พระวิหารสมเด็จองค์ปฐม
...ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึง เรื่องสมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า สมเด็จองค์ปฐม ก็คือ "พระพุทธเจ้าองค์แรก" องค์แรกหรือ องค์ที่หนึ่ง เรียกว่า
"องค์ปฐม" การที่จะหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม ก็มีอยู่ว่า มี นพ. จรูญ ปิรยะวราภรณ์ เคยปรารภว่า หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องสมเด็จองค์ปฐมเสมอ ทำไมจึงไม่หล่อรูป
จึงคิดตั้งใจจะหล่อรูปท่านขึ้นมา
ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิดหนึ่ง คือ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๓ จำไม่ได้แน่นอน อาจจะผิดก็ได้เรื่องพ.ศ. ตอนนั้นอาตมามาอยู่วัดท่าซุงแล้ว และ พล.อ.อ. อาทร
โรจนวิภาต เวลานั้น เป็นนาวาเอก เป็นผู้บังคับกองฝึก โรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั่น ตอนกลางคืน
สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท
สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ เห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพาน ยืนสองแถว ยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ
จึงมีความรู้สึกใน ใจว่า บางทีอาจจะเป็นอุปาทานของเรา เพราะว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็ก ๆ
ที่หลังคาต่ำๆที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคาก็สูงขึ้น แต่เวลานี้ เราเห็นพระพุทธเจ้า ยืนพนมมืออุปาทานคือ กิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้
ก็เห็นภาพหลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้าง ๆ ท่านบอกว่า คุณไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา
อีกประมาณสัก ๕ นาที ปรากฎว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุก ๆ
องค์ก้มศีรษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึง อาตมา ท่านก็พูดว่า ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า ในเมื่อไม่มีที่นั่ง
ข้าก็เอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน ก็เลยนั่งบนหัว
แล้วท่านก็บอกว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูดตอนไหน ฉันให้เทศน์ตอนไหน
เธอว่าตามนั้น ก็เป็นความจริง บรรดาท่าน พุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางทีคิดว่า วันนี้จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริง ๆ
เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง
)
(ภาพนี้เป็นด้านหน้าบันไดทางขึ้นพระวิหาร ได้มีการต่อเติมชายคาด้านหน้า เพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดด ถ่ายเมื่อ วันที่ 24 กรกฎาคม
2551)
อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้า มุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป
คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรค ผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น
แต่ว่าคนที่มีความดีใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตาม ๆ กัน
อันนี้ก็เช่นเดียวกัน อาตมาเวลาเทศน์ หรือสอนกรรมฐาน ก็ไม่เคยได้พูดตามที่คิดไว้สักที อาจจะเป็นเพราะท่านดลใจ ถ้าจะถามว่าเป็นที่ชอบใจของคนทุกคนไหม
ก็ขอตอบว่า ไม่แน่นัก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่า ท่านอาจจะจี้จุดเฉพาะคนใดคนหนึ่ง แต่คนบางคนอาจจะไม่ถูกใจก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา ก็จึงมาคิดว่า
ในเมื่อท่านมีพระคุณอย่างนี้ และก็เห็นเป็นปกติ จึงคิดจะหล่อรูปท่านขึ้นมา วันหนึ่งจึงอาราธนา เมื่อเจริญพระกรรมบานเสร็จแล้ว ท่องเที่ยวไปที่ต่าง ๆ
ตามความพอใจ
เมื่อกลับมาถึงที่ ก็คิดว่า สมเด็จองค์ปฐมจริง ๆ รูปร่างสมัยที่เป็นมนุษย์ท่านเป็นอย่างไร ก็ขออาราธนา ขอต้องการพบท่าน ท่านก็มาปรากฏพระองค์ให้เห็น
ทรวดทรงสวยมาก หน้าของท่านอิ่มเหมือนกับไข่ แก้มอิ่ม ยิ้มน้อย ๆ ริมฝีปากไม่บุ๋ม ไม่เหมือนพระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน พระพุทธรูปที่เขาปั้นกัน
แก้มตอนปากบุ๋มลงไป ท่านบอก รูปร่างของฉันจริง ๆ เป็นอย่างนี้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์และต่อมาก็เปลี่ยนรูป รูปร่างของฉันสมัยนิพพาน หรือแบบมนุษย์ ท่านบอกว่า
ปั้นอย่างนี้ก็แล้วกัน
แล้วท่านก็นั่งทำภาพให้ดู เป็นเหมือน พระพุทธรูปปั้น แล้วก็มีเรือนแก้วเป็นพระพุทธชินราช รูปจริง ๆ ที่ให้ปั้นไม่เหมือนกับรูปจริง
คือไม่เหมือนกับรูปที่เป็นมนุษย์ และก็ไม่เหมือนกับรูปที่นิพพาน แต่ว่าเป็นรูป ที่ท่านต้องการ ท่านมาแสดงแบบนั้นอยู่ถึงสามวันติด ๆ กัน มานั่งให้เห็น
วันหนึ่งประมาณ ๑ ชั่วโมง ก็ดูจนละเอียด
ก็คิดในใจว่า เราเป็นคนเห็น แต่ช่างเขาไม่ได้เห็น เขาอาจจะปั้นไม่เหมือนก็ได้ จึงขอบารมีของท่านบอกว่า เวลาที่ช่างเขาปั้น
ขอได้โปรดไปดลใจให้เป็นไปตามพระพุทธประสงค์ ท่านก็ยอมรับ จึงได้ สั่งให้ นายประเสริฐ แก้วมณี ปั้นรูปขี้ผึ้งขึ้น บอก ลักษณะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
ในที่สุดเมื่อเขาปั้นเสร็จ เขาเอามาให้ดู เหมือนกับรูปที่ท่านแสดงจริง ๆ นี่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ และนายประเสริฐคนนี้ ก็เจริญกรรมฐานมโนมยิทธิได้
แกก็ทำอะไรตามกำลังใจที่แกได้มา อาตมาก็บอกว่า ก่อนจะปั้น ให้จุดธูปจุดเทียนก่อน อาราธนาบารมีของท่านก่อน ขอให้ท่านดลใจให้มือทำตามไปที่ท่านต้องการ
ความจริงก็เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ก็มานั่งนึกอีกทีว่า เรามีพระพุทธรูปทุกองค์ ในสถานที่สำคัญ เราก็บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แต่พระบรมสารีริกธาตุโดยมากเป็นขององค์ปัจจุบัน
สำหรับพระบรมสารีริกธาติโดยมากเป็นขององค์ปัจจุบัน สำหรับพระบรมสารีริกธาตุ ของสมเด็จองค์ปฐมจะหาได้ที่ไหน กำลังใจก็นั่งนึก คิดว่า
เราจะทำอย่างไรจึงจะได้พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐม ก็คิดว่า เวลากาลนานมาแล้ว พระบรมสารีริกธาตุย่อมหาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
ถ้าหาไม่ได้ก็ไม่เอาขององค์ปัจจุบันบรรจุ เพราะถือว่า เป็นคนขั้นตอน เป็นคนละองค์
(มีผู้ถ่ายภาพอัศจรรย์งานพิธีเททอง "สมเด็จองค์ปฐม" ณ วัดท่าซุง เมื่องานประจำปีวันที่ 15 มีนาคม 2535)
ต่อมา เมื่อขณะที่ท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ จบ ก่อนจะนอนก็ไป การไปนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท การทัศนาจรไปเมืองสวรรค์ก้ดี เมืองนรกก็ดี พรหมก็ดี
มันเบื่อเต็มที่แล้ว จืด เวลานี้ไม่ไปไหน ที่ไปจุดแรก คือ เทวสภา ไปที่ตรงนั้น ก็ไปไหว้ท่านผู้มีคุณ ตั้งแต่ชาติก่อนโน้นมาจนชาติปัจจุบัน
ที่ท่านเป็นครูปบาอาจารย์บ้าง เป็นผู้มีคุณบ้าง เป็นบิดามารดาบ้าง เป็นต้น ไหว้ท่านแล้ว ท่านก็แนะนำบางอย่าง ที่ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง ที่ไหนถูก
ท่านก็บอกว่าถูก ที่ผิดท่านให้แก้ไข ก็เป็นอันว่า ไปอย่างนี้ทุกคืน
หลังจากนั้นก็เข้าพระจุฬามณีเจดียสถาน ไปนมัสการพระพุทธเจ้าที่นั่น พระอรหันต์มีเยอะ ก็ไหว้ท่าน ออกจากพระจุฬามณีเจดียสถานแล้วก็ไปนิพพาน
ไปวิมานขององค์สมเด็จองค์ปัจจุบันก่อน พระสมณโคดม ไปนมัสการท่าน เสร็จ ถ้ามีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็บอก ถ้าไม่มีอะไรที่ท่านจะบอก ท่านก็เฉย
ก็นั่งนมัสการด้วยความชื่นใจ หลังจากนั้น ท่านก็สั่งให้ไปวิมานของเธอ ในเมื่อไปวิมานของอาตมาเอง ในที่นั้นจะพบพระอรหันต์มาก จะมีพระพุทธเจ้าหลาย ๆ พระองค์
มีองค์ปฐมเป็นประธาน ทรงให้ โอวาทอยู่ทุกวัน เตือนทุกวัน มีอะไรผิด มีอะไรถูก มีอะไรควรทำ มีอะไรควรพูด ท่านจะแนะนำ
เมื่อกลับมาแล้วก็นอน คิดว่า เราจะนอนให้หลับ พอกำลังจิตจะเริ่มเคลิ้มก็ได้ยินเสียงว่า พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมเอามาให้แล้วนะ วางไว้ที่ตลับ
บนเตียงข้าง ๆ หัวนอน ได้ยินเสียงชัดเจน แจ่มใสมาก เหมือนเสียงขององค์ปัจจุบัน จึงลุกขึ้นมาเปิดไฟฟ้า ปรากฏว่า ที่ตรงนั้นไม่เคยวางตลับ
มีแต่วางหนังสือสำหรับดูก่อนหลับ ก็มีตลับพลาสติกแบบปัจจุบันอยู่ลูกหนึ่ง ไปเปิดดู เห็นพระบรมสารีริกธาตุองค์โต สององค์ ก็ดีใจว่า เป็นขององค์ปฐมแน่
เพราะเราไม่เคยวางไว้ ก็เก็บไว้ในที่สักการะบูชา เอาไว้บรรจุท่าน ต้นเหตุเป็นอย่างนี้นะ
ต่อมาท่านก็บอกว่า จะทำมณฑปฉันที่ไหน ก็ถามท่านว่า สถานที่ไม่มีแล้ว ด้านหน้าวัดเต็มไปหมด ที่มองเห็นได้ไม่มี มีแต่หลังวัด หลังวัดก็ไม่สมควร
ท่านก็บอกว่า มีที่สำคัญอยู่ที่หนึ่ง ค่อย ๆ ลงจากรถ เดินมันก็จะล้ม แต่ญาติโยมพุทธบริษัทไม่มีใครเข้าใจ เวลารับแขกเห็นท่าทางพูด ท่าทางแข็งแรง
ความจริงไม่ใช่ เป็นกำลังพระท่านช่วย หลังจากรับแขกแล้วก็ป่วย อาเจียน ลุกไม่ขึ้น เดินไม่ไหว นี่เป็นอำนาจ พุทธานุภาพ และสถานที่ตรงนั้น ท่านบอกว่า
เอาตรงนี้ สถานที่ตรงนั้นมีความสำคัญ ท่านบอกว่า มีพระบรมสารีริกธาตุสำคัญมาก
แต่ความจริงก็เป็นความจริง มีคนเห็นอยู่เสมอว่า มีดาวดวงใหญ่ขึ้นจากพื้นดิน ตรงนั้น มีแสงสว่างมาก ลอยไปเหนือยอดไม้น้อย ๆ วนไปวนมาในวัด
แล้วก็กลับที่เดิม มีคราวหนึ่ง มี พ.ต. พงษ์เทพ เธอมาอยู่เป็นเพื่อน เธอเห็นเข้า เธอก็นั่งรถกวดว่า ดาวดวงนี้จะลอยไปไหน เธอก็วิ่งตามไป วนไปวนมาอยู่พัก
ก็กลับที่เดิม เธอก็มาบอกว่า เมื่อคืนนี้แปลก เห็นดวงดาวขึ้นจากแผ่นดิน ก็เลยบอกเธอว่า นั่นไม่ใช่ดวงดาว เป็นพระบรมสารีริกธาตุ ท่านให้สร้างมณฑปตรงนั้น
จึงสั่ง ลุงชิด แก้วแดง เป็นนายช่างทำการก่อสร้าง
สำหรับสมเด็จองค์ปฐม โดยเฉพาะเรือนแก้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท องค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอก เป็นพระหล่อ หล่อด้วยโลหะ แล้วก็ผสมทองคำ เฉพาะเพชรที่ประดับเรือนแก้ว
หรือว่าผ้าทิพย์ เท่าที่เราเห็น มีราคา ๗๗๐,๐๐๐ บาทเศษ แต่ความจริงไม่ใช่เพชรจริง ๆ อย่าขโมยไปนะ ถ้าแกะมาหนึ่งเม็ด ราคาเต็มของเขาจะประมาณ ๑๒ - ๑๓
บาทเท่านั้นเอง ทีนี้ซื้อมาก เพื่อประดับเรือนแก้วให้สวย
เพราะว่าคนใกล้จะตาย คือ อาตมาเองใกล้จะตาย อายุครบอายุขัยแล้ว ครบอายุขัยก็เป็นอายุที่ควรตาย ก็ทำทิ้งทวน และก็มีคนช่วยมาก
มีใครบ้างจะไปขอบัญชีเขามาดู ถ้าเขาคัดไว้ก็จะมาพิมพ์ท้ายหนังสือ มี พล.ท. สมศักดิ์ กับคณะช่วยมา หนึ่งล้านบาทเท่าที่จำได้นะ นอกนั้นมีใครบ้างก็ไม่ทราบ
องค์ปฐมนี่ช่วยกันมามาก
สำหรับพื้น ทีแรกคิดว่า จะใช้แกรนิต หรืออะไรไม่ทราบ มันสวย ๆ แต่ว่าพระท่านบอกว่า มันแข็งมาก ต้องสั่งให้เขาตัดให้พอดี ก็เลยล้มความตั้งใจ ก็พอดี พ.ท.
นพ. นพพร กลั่นสุภา พร้อมด้วย คณะชาวจังหวัดกาญจนบุรี พ.ท.นพ. นพพร นี่เป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ กองพลที่ ๙ สนใจเรื่องบุญกุศลมาก ได้ทำตาดำตาขาวของพระ
พระพุทธรูปหน้าตัก ๔ นิ้วมาถวาย ประมาณ ๖๐๐ คู่เศษ และนำนิลก้อนเล็ก ๆ นำมาให้ทำพื้น ก็เลยตัดสินใจว่า ในเมื่อมีผู้ศรัทธานำนิลมาให้ตั้ง ๑ ตันกว่า
เราก็ไม่ควรใช้อย่างอื่น ใช้ขัดพื้นด้วยนิล แทนที่จะเป็นหินขัด หรือว่าจะเป็นหินอ่อน จะเป็นแกรนิต ไม่เป็นแล้ว ใช้นิลเป็นพื้นขัด ถ้านิลไม่พอจริง ๆ
ก็เอาอย่างอื่นผสม
(ภาพภายในวิหารสมเด็จองค์ปฐม ในขณะที่กำลังตั้งนั้งร้านเพื่อปิดทองและเพชร "คณะพระนวกะ" บวชหมู่ได้มาบรรจุแผ่นจารึกและวัตถุสิ่งของใต้ฐานพระ
ปรากฏว่าถ่ายภาพหมู่ร่วมกันมีแสงพวยพุ่งขึ้นด้วย)
ก็รวมความว่า ความสำคัญเนื่องในการสร้างองค์ปฐม คือว่า คนไม่เคยคิด หรือว่า อาจจะคิดบ้างก็ไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าจริง ๆ ที่มีความลำบากมาก คือ องค์ต้น
เพราะไม่เคยมีพระพุทธเจ้าเป็นครูมาก่อน ต้องลำบากบุกมาทั้ง ๆ ที่ไม่มีแบบ เป็นเหตุดลใจให้ตั้งใจคิดจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องใช้เวลาถึง ๓๐ อสงไขยกัปเศษ
จึงจะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
ถ้าถามว่า รู้ได้อย่างไร ก็ตอบว่า ถามท่านซิ คนฟังหรือคนอ่านจะคิดไหมว่า พูดอย่างนี้ เป็นคนบ้าหรือคนดี บางท่านจะบอกว่า พระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว
มีสภาพสูญ จะไปคุยกันได้อย่างไร ก็ขอตอบว่า ก็ต้องเป็นคนสูญเหมือนกัน ก็ท่านสูญไปแล้ว เราก็สูญบ้าง ถ้าสูญกับสูญพบกัน ก็ต้องเป็นสองสูญ
สองสูญก็มีสภาพกลมเหมือนกัน แต่โตเล็กกว่ากันเท่านั้น เมื่อสูญต่อสูญคุยกัน ก็รู้เรื่องกัน ถ้าท่านสูญ เรายังไม่สูญ ก็คุยกับท่านไม่ได้
ก็รวมความว่า อาตมาก็เป็นคนสูญ เพราะหนึ่ง สูญจากความเป็นหนุ่ม สอง สูญจากความเป็นคนปกติ มีอาการป่วยไข้ไม่สบายเป็นปกติ และก็สาม
สูญจากความเป็นคนที่คิดว่า ไม่สูญ นั่นคือ ความหวัง มีอย่างเดียว คิดว่า เราจะต้องตาย เวลานี้อายุ ๗๕ ปี ตามใบสุทธิ เป็นอายุขัย ควรตายแล้ว ไหน ๆ จะตาย
ก็ทำทิ้งทวน เฉพาะสมเด็จองค์ปฐม ราคาเท่าไรไม่ทราบ เฉพาะเพชรที่ประดับราคา ๗๗๐,๐๐๐ บาทเศษ แล้วก็มณฑปทั้งหมดก็จะบุแก้ว ปิดแก้วทั้งข้างนอก ข้างใน ให้คล้าย
ๆ กับวิมานของท่าน ทำแบบคล้ายคลึงกันแต่ไม่เหมือน เพราะวิมานของท่านสวยมาก
เดี๋ยวจะถามว่า รู้ได้อย่างไร ก็ตอบตามเดิมว่า คนสูญก็รู้อย่างคนสูญ ที่เขาบอกว่า นิพพานมีสภาพสูญ อาตมาขอย้อนว่า นิพพานมีสภาพไม่สูญ
นิพพานจะสูญไปจากความชั่ว จะทรงไว้แต่วความดี ถ้าหากจะมีคนคัดค้านว่า ตายแล้ว มีสภาพสูญ ก็ต้องตอบว่า เป็นเรื่องของท่าน ต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างมีความเห็น
จะให้เหมือนกันไม่ได้ ถ้าหากว่านิพพานมีสภาพสูญจริง ๆ ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวอ้างอิงถึงพระพุทธเจ้า องค์นั้น พระพุทธเจ้าองค์นี้
อย่างคำว่า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ ท่านทั้งหลายจงอย่าทำความชั่วทุกอย่าง
กุสลสฺสูปสมฺปทา จงทำแต่ความดี
สจิตฺตปริโยทปนํ จงทำใจให้ผ่องใสจากกิเลส
เอตํ พุทฺธานสาสนํ พระพุทธเจ้าทุกองค์ตรัสอย่างนี้เหมือนกันหมด
|