซึ่งข้าพเจ้า คุณนนทาและศิษย์คนอื่นๆ ที่ติดตามรวม ๗ คน โดยสาร

โดยหลวงพ่อได้กล่าวว่า ท่านหญิงวิภาวดี มีศรัทธามั่นคงในหลวงปู่ธรรมชัยแล้วคงไม่กลัวอะไร ท่านไม่ได้พูดว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็ได้แต่ยินดี พอใจที่ได้นั่งร่วมลำไปกับหลวงพ่อ และหลวงปู่คำแสนด้วยความอบอุ่นใจ


พบวิกฤตกลางอากาศ
...ฮ. บินไม่สูงนัก สามารถเห็นบ้าน และผู้คนขนาดเท่าตุ๊กตาได้ ข้าพเจ้านั่งริมสุดด้านขวา ได้เปรยว่า น่าจะนึกถึงมรณานุสสติไว้นะ หลวงพ่อหันมามองอย่างเอาจริง

ผู้เขียนก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ เพราะภาวนาแต่ปาก ใครจะไปนึกกลัว หวั่นไหวล่ะ เมื่อมีทั้งหลวงพ่อ และปู่คำแสนอยู่ตรงหน้านี่เอง

พอผ่านเขตอันตราย ผลทหารปืนท้าย ฮ. เขาเปิดประตูด้านที่ข้าพเจ้านั่ง เอาปืนกลตั้งพร้อมที่จะยิงทันที พวกเราก็เบียดกันเข้าไปแน่น

แต่ใจไม่กลัวด้วยกันทุกคน เพราะไม่เห็นมีใครแสดงอาการวิตกให้เห็นกันเลย ขณะที่บินตามๆ กันมานั้นเอง อากาศเปลี่ยนเป็นมืดมัวด้วยเมฆอันหนาแน่น ฝนเริ่มตกและเป็นสายๆ พร้อมกันนั้นก็ไม่เห็น ฮ. อีกลำหนึ่งว่าไปทางไหน ตื่นเต้นกันดี แต่ไม่กลัว

แล้วความมหัศจรรย์ก็ปรากฏในสายตา คือฝนแหวกเป็นช่องทางขาวสว่าง ไม่มีฝนมากระทบ ฮ. สักนิดเดียว ยิ่งกว่านั้นนะ เมื่อบินต่อไปพักหนึ่ง ฮ. ต้องดึงสูงขึ้นทันควัน

ผ่านยอดเขาทางขวามือเป็นแนวครึ้มๆ อยู่ในเมฆและฝน คณะนิ่งเงียบกันทุกคน พอพ้นเขาก็เห็นไฟแดงวาบๆ ของ ฮ. อีกลำหนึ่งด้วยความโล่งใจ

ซึ่งคุณน้อยเล่าอย่างสนุกสนานว่า เธอเรียกทุกๆ องค์ไปหมด ขอให้รอดปลอดภัยจนเกือบไม่หายใจ พวกเราใน ฮ. ไม่เห็นมีใครหวาดวิตกกลัวให้เห็นเลย ช่างใจเย็นกันจริ๊ง

ในที่สุดก็มืดสนิท ฮ. นำเรามาลงที่ลานจอดฉุกเฉิน ซึ่งเป็นสถานที่ส่งคนเจ็บป่วยในการรบ ตั้งอยู่ห่างจากเขื่อนหลายสิบกิโลเมตร (นั่งรถประมาณเกือบชั่วโมง) เจ้าหน้าที่ข้างล่าง วิ่งมาถามว่าต้องการเปลหามคนเจ็บไหม? จะให้ช่วยอย่างไร

ปรากฏว่าเขาเห็นแต่หลวงพ่อค่อยๆ ประคองหลวงปู่คำแสนย่ำพื้นที่เฉอะแฉะเข้าไปในอาคารที่พัก พร้อมด้วยคณะผู้ติดตามด้วยความประหลาดใจ แต่เป็นภาพที่ประทับใจข้าพเจ้าในความอ่อนโยนของหลวงพ่อ ซึ่งไม่ได้เห็นบ่อยนักเป็นอย่างยิ่ง

เจ้าหน้าที่ไม่รู้จักท่านหญิงวิภาวดี ที่ทรงทำงานแทนพระเจ้าอยู่หัว และไม่รู้เรื่อง จึงต้องติดต่อกันเป็นเวลานานกว่าทางผู้ว่าฯ จะส่งรถบัสมารับคณะไปที่เขื่อนได้

แต่พวกเราก็ยังคงเก่ง สดชื่น นั่งรายล้อมหลวงพ่อ หลวงปู่ ฟังท่านคุยต่อไปอย่างสบาย ขอจบแค่นี้เพราะยังมีต่ออีกแยะ ต้องการแสดงเพียงว่า นั่นคือ "อิทธิปาฏิหาริย์" ที่ข้าพเจ้าจำได้ไม่เคยลืม

ส่วนเจโตปริยญาณ อันเป็นอาเทศนาปาฏฺหาริย์นั้น เป็นที่ประจักษ์แก่บรรดาลูกศิษย์ทุกๆ อยู่แล้ว สำหรับข้าพเจ้าโดยเฉพาะคือเรื่อง "ดื้อ" ไม่ยอมเรื่องง่ายๆ แต่หลวงพ่อท่านก็กรุณายิ่ง มิได้ฆ่าทิ้งเสีย เพียงแต่ปล่อยให้มัน "ดิ้น" ไปตามอัธยาศัย

แถมยังกล่าวทั่วๆ ไปเป็นเชิงปรารภว่า แม้ศิษย์ท่านจะเปะปะปีนคอกไป ในที่สุดก็จะกลับมาปฏิบัติเข้าแนวตามเดิม หลวงพ่อท่าน ก็ยังเป็นที่พึ่งได้อยู่ตลอดเวลา ข้าพเจ้าจึงดิ้นรนขวนขวายเพื่อปลดเปลื้อง "ความโง่" อันหนืด เหนียวอยู่ในสันดานได้ตามสบาย

อย่างไรก็ตาม น่าอัศจรรย์ที่ยังไม่เคยคิดปลีกตัว ผละหนีหลวงพ่อเลย ไม่ว่าจะโดน "ตี" อย่างไร เมื่อมานึกทบทวนดูว่าเพราะอะไรหรือ

ก็พบว่าเป็นเพราะความกตัญญูรู้พระคุณของหลวงพ่อในอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ซึ่งท่านพร่ำสอนตามที่เป็นจริงให้เห็นจริง

และระบุชี้แนวทางที่ควรปฏิบัติให้ได้ ในชีวิตนี้ คือที่เป็น(ปฏิบัติภาวนา) เป็นจุดมุ่งหมายอันเป็นหัวหาดของการพ้นทุกข์ มิใช่สอนไปๆ แต่หาที่ลง จบลงไม่ได้ ไม่สามารถได้รับผลสมจริงเป็นอัศจรรย์

มโนมยิทธิอันเป็นฤทธิ์ทางใจ ยังผลให้ได้วิชา ๓ วิชชา ๘ ประการนั้น หลวงพ่อท่านย้ำเสมอว่า เป็นฌานโลกีย์ ยังมิใช่ โลกุตรผล พึงรู้จัก

และใช้เพื่อเป็นอุปกรณ์เป็นเครื่องมือในการรู้ การเห็น "สิ่ง" ที่มนุษย์ไม่สามารถสัมผัสได้ทางกาย แต่สัมผัสได้ทางจิตเท่านั้น

เมื่อสามารถนำมาใช้ได้ ใช้เป็นอย่างถูกต้องตามที่ควรแก่ธรรมนั้นๆ ก็เป็นประโยชน์มหาศาล ดังที่ผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสกับวัจจโคตตปริพพาชก ณ อารามเอกบุณฑริก ความว่า

ผู้ที่กล่าวถึงพระองค์ว่า ทรงรู้(สัพพัญญู) ทรงเห็น(สัพพทัสสาวี) ทั่วทุกกาลเวลานั้นเป็นผู้ที่กล่าวตู่ คือไม่ตรงตามที่พระองค์กล่าวไว้ แต่ตู่พระองค์ด้วยคำอันไม่มีจริง ไม่เป็นจริง

ส่วนผู้ที่กล่าวถึงพระองค์ว่ามีวิชชา ๓ ซึ่งจะทรงน้อมไปใช้ได้ดังพระประสงค์ทุกเมื่อนั้น เป็นคำกล่าวถึงพระองค์ที่ถูกต้องตามธรรม

หลวงพ่อท่านก็ดำเนินตามรอยบาทพระบรมศาสดา โดยให้ใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณเพื่อรู้ เห็น สภาวะแห่งไตรลักษณ์

จุตูปปาตญาณ เพื่อรู้ เห็น กฏแห่งกรรม กรรมที่เป็นเหตุแห่งวิบากนั้น จะได้ไม่ไปตีโพย ตีพายเอากับสิ่งอื่น ผู้อื่น แต่ยอมรับภาวะนั้นโดยดี

และท่านได้พร่ำสอนโดยยอมตรากตรำสังขาร เพื่อเกื้อกูลประโยชน์สุขแก่บรรดาชาวเรา ชาวเขาอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดอาสวขยญาณ ถอนรากโคน ตัณหา และเยื่อใยทั้งปวงเสีย

บรรลุถึงภูมิพระนิพพาน อันเป็นจุดสูงสุดแห่งการปฏิบัติภาวนาในพระพุทธศาสนา ด้วยอนุศาสนีปาฏิหาริย์ ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นสังเขป

ข้าพเจ้าจะดื้อ และดิ้น ไปจากผู้ทรงพระคุณอันใหญ่หลวงด้วยประการเหล่านี้ได้อย่างไรกัน...!!"


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 14/8/19 at 05:52 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 3/1 ]
(Update 31 สิงหาคม 2562)


เล่าเรื่อง "อาการป่วยของหลวงพ่อ"
โดย น.พ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์


"...ผู้เขียนได้รู้จักกับคุณหมอจรูญและภรรยา (คุณหมอหญิง) ตลอดถึงคุณหมอจากโรงพยาบาลศิริราชหลายท่าน

โดยเฉพาะการรักษาพยาบาลพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ คุณหมอเหล่านี้ได้ดูแลสุขภาพหลวงพ่อมานาน จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕

นับว่าคุณหมอจรูญและคุณหมอหญิง (แสงโสม) ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติวัดท่าซุง ควรที่จะได้นำคำบอกเล่าในวาระสุดท้ายของท่านมาย้อนอ่านกันอีกครั้ง ดังนี้


"...เรื่องความเจ็บป่วยของหลวงพ่อ กล่าวได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นคู่กันมาตลอดชีวิตของหลวงพ่อ ตั้งแต่วัยเด็กก่อนบวชพระป่วยเป็นอหิวาต์ บวชเป็นพระหนุ่มจนกระทุ่งเป็นพระหนุ่มน้อย

ในเวลานี้ก็ยังป่วยเรื่อยมา และขอบอกว่าอาการทุกขเวทนา อาการเสียดแทงต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง ถ้าจะสังเกตจากภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลารับแขกญาติโยมพุทธบริษัททั่วไปก็มักจะไม่ออก

นอกเสียจากว่าจะเป็นพระหรือหมอที่ดูแลใกล้ชิดเท่านั้น สมัยก่อนที่เคยพูดให้พระฟังเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ถึง ๒๕๒๐ ว่า

หากจะสังเกตอาการป่วยของหลวงพ่อ ให้สังเกตที่เสียงและสีผิวจะเปลี่ยนไป ต่อมาในช่วงเวลาเทศน์หรือสอนกรรมฐาน พระท่านช่วยควบคุมขันธ์ ๕ ไว้ ถ้าไม่ป่วยหนักจริงๆ แม้แต่เสียงก็สังเกตไม่ออก

แต่หลังจากเสร็จภารกิจสอนกรรมฐานหรือรับแขก ขึ้นพักผ่อนแล้ว เป็นได้เรื่อง ถ้าไม่อาเจียนเป็นกระโถนก็ต้องไอหรือเดินเซเป็นปกติ อาการที่ป่วยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องไข้

สำหรับเรื่องไข้นี้ก็แปลกที่ว่า บางทีมีอาการปวดศรีษะ จับไข้สั่นสะท้านถึงกับต้องใช้ผ้ามาห่ม หมอเอาปรอทมาวัดไข้ องศาของปรอทไม่ขึ้น

นอกจากไข้เป็นเป็นเรื่องของระบบลำไส้ ไม่ทำงาน ฉันอาหารแล้วไม่ดูดซึม อาหารบางชนิดฉันเข้าไปแล้วก็แสลง มีอาการทุกขเวทนาเกิดขึ้น

การควบคุมเรื่องอาหารจึงได้อาศัยท่านย่าและแม่ศรี สงเคราะห์ดูแลตลอดมา โดยกำกับบอกให้พรนุชหรือจำปีจัดการให้ตามท่านสั่ง และก็มีบ่อยครั้งที่ต้องอาศัยน้ำเกลือให้ชดเชยอาหารและน้ำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีงาน เครียดจัดหรือต้องล้างท้องตามสั่ง ระบบลำไส้ที่ไม่สามารถทำงานเป็นปกตินอกจากดูดซึมอาหาร แล้วยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง คือ

ระบบขับถ่าย อุจจาระแข็งเป็นดานจนต้องล้างท้องหรือสวนกันเป็นประจำตามสั่ง เรื่องขี้หรือถ่ายอุจจาระไม่ปกตินี่ระยะหลังกลายเป็นเหตุใหญ่

ขณะใดที่ท้องผูก ก็มักจะมีเสมหะพันคอ ไอจนเจ็บคอควบคู่กันไป กลายเป็นว่าเป็นโรคระบบในช่องคอ เพิ่มขึ้นมาอีกระบบหนึ่ง ก็พยายามฉันน้ำและยา

ซึ่งมีทั้งยาจิบยาพ่นคอ หรือแม้แต่รมไอน้ำตามที่คณะแพทย์จัดให้ อาการก็ทุเลาขึ้นเป็นครั้งคราว รวมความว่าป่วยทั้งตัว

ถ้าจะขอดูหลักฐานการป่วยก็ต้องไปถามหมอ ซึ่งหมอที่ทำการรักษาให้ก็ปรารภให้ หลวงพ่อฟังเสมอว่า หลวงพ่อคงต้องฉีดยามานานแล้ว

กล้ามเนื้อสะโพก ๒ ข้างแข็งเป็นไต มีพังผิดเต็มไปหมด ปักเข็มเดินยา ฉีดเข้ากล้าม ยาก็ไม่เข้าต้องใช้แรงดันกระบอกฉีดยามากแถมยาที่ฉีดเข้าไปคั่งอยู่ในพังผืดดูดซึมเข้าร่างกายไม่ได้ดี

ครั้นจะให้หมอฉีดยาเข้าเส้นเลือด หมอก็อธิบายว่าเส้นเลือดของหลวงพ่อตีบตันหายไปมากแล้วเหลือเป็นแขนงเล็กๆ ผนังเส้นเลือดก็หนาแข็ง

หลวงพ่อคงจะฉีดยาและให้น้ำเกลือมานานแล้ว ถึงได้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่ทราบว่าจะแทงเส้นได้อีกนานเท่าไหร่ มันคงจะตีบตันไปเรื่อยๆ

ทุกวันนี้ หมอที่ช่วยดูแลให้น้ำเกลือได้ก็เหลือเพียง ๒ คน คือ ลูกหญิง (แพทย์หญิงแสงโสม ปิรยะวราภรณ์) และหมออี๊ด เวลาใดที่หญิงไม่ว่างก็อาศัยหมออี๊ดแทน เรื่องให้น้ำเกลือก็เหมือนกัน

ถ้าสมเด็จท่านไม่ช่วยคุมก็คงแทงเข็มเข้าเส้นได้ลำบาก มีทั้งสมเด็จองค์ปฐม สมเด็จองค์ปัจจุบัน พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร ท่านย่า แม่ศรีฯลฯ

บางทีก็มีญาติผู้ใหญ่ หลายท่านพลัดกันช่วย เส้นเลือดก็ปูดขึ้นมาให้เห็นหน่อยหนึ่ง บางโอกาสมีหมอหลายคนเคยมาให้น้ำเกลือก็ต้องแทงถึง ๕ - ๖ ครั้งกว่าจะได้

เป็นอันว่า น้ำเกลือก็เป็นเรื่องใหญ่ สำหรับหลวงพ่อที่ต้องให้ชดเชย ถ้าไม่ได้น้ำเกลือช่วยหลวงพ่อคงไม่ได้อยู่มา ถึงทุกวันนี้

เวลาที่ไปสอนกรรมฐานต่างประเทศ ต้องขอให้ลูกหญิงมันช่วยดูแลตามไปด้วยเพราะการเดินทางไปไหนนานๆ และอากาศร้อนเป็นปฏิปักษ์กับร่างกายหลวงพ่อ

ตอนระหว่างให้น้ำเกลือก็เหมือนกัน เล่มเอาหมอหลายคนบอกว่า จะเผาตำราทิ้งแล้ว โดยเฉพาะ หมอมนตรี อมรพิเชษฐกุล และ หมอชนะ สิริยานนท์ ที่หลวงพ่อชอบเรียกเธอว่าหมอญี่ปุ่น คนนี้มีทิพยจักขุญาณแจ่มใสเป็นพิเศษ

คณะแพทย์ชุดหลังนี่ เรียกว่ามาเป็นจังหวะพิเศษที่ร่างกายป่วยมากต้องการให้ช่วย มีหมอจรูญ ปิรยะวราภรณ์ เป็นหัวหน้าชักนำเข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เป็นช่วงเวลาที่สมเด็จฯ และญาติผู้ใหญ่ข้างบนดลใจด้วย ทยอยกันมา

นอกจากหมอจรูญ ก็มีหมอมนตรี อมรพิเชษฐกุล ผู้เชี่ยวชาญอายุรกรรมระบบประสาท หมอชนะ สิริยานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบหู คอ จมูก

หมอแสงโสม ภรรยาหมอจรูญ เป็นวิสัญญีแพทย์ มาช่วยให้น้ำเกลือและให้ยานอนหลับ ตามที่สมเด็จฯ สั่งเพื่อให้ร่างกายหลวงพ่อได้พักผ่อน

แล้วก็มีหมอพงษภารดี เจาฑะเกษตริน วิสัญญีแพทย์ หัวหน้าหน่วยระงับความเจ็บปวด ร.พ.ศิริราช มาช่วยฝังเข็มรักษาให้ระยะหนึ่ง

แล้วก็มีหมอสุชาย สุนทราภา ผู้เชี่ยวชาญด้านผ่าตัดระบบทางเดินปัสสาวะ เคยมาดูแล ตอนที่หลวงพ่อปัสสาวะไม่ออก

หมอที่สำคัญอีกท่านหนึ่งคือ นายแพทย์วัฒนะ ฐิตะดิลก ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอจมูก ร.พ.ศิริราช จบจากประเทศเยอรมัน คนนี้เป็นนักบุญที่สำคัญ ถวายยาให้หลวงพ่ออยู่ทุกเดือนหลายปีมาแล้ว

ต่อมาได้ทราบว่าเธอเป็นผู้จัดการ "หลวงปู่ชัยยะวงศา" และยังมีจริยาไม่เหมือนหมอคนอื่นๆ คือ สวดมนต์เป็นชั่วโมงทุกวัน

ทำคลินิกได้เงินมาทำบุญหมด ซื้อเทปหลวงพ่อไปเปิดให้คนไข้หนักในโรงพยาบาลฟัง รับดูแลอุปัฏฐากพระอาพาธที่เข้าไปอยู่ใน ร.พ.ศิริราช

ในอดีตเป็นแพทย์ที่ดูแลทำแผลให้หลวงพ่อท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทราวาส หลวงพ่ออุตตมะ หลวงปู่วงษ์ หลวงพ่อบัว วัดป่าบ้านตาด ฯลฯ

แกเก็บเกี่ยวบุญหมด คือดูแลให้หมด ที่สำคัญคือช่วยดูแลสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธ ตลอดระยะเวลาที่อาพาธจนสิ้นพระชนม์

ครั้งหลังสุดยังช่วยดูแล สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ วัดสามพระยา เมื่อตอนผ่าตัด มีหญิงกับหมอชนะช่วยด้วย หลวงพ่อเลยล้อบ่อยๆ ขนานนามให้ว่า "ท่านขุน" และเป็นหมอเพชรฆาต คือ

ดูแลหลวงพ่อท่านเจ้าคุณนรรัตน์จนมรณภาพ และดูแลสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์) จนสิ้นพระชนม์ แกก็บอกว่าสำหรับหลวงพ่อและสมเด็จฯ วัดสามพระยา คงไม่เป็นอย่างนั้นครับ ยังไม่ถึงเวลาครับ.."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 22/8/19 at 05:38 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 3/2 จบ ]
(Update 9 กันยายน 2562)


คำว่า "หมอจะเผาตำรา"
โดย น.พ.จรูญ ปิรยะวราภรณ์


"...ทีนี้พูดไว้ว่า 'หมอเขาจะเผาตำรา' กันก็มีเรื่องเล่าต่อว่า เวลาร่างกายมันแห้ง ขาดน้ำ ให้น้ำเกลือครั้งละ ๑๐๐๐ ซีซี

ทีแรก หมอมนตรี หมอชนะเป็นห่วงว่าให้เร็วๆ น้ำจะท่วมปอดอันตรายต่อร่างกาย ปรับให้ช้าลงตามปกติ เผลอสักพักหนึ่งมันก็หยุดจ๊อกๆ เร็วขึ้นมาก

หมอแกปรับเท่าไหร่ก็เหมือนเดิมไม่มีผล น้ำเกลือ ๑๐๐๐ ซีซี หมดใน ๑ ชั่วโมง บางทีให้แค่ ๕๐๐ ซีซี นาน ๓ ชั่วโมงก็ไม่หมด

หลวงพ่อต้องอธิบายว่า ท่านย่าและแม่ศรีช่วยดูแล ที่สุดหมอแกพิสูจน์แล้วก็ยอมแพ้ เรื่องที่หมอเผาตำราอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การจัดยาถวาย

การป่วยของหลวงพ่อตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ มีแพทย์รุ่นเดอะหลายท่านช่วยดูแล เท่าที่จำความได้ก็มี พล.อ.ต.นายแพทย์โกศล มณีจักร

ต่อมาก็มี พล.ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน อดีตนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ หมอคนนี้พิเศษกว่าหน่อย ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างทั้งติดตามรักษาที่วัด ในเมืองและในป่า ออกแจกของในถิ่นทุรกันดาร ท่านก็ตามไปตลอด

รุ่นถัดมาก็มีศาสตราจารย์นาแพทย์ประสิทธิ์ ฟูตระกูล โรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มาช่วยดูแลหลวงพ่อตอนมีอาการเรื่องลำไส้ใหญ่ไมทำงาน ปัสสาวะไม่ออก คงจะราวเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๕ หมอท่านนี้ก็ช่วยดูแลอยู่ระยะหนึ่ง ทั้งในและต่างประเทศ

ต่อมาก็มีคณะหมอจรูญ หมอแสงโสม หมอชนะ หมอมนตรี และหมอวัฒนะ คณะนี้เริ่มเข้ามาราว พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่จริงควรมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓

เพราะแม่ศรีเริ่มสั่งยาช่วยย่อย (Combizym - co) ให้หมอจรูญจัดหามาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๓ หลวงพ่อฉันมาจนทุกวันนี้


หมอต้องจัดยาตามคนไข้สั่ง
...มาใหม่ๆ หมอคณะนี้ ก็เจริญรอยตามลูกพี่ใหญ่ คือ พล ต.ท.นายแพทย์สมศักดิ์ สืบสงวน ทั้งออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในถิ่นทุรกันดาร ขายก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด เวลาวัดมีงาน คณะหมอชุดนี้ สบายกว่าชุดก่อนๆ คือมีหน้าที่จัดหายาและถวายยาตามคนไข้สั่ง

เริ่มจากปี พ.ศ. ๒๕๒๖ คณะหมอติดตามหลวงพ่อไปบ้านจอมทอง เชียงใหม่ สมเด็จฯ ก็มาสั่งยา ผ่านหลวงพ่อ ไม่รู้จักยาได้แต่บอกชื่อ ให้หมอจดไปหามา

ครั้งแรกดูเหมือนจะเป็นยาโปรเท้า ให้แทนน้ำเกลือ หมอแกว่าเป็นสารอาหารโปรตีน (Sohamine - G) ให้กันอยู่ระยะหนึ่งก็เลิกกันไป จากนั้นก็ฉันยาหม้อบ้าง ยาต้มบ้าง สุดแต่สมเด็จฯ ท่านปู่ท่านย่าจะสั่ง

ก็น่าสังเกตว่าส่วนใหญ่ เป็นสูตรยารักษามะเร็ง อาการระบบลำไส้ใหญ่ คือ อุจจาระแข็งเป็นดาน มีเสมหะมากก็เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงที่เครียดจัด ป่วยมากที่สุดเห็นจะเป็นตอนที่เดินทางไปสอนกรรมฐานที่สหรัฐอเมริกา ดีที่ท่านย่าและแม่ศรีช่วยจัดการให้หญิง(หมอแสงโสม) ตามไปด้วยได้

ช่วงเวลาที่อเมริกา เธอและพรนุชเฝ้าดูแลหลวงพ่อตลอดเวลา ไม่มีเวลาไปไหนกับเขา เวลาเครียดจัดก็ฉีดยาช่วยหลับ(DORMICUM)

เฝ้าไปหมอหญิงก็ร้องไห้ไป เดชะบุญอยู่ได้จนถึงวันกลับประเทศไทย พอกลับถึงซอยสายลม ผิวดำคล้ำเหมือนคนตาย พูดไม่มีเสียง ร่างกายแห้ง ขาดน้ำมาก รู้ว่าภายในป่วยมาก

คณะหมอชุดนี้รออยู่แล้ว จัดหยูกจัดยาถวายน้ำเกลือ รมไอน้ำ สมเด็จองค์ปฐมฯ ก็มาสั่งยาเขย่า ชูขวดยาให้ดูคณะหมอก็ไปจัดยามาได้ยาฉีดสีขาว(ASPEGIC) ต้องละลายน้ำกลั่น

หมอมนตรีอธิบายว่าเป็นยาแอสไพริน ชนิดฉีดแต่ราคาแพง ขวดละ ๒๕ บาท ถามว่าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องฉีดยาตัวนี้

เนื่องจากเป็นยาแก้ไข้ ตัวอื่นก็มีหลวงพ่อเองก็ไม่ทราบพระพุทธประสงค์ ต่อมาก็ทราบจากหมอว่า มีส่วนช่วยป้องกันเส้นเลือดสมอง และ เส้นเลือดหัวใจตีบ

ต่อมาพ้นจากการตายคราวนั้น หมอจรูญก็มาจัดยาขนานนี้เป็นยารับประทานแทนยาฉีด ก็เอาไว้ฉีดเป็นครั้งคราวตามคำสั่งพระ

หมอวัฒนะเป็นผู้สั่งยาฉีดมาสำรองไว้ให้ เพราะปกติเขาไม่ใช้กันทั่วไป นอกจากยาฉีดก็มียาแก้อักเสบ (BIOMOX) ที่หมอจรูญจัดถวาย ไว้ให้ฉันเป็นครั้งคราว

เวลามีอาการเจ็บคอ ไอมาก หมอวัฒนะก็จัดยาบำรุงร่างกายให้เป็นการใหญ่(Z - BEC) มียาละลายเสมหะ (MUCOSOLVAN, FLEMEX) ยาละลายอุจจาระให้นุ่ม (VERACHOLATE, DUPHALAC, DULCOLAX)

ถวายเครื่องรมไอน้ำ หมอมนตรีก็รับผิดชอบการฟื้นฟูระบบประสาท ถวายยาขยายเส้นเลือด ในสมอง(SIBELIUM) ยาบำรุงประสาท(ALINAMIN - F) ยากาแฟ(FEACTIVAN) รวมความว่าหมอคณะนี้ช่วยกันปลุก ปล้ำจนหายป่วยหนัก

คราวนั้น ถึงทุกวันนี้ ก็ยังป่วยเป็นครั้งคราว ตามกฏแห่งกรรม การป่วยหลายครั้ง ก็ต้องสรุปได้ว่า ต้องการ อธิบายให้ทราบว่าการป่วย หรือที่ไม่แสดงอาการทุกขเวทนานั้น ได้บารมีพระท่านช่วยมาก

ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ก็ยังมีอาการป่วยตกค้าง จากเชื้อไข้มาลาเรียที่ติดมาจากเชียงรายตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๕ ซ่อนตัวไว้นาน จับไข้มาตลอด

ในที่สุด "ท่านโกมารภัจจ์" ก็มาบอกใบ้ ยาฉีดหลอดสีชาให้หมอจรูญ หมอชนะ และหมอมนตรีไปหามา ทีแรกหาไม่ได้

ต่อมาสมเด็จฯ แสดงภาพให้ดู เป็นเชื้อไข้ วงสีแดงเล็กๆ อยู่ในเม็ดเลือดแดง หมอจึงตีใบ้ออก จัดยาฉีด(QUININE) ตามคำสั่งท่านโกมารภัจจ์

และหมอจรูญได้จัดยาให้ฉันเพิ่มเติม ทำให้โรคไข้มาลาเรียหายขาดไป คงจะเป็นกฎของกรรม ที่ทำให้ไม่แสดงอาการตั้งแต่หลายปีก่อน


เรื่องสั่งยาทางไปรษณีย์อากาศก็ยังมีอีก
...มีคราวหนึ่งประสาทแขนขาตึงไปหมด ลำไส้ใหญ่ไม่ทำงาน ท่านโกมารภัจจ์ ก็มาบอกให้อีก ชูยาฉีด เป็นยาน้ำสีแดง บอกว่าฉีดยานี้ครบ ๒ เดือนแล้วก็จะดีขึ้น ก็ได้หมอชุดนี้ไปหามาจนได้ (NEUROBION)

บางครั้ง หมอเองก็ถูกดลใจให้จัดยามาถวายโดยไม่ได้คิดไว้ก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นสมเด็จฯ หรือไม่ก็ท่านโกมารภัจจ์

ต้นปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ก็มีคราวหนึ่ง สั่งให้ไปหายาเม็ดเล็กๆ สีขาว กระตุ้นการทำงานกล้ามเนื้อลำไส้ ก็ได้หมอจรูญไปหามา (PLASIL) ต่อมาหมอนพพรก็หามาถวายอีก (PREPULSID)

ครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒ ท่านลุงใหญ่ และลุงพุฒ ก็มาสั่งยาเม็ดเล็กๆ สีเหลืองส้ม บอกว่า ฉันแล้วทำให้การหลับดีขึ้น ประสาทฟื้นตัวเร็ว ก็บอกหมอมนตรีไป

ทีแรกหมอนึกไม่ออกพอลงจากห้อง หลวงพ่อ ท่านลุงต้องมาบังคับให้หมอมนตรีเขียนชื่อยา RIVOTRIL หมอมนตรีแกไม่แน่ใจ ต้องให้หมอญี่ปุ่นตรวจดูแล้วไปจัดหายามา

คืนนั้นเอง พอหมอจรูญได้ยามาแล้วยังไม่ทันถวาย ท่านลุงใหญ่ก็มาบอกว่า "เขาหายาที่ว่าได้แล้วนะ ให้ฉันไปเรื่อยๆ"

แม่ศรีก็มายืนยันว่า ต่อไปสมเด็จฯ มอบหมายให้ท่านลุง ๒ องค์ ดูแลเรื่องยา ให้หมอจัดยาถวายตามนั้น ร่างกายจะดีขึ้นเรื่อยๆ

ยังขาดยาสมุนไพรอีก ๑ อย่าง ตอนนั้นยังไม่ถึงเวลา ที่หลวงพ่อสั่งให้บันทึกไว้เพื่อเป็นหลักฐานว่า การป่วยหนักแต่ละครั้ง

และการได้หมอและยาแต่ละครั้ง ก็เป็นเรื่องกฏของกรรม และเป็นเพราะบารมีพระและญาติผู้ใหญ่ สงเคราะห์ต้องการให้บรรดาลูกหลานและพุทธบริษัทได้ทราบกันไว้

ขอจบเรื่องการป่วยโดยย่อๆ เพียงเท่านี้ และคณะแพทย์ชุดนี้ได้บอกกับหลวงพ่อว่า อานิสงส์ผลบุญจากการดูแลหลวงพ่อจะมีผลเพียงใด

ขอให้บรรดาลูกหลานพุทธบริษัท จงร่วมโมทนารับผลบุญร่วมกัน จึงขอแจ้งให้ทราบทั่วกันตามนี้..."


(โปรดติดตามตอนต่อไป)

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 31/8/19 at 06:01 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 4/1 ]
(Update 18 กันยายน 2562)


พบหลวงพ่อเป็นครั้งแรก
โดย พรนุช คืนคงดี


"...ข้าพเจ้าไปพบหลวงพ่อในกลางเดือนสิงหาคม ๒๕๑๖ ด้วยแรงบันดาลใจจากการอ่าน 'หนังสือประวัติหลวงปู่ปาน'

โดยมีปัญหาค้างใจอยู่แล้วเป็นเวลาแรมปี อันเนื่องมาจากคำสอนของ "หลวงปู่แหวน" สมัยที่ข้าพเจ้ารับราชการอยู่เชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๔ มีโอกาสไปกราบหลวงปู่แหวน

...พอลงจากรถก็พบหลวงปู่แหวน ท่านเดินมีไม้เท้ายาวลงมารับด้วยรอยยิ้ม แล้วพาขึ้นไปนั่งที่รับแขก ท่านถามว่ามาทำไม ตอบว่ามาขอธรรมะจากท่านเจ้าค่ะ หลวงปู่ตอบทันทีว่า "อนิจจังทั้ง ๕ ทุกขังทั้ง ๕ อนัตตาทั้ง ๕.."

...ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ แต่ไม่ถามท่าน เก็บไว้ในใจตลอดมา ครั้นเมื่อเดินทางไปวัดท่าซุงครั้งแรก ก็พรวดเข้าไปในกุฎิริมน้ำทันที พบหลวงพ่อท่านนั่งบนเตียง ไม่มีใครอยู่พอกราบท่านแล้ว

...หลวงพ่อก็พูดว่า ไปตึกเสริมศรี เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง แล้ววันนั้นท่านก็อธิบายเรื่องขันธ์ ๕ มันไม่เที่ยง ในที่สุดมันก็สลายตัวไป ความก็แจ้งแก่ใจข้าพเจ้านับแต่บัดนั้นมา

หลวงพ่อเรียกชื่อถูก
...ปลายเดือนเมษายน ๒๕๑๗ ปิดเทอม ข้าพเจ้าไปอยู่วัด ตอนนั้นไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของข้าพเจ้าเลย หลายคนเรียกข้าพเจ้าว่า "ครู" รวมทั้งหลวงพ่อด้วย รุ่งขึ้นเป็นวันครบรอบวันเกิดของข้าพเจ้า ค่ำลงเจริญกรรมฐานที่ตึกขาว

หลวงพ่อท่านนั่งบนธรรมาสน์ ข้าพเจ้าเตรียมเงินถวายตอนท่านออกจากกรรมฐานไว้แล้ว เมื่อกริ่งหมดเวลา ลืมตาเปิดไฟได้ยินเสียงหลวงพ่อพูดลงมาจากธรรมาสน์ว่า

"พรนุช..วันเกิดรึ..เข้ามาสิ ?"

ข้าพเจ้าตกใจที่ท่านเรียกชื่อข้าพเจ้าเป็นทางการ ดีใจกับพรวันเกิดที่สร้างความเอิบอิ่มตลอดมา


อานิสงส์การทอดกฐิน
...ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ น้ำท่วมวัด โรงเรียนในกรุงเทพก็หยุด ข้าพเจ้าก็มีโอกาสไปอยู่วัดหลายวัน คืนหนึ่งได้ยินเสียงก้อง ขณะเคลิ้มหลับไปว่า ลูกที่ตกนรกอยู่เวลานี้ ต้องการความช่วยเหลือ

ถามไปว่า จะช่วยได้อย่างไร เสียงนั้นตอบว่า 'ทอดกฐิน' ตื่นเต็มที่แล้ว ก็คิดคำนึงถึงการทอดกฐิน จะทำอย่างไรดีหนอ

คิดว่าการทอดกฐินต้องเป็นเจ้าภาพไปหาวัดที่ไหน ที่ยังไม่มีเจ้าภาพ จะเอาเงินที่ไหนไปจัดการ วัดแถวบางกะปิซึ่งทำงานอยู่นั้น อยู่ไหนบ้างก็ไม่รู้ เวลาก็ใกล้หมดเขตการถวายกฐินกันแล้ว

กลางวันพบพี่จันทร์นวล ซึ่งแนะนำว่า วัดตรงข้ามท่าโป๊ะมีอยู่วัดหนึ่งเป็นวัดเล็กๆ คงไม่ต้องจ่ายมากนัก ก็ตกลงไป รับประทานอาหารกลางวันแล้วจะออกมาขึ้นรถ หลวงพ่อเดินออกมาจากกุฏิพอดี ท่านถามว่า จะไปไหน ก็เล่าความถวายให้ท่านทราบ

หลวงพ่อบอกว่า การทอดกฐินสำคัญอยู่ที่ผ้าที่พระสงฆ์ใช้ได้ ผืนเดียวก็เป็นกฐิน ถ้าถวายในระยะเวลากฐิน วัดท่าซุงทอดกฐินสามัคคีทุกคนเป็นเจ้าภาพ ผาติกรรมผ้าจากครูนนททาไปสัก ๑๐ บาทก็ได้

ข้าพเจ้าดีใจเหมือนยกภาระหนักอกไปได้เสีย จัดแจงเรื่องผ้าทันที โดยผาติกรรม ๒๐๐ บาท จัดทอดกฐินที่ศาลานวราช หลวงพ่อและพระไม่กี่องค์นั่งบนอาสนสงฆ์ มีเจ้าภาพนั่งหน้าพระแต่ละองค์เต็ม เหลือองค์สุดท้ายแถวพอดี

ข้าพเจ้าประคองผ้าไตรไปนั่งตรงหน้าท่านทันที เมื่อหลวงพ่อกล่าวนำถวายผ้ากฐินจบลงก็ถวายพระ ทันใดก็มีเสียงทางไมโครโฟนจากหลวงพ่อพูดมาว่าพรนุชอยู่ไหน เอาผ้าของพรนุชมานี่ซิ มีคนนำผ้าของข้าพเจ้าไปถวายท่าน

หลวงพ่อถือผ้าของข้าพเจ้าไว้ ท่านทำอะไรบ้างไม่ทราบ แต่สร้างกำลังใจและความดีใจแก่ข้าพเจ้ามากเป็นล้นพ้น เพราะแน่ใจว่า 'อานิสงส์กฐิน' วันนี้ต้องช่วยลูกข้าพเจ้าที่ตกนรกให้พ้นขึ้นมาได้(ลูกในอดีตชาติ)


หลวงพ่อสงเคราะห์ข้าพเจ้า
...ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เดือนตุลาคม น้ำท่วมวัด ปิดเทอมเหมาะเจาะกันดีจริงไปอยู่วัดได้หลายวัน ข้าพเจ้าแช่น้ำขนของหนีน้ำทุกวัน จนเป็นตะคริว

กลางคืนเจริญกรรมฐานบนศาลานวราชเป็นปกติ คืนหนึ่งหลังกรรมฐานหลวงพ่อเรียกเข้าไปพบ มีพระอรัญ เวลานั้นนั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วย

หลวงพ่อถามว่า พรนุชอายุเท่าไหรแล้ว ตอบท่านไปอย่างงงๆ แล้วท่านพูดต่อไปว่า เมื่อกี้นี้สมเด็จฯ และแม่ศรีมาบอกหลวงพ่อว่า ดูลูกบ้างหรือเปล่า

หลวงพ่อบอกว่าก็ดูอยู่ มันทำงานทั้งวัน ท่านแม่บอกว่า ดูให้ลึกๆ ลงไปซิ เมื่อมันอายุ - ปี จะได้ - สมเด็จฯ ท่านมายืนยัน

วันนี้เป็นวันที่ข้าพเจ้ามีความสุขที่สุดในชีวิต ที่ได้รับคำตอบจากพระและท่านแม่จากปากหลวงพ่อเอง ชีวิตข้าพเจ้าหวังแค่นี้เอง นึกครึ้มใจคิดว่าวันนั้นอยู่อีกแค่เอื้อม


อากาศวันที่จะมรณภาพ
...ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ข้าพเจ้าลาออกจากราชการซึ่งทำมาเกือบ ๒๐ ปี ด้วยเหตุแห่งการครบอายุขัยตามที่หลวงพ่อท่านแนะนำ คืนวันหนึ่ง ปี ๒๕๒๘ พอหลับตาลงสักครู่ก็มีเสียงก้องลงมาจากอากาศว่า "เป็นวันที่พระเจ้าปเสนทิโกศลสวรรคต"

ขณะนั้นสภาพอากาศมืดครึ้มราวกับเกิดสุริยุปราคา ท้องฟ้ามืดมัวสลัวเศร้า ทั้งๆ ที่เป็นเวลากลางวัน ข้าพเจ้าจำบรรยากาศนั้นติดตาติดใจจนบัดนี้ รุ่งเช้ากราบเรียนถามหลวงพ่อเรื่องนี้ หลวงพ่อตอบว่า

"จำเอาไว้นะว่า วันไหนท้องฟ้าอากาศแบบนั้น หลวงพ่อตายแน่นอน..!"


"พ่อแม่" ของข้าพเจ้าไปนิพพานได้
...นับเป็นความเมตตาของท่านอย่างสูงที่บอกเหตุเช่นนี้แก่ข้าพเจ้า ปีเดียวกันนี้เอง บิดามารดาของข้าพเจ้าก็มาป่วยลงทั้งคู่ ด้วยโรคอัมพาต พูดไม่ได้ อยู่โรงพยาบาลทั้งสองท่าน

สำหรับมารดาข้าพเจ้าไม่ห้วงนัก แต่สงสารท่านที่ต้องทนทุกข์ทรมาน เหตุที่ไม่ห่วงนักก็เพราะเมื่อหลวงพ่อฝึกมโนมยิทธิให้ข้าพเจ้าในปี พ.ศ. ๒๕๒๑

แล้วข้าพเจ้าก็นำไปฝึกให้มารดาของข้าพเจ้าป็นคนแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ท่านทำได้ทันที และมีโอกาสซ้อมบ่อยๆ ด้วย

เนื่องจากมีนักเรียนมาฝึกที่บ้านข้าพเจ้าเสมอ มารดาก็ฟังตามไปด้วยทุกครั้งเป็นเวลานานปีจนภาวนาว่า "นิพพานะ สุขัง" ก่อนนอนทุกคืนเป็นอัตโนมัติ

วันสุดท้ายแห่งชีวิตแม่ลูกต้องจากกันมาถึง ๒๔ มิถุนายน สองทุ่ม ข้าพเจ้าขอเข้าไปดูมารดาในห้องไอซียู โรงพยาบาลศิริราช ข้ามเรือมาขึ้นรถที่ท่าช้างนั่งบนรถแล้วมองดูไปในห้องไอซียูที่มารดานอนอยู่

เห็นอทิสมานกายของท่านเป็นประกายสว่าง แบบนี้ เห็นทีจะไม่ไปที่อื่นแน่นอน กลับมาถึงบ้านนอนไม่หลับ เที่ยงคืนมีคนมาแจ้งว่ามารดาข้าพเจ้าเสียชีวิตแล้วตอนห้าทุ่ม

รุ่งเช้า ๖ โมงเศษ ข้าพเจ้าโทรศัพท์ไปกราบเรียนหลวงพ่อท่านทราบ หลวงพ่อตอบทันทีว่า ไปนิพพานแล้วสว่างจ้าเลย ยืนอยู่ข้างหลวงพ่อนี่ ท่านสบายที่สุดแล้ว

ถ้อยคำหลวงพ่อทำให้อาการเศร้าโศก เนื่องจากการพรัดพรากจากคนที่รักได้บรรเทาเบาบางไปมาก ดีใจที่คำตอบของหลวงพ่อยืนยันการเห็นจากใจข้าพเจ้าเมื่อตอนสองทุ่มเศษ

อีก ๕ เดือนต่อมา ๒๖ พฤศจิกายนปีเดียวกันบิดาของข้าพเจ้าก็เสียชีวิตลงอีกเช่นกัน สำหรับบิดาข้าพเจ้าเป็นที่น่าวิตก

เพราะท่านต่อต้านการปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าตลอดมา แม้ได้ยินเสียงเปิดเทปคำสอนหลวงพ่อ ท่านก็แต่งตัวออกนอกบ้านทันที ไม่ชอบ

แต่พอการป่วยระลอกแรกปรากฏด้วยการอธิษฐานแบบตัดเชือกของข้าพเจ้า ทำให้บิดายอมฝึกมโนมยิทธิ ซึ่งท่านก็สามารถไปได้ถึงนิพพาน

และฝึกได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จนวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง ข้าพเจ้ากังวลมาก แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า บิดาของข้าพเจ้าไปนิพพานแล้ว ข้าพเจ้าโล่งใจแต่ยังไม่วายกังขา

แต่มาอีกสองปีเห็นจะได้ ลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว คืนหนึ่งฝันว่าข้าพเจ้าพายเรือไปคนเดียว พบวัดร้างแห่งหนึ่งมีป้ายตัวหนังสืออ่านไม่ออกในด้านภาษา

แต่ใจอ่านได้ว่าเป็นชื่อวัดสภาพเป็นป่าริมแม่น้ำกว้าง น้ำเต็มตลิ่ง มีพระสงฆ์รูปงามหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่เหมือนรอคอยข้าพเจ้ากระนั้น

ข้าพเจ้าจอดเรือแล้วขึ้นไปกราบท่าน ถามท่านว่าท่านมาจากไหนเจ้าคะ ท่านตอบว่ามาจากสถานที่ที่คนชื่อ...(เอ่ยชื่อบิดาข้าพเจ้า) อยู่

ข้าพเจ้าถามอีกว่าท่านจบกิจในพระพุทธศานาในด้านใดเจ้าคะ ท่านยิ้มแล้วตอบว่า "ปฏิสัมภิทาญาณ"

ข้าพเจ้าลิงโลดในใจ คำตอบท่าน จึงคลานเข้าไปกราบด้วยความดีใจ กล่าวว่า ขอพระคุณเจ้าได้โปรดสอนวิชาด้านปฏิสัมภิทาญาณแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว ไม่ห่วงใยใครอีกแล้ว

ท่านตอบทันทีว่า วิชานี้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำของเธอสอนอยู่แล้วมิใช่รึ ข้าพเจ้าไม่เซ้าซี้

กราบลาท่านกลับ อย่างน้อยก็เป็นการยืนยันว่าบิดาของข้าพเจ้าอยู่ที่เดียวกับพระคุณเจ้าองค์ รุ่งเช้ากราบเรียนหลวงพ่อท่านเรื่องนี้

หลวงพ่อตอบว่าพระสงฆ์องค์งามนั้นคือ "สมเด็จองค์ปัจจุบัน" แล้วหลวงพ่อท่านก็อธิบายความรู้ในด้านปฏิสัมภิทาญาณที่จะพึงได้

รับจากคำสอนที่ท่านสอนไว้แล้วในด้านมโนมยิทธิ ที่กล่าวมานี้แม้เป็นความฝัน ก็ยังความบรรเจิดใจอยู่ได้มิรู้ลืม.."


(โปรดติดตามตอน "กิจวัตรประจำวันของหลวงพ่อ")

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 9/9/19 at 05:08 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 4/2 ]
(Update 26 กันยายน 2562)


กิจวัตรประจำวันของหลวงพ่อ
โดย พรนุช คืนคงดี


- คำสั่งของหลวงพ่อ
"...ข้อความต่อไปนี้ หลวงพ่อสั่งให้ข้าพเจ้าเขียน ในฐานะที่ข้าพเจ้าปฏิบัติตนรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมานานปี

จนปัจจุบันได้ทราบถึงกิจวัตรประจำวันของหลวงพ่อประจำตลอดมา ทั้งๆ ที่ท่านป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ อันเนื่องมาจากความชราภาพ สภาพร่างกายทรุดลงตามธรรมชาติของการเกิดมาต้องแก่

ประกอบกับชีวิตของหลวงพ่อผ่านการป่วย และวาระการมรณภาพชั่วคราวมาหลายครั้ง ทำให้เนื้อเยื่อและเส้นประสาทต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ไม่เป็นปกติมานาน

โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ลำไส้ไม่ขยับตัว ไม่ทำงานตามหน้าที่ ทำให้ระบบอื่นๆ เรรวนปรวนแปรไปหมด ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสกับร่างกายของหลวงพ่อ

แต่หลวงพ่อเป็นพระที่อดทน และขยันที่สุด แม้จะป่วยไข้ไม่สบาย ท่านก็ไม่ปล่อยเวลาให่ว่างโดยไร้ประโยชน์ ตั้งแต่เช้ามืดยันค่ำถึงตกดึก

วันไหนตื่นเช้ามากเกินไป เพราะไม่หลับอีกแล้วท่านจะทำงานขีดเขียน บันทึกเสียงหรือปรับปรุงเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เตรียมพร้อมในการทำงานต่อไป

เวลา 06.30 น.เศษ ฉันอาหารเช้าและฉันยาช่วยย่อยอาหารแล้วออกไปเลี้ยงสุนัข หลังจากนั้นหลวงพ่อท่านก็ไปที่ทำงาน

หอบเอกสารการงานส่วนที่เป็นบัญชี การเงิน เซ็นธนาณัติ อ่านจดหมายผู้เขียนมา หรือไม่ก็ออกไปตรวจงานการก่อสร้าง บอกจุดให้ช่างก่อสร้างทำ

เพราะการก่อสร้างทั้งหมดไม่มีแบบแปลนที่เป็นแผ่นกระดาษ ได้เวลาฉันอาหารเพล เสร็จแล้วก็ต้องฉันยาช่วยย่อยอาหาร ได้เวลา 13.30 น. ลงรับแขก แม้จะป่วยก็ไม่พักผ่อนต้องฉันยากระตุ้นสมองไว้มิให้มีการอ่อนเพลียปรากฏ

ท่านผู้มาทำบุญจะมีมากน้อยเพียงใด หลวงพ่อก็ลงทุกวันตามเวลา 15.00 น. ต้องเลิกรับแขก เพราะอาการป่วยมาตามเวลาคือ

เสมหะข้นเหนียว งง เพลีย มึนศีรษะ เดินซวนเซ แทบล้มทั้งยืน กลับที่พัก มีสุนัขนับร้อยและผู้ปฏิบัติรับใช้ท่านรออยู่

หลงพ่อเดินไปเยี่ยมสุนัขที่คลอดลูกแต่ละครอกสม่ำเสมอกัน เพราะตัวแม่มารอรับให้เข้าไปเยี่ยมลูกเข้าถึงบ้าน ปีนี้มีลูกสุนัขที่โตประมาณ 2 เดือน รวม 71 ตัว สุนัขใหญ่อีก 87 ตัว ตามหลวงพ่อไปเป็นขบวน

หลวงพ่อจะนั่งกับพื้นดิน บรรดาลูกสุนัขก็รุมกันเข้ามานั่งตักบ้าง กัดสายรัดประคตเล่นบ้าง กัดเนื้อเล่นบ้าง ตามใจปรารถนา เป็นเวลาพอสมควรก็ย้ายไปครอกอื่น

ทำเช่นนี้ถึง 4 โมงเย็น ขึ้นห้องพัก พักเหนื่อยสักครู่ ฉันยาละลายเสมหะ และยาช่วยขับเสมหะมี 3 ขนาน แล้วสำรอกเสมหะออกมาด้วยความลำบากยากเย็น เพลียและเหนื่อยต่อการกระแทกให้เสมหะออกจากลำคอ

เพราะถ้าเสมหะไม่ออก ฉันยาถ่ายเข้าไปตกค้างบนเสมหะ ก็ไม่มีผลในทางรักษา จึงต้องสำรอกและอาเจียนออกมาก่อนเป็นกระโถนเกือบเต็มแทบทุกวัน

ตอนนี้ก็มีพระครูปลัดอนันต์ช่วยตบหลังเบาๆ บริเวณตรงกับปอด เพื่อให้เสมหะออกดีขึ้น อาเจียนเสร็จแล้วสักครู่ ก็สรงน้ำ และฉันยาถ่ายซึ่งข้าพเจ้าจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ยาถ่ายสำหรับเราธรรมดา 5-10 เม็ดก็พอถ่ายดีแล้ว

แต่หลวงพ่อต้องฉัน 180-200 เม็ด แถมยาน้ำซึ่งเป็นยาถ่ายเช่นกันอีก 3 แก้วกินยาเต็ม รวม 150 ซีซี ยากันท้องอืด ยาแก้โรคกระเพาะ ยาบำรุง เรียกว่าอิ่มก็แล้วกัน บางทีล้นกระเพาะ อาเจียนออกมาก็หมดกัน กว่าจะเสร็จเรื่องยาก็ปาเข้าไป 5 โมงเย็น

เวลา 5 โมงครึ่ง หลวงพ่อท่านออกเดินรับอากาศบริสุทธิ์บริเวณหน้าวิหาร 100 เมตร และช่วยการขับเคลื่อนของลำไส้ด้วย หนึ่งทุ่มเศษ กลับที่พัก บันทึกเสียงหรือทำงานส่วนองค์ท่าน พร้อมกับกิจกรรมเดินเข้าห้องน้ำเป็นระยะๆ

จนได้เวลาทุ่มครึ่ง ถวายยาก่อนนอนและยาบำรุงและน้ำส้มคั้น สี่ทุ่มหลวงพ่อออกมาเลี้ยงขนมสุนัข แล้วหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องการเข้าห้องน้ำ

บางวันท่านไม่ถ่าย เพราะมีไข้ อุจจาระแข็งจับลำไส้มาก ทำให้ไม่สบาย อึดอัด ร้อนภายใน อาหารที่ฉันเข้าไปย่อยไม่ได้ และออกไม่ได้

เพราะอุจจาระเดิมเกาะกันแข็งเต็มลำไส้ขยับไม่ได้ จะเกิดความร้อนภายในสูง อักเสบตลอดแนวทางเดินอาหาร ภายในช่องปากแดง ริมฝีปากมีเม็ดผื่นขึ้นเต็ม ทรมานมาก

อาหารออกไม่ได้ก็อืดขึ้นดันกระบังลม แน่นหน้าอก แน่นจมูกหายใจไม่ออกไม่โล่งไม่โปร่งไปได้ และเจ้าอุจจาระแข็งเกาะลำไส้นี้แหละ ไปกดทางเดินปัสสาวะเข้าอีก ทำให้ปัสสาวะไม่ออก ปวดแทบแย่ก็ไม่ออก เส้นประสาทขาและนิ้วเท้าถูกกดเจ็บเดินไม่คล่องอีก

จึงจำเป็นต้องหาทางเอาอุจจาระออกโดยสวนทางทวารหนัก น้ำยาที่ใช้สวนมิใช่น้ำสบู่ธรรมดา ใช้ดีจรเข้ซึ่งคุณฉวีวรรณ ปุษยานนท์ ซื้อหามาถวาย

มีราคาแพงมาก และผสมกับยาดำในอัตราส่วนที่ข้าพเจ้าทดลองแล้วว่า จะละลายอุจจาระที่แข็งเกาะลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็กออกได้บ้าง สวนคราวละ 2-6 ครั้งเป็นเวลา 2 วัน ก็พอออกได้บ้าง

ท่านก็เบาสบายไประยะหนึ่ง แต่บางโอกาส โรคประจำตัวมาเยือน เช่นไข้ซึ่งมันเป็นแขกประจำตัว จนจะกลายเป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้ว ไข้มาปุบ อุจจาระก็แข็งตัวเกาะทันที

นี่เป็นโรคที่ทรมานกายท่านอยู่ประจำ ไม่เคยมีวันไหนจะว่างเว้นจากการฉันยา เรื่องสวนอุจจาระจึงต้องทำเป็นปกติ เดือนละอย่างน้อย 2 ครั้ง

- หลวงพ่อป่วยหนักที่อเมริกา
...มีคราวหนึ่งในปี 2530 ขณะไปสอนกรรมฐานที่อเมริกา นั่งเครื่องบินไปใช้เวลานาน ลำไส้ไม่ขยับตัว อุจจาระแข็งมาก สวนก็ไม่ออก น้ำยาที่สวนเข้าไปไม่ออก ทางปากก็ไม่ออก ทางทวารหนักก็ไม่ออก น้ำและอุจจาระแน่นในลำไส้เฉยๆ อย่างนั้น จนร่างกายเขียว

แต่หลวงพ่อท่านอดทนมาก ซึ่งแขกผู้มาสังเกตยาก เพราะท่านคุยปกติ สร้างกำลังใจที่เป็นสุขแก่คนอื่นทั้งๆ ที่ร่างกายของท่านกำลังถูกเผาด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และแล้วก็อาเจียนออก น้ำร้อนมาก เพราะข้าพเจ้าจับกระโถนโลหะอยู่ มือเกือบทนถือไม่ได้

หลวงพ่อท่านก็ขอกับพระท่าน เพื่อกลับมามรณภาพในเมืองไทยเมืองเกิด จะได้ไม่ลำบากคนอื่น กลับวัดด้วยสภาพคล้ายคนที่ตายแล้วซีดเซียว ปากแห้ง ทางเดินอาหารตั้งแต่ลำคอลงไปแดงบวม กลืนอาหารไม่ลง เจ็บ

คุณหมอประจำองค์ท่าน 6 ท่านก็ระดมกำลังความคิด สติปัญญาเยียวยากันจนสุดความสามารถก็รักษาร่างกายไว้ได้ แต่ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไรนัก

เรื่องอักเสบลดลงก็เบาลงมาก แล้วสวนอุจจาระออกให้ได้ ก็บรรเทาลงไปมาก ยาฉีดก็ดี น้ำเกลือก็ดี ต้องใช้ตลอดเวลา จนเส้นท่านไม่มีช่องว่างแล้ว และกล้ามเนื้อสะโพกก็เป็นพังผืด แข็งเป็นแผ่น ยาซึมยาก

หมอต้องกดกระบอกฉีดยาจนมือสั่นยาก็ไม่ลงไปได้ แต่จำเป็นต้องฉีด หลวงพ่อต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน

แม้กระนั้นวาจาที่ท่านเอ่ยออกมา จะมีแต่สร้างกำลังใจ ชุ่มชื่นใจให้แก่ผู้ฟัง ความทุกข์ของท่านเองที่รับประจำอยู่ไม่มีความหมาย

แต่ท่านสงเคราะห์คนทั้งหลายให้คลายทุกข์และพ้นทุกข์ ทั้งชั่วคราวและตลอดไป มีพระนิพพานเป็นที่หมาย

ทุกวันท่านจะปรารภแต่กิจการงานที่จะสร้างสรรค์ตามสุขแก่ผู้อื่น ไม่ได้คำนึงถึงองค์ท่านเลย นอกจากนี้พอค่ำลงทุ่มเศษ จะบันทึกเสียงทำหนังสืออ่านเล่นบ้าง บันทึกเสียธรรมะบ้าง และเขียนหนังสือบ้าง เสียงแหบแห้งท่านก็ทนทำ เพื่อให้คนทั้งหลายได้รับความสุข

การทำงานของหลวงพ่อท่านทำเป็นเวลาแน่นอน และชัดเจน กว่าจะหลับก็ดึกมาก เพราะตั้งแต่ประมาณ 1 ทุ่มไป ยาถ่ายจะออกฤทธิ์ เดินเข้าห้องส้วมเพื่อถ่ายเป็นระยะๆ จนเกือบห้าทุ่ม

ถ้าวันไหนการถ่ายผิดปกติ มีแต่น้ำออก ไม่มีเนื้อ แสดงว่าอุจจาระแข็งเกาะลำไส้ อาการจุกเสียดก็เกิดขึ้นเนื่องจากอุจจาระแน่น ท่านก็นอนไม่ลง บางครั้งตี 2-3 ก็ยังไม่หลับ จึงต้องใช้ยาช่วยหลับ

ยิ่งตอนไปสอนกรรมฐานที่บ้านสายลม ไม่ได้เดินให้ลำไส้เคลื่อนเลย นั่งรับแขกตลอดวัน เย็งลงก็ขึ้นฉันยา พักสักครู่ กลางคืนลงอีกถึง 4 ทุ่ม ขึ้นพัก กว่าจะได้นอนก็ห้าทุ่ม

หมอต้องฉีดยาช่วยให้หลับทุกคืน เพราะถ้าไม่หลับ รุ่งเช้าก้ไม่มีแรงลงรับแขกอีก ดังนั้นเมื่อกลับจากสายลมจึงเพิ่มโรคมาอีก 4 เท่าจากเดิม กลับมาปรับปรุงร่างกายที่วัด พอ เดินรับอากาศตอนเย็นได้บ้าง

พอร่างกายจะดีขึ้นก็ได้เวลาเข้าสายลมสอนกรรมฐานแล้ว เป็นอย่างนี้ตลอดปีทุกปี แต่หลวงพ่อท่านไม่เคยบ่น เพียงเพื่อสนองเจตนากุศลของบรรดาพุทธบริษัท ตามคำสั่งของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

บางครั้ง เวลาท่านเข้าที่พัก ซึ่งเป็นเวลาจะต้องอาเจียนหรือสำรอกเอาเสมหะและอาหารไม่ย่อยออก ถ้ามีแขกผู้คุ้นเคยนั่งอยู่ด้วย โดยติดตามขึ้นไปยังห้องพักของท่าน

โดยคิดว่าศรัทธานำหน้าเหตุผล ผลก็คือ ท่านไม่กล้าอาเจียน ต้องอดกลั้นเสมหะ ซึ่งควรจะออกไว้ เพราะไม่ต้องการให้แขกเห็นอาการเช่นนั้น

ท่านก็จะรู้สึกอึดอัด อักเสบ ผะอืดผะอม ท่านก็ทรมานสุดจะทนทาน ท่านก็กล้ำกลืนไว้ก่อน ต่อเมื่อแขกผู้คุ้นเคยกลับไปแล้วนั่นแหละ ท่านจึงจะสำรอกเสมหะและอาเจียนออกมา

ข้าพเจ้าสงสารหลวงพ่อจับใจ จึ่งตั้งหน้าตั้งตาปรนนิบัติท่าน เท่าที่สติปัญญาอันน้อยนิดของข้าพเจ้าจะพึงทำได้ เพียงเพื่อความสบายบังเกิดแก่หลวงพ่อ

สำหรับใจท่านเป็นสุขอยู่แล้ว ยามปกติข้าพเจ้าก็มีงานทำจิปาถะ ตั้งแต่งานแม่บ้าน งานโรงเรียน งานหอพัก งานดูแลรับผิดชอบสุนัขหนึ่งร้อยเศษ มันสมองไม่ว่างสักวัน

แต่ข้าพเจ้ามีพระ พรหม เทวดา ตลอดจนท่านผู้มีพระคุณมากมาย มีหลวงพ่อเป็นองค์สำคัญที่คอยให้กำลังใจข้าพเจ้าเสมอมา

นี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้าทรงกายอยู่ได้ ทำงานไม่เหนื่อย และพอใจในการทำงาน ทั้งทางโลกและทางธรรมได้ตลอดเวลา ขอกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ยังให้กำลังใจแก่ข้าพเจ้า.."


(โปรดติดตามตอน "บันทึกหลวงพ่อป่วยหนักที่อเมริกา ปี 2530" ต่อไป)

◄ll กลับสู่ด้านบน



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 18/9/19 at 06:01 [ QUOTE ]


[ ตอนที่ 5 ]
(Update 27 กันยายน 2562)


บันทึกหลวงพ่อป่วยหนักที่อเมริกา ปี 2530
พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต เรียบเรียง











◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 26/9/19 at 05:44 [ QUOTE ]


.

[ ตอนที่ 6 จบ ]
(Update 29 กันยายน 2562)


นายแพทย์ สุวิทย์ บุณยะเวชชีวิน


"...เมื่อข้าพเจ้าเลือกสถานที่ทำงานคือ "โรงพยาบาลแม่และเด็ก" ข้าพเจ้าได้เลือก โรงพยาบาลแม่และเด็กอุทัยธานี เป็นแห่งแรกโดยไม่ทราบมาก่อนเลยว่า เป็นโรงพยาบาลที่หลวงพ่อท่านเป็นผู้สร้าง

และต่อมาภายหลังท่านได้มอบให้กับทางกรมอนามัย เมื่อทราบในภายหลังจึงมีความรู้สึกแปลกใจและตื่นเต้นกับความคิดในการเป็นนักพัฒนาของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าท่านเป็นสร้าง

โรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆ กันอีกด้วย เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่วนมากเป็นชาวบ้านแถบนี้ ชาวเมืองในอำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ต่างได้เล่าถึงความศรัทธาของผู้คนที่มากราบท่านในแต่ละปี

ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งเชื่อมั่นว่า ท่านเป็นผู้ที่สามารถทำกิจที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ แสดงว่าท่านเป็นผู้ที่มีศักยภาพสูงมาก ทำให้เกิดความรู้สึกศรัทธาและอยากพบท่านมากขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลฯ คือ คุณหมอชัยโรจน์ ขุมมงคล ได้นำข้าพเจ้าและเพื่อนแพทย์จบใหม่ไปพบ และกราบเคารพท่าน

จึงทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกฉงน เพราะท่านดูราวกับผู้ใหญ่ใจดี มิได้มีท่าทางดุหรือลักษณะน่ากลัวอย่างที่ข้าพเจ้าคาดคิดไว้แต่แรกเลย

ต่อมาคุณหมอชัยโรจน์เดินทางไปเรียนต่อที่อเมริกา ข้าพเจ้าได้ทำงานรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาล แทน

ข้าพเจ้าตั้งใจจะเข้าพบท่าน แต่ในช่วงแรกๆ งานที่รับใหม่มีหลายเรื่อง จึงไม่สามารถเข้าพบท่านได้เลย ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้ยินและทราบถึงผลงานด้านต่างๆ ได้แก่การสร้างโรงเรียน

และวันหนึ่งข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าพบท่าน เนื่องจากหลวงพ่ออาพาธ มีภาวะความดันโลหิตต่ำ เวียนศรีษะ และล้มลงหลังจากการรักษาเพียงชั่วครู่ ท่านก็แข็งแรง เกือบเหมือนปกติ

ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสใกล้ชิดและพูดคุยซักถาม ข้าพเจ้ารู้สึกว่าท่านเปรียบเสมือนเป็นผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง หลังจากนั้นไม่นาน ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ได้เห็นผู้คนนับหมื่นนับแสน

ข้าพเจ้ายิ่งมีความศรัทธาในความที่มีความคิดริเริ่ม และรู้ถึงพลังศรัทธาของประชาชนที่มีต่อท่าน เป็นการไม่ยากนักที่ผู้คนทั่วไปจะทำความดี แต่เป็นการยากที่บุคคลหนึ่งจะสามารถทำให้คนหลายๆ คนทำความดี

ด้วยพลังบารมีและความเชื่อมั่นในตัวของหลวงพ่อได้ ทำให้ผู้คนทั่วไปรู้จักการให้ทาน การเสียสละ การมีสติ อย่างน้อยความเชื่อมั่นในพุทธศาสนาและความดียังคงอยู่ต่อไป,,"


พระคุณของหลวงพ่อ
พันโท นายแพทย์นพพร กลั่นสุภา

"...ประมาณปี พ.ศ.2519 ระหว่างทางกรุงเทพฯ – นครสวรรค์ ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุรถแฉลบลงข้างทาง ประมาณ กม. ที่ 11 ก่อนถึงนครสวรรค์ ได้มีโอกาสมากราบนมัสการหลวงพ่อ

ขณะนั้นท่านยังพักอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ได้พบหลวงพ่อหน้าศาลาริมน้ำ ท่านเมตตาบอกว่ามีเคราะห์และจะอาบน้ำมนต์ให้

...ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ข้าพเจ้ามาคิดว่า ทำไมท่านจึงทราบอดีตของเราได้ ข้าพเจ้าจึงเริ่มศึกษาโดยเอา คู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานและธรรมปกิณกะ เล่ม 1 เป็นพื้นฐาน หลังจากที่ปฏิบัติไปได้ไม่นานนัก ทำให้ได้ทราบสิ่งที่ยังไม่ทราบอีกมากมาย

...ในระหว่างปี พ.ศ.2519 – 2529 ก็ได้มาทำบุญที่วัดท่าซุงบ้าง เช่นงานเป่ายันต์เกราะเพชร แต่ไม่ได้เข้ามาเต็มตัว ขณะนั้นก็ยังแสวงหาอาจารย์ต่างๆ ในเขตพระศาสนา ซึ่งทำให้รู้และเข้าใจสิ่งต่างๆ

ปี พ.ศ.2530 ได้นำผู้ใต้บังคับบัญชาไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ที่ศาลารับแขกหน้าพระอุโบสถ ท่านเมตตาให้โอวาทในการรักษาศีลข้อ 5 ให้บริสุทธิ์ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา ข้าพเจ้าเลิกสุราโดยเด็ดขาดจนถึงบัดนี้

ปี พ.ศ.2531 ได้มีโอกาสกราบถวายการรักษาท่าน จึงได้ทราบว่า เป็นโอกาสดีที่สุดที่ได้มาชมปฏิปทาของหลวงพ่อ อย่างใกล้ชิด และได้ทำบุญในเขตพระศาสนา

จากความเห็นของข้าพเจ้าคิดว่า ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดในพระพุทธศาสนาขณะนี้ ที่จะอุทิศตนให้กับพระศาสนาเช่นท่านอีกแล้ว

นอกจากนี้ ท่านยังสามารถยืนยันว่า ในพระไตรปิฎกนั้นเป็นเนื้อหาที่จริง มิใช่อุปมาอุปมัย และยังสามารถสอนให้บุคคลอื่น ที่มีวาสนาบารมีได้ทราบ ได้รู้ ได้เห็นตามท่านอีกด้วย

ปี พ.ศ.2532 วันที่ 19 พฤษภาคม ตรงกับวันวิสาขบูชา ข้าพเจ้าได้มีโอกาสทำบุญที่วัดท่าซุง ในงานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้กราบถวายพระทุ่งเศรษฐีเลี่ยมทองคำ และทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมกับถวายสังฆทานด้วย หลวงพ่อท่านเมตตาให้พรว่า “ขอให้หมอสอบ เสธ. ให้ได้นะ”

ท่านพูดอยู่ 2 ครั้ง ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจว่า พรุ่งนี้และมะรืนนี้จะเป็นวันสอบเข้าโรงเรียนเสธ. ของข้าพเจ้าจะผ่านไปได้โดยสะดวก และก็เป็นดังเช่นพรของหลวงพ่อ

ข้าพเจ้าได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำที่ 68 ทำให้วิถีชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัวเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ขณะนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 9 กรมสนับสนุนกองพลทหารราบที่ 9

ข้าพเจ้าและครอบครัว ขอกราบขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่เมตตากรุณาให้โอกาสต่างๆ แก่ข้าพเจ้าและครอบครัว สิ่งใดที่เป็นความประสงค์ของหลวงพ่อ และข้าพเจ้าทำได้แล้ว ข้าพเจ้าและครอบครัวขอปวารณาไว้ตลอดจนชีวิตจะหาไม่


ประวัติยารักษาโรคเอดส์ (AIDS)
...ยารักษาโรคเอดส์ เกิดขึ้นเมื่อคืนของวันพฤหัสบดีที่ 21 กันยายน 2532 เวลาประมาณ 02.00 – 03.00 น. ขณะอยู่ในรถยนต์โตโยต้าคันใหม่ของอาจารย์รังสรรค์ ระหว่างทางจากวัดโพธิ์เมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา มาวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

ข้าพเจ้าได้โดยสารมากับหลวงพี่อาจินต์ ธัมมจิตโต เพิ่งกลับมาจากงานฉลองพระประธาน หน้าตักกว่าง 9 ศอก ที่วัดโพธิ์เมืองปัก หลวงพี่ท่านปรารภว่าหลวงพ่อท่านบอกว่า สามารถใช้ยาเย็นรักษาโรคเอดส์ได้

ข้าพเจ้าได้เริ่มต้นค้นคว้าตัวยา ขณะที่เข้าเรียนหลักสูตรเสนาธิการทหารบกหลักสูตรประจำที่ 68 ระหว่าง 1 ตุลาคม 2532 – ตุลาคม 2533 โดยอาศัยหลักฐานจากสถาบันต่างๆ ทั้งข้อมูลในประเทศและต่างประเทศ

เดิมที ข้าพเจ้าพบสารที่ระเหยได้ซึ่งมีอยู่ในยาเย็นประมาณ 2,000 ตัว รู้สึกว่ามากจนคิดไม่ออกว่าจะเป็นตัวไหน จึงได้มาเรียนปรึกษาหลวงพี่อาจินต์ ท่านแนะนำให้จัดเป็นหมวดหมู่ จึงได้นำสารเหล่านั้นมาจัดเป็นกลุ่มๆ ลงในกระดาษห่อฟิล์มเอกซเรย์ที่เอามาต่อยาวเป็นเมตร

เมื่อจัดกลุ่มได้ประมาณ 50 กลุ่ม ได้กราบอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เลือกออกมา 1 กลุ่ม เมื่อได้แล้วจึงหาคุณสมบัติของสารเหล่านั้น จนในที่สุดก็มาลงเอยที่สารกลุ่มที่ข้าพเจ้าเลือกเอาไว้ จึงมั่นใจว่ายานี้ต้องเป็นยาของพระแน่นอน

วันที่พบตัวยานี้ เป็นช่วงที่ภรรยาของข้าพเจ้า คือ ท.ญ.เตือนใจ กลั่นสุภา นำหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 104 เดือนตุลาคม 2532 มาให้ข้าพเจ้าอ่านเกี่ยวกับการรักษาโรคเอดส์ อ่านแล้วจึงได้บอกกับคุณหมอเตือนใจว่า

“ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก่อนหน้านี้ ก็คงไม่ต้องค้นคว้ามากถึงเพียงนี้” คุณหมอเตือนใจบอกกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้สร้างขันติบารมี และวิริยะบารมีซิคะ” ข้าพเจ้าก็ยอมรับ

วันที่ข้าพเจ้าพบ หนังสือธัมมวิโมกข์เล่มนั้น เพื่อเป็นการยืนยันในการพบตัวยาครั้งนี้ หลวงพ่อของเราท่านมีแผลที่ลิ้น ท่านบอกว่าทานอะไรไม่ได้ 3 วัน จึงกล่าวได้ว่ายาตัวนี้กว่าจะออกมาได้ นับเป็นพระเมตตาอย่างยิ่งของหลวงพ่อที่มีต่อสัตว์โลกทั้งหลาย

หลังจากนั้น ได้ไปกราบเรียนหลวงพี่อาจินต์เรื่องการค้นคว้าเกี่ยวกับยาตัวนี้ จากการรายงานของต่างประเทศ พบว่ามีการใช้สารนี้อยู่แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2473 – 2504 ในการทดลองทั้งคนและสัตว์ มีการใช้สารนี้ทั้งกิน ฉีดเข้ากล้าม ฉีดเข้าเส้น ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

รวมทั้งปริมาณสารที่บอกไว้ด้วยและปริมาณที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ทั้งผลข้างเคียงต่างๆ เกือบทุกระบบของร่างกาย เพราะมีรายงานของนักวิทยาศาสตร์และนักการแพทย์หลายๆ ท่าน ที่ถูกบันทึกรวบรวมไว้อย่างมีระเบียบแบบแผน จึงทำให้การคัดเลือกสารเหล่านี้ สะดวกยิ่งขึ้น และสามารถใช้กับผู้ป่วยโรคเอดส์ได้

ข้าพเจ้าเริ่มรักษาคนไข้ครั้งแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2533 หลังจากที่กลับมาจากดูงานต่างประเทศ รายที่สองเมื่อปลายปี พ.ศ.2533 ซึ่งได้ผลเป็นที่พอใจ กลางเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 ข้าพเจ้าได้พบคุณป้านิภา คงสุข ที่สวนมะม่วงญาติคุณประดิษฐ์ ได้เรียนถามท่านเรื่องการรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์

จากนั้นได้อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ฉบับที่ 154 เดือนกรกฎาคม 2534 มีผู้กราบเรียนถามหลวงพ่อ ที่ซอยสายลมว่า ขณะนี้มียารักษาโรคเอดส์ได้หรือไม่
หลวงพ่อท่านตอบว่า พระท่านว่า “มีแล้ว และหมอนพพรเป็นผู้พบ” ข้าพเจ้าจึงมั่นใจอีกครั้งว่าการรักษาต้องได้ผล

รายที่ 3 – 4 ได้เริ่มรักษาเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2534 โดยทำเป็นแบบแผนทางวิทยาศาสตร์ ทำการรักษาและบันทึกข้อมูลต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ทางการแพทย์ มีการติดตาม และประเมินผลการรักษาทุกเดือน ซึ่งผลขั้นต้นเป็นที่น่าพอใจ และขณะนี้ก็ได้ติดตามผลอยู่

ตัวยาที่ค้นพบนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านประทานยานี้ให้แก่มนุษยชาติ เพื่อดับความทุกข์ร้อนที่มนุษย์ก่อขึ้นเอง

ท่านได้ประทานคำแนะนำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประมาณการใช้ยาแต่ละครั้ง การรักษาอาการข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา ระยะเวลาการรักษา รวมทั้งการพยากรณ์โรค

เช่น เมื่อฉีดเข็มที่เท่าไรจึงจะหายขาด เมื่อเลือดขาวที่เรียกว่า ซีดีโฟร์ (CD4) จะเพิ่มขึ้นเมื่อไรและปริมาณเท่าใด และเมื่อใดผลบวกของเลือดจะกลับมาปกติเหมือนคนทั่วไป

รวมทั้งกำหนดเวลาและประเทศที่ควรจะไปจดลิขสิทธิ์บัตรยา ทำให้การรักษาสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งต้องผ่านคุณป้านิภา คงสุข ขณะที่ท่านมาจำพรรษาที่วัดท่ามะขาม จ.กาญจนบุรี

ขณะที่ทำการรักษาคนไข้มีอะไรก็ต้องไปปรึกษาท่าน และท่านก็เมตตาอนุเคราะห์ทุกครั้งที่ไปรบกวนท่าน จึงขอกราบขอบพระคุณทุกๆ พระองค์ ทุกๆ ท่านที่โปรดอนุเคราะห์ ให้ยานี้ออกมาเป็นประจักษ์แก่ชาวโลกว่า วิชามโนมยิทธิของหลวงพ่อมีจริงและใช้ได้จริง

5 กันยายน พ.ศ.2534 เวลาประมาณสองทุ่มกว่าๆ ที่วัดท่ามะขาม จ.กาญจนบุรี ขณะที่ข้าพเจ้า คุณป้านิภา คุณหมอเตือนใจ และญาติโยมพุทธบริษัท เจริญกรรมฐานอยู่ ข้าพเจ้าเห็นแสงแว้บๆ ในสมาธิ มาหยุดข้างหน้าข้าพเจ้า แต่มิได้ลืมตาดู

หลังจากหมดเวลาเจริญพระกรรมฐาน ข้าพเจ้าได้พบสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้น พระบรมสารีริกธาตุสีแดงทับทิมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร 6 องค์ เสด็จมาอยู่บนพานที่ข้าพเจ้าปูผ้าลูกไม้ขาวเอาไว้

เพื่อกราบอาราธนาท่าน ท่านเสด็จมาอยู่บนชั้นของผ้าลูกไม้ที่วางซ้อนกันอยู่หลายชั้น ชั้นละองค์สององค์ เพื่อเป็นการยืนยันว่า “ท่านเสด็จเอง”

ข้าพเจ้าจึงมั่นใจว่าการรักษาโรคเอดส์ต้องได้ผลสำเร็จแน่นอน เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่ข้าพเจ้าเริ่มการรักษาคนไข้รายที่ 3 และ 4 พระท่านจึงเมตตาประทานพระบรมสารีริกธาตุ สมดังคำอธิษฐาน ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเริ่มเจริญพระกรรมฐาน

วันที่คนไข้หายจากโรคเอดส์ ข้าพเจ้าได้กราบพระพุทธองค์ ท่านตรัสว่า “ยินดีด้วยที่คนไข้หายแล้ว” ข้าพเจ้ากราบถวายกุศลแทบเบื้องบาทพระพุทธองค์ เป็นกตัญญูกตเวทิตา ที่ท่านได้เมตตาอนุเคราะห์ให้ข้าพเจ้าได้รักษาผู้ป่วยเหล่านี้ จากนั้นข้าพเจ้าได้เรียนถามคุณป้านิภาอีก ท่านก็บอกเช่นเดียวกัน

ต่อมาได้มีโอกาสเรียนถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อ ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า “ไปถามซ้ำอีกทำไม” และท่านก็ยินดีที่ยานี้ออกมา ท่านกล่าวแสดงความยินดีถึง 2 ครั้ง 2 วาระ

ข้าพเจ้าและคุณหมอเตือนใจได้กราบเรียนหลวงพ่อว่า จะใช้ชื่อยานี้ว่า “ยาพระเมตตา” เพราะยานี้ได้มาจากพระพุทธองค์

ข้าพเจ้าคิดว่า ทำไมขณะนี้จึงยังไม่มีผู้ที่รักษาได้ เพราะต้องใช้ปริมาณยาค่อนข้างสูง และมีอาการข้างเคียงมาก ระยะเวลาการรักษา ต้องใช้ถึงเดือนครึ่งถึงสองเดือนติดต่อกัน แล้วแต่ระยะของคนไข้ที่เป็นโรคนี้

หากมิใช่พระกรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งพระเมตตาของหลวงพ่อของเรา รวมถึงบารมีของเทพพรหมทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ทั้งที่ได้กล่าวนามและมิได้กล่าวนาม เชื่อได้เลยว่าจะยังไม่มียานี้ออกมาในโลกเร็วถึงป่านนี้

ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอกราบถวายกุศลทั้งปวง ที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว แทบเบื้องบาทของหลวงพ่อ และเจ้ากรรมนายเวรของหลวงพ่อ ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้หลวงพ่อนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

พื่อที่หลวงพ่อจะได้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง มีร่างกายแข็งแรง พลานามัยสมบูรณ์ เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนาต่อไปด้วยเทอญ.."


พระคุณของหลวงพ่อ
พันตรี ทันตแพทย์หญิงเตือนใจ กลั่นสุภา

W...ประมาณเมษายน 2531 สามีของข้าพเจ้า (พ.ต. นพ.นพพร กลั่นสุภา ยศขณะนั้น) ไปปฏิบัติธรรม ณ สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ ข้าพเจ้าต้องอยู่คนเดียว อาการปวดท้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเกิดกับข้าพเจ้า ปวดบิดซะจนลุกไม่ไหว

...ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ไม่เคยมีอาการเตือนมาก่อนเลย ข้าพเจ้าคิดถึงสามีซึ่งเป็นแพทย์ ถ้าเธออยู่คงไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้ แต่ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าคงไม่บอกสามีว่าป่วย เพราะไม่อยากให้มีอะไรขุ่นข้องหมองใจ ในขณะปฏิบัติธรรม

...ข้าพเจ้าปรึกษาอาการป่วยกับน้องหมอคนหนึ่งในโรงพยาบาลเดียวกัน คุณหมอบอกว่า อาการคล้าย โรคกระเพาะอักเสบ ให้ลองรับประทานยา Zactac ดู เมื่อรับประทานยาตัวนี้ อาการปวดท้องหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งๆ ที่ปวดจะเป็นจะตายจนลุกไม่ขึ้น

หลังจากนั้นไม่นาน ได้ไปกราบนมัสการหลวงพ่อ ท่านเปรยขึ้นมาว่า ท่านมีโรคประจำองค์ท่านคือปวดท้อง จึงกราบเรียนถึงอาการของตนเอง และยาที่รับประทานแล้วหายปวดท้อง ท่านจึงบอกว่ายาตัวนั้นแหละ ที่ท่านต้องใช้ในการรักษาแล้วท่านยังเมตตาบอกต่อว่า “หมอไม่ได้เป็นโรคหรอก แต่ท่านแสดงอาการให้รู้ เพื่อที่จะได้จัดยาถูก”

จึงกราบเรียนท่านว่า จะนำยามากราบถวายอีกครั้งหนึ่ง จิตในตอนนั้นสงสารท่านที่สุด ทำไมท่านต้องทรมานมากขนาดนั้น ถ้าจะเจ็บมากว่านี้ เพื่อให้ได้ยามากราบถวายหลวงพ่อ ข้าพเจ้าก็จะยอม

คราหนึ่ง จิตวันนั้นเหงาๆ พิกล ปนน้อยใจนิดๆ เมื่อเข้าไปกราบหลวงพ่อที่ศาลารับแขกหลังใหม่ กราบถวายสังฆทานเสร็จก็นั่งเงียบๆ พร้อมกับกำหนดจิตถึงองค์พระ เพราะไม่ทราบจะกราบเรียนถามอะไร

...ฉับพลัน จิตก็พลันสว่างจ้า ด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง เพราะขณะที่มองไปทางองค์หลวงพ่อ เห็นรัศมีพุ่งออกมารอบกายท่านคล้ายฉัพพรรณรังสี งามสุดที่จะบรรยาย

ด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง ก็หลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง ดูซิว่าจะยังเห็นอีกหรือเปล่า รัศมีรอบองค์หลวงพ่อ ก็ยังงามเหมือนเดิม

จิตขณะนั้นสงสัยเป็นกำลัง หลวงพ่อท่านเลยหันมาแก้ข้อสงสัย โดยกล่าวว่า “เก่ง” พร้อมกับเมตตาประทานหมากมาให้ ...กราบขอบพระคุณในพระเมตตาของหลวงพ่อ ที่เมตตาแสดงปรากฏการณ์ให้ลูกสาวที่ขี้สงสัยเห็นเจ้าค่ะ...

มีคราวหนึ่ง หลวงพ่อท่านปวดฟังมาก ต้องทนทุกข์ทรมานกับการปวดหลายครั้งหลายครา รักษาอย่างไรก็ยังไม่หายสักที (ถ้าเป็นฟันคนอื่น หายปวดไปตั้งนานแล้ว) แต่ของหลวงพ่อต้องพิเศษสุด รักษาทางวิชาการสายทันตแพทย์เท่าไรก็ไม่หาย

เป็นไงเป็นกัน ขอตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย เทพพรหม ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ ท่านลุง หลวงปู่ชีวกโกมารภัจ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

ขอให้ฟันหลวงพ่อหายปวดเถิด ลูกขอยอมรับทุกอย่าง ให้มาเกิดกับลูกเอง... เท่านั้นแหละ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้สงสารหลวงพ่อจับใจ...

เมื่อกราบถวายการรักษาฟันหลวงพ่อแล้ว อธิษฐานจิตแล้วก็เดินทางกลับ อาจารย์บุปผาชาติ พงษ์ประดิษฐ์ ช่วยขับรถให้ (พี่โอ๋ช่วยขับรถรับส่งแทบทุกครั้งที่มากราบถวายการรักษาหลวงพ่อ) ระหว่างทางจากวัดกลับนครสวรรค์ ทันใดนั้นเอง มือและเท้าของข้าพเจ้าค่อยๆ ชา ชาจากปลายนิ้วขึ้นมาเรื่อยๆ ชาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ด้วยอาการตกใจ จึงร้องบอกพี่โอ๋ว่า “กระดิกไม่ได้แล้ว”พี่ก็สั่งให้ลองขยับ น้องก็ลองขยับ โอย! ขยับไม่ได้หงิกงออยู่ตรงเบาะรถ ชุลมุนชุลเกอยู่ในรถ อีกตั้งสิบกิโลเมตร กว่าจะถึงโรงพยาบาล ทำอย่างไรดี พี่โอ๋ได้สติเตือนให้นึกถึงองค์พระ พุ่งใจไปพระนิพพาน

โอ! ได้เรื่อง เป็นไงเป็นกัน ตายเป็นตาย กราบอาราธนาบารมีองค์สมเด็จ พุ่งใจไปพระนิพพาน กายเป็นอย่างไร ไม่สนใจแล้ว จิตสว่างว้าบ...กายก็หงิกอย่างนั้น ไม่สนซะอย่าง

...พอถึงโรงพยาบาล ทหารรีบเอารถเข็นมารับ พร้อมกับถามว่า “หมอเป็นอะไรครับ” ไม่รู้จะบอกอย่างไร ... รีบเข็นไปห้องฉุกเฉิน น้องหมอมาดูอาการไม่รู้ว่าเป็นอะไร พี่โอ๋บอกว่า “อาจแพ้ผงชูรส”

น้องก็เลยฉีดกลูโคสให้ก่อนแล้วเจาะเลือดดูอีกที บีบนวดประคบน้ำอุ่น รักษาตามอาการที่แสดง ซักพักอาการก็ดีขึ้น จึงได้นอนพัก พักใหญ่.. ผลทดสอบของเลือดออกมา ทุกอย่างปกติ ไม่พบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ ภายหลัง

เมื่อพบแม่ค้าที่ผัดข้าวให้ทาน ถามว่าใส่ผงชูรสมากไหม ปรากฏว่าไม่ได้ใส่ผงชูรสเลย แล้วอะไรกันล่ะที่เกิดขึ้น เพราะปกติเป็นคนแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วย ...

นึกไปนึกมา นึกอ๋อ! ในใจก็ตั้งจิตอธิษฐานอย่างไรล่ะ ก็เลยได้ชิมทุกขเวทนาที่หลวงพ่อท่านได้รับ นี่แค่กระผีกนิดๆ นะนี่ เท่านั้นแหละ

น้ำตานี้ร่วงเผาะๆ สงสารหลวงพ่อที่ต้องทนทุกขเวทนา เพื่อจะโปรดลูกหลานของท่าน จิตใดที่ดีมาก็ส่งถึงพระนิพพาน จิตใดดีน้อยลงไปหน่อย ก็ส่งไปสวรรค์ก่อนแล้วค่อยต่อถึงพระนิพพานอีกรอบ

ลูกกราบแทบเท้าหลวงพ่อ การใดที่ลูกจะรับใช้หลวงพ่อได้ ขอหลวงพ่อได้โปรดเมตตาสั่งการ ลูกขอน้อมรับและปฏิบัติตามด้วยชีวิต

บุคคลใดก็ตาม ที่ได้รับใช้หลวงพ่อ คงจะมีเหตุการณ์ที่ประทับใจในองค์หลวงพ่อมากมายดังตัวอย่างที่จะเล่าให้ฟังอีก


12 กรกฎาคม 2532 – 3 สิงหาคม 2534
...เป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของลูกที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ลูกได้กราบถวายการรักษาฟันหลวงพ่อ ประมาณ 46 ครั้ง

ได้รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ได้ทราบปฏิปทาและการวางองค์ของหลวงพ่อ นับเป็นพระเมตตาของหลวงพ่อที่ประทานโอกาส ให้ลูกได้กราบถวายการรักษาฟันขององค์ท่าน

จิตของลูกบอกเสมอว่า การเกิดเป็นทันตแพทย์ในชาตินี้คุ้มเหลือเกิน คุ้มทั้งชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อๆ ไป ถ้าจะต้องมาเกิดอีก

หลวงพ่อ...ท่านเป็นคนไข้ที่พูดตามภาษาหมอก็ต้องพูดว่า ท่านเป็นคนไข้ที่น่ารักมาก คำน้อยก็มิเคยปริปากบ่น แม้จะเจ็บ แม้จะทนเมื่อย ท่านก็มิเคยพูดให้หมอช้ำใจ

ท่านพยายามอำนวยความสะดวก โดยการจัดสังขารร่างกายของท่าน เพื่อให้เข้าตำแหน่งที่หมอถนัดที่สุด ทั้งๆ ที่ สังขารร่างกายของท่านนั้นไม่ได้สมบูรณ์แข็งแรงเลย ท่านไม่เคยปริปากว่าเมื่อย แม้จะนานเท่าใด

กราบเรียนถามว่า “หลวงพ่อเจ้าขา เจ็บไหมเจ้าคะ”
ท่านเมตตาตอบว่า “ไม่เป็นไร กายหลวงพ่ออยู่ที่หนึ่ง จิตหลวงพ่อไปแล้ว ...ไปเที่ยว...”

แทบทุกครั้ง ถ้ามีเวลาหลังจากการกราบถวายการรักษาฟัน ท่านจะนำเรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านไปเที่ยวมา มาเล่าให้ฟัง

แม้หลวงพ่อจะกล่าวว่า “ไม่เป็นไร” ใจของลูกก็ไม่อยากให้ท่านเจ็บแม้แต่นิด ฝีมือลูกมีเท่าไรก็พยายามใช้อย่างเต็มที่

แต่เหนือสุด เหนือสิ่งอื่นใด ก่อนกราบถวายการรักษา ลูกกราบอาราธนาบารมีคุณพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คุณมารดา คุณบิดา คุณครูบาอาจารย์ ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ท่านแม่จิต

ท่านแม่วิลาวัลย์ ท่านลุงพุฒิ เทพพรหมเทวดาทั้งหมด ท่านปู่ชีวกโกมารภัจ ขอได้โปรดช่วยให้ลูกได้กราบถวายการรักษาหลวงพ่อให้ดีที่สุด ...ขณะที่กราบถวายการรักษาก็พยายามเจริญสมาธิไปด้วย

สภาพฟันขององค์หลวงพ่อ ไม่ค่อยเหมือนปกติเลย บางครั้งดูเหมือนไม่มีรอยโรค แต่เช็คไปเช็คมา โดยเอาความรู้ทางวิชาการและจากองค์หลวงพ่อบอกมา ก็เจอสาเหตุทุกครั้ง

ร่างกายของท่านผิดปกติที่ใด ท่านทราบของท่านดี และช่วยหมอวินิจฉัยโรคด้วย ลักษณะฟันขององค์ท่านไม่ค่อยเหมือนฟันคนอื่น อาจเป็นเพราะท่านใช้สังขารมานานเหลือเกิน จนต้องใช้คำว่า “ทนอยู่” ทนเพื่อลูกหลานของท่าน ดุจบทความที่ท่านฝากไว้ว่า


พ่อรักลูกทุกคนมาก...
...ชีวิตของพ่อไม่มีความสำคัญไปกว่าความดีของลูก เหนื่อยเพื่อลูกจึงไม่มีสำหรับพ่อ มันเหนือความเหนื่อยและเหนือความเบื่อหน่ายของพ่อ

ความดีของลูก เป็นปัจจัยให้พ่อรักลูกทุกคนยิ่งกว่าชีวิตของพ่อ ฉะนั้นขอบรรดาลูกทุกคน จงรักษาความดีของลูกไว้ เหมือนเกลือรักษาความเค็ม

สิ่งใดก็ตาม ถ้าเป็นประโยชน์แก่ลูก พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อลูกของพ่อ และพ่อจะไม่ห่วงใยอาลัยในชีวิตของพ่อ ถึงแม้ว่าเลือดและเนื้อของพ่อจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือว่าชีวิตอินทรีย์ของพ่อจะสลายไปก็ตาม พ่อทำทุกอย่างได้เพื่อลูก

ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายทรงบรรลุแล้วก็ดี

ขอบรรดาลูกแก้วทั้งหมดของพ่อ จงปรากฏมีผลเช่นเดียวกับพระอรหันต์ทั้งหลาย ในชาติปัจจุบันนี้เถิด

พระราชพรหมยาน


...เมื่อหลวงพ่อปวดฟัน ท่านไม่เคยเอาความเจ็บป่วยมานำหน้าภารกิจของท่านเลย มีครั้งหนึ่งท่านปวดฟันมาก (คนที่เคยปวดฟัน จากการมีถุงหนองที่ปลายรากฟันคงทราบดีว่าปวดแค่ไหน)

กราบขออนุญาตถวายการรักษาทันทีทันใด ท่านบอกว่า “ไม่ได้หรอก เพราะติดภารกิจของพระศาสดา อีกทั้งจะทำให้ศรัทธาของญาติโยมเสียไป ถ้าไม่เจอองค์ท่าน”

ได้ฟังแล้วน้ำตาไหลเลย สงสารท่านจับใจ ไม่รู้จะบอกอย่างไร รู้แต่ว่าถ้าท่านประทานโอกาส จะกราบถวายการรับใช้อย่างดีที่สุด เท่าที่ลูกได้รับการประสิทธิประสาทวิชาความรู้ จากคณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตลอดระยะเวลาประมาณ 2 ปี ที่ลูกได้กราบถวายการรักษาฟันหลวงพ่อ ลูกได้พยายามสังเกต จริยาวัตรของท่าน และพยายามยึดถือเป็นแนวปฏิบัติตาม ใครยิ่งอยู่ใกล้ท่าน ก็ต้องยิ่งรักยิ่งเคารพท่านเป็นเงาตามตัว

หลวงพ่อเป็นเพชรน้ำเอกในพระบวรพุทธศาสนา ลูกภูมิใจเหลือเกินที่มีโอกาสรับใช้หลวงพ่อ ชีวิตนี้ลูกไม่เสียดายแล้วที่เกิดมา เพราะได้มีโอกาสรับใช้หลวงพ่อ แม้เพียงเท่าธุลี ลูกก็ดีใจและถือเป็นมหากุศล

ลูกกราบอาราธนาบารมี คุณพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ คุณพระปัจเจกพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยสงฆ์ หลวงพ่อท่าน ท่านปู่ ท่านย่า ท่านแม่ศรี ท่านแม่จิต ท่านแม่วิลาวัลย์ ท่านลุงพุฒิ ท่านปู่ชีวกโกมารภัจ เหล่าเทพพรหมเทวดาทั้งปวง พร้อมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย

ขอได้โปรดคุ้มครองปกป้องหลวงพ่อ ให้ท่านมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น ให้ท่านสุขกายสุขใจ พ้นผองภัยพิบัติทั้งปวง เพื่อเป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกๆ หลานๆ และเป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนาต่อไปด้วยเทอญ,,"


สัพพัง อัปปะราธัง ขมะถะเมภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะกะตัง
สัพพัง อัปปะราธัง ขมะถะเมภันเต อุกาสะ ขะมามิภันเต

◄ll กลับสู่สารบัญ



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 29/9/19 at 04:13 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top