พระอุโบสถ
พระอุโบสถ ณ วัดท่าซุงเริ่มสร้าง เมื่อ ๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
เสด็จพระราชดำเนินทรงตัดลูกนิมิต ณ พระอุโบสถ เมื่อ วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐ พร้อมกับพระสุปฏิปันโนที่เดินทางมาร่วมงานอีกมากมาย
ในตอนเช้า วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๑ หลวงพ่อพร้อมด้วยเจ้าภาพที่จัดงานฝังลูกนิมิต ได้ทำพิธีกลบหลุมลูกนิมิต (หลุมกลาง)
พร้อมกับหลวงพ่อกล่าวนำอธิษฐานถวายถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนา พร้อมกับได้บรรจุแผ่นทองคำจารึกไว้ด้วย
คำจารึกในแผ่นทองคำ
เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราช ล่วงไปแล้ว ๒๗๐๐ ปีปลาย
จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจาก เชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป คณะของเราขอโมทนา
แต่คงอยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว
หลวงพ่อเล่า..มาวัดท่าซุงครั้งแรก
พอหลวงพ่อขึ้นมาวัดท่าซุงวันแรกก็เข้าโบสถ์ก่อน บวงสรวงมีพระไปนั่งเต็มพรืด พระผีทั้งหมดเป็นอรหันต์หมด ไม่ใช่เป็นแต่เจ้าอาวาส โอโฮ้มากจริงๆ ที่นี่
คลังเฉพาะถ้าที่ไหนมีพระอรหันต์ที่นั่นเจริญกรรมฐานได้เร็วพื้นที่นี่สำคัญมาก หลังจากนั้นก็มีองค์หนึ่งเดินไม่ยอมเข้ามา เดินกลับไปกลับมา ถาม
"จะให้เข้ามาหรือไม่เข้า ถ้าไม่ให้อยู่วัดนี้จะกลับเดี๋ยวนี้" ยังสั่งไม่ขนของจากเรือ ก็เลยเข้ามากลายเป็นหลวงพ่อขนมจีน
หลวงพ่อขนมจีนนี่เป็นเจ๊ก ท่านอยู่แถบนี้ แถบโบสถ์นี้กุฎิอยู่แถวโบสถ์ ท่านก็เลยเข้ามา บอกวัดนี้มีสภาพเป็นไง...บอกไม่เป็นไร หลวงพ่อช่วยก็แล้วกัน
ผลที่สุดอยู่ที่วัดนี้ก็มีสภาพเป็นจริงอย่างที่ท่านว่าทุกอย่างบอกไม่ไหว ผมไม่มีปัญญาจะทำ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ทีแรกวัดนี้ต้องทำของ ๒ ครั้งหมด
อย่าลืมว่าฉันมานี่ฉันต้องปลูกกระต๊อบอยู่ ฉันต้องหุงข้าวกินเอง และอาคารที่ทำมาก็เป็นอาคารชั่วคราวหมด มันต้องเสียตังค์ ค่าวัตถุแรงงานนะ
จะทำใหม่ต้องรื้อ เสียตังค์ค่ารื้ออีก ไอ้ของนั่นก็ใช้อะไรไม่ค่อยได้ใช่ไหมไอ้ไม้ต่างๆ ก็เลยเป็นไม้แบบไป นี่ทุกอย่างต้อเสียเว้นไว้แต่ฝั่งนี้ๆ ไม่ต้อง ๒
คราวถ้าฝั่งโน้นต้อง ๒ คราวหมด...
เรื่องจริงๆแล้ว เวลานั้นพระอรหันต์ท่านรวมตัวกันช่วย รวมตัวเลย อย่างอยู่ๆ พระประธานมาก่อน โบสถ์ยังไม่มี ท่านกะให้เลยปี ๒๐ ฝังลูกนิมิตได้เลย
เอ๊ะ...เราก็ยังไงกันแน่ ตังค์ แหม...เงินหมื่นยังหาไม่ได้ แต่แกเอาพระประธานมา แกให้ทุนไว้หมื่นหนึ่ง แล้วคนนั้นคนนี้มั่งก็ได้สัก ๒ - ๓ หมื่น
โบสถ์มันเป็นล้าน หมื่นรู้เรื่องเรอะ ใช่ไหม
พอเสร็จที่ฝั่งนี้ยังไม่มี ที่ฝั่งนี้ยังไม่ใช่ ที่ฝั่งนี้ซื้อทั้งหมดนะ ซื้อ ๑๐๐ ไร่กว่า ค่อยมาซื้อไปทีละหน่อยๆ ญาติโยมเขาช่วยกัน
มาซื้อทีหลังพอเริ่มจะทำโบสถ์ ฝนตกเป็นฝอยเป็นละออง เม็ดสีแดง เป็นฝนโบกขรพรรษ พอวันจะนำพระประธานเข้าอีกเหมือนกัน มีสภาพเหมือนกัน
แต่หลวงพ่อขนมจีนท่านบอกว่า "แกจะทำอะไรอย่าลืมขนมจีนข้านะ" ท่านช่วยอย่าลืมขนมจีน บางทีเราก็ลืม ท่านก็ช่วย ท่านเป็นพระเจ๊กนี่
(***เหตุที่คนเรียกว่าหลวงพ่อขนมจีน เพราะว่าในสมัยที่ท่านยังอยู่ท่านชอบฉันขนมจีนมาก ท่านบอกว่าทานง่าย
เวลาคนไปทำบุญกับท่านก็มักจะนำขนมจีนไปถวายท่านทุกครั้ง จึงเป็นที่มาของฉายาของท่านว่าหลวงพ่อขนมจีน)
ในช่วงแรกๆนั้นโบสถ์วัดท่าซุงจะมีก็เหมือนไม่มีเพราะอยู่ในสภาพที่แทบจะใช้งานอะไรไม่ได้เลย โบสถ์ที่เราเห็นกันในปัจจุบันนั้นได้ถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ในปี
๒๔๗๐ แต่โบสถ์ที่ได้หลังสร้างใหม่นี้จะอยู่อีกฝั่งของถนน เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพราะมีพื้นที่มากกว่าและห่างจากน้ำพอสมควร โดยรอบๆ โบสถ์จะมีศาลามณฑป
อยู่ทั้ง ๔ ด้านรอบโบสถ์ ถ้าดูจากแผนที่นะครับ จะแสดงตำแหน่งของรูปหล่อของพระสงฆ์แต่ละองค์ที่ประจำอยู่ในแต่ละมณฑป
พระราชปรารภ
โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย หนังสือเล่มนี้อาตมาจะบรรยายเกี่ยวกับเรื่องพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อคราวที่พระองค์เสด็จมาทรงบรรจุพระบมสารีริกธาตุในพระอุโบสถหลังใหม่ ของวัดจันทาราม ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
หรือที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจำกันได้ว่า วัดท่าซุงนั่นเอง
คำว่าวัดท่าซุงนี้เป็นชื่อเรียกกันมาแต่เดิม การที่จะมาเปลี่ยนเป็นวัดจันทารามเมื่อไร่นี่ อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน
เป็นอันว่าคำว่าวัดท่าซุงอยู่ในความทรงจำของญาติโยมพุทธบริษัท ฉะนั้น ในกาลต่อไป อาตมาจะใช้คำว่า วัดท่าซุง เพราะว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทรู้จักกันดี
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วทรงเททองหล่อรูปหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ซึ่งเป็นบูรพาจารย์ของอาตมา เป็นผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง ที่อาตมามีความรู้มาแนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ก็เพราะอาศัยหลวงพ่อปานเป็นต้นเหตุ เป็นปัจจัย
สั่งสอนอาตมาให้มีความรู้ในพระพุทธศาสนาตามสมควรแก่ปัญญาที่จะทรงไว้ได้
แต่ความจริงความรู้ที่หลวงพ่อปานให้อาตมานั้น มากมายยิ่งกว่าที่อาตมาทรงอยู่นี้มาก แต่ทว่าสำหรับอาตมาเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส
จึงไม่สามารถจะจดจำคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ที่หลวงพ่อปานสอนได้หมด มีเหลือไว้บ้างประมาณ ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ไว้นำมาแจกจ่ายแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จมาในงานนี้คือวันที่ ๑๐ สิงหาคม
พ.ศ.๒๕๑๘ เวลาที่ถึงประมาณ ๑๕ นาฬิกา ๑๕ นาที ตามหมายกำหนดการเดิม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาโดยเครื่องบิน มาลงที่กองบิน ๔ ตาคลี
แล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายจังหวัด บรรดาข้าราชการและบรรดาท่านพุทธบริษัท ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการก่อสร้าง มีท่าน พล ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ เป็นประธาน
จะไปรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่สนามบินตาคลี เวลาที่จะกำหนดถึงในหมายกำหนดการแรกกำหนดว่าเวลา ๑๖ นาฬิกา
แล้วต่อมาหมายกำหนดการได้เปลี่ยนไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จโดยสถลมารค คือทางรถยนต์ มาถึงวัดท่าซุงประมาณเวลา ๑๕ นาฬิกา ๓๐ นาที
ครั้นวันเสด็จจริง ๆ ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จถึงวัดท่าซุงก่อนเวลา ๑๕ นาที
แต่ความมหัศจรรย์พร้อมไปด้วยอำนาจบุญบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถ้าจะกล่าวกันไปก็ต้องถือว่า เป็นเรื่องปกติที่พระองค์เสด็จ นั่นก็คือ
ฝนตกก่อนที่พระองค์เสด็จถึงประมาณ ๑๕ นาที
ปรากฏว่าบรรดาประชาชนทั้งหลายหลั่งไหลกันมามาก เต็มไปทั้งบริเวณวัด แน่นขนัดติดต่อกันไปถึงจังหวัดอุทัยธานี ระยะทางตอนนี้ก็ประมาณ ๖ กิโลเมตรเศษ ๆ
สองข้างทางเนืองแน่นไปด้วยประชาชน แล้วฝนก็ตกลงมาประมาณสัก ๕ นาที หรือ ๑๐ นาที ในระยะแรก ปรากฏว่าฝนตกลงมาเม็ดใหญ่มาก แล้วบรรดาท่านพุทธบริษัท
และพสกนิกรของพระองค์ที่มีความจงรักภักดี พากันยืนรอเฝ้าพระองค์ในที่ต่าง ๆ แน่นขนัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตวัด ในบริเวณที่สร้างใหม่ เกือบจะหาที่ว่างไม่ได้ บุคคลทั้งหลายที่นั่งไปแล้วตั้งแต่เวลาเที่ยง ใกล้ลาดพระบาทคือ
ทางเสด็จพระราชดำเนิน นั่งอยู่ตั้งแต่เวลาเที่ยงวันแน่นไปหมดทั่วบริเวณ ไม่มีใครยอมลุกขึ้น อาตมาได้ไปเตือนว่า นี่ เวลาเพิ่งเที่ยงวัด
ขอท่านทั้งหลายพักผ่อนกันเสียก่อน ประเดี๋ยวแดดจะร้อน หรือว่าฝนจะตก
แต่บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้น ท่านบอกว่า ท่านคอยเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยมีความยินดีมากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ
ท่านบอกว่าในชีวิตของท่านเป็นของหายากอย่างยิ่ง ที่จะได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แดดจะร้อนฝนจะตกท่านไม่หนักใจ
นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าความดี ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่บรรดาพสกนิกรของพระองค์
จะเสด็จไปทางไหนก็มีคนเนืองแน่นไปหมด เรื่องที่ถือกันเป็นธรรมดานั้นก็คือฝน ฝนต้องตก แต่เป็นเหตุน่าอัศจรรย์ ขณะที่ฝนตกลงมาในคราวนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท
ถ้าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแล้ว คนที่ยืนอยู่กลางแจ้งจะเปียกโชกไปหมด พอฝนตกใหญ่ประมาณสัก ๑๐ นาที หลังจากนั้นฝนก็ตกเป็นละอองคล้ายฝนโบกขรพรรษ
นี่อาตมาใช้คำว่าคล้าย "ฝนโบกขรพรรษ" ที่องค์สมเด็จพระสวัสดิโสภาคเคยแสดงพระธรรมเทศนาไว้ ในเรื่องพระเวสสันดรชาดกว่า ฝนโบกขรพรรษนี้
ถ้าคนต้องการให้เปียกมาก็จะเปียกมาก ต้องการให้เปียกน้อยก็จะเปียกน้อย ไม่ต้องการให้เปียกเลย ก็ไม่เปียก
นี่ฝนวันนั้น ในตอนต้นตกหนักเม็ดใหญ่แล้วต่อมาก็ตกเป็นฝอย อาตมาคิดว่าบรรดาพสกนิกรทั้งหลาย
ที่มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมีความลำบากมาก เพราะว่าเครื่องแต่งตัวจะเปียกกันไปหมด แต่ว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์
บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ฝนตกเม็ดใหญ่หนามากประมาณ ๑๐ นาที พอฝนหายแล้ว อาตมาก็ออกไปเดินตรวจ ไปเยี่ยมประชาชน ว่าเปียกกันมากไหม ลำบากมากไหม
ท่านทั้งหลายพวกนั้นก็ยกมือไหว้ ชี้ให้ดูที่เสื้อและผ้านุ่ง ก็ปรากฏว่ามีเม็ดฝนตกถูกผ้าของท่านเป็นลาย ๆ ไปนิดเดียวเท่านั้น
นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์อันหนึ่ง ต้องถือว่าเป็นบุญญาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตลอดจนพระเจ้าลูกเธอทั้ง ๒ พระองค์
นี่เป็นเหตุอัศจรรย์
แต่เรื่องนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เรื่องฝนตกหรือไม่ตก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จไปไหนนี่ มีเหตุอัศจรรย์ปรากฏหลายวาระ
เรียกว่าทุกวาระก็ได้เพราะวันนั้นทั้งวันปรากฏว่าไม่มีแสงแดดจะแผดออกมาให้ร้อนบรรดาท่านพุทธบริษัทเลย มีอากาศครึ้มเย็นสบายตลอดวัน
ถ้าหากว่าแดดร้อนจ้าลงมาเมื่อไร บรรดาพสกนิกรทั้งหลายจะมีความลำบากมาก เพราะว่าทุกท่านมีการเบียดเสียดยัดเยียดซึ่งกันและกัน ไม่ใช่นั่งแบบสบาย ๆ
หรือไม่ใช่ยืนแบบสบาย ๆ
นี่จัดว่าเป็นเหตุอัศจรรย์อันหนึ่งที่อาตมากล่าวว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ เพราะว่าอาตมาไม่เคยเห็นใครที่ไปไหนมีฝนตกหรือฝนไม่ตก
เท่าที่ทราบข่าวว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระบรมราชินีนาถเสด็จเยี่ยมชาวเขา บางคราวก็ปรากฏว่ามีหมอกจัด เครื่องบินอาจจะลงไม่ได้
แต่ว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไป ปรากฏว่าหมอกจางหายไป นี่ก็เป็นเหตุมหัศจรรย์ หากจะไม่กล่าวว่าเป็นเหตุอัศจรรย์
อาตมาก็ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร เพราะอาตมาเคยไปไหน ถ้าฝนจะตกมันก็ตก ห้ามฝนไม่ได้ ถ้าฝนจะไม่ตก จะทำยังไงฝนก็ไม่ตก
นี่อาตมาเอาตัวของอาตมาเข้าไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่า จะเอาบุญบารมีไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะเอาบุญบารมีไปเทียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง ไม่มีความประสงค์เช่นนั้น มีความประสงค์แต่เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ
ต้องการให้บรรดาท่านพุทธบริษัททราบว่า คนที่มีบุญญาธิการกับคนอย่างอาตมาไม่เหมือนกัน แต่ว่าสำหรับบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
จะมีความรู้สึกเป็นประการใดนั้นอาตมาไม่ทราบ
แต่การเสด็จมาของพระเจ้าอยู่หัวในคราวนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ปรากฏว่ามีคนเขาสงสัยกันมากว่า อาตมานั้นมีดีอะไร
ทำไมจึงเอาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาได้ การคิดอย่างนี้ เป็นเรื่องคิดมากเกินไป บรรดาท่านพุทธบริษัท
การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จหรือไม่เสด็จ ไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความชั่วของอาตมา ต้องถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์เองต่างหาก
เพราะวันเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ ใกล้กับวันเวลาที่พระองค์จะเสด็จไปประทับ ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ นั่นก็คือจะเสด็จไปภาคใต้
จังหวัดนราธิวาส เพราะเป็นวันใกล้กับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ นี่ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาในคราวนี้นั้น เขาจึงพากันโจษขานกันมากว่า เป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างยิ่ง
แล้วก็การเสด็จมา ถ้าจะกล่าวว่ามาเพราะอาตมาถวายพระพรเชิญเสด็จ ก็คงไม่ใช่ เรื่องนี้ไม่ใช่ ต้องยกความดีให้แก่คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ และท่าน พล.
ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ สองสามีภรรยา พร้อมไปด้วยคณะศิษยานุศิษย์มีมากท่านด้วยกัน ที่มีความพร้อมใจกันตลอดจนจ้าวนายหลายพระองค์
ที่ต่างคนต่างร่วมใจกันกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอัญเชิญให้เสด็จมา ปรารถนาจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หล่อรูปหล่อหลวงพ่อปาน และยกช่อฟ้า
แม้แต่งานฝังลูกนิมิต
เพราะว่าสถานที่สร้างขึ้นมานี่ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหมดที่เป็นข้าราชบริพารและพระราชวงศ์
ประสงค์จะร่วมโดยเสด็จพระราชกุศลกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นการเพิ่มพูนพระบารมีของพระองค์ ฉะนั้น
ทุกคนจึงตกลงใจกันกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ โดย คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ ภรรยาท่าน พล.ร.อ. จิตต์
สังขดุล
คนนี้ ต้องเรียกว่า หม่อมราชวงศ์ คุณหญิงสุวรรณาภา เพราะท่านเป็นหม่อมราชวงศ์ ได้เข้ากราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ
พระองค์ก็ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ รับว่าจะเสด็จ แล้วทรงรับรองจะกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และในกาลต่อมา พล.ร.อ.จิตย์ สังขดุล
ก็กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกสายหนึ่ง นี่การเสด็จมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องถือว่าเป็นคุณความดีของคณะท่านพุทธบริษัท
ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการจัดสร้างวัดคราวนี้เพราะว่าทุกคนมีหุ้นส่วนในการก่อสร้างทั้งหมด.
การก่อสร้างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท ใช้เวลามา ๑ ปี กับ ๔ เดือน
แต่ความจริงวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาถึงเป็นเวลา ๑ ปี กับ ๓ เดือนเศษ ๆ ซื้อที่ราคาแสนเศษ
งานก่อสร้างทั้งหมดสิ้นเงินไปทั้งหมดถึงวันนั้น คือ จ่ายเงินสดไปแล้วนะ ยังเป็นหนี้เขาต่างหาก จ่ายเงินสดไปแล้ว ๔ ล้าน ๕ แสนบาทเศษ
แล้วยังเป็นหนี้เขาอีกล้านบาทเศษ และยังจะสร้างต่อไปอีกประมาณ 3 ล้านบาทเศษ ๆ
นี่อาศัยทุนรอนที่บรรดาท่านพุทธบริษัทพากันกันบำเพ็ญกุศล เนื่องในการก่อสร้างโดยตรงบ้าง ถวายแก่อาตมาเป็นส่วนตัวบ้าง
จตุปัจจัยที่บรรดาท่านทั้งหลายถวายเป็นส่วนตัว อาตมาเห็นจะใช้ปีหนึ่งไม่เกิน ๑ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็รามเข้าไว้ในการก่อสร้างทั้งหมด อย่างนี้มันสบายใจ
ทีนี้..การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จในคราวนี้ เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของบุคคลบางท่าน และบางพวก บางคณะ ที่มาพูดให้ฟังว่า
การกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ทำไปโดยลำดับ ไม่ผ่านอำเภอ ไม่ผ่านจังหวัด ไม่ผ่านกรมกองและกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ เขาหาว่าทำลัดตัดหน้า
แถมมาโกรธอาตมาเสียด้วยว่าตัดหน้าหน่วยราชการ
อันนี้ต้องขอเรียนให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน และท่านที่มีความเข้าใจอย่างนั้นโปรดทราบว่า
การกราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นเรื่องของคณะศิษยานุศิษย์เขาจัดทำกัน
แล้วการกราบบังคมทูลอัญเชิญมาคราวนี้ ก็เป็นการกราบบังคมทูลอัญเชิญเป็นการส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวข้องกับทางราชการ ทางราชการส่วนจังหวัดนั่นแหละ
อาศัยการกราบบังคมทูลเชิญของบรรดาท่านพุทธบริษัท ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเยี่ยมเยียนจังหวัดด้วย
แล้วก็จัดลูกเสือชาวบ้าน แถมมีข่าวพิเศษอีก ว่าใครจะโดยเสด็จพระราชกุศลจงอย่ามารวมกันที่วัด เพราะที่วัดนี้ ถ้ามอบเงินให้แก่วัดไม่ถึงแสนบาท
ทางวัดไม่รับ ต้องมอบเงินเป็นแสน ๆ บาท ทางวัดจึงจะรับ ถ้ามีเงินน้อยให้ไปช่วยที่อื่น นี่อาตมาได้ข่าวมาจาคนที่เขาจะร่วมโดยเสด็จพระราชกุศล
แล้วก็มีบุคคลอีกหลายคนเตรียมสตางค์มาแล้วจะร่วมโดยเสด็จพระราชกุศล เตรียมสตางค์มาแล้ว แต่ไม่เห็นว่าทางวัดจัดอะไรไว้
อันนี้อาตมาเองก็ต้องขออภัยต่อบรรดาญาติโยมพุทธบริษัท วันนั้นคิดไม่ถึงจริง ๆ คือว่า การที่ไม่จัดไว้ก็เนื่องจากเกรงใจบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย
จะหาว่าเป็นการรบกวนประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง คิดว่าท่านทั้งหลายจะเห็นได้ว่า การราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า
ฯ พระบรมราชินีนาถ แล้วก็พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์มาคราวนี้ เลยฉวยโอกาสเรี่ยไรเงินโดยเสด็จพระราชกุศล
อันนี้อาตมาคิดมากไปเอง ก็ต้องขออภัยบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายที่เตรียมเงินมาแล้ว แต่ทว่าไม่มีโอกาสได้บำเพ็ญกุศลร่วมด้วย อาตมาก็ต้องขอรับผิด
จัดว่าเป็นความผิดอย่างหนักที่ทำลายศรัทธาของบรรดาท่านพุทธบริษัทที่มีเจตนา ทั้งนี้เพราะว่า หลังจากงานแล้ว มีบรรดาท่านพุทธบริษัทหลายท่านด้วยกัน
ควรจะนับว่าเป็นสิบ ๆ ท่าน ท่านบอกว่าฉันกำสตางค์มาแล้ว ฉันเอาสตางค์ใส่กระเป๋ามาแล้ว ตั้งใจจะรวมกับพวกที่โดยเสด็จพระราชกุศล
แต่ก็เดินหาสถานที่ตั้งรับไม่ได้ เลยต้องหอบเงินกลับบ้าน
อันนี้อาตมาถือว่า เป็นความผิดใหญ่ของอาตมา ถ้าบังเอิญโอกาสหน้าพึงมี บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า
อาตมาก็จะขอตั้งที่ไว้เป็นที่รวบรับโดยเสด็จพระราชกุศล สำหรับคราวนี้ ต้องขอประทานอภัยอย่างหนักที่ทำความผิดไป
สร้างความเข้าใจผิดให้แก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย แล้วเป็นการทำลายกำลังใจของท่านพุทธบริษัทที่มีศรัทธา
สำหรับการเสด็จมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเริ่มต้นเห็นจะพอกันเพียงเท่านี้
ต่อแต่นี้ไปขอเข้าเรื่องกันใหม่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินถึงเขตวัดจันทารามหรือวัดท่าซุงแล้ว
ก็ได้เสด็จเข้าไปในพระอุโบสถเก่า ซึ่งมีเจ้าอาวาสกับคณะกรรมการวัดรับรองอยู่ที่นั่น
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนมัสการพระพุทธปฏิมาพระประธานในพระอุโบสถเก่าแล้ว ได้ถวายผ้าไตรแก่เจ้าอาวาส ความจริงตอนนี้อาตมาไม่เห็น
เป็นแต่เพียงข่าว มีข่าวบอกว่า เจ้าอาวาสก็ถวายของเป็นที่ระลึกแด่พระองค์
หลังจากนั้นพระองค์ก็เสด็จพระราชดำเนินมาที่พระอุโบสถใหม่ เจ้าหน้าที่สำหรับกั้นสัปทน หรือร่มอะไรก็ตาม อาตมาเรียกไม่ถูก
ราชาศัพท์อาตมาไม่ทราบเขาเรียกอะไร เรียกกันตามภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าสัปทน หรือว่าร่ม ไม่ต้องกางให้ลำบาก
พระองค์เสด็จพระราชดำเนินพร้อมกับสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ มีทหารกองเกียรติยศมหาดเล็กเดินข้างหน้า
วันนั้น อาตมาก็ต้องขอบใจบรรดาเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร และบรรดาประชาชนทั้งหมด ที่มีจิตใจพร้อมเพรียงกันถวายความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ มาทราบภายหลังว่า เจ้าหน้าที่ทหารมาจากเชียงราย ๑ กองพัน แล้วมาจากนครสวรรค์ ตาคลี แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ก็มีท่านผู้บังคับการเขค ๖ รองผู้บังคับการ ผู้กำกับและเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ไม่ทราบว่ามีจำนวนเท่าไรมากมายด้วยกัน
ฝ่ายทหารได้ทราบว่ามาจากกรุงเทพ ฯ ก็มี หน่วยรักษาความปลอดภัยหรือศูนย์รักษาความปลอดภัยก็มามาก และบรรดาประชาชนทั้งหลายที่คอยเฝ้ารับเสด็จ
ก็แสดงความจงรักภักดีเป็นพิเศษ ที่อาตมา ว่า เป็นพิเศษ ก็เพราะว่ามีความเรียบร้อยดีเป็นอย่างยิ่ง การแสดงออกของบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงคราวนี้
อาตมาปลื้มใจมาก ทราบข่าวจากคุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลย์ว่า
วันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนาง ฯ เจ้าพระบรมราชินีนาถจะเสด็จขึ้นเครื่องบินไปประทับที่จังหวัดนราธิวาส คือ
พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ หรือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ทราบ
เห็นจะเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสกับคุณจิตต์ว่า วันนั้นเรียบร้อยดีจริงนะ นี่..ทรงชมเชย
ทั้งนี้เพราะว่าเมื่อเสด็จในที่บางแห่ง บรรดาประชาชนจะไม่เรียบร้อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินผ่านไปก็มักจะมุงกันเข้ามา
หรือดีไม่ดีก็ล้อมทั้งหน้าทั้งหลัง ทำความลำบากแก่เจ้าหน้าที่ แต่การเสด็จคราวนี้อย่างนั้นไม่มี อาตมาต้องขอยกยอดความดีให้แก่บรรดาท่านพุทธบริษัท
ที่มีความเคารพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และมีความเคารพในสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และยกความดีให้ตำรวจทหาร
และบรรดาข้าราชการทั้งหมดที่ทุกคนมีความเหน็ดเหนื่อยเป็นกรณีพิเศษ จัดงานด้านนี้ให้เป็นไปด้วยดี ถึงกับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ
พระบรมราชินีนาถ ออกพระโอษฐ์ชมอย่างนั้น
ที่อาตมาใช้ควบทั้งสองพระองค์เพราะอาตมาไม่แน่ใจว่าพระองค์ตรัสว่า คุณจิตต์ วันนั้นเรียบร้อยดีจริงนะ นี่อาตมาจำไม่ได้ว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นผู้ตรัสกับ พลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ และสิ่งที่น่าปลื้มใจอย่างหนึ่งก็คือ
สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงตรัสกับ คุณหญิงสุวรรณาภา สังขดุลว่า สุวรรณาภา วันที่ฉันไปไหว้พระสุปฏิปันโนกลับมานั้น
ความจริงที่ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จมาในวันนั้น พระองค์ประชวรเป็นไข้หวัด ตามข่าวที่เขาแจ้งมาได้ความว่า หมอแนะนำว่าไม่ควรจะเสด็จ
เพราะยังประชวรอยู่ นี่เป็นข่าว ถ้าไม่จริงต้องขอประทานอภัย เพราะข่าวบอกว่ายังไง อาตมาก็ว่าไปตามนั้น
แต่ว่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ตรัสว่า วัดนี้พระองค์ตั้งพระทัยไว้นานแล้วว่าจะไป วันนี้ถึงยังไง ๆ จะป่วยไข้ไม่สบายแบบไหนก็ต้องไป
เพราะตั้งใจว่าจะไปแล้ว หมอจึงได้ถวายพระโอสถมาเพื่อเสวยระหว่างทาง ฉันกลับมาแล้วไม่ต้องกินยา ไม่ต้องฉีดยา ฉันหายจากไข้แล้ว
นี่เป็นข่าวที่เขาบอกมาอย่างนี้ แต่ว่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงมีพระราชเสาวนีย์แบบนี้หรือไม่อาตมาไม่ทราบ
ขอแจ้งแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทว่าฟังมาจากข่าว ถ้าข่าวนี้เป็นข่าวเท็จ อาตมาก็เห็นจะไม่ขอเท็จด้วย เพราะข่าวเท็จฟังมายังไงก็ว่าไปตามนั้น
ถ้าข่าวนี้เป็นข่าวจริงก็เป็นที่น่าปลื้มใจ
เอาละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ตอนต้นนี้เห็นจะเป็นเรื่องอารัมบทพจนคาถา ความเป็นมา คือ การเสด็จมาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อาตมาต้องขออภัยบรรดาท่านผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย ที่ปรารภออกมาเป็นข่าวให้ถึงโสตประสาทของอาตมาว่า อาตมานี้ถวายพระพรเชิญเสด็จ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นไปตามลำดับเป็นการข้ามหน้า ตัดหน้า แล้วก็เป็นการอวดดีเกินไปนั้น
อาตมาต้องขออภัยท่าน ความจริงถ้าจะถวายพระพรเชิญเสด็จไปตามลำดับก็ไปไม่ไหว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของอาตมา
เป็นพระมหากรุณาธิคุรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เสด็จเองแล้วการกราบบังคมทูลก็เป็นเรื่องของคณะศิษยานุศิษย์ ไม่ใช่เรื่องของอาตมา
ถ้าความดีอันใดจะพึงมีแล้ว ก็ต้องขอยกให้แก่ผุ้เข้ากราบบังคมทูลทุกท่าน
เอาละ สำหรับเบื้องต้น ก็ขอสรุปจบลงแต่เพียงเท่านี้ เรายังเข้าเรื่องกันไม่ได้ คอยฟังตอนสองต่อไป
บทที่ ๒
ตอนนี้เป็นตอน ที่ ๒ เป็นตอนที่จะกล่าวถึงพระราชปรารถตอนแรก เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินจากพระอุโบสถเก่าของวัดท่าซุง
โดยมีเจ้าอาวาสเป็นผู้นำเสด็จสู่ศาลาที่ประทับ ประทับเรียบร้อยแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดเบิกข้าราชการเข้าเฝ้า ตามหมายกำหนดการ แต่สำหรับอาตมาเองน่ะ
เวลานั้นไม่ได้อยู่ที่พลับพลาที่ประทับ เพราะตามหมายกำหนดการเขาบอกว่า อาตมาคอยรับเสด็จอยู่ที่พระอุโบสถใหม่
ที่เรียกว่าพระอุโบสถใหม่ก็เพราะว่า ทำไว้เพื่อเป็นพระอุโบสถ ในที่นั้นก็มีพระสุปฏิปันโนคอยเฝ้ารับเสด็จอยู่ รวมด้วยกันทั้งหมดเป็น ๙ รูป
ทั้งอาตมา
เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดเบิกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าเฝ้าแล้ว ตอนนั้น พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ก็กราบบังคมทูลเรื่องการก่อสร้าง ฉะนั้น
หากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทอยากจะทราบความเป็นมาในการที่อาตมามาอยู่ที่วัดท่าซุงนี้เพราะเหตุใด ก็ขอได้โปรดอ่านคำกราบบังคมทูล ของ พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุล
ซึ่งเป็นการถวายรายงานเรื่องการก่อสร้างเพราะว่าท่านเหล่านั้นท่านเป็นผู้จัดหาเงินมาเพื่อการก่อสร้าง อาตมามีหน้าที่อย่างเดียว คือคุมงานเท่านั้น
การก่อสร้างนี้เป็นที่ไม่ถูกใจของบุคคลอยู่มาก เพราะการทำไปแล้วไม่แบ่งเงินให้ใช้ ข้อนั้น อาตมาทำไม่ได้หรอก บรรดาท่านพุทธบริษัท
เพราะว่าครูบาอาจารย์ไม่ได้สอนมาแบบนั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนแบบนั้น สอนอย่างเดียวว่าให้พระเป็นผู้นำในการละ
ไม่ใช่ให้พระเป็นผู้นำในการสะสม ถ้าอาตมามาเป็นผู้สะสมเสียเองแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วจะลงโทษ ลงโทษว่าเป็นเดียรถีย์ ไม่ใช่สาวกขององค์สมเด็จพระมหามุนี
อาตมาทำไม่ได้
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับทราบคำกราบบังคมทูล ของ พล.ร.อ.จิตต์ สังขดุลย์ ปลัดกระทรวงกลาโหมแล้ว พระองค์จะทรงตรัสอย่างไรบ้างก็ไม่ทราบ
เพราะในสถานที่นั้นมีพระราชาคณะหลายท่าน ท่านเจ้าคุณพรหมมุนี วัดราชผาติการาม แล้วก็มีท่านเจ้าคุณธรรมราชานุวัตร วัดสุวรรณาราม ท่านเจ้าคุณเทพ ๒ เทพ
วัดประยุรวงศ์และวัดอนงคาราม (จำไม่ได้ว่าเทพมีสร้อยว่ายังไง)
แล้วก็ท่านเจ้าคุณเทพ เจ้าคณะตรวจการภาค ท่านเจ้าคุณราช รองเจ้าคุณตรวจการภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ ครบหรือไม่ครบก็ไม่ทราบ จำไม่ค่อยได้ถนัด
เป็นอันว่า พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระวันรัตก็ดี ท่านเจ้าคุณธรรมปัญญาบดี วัดสามพระยาก็ดี มีกรุณาธิคุณกับอาตมาเป็นล้นพ้น วันที่ไปนมัสการท่าน
ท่านก็ทำตนของท่านเหมือนกับว่า อาตมาเป็นลูกที่รักของท่าน พอไปนมัสการท่าน ท่านเจ้าคุณวัดสามพระยา ท่านบอกว่าทำไป ๆ อย่าหยุด สร้างเรื่อยไป จงอย่าหยุด
นี่เป็นกำลังใจแก่อาตมาเป็นอย่างมาก
มีคนเขาพูดกัน พระก็พูดกันว่าสร้างวัดที่นี้ผิดระเบียบ ผิดพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ สร้างวัดชิดวัด แต่ว่าท่านที่พูดทั้งหลายนั้นไม่ได้คิด
ไม่ได้ฟัง ว่าท่านเจ้าภาพน่ะ เขาสร้างเพื่อเป็นการขยายเขตวัด ถวายไว้ในพระพุทธสาสนา นี่มันไม่มีอะไรจะผิด แล้วก็ท่านพูดกันไปได้
เพราะอาศัยที่ว่าไม่เคยดูพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ ไม่เคยศึกษาพระธรรมวินัย ไม่เคยดูกฎมหาเถรสมาคม ไม่นิยม คือ
ไม่เคารพในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวร บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะว่าพระพุทธเจ้าเคยแนะนำให้บรรดาพุทธบริษัท คือ พุทธสาวก เป็นผู้เจริญศรัทธา แนะนำให้ชาวบ้านเป็นผู้เสียสละมีศรัทธาสร้างความดี
แล้วนี่พวกชาวบ้านเขามีศรัทธาสร้างความดี ทุ่มเทเงินมาเป็นจำนวนล้าน ฝั่งวัดเก่าก็สร้างหมดไปประมาร ๔ ล้านเศษ ฝั่งใหม่ที่จะสร้างต่อไปอีกถึง ๑๐ ล้านบาท
แต่ท่านไม่เห็นความดีของเขา คือถ้าเราจะไปดูตามพระวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ท่านพวกนี้ไม่ได้แสดงความเคารพในพระพุทธเจ้าเลย
บางถึงกับพูดออกมาว่าให้มันฝังลูกนิมิตให้ได้ทีเถอะ
นี่ วาจาอย่างนี้ไม่น่าจะออกมาจากปากของพระ นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ฉะนั้น เรื่องของพระจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ตรงกับพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาจากพลับพลาที่ประทับเข้าสู่พระอุโบสถใหม่ อาตมาขอให้นามว่าพระอุโบสถ
ถึงแม้ว่ายังไม่มีการฝังลูกนิมิต สวดพัทธสีมาก็ตาม แต่ในเมื่อชาวบ้านเขามีความปรารถนาอย่างนั้น ตั้งใจอย่างนั้นแล้ว มันต้องเป็นได้ วิธีจะเป็นมีอยู่ ๓
ประการด้วยกัน คือ
๑. มหานิกายรับรวมเข้าไว้ เป็นวัดมหานิกาย
๒. ถ้ามหานิกายไม่รับ ก็ถวายเป็นวัดธรรมยุต
๓. ถ้าพระธรรมยุตไม่รับก็ประกาศตั้งนิกายใหม่ขึ้นมาเลย อันนี้ไม่มีพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ห้ามไว้ ทำได้
เขาจะทำเป็นวัดของเขาโดยไม่มอบแก่คณะสงฆ์คณะใดคณะหนี่งก็ทำได้
ถ้าพระที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ไม่ยอมเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่ยอมเจริญศรัทธา เขาทำได้แน่ เราจะเอากฎหมายอะไรมาบังคับเขา
เขาสร้างที่บำเพ็ญกุศลของเขา เขาทำได้สบาย
นี่ถ้าพวกเราไม่โง่เสียอย่างเดียว เรื่องร้าย ข่าวร้าย มันก็จะไม่บังเกิดขึ้น ไอ้ความไม่ดีอย่างนี้ทราบไปถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โปรดทราบว่าเวลาพระองค์ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้น ดูจริยาของพระองค์ มีความละมุนละไมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเสด็จเข้ามายังศาลาที่ประทับ ทรงรับศีล
สมเด็จพระราชาคณะถวายศีล พระองค์ทรงถวายเครื่องไทยธรรมแล้ว พระสงฆ์ถวายพระพร สมเด็จพระราชาคณะ คือ สมเด็จพระวันรัตถวายอดิเรก เสร็จแล้วถวายพระพรต่อ
พระองค์แสดงการนอบน้อมเป็นกรณีพิเศษ
ที่อาตมาว่าพิเศษนี้ ความจริงอาตมาว่าเป็นปกติของพระองค์ แต่อาการอย่างนั้นที่อาตมาจะได้เห็นคนธรรมดามาแสดงกับอาตมานั้นน่ะ มันน้อยเต็มที
มีแต่เพียงว่ามีแง่งมีบ่านิด ๆ หน่อย ๆ ก็ทำเต๊ะท่า ตอนก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ เวลานั้นกำลังปรับที่รับเสด็จ ปรากฏว่ามีคน ๆ
หนึ่งเขายืนเก้ ๆ กัง ๆ แล้วคุณเกษม สุวินทวงศ์ อดีตช่างใหญ่กรมทาง ได้ไปถามเขาว่า เขามาธุระอะไร เขารายงานตัวว่าเขาเป็นอะไรใหญ่โตเหลือเกิน
แล้วก็มาหาอาตมา มายืนเต๊ะท่า ยืนคำหน้า
อาตมานั่งอยู่ พูดท่าอย่างผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่มาก แล้ววาจาที่ท่านกล่าวมา อาตมาไม่เห็นมันเป็นสาระอะไร เพราะงานเขาทำกันจนเสร็จแล้ว จึงมาบอกว่าจะมาช่วย
ความจริงถ้ามีงบประมาณก็น่าจะบอกกันก่อน นี่ทางวัดลงทุนไปตั้งหลายหมื่นแล้ว แล้วมาบอกว่า จะเอานั่นมาช่วย เอานี่มาช่วย มันไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร
นี่เราดูจริยาของคนประเภทนี้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเทียบกันไม่ได้ ถ้าเป็นข้าราชการแล้ว
ก็ควรจะต้องปฏิบัติตามพระราชจริยาวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะคำว่าข้าราชการ แปลว่า ทำงานเนื่องด้วยพระราชา มีพระราชาเป็นประมุข
เมื่อพระราชามีพระราชจริยาวัตรอ่อนน้อม ละมุนละไม ข้าราชการชั้นผู้น้อยและชั้นผู้ใหญ่ ก็ควรจะปฏิบัติตาม
แต่ว่านี่พระราชาท่านนอบน้อมละมุนละไม แต่ทว่าท่านผู้นั้นเป็นใครอาตมาไม่ทราบ ไม่รู้ว่าเป็นข้าราชการหรือเปล่า
ท่าท่านใหญ่ผิดปกติเข้าใจว่าคงจะถือศาสนาอื่น ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ว่าพวกเราคริสตศาสนาที่เขามาหาอาตมาก็เห็นเขาดีกันทุกคน บางทีพวกอิสลามเขามาเขาก็ดีทุกคน
อย่างไปปักษ์ใต้พบชาวอิสลาม นี่เขาก็นอบน้อมดี มีจริยาดี แต่ท่านผู้นี้มีศาสนาอะไร อาตมาไม่ทราบ ถ้าจะเดา ๆก็คงเป็นศาสนาเบ่ง ตามใจท่าน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ก็ทรงถวายผ้าไตรแก่พระสงฆ์ทั้งหลาย พระสุปฏิปันโน คือ มีเจ้าคุณธรรมวราลังการ
วัดบุปผารามเป็นหัวหน้า แล้วมีหลวงพ่อชุ่ม วัดวังมุย (วัดชัยมงคล) หลวงพ่อคำแสนเล็ก หลวงพ่อคำแสนใหญ่ แห่งจังหวัดเชียงใหม่ด้วยกัน แล้วก็หลวงพ่อบุดดา
แห่งอำเภอสวรรค์บุรี หลวงพ่อไชยวงศ์ แห่งอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน แล้วก็หลวงน้ามหาอำพัน วัดเทพศิรินทร์ แล้วก็อาตมา นับให้ได้ ๘ องค์ก็แล้วกัน
ถ้าขาดไปละไม่รู้ว่าใครบ้าง นึกชื่อไม่ออก เวลาพูดนี่ไม่ได้อ่านหนังสือ ไม่ได้จดไว้ เป็นอันว่าท่านมาด้วยกัน
เมื่อทรงประเคนของหมดแล้ว ตอนท้ายสุดก็ถึงอาตมา เมื่อประเคนของอาตมาแล้วก็ทรงปรารภ ก่อนที่จะทรงประเคน พลเรือเอก จิตต์ สังขดุลย์ กราบบังคมทูลว่า
องค์นี้ คือ พระมหาวีระ ถาวโร พระองค์ทรงประเคนของด้วยความนอบน้อมทุก ๆ องค์นะ ไม่ใช่เฉพาะอาตมา ดูพระราชจริยาวัตรของพระมหากษัตริย์
บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อาตมารู้สึกปลื้มปิติใจเป็นกรณีพิเศษ ที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้ตรัสไว้ว่า คนที่จะเป็นกษัตริย์นั้น ไม่ใช่เป็นกันได้ทุกคน
ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ได้ต้องบำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว
นี่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตรัสไว้อย่างนี้ ฉะนั้น กษัตริย์จึงจัดเป็นอัจฉริยบุคคลของบุคคลกลุ่มนั้น คือในประเทศนั้น ๆ อัจฉริยะนี่ แปลว่าอัศจรรย์
เป็นผู้มีบุญเป็นอัศจรรย์ เขายกให้ท่านเป็นหัวหน้า รนี่พระองค์ทรงมีพระราชจริยาวัตรละมุนละไมเป็นกรณีพิเศษ เท่าที่อาตมาเห็นมา คือเคยเห็นชาวบ้านนะ
สำหรับพระองค์นั้นเป็นปกติ อาตมาดูภาพถ่าย ภาพยนตร์บ้าง ภาพถ่ายทางจอโทรทัศน์บ้าง ก็ชอบดูภาพที่พระองค์เสด็จไปยับสถานที่ต่าง ๆ แต่ภาพอื่นไม่ชอบดู
ภาพยนตร์กอดกันบ้างจูบกันบ้างนี่ไม่ชอบดู จะนึกว่าดูแล้วแสลงใจก็เปล่า มันเบื่อ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ที่บวชอยู่นานก็เพราะเบื่อเรื่องนี้
เบื่อเต็มที เบื่อบอกไม่ถูก
ตอนนี้พระองค์ทรงปรารภกับอาตมาเป็นวาระแรก อาตมาต้องขออภัยบรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะว่าพระองค์ทรงมีพระราชปรารภ
พระสุรเสียงที่ตรัสออกมาเบามาก แล้วก็ตรัสเร็วมาก อาตมาต้องใช้หูคอยระมัดระวังพระสุรเสียงของพระองค์ ไม่มีเวลาจะจำจำกระแสรับสั่งที่ตรัสกับอาตมา
นี่ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท
ทีนี้การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า อยากจะทราบนักว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสยังไงบ้าง เพราะเวลาที่ตรัส
เจ้าหน้าที่จับเวลาทั้งหมดสองครั้งด้วยกัน ๔๕ นาที อาตมาขอพูดว่า ถ้าพูดตามแบบที่เราพูดกันก็ต้องเอา ๔ คูณ เพราะว่าพระองค์ตรัสเร็ว ต้องแข่งกับเวลา
อาตมาจำได้ว่าพระราชดำรัสที่ตรัสมาครั้งแรก วาระแรก เห็นจะปรารภเรื่องความสามัคคีภายในวัด
ว่าพระองค์ทรงมีความปรารถนาอยากจะเห็นความสามัคคีของพระสงฆ์ ถ้าพระสงฆ์ไม่มีความสามัคคีกันแล้ว บรรดาประชาชนจะแตกเป็น ๒ ฝ่าย
แล้วอีกประการหนึ่งในเขตนี้ก็มีผู้ก่อการร้าย หรืออีกนัยหนึ่ง เรียกว่าบุคคลผู้มีอุดมการณ์คนละฝ่ายกับเราที่จะยุแยงตะแคงแส่ใส่ให้คนในประเทศชาติแตกกัน
มีอยู่มาก นี่ถ้าอาตมาจำไม่ผิด พระราชดำรัสตอนนี้คงเป็นอย่างนี้
ตอนนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทคงจะสงสัย ว่าที่วัดท่าซุงนี้มีการแตกสามัคคีกันด้วยเรื่องอะไร คำว่าแตกสามัคคีนี่ ถ้าจะถามอาตมา อาตมาไม่ทราบเหมือนกัน
สำหรับจิตใจของอาตมาเองนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่เคยคิดว่าจะแตกสามัคคีกับใคร ไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้าอยู่ร่วมกันได้ด้วยธรรมวินัยแล้ว อาตมาอยู่ได้ทั้งนั้น
เว้นไว้แต่ท่านหมู่นั้น และท่านคณะนั้นไม่เคารพในพระธรรมวินัย อันนี้อาตมาอยู่ร่วมด้วยไม่ได้
เพราะอะไร เพราะว่าอาตมาบวชมาเพื่อปรารภพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แล้วอีกประการหนึ่งอาตมาชอบในการเสียสละ
ไม่ชอบในการสะสม แล้วชอบสร้างสรรค์ไม่ชอบทำลาย ถ้าใครชอบทำลาย ชอบสะสม อาตมาอยู่ร่วมไม่ได้
เหตุที่ปรากฏขึ้นมาเป็นข่าวใหญ่ แม้ตอนใกล้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จก็มีหนังสือไปถึงกรมการศาสนา และมีคน ๔ คน ไปหาพลเรือเอกจิตต์
สังขดุลย์ ในทำนองว่าห้ามการยกช่อฟ้า ห้ามการจัดงาน ด้วยประการทั้งปวง แล้วเขาก็จะถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คัดค้านไม่ให้เสด็จ
ในข้อกล่าวหาอาตมานั้น มีอยู่ ๑๐ ข้อ ด้วยกัน พลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ มาอ่านให้ฟัง อาตมาไม่ได้จำ เพราะไม่เป็นสาระ
ถ้าเรื่องนั้นจะยกเป็นคดีก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าหนักใจ
เพราะอะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท คนเราถ้าบริสุทธิ์ใจเสียอย่างเดียว ความหนักใจไม่มีเลย การกล่าวหาประเภทที่หามูลความจริงไม่ได้นี่
ไม่มีอะไรเป็นเรื่อง อาตมาไม่เคยหนักใจ เพราะถูกมามากแล้ว ถ้ารู้ตัว่าบริสุทธิ์ (เพราะว่าบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ เราจะรู้ได้เฉพาะตัวเราเอง)
นี่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องใหญ่
อาตมาเข้าใจว่า มีคนบางพวกคงจะพูดกัน โจษกันจนถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหนังสือนั้นเขาว่าคนในเมืองอุทัยนี้ ๙ ๐
เปอร์เซ็นต์ไม่เลื่อมใสในอาตมา นี่เป็นข้อสำคัญ อาตมาฟังแล้วไม่หนักใจ เลื่อมใสหรือไม่เลื่อมใสก็ไม่สำคัญดูผลงานกันก็แล้วกัน ท่านที่มีคนเลื่อมใสน่ะ
ทำอะไรขึ้นมาได้บ้าง ส้วมยังสร้างไม่เสร็จเลย
ทีนี้ เหตุที่จะมีการแตกแยกกันภายใน อาตมาไม่ถือว่าเป็นการแตกแยก ถือว่าเป็นการแยกออกไป เพราะอาตมาไม่เกี่ยวกับการแยกไป ถ้าแยกไปเองแล้ว จะมาถือว่า
อาตมาสร้างเรื่องให้แยก ทำให้แยก นี่มันไม่ถูก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๕ เดือนกันยายน ปีนั้นอาตมาไปป่วยอยู่ที่อุทัยธานี ที่โรงพยาบาล มีข่าวบอกไปว่า ทางวัด
มีพระกลุ่มหนึ่ง กับบุคคลกลุ่มหนึ่ง แยกออกไปทำบุญในสถานที่ใหม่ แยกตัวออกไป อาตมาฟังแล้วก็บอกว่าปล่อยเขาเถอะ จะไปทางไหนก็ช่าง
เราอยู่กันตามพระธรรมวินัยก็แล้วกัน
พอข่าวแยกตัวออกไปประมาณ ๒ วัน ก็ปรากฏว่ามีรถเรี่ยไรเข้าไปในตลาดอุทัยธานี ประกาศบอกว่าหลวงพ่อจะทำไอ้นั่น หลวงพ่อจะทำไอ้นี่ เขาไปเรี่ยไร
ก็มีเจ้าหน้าที่วิ่งมาบอกว่า หลวงพ่อขอรับ มีรถจากวัดท่าซุงวิ่งเข้าไปในเมืองมาเรี่ยไร เขาบอกว่าหลวงพ่อจะทำอย่างนั้น จะสร้างอย่างนี้ ก็เลยบอกว่า
อันนี้อาตมาบอกแล้วว่า การก่อสร้างนี่ไม่มีการเรี่ยไร จะใช้คนเดินไปเรี่ยไรก็ตาม เอารถไปเรี่ยไรก็ตาม ลงเรือไปก็ตาม แม้แต่แจกฎีกาเฉพาะอย่างก็ตาม
ไม่มีการเรี่ยไร ให้บรรดาพุทธบริษัทที่จะมาทำ ทำด้วยความตั้งใจจริงเท่านั้น
ฉะนั้นการเรี่ยไร ถ้าเกิดขึ้นละก็ ไม่ใช่เรื่องของอาตมา นี่อาตมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลจะใช้ใคร ก็ให้ท่านผู้นั้นไปดูว่า ที่ใช้คำว่าหลวงพ่อนั่น
มีใครนั่งมาในนั้นบ้าง พวกนั้นก็วิ่งไปดูที่รถก็ปรากฏว่าไม่ใช่อาตมา (เขาเรียกกันว่าหลวงพ่อ) แต่ว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าใจกันว่าอาตมา
แล้วต่อมาก็ปรากฏว่าคณะนั้นมีการปิดทางหลังวัด เรื่ยไรรถที่ผ่านไปผ่านมาอีก แล้วก็เรี่ยไรกันตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ จนกระทั่งถึงเวลานี้ ก็ไม่เห็นนะมีอะไรดีขึ้น
ตั้งแต่แยกออกไปจนกระทั่งปัจจุบัน อาตมาสร้างไปประมาณ ๖ ๗ ล้านบาทแล้ว คณะที่ออกทำการเรี่ยไรก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
แล้วท่านที่ลงชื่อฟ้องร้องไปยังกรมศาสนา หรือที่พลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ถูกขู่ว่าจะทำการถวายฎีกา ท่านผู้นั้นก็คืออดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุง
ใครอยากจะทราบชื่อ ก็ให้พลเรือเอกจิตต์ สังขดุลย์ เอาสำเนาหนังสือฉบับนั้นลงตีพิมพ์ก็แล้วกัน อาตมาไม่ทราบว่าเขาว่าอะไรไว้บ้าง คำร้องคำฟ้องนั้น
เห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลจึงไม่ได้สนใจ
นี่..เรื่องนี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เข้าพระกรรณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าวัดนี้มีเรื่องแตกแยกกัน แต่ความจริงอาตมาไม่ได้แตก ไม่ได้แยก
อีกฝ่ายหนึ่งเขาจะแยกออกไปก็เป็นสิทธิของเขา แล้วเราก็อยาก อยากจะดูความสามารถเขา เขาไป จะไปตามเขาทำไม มันเรื่องของเขานี่
ในเมื่อเขาไม่เคารพในพระธรรมวินัยเสียอย่างเดียวก็หมดเรื่อง ท่านผู้ลงชื่อไปนั้น ท่านพุทธบริษัทที่มาที่วัดทุกท่าน เวลามีเทศน์หรือเจริญพระกรรมฐาน
ท่านผู้นั้นแหละมักจะส่งเสียง ใช้เครื่องขยายเสียงเป่าออกมา จนฟังอะไรไม่รู้เรื่อง ช่วยกันทั้งพระทั้งฆราวาส แต่ฝ่ายของเราไม่ได้ทำอะไร อยู่เป็นปกติ
แล้วทำไมถึงจะกล่าวว่าเราเป็นคนผิด
นี่ถ้าเราไม่ผิดเสียอย่างเดียวก็หมดเรื่อง เราไม่ต้องไปหาเรื่องกับเขา ถ้าหากว่าจะถามว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็ต้องตอบได้ว่าอาศัยความโลภเป็นสำคัญ
เพราะความเข้าใจผิด นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ความโลภนี่มันฆ่าคนเสียมากแล้ว เรื่องนี้ก็ต้องยกยอดให้เป็นเรื่องของคณะสงฆ์จัดการกันไป
หรือบรรดาทายกทายิกาที่เขาทำบุญ.."
|