จุไรท่องเที่ยวดาวพุธ
(ตอนที่ 2)
บรรดาลูกรักทั้งหลายต่อไปนี้ก็มาคุยกันต่อถึงเรื่องจุไรกับโลกพระพุธสำหรับวันนี้พูดมาแล้วก็ไม่คล้ายเป็นเ
สียงพูด คล้ายเป็นเสียงปาฐกถาไปเพราะคอมันไม่ดีหลังจากการให้น้ำแล้วเสียงมันก็แห้ง
ในเมื่อจุไรลงไปตามคำสั่งของพระแล้วพระท่านก็บอกว่า "จุไรลูกรักมีความเข้าใจคำว่ารู้หรือยัง" จุไรก็บอกว่า "ยังไม่เข้าใจชัดค่ะ"
ท่านก็ตรัสว่า "คำว่ารู้ผู้ใดถ้าเป็นผู้รู้บุคคลผู้นั้นก็ต้องเป็นบุคคลที่ไม่ทำความชั่วขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหมดผู้รู้ไม่ทำคนที่ยังทำความชั่วอยู่คนประเภทนี้ชื่อว่าย
ังไม่รู้หรือว่ารู้ไม่ครบคือว่ารู้ดีบ้างรู้ชั่วบ้างถ้ารู้ชั่วบ้างก็ถือว่าไม่รู้เพราะความชั่วต่างๆเป็นปัจจัยของความทุกข์เมื่อทำแล้วเกิดความเร่าร้อน"
จุไรก็กราบทูลถามว่า "แล้วโลกพระพุธล่ะเจ้าคะ โลกพระพุธนี่มีมนุษย์ไหม?"
พระองค์ก็ตรัสว่า "โลกพระพุธนี่มีมนุษย์ไม่มากเท่าโลกโน้น
เพราะว่ามีปริมาณจำนวนของโลกนี้กับโลกชมพูที่มนุษย์อยู่ก็เรียกว่ามีปริมาณคล้ายคลึงกันไล่เลี่ยกันไม่ใหญ่ไม่เล็กกว่ากันเท่าไรนัก
แต่ว่าโลกพระพุธถูกความร้อนเผาผลาญเข้าไปเสีย ๒ ใน ๓ ซึ่งไม่สามารถจะมีสิ่งที่มีชีวิต และต้นหมากรากไม้ไม่สามารถจะมีได้
สำหรับโลกชมพูนั้นมีความเยือกเย็นอยู่ตลอด ที่ร้อนก็ไม่ร้อนเกินไป แต่ว่าที่ๆ ต้องเสียไปก็คือ มีมหาสมุทรใหญ่ก็มากเหมือนกันที่ๆ
จะพึงอาศัยได้สำหรับคนและสัตว์ยังมีมากกว่าโลกพระพุธมาก สำหรับโลกพระพุธนี้ก็มีทะเลมีมหาสมุทรเหมือนกัน
ฉะนั้นเนื้อที่จะมีไว้ให้สัตว์หรือคนอาศัยก็มีน้อยกว่าโลกมนุษย์มาก"
แล้วเธอก็ถามว่า "คนโลกนี้เขามีอาชีพอะไรเจ้าคะ"
ท่านก็ชวนจุไรว่า "ลงไปดูกันลงไปดูชาวโลกพระพุธลงไปถึงพื้นดิน แต่เราไม่จำเป็นต้องเดินอย่างมนุษย์เขาเดินกัน
ถ้าเดินอย่างนั้นไม่ทราบว่ากี่สิบปีอายุของจุไรก็ไม่สามารถจะเดินทั่ว เราใช้การเดินอย่างคนเหาะนึกจะไปไหนไปถึงทันที
จะไปช้าไปเร็วก็ได้" จุไร
ก็ปฏิบัติตามนั้นลงไปก็พอดีไปพบคนพอดีแต่ว่าคนในโลกนี้รู้สึกมีความยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นพิเศษเขามีความขยันหมั่นเพียรประกอบกิจการงานหน้าตาก็แช่มชื่นเป็นคนมีผิวขาวนวลไม่บอกอาการขอ
งความทุกข์ไปดูบ้านเรือนของคนทั้งหลายมองดูไปมากๆไปหลายๆ หมู่บ้านก็มีแต่ความรื่นเริง บ้านก็สวยสดงดงาม
ทุกคนก็มีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใส พืชพันธุ์ธัญญาหารต้นไม้ก็มาก ต้นกล้วยต้นอ้อยทุกอย่างมีมาก ครึ้มไปหมดอากาศก็เต็มไปด้วยความเยือกเย็นน่าอยู่นี่
ตอนใกล้กลางนะใกล้กลางมีความอบอุ่น เพราะว่าความเย็นพอสมควร ถ้าจะเทียบกับโลกมนุษย์ก็จะมีความเย็นประมาณ ๒๐ องศาตอนนี้กำลังสบายๆ คนสดชื่นมาก"
แล้วต่อไปพระก็ถามว่า "จุไรเห็นสัตว์เดรัจฉานบ้างไหมลูก?" จุไรมองไปมองมาทั้งๆ
ที่ใช้ตาซึ่งเป็นนามธรรมที่เขาเรียกว่าตาทิพย์ก็ไม่สามารถเห็นสิ่งที่มีชีวิตเป็นสัตว์ได้เห็นแต่คนอย่างเดียว
เธอก็ทูลตอบพระไปว่า "ไม่มีมองไม่เห็นเจ้าค่ะสิ่งที่มีชีวิตเป็นสัตว์"
ท่านก็ตรัสว่า "ใช่ที่นี่ไม่มีสัตว์เดรัจฉานไม่มียานพาหนุที่สัตว์ลากและขอลูกรักจงดูต่อไปว่าที่นี่มีรถยนต์ไหม?"
เธอมองไปทั่วโลกก็ไม่มีรถยนต์เหมือนกันจักรกลคือรถยนต์ไม่มี
เธอก็ตอบกับพระว่า "ไม่เห็นเจ้าค่ะ"
ท่านก็ตอบว่า "โลกนี้ไม่มีรถยนต์" ให้ดูเครื่องจักรกลต่างๆเธอก็มองไม่เห็นอีก
เธอก็ตอบว่า "ไม่เห็นเจ้าค่ะ"
ท่านก็ถามว่า "ถ้าไม่มีเครื่องจักรกลคนโลกนี้ต้องกินข้าวเหมือนกับโลกเราต้องมีความเป็นอยู่เหมือนโลกเราเพราะเวลากินข้าวถ้าข้าวเป็นข้าวเปลือกเขาจะกินได้อย่างไ
ร" จุไรก็จนใจจนในคำตอบมองไปมองมาด้วยความรอบคอบ
เธอก็มองเห็นต้นข้าวที่ปรากฏขึ้นข้างหน้าข้าวทั้งหมด ปรากฏว่าเป็นข้าวสารเดิมทีก็เป็นข้าวเปลือก
พอแก่เต็มที่เปลือกก็แตกออกแยกออกมาเป็นข้าวสารปลายติดอยู่นิดหนึ่ง เห็นบรรดาชาวบ้านเวลาที่เขาจะหุงหาอาหารหรือเก็บตุนไว้เล็กน้อย
เขาไปเก็บใส่ถึงใส่ขันเอามากันไม่มาก แค่พอกินหรือเหลือกินนิดหน่อยคือว่าหุงเช้าแล้วก็เผื่อหุงตอนเย็นแล้วหุงกลางวันต่อไปเล็กน้อยเท่านั้นไม่ทำยุ้งไม่ทำฉาง
เธอก็ทูลตอบพระว่า "ในโลกนี้ไม่ต้องมีโรงสีเจ้าค่ะ" แล้วก็ไม่ต้องซ้อมข้าวเพราะข้าวออกมาเป็นข้าวเปลือกต่อมาเมล็ดแตกออกมาเป็นข้าวสารเห็นชาวบ้านกำลังเก็บกิน
ท่านก็ตอบว่า "ใช่..เธอเห็นถูกแล้ว" หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ถามเธอว่า "ไปดูซิว่าคนบ้านนี้น่ะเขาต้องฆ่าสัตว์กินไหม?"
เธอก็ตอบว่า "สัตว์ไม่มีจะให้ฆ่าเจ้าค่ะ"
ท่านก็ถามว่า "สัตว์ที่เดินบนดินไม่มีสัตว์ที่ว่ายน้ำมีไหมที่จะเป็นอาหารของเขา"
เธอมองไปดูด้วยความเป็นทิพย์ของตาหรือตาทิพย์ เธอก็บอกว่า
"ไม่เห็นเจ้าค่ะ"
ท่านก็ตอบว่า "ใช่โลกนี้ไม่มีสัตว์เดรัจฉานฉะนั้นจึงได้นามว่าโลกรู้คือโลกพุธ"
เธอก็ถามว่า "โลกรู้ทำไมจึงไม่มีสัตว์เดรัจฉาน ถ้ามีสัตว์เดรัจฉานๆ อาจจะรู้ภาษาคน คนอาจจะสามารถรู้ภาษาสัตว์
สามารถจะพูดกันได้ก็จะมีความรู้มากยิ่งขึ้น"
พระท่านก็ตอบว่า "จุไรลูกรักโลกใดถ้ามีสัตว์เดรัจฉานโลกนั้น ยังไม่รู้จริง
นั่นก็หมายความว่าผู้ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั่นเป็นคนที่รู้ไม่จริงความรู้น้อยมากเกินไป ทั้งนี้เพราะอะไรเพราะว่าสัตว์เดรัจฉานทุกตัวมาจากคน คนที่ทำความชั่วบาปอกุศลอย่าง
๑. ฆ่าสัตว์
๒. ลักทรัพย์
๓. ประพฤติผิดในกาม
๔. พูดมุสาวาท
๕. พูดคำหยาบ
๖. พูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกัน
๗. พูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์
๘. คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของคนอื่นโดยไม่ชอบธรรม
๙. คิดประทุษร้ายชาวบ้านเช่นจองล้างจองผลาญจองเวรจองกรรมแล้วก็มี
๑๐. มีความเห็นไม่ตรงตามความเป็นจริงมีความอกตัญญูไม่รู้คุณคน
คนใดที่ไม่รู้คุณ คนนั้นแทนที่จะยอมรับนับถือกลับอกตัญญูสนองเขาด้วยความชั่ว ชื่อว่ามีความเห็นผิด
คนประเภทนี้ถ้าตายจากความเป็นคนก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น แล้วก็มาเป็นเปรต มาเป็นอสุรกาย แล้วก็มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ฉะนั้นสัตว์เดรัจฉานทุกตัวก็มาจากคน ไม่ใช่ถือกำเนิดเกิดมาในโลกเป็นสัตว์ทีเดียวเกิดเป็นคนก่อน แต่เป็นคนที่มีความชั่วคนที่ทำความชั่วคือ
๑.
การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันฆ่าซึ่งกันและกันอ ย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นคนรู้ ถือว่าเป็นคนไม่รู้คือ
ไม่รู้โทษของความชั่วที่ตัวจะพึงทำ ในเมื่อเราคิดประทุษร้ายเขา เขาก็คิดประทุษร้ายเรา เราอยากจะฆ่าเขา เขาก็อยากจะฆ่าเราตอบแทน รวมความว่าคนประเภทนี้ไม่มีความสุข
ไปไหนก็ตามก็มีแต่ความระแวงสงสัยอยู่เสมอ จะหลับก็ไม่เป็นสุขจะตื่นก็ไม่
"บาป" แปลว่าชั่วคนประเภทนั้นเขาเกิดในโลกมนุษย์แล้ว
เขาไม่ทำบาปไม่ทำชั่วไปเป็นพรหมก็ดีไปเป็นเทวดาก็ดี หมดบุญวาสนาบารมีจากพรหมหรือเทวดาก็มาพักที่โลกนี้ซึ่งมีความสุข ฉะนั้นโลกนี้จึงไม่มีสัตว์เดรัจฉาน
เพราะสัตว์เดรัจฉานเป็นเศษกรรมของความชั่วนำให้มาเกิดโลกนี้ เป็นโลกรู้ไม่ใช่โลกโง่จึงไม่มีสัตว์เดรัจฉานมาเกิด
จุไรก็จำได้บอกว่า "โอ...คนรู้แกเป็นอย่างนี้เอง"
แล้วต่อไปท่านก็บอกว่า "ดูต่อไปลูกรักดูจริยาของชาวบ้านชาวบ้านพวกนี้เขาอยู่กันอย่างไร? ไปดูเมืองใหญ่ๆที่เรียกว่าประเทศมีไหม?"
เธอก็ตรวจไปทั่วโลกไม่มีเขตใหญ่ๆ ที่เรียกว่าประเทศเลยจะเป็นเขตของจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีบ้านมีสภาพคล้ายคลึงกันหมด
บ้านใหญ่สะอาดสวยสดงดงาม คนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูตำรวจดูทหารก็ไม่มี ดูเจ้าหน้าที่รักษาเวรยามก็ไม่มี คนถืออาวุธก็ไม่มี
เธอก็แปลกใจว่าโลกนี้ทำไมไม่มีผู้ปกครอง ทำไมไม่แบ่งเป็นขอบเขตเป็นประเทศหรือเป็นรัฐ
เธอก็ทูลถามองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ว่า " คนโลกนี้น่าจะหาคนที่มีความรู้พิเศษไม่ได้เพราะ"
๑. ไม่มีผู้ใหญ่บ้าน
๒. ไม่มีกำนัน
๓. ไม่มีนายอำเภอ
๔. ไม่มีผู้ว่าราชการจังหวัดและก็
๕. ไม่มีรัฐมนตรี
๖. ไม่มีนายก
๗. ไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน
องค์สมเด็จพระมหามุนีก็ตรัสว่า "ก็ไม่จำเป็นต้องมี เพราะการมีอย่างนั้นเพราะคนเกเรไม่ตั้งอยู่ในความดี
ต้องมีคนควบคุมตั้งผู้ใหญ่บ้านควบคุมคนในหมู่บ้านนี่กลุ่มใกล้ๆ ใหญ่ออกไปหลายหมู่บ้าน ก็มีกำนันเป็นประธานเป็นผู้มีอำนาจในตำบลนั้น ต่อไปหลายๆ
กำนันก็มีนายอำเภอเป็นประธาน มีอำนาจในเขตอำเภอนั้นๆหลายๆ อำเภอก็มีผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างนี้ เป็นต้น"
รวมความว่าการที่มีเพราะคุมคนที่มีความประพฤติไม่ดีให้อยู่ในขอบเขต ถ้ามีความประพฤติไม่ดีก็ต้องนำมาลงโทษ แต่ว่าโลกนี้เขาไม่มีการลงโทษกัน
เพราะคนมีความประพฤติดีแล้วท่านก็ชวนให้ไปคุยกับบรรดาชาวบ้านทั้งหลาย
ต่อนั้นไปจุไรก็ลงเดินดินเข้าไปหาคุณยายคนหนึ่ง ความจริงน่าจะเรียกว่าคุณพี่หรือคุณน้า เพราะคำว่า "คุณยาย" นี่แก่มากเข้าไปถึงยกมือไหว้ท่านแล้วจุไรก็ถามว่า
"คุณยายเจ้าคะอายุเท่าไร?"
คุณยายก็ยิ้มท่านก็ถามว่า "หนูมาจากโลกไหน? คนโลกนี้หน้าตาเหมือนหนูไม่มี" นั่นก็หมายความว่ารูปร่างหน้าตาอาจจะคล้ายคลึงกัน
แต่ว่าจุไรตัวเล็กไว้ผมจุกผมรอบๆ ข้าง ไม่มีถูกโกนจุกก็ปักปิ่นมีเพชรเล็กๆ เป็นเพชรราคาไม่แพง
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพชรรัสเซียหรือเพชรพาหุรัดก็ได้เป็นแก้วประเภทนั้น
เธอก็บอกว่า "ฉันมาจากโลกชมพูเจ้าค่ะ"
คุณยายก็ถามว่า "โลกชมพูอยู่ที่ไหน?"
เธอก็ชี้ให้ดูดวงดาวดวงหนึ่งที่เลยโลกพระอังคารเลยโลกพระจันทร์เข้ามาเป็นโลกของชมพู มองจากที่นั้นในเวลากลางคืนก็เห็นเป็นดวงดาวเหมือนกัน
มีแสงสว่างแต่ว่าดวงดาวไม่โตนัก
แล้วคุณยายก็ถามจุไรว่า "เธอมาได้อย่างไร?"
จุไรก็ตอบว่า "มาจากความรู้ของพระท่านให้และพระท่านก็นำมา"
พอใช้ศัพท์นี้เขาก็แปลกใจถามว่า "คำว่าพระหมายความว่าอย่างไร?"
เธอก็ตอบว่า "พระคือนักบวช"
เขาก็ถามว่า "นักบวชหมายความว่าอย่างไร?" เธอก็ตอบไม่ถูกก็หันมาชี้ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เวลานั้นท่านร่างกายเป็นมนุษย์ธรรมดาหนาเหมือนกัน
ต้องทำร่างกายให้หนาเขาจึงจะเห็น แล้วจุไรก็กราบท่านเขาก็กราบบ้าง
เขาก็ถามจุไรว่า "พระแต่งตัวอย่างนี้หรือ?"
จุไรก็ตอบว่า "แต่งตัวอย่างนี้เจ้าค่ะ"
และต่อมาเขาก็ถามว่า "พระมีฤทธิ์หรือ?"
เธอก็ตอบ "มีฤทธิ์เจ้าค่ะ แล้วพระไม่มีฤทธิ์แต่ตัวท่านอย่างเดียวท่าน ทำให้หนูมีฤทธิ์ด้วย"
เขาก็ถามว่า "หนูมีฤทธิ์อย่างไร?"
จุไรก็ตอบว่า "สามารถมาที่นี่ได้โดยไม่ต้องใช้ยานพาหนะ ลอยมาเฉยๆ "เขาฟังแล้วเขาก็แปลกใจ
จุไรจึงถามว่า "คุณยายมีอายุเท่าไรเจ้าคะ " ความจริงจุไรนึกในใจว่าเรียกคุณยายนี่ เขาจะโกรธไหม
แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่โกรธ เขาไม่ทราบว่าศัพท์ว่า "คุณยาย" หมายความว่าอย่างไร
เขาถามว่า "คำว่าคุณยายนี่หมายความว่าอย่างไร?"
เธอก็ตอบว่า "คนที่เป็นแม่ของแม่เรียกว่า "คุณยาย"
ถ้าเป็นแม่ของพ่อเรียกว่า "คุณย่า"
และถ้าเป็นคนที่มีอายุมากอย่างน้อยที่สุด คนประเภทนี้ต้องมีอายุเกิน ๔๐ ปี ขึ้นไป"
หญิงคนนั้นทำท่าฉงนถามว่า "คนที่มีอายุ๔๐ปีนั่นแก่หรือ?"
จุไรก็บอกว่า "แก่เจ้าค่ะ"
เธอก็ถามว่า "หนูอายุเท่าไหร่จ๊ะ"
จุไรก็ตอบว่า "อายุ ๔ ปี เต็มย่างเข้า ๕ ปี เจ้าค่ะ"
เธอก็แปลกใจว่า "อย่างนี้เรียกว่าเด็กใช่ไหม?"
จุไรก็ตอบว่า "ใช่"
เธอก็ถามต่อว่า "โลกชมพูหรือว่าโลกมนุษย์ที่มีมนุษย์อยู่นั้นอายุขัยเท่าไร?"
ชมภูก็ตอบว่า "เวลานี้อายุขัย ๗๕ ปี เจ้าค่ะ"
หญิงคนนั้นชักฉงนทำท่าสงสัยมากก็ถามว่า "คนโลกมนุษย์มีอายุขนาดจิ๋วหลิวเท่านี้หรือ? เกิดมาประเดี๋ยวก็ตายอย่างนั้นหรือ?"
จุไรก็แปลกใจว่าอายุขัย ๗๕ ปี ไม่ใช่ประเดี๋ยวเดียว เลยตั้ง ๗๕ ปี จึงย้อนถามคุณยายว่า "
คุณยายเจ้าขา คนโลกนี้อายุขัยมีเท่าไร เจ้าค่ะ"
คุณยายยิ้มแล้วก็ตอบว่า "คนโลกนี้มีอายุขัย ๘ หมื่นปี"
จุไรก็ตกใจ ๘ หมื่นปี เธอคิดในใจว่าจะอยู่ได้อย่างไรน่ะ ในโลกมนุษย์เราแค่ ๕๐ ปี ก็เริ่มแก่มากแล้ว บางคนก็ฟันหักหมด
บางคนก็หัวหงอกทั้งหัว บางคนก็หลังค้อม บางคนก็เดินไม่ไหว ๖๐ ปี ก็ทำท่าจะไปไม่รอด ๗๐ ปี เริ่มหง่อม ๘๐ ปี เหล่าเหย่ ๙๐ ปี คลานขี้ ถ้า ๑๐๐ ปี ตะบันลมกิน
ก็รวมความว่าแปลกใจว่า คนในที่นี้อายุตั้ง ๘ หมื่นปี เธอจึงถามว่า "เวลานี้คุณยายอายุเท่าไร เจ้าค่ะ"
คุณยายก็ตอบว่า "หนูเรียกคุณยายไม่ถูกนะจ๊ะฉันน่ะยังเป็นสาวอยู่นะ"
จุไรก็ถามว่า "ความเป็นสาวของคุณยายอายุเท่าไรเจ้าค่ะ"
คุณยายก็ตอบว่า "เวลานี้อายุของฉัน ๓ หมื่นปีเศษยังไม่ถึง ๔ หมื่นปี"
จุไรตกใจดูหน้าตาของคุณยายจริง ๆ เวลานี้เรียกว่าคุณยาย เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่ยกย่องท่าน
จะเรียกว่าคุณน้าก็จะหาว่าอาจเอื้อมมากเกินไปตีเสมอผู้ใหญ่ความจริงแล้ว คนนี้น่าจะเป็นน้าสาวของจุไรอายุปาเข้าไปตั้ง ๓ หมื่นปีเศษ
จุไรก็ถามต่อไปว่า " คนที่แก่ที่สุดใกล้จะตายอายุเข้าเขต ๗ หมื่นปีเศษใกล้ ๘ หมื่นปี รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าคะ แก่มากไหม?"
คุณยายก็ตอบว่า "แก่มากลูก"
จุไรก็ถามว่า "ฟันหักไหม?"
คุณยายก็ถามว่า "ฟันรู้จักหักหรือจ๊ะ โลกมนุษย์ฟันหักหรือ?"
เธอก็ตอบว่า "หัก"
คุณยายก็ตอบว่า "โลกนี้ไม่มีอะไรเสียฟันก็ไม่หัก"
จุไรก็ถามว่า "ผมหงอกไหมเจ้าคะ"
คุณยายก็ตอบว่า "ฉันบอกแล้วว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเสีย ผมก็ไม่หงอกหนังก็ไม่เหี่ยวหน้าก็ไม่ย่น หน้าตาคล้ายคลึงกับฉัน" แล้วเธอก็ชี้มือไปยังคนอีกคนหนึ่ง
ซึ่งนั่งอยู่บนบ้านว่า "คนนี้น่ะเป็นแม่ของฉันจ๊ะ เวลานี้ท่านมีอายุใกล้อายุขัยเข้าไปเต็มทีแล้ว คือแก่มีอายุ ๗ หมื่นปีเศษใกล้จะ ๘ หมื่นปี"
จุไรมองหน้ามองรูปร่างลักษณะของคุณยายใหญ่ ต้องเรียกคุณยายใหญ่ เพราะเป็นคุณแม่ของคุณยายคนนี้ ดูแล้วหน้าตายังสาวคล้ายๆ
คุณแม่ของจุไรเธอก็ตกใจว่าทำไมคนเมืองนี้น่ะ จึงมีความสุขอย่างนี้
เธอก็ถามว่า "คนแก่กว่านี้ไม่มีหรือ?"
คุณยายก็บอกว่า "ไม่มี"
ความจริงแล้วคนแก่ที่เรียกว่าเป็นแม่ของคนๆ นั้นถ้าจะเทียบกับเมืองมนุษย์จะมีอายุไม่เกิน ๒๕ ปี ของคนเมืองมนุษย์
ความจริงโลกนี้เป็นโลกพุธที่มีความสุขจริงๆ
จุไรก็ถามต่อไปว่า "ความป่วยไข้ไม่สบายมีไหมเจ้าคะ"
เขาก็ยิ้มถามว่า "ป่วยเป็นอย่างไร?"
จุไรบอกว่า "ปวดโน่นปวดนี่ปวดศีรษะบ้างเวียนหัวบ้างเป็นไข้บ้างท้องร่วงบ้างเป็นโรคอาเจียนบ้าง"
คุณยายที่คุยอยู่นั่นแปลกใจทุกอย่าง เธอก็ตอบว่า "สิ่งที่หนูพูดถามมาไม่มียายไม่รู้จักเลยที่นี่เขาไม่มี"
เธอก็ถามว่า "มีหมอไหม?"
คุณยายก็แปลกใจถามว่า "คำว่าหมอเป็นอย่างไร?"
จุไรก็ตอบว่า "หมอก็มียารักษาโรคไปรักษาคนไข้คนป่วย"
คุณยายบอกว่า "ไม่มียายงงเต็มทีแล้วที่หนูถามมา"
แล้วคุณยายก็ถามอีกว่า "ทั้งหมดนี่ที่โลกมนุษย์มีหรือ?"
จุไรก็ตอบว่า "มีมากเจ้าค่ะ โรงพยาบาลก็มีมาก และสถานที่เก็บคนป่วยรักษาคนป่วยก็มีมาก"
คุณยายก็แปลกใจว่าโลกมนุษย์ทำไมเป็นอย่างนั้น อายุก็สั้นโรคก็มาก
แล้วจุไรก็บอกให้คุณยายพาเดินดู ถามว่า "ในประเทศนี้มีผู้ใหญ่บ้านมีกำนันไหม? มีนายอำเภอไหม มีผู้ว่าราชการจังหวัดไหม
มีรัฐมนตรีมีกระทรวงไหม มีนายกรัฐมนตรีไหม มีพระเจ้าแผ่นดินไหม"
ยายนั่นไม่รู้เรื่องเลย ยายตอบว่า "ที่หลานถามมานี่ทั้งหมดไม่มีทั้งหมด"
เธอก็ถามว่า "ถ้าอยู่อย่าง่นี้ถ้าใครข่มเหงกันแล้วใครจะเป็นผู้ห้ามปรามใครจะตัดสินลงโทษ"
คุณยายบอกว่า "คนโลกนี้เขาทะเลาะกันไม่เป็น เขาพูดขัดคอกันไม่เป็น
ประการแรกเขาไม่ทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันไม่มีความโกรธ
ประการที่ ๒ ทรัพย์สินต่างๆ ไม่ต้องระวัง ไม่มีใครลักใครขโมยดูบ้านช่องไม่มีกุญแจ
ประการที่ ๓ คนโลกนี้สวยเหมือนกันหมด ผู้หญิงก็สวยผู้ชายก็สวย ไม่มีใครแย่งความรักกัน ต่างคนต่างมีสิทธิ์ในคนรักของตนตามลำพัง
และก็ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยการแย่งคนรัก
ประการที่ ๔ คนในโลกนี้ไม่พูดคำไม่จริง ไม่พูดคำหยาบไม่ยุแยงตะแคงแสะให้ใครเขาแตกร้าวกัน ไม่พูดวาจาไร้ประโยชน์ แล้วก็
ประการที่ ๕ คนโลกนี้ไม่ดื่มสุราเมรัย ไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร ไม่คิดประทุษร้ายใคร ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันคือ ต่างคนต่างมีความรัก
ต่างคนต่างมีความเมตตา ต่างคนต่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างไม่ถือตัวไม่ถือตน ต่างคนต่างพูดดี ต่างคนต่างสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน
ก็รวมความว่าโลกพุธเป็นโลกที่มีความรู้จริงๆคือรู้ในด้านของความดี
จุไรก็ถามคุณยายว่า "คุณยายเจ้าคะมีแม่น้ำไหม?"
คุณยายก็ตอบว่า "แม่น้ำอยู่ใกล้ๆคุณยายก็พาไปดูแล้วรู้สึกว่าคุณยายตัวเบาเดินคล้ายๆ
กับลอยไปแล้วก็เดินเร็วมากแต่อาศัยจุไรไปอยู่ด้วยกำลังของอภิญญาก็ไม่หนักใจ
เรื่องเดินเดินแป๊บเดียวรู้สึกว่าถึงแม่น้ำใหญ่ใสสะอาดน้ำใสมองเห็นก้น คลองน้ำไหลตลอดเวลาไม่นิ่งผักหญ้าและแหนต่างๆ ไม่ปรากฏในแม่น้ำน้ำใสสะอาดมาก
แล้วจุไรก็ถามอีกว่า "ทะเลมีไหม เจ้าคะ"
คุณยายก็ตอบว่า "มีมหาสมุทรใหญ่น้ำใสสะอาดแต่ไม่เค็มตอนนี้น้ำไม่เค็มน้ำจืดสนิท"
เธอก็พาไปดูทะเลจุไรก็แปลกใจว่าคุณยายมีทั้งเนื้อทั้งหนังมีทั้งกระดูกแต่ทำไมเดินเร็วอย่างนี้
หลังจากชมสถานที่ต่างๆ ของแดนของคนรู้ได้ปรึกษาหารือกับคนรู้ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกันด้วยวาจาก็เป็นที่พอใจ
ได้ยินเสียงขององค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า
"จุไร ลูกรักเวลานี้นะ มันใกล้จะถึงเวลาพัก
คือจะดึกมากเกินไปสำหรับจุไรถ้าดึกมากเกินไปแล้วลูกรักก็จะไม่มีประโยชน์ พรุ่งนี้จะต้องเตรียมการเรียนการศึกษาต่อไปจงกลับ"
จุไรก็หันมาหาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลถามว่า "โลกนี้นอกจากจะมีคนรู้ทรัพย์สินต่างๆ ในดินมีไหมเจ้าคะ"
ท่านก็บอกว่า "ทรัพย์สินต่างๆ ในดินมีมากมายเหลือเกินอย่างทองคำก็ดีเงินก็ดีเพชรนิลจินดาก็ดีโลกนี้ เขาไม่ต้องขุดเพียงแค่เดินไปชายเขาลูกโน้น
(ท่านชี้ให้ดู) เขาก็มีมากเป็นหย่อมๆ แค่เอาไม้เขี่ยๆเท่านั้นทองคำก็ปรากฏเพชรนิลจินดาก็ปรากฏ เพราะฝังไม่ลึกอยู่แค่ผิวๆ ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้ๆ
บ้านของเขาก็มีจุดทองคำ (ท่านชี้ให้ดู)" องค์สมเด็จพระบรมครูทรงตรัสว่า "โลกของคนรู้คือบัณฑิต"
รวมความว่า โลกพุธ คือโลกของคนรู้จริงๆ
คือรู้ทำความดีแล้วหลีกเลี่ยงความชั่วขึ้นชื่อว่าความชั่วทุกอย่างเขาไม่ทำกันเขาไม่ใช่รู้แต่มาเกิดในโลกนี้อย่างเดียว
เขารู้ตั้งแต่ก่อนมาเกิดในโลกนี้ สมัยที่เขาเกิดโลกชมพูเขาเป็นคนรู้แล้ว ๑.
มีความเคารพในพระไตรสรณาคมณ์เขารู้
๒. ไม่ลืมความตาย
๓. มีศีล ๕ บริสุทธิ์หรือกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนประเภทนี้มีกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์
และอีกประการหนึ่งของคนพวกนี้เคารพในมหาสติปัฏฐานสูตรทั้ง ๔ คื อปฏิบัติได้ดีในมหาสติปัฏฐานสูตรทั้ง ๔
แต่ได้แค่ฌานโลกีย์ตายจากความเป็นคนก็ไปเป็นเทวดาบ้างไปเป็นพรหมบ้าง หมดบุญวาสนาบารมีบุญเก่ายังมีมากเศษบุญยังมีมาก ไม่ควรที่จะมาเกิดบนโลกชมพู
จึงมาเกิดบนโลกนี้จึงมีความสุขทุกอย่าง"
เอาละ..บรรดาลูกรักเสียงก็แห้งเต็มทีเวลานี้ก็หมดเวลาขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแก่บรรดาลูกรักทุกคน
สวัสดี.
คลิกดูภาพประกอบ 1 - ภาพประกอบ 2 - ภาพประกอบ 3 - ภาพประกอบ 4 - ภาพประกอบ 5
◄ll กลับสู่ด้านบน
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

เทพเจ้าประจำดาวพุธ คือ เมอคิวรี่
วงโคจร : 57,910,000 ก.ม. (0.38 หน่วยดาราศาสตร์ ) จากดวงอาทิตย์
เส้นผ่านศูนย์กลาง : 4,880 ก.ม.
มวล : 3.30 x 10 23 ก. ก.
หมุนรอบตัวเอง 58.646225 วัน
หมุนรอบดวงอาทิตย์ 87.969 วัน
ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด จึงเคลื่อนรอบดวงอาทิตย์เร็วที่สุด โดยใช้เวลาเพียง 87.969
วันในการโคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบ ดาวพุธหมุนรอบตัวเองในทิศทางเดียว กับการเคลื่อนรอบดวงอาทิตย์ คือ จากทิศตะวันตกไป ทิศตะวันออก หมุนรอบตัวเองรอบละ 58.6461
วัน
เมื่อพิจารณาจากคาบของการหมุนรอบตัวเอง และการคาบการเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์ จะพบว่าระยะเวลากลางวัน ถึงกลางคืนบนดาวพุธยาวนานถึง 176 วัน
ซึ่งยาวนานที่สุดในระบบสุริยะ พื้นผิวของดาวพุธมีลักษณะคล้ายดวงจันทร์ โดยเฉพาะด้านไกลโลก เพราะต่างไม่มีบรรยากาศ แต่ดาวพุธมีขนาดใหญ่กว่า
มีแรงโน้มถ่วงสูงกว่า ขอบหลุมบนดาวพุธจึงเตี้ยกว่าบนดวงจันทร์
ยานอวกาศที่เข้าไปเฉียดใกล้ๆ ดาวพุธและนำภาพมาต่อกันจนได้ภาพพื้นผิวดาวพุธดังกล่าวคือ ยานอวกาศมารีเนอร์ 10 ของสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2517
นับว่าเป็นยานลำแรกและลำเดียวที่ส่งไปสำรวจดาวพุธ ยานมารีเนอร์ 10 เข้าใกล้ดาวพุธ 3 ครั้งด้วยกัน คือ เมื่อเดือนมีนาคม และ กันยายน พ.ศ. 2517
และเดือนมีนาคม พ.ศ. 2518
ยานเข้าใกล้ดาวพุธที่สุดครั้ง แรกเมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2517 และได้ส่งภาพกลับมา 647 ภาพ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2517
และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2518 ขณะนั้นเครื่องมือภายในยานได้เสื่อมสภาพลง ในที่สุดก็ติดต่อกับโลกไม่ได้ตั้งแต่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2518
ยานมารีเนอร์ 10 จึงกลายเป็นขยะอวกาศที่โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์ โดยเข้ามาใกล้ดาวพุธครั้งคราวตามจังหวะเดิมต่อไป
นอกจากดาวพุธจะมีช่วงกลางวันถึงกลางคืนยาวที่สุดแล้ว ยังมีทางโคจรที่รีมากด้วย เป็นรองเฉพาะดาวพลูโตเท่านั้น ดาวพุธมีระยะใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด 0.31
หน่วยดาราศาสตร์ และไกลที่สุด 0.47 หน่วยดาราศาสตร์ ทำให้ 2 ระยะนี้ แตกต่างกันถึง 0.16 หน่วยดาราศาสตร์ หรือ 24 ล้านกิโลเมตร
นั่นหมายความว่า ถ้าไปอยู่บนดาวพุธจะเห็นดวงอาทิตย์มีขนาดเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยเมื่ออยู่ใกล้ดางอาทิตย์ที่สุดจะเห็นดวงอาทิตย์ใหญ่เป็น 2
เท่าครึ่งของเมื่ออยู่ไกลดวงอาทิตย์ที่สุด ซึ่งโตประมาณ 4 เท่าของที่เห็นจากโลก ในระหว่างเวลากลางวัน อุณหภูมิที่ผิวของดาวพุธช่วงที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์
ที่สูงสุดถึง 700 เคลวิน (ประมาณ 427 องศาเซลเซียส) สูงพอที่จะละลายสังกะสีได้
แต่ในเวลากลางคืนอุณหภูมิลดต่ำลงเป็น 50 เคลวิน (-183 องศาเซลเซียส) ต่ำพอที่จะทำให้ก๊าซคริปตอนแข็งตัว
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิบนพื้นผิวดาวพุธจึงรุนแรง คือร้อนจัดในเวลากลางวันและเย็นจัดในเวลากลางคืน ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดบนดวงจันทร์ของโลกเราด้วย
ทั้งนี้เพราะไม่มีบรรยากาศที่จะดูดกลืนความร้อนอย่างเช่นโลก
ลักษณะพิเศษของดาวพุธ มีความหนาแน่นสูงมาก (5.43 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร เทียบกับโลก 5.52 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร) เป็นดาวเคราะห์ประเภทโลก
แต่มีความหนาแน่นมากเป็นพิเศษ ดาวพุธโตกว่าดวงจันทร์ไม่มาก แต่มีความหนาแน่นมากกว่าดวงจันทร์ถึง 16 เท่า เมื่อเทียบสัดส่วนแล้ว ดาวประเภทโลกซึ่งได้แก่ โลก
ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ และดวงจันทร์
ปรากฏว่าความหนาแน่นของโลก ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดวงจันทร์เพิ่มขึ้นตามขนาด กล่าวคือถ้าเขียนกราฟแสดงความหนาแน่นไว้เป็นแกนตั้ง
และรัศมีไว้เป็นแกนนอน จะพบว่าดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวศุกร์ และโลกอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน ดวงจันทร์มีขนาดเล็กที่สุด จึงมีความหนาแน่นน้อยที่สุด
โลกใหญ่ที่สุดมีความหนาแน่นมากที่สุด ส่วนดาวพุธอยู่สูงกว่าเส้นตรงนี้ จึงมีความหนาแน่นมากเป็นพิเศษ
จากสมบัติพิเศษข้อนี้ แสดงว่าแก่นกลางของดาวพุธมีความหนาแน่นสูง และมีขนาดใหญ่ องค์ประกอบส่วนมากจะเป็นเหล็ก แก่นกลางของดาวพุธเมื่อ
เทียบกับขนาดภายนอกจึงใหญ่ที่สุดในบรรดาดาวเคราะห์ทุกดวง สมบัติพิเศษข้อนี้นับเป็นการค้นพบใหม่ที่ทำให้เกิดปัญหาที่น่าคิดตามมาคือ
ปัญหาเรื่องกำเนิดและวิวัฒนาการของระบบสุริยะ นักดาราศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่า ดวงอาทิตย์และบริวารเกิดจากเนบิวลาเดียวกัน ในเวลาใกล้เคียงกัน
หากความเชื่อนี้เป็นจริง ย่อมมีข้ออธิบายเกี่ยวกับดาวพุธเป็นข้อใดข้อหนึ่งใน 3 ข้อต่อไปนี้คือ องค์ประกอบของเนบิวลาที่ก่อกำเนิดเป็นระบบสุริยะ
บริเวณตำแหน่งของดาวพุธจะต้องมีความแตกต่างอย่างมากจากบริเวณอื่น ดวงอาทิตย์ในระยะเริ่มแรกอาจมีพลังผลักดันมากในการผลักก๊าซเบาๆ
รวมทั้งธาตุที่มีความหนาแน่นต่ำให้หลุดลอยออกจากดาวพุธให้ไปอยู่รอบนอกของระบบสุริยะ
มีดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่งชนดาวพุธในระยะภายหลังการอุบัติขึ้นของดาวพุธไม่นาน ทำให้สารที่มีความหนาแน่นน้อยกลายเป็นก๊าซหลุดลอยไปจนหมดสิ้น
มีข้อสังเกตที่น่าแปลกใจอยู่มากๆ คือ การตรวจไม่พบธาตุเหล็กบนพื้นผิวดาวพุธ นับว่าเป็นข้อขัดแย้งกับสมมติฐานที่ว่า แกนกลางของดาวพุธเป็นเหล็ก ในกรณีของโลก
ดาวอังคาร และดวงจันทร์ ซึ่งมีแกนกลางเป็นเหล็กนั้นได้ตรวจ พบเหล็กในระดับผิวกายด้วย
ดาวพุธจึงอาจเป็นดาวเคราะห์ชั้นในดวงเดียวที่มีเหล็กอยู่ ณ ใจกลางและมีพื้นผิวเป็นซิลิเกต ซึ่งมีความหนาแน่นต่ำ
และอาจเป็นไปได้ว่าดาวพุธหลอมอยู่เป็นเวลานาน จนทำให้โลหะหนักตกลงไปอยู่ข้างล่างที่ศูนย์กลาง คล้ายเหล็กตกตะกอนอยู่ข้างล่างของเตาเผา
ดาวพุธมีสนามแม่เหล็กความเข้มสูง ยานมารีเนอร์ 10 ได้ตรวจพบว่า ดาวพุธมีสนามแม่เหล็กความเข้มสูงรองจากโลก สำหรับดาวเคราะห์ขนาดเล็กด้วยกัน
ในกรณีของโลกสนามแม่เหล็กเกิดจากการไหลหมุนเวียนของโลหะหลอม เหลวที่เป็นตัวนำไฟฟ้าภายในแก่นกลางของโลก ตามหลักการเดียวกันกับไดนาโมที่เลี้ยงตัวเองได้
ถ้าสนามแม่เหล็กของดาวพุธมีแหล่งกำเนิดแหล่งเดียวกับของโลก แสดงว่าแกนกลางของดาวพุธต้องเป็นของเหลวด้วยเช่นเดียวกัน
แต่สมมติฐานข้อนี้มีปัญหาอย่างหนึ่งตามมาคือ ดาวขนาดเล็กอย่างดาวพุธ จะมีอัตราส่วนของพื้นที่ต่อปริมาตรสูง ดังนั้น ถ้าอยู่ในสภาวะแวดล้อมเดียวกัน
ดาวขนาดเล็กจะแผ่รังสีออกสู่อวกาศได้เร็วกว่า นั่นหมายความว่า หากดาวพุธมีแก่นกลางเป็นเหล็ก เพราะความหนาแน่นสูงและมีสนามแม่เหล็กความเข้มสูง
แก่นกลางย่อมเย็นตัวและแข็งตัวนานมาแล้ว แต่แก่นกลางที่เป็นของแข็ง จะไม่สามารถก่อกำเนิดไดนาโมที่เลี้ยงตัวเองได้
ข้อขัดแย้งนี้นำไปสู่ความคิดที่ว่า แก่นกลางคงมีสารอย่างอื่นเจือปน สารเจือปนทำให้อุณหภูมิหลอมเหลวของเหล็กลดลง เหล็กจึงอยู่ในสภาวะเหลว
ที่อุณหภูมิต่ำลงได้ สารเจือปนที่เป็นไปได้คือ ซัลเฟอร์ ซึ่งมีมากในเอกภพ แต่ยังมีความคิดอื่นอีก เช่น แก่นกลางเป็นเหล็กแข็งล้อมรอบด้วยชั้นที่เป็นของเหลว
ซึ่งเป็นส่วนผสมของเหล็กกับซัลเฟอร์ที่อุณหภูมิ 1,300 เคลวิน (1,027 องศาเซลเซียส) มีหลุมอุกาบาตขนาดใหญ่ 2 หลุม อยู่คนละด้านของดาวพุธ
หลุมอุกาบาตขนาดใหญ่ที่เกิดจากการชนของดาวเคราะห์น้อยโดยตรง ชื่อแอ่งคาลอริส (Caloris Basin) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1,300 กิโลเมตร เกิดเมื่อ 3,600
ล้านปีมาแล้ว แรงของการชนทำให้เกิดคลื่นปะทะแผ่เข้าไปภายในดาวพุธ แล้วเกิดเป็นริ้วรอยอีกด้านหนึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาและรอยแยก
ต่อมาบริเวณนี้ถูกอุกาบาตอื่นชน และเกิดหลุมอุกาบาตเพตทราร์ค (Petrarch Crater) เกิดการชนรุงแรงมากพอที่จะทำให้ก้อนหินละลาย แล้วไหลเป็นทางยาว 100
กิโลเมตร ไปท่วมหลุมอุกาบาตขนาดเล็กกว่า ที่อยู่ใกล้เคียงกัน พื้นผิวดาวพุธมีร่องรอยเป็นทางยาวตัดกัน เรียกว่า ตารางของดาวพุธ (Mercurian Grid)
ริ้วรอยเช่นนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนอัตราการหมุนรอบตัวเองของดาวพุธ
เมื่อก่อนดาวพุธหมุนรอบตัวเองเร็วมาก อาจเป็นรอบละเพียง 20 ชั่วโมง ทำให้โป่งออกบริเวณเส้นศูนย์สูตร ขณะนั้นเปลือกนอกกำลังเย็นตัวลง
เมื่ออัตราการหมุนช้าลง แรงโน้มถ่วงจะทำหน้าที่ดึงและปรับให้ดาวพุธมีความเป็นทรงกลมมากขึ้น ริ้วรอยที่เป็นขีดยาวตัดกันซึ่งอาจเกิดขึ้นในตอนนี้นั้น
โปรดสังเกตว่าริ้วรอยนี้ไม่มีบนแอ่งคาลอริส แสดงว่าริ้วรอยเกิดก่อนแอ่งคาลอริส มีบรรยากาศที่เบาบางมาก
บรรยากาศเกิดจากลมสุริยะซึ่งถูกดักจับไว้ โดยสนามแม่เหล็กของดาวพุธ เหนือพื้นผิว ณ จุดที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด
ลมสุริยะพลังงานสูงจะลงมาถึงและชนพื้นผิว ทำให้เกิดอนุภาคใหม่ที่อยู่ภายในแมกนีโทสเฟียร์ของดาวพุธ แต่เนื่องจากเวลากลางวันพื้นผิวดาวพุธร้อนมาก
โมเลกุลของก๊าซบนพื้นผิวจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าความเร็วของการผละหนี ก๊าซจึงหนีไปหมด ดังนั้นในอดีตจึงเชื่อว่าดาวพุธไม่มีบรรยากาศเลย
ปัจจุบันนักดาราศาสตร์พบร่องรอยของบรรยากาศ และพบน้ำแข็งบริเวณขั้ว ซึ่งอาจเกิดจากการชนของดาวหางบนดาวพุธ และอาจเป็นผู้ก่อกำเนิด ออกซิเจน
และไฮโดรเจนบนดาวพุธ ปรากฎการณ์บนฟ้าเกี่ยวกับดาวพุธ เห็นอยู่ใกล้ขอบฟ้าเสมอ สาเหตุเป็นเพราะวงโคจรของดาวพุธเล็กกว่า วงโคจรของโลก
ดาวพุธจึงปรากฏห่างจากดวงอาทิตย์ได้อย่างมากไม่เกิน 28 องศา
นั่นหมายความว่า ถ้าอยู่ทางทิศตะวันออกของดวงอาทิตย์ จะเห็นทางทิศตะวันตกในเวลาหัวค่ำ แต่ถ้าอยู่ทางตะวันตกของดวงอาทิตย์ จะขึ้นก่อนดวงอาทิตย์
จึงเห็นทางทิศตะวันออกในเวลารุ่งอรุณ และเห็นเป็นเสี้ยวในกล้องโทรทรรศน์ เนื่องจากดาวพุธไม่หันด้านสว่างทั้งหมดมาทางโลก
แต่จะหันด้านสว่างเพียงบางส่วนคล้ายดวงจันทร์ข้างขึ้นหรือข้างแรม หันด้านสว่างมาทางโลก ถ้าดาวพุธหันด้านสว่างทั้งหมดมาทางโลก เราจะมองไม่เห็น
เพราะดาวพุธอยู่ไปทางเดียวกันกับดวงอาทิตย์ เห็นเป็นจุดดำเล็กๆ บนพื้นผิวดวงอาทิตย์
เมื่อดาวพุธมาอยู่บนเส้นตรงที่ต่อระหว่างดาวพุธกับโลก ปรากฏการณ์นี้เรียกว่าดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์
เคปเลอร์เป็นนักดาราศาสตร์คนแรกที่คำนวณได้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์ ดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์ ในวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2174
ซึ่งทำให้แกสแซนดีสามารถสังเกตปรากฏการณ์ครั้งนั้นได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ได้เกิดดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์แล้ว 48 ครั้ง เคยเกิดเมื่อ
วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 ครั้งสุดท้ายเกิดเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรากฏการณ์ดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์เกิดเฉพาะในเดือนพฤษภาคม และเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น ขณะที่เดือนพฤษภาคม
ดาวพุธจะอยู่ใกล้ตำแหน่งไกลสุดจากดวงอาทิตย์ ส่วนเดือนพฤศจิกายน ดาวพุธจะอยู่ใกล้ตำแหน่งใกล้สุดจากดวงอาทิตย์
ดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์ในเดือนพฤศจิกายนเกิดบ่อย กว่าในเดือนพฤษภาคมในอัตราส่วนประมาณ 7:3 ช่วงเวลาเกิดยาวนานที่สุด (ของเดือนพฤษภาคม) เกือบ 9 ชั่วโมง
สำหรับดาวพุธผ่านหน้าดวงอาทิตย์เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 ไม่เห็นในประเทศไทย เพราะเกิดขณะเป็นเวลากลางคืน
ดวงจันทร์เสี้ยวขณะเป็นวันข้างขึ้นน้อยๆ หรือข้างแรมมากๆ จะผ่านใกล้ดาวพุธเดือนละ 1 ครั้ง รูปร่างของดาวพุธในกล้องโทรทรรศน์จะคล้ายๆ
กับรูปร่างของดวงจันทร์เสี้ยวที่อยู่ใกล้ๆ ดวงจันทร์ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้ค้นพบดาวพุธได้สะดวกวิธีหนึ่ง
ที่มา - www4.msu.ac.th
◄ll กลับสู่ด้านบน
ตอนที่ 6 จุไรชมดวงดาว »
|