Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 21/8/19 at 14:05 [ QUOTE ]

คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค เจ้าภาพพระประธานในพระอุโบสถ วัดท่าซุง


คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค
เจ้าภาพพระประธานในพระอุโบสถ วัดท่าซุง

บทนำ


"...บังเอิญผู้เขียนได้พบหนังสือ "อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ" คุณหญิง เยาวมาลย์ บุนนาค จ.จ. ณ เมรุวัดธาตุทอง วันที่ 2 เมษายน 2527

จึงนับเป็นความโชคดีของผู้อ่านด้วย ที่จะได้อ่านคำไว้อาลัยของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จากการพิมพ์ต้นฉบับของคุณอภิญญา (ติ๋ม) นาคสวัสดิ์

อีกทั้งเป็นความประสงค์ของผู้เขียน ที่จะตอบแทนความดีของท่าน เนื่องจากคุณหญิงได้อุปฐากบำรุง ด้วยการถวายปัจจัยเป็นประจำทุกเดือน นับตั้งแต่วันบวชเมื่อปี 2520

จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ปี 2562 นับเป็นเวลานานที่ได้เมตตาอุปถัมภ์ แม้ท่านจะล่วงลับไปแล้ว แต่รุ่นลูกคือ คุณโยมเดือนฉาย คอมันต์ อดีตประธานมูลนิธิหลวงพ่อปานฯ ก็ยังถวายปัจจัยจนมาถึงรุ่นหลาน

การกระทำเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจและความเมตตาอย่างมั่นคง ช่วยเป็นกำลังให้ผู้เขียนได้สามารถดำรงเพศบรรพชิตตลอดมา

สำหรับการปฏิบัติธรรมนั้น คุณหญิงก็มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง ได้ปฏิบัติตนเป็นพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างกรณีของคุณป้าเสงี่ยม สังกรณีย์ จ.ระยอง (ผ้าขี้ริ้วห่อททอง)ได้บันทึกไว้ว่า


"..ตอนฉันไปถึงวัดท่าซุงนั้น ฉันยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน ก็พบคุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค ลูกศิษย์หลวงพ่อซึ่งอยู่ที่วัด เอ่ยปากชวนฉันว่า “เชิญคุณป้าร่วมรับประทานอาหารด้วยกันซิ”

ฉันมีความซึ้งใจจนบัดนี้ว่า คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาคท่านตาถึง และคำพูดประโยคนี้ ยังซึ้งอยู่ในใจฉันตลอดมาจนบัดนี้

คิดว่าลูกศิษย์หลวงพ่อช่างมีน้ำใจดีจริงๆ ทั้งที่ฉันก็แต่งตัวปอน ๆ กะว่าคนจะต้องดูถูก แต่กลับได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นใจ.."


ด้วยเหตุที่คุณหญิงไม่ได้ถือตัว ไม่ถือยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ได้ถือว่าตนเองร่ำรวยแค่ไหน ถ้าเป็นเช่่นนี้ทางภาษาธรรมะเรียกว่า "ตัดสักกายทิฏฐิ" ได้พอสมควร

เมื่อคุณหญิงตายแล้วจะไปถึงไหนนั้น ยากที่จะคาดหมายได้ แต่ก็มั่นใจในหนทางที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ ตามที่ได้นำตัวอย่างมาให้อ่านกันไปแล้ว เช่น

ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต, ท่านเฉิดศรี (อ๋อย), พ.ญ.วัชรี, เจ๊จันทนา, ท่านจ่าพัว และ โยมน้อย, โยมพวง เป็นต้น ซึ่งคุณหญิงก็ได้ลดมานะทิฏฐิมาได้ขนาดนี้ น่าจะได้คุณธรรมไม่มากก็น้อย

แต่อย่าเดากันเลยว่าท่านจะไปถึงไหน ลองมาอ่านที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เขียนคำไว้อาลัยดีกว่า ซึ่งยังไม่เคยมีการลงข้อมูลนี้ ในเว็บไซด์หรือในเฟซบุคกันมาก่อนเลย.."




คิดถึง คุณหญิงเยาวมาลย์ บุนนาค

"...ต้อย หรือ เดือนฉาย คอมันต์ ขอให้เขียนหนังสือไว้อาลัยเนื่องจากคุณหญิงเยาวมาลย์มรณะ อาตมาเป็นคนไม่รู้จักคำว่า “ อาลัย ” ด้วยตั้งแต่เกิดมาไม่รู้จักจริง ๆ ว่า ความอาลัยเป็นอย่างไร

เมื่อตอนอายุ 12 ปี มีน้องหญิงที่รักมากคนหนึ่ง เธออายุประมาณ 4 ปี ต้องตายไปเพราะโรคธรรมดา เป็นน้องที่ติดอาตมามาก จะกินจะนอนต้องพี่ คืออาตมา

แม้กับแม่เธอก็ไม่สนใจ ถ้าขาดพี่ เธอนอนไม่หลับ เวลาจะกินก็ต้องกินกับพี่ เธอเป็นน้องที่น่ารัก ไม่เคยขัดคำแนะนำ

บอกอย่างไรปฏิบัติตามทุกอย่าง จึงเป็นน้องที่รักมาก เมื่อเธอตายก็ไม่เคยร้องไห้ถึงเธอ แต่คิดถึงเพราะว้าเหว่ไปมาก

เมื่อต้อยขอให้เขียนคำไว้อาลัย จึงเขียนไม่ถูก ขอเขียนตามใจชอบก็แล้วกัน เมื่อเขียนไปแล้ว ผู้อ่านจะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นเรื่องของท่าน

แต่ผู้เขียนชอบเป็นใช้ได้ และจะเขียนแต่เพียงย่อ ๆ เพราะเขียนตามความพอใจแล้ว หนังสือแปดหน้ายกสงสัยว่า 1,000 หน้าคงไม่จบ

พบกันครั้งแรก
...ขอเริ่มตามนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2516 พบคุณหญิงเยาวมาลย์ และท่านเดือน บุนนาค เป็นวาระแรก ก่อนจะพบกันมีคนมาบอกว่า ท่านเดือนและคุณหญิงเยาวมาลย์ จะมาหา

ตอนนั้นคิดว่าทั้งสองท่านนี้เป็นคนมีศักดิ์สูง ท่านเดือน อดีตเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีสมัยนั้น ก็ไม่มีจริยาเหมือนสมัยนี้ เพราะอยู่ระหว่างศักดินากับประชาธิปไตย คือเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างบรรดาศักดิ์ กับคำว่า “นาย”

ก่อนจะพบรู้สึกหนักใจนิดหน่อย ด้วยไม่ทราบว่าทั้งสองท่านจะวางมาดท่าไหน เพราะเคยพบบรรดาท่านผู้ดี 90 สาแหรก (เขาเรียกกันว่า “ผู้ดีแปดสาแหรก”) แต่ที่อาตมาพบมันมากกว่าแปดสาแหรก อาจถึง 108 สาแหรกก็ได้ เพราะมาดมากจนอยากอาเจียน

ฉะนั้นเมื่อมีข่าวว่าท่านทั้งสองมีศักดิ์ใหญ่และเป็นคนในวงศ์ตระกูลบุนนาคด้วย ก็เลยคิดมากไปนิดหนึ่ง แต่อารมณ์ปกติของอาตมาแล้ว ความรู้สึกปกติก็คือ

คนเท่าคน พระเท่าพระ ไม่มีอะไรเกินกว่านั้น ใครมาตีก็ตีตอบ ใครมาเลวก็เอาเลวรับ ใครเบ่งมาก็เบ่งรับ ราคาจะได้เสมอกัน เพราะทุกคนแค่เกิดแล้วตายเหมือนกัน

แต่เมื่อพบท่านทั้งสองเข้าจริง ๆ ต้องตำหนิตัวเองอย่างหนักที่มีอารมณ์เลวเกินไป เพราะท่านทั้งสองไม่ได้แบกเอาอะไรมาเลย

ท่านเอายศถาบรรดาศักดิ์และความเป็นคนมีสตางค์เก็บฝังไว้ที่ไหนก็ไม่ทราบ ไม่เห็นท่านนำมาด้วย คิดว่าท่านอาจจะเก็บไว้ที่บ้าน

เมื่อมีโอกาสไปบ้านท่าน ก็ไม่พบอีก ท่านอาจจะฝังดินหรือเผาทิ้งไปแล้ว ทั้งสองท่านมีจริยาน่ารักมีความละมุนละไมในจริยาท่าทางและวาจา

จึงคิดในใจว่า “เรามาพบคนที่น่ากลัวเข้าแล้ว” ที่ว่าน่ากลัวนั้น ก็เพราะกลัวความดีของทั้งสองท่าน ไม่ใช่กลัวบารมีที่มีศักดิ์ ในทางโลกที่เขาเห็นว่าใหญ่

แต่ก็สบายใจเมื่อได้สนทนากับท่าน วาจาและจริยาของท่านทั้งสองทำให้เกิดความสุขอย่างมหันต์ ในที่สุดก็คุยกันสบาย นี่เป็นความดีส่วนน้อยที่น่าจะคิดถึง ไม่ใช่ไว้อาลัย

ความดีต่อไปที่น่าคิดถึง
...หลังจากพบกันแล้ว ก็คุยเรื่องธรรมะอย่างเดียว เพราะท่านทั้งสองไม่สนใจทางโลก เป็นเหตุให้อาตมาสบายใจมาก เพราะมีความต้องการเสมอกัน

เมื่อคุยถึงเรื่องนิพพาน ท่านพอใจมาก อาตมาก็พอใจ เพราะอาตมาเป็นคนคลั่งนิพพานมานานแล้ว ด้วยเบื่อโลกจังไรนี้เหลือเกิน ไม่มีมุมไหนของโลกที่ทำให้สบายใจ ทั้งสองท่านก็ชอบใจเรื่องนิพพาน เลยคุยกันเป็นที่ถูกใจ

ขอฟุ้งเรื่อง "นิพพาน" สักนิด
...มีคนถามว่า นิพพานจะไปได้อย่างไร มันยากมาก ก็ขอตอบว่า “อาตมาไม่ทราบว่าจะยากหรือง่าย ขอคลั่งเพื่อไปนิพพานอย่างเดียวพอ”

เพราะคนเราถ้าคลั่งแบบไหนได้แบบนั้น คนคลั่งขวดเหล้าก็ได้กินเหล้า คนคลั่งการงานผลก็เจริญ คนคลั่งม้าก็ถูกม้าเตะชักมาหลายราย ก็เมื่อเราจะคลั่งนิพพานบ้างจะเป็นไรไป

มีบางท่านส่งเสียงเตือนมาว่า คนจะไปนิพพานได้นั้น ต้องมีอารมณ์ใจเฉพาะอย่างนั้นอย่างนี้ ความจริงในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้จำกัด

เพียงแค่เห็นพยับแดดท่านได้อรหันต์ เพียงดูน้ำล้างเท้าที่ไหลไปแล้วหยุดท่านก็บรรลุอรหันต์ เพียงฟังคำพูดว่า “เธอจงอย่าสนใจในรูป” ท่านก็บรรลุอรหันต์

ท่านรูปนันทา เห็นความไม่ทรงตัวของหญิงสาว ท่านบรรลุอรหันต์ มีตัวอย่างอีกมหาศาลที่คนเข้าถึงพระนิพพาน หลายรูปแบบ

แต่แบบที่ตายตัวคือ จะคิดหรือพิจารณาอะไรก็ตาม ถ้าตัดรูปได้เมื่อไรถึงนิพพานเมื่อนั้น ฉะนั้นท่านเจ้าของเสียงที่ส่งมา ท่านยังนุ่งกางเกง ท่านแน่ใจแล้วหรือว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์”


เหตุที่ต้องสร้างพระอุโบสถ



...มาคุยถึงเรื่องท่านทั้งสองต่อไป หลังจากพบกันไม่นาน ท่านสร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ขนาดหน้าตัก 55 นิ้ว อยู่ ๆ ท่านก็เอามามอบให้อาตมา

เวลานั้นวัดท่าซุงยังมีแต่กระต๊อบ เพราะอาตมามาอยู่ใหม่ ๆ ต้องปลูกกระต๊อบอยู่โคนต้นโพธิ์ริมน้ำ เมื่อท่านถวายพระพุทธรูปก็หนักใจไม่ทราบว่าจะเอาไปทำอะไร

ท่านถวายเงินไว้เพื่อพระของท่านอีก 10,000 บาท ในที่สุดก็ตัดสินใจจะสร้างพระอุโบสถ ทุนเพื่อสร้างท่านให้ไว้หนึ่งหมื่นบาท

มีคณะที่มาร่วมกันถวายอีกประมาณ 5,000 บาท คิดว่าปีหน้าคือ พ.ศ. 2517 จะลงมือสร้าง และก็ลงมือสร้างปี 2517 ตามที่คิด




เป็นอันว่า เดิมอยู่ทางริมน้ำมีสภาพที่อยู่อย่าง "มหาทุกขตะ" เมื่อท่านนำพระพุทธรูปมาจึงตัดสินใจแบบคนจนใจใหญ่ คือสร้างและซื้อที่ดินเพิ่มเติม

รวมความแล้ว ความรุ่งเรืองของวัดท่าซุงตามที่เห็นอยู่นี้ ท่านทั้งสองเป็นต้นศรัทธา ทำให้รุ่งเรืองถึงขนาดนี้ เพราะถ้าไม่มีความจำเป็นต้องสร้างพระอุโบสถ ก็อาจไม่อยู่วัดนี้ เพราะมีความประสงค์จะหนีสังคมเข้าหาที่สงัด

เมื่อทุกท่านมีศรัทธาเป็นเครื่องผูกมัด จึงต้องอยู่สนองความดีของทุกท่านที่มีศรัทธา ในที่สุดก็ไปไหนไม่รอด ในเมื่อท่านผู้ดีมีศรัทธาอย่างนี้ก็คงจะอยู่สนองศรัทธาต่อไป

แต่การอยู่ที่วัดท่าซุงนี้เป็นการอยู่ในระหว่างขวากหนามที่มีความรุนแรงมาก เรื่องนี้ปล่อยไปตามกรรม ท่านจะทราบเรื่องราวของขวากหนามโดยย่อในเรื่องที่จะเขียนในหัวข้อว่า “ประสบการณ์” ของข้าพเจ้าในวันหน้า

ทั้งสองท่านเป็นคนที่มีศรัทธาไม่เสื่อม และมีความมั่นคงขึ้นตามลำดับ จนถึงขั้นมีความมั่นคงแน่นอนในพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่าการทำบุญของท่านมีเป็นประจำเดือนมิได้ขาด แต่ละเดือนท่านมีรายการประจำของท่าน เช่น

1. ถวายเป็นส่วนตามอัธยาศัย
2. ถวายเป็นสังฆทาน
3. ถวายสำหรับพระรักษาของสงฆ์
4. ถวายเป็นค่าอาหารสำหรับพระ
5. ถวายเพื่อท่านผู้มีพระคุณ เป็นต้น

และยังมีถวายพิเศษเพื่อการก่อสร้างอย่างอื่นอีกมากมาย เช่น เห็นพระอุโบสถสีไม่สวย ท่านก็ออกค่าแรงงานและค่าวัตถุทาสีใหม่

ในพระอุโบสถไม่มีพรมปู ท่านก็จัดหาซื้อพรมมาปูเอง ต่อมาเมื่อใกล้จะมรณะ ท่านทราบว่าพรมที่ท่านปูไว้นั้นมีเทียนที่เขาจุดไหลลงไปทำให้พรมมีตำหนิ ท่านก็จัดแจงเปลี่ยนให้ใหม่

อาตมาเลยเอาพรมเก่าไปปูให้พวกเจริญกรรมฐานนั่ง เป็นบุญส่วนธรรมทานอีกต่อหนึ่ง เห็นไฟฟ้าในพระอุโบสถมีไม่ครบถ้วนก็จัดการเพิ่มให้ใหม่

พระประธานไม่มีฉัตร ก็จัดทำพร้อมทั้งไฟประดับ เพื่อให้เกิดความชื่นใจแก่ผู้บูชา จัดนาฬิกาให้ประจำพระอุโบสถ “ซุ้ม” ของเก่าที่มีค่าสูงก็จัดถวายไว้ในพระอุโบสถ

รวมความแล้ว บุญของท่านพรรณนาไม่จบ จัดว่าเป็นนักบุญสมบูรณ์แบบจริง ๆ หายากมาก ที่นักศรัทธาที่จะมีกำลังใจอย่างนี้ ที่พูดมานี้ นำส่วนเล็กน้อยมาพูดเท่านั้น


เหตุที่ต้องสร้างโรงพยาบาล
...มีบุญหนึ่งที่อาตมาต้องอายท่าน และอายเสียเกือบแย่เลย นึกตำหนิตนเองอย่างหนักที่คิดว่าไม่ควรพูดล้อเล่นท่าน นั่นก็คือ ปกติอาตมาเป็นคนมีอาชีพป่วยเป็นปกติ ไปไหนมาไหนแม้แต่งานสงเคราะห์ก็ไปอย่างจำทน เพราะร่างกายมันแย่

วันหนึ่ง คุณหญิงนิมนต์ให้ไปที่บ้าน ก็ไปอย่างนักอดทน คือ ทนอด..ตามแต่สภาพ เมื่อถึงเวลากลับก็บอกท่านว่า จะได้มาอีกหรือไม่ก็ไม่ทราบ คุณหญิงนิมนต์ขอให้มา

อาตมาก็ล้อท่านว่า ถ้ามาต้องเอาเงินค่าเสียเวลา 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาท) เมื่อมาจริง คุณหญิงถวายจริง ๆ หนึ่งหมื่นบาท พร้อมกับถวายค่าสร้างตึกโรงพยาบาลอีก 10,000 บาท

เมื่อท่านถวาย อาตมารู้สึกอายตนเองมากที่เลว ไปล้อคนจริงเข้า เมื่อท่านถวายก็ต้องรับ เมื่อรับมาแล้วจึงให้เจ้าหน้าที่การเงินจัดเงินหนึ่งหมื่นบาทที่ท่านให้มารวมสร้างโรงพยาบาล

รวมเงินที่ท่านสร้างตึกโรงพยาบาลเป็นสองหมื่นบาท เรื่องที่พูดมานี้เป็นเรื่องกระจุ๋มกระจิ๋ม ท่านทำมากกว่านี้มาก

แต่ทว่าขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้ อาตมาแย่เพราะเป็นเวลาที่ป่วยเครียดมาก เขียนมากไม่ไหว สมองก็คิดอะไรไม่ใคร่ออก ขอกล่าวเพียงโดยย่อ

มาพูดกันถึงการเงินท่านมีศรัทธามาก แต่อาตมาก็เกรงใจบรรดาบุตรธิดาของท่าน เพราะทุกคนมีส่วนในการรับมรดก ท่านถวายมามาก ๆ และถวายเป็นปกติ

บุตรธิดาของท่านอาจจะคิดว่า เจ้าชูชกหัวโล้นสีเหลืองนี่มันไม่รู้จักพอ อาตมามีความละอายเรื่องนี้อยู่มาก แต่มีเรื่องหนึ่งที่คิดว่าเป็นปัจจัยทำให้สบายใจเมื่อพบคุณหญิง นั่นก็คือ

คุณหญิงมีใบหน้า ผิวพรรณ ทรวดทรง และลีลาทุกอย่างเหมือนท่านแม่ ถอดแบบไว้จริง ๆ เมื่อมาพบคุณหญิง มีความรู้สึกว่าเหมือนนั่งอยู่กับแม่ ทำให้มีความสุขใจมาก

แต่ก็เกรงใจบุตรธิดาของท่าน เมื่อสังเกตดูบุตรธิดาของท่าน ทุกคนมีอาการปกติ ไม่แสดงออกในทางที่ไม่พอใจ ก็สบายใจ

แต่เมื่อทุกคนดีเท่าไร อาตมาก็เกรงใจมากเท่านั้น ที่เกรงเพราะ “ดี” คนไม่ดีไม่เคยเกรงใจ ยิ่งเบ่งมากเท่าไร อาตมาก็เบ่งได้เท่านั้น

เพราะเป็นคนมีนิสัยไม่ประจบ ไม่เกรงใจคนเลวเป็นปกติอยู่แล้ว มีความรู้สึกว่า จะเกรงใจแต่คนดีที่ให้ชีวิต คือเลี้ยงเราเท่านั้น คนนอกนั้นไม่มีความหมาย

บุตรและธิดาของ คุณหญิง
...บุตรและธิดาของคุณหญิงทุกคน เป็นผู้ที่น่ารักมาก ทุกคนไม่เคยขัดใจแม่ แม่สั่งอย่างไรรีบทำตามนั้นทันที เมื่อแม่ป่วยไข้ไม่สบายอย่างหนักและก็หนักมานาน ไม่เคยหลีกการปฏิบัติพยาบาล

นับว่า คุณหญิง มีลูกดี ที่มีความกตัญญูอย่างสูง ลูกอย่างนี้หาได้ยากในทุกสมัย ส่วนใหญ่มักจะมีลูกผู้ฆ่า ทำบิดามารดาให้เดือดร้อน

แต่คุณหญิงมีบุญหนัก ที่ท่านรักลูกและลูกก็รักท่าน ขออนุโมทนา ขอให้บุตรธิดาของท่านทุกคน จงมีแต่ความเจริญ สมหวังตามที่ต้องการจงทุกประการเถิด

จริยาของคุณหญิง ที่หลายคนทำยาก
...เมื่อท่านเดือนป่วย ท่านป่วยแรมปี ช่วยตัวเองไม่ได้เลย แต่ที่น่าชมเชยท่านเดือนก็คือ ท่านไม่ยอมละอารมณ์ที่เป็นบุญกุศล

เรื่องนี้ต้องขอเทิดความดีนี้ไว้เหนือความอดทน ไว้เหนือความดีของอาตมา เพราะอาตมาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เมื่อมีสภาพเช่นกัน จะทำใจได้เหมือนท่านหรือไม่

สำหรับ คุณหญิง เมื่อต้องพยาบาลคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เป็นเวลาแรมปี ท่านไม่เคยแสดงความระอาใจ ท่านแสดงอาการเคารพสามีเป็นปกติ เป็นกิริยาที่ทำได้ยากมาก

ขอชมเรื่องนี้ด้วยความจริงใจ และที่อาตมาไปมาหาสู่เรื่อย ๆ ก็เพราะท่านดีอย่างนี้จึงไปหาท่านเรื่อย ๆ ตามเวลาที่พึงมาได้ ถ้าพบประเภทไม่เอาไหนก็คงมาคราวเดียว และขาดรายการไปตลอดชีวิต

มีเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่ง ที่แปลกมากแต่จริง นั่นก็คือ เมื่อท่านเดือนป่วยหนัก มีระยะหนึ่งที่ทราบว่า คุณหญิงต้องไปต่างประเทศ เพราะในสมัยที่ท่านเดือนยังไม่ป่วย และกำลังเสวยผลอำนาจวาสนาอยู๋

ท่านเป็นผู้ชายที่มีเมตตาสูง อาจจะไม่สบายใจเมื่อเห็นสาวมีความว้าเหว่ ท่านไปต่างประเทศ ไม่ทราบว่าประเทศไหนจำไม่ได้

ปรากฏว่าท่านเดือนอาจจะหนาวมากไปนิด หนูน้อยที่นั่นก็อาจจะคิดว่าอยากอุ่นสักหน่อย เมื่อลมมาตัณหาโชย ก็เลยชนกันเต็มกำลัง ในที่สุดพยานหนาวสาวว้าเหว่ก็เกิดขึ้น ไม่ทราบว่าเป็นหญิงหรือชาย

เมื่อท่านเดือนป่วยมาก อาตมาทราบจาก คุณหญิง ว่า จะต้องไปต่างประเทศ ไปจัดการปลูกบ้านหาที่ทำมาหากินให้ลูกคุณเดือน

แม่ใจพระอย่างนี้หายาก มีแต่เขาจะตัดสิทธิ์ ลิดรอนผลที่ลูกเลี้ยงจะพึงได้ ดีไม่ดี พินัยกรรมสามีทำไว้ให้ยังหาทางโกง

แต่นี่ คุณหญิงจัดการเองโดยที่ท่านเดือนไม่ได้สั่ง อย่างนี้ถ้าบังเอิญเป็นแม่อาตมา ก็ปลื้มใจจนอารมณ์คับอกตายเป็นแน่


ขอหยุดกันยอดนี้
...ทั้ง ๆ ที่กำลังป่วย ไม่มีแรง แต่ยิ่งเขียนยิ่งมัน ก็จะเกิดจบไม่ลง คนอ่านคงเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นก่อนอ่านจบ คือเอาไปทำกระดาษชำระ ผู้จัดพิมพ์ก็จะเสียเงินโดยไร้ประโยชน์มากขึ้น

ขอลงเอาดื้อ ๆ อย่างนี้ ท่านเดือนก็ดี คุณหญิงก็ดี ท่านคลั่งนิพพานเหมือนอาตมาคลั่ง เพราะท่านคบคนคลั่ง เมื่อคลั่งนิพพานแล้วจะไปนิพพานหรือเปล่าไม่สำคัญ เพราะคนคลั่งอย่างไหนใจจับอย่างนั้น

ถ้าคลั่งฆ่าสัตว์ก็ต้องหาเครื่องมือฆ่าสัตว์ ถ้าคลั่งเจ้าชู้ก็ต้องหาอุปกรณ์เจ้าชู้ จิตใจจดจ่อในทุกด้านที่เราคลั่ง คนคลั่งนิพพานก็ต้องหาอุปกรณ์ คืออารมณ์ ปลด จากราคะ โทสะ โมหะ จะละทันทีได้หรือไม่ ไม่สำคัญ

เหมือนกับคนจนที่อยากรวยก็ต้องค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบ ค่อย ๆ สะสม นาน ๆ เข้าก็จะค่อย ๆ รวยขึ้นตามลำดับ

เมื่อคุณหญิงท่านคบคนคลั่งนิพพานอย่างอาตมา ท่านก็เลยคลั่งตาม และท่านก็คลั่งเอาเต็มขนาดเสียด้วย ผลการคลั่งของท่านที่เห็นได้ชัดคือ

1. อารมณ์ความโลภหมดไป ต้องการทำบุญอย่างเดียว ทรัพย์ที่จะแบ่งปันให้ลูก ท่านจัดการเรียบร้อยไม่มีอะไรที่จะเหลือไว้ให้ลูกทะเลาะกัน เงินจัดการศพก็จัดการไว้ให้เสร็จ

แม้แต่เครื่องแต่งกายเมื่อจะอาบน้ำศพ ท่านก็จัดการให้ทำเมื่อท่านก่อนมรณะ กำลังใจของท่านแบบนี้ นักบวชอย่างอาตมาอาย เพราะคิดว่าคงทำไม่ได้อย่างท่าน

2. อารมณ์ราคะสลายตัว เห็นว่าร่างกายไม่เป็นเรื่อง ท่านเบื่อร่างกายมานานจนเห็นได้ชัดในสายตาของคนดีทุกคน

3. อารมณ์โทสะ ท่านไม่สนใจ ให้อภัยเป็นปกติ

4. อารมณ์โมหะ คือโง่ติดในทรัพย์สิน ในบุคคล ไม่มีอะไรเหลือ

5. ข้อนี้อาตมาขอยอมแพ้ คือความอดทนในทุกขเวทนา ที่มีแผลใหญ่และลึกมาก มีความเจ็บปวดอย่างสาหัส แต่เมื่อไปเยี่ยม ยิ้มเสมอ ข้อนี้ขอยกล้อให้ คุณหญิง ไม่ขอสู้


ขอลัดนิดประเดี๋ยวจะเลยไป คือว่า เมื่อเผาแล้ว กระดูกที่บรรดาลูก ๆ จะเอาไว้เท่าไร ขอให้แบ่งกันตามที่ต้องการ ส่วนที่เหลือขอทั้งหมด จะเอามาบรรจุไว้ที่แท่นพระประธานคู่กับท่านเดือน

เผื่อว่าท่านอยากจะคุยกันจะได้ไม่ต้องเดินไปหากันไกล ดีไม่ดีอยากจะให้คุยกันเมื่อเวลาที่พระหรือคนไม่เคารพระเบียบวินัยเข้าไปในเขตวัด เขาเห็นแล้วจะได้ทราบว่าความเจริญรุ่งเรืองของวัดนี้ เกิดขึ้นมาได้จากท่านเป็นผู้ริเริ่ม

เป็นอันว่าท่านคลั่งนิพพานทั้งสองคน ป่านนี้ท่านไปอยู่ที่ไหน คงไม่มีใครบอก แต่ตามปกติถ้าเราอยากจะไปไหน เมื่อไปยังไม่ถึงก็ต้องเดินทางต่อเมื่อหายเหนื่อย

ทั้งนี้หมายถึงคนที่คลั่งจะไป แต่พวกที่สักแต่ว่าคิด แล้วก็อวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษกว่าใคร ๆ เหมือนเจ้าของเสียงที่ส่งมานั้น

อย่างนี้ท่านยมราชรักมาก เพราะคราบยังสกปรก ใจมีมานะลืมสภาพของตนตามความเป็นจริง ทำพระพุทธศาสนาให้ย่อยยับ ควรถอยหลัง

แต่ท่านทั้งสองจะไปนิพพานหรือยังก็ไม่ทราบ ถ้าไปไม่ถึง คงจะไปรำพึงว่า นิพพานจ๋า...คงอยู่แถวไม่ไกลนิพพานเป็นแน่

รวมความว่าอาตมากำลังป่วย อาการมากใกล้ตาย มาพูดเรื่องของคนตายแล้ว ก็จะมีอารมณ์เหมือนคนตายแล้ว แต่มีอารมณ์คลั่งพระนิพพาน ที่เขียนมานี้ถ้าทำให้ท่านรำคาญ ขออภัยด้วย คิดว่าสงสารคนคลั่งก็แล้วกัน

ที่สุดนี้ก็ขออนุโมทนาให้บุตรธิดาของท่านผู้ตายทุกท่าน และทุกคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วยความดีสมบูรณ์แบบ คือความกตัญญูรู้คุณ ขอทุกคนจงมีความสุขสมหวัง ตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด.."


พระมหาวีระ ถาวโร
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี








[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/8/19 at 14:25 [ QUOTE ]




[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/8/19 at 14:25 [ QUOTE ]




[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 21/5/21 at 09:41 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top