Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 19/4/21 at 08:10 [ QUOTE ]

แนวทางการบริหารของ “คณะกรรมการสงฆ์” วัดท่าซุง


แนวทางการบริหารของ “คณะกรรมการสงฆ์” วัดท่าซุง
โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระสุธรรมยานเถระ (สมัยนั้น)




เรียบเรียงโดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต


...ขอสงวนลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่ ด้วยการคัดลอกข้อความทั้งหมด หรือตัดตอนบางส่วนออกไป หรือรูปภาพหนังสือเล่มนี้ แต่อนุญาตให้แชร์โพสต์ออกไปเท่านั้น

เพราะพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ แนะนำภายในคณะสงฆ์ของวัดท่าซุง แต่ก็ไม่เป็นสาธารณะพระรูปอื่นๆ นอกจาก "กรรมการสงฆ์" ที่ผู้เขียนได้ถวายไว้เป็นคู่มือในการบริหารจัดการเท่านั้น เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ ตึกพระเถระ วัดท่าซุง แต่กรรมการรุ่นใหม่ท่านจะนำไปเปิดอ่านหรือไม่ก็ไม่ทราบได้

🌼 ต้นตอแห่งการพิจารณาโทษ
...เนื่องด้วยมีเหตุการณ์ความแตกแยกเกิดขึ้น จึงมีบางคนไม่เข้าใจ กล่าวหาว่าทำรุนแรง ทำไมต้องถึงกับขับไล่ออกไปจากวัดด้วย

ความจริง "คณะกรรมการสงฆ์" ทำตามคำสั่งของหลวงพ่อเมื่อปี ๒๕๒๘ (พิจารณาตามข้อย่อย "คุณหรือโทษ") รวมทั้งตัวอย่าง "วิธีการพิจารณาตัดสินความ" เมื่อปี ๒๕๓๑ ด้วย **(ขอย้ำว่าควรอ่านให้เข้าใจทุกถ้อยคำของท่าน)

จึงขอคัดลอกคำสั่งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ที่ท่านได้แจ้งให้คณะกรรมการสงฆ์ เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๒๘ มาให้ทราบ (ท่านพิมพ์ด้วยองค์ท่านเอง) เริ่มหัวข้อแรกดังนี้

🌼 ผู้คนสนใจและร่วมกันก่อสร้างวัด
...ที่ปรากฏตามนี้มาจากผลของการปฏิบัติพระกรรมฐาน จะเห็นได้ว่า วัดที่มีการศึกษาสูงขนาดจบเปรียญ ๙ ประโยคบางองค์ และได้ปริญญามากมาย วัดมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง จะมีก็เพียงสภาพปกติเท่านั้น

ตรงกันข้ามกับวัดของเรา ท่านมาบริจาคทรัพย์สินกันไม่ขาดสาย จนทำการก่อสร้างให้ไม่ทัน มีความเชื่อและเลื่อมใสกันมาก

พระเณร และคนในวัดอุดมสมบูรณ์ ทั้งหมดนี้ท่านมากันเนื่องจากกรรมฐานทั้งสิ้น ทุกท่านไม่มาเพราะเรียนสูง หรือผมมียศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติโลกธรรมแบบนี้ท่านเบื่อกันแล้ว

ทุกท่านไม่ควรเอาโลกธรรมมาเป็นเครื่องอ้างเพื่อผม ผมเองยังไม่สนใจในยศถาบรรดาศักดิ์ แล้วพวกท่านจะมามอบหมายให้ผมเมาทำไม ทำยังไงผมก็ไม่เมาไปตามนั้น

ข้อความนี้หมายถึงเห็นว่า ผมมียศกลายเป็นความดียิ่งใหญ่ คิดผิดพลาดไปมาก เมาในโลกธรรมมากเกินไป ไม่สมศักดิ์ศรีที่เป็นพระปฏิบัติพระกรรมฐาน และเป็นความนิยมที่ชาวบ้านไม่ถือเป็นสาระ

ความรู้สึกเช่นนั้นเลยกลายเป็นความรู้สึกที่ไร้สาระ (คือเมานอกผ้ากาสาวพัตร์) ขอทุกท่านจงอย่าเมาตามนั้น จะมีแต่ความเสื่อม และเดือดร้อน

เรื่องคนชั่วนี้ ถ้ารุนแรงเกินไปก็ต้องลงโทษ มิฉะนั้นจะเป็นตัวอย่างให้คนอื่นปฏิบัติตาม วัดเราจะหาพระ เณร หรือฆราวาสดีไม่ได้ต่อไป

แต่ถ้าความผิดนั้น เป็นความผิดในเรื่องส่วนรวมคือหมู่คณะ หรือเป็นความผิดในระหว่างสงฆ์ ผมไม่มีสิทธิ์ให้อภัย เพราะไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เป็นหน้าที่ของสงฆ์ต้องพิจารณาด้วยความเป็นธรรม และตรงต่อระเบียบของวัด และพระธรรมวินัย

เรื่องนี้ เป็นหน้าที่ของสงฆ์จะต้องร่วมกันพิจารณา จะลงโทษ หรือ รอการลงโทษไว้ก่อน เพื่อให้ทำความดีแก้ตัว แต่ถ้าผิดอะไร เมื่อไร ให้เอาโทษเดิมมาร่วมพิจารณาด้วย

มีอีกเรื่องหนึ่งที่ควรพูดก็คือ เรื่องตั้งโรงเรียนบาลีในวัด ผมใช้ญาณเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว เห็นว่ามีผลเสียมากกว่าผลดี เราจะดึงเอาศัตรูเข้ามาไว้ในมุ้ง จะไม่มีความสงบภายใน ถ้าพระของเราสอบได้เป็นเปรียญแล้วสอบกันเอง อย่างนี้ผมเห็นด้วย


📌 หมายเหตุ โดย-แอดมิน
...ท่านไม่มีนโยบายเรื่องการตั้ง "โรงเรียนพระปริยัติ" ภายในวัด ตอนนี้เริ่มมีวี่แววแบบนี้เข้ามาจากนอกวัด แต่ท่านพระครูปลัดสมนึก เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนี้ ได้โบ๊ยไปให้ที่อื่นแล้ว


🌼 พื้นฐานของการปฏิบัติ
...วัดนี้ หรือ ตัวผมเอง มีพื้นฐานมาจากการปฏิบัติพระกรรมฐานตั้งแต่เริ่มบวชใหม่ ฉะนั้นเมื่อไปอยู่ที่ใดผมก็ใช้ปฏิปทานี้ตลอด และสามารถทำสถานที่ต่างๆ ที่ไปทุกแห่งให้เจริญรุ่งเรืองได้ตามแต่เวลาที่มีอยู่ เพราะจะไปที่ไหนก็ดี มีอุปสรรคเสมอ

ทั้งนี้ เพราะ พระ เณร และฆราวาส เจ้าของถิ่น มีปฏิปทาคนละทาง คือเป็นนักปริยัติ แต่ปฏิบัติเต็มไปด้วยความโลภโมโทสัน ผมจึงไม่นิยมให้พระในปกครองหลงปริยัติเกินไป

การศึกษาปริยัติเป็นของดี แต่จะให้ทุ่มเทเรื่องการปริยัติเกินไปนั้น ผลที่เห็นมาตลอดก็คือ พกเอาความเลว คือมานะทิฏฐิ และประพฤตินอกลู่นอกทาง 99 เปอร์เซ็นเศษ จึงให้ทุกท่านปฏิบัติ เรื่องปริยัติค้นคว้าเอาเองเป็นสำคัญ ดีกว่าเสียเวลามาเมาปริยัติ และมีความประพฤติเลวทราม

🌼 ให้ใช้ทิพย์จักขุญาณ
...ทุกองค์ที่อยู่ที่นี่ฝึกกรรมฐานเป็นปกติ และยืนยันว่าปฏิบัติได้แล้วจึงบวช ฉะนั้นเรื่องทิพย์จักขุญาณต้องใช้ได้ทุกองค์ เมื่อใช้เป็นปกตินิวรณ์จะค่อยๆ หมดกำลังไป ในที่สุดก็จะชนะนิวรณ์จนเป็นพระอริยเจ้าได้

คนที่ใช้ทิพย์จักขุญาณเสมอๆ อารมณ์จะเยือกเย็น มีความสุข เพราะทราบกาลล่วงหน้าได้ตามกำลัง แม้จะทราบน้อยก็ทำให้มีอารมณ์เยือกเย็นและมีความสุขมากขึ้นตามลำดับ

ท่านผู้ใดทำไม่ได้ ก็ถือว่า ท่านเลวเต็มที ควรใช้อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 5 ถึง 10 นาที เป็นอย่างมาก เท่านี้สุขใจมากแล้ว และจะเป็นผลดีกับตัวท่านเอง มีอานิสงส์มากแก่ผู้มาทำบุญ จะไม่มีสภาพเป็นผ้าเหลืองหุ้มเหี้ย

🌼 เรื่องการก่อสร้าง
...การปฏิบัติการก่อสร้าง นั่งคิดตำหนิว่า ควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ งานเรียบร้อยไม่พอบ้าง ช่างทำงานหยาบเกินไปบ้าง ฯลฯ เป็นต้น

เรื่องการก่อสร้าง ต้องคิดถึงความสิ้นเปลืองให้มาก ควรลงทุนน้อย และผลของงานมั่นคง ไม่ควรเอาเงินของท่านที่ให้มาไปใช้งานที่มีประโยชน์น้อย แต่สิ้นเปลืองเงินทองมาก

ตัวอย่างพื้นคอนกรีตหน้าศาลา 2 ไร่ ที่ตรงนั้นรีบทำหนีฝนเพื่อให้ทันงาน ทั้งๆ ที่รีบก็เกือบไม่ทันงาน ฝนก็ตก งานก็กระชั้นเข้ามา มีพระคิดว่า หรือพูดกันว่า งานไม่เรียบร้อย ถ้ารอเรียบร้อยก็ไม่ทันงาน

อีกประการหนึ่ง ถ้าทำผิวให้สวยต้องจ่ายเงินอีกหลายแสนบาท พื้นเป็นทางเท้าไม่มีความจำเป็นจะต้องสิ้นเปลืองอย่างนั้น ก็มีนักบวชปรารภกันว่าไม่ดี ไม่ควร

ถ้าจะให้หาเงินมาสร้างเสียเองบ้าง จะทำได้ไหม ลองดูสักรายหนึ่งก็ได้ จะได้ทราบอารมณ์เลวๆ แบบนั้น มันลำบากยากแค้นขนาดไหน

กินอิ่มนอนสบาย ก็เพราะความดีของกรรมฐาน จงสนใจในกรรมฐานให้มาก ลูกน้องสญชัยกับเทวทัตมองไม่เห็นความจำเป็น และมีอารมณ์คัดค้าน

บางรายแสวงหารายได้จากความดีของพระส่วนใหญ่ที่ท่านปฏิบัติดี หาผลประโยชน์และชื่อเสียงเพื่อตัวเอง มีตัวอยู่ในวัด มองดูให้ดีจะรู้เอง

เมื่ออาการยังไม่หนักพอที่ชาวบ้านจะมองเห็นชัดก็จะปล่อยไว้ก่อน เมื่อความเลวชัดเมื่อไร ก็จะกำจัดเมื่อนั้น ใครบ้างที่ประพฤติเช่นนั้น จงรีบปฏิบัติตนเสียใหม่

จงอย่าลืมว่า ผมมีความเหนื่อยยากเพียงใดที่ทำเพื่อพระศาสนา พระที่ดีก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่คนอุบาทว์ยังมาทำเด่น ก็ต้องกำจัดเมื่อถึงวาระ

🌼 ที่ควรขอบใจ
...หลังจากนั้นมา ทุกคราวที่ร่วมกันประชุมหารือ หรือแบ่งงาน ทุกองค์ปฏิบัติตนได้เรียบร้อย ไม่ต้องใช้อารมณ์บ้าเข้าพูดกัน และร่วมปฏิบัติงานกันได้ดี เรื่องนี้ควรแก่การสรรเสริญเป็นอย่างมาก ขอให้ทุกองค์รักษาความดีนี้ไว้ให้ตลอดกาล จะช่วยตัวท่านได้

การนั่ง เวลาลงสังฆกรรม หรือสวดมนต์ไหว้พระ ต่อไปขอให้นั่งตามลำดับอาวุโส ไม่ต้องเชิดคนที่มีอายุแก่ แต่พรรษาน้อยออกหน้า เพราะมันผิดระเบียบ

🌼 แผนร้ายมุ่งทำลาย
...เกมส์หนึ่งที่มุ่งทำลาย ในการต่อไปจะหาทางค่อยๆ ทำลายพวกท่าน โดยที่เขาจะหาทางตัดกำลัง โดยดึงคนที่ช่วยทำงานเอามาเป็นพวกของเขา และหาทางสร้างความเดือดร้อน

จะเห็นได้ว่า ท่านที่ทำประโยชน์แก่ส่วนรวม เขาจะอ้างระเบียบบางอย่างเข้ามาบีบคั้น ทำให้ประสาทปั่นป่วน จะได้หาทางสึกออกไป หรือย้ายไปอยู่ที่อื่น เพื่อเปิดทางให้เขาเข้าครองสมบัติของสงฆ์

คนพวกนี้ไม่ใช่คนฉลาด คิดว่าเมื่อได้ครองสมบัติของสงฆ์แล้ว ท่านสาธุชนจะสนับสนุนตามเดิมเหมือนที่ผมมีชีวิตอยู่ เมื่อถึงเวลานั้นคนก็จะไม่เข้าวัด

งานของพระมีน้อย โอกาสที่จะรวบรัดเงินสงฆ์ที่ผมหาไว้ให้ก็จะถึงเวลาของเขา เป็นความเลวที่เกิดขึ้นในอนาคตอันไม่ไกลนัก

🌼 ระวังประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
...เรื่องมันเริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ.2517 ระยะแรกเขาส่งพระปลอมเข้ามาก่อน และต่อมาก็ส่งฆราวาสเข้ามา มีทั้งชายและหญิง ต่อมาก็ส่งกันเรื่อยๆ เข้ามา จนบัดนี้ก็มากันไม่ขาดสาย คนพวกนี้เมื่อเวลาเข้ามาจะมีกิริยา ดังนี้

1.) มีศรัทธาดี ทำบุญเก่ง ทำคราวละมากๆ พูดในทำนองมอบกายถวายชีวิต ช่วยเป็นกำลังทุกด้าน ทั้งนี้ เพื่อหาช่องทางทำลาย แต่อย่าเหมาเอาคนที่ทำบุญและช่วยงานดีเสียทุกคน ที่ท่านมาด้วยความสุจริตใจมีมากกว่า ต้องใช้ปัญญาพิจารณา

2.) มาแบบนักบุญ ทำท่าสงบเสงี่ยม แต่แฝงไว้ด้วยลีลาของการทำตนเป็นคนดี รักศีลธรรม

3.) บางคราวมาในลักษณะของนักบวชนุ่งขาว เป็นต้น

คนพวกนี้มีการติดต่อกับคนภายในที่โง่กว่า หรือเมาในคำยกย่องสรรเสริญ หรือบางทีก็มาบวชเป็นพระอยู่ก็หลายรายแล้ว เจตนาก็คือ พูดประโยคสั้นๆ ให้เป็นข้อคิดในทางแตกแยก

และพยายามซุ่มเพื่อจะสังหารผมก็หลายคราว ที่ผมไม่บอกพวกคุณก็เกรงว่า เหตุร้ายภัยใหญ่จะมี เพราะความจงรักภักดีของพวกคุณ เพราะผมทราบความดีของพวกคุณที่เป็นลูก ลูกทุกคนพร้อมตายแทนพ่อได้มีมาก

แต่ต้องระวังต่อไปนี้ เขาจะเข้ากับพระ หรือฆราวาสภายในวัดให้หนักขึ้นกว่านั้น โดยจะใช้ยาพิษเป็นเครื่องมือประหาร ก่อนหน้านี้เคยเอายาปลุกอารมณ์กามคุณมาแจกแล้ว 2-3 คราว ผมสั่งให้ทิ้งหมด

คนภายนอกมีใครบ้างผมทราบทั้งหมด มีทั้งพระและฆราวาส ความประสงค์ก็คือ ทำลายให้คนภายในที่มีคุณประโยชน์แก่สถานที่ออกไปให้หมด คนที่รู้เรื่องความเป็นมาก็กำจัดให้หมดไป

เมื่อคนที่เกี่ยวข้องที่รู้เรื่องหมดไปแล้ว ก็ยึดทรัพย์สินของวัด ที่ผมและพวกคุณปลูกศรัทธาให้เกิดมีอารมณ์เป็นกุศลแก่ท่านสาธุชนที่ท่านมาทำบุญไว้ เขาฉลาดพอที่จะลวงคนที่คิดว่าฉลาดภายในให้บอกความจริงเรื่องกุทรัพย์สิน

และฉลาดพอที่จะเอาคนภายในเป็นเครื่องมือของเขา ให้ทำลายกันเองภายใน ที่ชาวโลกเรียกว่า “เป็นสงครามตัวแทน” เขาจะอยู่ภายนอก เมื่อภายในทำลายกันสมประสงค์แล้ว เขาก็จะทำลายลูกมือภายในอีกครั้งหนึ่ง

เป็นอันว่า คนเก่าสิ้นซาก แล้วก็จะรวบทรัพย์สินที่มีอยู่เป็นสมบัติส่วนตัวต่อไป ถ้ามีใครมาทวงถามเรื่องเงินที่บริจาคมาเพื่อก่อสร้างแต่ยังไม่ทำ เขาก็จะบอกว่า พวกคนเก่าโกงเอาไปกินหมดแล้ว ฉะนั้น จึงต้องระวังคนภายในที่มีความฉลาด โดยคิดว่าตัวฉลาด เป็นเครื่องมือ หรือตัวแทนเขาที่คอยทำลาย

คนประเภทนี้จะรู้ได้จากอาการที่เขาอยู่ในหมู่พวกเรา เขาจะทำตนดี มีความหวังดีทุกรูปแบบ พอออกไปภายนอกก็จะกล่าวร้ายโจมตีสถานที่ในรูปที่ชาวบ้านสนใจ

พวกเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสก็ต้องถือกฎแห่งกรรม และยึดมั่นในพระพุทธเจ้า มันจะตายก็ขอให้ตายกับความดี มั่นคงในอารมณ์ที่ตั้งไว้เดิมก็แล้วกัน พวกมุ่งหวังทำลายจะปรากฏตัวชัดขึ้นตามลำดับ

เมื่อนั้นจงทำในสิ่งที่ควรทำ เพื่อรักษาสถานที่ และพระศาสนาให้อยู่รอดต่อไป ใครบ้างที่ร่วมมือกับเขา เมื่อเรายังมีลมหายใจ จงช่วยกันกำจัดออกไปทุกวิถีทางที่จะทำได้

🌼 การประชุม
...การเรียกประชุมที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก เจ้าอาวาสมีสิทธิ์จะเรียก หรือไม่เรียกพระองค์ใดเข้าประชุมก็ได้ ถ้าหากเห็นว่า พระองค์ใดไม่ควรเข้าประชุมด้วยกรณีใดๆ ก็ตาม เจ้าอาวาสไม่จำเป็นต้องเรียกเข้าประชุม

🌼 เรื่องพระที่จะมาบวช
...เรื่องนี้ ขอให้เป็นภารธุระของทุกท่าน การจัดการ อาจจะมอบใครคนใดคนหนึ่งนั้นได้ แต่ก็ต้องช่วยกันดูแลตักเตือนตามหน้าที่ อย่าปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งมีอารมณ์เหลิง เพราะคนภายนอกที่เขาฉลาดกว่า เขาพยายามเข้ามาเป็นพวกกับท่านที่มีตัญหา

คือ ความอยากใหญ่จัดเข้าไว้ ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือ ทุกท่านจงอย่าเป็นทาสตัณหา และช่วยกันขจัดพวกบูชาตัณหา ให้ออกไปนอกบริเวณอย่าปล่อยให้บุคคลใดมีอารมณ์เหลิง

ถ้อยคำนี้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะผมทราบว่าจะมีใครเข้ามาประสานกับคนภายใน เพื่อทำลายสถาบันของเรา ตอนนั้นภายในจะแบ่งออกป็นหลายพรรคหลายพวก ในที่สุดก็ยับเยิน ผมยังไม่ได้หมายถึงใครในขณะที่เขียน หมายถึงอนาคต

🌼 อำนาจการบริหาร
...ปกติก็ทำกันดีแล้ว แต่บางองค์ยังทำไม่ถูก ขอให้ปรับปรุงกันให้ดี ปีนี้ร่างกายผมเลวมาก มันป่วยตลอดกาล ไม่เคยป่วยหนักอย่างนี้

แต่บางท่านคงไม่ทราบอาการป่วยของผม เพราะท่านมีอารมณ์ไปอย่างหนึ่ง และลืมใช้ความเป็นทิพย์ของจิต ผมถือว่าบกพร่องจากความดีมาก

การบริหารจึงต้องเป็นภาระธุระของพวกท่าน แต่ก็ทำกันได้ดี และก็ดีอีกอย่างที่ป่วย จะได้ทราบ เมื่อผมตายแล้วอะไรจะมีขึ้นบ้าง เพราะเงาของเหตุการณ์สมัยนั้น มันจะบอกเมื่อผมบริหารไม่ไหวเพราะป่วย

ถ้าร่างกายดี จะค่อยๆ ปรับปรุงสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีมากขึ้น เป็นของธรรมดางานบริหารเป็นงานใหญ่ จับทำใหม่ๆ เอาลงตัวแน่นอนไม่ได้ ที่แน่นอนก็คือ นิ่มนวลไว้ก่อน และเด็ดขาด อย่างนี้แน่นอน งานที่ต้องพูดมีมาก แต่ผมก็ยังไม่หายป่วย พอมีแรงบ้างก็เขียนมาให้อ่านกันลืม

เรื่องการบริหาร ที่มอบภาระธุระให้รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส กรรมการสงฆ์ จัดทำนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการพิสูจน์ความสามารถ และความเหมาะสมในการบริหาร

ต่อไปจะค่อยๆ จัดให้เข้ารูปเข้ารอย เพราะผมเป็นผู้จัดสร้างวัด งานที่ทำมาแล้ว อยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้ แต่บางกรณีก็เครียดจัดเกินไป เป็นการทำลายผลงานที่ผมทำมาแล้ว ต้องการให้งานนั้นละลายไปเลย

🌼 นักบริหาร ต้องมีอารมณ์อย่างนี้ คือ
๑. มีพรหมวิหารสี่ มีหน้ายิ้มเสมอ ใจเย็น ทำให้คนที่เห็นมีอารมณ์สดชื่น
๒. ไม่มีอารมณ์ลำเอียง มีเหตุผล มีความรอบคอบ เห็นการไกล ใช้ปัญญานำหน้าการกระทำทุกอย่าง
๓. รักษาระเบียบวินัย ทั้งทางพระศาสนา และสถานที่อย่างเคร่งครัด ทำตนเป็นผู้นำในการปฏิบัติตามระเบียบ
๔. ไม่มีอารมณ์เป็นทาสนิวรณ์ มีอารมณ์เป็นทิพย์เสมอ กำจัด หรือระงับสังโยชน์ห้าได้เป็นปกติ
๕. ความดีอันดับเลยที่รักษาได้ก็คือ มีอารมณ์ และตั้งตนอยู่ในสังคหวัตถุเป็นปกติ
๖. ไม่มีอารมณ์มิจฉาทิฏฐิประจำใจ ยกตนข่มท่านว่า ฉันดีกว่าเธอนะ ฉันมีบุญคุณต่อเธอนะ

🌼 คุณหรือโทษ
...เขาพิจารณากันในความประพฤติที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ยกความดีในอดีต หรือมรรคผลในอนาคตมากล่าวลบล้าง

คนที่ถูกลงโทษทั้งทางพระและฆราวาส ทุกคนเคยทำความดีมาแล้วทั้งนั้น แต่เมื่อทำความผิดในปัจจุบัน ท่านก็ต้องลงโทษตามระเบียบ คนอกตัญญูไม่รู้ความชั่วของตนเท่านั้น ที่หลงตนว่าดี เป็นคนประเภทเหลิง

รวมความแล้ว หนังสือที่ผมเขียนมาให้อ่านกัน เป็นเหตุผลที่คิดว่าจะมีในอนาคต ผมไม่ได้จี้ว่า ใครชั่วในปัจจุบัน แต่บังเอิญท่านปู่มาบอกว่า

ปัจจุบันก็มีแล้ว ผมก็เฉยไว้ รอผลที่เป็นรูปธรรม ผมขอใช้ศัพท์ตามเสียงในเทป และแล้วผลในรูปธรรมก็ปรากฏเกินกว่าที่ผมคิด จึงเห็นสมควรว่าจะต้องจัดการตามระเบียบ

ขอทุกท่านจงอดใจ ตั้งใจไว้ในระเบียบ แล้วท่านจะไม่มีอะไรเดือดร้อน เพราะมีสติสัมปชัญญะรู้ว่า ตนดีหรือเลวขนาดไหน

เรื่องที่ผิดระเบียบในวัด ให้คณะกรรมการสงฆ์จัดการได้โดยเด็ดขาด ถ้ามีอะไรปรากฏขึ้นอีก ส่วนที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ให้อภัย

แต่จะยับยั้งไว้ก่อน เพราะเคยสร้างความดีไว้ แต่ถ้าทำใหม่อย่างใดอย่างหนึ่งที่ฝืนระเบียบ ให้เอาโทษเก่ามาพิจารณาด้วย

เรื่องอารมณ์เหลิง มีตัวบุคคลแล้ว เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ เป็นรูปแบบ พระทุกองค์คงทราบดีแล้ว.

ลงชื่อ............................................
(พระสุธรรมยานเถระ)
๑๕ มกราคม ๒๕๒๘


📌 ถ้าได้อ่านคำสั่งของท่านแล้ว
...ผู้อ่านที่มีศรัทธาและสนับสนุนผู้กระทำผิด ตามระเบียบของท่านแล้ว กรุณาไปย้อนดูคุณสมบัติพระรูปนั้น หรือฆราวาสผู้เป็นลูกศิษย์ว่า

ทุกคนได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านหรือไม่ หรือว่าคณะกรรมการสงฆ์ได้ตัดสินโดยชอบหรือไม่ ลองไปอ่านดู หลังจากอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่ใช่ของวัด

ก่อนที่จะกล่าวโทษโจทก์ความผิดให้แก่ "กรรมการสงฆ์ ๕ รูป" ว่าต้องลงอเวจีมหานรก ที่ไปไล่พระอรหันต์รูปหนึ่งในวัดออกไปอยู่ข้างๆ ซึ่งในจำนวนนั้นก็มี ท่านอดีตเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาสอยู่ด้วย

พร้อมทั้งมีคนที่โพสต์ในออนไลน์ว่าเป็น "อลัชชีในคราบผ้าเหลือง" ท่านจะเชื่อใครกันดีละ ระหว่างฝ่ายผู้ถูกกับฝ่ายผู้ผิด ขอให้เลือกทางเดินกันเอง หลังจากล่วงลับดับสังขารไปแล้วด้วย


📌 (ข้อความเหล่านี้ ได้คัดลอกเฉพาะบางส่วน ยังมีคำสั่งที่ไม่สามารถนำมาโพสต์ได้อีก แต่กรุณาอย่าได้คัดลอกออกไป ถือว่าเป็นการล่วงเกินของสงฆ์)

อัพเดท 19 เมษายน 2564



ย้ำอ่านโอวาทวันเกิดหลวงพ่อปี 2522


...ท่านเตือนเรื่องอะไร ที่สำคัญที่สุด ที่ลูกศิษย์ภายหลังไม่ควรกระทำ ทั้งพระและญาติโยม นั่นก็คือการทำที่ตนเองคิดว่าดี แล้วก็คิดว่าไม่แตกความสามัคคีนี่ไง !!

ลองอ่านย้อนไปย้อนมานะ เตือนจนปากจะฉีกแล้ว (โทษๆ มือจะหงิก) ก็ยังไม่ได้ผล น่าจะเป็นพวกที่ไม่ทันคำเตือนปี 2522 แต่คนเตือนก็ทันไง แล้วทำไมถึงไม่ฟัง (โทษๆ ไม่อ่าน)

ฉะนั้น คนที่ไม่ได้ฟังนับตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา มีโอกาสปฏิบัติผิดพลาดได้ แต่ก็ต้องเรียนรู้จากผู้ที่ทันเหตุการณ์ ไม่มีใครอิจฉาริษยาหรอก เพราะเขาย่อมรักษาคำสั่งหลวงพ่อไว้ด้วยดี

คือไม่ทำให้คนแยกกลุ่ม แยกกิจกรรม ผลิตคำสอนของตัวเอง ทำให้แตกความสามัคคีกันไปในที่สุด เตือนแล้วจนมือหงิก เตือนแล้วจนปวดหลัง คงช่วยไม่ได้แล้วนะ ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน

อย่าลืมคำนี้
...เตือนกันอีกสักนิดว่า อย่าคิดว่าหลวงพ่อไม่รู้นะ ท่านดูอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ ปิดท่านไม่ได้หรอก เพราะยังหลอกตัวเองอยู่ อิอิ..พวกพาคนผิด ตัวเองก็พลาด มันน่าอนาถจริงๆ

...ตามที่หลวงพ่อเคยพูดไว้สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า "...ข้าเกิดมาสงเคราะห์ให้คนไป 2 ทาง คือไปนิพพาน แล้วก็ไปอเวจีมหานรก.."

จำไว้ด้วยนะ เก็บคำนี้ไปเตือนจิตสกิดใจกันไว้เถอะ จะได้ไม่ต้องเตือนกันอีก ปากเปียกปากแฉะ (โทษๆ เมื่อยมือจริงๆ) เพราะผู้เขียนยังจำคำนี้ได้ตลอด นับตั้งแต่ปี 2520-2564

ส่วนผู้ที่ไม่ได้ฟังคำสั่งของท่านเมื่อ ปี 2522 (เรื่องความสามัคคี) กรุณาระมัดระวังตัวท่านและญาติโยมไว้ด้วย เพราะตักเตือนกันด้วยความรักและความปรารถนาดีจริงๆ

ถึงแม้ท่านจะมีพรรษาน้อยกว่า แต่เพราะผมยังมีชีวิตอยู่ เพื่อทำหน้าที่รักษาคำสั่งของท่าน ด้วยการรักษาสถานภาพของวัดท่าซุงให้เป็นเอกภาพ จึงต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยขอรับ

อดีตหลวงพ่อเคยสร้างวัดท่าซุง
...หลังจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ "พระราชพรหมยาน" มีสัญญาต่ออายุกับพระว่า จะต้องอยู่รอลูกหลานอีกต่อไป จึงมีการจัดพิมพ์หนังสือ "ประวัติหลวงพ่อปาน" ออกมาเผยแพร่ นับตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นไป

ต่อจากนั้น "วัดท่าซุง" ที่ท่านเคยสร้างไว้เมื่อ ๒ ชาติก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา คือเกิดเป็น "ขุนแผน" และ "ขุนเหล็ก" จึงเต็มไปด้วยผู้คนที่มุ่งความดี มีความปรารถนาแต่คุณแห่ง "พระนิพพาน" ตามที่ท่านมุ่งสอน ทุกคนตั้งใจทำความดีด้วยความสามัคคี

แต่ท่านก็เตือนจิตสะกิดใจไว้เมื่อคืน วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๒ ที่โชคดีมีการบันทึกเสียงไว้ ณ ศาลานวราช เนื่องจากใกล้ "วันคล้ายวันเกิด" ของท่านว่า


--คำสั่งหลวงพ่อก่อนมรณภาพ--
...ท่านได้ฝากภารกิจหน้าที่ไว้กับพระวัดท่าซุงตั้งแต่สมัยนั้น แต่ถ้าอยู่ยาวจนถึงสมัยนี้ ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น บัดนี้ได้ล่วงลับไปแล้วก็มี ส่วนที่ลาสิกขาบทออกไปก็มาก

แล้วใครล่ะ ที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อรักษาคำสั่งของท่านไว้ด้วยดี ไม่มีการทอดทิ้งภาระหน้าที่ แล้วก็ต้องอยู่ด้วยความอดทน ต่อกระแสวิพากย์วิจารณ์กันอย่างหนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมายาวนานถึง ๔๒ ปี (๒๕๒๒-๒๕๖๔)

แต่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วก็ยังจำคำพูดของท่านได้ในวันนั้น อดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้ว่า เคยเป็นลูกของท่านมา ทั้งลูกพระ ลูกหญิงและลูกชาย ได้ติดตามท่านมาถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป

“...บรรดาลูกๆ ทั้งผู้หญิงผู้ชายที่มีความเจตนาดี และลูกพวกนี้ก็ดี และพวกท่าน (พระ) ก็ดี ที่ติดตามกันมาแล้วทั้งหมด

ถ้าเราจะใช้ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" กำหนด ก็ถือว่าเราติดตามกันมาแล้วอย่างน้อยก็ ๑๖ อสงไขย กับแสนกัป เป็นการบำเพ็ญบารมีร่วมกันมานาน

ฉะนั้น ในชาตินี้คณะพวกท่านทั้งพระภิกษุสามเณร และลูกหญิงลูกชายทั้งหมด ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในชาติก่อนๆ ต่างคนต่างก็มารวมกันมาช่วยกันจรรโลงพระพุทธศาสนา

จงถือว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของพวกเรา จำไว้ให้ดีนะ แต่ว่าใครจะเกิดอีกต่อไป ก็ตามใจเถิด เป็นอันว่าเราก็เลิกเกิดกันเสียที

ความจริงถ้าหากว่าจะว่ากันโดยบารมี บรรดาลูกๆ ก็เหมือนกัน การบำเพ็ญมานี่ มันก็เกินไปเสียแล้ว...มันล้น เขาเรียกว่า “บารมีล้น”

ฉะนั้น หากว่าเวลานี้ บรรดาลูกหญิงก็ดี ลูกชายก็ดี ภิกษุสามเณรก็ดี ยังเห็นภารกิจในพระพุทธศาสนามีความสำคัญ ผมก็คงจะอยู่ได้อีกหลายวัน ถ้าหากว่าพวกท่านไม่เห็นความสำคัญเมื่อไร..ผมก็ไม่อยู่ !

แต่ว่ามีความหวังอยู่อย่างหนึ่ง ที่สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสให้ซื้อที่ และสร้างห้องสำหรับเจริญกรรมฐานขนาดใหญ่ นี่ก็แสดงว่า..ถ้าหากผมยังไม่ตาย หรือตายไปแล้วก็ดี ภารกิจหน้าที่อันนี้ บรรดาพวกท่านทั้งหมดต้องช่วยกันรักษาไว้

"ความสามัคคี" เป็นเหตุ
...แต่ว่าขอไว้อย่างหนึ่ง มันจะตายหรือไม่ตายก็ไม่เป็นไร ผมจะตายหรือผมจะมีชีวิตอยู่ ขอพวกท่านทั้งหมดให้ตั้งใจไว้ว่า เราเป็นคนกลุ่มเดียวกัน จงอย่าทำตนเหมือน “ภิกษุโกสัมพี”
.
ในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระชินสีห์ยังทรงมีชีวิตอยู่ ต่างคนต่างก็อวดเลว แตกกันเป็นสองพวก อย่างนี้เป็นการทำลายตัวเอง การศึกษาของบรรดาท่านทั้งหลาย นอกจาก "คันถธุระ วิปัสสนาธุระ"

เรื่องวิปัสสนาธุระนี่ เป็นเรื่องยืนยันว่าพวกเราจะดี ว่าจะทรงวิปัสสนาธุระไว้ได้หรือไม่ได้ ก็อาศัย "ความสามัคคี" เป็นเหตุ

อนาคตของ "วัดท่าซุง"
...ฉะนั้น ขอทุกท่านถ้าเห็นแก่ชีวิตผมก็ดี และเห็นแก่องค์สมเด็จพระชินสีห์ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผมรู้ตัวว่ากำลังกายมันไม่ดี แต่ว่าได้พยายามสร้างทุกอย่าง เพื่อวางพื้นฐานไว้ให้แก่พวกท่าน

เพราะว่าสถานที่นี้ก็ได้รับพยากรณ์ว่า จะเป็นศูนย์ที่มีความสำคัญต่อไปในเบื้องหน้า วัดนี้ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็ต้อง พ.ศ.๔๕๐๐ ปีเศษ วัดนี้จึงจะสลายตัว

ฉะนั้น ในวันฝังลูกนิมิต (๒๔ เม.ย. ๒๕๒๐) องค์สมเด็จพระธรรมสามิตรก็ทรงตรัสว่า แดนของวัดนี้ เป็นแดนของพระอริยเจ้ามาในกาลก่อน แต่ก็มาสิ้นแสงของพระอริยเจ้าลงไปประมาณ ๔๐ ปีนะ

นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลังจากฝังลูกนิมิตในปี พ.ศ.๒๕๒๐ แล้วท่านบอกว่าจากนี้ไป ๓ ปี วัดนี้จะมีพระอริยเจ้าประจำตลอดไป จนถึงพระพุทธศาสนาล่วงไปถึง ๔,๕๐๐ ปี หลังจากนั้นจึงจะขาดพระอริยเจ้า...”


จบโอวาทวันเกิดหลวงพ่อฯ
...โอวาทวันเกิด "หลวงพ่อพระราชพรหมยาน" นับเป็นโอวาทของท่านนานแล้ว จึงได้นำมาเพื่อเป็นการย้อนรำลึกถึงความเมตตาของท่าน

และยังมีที่ท่านเทศน์ไว้อีกนานแล้วเช่นกัน คิดว่ายังไม่เคยลงหนังสือเล่มไหนมาก่อน อันเป็นโอวาทคล้ายวันเกิดของท่านที่บ้านสายลม เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๑๘

สงสัยตัวเองว่าเคยพบพระพุทธเจ้าหรือไม่
...ถ้าจำไม่ผิดคิดว่า น่าจะเป็นครั้งแรก ในการจัดงานคล้ายวันเกิดของท่าน ซึ่งในขณะนั้นผู้เขียนยังไม่ได้อุปสมบท จึงได้มีโอกาสฟังโอวาทของท่านเป็นครั้งแรก เพราะมีความข้องใจในเรื่องบางอย่าง แต่ไม่กล้าถามท่าน

จนกระทั่งท่านเทศน์ออกมา ทุกอย่างจึงหายข้องใจ โดยมิต้องคิดถามท่านในใจอีกต่อไป คือเรื่องความสงสัยว่า ในอดีตเราเคยเกิดมาพบพระพุทธเจ้าบ้างหรือไม่ ถ้ายังไม่เคยพบก็อยากเกิดอีกสักครั้ง แล้วจะไปนิพพาน

แต่ความสงสัยนั้นก็หมดสิ้นไป ในเมื่อท่านเทศน์ว่า พวกเราเคยเกิดพบพระพุทธเจ้ามาแล้วหลาย ๑๐ วาระ ผู้เขียนได้ฟังเพียงแค่นี้ ก็เลยตัดสินใจไปนิพพานในชาตินี้เลย นับตั้งแต่วันนั้น (ปี ๒๕๑๘) จนกระทั่งถึงวันบวช (ปี ๒๕๒๐) ภายหลังยังมีผู้ทำให้แตกความสามัคคีจริงๆ

...แต่ก็ต้องเจองานที่หนักที่สุด ในเมื่อมีพระในวัดบางรูป ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านไว้ คือย้ายออกไปตั้งก๊กตั้งเหล่า ทำให้เกิดการแตกความสามัคคีกันหลายจุด

(**หมายเหตุ - ผู้ที่ก่อเหตุเช่นนี้ โชคดีที่ยังบวชไม่ทันกับคำเตือน คือช่วงปี ๒๕๒๓-๒๕๓๑ แต่ก็โชคร้ายที่ยอมไม่ฟังคำเตือน ของผู้ที่ได้ยินคำเตือนจากหลวงพ่อโดยตรง**)

ซึ่งยังมีเทปที่ท่านเตือนไว้อีกเมื่อปี ๒๕๓๒ ภายในพระอุโบสถ ตามที่เคยนำออกมาให้ฟังกันไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะคนภายหลังไม่เชื่อคำสั่งของหลวงพ่อ ต่างก็ฝ่าฝืนปฏิบัติเป็นปฏิปักษ์กับวัดของครูบาอาจารย์

ใครยังสงสัย ลองย้อนอ่านไปอ่านมาก็แล้วกัน นั่นแหละคือคำตอบของการสนับสนุน ในเรื่องการแตกความสามัคคี ถึงแม้หลวงพ่อท่านจะละสังขาร และหลวงพี่ท่านเจ้าคุณฯ มรณภาพไปแล้วด้วย ก็ยังอุตส่าห์เลียนแบบท่านทุกอย่าง


อัพเดท 18 เมษายน 2564



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 20/4/21 at 15:29 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top