หลวงพ่อเล่าเรื่อง "ชาวบ้านท่าซุง" ที่ไปนิพพานได้
หลวงพ่อเล่าเรื่อง "ชาวบ้านท่าซุง" ที่ไปนิพพานได้
บทนำร่อง
"...ก่อนที่จะอ่านเรื่องที่หลวงพ่อเล่า ขอเกริ่นนำเรื่องนี้สักเล็กน้อย เพราะผู้เขียนยังได้ทันรู้จักกับโยมทั้ง ๓ คนนี้
เท่าที่ได้เห็นสภาพของโยมก็คือเป็นชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ที่เราเห็นคนแก่ที่มักจะหาบของมาถวายในวันพระ นุ่งโจงกระเบน พกเช่ี่ยนหมากมาด้วย
แถมปากก็ยังเคี้ยวหมากอยู่
นี่ก็เป็นภาพโบราณๆ ที่สมัยนี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ทั้งสามคนบ้านอยู่ใกล้กัน คือสายเหนือ ที่เรียกเช่นนี้ เพราะพระวัดท่าซุงออกบิณฑบาตหลายสาย
ถ้าเดินไกลถึง ๒ กิโล ต้องไปสายเหนือ คืออยู่เหนือวัด ถ้าเดินไปสายใต้ พระจะรู้ว่าตัวเองเดินแค่กิโลเดียว ส่วนสายเรือก็มี ไปทางแม่น้ำสะแกกรัง
และสายกลางก็คือหลังวัด
สำหรับภาพที่โยมพวงกำลังใส่บาตร "ท่านเจ้าคุณพระราชภาวนาโกศล" นับเป็นภาพที่ดูได้ยาก นั่นเป็นสมัยที่ท่านยังหนุ่มๆ อยู่ แม้ผู้เขียนก็ไปสายเหนือเป็นประจำ
เพราะชอบเดินไกลอยู่แล้ว
ภาพนี้มี "คุณวรรณชัย" ส่งมาให้ดูก่อน ถามว่าองค์ที่ ๒ ใช่หลวงพี่ไหม บอกว่าใช่ แม้เพิ่งจะเห็นภาพนี้ก็ตาม แต่จำโยมพวงได้
โยมทั้งสามคนนี้ ถือว่าโชคดีในจำนวนชาวบ้านแถวนี้ ที่นับจำนวนสิบ จำนวนร้อยก็ตาม ไม่ใช่ว่าจะหาโอกาสได้ง่าย ที่สามารถไปนิพพานได้ในชาตินี้
เพราะโยมทั้งสามคนนี้ ไม่ได้เล่าเรียนธรรมะมากมายอย่างเรา แค่มีความศรัทธาแบบบ้านๆ เท่านั้น อีกทั้งยังมาทำบุญในวันพระอยู่เป็นประจำ
แต่โชคดีที่ได้ฟังเทศน์หลวงพ่ออยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงสำคัญเวลาเจริญพระกรรมฐาน ครั้นถึงเวลาป่วยไข้ หลวงพ่อก็ไปเยี่ยม จนแนะนำให้ไปนิพพานได้ในที่สุด
นับว่าเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่ไปนิพพานแบบง่ายๆ อย่างท่านจ่าพัว ชละเอม ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปนิพพานมาก่อน
แล้วท่านผู้อ่านจะไม่ฉวยโอกาสเช่นนี้บ้างหรือ เมื่อได้อ่านคำบอกเล่าจากหลวงพ่อฯ ดังต่อไปนี้..."
"...ทายกทายิกาประจำวัด ก็มีคนอยู่ ๓ คน คือ โยมพวง, โยมน้อย, และก็โยมอะไรหนอ.. นึกชื่อไม่ออกเสียแล้ว (แกชื่อ "ยายดี"
ผู้เขียนเพิ่งนึกออก) มี ๓ คนด้วยกัน ส่งของมาเป็นประจำ เอากล้วย เอาอ้อย เอาผักบ้าง เอาปลาบ้าง มาถวายเป็นประจำ
โยมน้อยคนนี้เจริญกรรมฐานเก่งมาก เวลานั้นก็เจริญกรรมฐานอยู่ ๓ คน นี่คนประจำ บางวันก็มีคนอื่นมาร่วมด้วยบ้าง จริงๆ แล้วก็ ๓ คนนี่เป็นประจำแน่นอน
ถ้าย้อนอดีตของ ๓ ท่านนี้ ขอดู "จุตูปปาตญาน" ในสมัยพระยากาญจนบุรี (ท่านขุนแผน) เวลายกทัพต้องไปพักที่วัดจันทาราม (ท่าซุง) และทั้ง ๓ ท่านนี้
สมัยนั้นก็เป็นหัวหน้าเกณฑ์ชาวบ้านให้เอาอาหาร มี ปลา เนื้อ ผัก มาให้กองทัพ
สมัยนั้น ชื่อ "วัดจันทาราม" มีชื่อเสียงมาก เพราะหลวงพ่อจันทร์ ท่านเป็นพระยา และเป็นนักรบเก่ามาก่อน มาบวชอยู่ที่วัดนี้ ได้ฝึกวิชาทหารให้แก่ชาวบ้าน
และมีผ้ายันต์แดง หนังเหนียวมาก ถ้าทหารที่ไปพักที่วัด ท่านจะแจกผ้ายันต์สีแดง พอแจกเสร็จก็ให้แทงกันเดี๋ยวนั้นทั้งกองทัพ โดยถอดเสื้อก่อน
พอมาชาติปัจจุบันนี้ ทั้ง ๓ ท่านมาเกิดก่อนอาตมา เวลาที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง ทั้ง ๓ ท่านก็มาเจริญพระกรรมฐาน และเอาอาหาร มีผัก ปลา มาถวายเป็นประจำ
โยมน้อย แก้วแดง มีความเข้มแข็งในทาน ศีล เจริญภาวนาครบทุกอย่าง และเจริญพระกรรมฐานเก่งมาก เวลานั้นก็เจริญพระกรรมฐานกันอยู่ ๓ คน เป็นประจำแน่นอน
บางวันก็มีคนอื่นมาร่วมด้วยบ้าง
แต่ว่าโยมน้อยเก่ง ตอนหลังท่านเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะ อาตมาก็จะเข้ากรุงเทพฯ วันก่อนที่จะเข้ากรุงเทพฯ หนึ่งวันก็ไปเยี่ยมท่านที่บ้าน
ท่านก็นอนเฉยไม่แสดงอาการอะไรทั้งหมด ไม่เคยคราง ไม่เคยบ่น
ถามว่า โยมปวดไหม ?
บอกว่า ปวดมากเจ้าค่ะ
ถามว่า โยมเวลานี้นึกถึงอะไร ?
โยมก็บอกว่า นึกถึงนิพพานอย่างเดียวเจ้าค่ะ
ถามว่า โยม เห็นพระไหม ?
บอกว่า เห็นเจ้าค่ะ
เห็นรูปร่างเป็นอย่างไร ?
บอกว่า รูปร่างใสเป็นแก้ว
ถามว่า พระองค์นั้นเป็นใคร โยมทราบไหม ?
แกบอกว่า ทราบ
ถามว่า ใครล่ะ ?
โยมก็เลยบอกว่า พระพุทธเจ้าเจ้าค่ะ
บอกว่า วันพรุ่งนี้อาตมาต้องไปกรุงเทพฯ อาตมาไม่อยู่ เพราะว่าจะต้องไปสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม บ้านเจ้ากรมเสริม
แกก็พยักหน้า เลยบอกว่า โยมอย่าลืมนิพพานนะ อย่าลืมภาพพระนะ ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น
โยมน้อยไปถึงนิพพานแล้ว
...หลังจากนั้นมา พอรุ่งขึ้นอาตมาก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พอตกกลางคืน เวลาสอนกรรมฐาน เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ก็ปรากฏภาพ "โยมน้อย" เห็นเป็นขบวนใหญ่
นั่งรถแก้วแพรวเป็นระยับ และมีขบวนนางฟ้าบ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง เยอะแยะ แพรวพราวเป็นระยับผ่านไป พอผ่านหน้าไปก็เห็นยกมือไหว้บอกว่า
"...ท่านเจ้าคะ ฉันขอลาไปนิพพานเจ้าค่ะ"
ก็นึกในใจว่า ภาพนี้เราไม่ได้สร้างขึ้น เราไม่เคยคิด เรื่องเสียงนี่เสียงโยมน้อย แต่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนแล้ว สวยมาก
เลยนึกในใจถามว่า ชื่อน้อย ใช่ไหม ?
บอก ใช่ค่ะ ที่เป็นมะเร็ง ท่านไปเยี่ยมวานนี้ วันนี้ไปแล้วเจ้าค่ะ ฉันมีความสุขแล้ว ขอท่านมีความสุขด้วยนะ แล้วก็ผ่านไป
ชวนโยมพวงไปนิพพานด้วยกัน
...พอกลับมาวัดก็ทราบข่าวว่า โยมน้อยตายคืนนั้นจริง ๆ เวลานั้นเป็นเวลาที่โยมพวงกำลังเจริญกรรมฐานเหมือนกัน โยมพวงก็บอกว่า เห็นขบวนเหมือนกัน ได้ยินแจ๋ว ๆ
ว่า
"พวงเอ๊ย..พวง น้องเอ๊ย..พี่ลาแล้วนะ พี่ลาไปนิพพานนะ..พวงนะ อย่าลืมนิพพานนะ..น้องนะ..พี่ลาละ !!"
โยมพวงบอกว่า จำได้แต่เสียง แต่ตัวจำไม่ได้..เพราะสวยมาก โยมพวงบอกอาตมาว่า "ขี่เกวียนสวยเหลือเกิน แต่เกวียนไม่มีม้าเทียม ไม่มีโคเทียม เป็นงอนข้างหน้า
มีเทวดาลาก"
แล้วต่อมาอีก ๒-๓ วันก็ปรากฏว่า เด็กสาว ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกันเลย อยู่ในตลาดอุทัยธานี เธอนอนฝัน ฝันว่าโยมน้อยตายไปแล้ว เห็นขบวนที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
ตรงกันหมดทุกอย่าง
"โยมน้อยนั่งเกวียนไปสวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ มีเทวดานางฟ้า มีพรหมล้อมรอบ" และได้บอกว่าจำได้แต่เสียง เพราะท่านสวยเหลือเกิน มีชฎาใส่
ทั้งตัวแพรวพราวไปหมด คนในขบวนที่มาก็มีสภาพเดียวกัน สวยพรรณนาไม่ไหว"
ก็รวมความว่า ถ้าการเห็นการได้ยินคราวนั้นไม่ผิด ก็แสดงว่า "คณะของเรา" คนที่ไปนิพพานก่อนเพื่อนนั่นคือ "โยมน้อย"
คนที่เป็นกำลังใหญ่ของอาตมาในสมัยที่มาอยู่วัดท่าซุง
เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๑ อาตมาไปพบโยมน้อย แก้วแดง กับคุณตานา ท่านแต่งตัวสวย ทั้งสองท่านมีความสุขไปนานแล้ว ท่านโยมน้อย แก้วแดง
เป็นความหวังพระนิพพาน ในบรรดานักปฏิบัติชุดแรก ที่อาตมาสอนพระกรรมฐาน
ส่วนคุณตานานั้น ก่อนตายบูชาพระ เจริญพระกรรมฐานเป็นปกติ เมื่อป่วยมาก ได้นิมนต์พระมาสวดพระปริตร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าต่อนาม เมื่อพระเริ่มสวด
กราบพระเสร็จ กำลังฟังพระสวดก็ตายเวลานั้น.."
บทสรุป
...ผู้เขียนได้นำเรื่องตัวอย่างของผู้ที่สามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้มาเล่า คือ ท่านจ่าพัว ชระเอม, ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต, เจ๊จันทนา
วีระผล, พญ.วัชรี หิรัญยูปกรณ์ ผ่านไปจนถึงชาวบ้านท่าซุงนี่เอง
คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติธรรมภายหลัง จะได้เกิดความมั่นใจและมีความอุตสาหะสร้างความดีต่อไป
ผู้เขียนหวังใจว่า ผู้อ่านคงจะอ่านให้เข้าใจทุกตัวอักษร เพื่อจะได้ซึมซาบไปกับบุคคลตัวอย่างเหล่านี้ ที่ท่านก็เคยมีสภาพเดียวกับเรา คืออาจจะมีความท้อแท้
หรือไม่มั่นใจว่าจะไปนิพพานได้ในชาตินี้
แต่ผลที่สุดเมื่อบารมีเต็ม และด้วยคำสอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน สอนไว้ ก็สามารถตัดใจไปให้ถึงที่สุดได้
บุคคลตัวอย่างทีลงเรื่องไปแล้วมีดังนี้
- ท่านจ่าพัว ชระเอม ท่านก็ไม่เคยหวังว่าชาตินี้จะไปได้ คลิกอ่านได้ที่นี่..http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2297
- ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ท่านมีภารกิจมาก อีกทั้งเพิ่งจะได้พบกับหลวงพ่อฯ ไม่นาน ผลสุดท้ายแม้จะประสบเหตุถูกลอบยิง ถึงจะมีทุกขเวทนามากเพียงใด
ท่านก็ตัดสินใจไปได้ในวินาทีสุดท้าย คลิกอ่านได้ที่นี่.. http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2296
- เจ๊จันทนา วีระผล ท่านนี้ก็มีความสำคัญเช่นกันที่เป็นถึงเศรษฐีนี แต่สามารถไปนิพพานได้แบบสบายๆ โดยไม่ได้ยึดติดความร่ำรวย หรือความมีศักดิ์ศรีแต่อย่างใด
คลิกอ่านได้ที่นี่.. http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2362
- พ.ญ.วัชรี หิรัญยูปกรณ์ ตามที่ลงเรื่องเล่าไปแล้ว ซึ่งได้พบกับอภิญญาใหญ่ของหลวงพ่อมาด้วยตนเอง คลิกอ่านที่นี่ คลิกอ่านได้ที่นี่.. http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2373
ส่วนตอนที่เพิ่งจบไปก็เป็นบุคคลสำคัญท่านหนึ่ง ที่มีบทบาทในการช่วยสร้างวัดท่าซุงมาตั้งแต่ต้น (ปี ๒๕๑๑ - ๒๕๒๑) คลิกอ่านได้ที่นี่.. http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2400
อีกทั้งได้อุทิศบ้านสายลมให้เป็นที่สอนกรรมฐานเป็นประจำทุกเดือน ส่วนตนเองก็ช่วยเหลือกิจการงานทุกอย่าง แม้กระทั่งหลวงพ่อมีภารกิจภายนอกวัด
นั่นก็คือ คุณเฉิดศรี (อ๋อย) สุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ท่านไปนิพพานในบั้นปลายชีวิตได้ในที่สุด หรือที่เรียกว่า "ถึงหลักชัย" แล้วนั่นเอง
ซึ่งจะต้องทนทุกขเวทนากับอาการเจ็บปวดจากโรคร้าย ขอเชิญติดตามอ่านได้ ซึ่งจะมีบันทึกของผู้ที่เกี่ยวข้องมากมายหลายท่านด้วย
ฉะนั้นเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าท่านใดยังไม่มั่นใจตนเอง อ่านแล้วก็คิดว่าพวกเราที่ไปทีหลัง คงไปได้แบบสบายๆ เช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน (ขณะนั้นยังเป็น พระมหาวีระ ถาวโร) เขียนไว้ในหนังสือ อนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ ณ
เมรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๒๑
เป็นอันว่า เรื่องที่นำมาลงย้อนหลังนี้ จึงได้ปิดท้ายด้วยการทรงกระดาน (หนังสือพรสวรรค์) ทำให้ได้รู้ซึ้งถึงอารมณ์ที่เข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย
ฉะนั้น หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผู้เขียนใคร่กราบขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย แต่ถ้าจะมีผลดีต่อผู้อ่านเพียงใด โดยเฉพาะผู้ที่มีอุปนิสัยในชาติปัจจุบันนี้
นับว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง
เปรียบเหมือนกับมีแสงไฟที่ส่องสว่าง หรือเช่นกับหงายของที่คว่ำอยู่ เพราะมีบุคคลตัวอย่างเช่นนี้แล้ว การตัดอารมณ์คงจะง่ายขึ้นกว่าเดิม
ขอให้ผู้อ่านตั้งใจอ่านให้ครบถ้วนทุกตัวอักษร ผู้เขียนเพียงแค่หวังบุญกุศลของ "ธรรมทาน" ก็พอใจแล้ว และประการสำคัญ..
หากท่านผู้อ่านสามารถปฎิบัติตามให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน คิดดูก็แล้วกันว่า บุญกุศลจะเกิดขึ้นแก่ผู้เขียนมากมายแค่ไหน..สวัสดี
|
|
Update 2 พฤษภาคม 2563
ชาวบ้านวัดท่าซุงไปนิพพานได้
...ความจริงเรื่อง "ลูกศิษย์หลวงพ่อรุ่นแรก" ซึ่งเป็นชาวบ้านแถววัดท่าซุงนี่เอง ที่สามารถไปนิพพานได้ เคยนำมาลงให้อ่านกันไปแล้ว
แต่เพิ่งได้พบบันทึกของโยมพวงโดยตรง จึงต้องนำมาเล่าให้ครบถ้วนกันอีกครั้ง ซึ่งผู้เขียนเองก็ยังได้ทันเห็นโยมทั้งสามคนนี้ ซึ่งนุ่งจูงกระเบนแบบคนสมัยก่อน
เคี้ยวหมาก หาบของมาถวายวัด
โดยเฉพาะโยมพวง ทุกคนในวัดทราบดีว่า ได้มโนมยิทธเต็มกำลังมาก่อนใครนานแล้ว จึงขอเริ่มจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อฯ ก่อนดังต่อไปนี้..
ชาวบ้านท่าซุงรุ่นแรก
"...ทายกทายิกาประจำวัด ก็มีคนอยู่ ๓ คน คือ โยมพวง, โยมน้อย, และก็โยมอะไรหนอ.. (ยายดี - ผู้จัดทำนึกออก) นึกชื่อไม่ออกเสียแล้ว
มี ๓ คนด้วยกัน ส่งของมาเป็นประจำ เอากล้วย เอาอ้อย เอาผักบ้าง เอาปลาบ้าง มาถวายเป็นประจำ
โยมน้อยคนนี้เจริญกรรมฐานเก่งมาก เวลานั้นก็เจริญกรรมฐานอยู่ ๓ คน นี่คนประจำ บางวันก็มีคนอื่นมาร่วมด้วยบ้าง จริงๆ แล้วก็ ๓ คนนี่เป็นประจำแน่นอน.."
ขอนำมาเกริ่นไว้แต่เพียงแค่นี้ก่อน ต่อไปก็เป็นบันทึกของโยมพวง ซึ่งเป็นการเล่าที่สอดคล้องกับที่หลวงพ่อเล่าไว้
หากใครจะย้อนไปฟังหลวงพ่อเล่าก็ได้ในอัลบัมนี้แหละ
"ตอนพบหลวงพ่อ"
บันทึกโดย นางพวง เทียนน้อย
"...ปัจจุบันนี้ ฉันอายุ ๘๓ ปี ตอนที่พบหลวงพ่อ ตอนนั้นประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๐ เขานิมนต์หลวงพ่อกับหลวงพ่อพระครูสำราญ (พระมงคลชัยสิทธิ์) มาเทศน์คู่กัน
มาเทศน์ที่วัดท่าซุง
ฉันก็มาทำบุญ มากับแม่น้อย (แม่น้อยอายุมากกว่าฉัน) ฉันมองหลวงพ่อ ก็เห็นแสงสว่าง พุ่งออกมาจากองค์หลวงพ่อหลายสี ดูแล้วมีความสว่าง ก็มีความแปลกใจ
พอหลวงพ่อเทศน์จบ ฉันกำลังรับประทานอาหารอยู่ หลวงพ่อก็เดินมาหาฉัน
แล้วท่านก็ถามฉันว่า โยม...อร่อยไหม?
ฉันก็ตอบว่า อร่อยเหมือนกันเจ้าค่ะ
นั่นเป็นการพบกันครั้งแรก แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไร ท่านก็เดินผ่านฉันไป ฉันจึงเอ่ยปากถามแม่น้อยที่มาด้วยกันว่า
แม่น้อย มองดูหลวงพ่อแล้วเห็นอะไรไหม?
แกบอกว่า ไม่เห็นอะไร ก็เห็นอย่างกับพระธรรมดาทั่วๆ ไป
ฉันก็เถียงแกว่า ไม่ใช่ธรรมดา
แกก็พูดว่า คงตาฝาดละมัง
ฉันก็ยืนยันว่า ตาฉันไม่ฝาด
นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันสนใจ และศรัทธาหลวงพ่อขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพ่อก็ย้ายมาอยู่ที่วัดท่าซุง ฉันจึงชวนแม่น้อยมาอยู่กับหลวงพ่อ
บอกว่าสงสารท่าน
ตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีคนมาก แล้วหลวงพ่อก็ชวนให้ฉันมาอยู่ที่วัด ท่านพูดว่าจะได้มาปฏิบัติพระกรรมฐานด้วย
ต่อมาฉันและแม่น้อยและคุณละเมียด วุฒิยากร ก็มาอยู่ด้วยกันที่วัด หลวงพ่อสร้างที่พักให้ฉันอยู่รวมกัน แต่ฉันและแม่น้อย บ้านอยู่ใกล้วัด ก็ไม่ได้มาอยู่ประจำ
มาตอนเย็น ทำวัตร นั่งกรรมฐาน มานอนค้างคืน แล้วเช้าก็กลับบ้าน เพราะว่าพ่อบ้านหุงข้าวได้ แต่ทำกับข้าวไม่เป็น
และฉันต้องกลับไปช่วยทำกับข้าวใส่บาตรพระตอนเช้า และเฝ้าบ้านช่วงเช้า ตอนเย็นจึงจะมาวัดได้
เมื่อก่อนที่วัดยังไม่ค่อยมีอะไรอุดมสมบูรณ์เหมือนสมัยนี้ เรียกว่าวัดยังจนอยู่ ไม่ค่อยมีอะไร ฉันก็ไปหาผักบุ้ง ดอกแค ยอดฟักทอง มะม่วง
หามาแล้วก็หาบมาถวายที่วัดเป็นประจำ
ใครขอซื้อก็ไม่ขาย ฝนตกฟ้าร้องก็หาบมาถวายวัดทุกวัน หาบมาแล้วก็ให้คุณละเมียดเป็นคนทำอาหารถวายหลวงพ่อ
ตอนที่วัดมีงาน ฉันก็ไปนอนที่อาคารสื่อสาร (เป็นอาคารยาว ต่อมาอาคารสื่อสารถูกรื้อออกแล้วสร้างตึกเสริมศรีขึ้นมาแทน) เพราะว่าคณะของ พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม
ศุขสวัสดิ์ นำกฐินมาทอดที่วัด กลางคืนมีหนังมาฉาย มีลิเก
ยายเอียดที่อยู่จังหวัดชัยนาทเขาเล่นลิเกเอง เอาลูกน้องมาผูกโรงลิเก กลางคืนฉันก็กางมุ้งไว้ที่อาคารสื่อสาร
คิดว่าจะไปซื้อของกินกับคุณละเมียดแล้วค่อยกลับมานอน
ปรากฏว่าพอกลับมายายดีพาหลานมานอนเต็มมุ้งหมด ฉันกับคุณละเมียดก็ไม่มีที่นอน เพราะ "ยายดี" กับหลานนอนเต็มไปหมด เลยต้องนอนตากยุง
คุณละเมียดบอกให้เอาผ้าห่มคลุมหัว ฉันคลุมไม่ได้เพราะอึดอัดหายใจไม่ออก คุณละเมียดนอนหลับ ฉันนอนไม่หลับ
ตื่นเช้าขึ้นมา ฉันยังไม่ทันเล่าให้หลวงพ่อฟัง แต่ท่านก็รู้ก่อน ท่านถามขึ้นว่า เป็นไง โยมพวง เมื่อคืนนอนหลับไหม?
ฉันตอบว่า ไม่หลับเจ้าค่ะ
หลวงพ่อก็พูดว่า นอนตากยุง ซูบไปเลย
นี่ท่านรู้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง ท่านพูดแล้วก็ยิ้ม แล้วเดินเข้าครัวไป
ตอนฝึกสมาธิได้แจ่มใสโดยไม่รู้ตัว
...พอฉันมาอยู่วัด (มาตอนเย็นนอนกลางคืน เช้าก็กลับบ้านเป็นประจำเช่นนี้เสมอ) หลวงพ่อก็สอนให้นั่งสมาธิภาวนา พุท โธ ก็มาฝึกหลายครั้ง
จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันพระ ตอนเช้าหลวงพ่อขึ้นธรรมาสน์เทศน์ ฉันก็ไปฟังหลวงพ่อท่านเทศน์
พอตกกลางคืน หลวงพ่อก็สอนนั่งสมาธิ เวลาท่านสอน ท่านจะขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ คืนนั้น พอฉันนั่งหลับตาภาวนาไปก็เห็นภาพหลวงพ่อ
แล้วก็เห็นท่านเปลี่ยนแปลงไปคล้ายกับเป็นองค์เณรองค์น้อยๆ เดินลงมาจากธรรมาสน์ ลงมายืนอยู่ข้างหน้าฉัน สักประเดี๋ยวภาพเณรก็หายไป แล้วก็มีภาพเด็กอายุประมาณ
๗ ขวบ มายืนอยู่ข้างหน้าฉัน
ฉันก็ถามเด็กว่า หนูจะไปไหน?
เด็กก็ตอบว่า ก็มาหาป้าน่ะแหละ
แล้วเด็กก็วิ่งเข้ามาหาฉันเลย ฉันก็เอามือโอบเด็กเลย เด็กก็บอกว่า ลุก ๆ ๆ ให้ลุกยืน บอกให้ไปดูบ้านเราเสียที
ก็ไปเห็นภาพ เป็นวังใหญ่โตมาก เป็นภาพในอดีตชาติ เป็นวังสมัยบารณ ไม่มีไฟนีออนเลย มีแต่ตะเกียงเจ้าพายุแขวนเต็มไปหมด
เด็กก็ขอให้ฉันพาแกไปอาบน้ำ ฉันก็ถามอย่างสงสัยว่า อ่างน้ำอยู่ไหน? นี่ไม่ใช่บ้านเรา อ่างน้ำจะไปอยู่ที่ไหน?
เด็กก็ชี้บอกว่า อยู่ตรงนั้น ตรงนี้
ฉันบอกเด็กให้เดินไป ก็ไม่ยอมเดิน เด็กจะให้ฉันอุ้มไป ฉันก็อุ้มไป ไปถึงอ่างอาบน้ำ ฉันก็อาบน้ำให้ ในอ่างน้ำมีดอกไม้เต็ม หอมกรุ่นมาก
อาบน้ำให้ ทาแป้งให้แล้ว ก็ไม่ชอบใจอีกเสียแล้ว จะอาบน้ำอีก ฉันก็ต้องอุ้มแกลงอ่างอาบน้ำอีก เสร็จแล้วก็เช็ดเนื้อเช็ดตัว แล้วก็ทาแป้ง ใส่เสื้อผ้าให้
เด็กก็หิวข้าวอีกแล้ว
ฉันก็ถามเด็กว่า ข้าวมีอยู่ตรงไหน?
เด็กก็ตอบว่า ไปตรงนั้นแหละ..มี
ฉันก็ค้านว่า ใครเขาจะหาไว้ให้ ไม่มีคนสักคนหนึ่งเลย
เด็กรับรองว่า ให้ไปเถอะ..มี
พอไปถึง ก็มีสำรับทอง ฝาชีทองครอบไว้ให้เสร็จ ฉันจะให้เด็กรับประทานอาหารเอง เด็กก็ไม่ยอมรับประทานเอง ต้องป้อนให้จึงจะรับประทาน
พอรับประทานแค่ ๓ คำเอง เด็กก็ง่วงนอนอีกเสียแล้ว ให้ฉันอุ้มลงอู่ จะนอน อู่นั้นก็เป็นทองทั้งหมด ฉันก็ไม่รู้ว่ามันที่ไหนกัน
พอลงเปลแล้ว ให้นอนเฉยๆ ก็ไม่ได้ ต้องให้ร้องเพลงกล่อมด้วยจึงจะยอมนอน ฉันก็กล่อมเสียงดังลั่น ใจก็กลัวคนอื่นเขาจะได้ยิน
(เพราะวันนั้นผู้คนมานั่งสมาธิอยู่เต็มห้องกรรมฐาน)
เด็กบอกฉันว่า ให้กล่อมดังๆ จึงจะหลับได้
ฉันก็กล่อมเสียงดังลั่นเลย ก็เผอิญกริ่งสัญญาณนาฬิกาดังขึ้น บอกหมดเวลาพอดี
เด็กก็บอกฉันว่า กลับเฮอะ ๆ ๆ
พอฉันลืมตาจากการนั่งสมาธิ ฉันเห็นหน้าหลวงพ่อไม่ได้เลย ฉันร้องไห้ดัง ร้องแทบตาย
จนคุณเอี่ยมถามฉันว่า ยายร้องไห้ทำไม?
ฉันก็ตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน มันอยากจะร้อง
ตอนที่ 2
เคยเป็นป้าหลวงพ่อมาก่อน
...ต่อมาวันหลัง อยู่ๆ หลวงพ่อก็พูดกับฉันว่า ฉันไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคุณป้าเป็นป้าฉัน โยมเขาบอกมาว่าเคยอาบน้ำป้อนข้าวฉันมา
โยมเขาสั่งมาว่าเวลาจะไป (หมายถึงเวลาจะตาย) เขาจะมารับเอง
เรื่องที่เล่าผ่านมา เป็นเรื่องที่หลวงพ่อแปลงเป็นองค์คล้ายเณร แล้วแปลงเป็นเด็กอายุประมาณ ๗ ขวบ พาฉันไปดูภาพของอดีตชาติ
ซึ่งชาตินั้นอยู่พระราชวังใหญ่โต มีของใช้ทำด้วยทองเสียส่วนมาก ฉันเป็นป้าของเด็ก เด็กก็คือหลวงพ่อ และที่หลวงพ่อบอกว่า โยมเขาสั่งมา...
โยมในที่นี้หมายถึงท่านพระอินทร์ ท่านพระอินทร์เป็นพ่อของหลวงพ่อ ฉันก็คือพี่สาวของท่านพระอินทร์
ในตอนท้ายที่หลวงพ่อพูดว่า ถ้าฉันตายโยมเขาจะมารับ หมายถึงพ่อของหลวงพ่อหรือท่านพระอินทร์นั่นเองจะมารับฉันไป
ดังนั้น การได้วิชามโนมยิทธิครั้งแรกของฉัน เป็นการได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อโดยตรง ท่านมาสงเคราะห์ฉันเริ่มตั้งแต่เห็นภาพ
จนกระทั่งหมดเวลาท่านก็ชวนกลับ
นั่งสมาธิไปพบเทพ ต่อมาเทพองค์นี้มาเกิดเป็นหลานชาย
...ตอนฝึกสมาธิใหม่ๆ ฉันก็มักจะไปท่องเที่ยวเสมอ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เมื่อนั่งสมาธิแล้วฉันก็ไปพบสถานที่ว่างเปล่า ไปถึงก็ไปยืนเอามือท้าวเอวทั้ง ๒ ข้าง
ยืนหันไปหันมา ก็นึกว่าที่นี่เขาเรียกว่าที่ไหน?
ฉันไม่เห็นเนื้อเห็นตัว ได้ยินแต่เสียง มีเสียงบอกมาว่า ที่นี่เขาเรียกว่า แดนนิพพาน
ฉันก็แปลกใจว่า เอ๊ะ..มาได้ยังไง?
ก็นึกขึ้นมาว่า เราจะกลับทางไหนดี?
ก็ได้ยินเสียงพูดลอยมาว่า ให้ย้อนกลับไปทางเก่า
ฉันก็ย้อนกลับมาทางเก่า ก็มาเจอเด็กคนหนึ่ง จะเป็นหญิงเป็นชายก็ไม่รู้ มีผมจุกปักปิ่นทอง นุ่งกางเกงสีแดง เสื้อก็สีแดง นั่งเขี่ยดินเล่นอยู่
ฉันก็ถามว่า หนู...บ้านอยู่ที่ไหน?
เด็กก็ชี้มาที่วิมานของหลวงพ่อ
เด็กก็ถามฉันว่า ยายมาจากไหน?
ฉันก็ตอบว่า ยายอยู่วัด
เด็กบอกว่า หนูขอไปด้วยคน
ฉันบอกว่า ไปไม่ได้หรอก
เด็กไม่ยอมฟัง เด็กคนนั้นก็วิ่งขึ้นหน้ามาเลย
ต่อมาเด็กคนนั้นได้มาเกิดเป็นหลานชายฉัน ชื่อ "อเนก" มาเป็นลูกของลูกสาวฉัน หลานฉันเวลานี้อายุ ๑๗ ปี
ที่ฉันมั่นใจเช่นนั้นเพราะฉันจำได้ว่าเด็กที่ฉันพบกันข้างบนได้ตามมาเกิดเป็นลูกของลูกสาวฉันเอง
เด็กคนนี้ฉลาดมาก พูดจาเฉลียวฉลาด เรียนหนังสือเก่งมาก ไม่เคยสอบตกเลย มีนิสัยผิดพี่ผิดน้อง ผิวก็ผิดกับทุกคน มีผิวขาว
และบอกว่าต่อไปจะขอเรียนแพทย์อย่างเดียว
แม่น้อย..ลาจาก
...ต่อมาแม่น้อยไม่สบาย ฉันก็ไปนอนเฝ้าไข้ให้ที่บ้าน ไปเช็ดอุจจาระ ไปล้างกระโถนให้ แกลุกขึ้นจากที่นอนไม่ได้ ต้องนอนแช่อยู่บนที่นอน แต่ว่าหมุนตัวได้
ถ่ายปัสสาวะแฉะไปหมด
แม่น้อยป่วยเป็นมะเร็งตรงขมับ ดูแล้วคล้ายๆ ปานใหญ่ มีเลือดซึมไหลออกมาเรื่อยๆ เป็นมะเร็งที่สมองด้วย และขมับด้วย แกผอมมาก ลุกไม่ไหว
ตอนนั้นฉันยังอุ้มแกไหว แกผอมเหลือตัวนิดเดียว (ตอนตายแม่น้อยอายุประมาณเจ็ดสิบกว่าปี) ฉันไปเฝ้าไข้แม่น้อยที่บ้านหลายวัน ฉันอดหลับอดนอนทุกคืน
กลางคืนแทบไม่ได้นอนเลย ก็เพลียมาก ก็กลับไปนอนพักที่บ้าน
พอกลับมาถึงบ้านก็นอน กำลังเพลีย ก็ทำท่าเคลิ้มๆ จะหลับ ก็ได้ยินเสียงแม่น้อยมาตะโกนเรียก ก็ลืมตาขึ้น ก็เห็นแม่น้อยขี่เกวียน แต่เป็นสีทองคำ
(ความจริงเป็นราชรถ
แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร เพราะราชรถที่ฉันเห็นมีลักษณะปลายงอนๆ คล้ายเกวียน) มีธงปักข้างหน้า มีนางฟ้าห้อมล้อมเต็มไปหมด
แม่น้อยมาตะโกนเรียกฉันว่า แม่พวงเอ้ย แม่พวงเอ้ย ฉันไปก่อนละนะ แล้วเอ็งค่อยตามไปทีหลังนะ
ภาพแม่น้อยก็ขึ้นลอยลิ่วๆ ไปเลย ฉันเห็นด้วยตาเปล่า สวยงามมาก พอเห็นภาพดังกล่าวจนกระทั่งภาพหายไปแล้ว
ฉันก็บอกสามีฉันว่า ไปดูแม่น้อยซิ แม่น้อยตายเสียละมั่ง แกมาเรียกเหวยๆ อยู่ก็แปลกใจ สามีฉันก็ไปดูที่บ้านแม่น้อย ไปถึงแม่น้อยก็ตายไปแล้ว
ตอนเช้าฉันก็เล่าให้เขาฟังกัน ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าราชรถที่เขาเอามารับแม่น้อย เขาเรียกอะไรกัน
ฉันก็เล่าให้เขาฟังกันว่า แม่น้อยตายไปแล้ว ขี่เกวียนด้วยนะ แต่เป็นสีทอง มีนางฟ้าห้อมล้อมเต็มไปหมด
ฉันก็มาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เห็นแม่น้อยตาย แล้วมาตะโกนเรียก และเห็นแกขี่เกวียนผ่านไป
หลวงพ่อก็หัวเราะ แล้วบอกว่า ไม่ใช่เกวียน เขาเรียกว่าราชรถ เวลานี้คุณน้อยสบายไปแล้ว ไปอยู่แดนนิพพาน.."
ตอนที่ 3 จบ
เคยเป็นลูกสมเด็จพระทีปังกร
...วันหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ในศาลา ๔ พระองค์ นั่งอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ ฉันเห็นยักษ์รูปร่างใหญ่มาก ๓ องค์ๆ หนึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูงมาก
หน้าตาน่ากลัว มีเขี้ยวโง้ง สีขาว
แต่ท่านยิ้มและยักษ์อีก ๒ องค์ นั่งอยู่ข้างๆ องค์ที่นั่งสูง ๒ องค์นี้ไม่มีเขี้ยว ฉันกราบท่านแล้วก็มานั่งที่หน้าธรณีประตูศาลา ๔ พระองค์
อยู่ๆ ก็มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง แต่งตัวแบบกายพระสงฆ์ อายุประมาณค่อนๆ คน คือ บ่ายไปเยอะแล้วนะ ผิวท่านขาวๆ เดินมาที่ฉัน (ฉันยังคงนั่งอยู่ในสมาธิ)
พระสงฆ์องค์นั้นถามฉันว่า เมื่อไรจะขึ้นเสียที
ฉันก็ตอบไปว่า เดี๋ยวฉันก็จะขึ้นไปแล้ว
ท่านก็ถามว่า รู้จักพ่อไหม?
ฉันตอบว่า ฉันไม่รู้จัก
ท่านก็บอกให้ฟังว่า ฉันชื่อพระทีปังกร ให้จำชื่อพ่อไว้นะ อย่าลืมนะลูกนะ ถ้าไปได้ให้ไปหาพ่อมั่ง เคยเป็นพ่อองค์แรกมาตั้งแต่อดีตชาติ
ท่านบอกมาอย่างนั้น
พอออกจากสมาธิ ฉันถามหลวงพ่อ เรื่องยักษ์อย่างเดียว ถามท่านว่ายักษ์มีไหม?
ท่านก็ตอบว่า มี
ท่านพูดว่า นี่ย่องไปยังไง ถึงไปเห็นยักษ์
ฉันบอกว่า ไม่รู้ไปยังไง จึงไปเห็น ก็เล่าว่าเห็นยังไง
ท่านพูดว่า เขามาเฝ้าทรัพย์
ส่วนเรื่องพระทีปังกร ฉันไม่ได้เล่าให้หลวงพ่อฟัง แต่ว่าฉันก็เที่ยวถามใครต่อใคร ถามชาวบ้านว่ารู้จักชื่อพระทีปังกรไหม? เขาบอกไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยิน
ฉันก็นิ่งไป
จนกระทั่งภายหลัง ได้ยินหลวงพ่อพูดกับคนอื่นว่า องค์สมเด็จพระทีปังกร ฉันจึงคิดในใจว่า อ๋อ..มีแน่ๆ ชื่อนี้
จึงรู้ว่าฉันก็เคยเป็นลูกขององค์สมเด็จพระทีปังกร รู้สึกว่าภูมิใจมากที่ได้เคยเป็นลูกของพระองค์
สมเด็จองค์ปฐมบวชให้
...เวลาฉันนั่งสมาธิ มีหลายคราวไปกราบสมเด็จองค์ปฐม กราบ ๒ คราวแรก ท่านก็ตักน้ำมนต์ให้ดื่ม แล้วก็รดศีรษะให้ฉัน พอไปกราบท่านครั้งที่ ๓ ไปถึง
สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสกับฉันว่า บวชเสียทีเถอะลูก โตแล้ว
ฉันก็นึกว่า ฉันเป็นผู้หญิง จะบวชได้ยังไง? พอมาดูร่างกายตน มันไม่มีเพศ
พอสมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสเช่นนั้น ฉันนั่งสงบนิ่งสักประเดี๋ยว ฉันก็กราบทูลว่า ตามใจหลวงพ่อ
พอสักประเดี๋ยว ก็มีจีวรมาสวมใส่ให้เอง มีบาตร มีถุงย่าม มีร่มมาคล้องให้เสร็จ
สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงตรัสกับฉันว่า เสร็จแล้วลูก กลับไปบ้านเถอะ
จากนั้นสมเด็จองค์ปฐม ท่านทรงพระเมตตาให้พระมาส่งฉัน มีพระเต็มไปหมด โอ้ย พระเยอะจริงๆ มาส่งที่วิมานฉัน วิมานฉันอยู่ข้างวิมานหลวงพ่อ
พอมาถึงวิมานฉันแล้วพระก็พากันกลับหมด
ขณะนั้นสัญญาณกริ่งหมดเวลาก็ดังขึ้น หมดเวลานั่งกรรมฐาน ก็ลืมตา คืนนั้นจิตใจมันชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย
แม้แต่หลวงพ่อฉันก็ไม่เคยเล่าให้ท่านฟัง นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเล่าให้ฟังในลูกศิษย์บันทึก
ได้อุบายการพิจารณาธรรม
...มีอีกครั้งหนึ่ง ฉันนั่งสมาธิอยู่ ได้ยินเสียงว่า ให้กอดเข้าไว้ โง่นัก ได้ยินเสียงท่านว่าอย่างนั้น ใครจะโง่เกิน ไม่มี
ได้ยินเสียงท่านว่าเท่านั้น พอเลิกนั่งสมาธิ ลืมตา อุทิศส่วนกุศล กรวดน้ำเสร็จแล้วในใจก็นึกว่า เดี๋ยวจะถามหลวงพ่อให้ได้ ยังไม่ทันถาม
หลวงพ่อก็ทักทายขึ้นว่า เป็นไง..ชื่นใจไหม ถูกองค์สมเด็จฯ ท่านดุให้
ฉันก็ตอบท่านว่า ฉันไม่รู้
หลวงพ่อก็สวนกลับมาว่า สมน้ำหน้าแหละ ให้ถลกหนังออก ทำไมไม่รู้จักยกคนตายขึ้นมาพิจารณา
ตายวันแรก ก็ลื้นๆ (บวม) ขึ้นมาหน่อย
ตายวันที่ ๒ ก็ลื้นๆ (บวม) ขึ้นมาอีก
ตายวันที่ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ก็พองอืดขึ้นมามาก
ตายวันที่ ๘ ๙ ๑๐ ก็เน่าเปื่อย หนังแตกปริออก
ให้พิจารณาอย่างนั้นจึงจะได้ธรรมะ
คืนนั้นเลิกกรรมฐานแล้ว (ปกติกลางคืนฉันนอนค้างวัด กลับบ้านตอนเช้า) นอนค้างคืนที่วัด คืนนั้นก็นั่งทำกรรมฐานต่อกลางคืนไม่นอน
มันมีกำลังใจมาก ตั้งใจจะเอาจริงให้ได้ มันก็แปลกไม่รู้สึกง่วง นั่งสมาธิได้ทั้งคืน พอนั่งขัดสมาธิตั้งกายให้ตรง ก็เริ่มพิจารณากายว่า
กายนี้ไม่ใช่ของเรา อาศัยเขาอยู่ชั่วคราว ตอนมาก็แก้ผ้ามาตอนตายก็แก้ผ้าไป ไม่มีอะไรเป็นของเราสักอย่าง ก็พิจารณาไปๆ
ถ้าตาย ๑ วัน มันก็เริ่มลื้นๆ (บวม) ขึ้นมาหน่อย
ถ้าตาย ๒ วัน ก็ลื้นๆ (บวม) ขึ้นมาอีก
พอตายหลายวัน มันก็พองมากขึ้นๆ จนกระทั่งมันอืดมากขึ้นๆ พอพิจารณามาถึงตอนนี้ ฉันมีความรู้สึกว่า หนังที่ศีรษะของฉันมันแตกชี้ตั้งโด่ขึ้นมาได้ยังไงไม่รู้
ฉันก็เลยจับหนังศีรษะตรงที่แตก ตรงที่แตกชี้ตั้งโด่นั้น จับลอกออกมา ๒ ข้าง ถลกออกมาได้ถึงหัวเข่าทั้งสองข้าง มองดูอกก็ผ่าออกหมดแล้ว ดูข้างในดูมันขยะแขยง
มันสกปรกเหลือเกิน
ขณะนั้นก็มีพระองค์เล็กๆ (พระพุทธรูป) มีแก้วครอบ เป็นลักษณะยืนอยู่ในแก้วใสสว่าง ค่อยๆ หันออกมาจากอกทีละน้อย
พอพ้นจากตัวก็ยิ่งหนักเข้า แล้วก็หมุนเร็วมาก พุ่งไปข้างบน ฉันก็ไม่รู้ว่าไปไหน ตั้งแต่ถลกหนังออก แล้วพระออกจากอกไปลิบลิ่ว
ครั้นพอจิตจะเข้าร่าง มันรู้สึกร่างกายสะเทือนไปหมด รู้สึกคล้ายเขาจับร่างกายฉันทุ่มลงไป มันดังครืนๆ รู้สึกตอนนั้นเสียวคล้ายตกเหว แล้วก็เข้าร่างดังครืดๆ
พอเข้าร่าง หนังก็ปิดหมดเหมือนเดิม เหมือนร่างกายเราดีๆ อย่างเดิมเลย
คืนนั้นทั้งคืน ไม่ง่วง ไม่เมื่อย ไม่อะไรทั้งนั้น เอาจริงเอาจัง ฉันนั่งตั้งแต่หัวค่ำ ยันตี ๕ ตอนเช้าก็ไม่ง่วง ฉันต้องรีบกลับบ้านเพราะสามีหุงข้าวเป็น
แต่ทำกับข้าวไม่เป็น
เรื่องนี้ ฉันไม่ได้เล่าให้ใครฟัง และไม่ได้เล่าให้หลวงพ่อฟัง
ต่อมา ครูนนทา อนันตวงษ์ มาบอกว่า หลวงพ่อให้มาบอกในทำนองว่า ฉันตกนรกไม่ได้แล้วนะ
ฉันก็บอกว่า ฉันเฉยๆ เพราะใจฉันมันเฉยๆ จะดีใจ ก็ไม่ดีใจ ใจมันเฉยๆ
ครูนนทาก็พูดกับฉันว่า ฉันทำอย่างไรจะได้อย่างนั้นมั่ง
ตั้งแต่ฉันมาอยู่วัดหลวงพ่อ ฉันก็ถือศีล ๘ ตลอด ตอนมาอยู่กับหลวงพ่อที่วัดท่าซุงใหม่ๆ เวลาสามีเดินผ่านหน้าฉัน ฉันยังขยะแขยงเลย ไม่อยากจะแตะจะต้องกันเลย
ความรู้สึกทางนี้ไม่มีต่อกันเลย แล้วก็ไม่เคยยุ่งกันอีกเลย สามีแก่กว่าฉัน ๒ ปี ปัจจุบันสามีฉันชื่อ "เง็ก" ตายไป ๑๒ ปีแล้ว
แต่ฉันมีอารมณ์งอนลูกเต้า..อย่างนี้มี เรื่องน้อยใจนี่ฉันมีอยู่ แต่ไม่โมโห ไม่โกรธ ชอบงอน เรื่องโกรธเคืองไม่โกรธ เพราะคิดว่าอยู่อีกไม่กี่วัน
เดี๋ยวเราก็ตายแล้ว
ขอให้เอาศพมาเผาที่วัด
การที่ฉันได้พบหลวงพ่อรู้สึกดีใจ ก็ยึดหลวงพ่อเป็นหลัก ฉันสั่งที่บ้านไว้เลยว่า เมื่อฉันตาย ขอให้เอาศพฉันมาเผาที่วัดของหลวงพ่อ อย่าเอาไปวัดอื่น
เพราะฉันร่วมสร้างเมรุกับหลวงพ่อ (เมรุเผาศพโยมห้อย, โยมโต๋ว เมรุอันนั้นเวลาจะใช้เผาศพ ต้องนำมาประกอบกันขึ้นจึงจะใช้ได้)
ใจฉันก็ไม่อยากไปไหน เกาะอยู่กับหลวงพ่อ คนชวนไปทำบุญวัดอื่น ใจมันไม่อยากไปเสียเฉยๆ
ฉันมีความมั่นใจว่าชาตินี้ขอเข้านิพพาน เพราะเบื่อการเกิด เบื่อหมดทุกอย่าง เวลากรวดน้ำ ฉันอธิษฐานขอเข้าถึงนิพพานในชาตินี้ทุกคราวไป
สรุปแห่งการบันทึก
...เป็นอันว่า จบแห่งการบันทึก และน่าจะจบแห่งการไม่เกิดอีก ชีวิตของโยมพวง ไม่ได้เล่าเรียนมาก ไม่ได้ศึกษาตามแบบแผนอย่างเรา เช่น มหาสติปัฏฐาน หรือกรรมฐาน
๔๐ แต่อย่างใด
ไม่ต้องยกจิต ไม่ต้องยกใจให้ลำบาก วางใจสบายๆ ทำแบบพื้นๆ ของชาวบ้านทั่วไป หลวงพ่อสอนอย่างไรก็ทำตาม ผลที่สุดก็วางจิต วางใจได้ในที่สุด
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราว แม้แต่ภาพของโยมพวงก็หายาก นี่ก็ได้มาให้คนรุ่นหลังได้เห็นกันว่า สภาพของคนแก่ที่หาบของมาถวายวัด นุ่งโจงกระเบน
พกเชี่ยนหมากมาด้วย ร้อนก็ร้อน แดดก็แผดเผา
ไม่ได้นั่งสบายอยู่ในห้องแอร์อย่างเราๆ หรือมีโทรศัพท์มือถือให้ค้นหาอะไรก็ได้ จึงไม่รู้จะถามใครจริงๆ
แต่โยมพวงก็คงไปสบายๆ ถึงที่สุด เช่นเดียวกับโยมน้อยแล้ว ชาวบ้านรุ่นแรกนี้ ถือว่าได้พบแก้วมณีอันมีค่าจริงๆ
แม้แต่งานที่หลวงพ่อนิมนต์หลวงปู่พระสุปฏิปันโนมาในงาน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ - ๒๕๒๐
โดยเฉพาะในหลวง ร.๙ และพระราชินีเสด็จ ชาวบ้านเหล่านี้ได้มีโอกาสเข้าเฝ้า และทำบุญสะสมบารมีเอาไว้บ้างแล้ว ผลสุดท้ายบั้นปลายชีวิต
ชาวบ้านท่าซุงหนึ่งในสามคนก็ไปก่อน คือโยมน้อย ตามที่หลวงพ่อเล่าไว้ว่า
🚩 โยมน้อย..ลาไปนิพพาน
"...โยมน้อยเก่ง ตอนหลังท่านเป็นโรคมะเร็งที่ท้อง อาตมาก็จะเข้ากรุงเทพฯ วันก่อนที่จะเข้ากรุงเทพฯ หนึ่งวันก็ไปเยี่ยมท่านที่บ้าน
ท่านก็นอนเฉยไม่แสดงอาการอะไรทั้งหมด
ถามว่า โยมปวดไหม ?
บอกว่า ปวดมากเจ้าค่ะ
ถามว่า โยมเวลานี้นึกถึงอะไร ?
โยมก็บอกว่า นึกถึงนิพพานอย่างเดียวเจ้าค่ะ
ถามว่า โยม เห็นพระไหม ?
บอกว่า เห็นเจ้าค่ะ
เห็นรูปร่างเป็นอย่างไร ?
บอกว่า รูปร่างใสเป็นแก้ว
ถามว่า พระองค์นั้นเป็นใคร โยมทราบไหม ?
แกบอกว่า ทราบ
ถามว่า ใครล่ะ ?
โยมก็เลยบอกว่า พระพุทธเจ้าเจ้าค่ะ
บอกว่า วันพรุ่งนี้อาตมาต้องไปกรุงเทพฯ อาตมาไม่อยู่ เพราะว่าจะต้องไปสอนกรรมฐานที่บ้านซอยสายลม บ้านเจ้ากรมเสริม แกก็พยักหน้า เลยบอกว่า
"โยมอย่าลืมนิพพานนะ อย่าลืมภาพพระนะ ให้นึกว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ขอไปที่นั่น.."
...หลังจากนั้นมา พอรุ่งขึ้นอาตมาก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พอตกกลางคืน เวลาสอนกรรมฐาน เวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ก็ปรากฏภาพ "โยมน้อย"
เห็นเป็นขบวนใหญ่ นั่งรถแก้วแพรวเป็นระยับ และมีขบวนนางฟ้าบ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้าง เยอะแยะ แพรวพราวเป็นระยับผ่านไป
พอผ่านหน้าไปก็เห็นยกมือไหว้บอกว่า "...ท่านเจ้าคะ ฉันขอลาไปนิพพานเจ้าค่ะ"
ก็นึกในใจว่า ภาพนี้เราไม่ได้สร้างขึ้น เราไม่เคยคิด เรื่องเสียงนี่เสียงโยมน้อย แต่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนแล้ว สวยมาก เลยนึกในใจถามว่า ชื่อน้อย ใช่ไหม
?
บอก ใช่ค่ะ..ที่เป็นมะเร็ง ท่านไปเยี่ยมวานนี้ วันนี้ไปแล้วเจ้าค่ะ ฉันมีความสุขแล้ว ขอท่านมีความสุขด้วยนะ แล้วก็ผ่านไป.."
นี่เป็นคำบอกเล่าของหลวงพ่อ
...สำหรับโยมน้อยนี่ถือว่าโชคดี คือ ตายก่อนหลวงพ่อ ส่วนโยมพวงตายทีหลัง แต่ก็เล่าตรงกันกับหลวงพ่อ ดังนี้
🚩 แม่น้อย..มาชวนไปนิพพาน
...แม่น้อยมาตะโกนเรียกฉันว่า แม่พวงเอ้ย..แม่พวงเอ้ย..ฉันไปก่อนละนะ แล้วเอ็งค่อยตามไปทีหลังนะ
ภาพแม่น้อยก็ขึ้นลอยลิ่วๆ ไปเลย ฉันเห็นด้วยตาเปล่า สวยงามมาก พอเห็นภาพดังกล่าวจนกระทั่งภาพหายไปแล้ว
ฉันก็บอกสามีฉันว่า ไปดูแม่น้อยซิ แม่น้อยตายเสียละมั่ง แกมาเรียกเหวยๆ อยู่ก็แปลกใจ สามีฉันก็ไปดูที่บ้านแม่น้อย ไปถึงแม่น้อยก็ตายไปแล้ว.."
ปิดละครฉากสุดท้าย
...เรื่องของคนธรรมดาที่เป็นชาวบ้านทั่วไป ซึ่งผู้เขียนได้เรียบเรียงนำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อให้ผู้อ่านภายหลังได้เกิดกำลังใจ ไม่จำเป็นต้องมีความรู้มากมาย
เพราะมีความเข้าใจและมั่นใจก็พอแล้ว
จึงคิดว่าแนวทางการสอนของหลวงพ่อก็เหมือนพระพุทธเจ้า เพียงแต่ยากที่เป็นภาษาบาลีเท่านั้น แต่ถ้าเราเอาการปฏิบัติที่เข้าถึงได้จริงมาเป็นตัวอย่าง
ผู้เขียนมั่นใจว่าผู้อ่านทุกท่าน ที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว ก็คงสามารถทำจิตในเวลาใกล้ตายได้ทัน เช่นเดียวกับโยมพวงที่กล่าวในตอนท้ายไว้ว่า
"...ฉันมีความมั่นใจว่า ชาตินี้ขอเข้านิพพาน เพราะเบื่อการเกิด เบื่อหมดทุกอย่าง เวลากรวดน้ำ ฉันอธิษฐานขอเข้าถึงนิพพานในชาตินี้ทุกคราวไป..."
หมายเหตุ
...ตามที่โยมพวงได้บันทึกไว้ แล้วมีการออกชื่อ คุณเอี่ยม, และ คุณละเมียด ซึ่งเป็นแม่ครัวของวัดรุ่นแรกๆ หากมีโอกาสจะได้นำมาให้อ่านกันต่อไป ทั้งนี้
แล้วแต่ผู้อ่านจะสนใจมากน้อยแค่ไหนก็แล้วกันนะ..สวัสดี
ขณะที่เรียบเรียงเรื่องนี้ ปีติน้ำตาซึมหลายครั้ง เพราะดีใจที่มีคนสิ้นทุกข์ได้ โลกไม่น่าอยู่จริงๆ อยากจะให้ถึงวันเวลาเช่นนั้นเหมือนกันสักที..!!
|
|
|
|