Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 9/7/08 at 10:48 [ QUOTE ]

ศาลาจตุรมุข (พลับพลาอนุสรณ์) ด้านหน้าพระอุโบสถ





ศาลาจตุรมุข (กำลังซ่อมแซม ภาพนี้ถ่ายเมื่อ 24 ก.ค. 2551)


...ศาลาจตุรมุข หรือ "พลับพลาอนุสรณ์" พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ สร้างไว้ตรงตำแหน่งเดิม ที่ได้สร้างพลับพลาเป็นการชั่วคราว

ซึ่งทำไว้เป็นที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ

เคยประทับครั้งเสด็จมาที่วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ได้ทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกตุมาลาพระประธาน และเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน ณ วัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘


การเสด็จครั้งนี้เดิมพระองค์จะเสด็จกลับ แต่พสกนิกรที่รออยู่ข้างทาง ต่างก็ถวายเครื่องสักการะ แต่ส่วนใหญ่ถวายปัจจัยทั้งสิ้น พระองค์จึงต้องเสด็จพระราชดำเนินไปรอบพระอุโบสถ ตามแถวที่ราษฎรนั่งอยู่ทั้งสองข้างทาง เพื่อทรงรับปัจจัยจากพสกนิกรที่ถวายด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วพระองค์ทรงนำปัจจัยนั้นมาถวายหลวงพ่อ



(หลวงพ่อกำลังอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกให้มาญาติโยมพุทธบริษัทสรงน้ำ
ก่อนที่จะทำพิธีอัญเชิญขึ้นไปบรรจุบนยอดฉัตรพระมณฑป)



(หลังจากถวายน้ำสรงพระบรมสารีริกธาตุแล้ว หลวงพ่อได้นำน้ำสรงนั้น
ประพรมให้แก่ทุกคนเป็นสิริมงคล แล้วจึงทำการพิธีบรรจุต่อไป)

หลวงพ่อท่านรับไว้แล้วได้นำมาสร้างมณฑปไว้เป็นที่ระลึก ประกอบกับหลวงพ่อท่านเห็นว่าสถานที่พระมหากษัตริย์ประทับแล้วไม่ควรให้ผู้ใดมาทับรอย จึงได้สร้างศาลาจตุรมุขนี้ครอบพื้นที่ไว้เป็นอนุสรณ์

ต่อมาในปี ๒๕๑๙ หลวงพ่อได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ณ ศาลานวราช เพื่อให้ญาติโยมสรงน้ำกันก่อน จากนั้นได้กระทำพิธีอัญเชิญขึ้นไปประดิษฐานไว้บนยอดฉัตร

หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีการซ่อมแซมเลย ปัจจุบันนี้ ปี 2551 พระครูปลัดอนันต์กำลังให้ช่างบูรณะใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบ ๓๐ กว่าปีมานี้



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 7/8/08 at 17:19 [ QUOTE ]


ประวัติการสร้างพลับพลาอนุสรณ์

โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)



"..ตอนนี้เป็นตอนที่ ๑๐ ของหนังสือ บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อจบตอนนี้แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงไล่เบี้ยอาตมาเรื่องศีลเข้าอีก พระองค์ทรงมีพระราชปรารภว่า

บรรดาประชาชนทั้งหลายทุกคน ถ้าต่างคนต่างรักษาศีลห้าครบถ้วน บ้านเมืองจะมีความสุข ความจริงพระราชดำรัสไม่ใช่ตรงเป๋งตามนี้ เป็นแต่เพียงว่าอาตมาตีความหมายตามพระราชดำรัสของพระองค์ เห็นจะเป็นเพราะพระอย่างยิ่ง..พระ

พระนี่เมื่อมีความผิดแล้ว คนเขาไม่ค่อยจะเห็นคุณเห็นโทษ และโดยเฉพาะไม่มีอาบัติเป็นเครื่องปรับ ท่านตรัสว่าอย่างนั้น เป็นของยากที่จะให้คนเห็นโทษเห็นคุณในการรักษาศีลห้า พระองค์ทรงแปรพระพักตร์ไปทาง พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์

"อย่าง..เสธ จิตต์ เป็นต้น อย่างนี้เขาอาจจะไม่รู้ว่าศีลห้ามีคุณค่าเป็นยังไง นี่พระองค์ตรัส เสธ..เข้าอีก อาตมาก็เสธ..ต่อไป เพราะอาตมา เสธ..เข้าก่อน จะไปโทษพระองค์ไม่ได้"

ในเมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้น อาตมาก็ถวายพระพรว่า หลวงพ่อปานท่านไม่ต้องการให้คนละศีลห้า หลวงพ่อปานต้องการอย่างเดียว คือให้คนละศีล ๒ พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสถามว่า ศีล ๒ มีอะไรบ้างขอรับ อาตมาก็ถวายพระพรว่า ศีล ๒ ที่หลวงพ่อปานท่านต้องการนั่นก็คือ

อทินนาทาน ต้องการให้คนไม่ลักไม่ขโมย ไม่คดไม่โกงซึ่งกันและกัน ยอมรับนับถือในสิทธิสมบัติซึ่งกันและกัน หลวงพ่อปานมีความประสงค์ให้คนละการดื่มสุราและเมรัย

แล้วอาตมาก็ถวายพระพรต่อไปว่า ศีล ๒ ของหลวงพ่อปานนี้มีความสำคัญมาก เพราะในอันดับแรก ถ้าคนทุกคนไม่คดไม่โกงซึ่งกันและกันแล้ว สุขมันก็จะมีขึ้นมามาก ทุกคนต่างยอมรับนับถือในสิทธิในสมบัติซึ่งกันและกัน แล้วอีกประการหนึ่งถ้าคนทั้งหลายไม่เสพสุราเมรัย จิตใจก็ทรงสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ความเร่าร้อนของประเทศชาติก็จะลดน้อยลงไป ประเทศชาติจะมีแต่ความเยือกเย็น

และในเมื่อ ๒ ศีลครบถ้วนบริบูรณ์แล้วในไม่ช้า อีก ๓ ศีลก็ครบถ้วนบริบูรณ์ อันนี้พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ จะทรงมีความเห็นด้วยหรือไม่ อาตมาไม่เข้าใจ แล้วพระองค์ก็ตรัสต่อไปว่า เมื่อก่อนนี้มันยุ่งเหลือเกินขอรับ มันติดอยู่ในวัตถุ ยุ่งมาก แต่ว่าเวลานี้สบายใจมากแล้ว เพราะไม่ติดในวัตถุ ตอนนี้ซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ตอนนี้ แหม อาตมาฟังแล้วประทับใจบอกไม่ถูก

นี่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นฆราวาสเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาเรียกกันว่าผู้ครองเรือน เรือนของพระองค์ก็ไม่เล็ก เรือนใหญ่เสียด้วย เรือนเต็มประเทศชาติ แต่พระองคืทรงมีพระราชดำรัสมาแบบนี้ ชื่นใจจริง ๆ ชื่นใจตอนไหนล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัทขายหญิง?

คำว่าไม่ติดในวัตถุนี่ มันเป็นของหายากมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเวลานี้สาวกของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ายังติดวัตถุกันบานเจ้าเลย หลวงพี่พระ หลวงพี่พระนี่แหละ แบกวัตถุกันไว้พอใจ แล้ววัตถุที่แบกไว้ บางทีก็เป็นวัตถุของตัวเอง บางทีก็ไม่ใช่ ดีไม่ดีวัตถุในศาสนาขององค์สมเด็จพระจอมไตรก็แบกเข้าไว้เป็นสมบัติของตัวเสียด้วย

นี่ในระหว่างที่พูดนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท มีข่าว ข่าวมีมากันเรื่อย ๆ มีคนชอบส่งข่าวให้ทราบ ว่ามีพระสมณะท่านหนึ่ง อย่าบอกฐานะเลย เอากันหลาย ๆ ท่านก็ยังได้ เขาจัดสรรที่แบ่งขายเป็นล็อค ๆ นี่ มีฐานะปกครองพระเสียด้วย ย่องเข้าไปซื้อที่กับเขาด้วยนี่ เขาว่ายังงั้น (คนที่มาบอกเป็นญาติ) บอกว่าความจริงพระองค์นั้นก็เป็นญาติกับผมนะขอรับ

เลยบอกว่าช่างท่านเถอะ เพราะว่าท่านมีความสงเคราะห์ ซื้อไว้มันก็ไม่ไปไหน เวลาท่านตาย คนอื่นก็จะได้กินได้ใช้ จะได้อาศัยอยู่ ความจริงเป็นเสียอย่างนี้ซี สาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูน่าจะละ เป็นพระแล้วน่าจะละ แต่ว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นฆราวาสกลับละ พระองค์ตรัสว่าละได้แล้ว ตัดวัตถุได้แล้วมีความสุขพระทัย มีความสุขมาก สมัยก่อนนี้มันยุ่งเหยิงเหลือเกิน

ความจริงพูดกันตอนนี้ แหม ถ้าจะพูดกันอย่างชาวบ้าน อาตมาคิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาจจะเตือนอาตมาก็ได้ สร้างที่ไหนไม่ได้อยู่ที่นั่น สร้างแล้วก็ไป ๆ ใจมันไม่แบกวัตถุ แต่ใจชอบทำวัตถุ ทำไว้ให้ชาวบ้านเขาแบกกัน มันโก้ดี ก็บอกว่าที่อาตมาสร้างไว้มันเป็นวัตถุแห่งความสุข อย่างการขุดบ่อน้ำมันเป็นความสุขกาย สุขใจของคนที่ได้ใช้ แล้วบ่อที่ขุดไว้ก็ไม่ได้เลือกคนใช้ ใครก็ได้ คนที่ด่าอาตมาก็ยังใช้ได้

วัดวาอารามที่สร้างไว้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ให้แต่เฉพาะคนที่รักอาตมาใช้ คนที่เกลียดอาตมาด่าอาตมาก็มีสิทธิใช้ เวลานี้เขาก็ยังใช้อยู่เยอะแยะ ไปไหนก็ทำความเจริญให้เรื่อย อย่างกระแสไฟฟ้ามาที่นี่ สร้างให้ชาวบ้านใช้ แล้วดีไม่ดีไอ้กระแสไฟฟ้าเป็นเสียงด่าออกมา อาตมาก็ดีใจ ว่าพระพุทธเจ้าเทศน์ถูก ทำไมล่ะ ก็ นัตถิ โลเก อนินทิโต คนที่ไม่ถูกด่า ถูกว่ามันไม่มีในโลก มันเป็นอย่างนั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท

นี่พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ความจริงอาตมาจำไม่ได้หมด เอากันแค่นี้ก็แล้วกัน จำไม่ได้นี่ จำได้อีกหน่อยหนึ่งตอนท้ายว่า วันนี้ผมมีความสุขใจมาก ผมมีความสบายใจมาก ความจริงพระราชดำรัสอาจจะมีมากกว่านี้ แต่อาตมาจำไม่ได้อาตมาเห็นว่าเวลามันมากเกินไป อาตมาเองก็ไม่หยุดพูด พระองค์เองก็ตรัสไม่หยุด ก็เกรงว่าจะเป็นการบังคับเวลาของพระองค์มากเกินไป

อาตมาจึงได้ตัดบทว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน นี่ตัดบทเป็นขั้นสุดท้าย ว่าถ้าประเทศไทยต้องเป็นทาสใคร อาตมาขอเอาชีวิตเป็นประกัน ยอมตาย นี่ถ้าสมัยก่อน ถ้าผิดไปเขาตัดหัว ถูกสั่งตัดหัวอาตมาก็ยอมแล้ว

แต่ความจริงไม่ได้คิดหรอกว่า อีกวันสองวัน อีกไม่กี่วันมันก็จะตาย แล้วตัดหัวจะมีความหมายอะไรกับความตายที่จะมาถึงอยู่แล้ว นี่พูดตามความจริงใจ ที่พูดตามนั้นก็เชื่อตามหลวงพ่อใยที่ท่านพยากรณ์ไว้ ว่าประเทศไทยยังจะมีรัชกาลที่ ๑๐ แล้วก็ยังจะมีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป

แล้วหลวงพ่อปานยังพูดต่อไปว่า ไม่ใช่มีแต่รัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปจะมีไปเรื่อย ๆ พระมหากษัตริย์ในประเทศไทย แล้วชาวโลกทั้งหลายทั้งหมดก็จะกลับปฏิวัติจากระบบประชาธิปไตย หรือระบบประธานาธิบดีทั้งหลาย กลับมาเป็นกษัตริย์อย่างเดิม เรียกว่ากลับมามีกษัตริย์ตามเดิม

ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น อาตมานั่งคิดนอนคิดมานาน บรรดาท่านพุทธบริษัท มันก็คิดไม่ออก ว่าทำไมท่านผู้รู้ท่านจึงได้กล่าวกันไว้อย่างนั้น แต่มาพิจารณาในตอนหลังก็พอเข้าใจได้ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย การเปลี่ยนกันขึ้นมาบริหารประเทศ

ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ แต่เป็นประชาธิปไตย มีหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นนายกรัฐมนตรี บางประเทศก็มีประมุขของประเทศเป็นประธานาธิบดี มีหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นนายกรัฐมนตรี สองสามหรือสี่ปีเปลี่ยนกันทีหนึ่ง ห้าปีเปลี่ยนกันทีหนึ่ง ดีไม่ดีปีสองปีก็เปลี่ยนกัน

การปกครองแบบนี้นั้นมันเป็นของดี เขาเรียกว่าประชาชนเป็นใหญ่ แต่ความใหญ่ของประชาชนนี่ซี บรรดาท่านพุทธบริษัท มันใหญ่เสียหลายอย่าง บางทีฐานะเล็ก ๆ อยู่ไม่กี่วันพอเข้ามาบริหารประเทศ ฐานะก็ใหญ่ไปด้วย เมื่อคนหนึ่งขึ้นมาใหญ่แล้ว ไม่เป็นไร นาน ๆ เปลี่ยนกันขึ้นมาใหญ่ต่อไปอีก นี่ ในเมื่อฝ่ายบริหารใหญ่ ฝ่ายถูกบริหารก็เล็ก ผอมลง ๆ คนบริหารก็ใหญ่ขึ้น ๆ

นี่เราว่ากันถึงว่านักบริหารที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต แต่นักบริหารที่ดีก็มีถมไป แต่ว่าการบริหารหรือจิตใจของคน บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่ไม่ติดในวัตถุมันก็มีเป็นของน้อย เพราะคนทุกคนต้องอาศัยวัตถุเป็นสำคัญ

นี่ เพราะเหตุการณ์อย่างนี้แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าเราจะหันหลังไปดูสมัยสุโขทัยจะเห็นว่าพระองค์ทรงปกครองประเทศชาติในระบบประชาธิปไตย แต่มีกษัตริย์เป็นประมุข แม้แต่สมัยรัตนโกสินทร์ก็เหมือนกัน ไปอ่านจดหมายเหตุให้ดี การบันทึกการประชุมให้ดีบรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ไหนที่ใช้พระราชอำนาจเกินสมควร เว้นไว้แต่บางกาล บางวาระ

อาจจะมีบ้างก็เช่นเดียวกันกับการบริหารแบบปัจจุบัน เราจะเห็นว่าบางกาล บางวาระก็ออกข้าง ๆ เหมือนกัน อันนี้ท่านเปรียบเทียบไว้ แหมจะพูดไปก็กลัวตะราง ไม่พูดดีกว่า เป็นอันว่าเอายังงี้แล้วกัน เรื่องพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต่ออาตมา เรายุติไว้แต่เพียงเท่านี้

สำหรับตอนนี้ เรื่องพระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ผ่านไปแล้ว ในเมื่อเวลานี้หน้ากระดาษยังเหลืออยู่ ก็ขอแจ้งงาน รายงานแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทต่อไป คืองานที่จะทำต่อไปหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับแล้ว งานส่วนนี้ก็คือจะจัดสรรอาคารสถานที่ทั้งหมดให้เรียบร้อยภายในระยะเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙

แล้วก็โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ วันนั้นสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถได้ถวายจตุปัจจัยเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์แก่อาตมา รวมเงินทั้งหมดสามหมื่นห้าพันบาท อันนี้ไม่ใช่เงินโดยเสด็จพระราชกุศล สำหรับเงินที่บรรดาศิษยานุศิษย์ร่วมกันโดยเสด็จพระราชกุศลในวันนั้น คณะศิษยานุศิษย์รวมเงินกันได้ ๖ หมื่นบาท

แล้วทราบจาก พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ว่า สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชีนีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้แบ่งเงินจำนวนนี้ออกเป็น ๒ ส่วน คือส่วนหนึ่งสร้างอาคารสถานที่ใหม่ คือพระอุโบสถใหม่ อีกครึ่งหนึ่ง คือสามหมื่นบาทให้ซ่อมแซมพระอุโบสถเก่า โดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่าเงินจำนวนนั้น จะมอบให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด เวลานี้ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ก็ได้จัดมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปแล้ว

สำหรับเงินที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถถวายอาตมาในวันนั้น พระองค์ไม่ได้รับสั่งให้เอาเงินนี้ไปทำอะไร แต่มีความเข้าใจว่าคงมีพระราชประสงค์จะร่วมในวิหารทาน ฉะนั้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรชาวไทย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวจังหวัดอุทัยธานี และชาวจังหวัดใกล้เคียงที่พระองค์ได้เสด็จมาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และ หล่อรูปหลวงพ่อปาน เพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทและศาสนาอย่างยิ่ง






(หลังจากสร้างพลับพลาอนุสรณ์เสร็จแล้ว เจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา และ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงค์ วัดราชผาติการาม ได้ทำพิธียกฉัตร เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2519)

ฉะนั้น จตุปัจจัยที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงถวาย อาตมาก็จะขอตั้งเป็นทุนเอาไว้ เพื่อสร้างพลับพลาเป็นอนุสรณ์ คือทำเป็นจตุรมุขมียอดกลาง ความจริงให้ชื่อว่า "พลับพลา" บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้าจะคิดว่า นี่เราสร้างให้แก่พระเจ้าแผ่นดิน อาจจะมีผลเนื่องในการบำเพ็ญกุศลน้อยไป

ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ใช้ศัพท์ว่า “พลับพลา” เพื่อจะเป็นอนุสรณ์ว่า ที่วัดนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ พระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ได้เคยเสด็จมาโปรดบรรดาปวงชนชาวไทยให้ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด ถือว่าเป็นมิ่งขวัญใหญ่

ฉะนั้น สถานที่ตรงไหนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับแล้วตามโบราณถือว่าสถานที่ตรงนั้น ถ้าใครไปปลูกบ้าน ทับก็ดี หรือพระไปตั้งกุฏิทับก็ดี ถ้าบุญบารมีไม่สมควรแก่พระองค์ก็จะพบกับความย่อยยับ คือหาความเจริญมิได้ อาตมาในฐานะที่เป็นพระโบราณ จึงจะสร้างอาคารสถานที่ทับเข้าไว้ที่ตรงนั้น เพื่อเป็นการห้ามไม่ให้ใครไปสร้างอาคารสถานที่ทับเป็นที่อยู่

แล้วพลับพลานี้ สร้างในเขตของพระบรมครู คือในเขตของสงฆ์ ถ้าเราไม่ใช้คำว่า พลับพลาก็ต้องเรียกว่าเป็นมณฑป เป็นอันว่าเป็นการสร้างวิหารทานไว้ในพระพุทธศาสนา สำหรับพลับพลาที่ประทับอันเป็นอนุสรณ์หลังนี้ ช่างประมาณราคาไว้ประมาณ ๘ แสนบาทเวลานี้ เวลาที่อาตมาพูดนี่คือเป็นวันที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๘ ก็ได้เริ่มลงมือวางคานแล้ว จะให้เสร็จก่อนเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ แล้วพร้อมกันนั้น ก็ได้ทำกำแพงแก้วขึ้นรอบพระอุโบสถ

...นี่เป็นเรื่องธรรมดาของพระอุโบสถ ต้องมีขอบเขตเป็นพุทธสถานตามที่คณะสังฆมนตรีได้มีบัญชาไว้ในกาลก่อน วางระเบียบของวัดในพระพุทธศาสนา คือแบ่งเขตเข้าไว้เป็นเขตพุทธสถาน เขตสังฆสถาน เขตจัดผลประโยชน์ อันนี้คณะสังฆมนตรีลงมติให้มีรั้วขอบเขตกั้นรอบเข้าไว้ เพื่อจะได้รู้ว่าเขตนี้เป็นเขตอะไร

แล้วต่อไปบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เดือนมีนาคมเป็นเวลาครบรอบ ๒๔ เดือนพอดี สำหรับสถานที่สร้างเป็นอนุสรณ์ของหลวงพ่อปานวัดบางนมโคนี้ อาตมาก็จะจัดการยกช่อฟ้า หรือว่าฝังลูกนิมิตด้วยก็ได้ ถ้าหากว่าไม่มีอุปสรรคขัดข้อง แล้วจะจัดการฉลองศาลาที่ประทับ อันเป็นอนุสรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมา

และในงานนั้นในวันที่ ๑๙ จะอาราธนาพระสุปฏิปันโนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อมาทำพิธีพุทธาภิเศก อาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรจุไว้ในของที่ระลึก และจะแจกแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มีนาคม ถึงวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๑๙ รวมเวลา ๙ วัน

ในงานนี้ ไม่ปรารภมหรสพ หมายความว่าจะมีบ้างก็พวกฟ้อน พวกอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเวลากลางวันกลางคืนไม่มีงานสมโภช อาตมาไม่ต้องการอย่างนั้น แล้วนอกจากการฟ้อนก็มีมโนห์รามาจากปักษ์ใต้ ซึ่งเป็นภาระของ ม.ล. วรวัฒน์ นวรัตน์ จะจัดการเอามโนห์รามาแสดงสลับกับการฟ้อน

เพื่อเป็นการสนองความดีบรรดาท่านพุทธบริษัท งานทั้งหมดนี้จะจัดแต่กลางวัน กลางคืนไม่มี แล้ววันที่ ๒๗ มีนาคม วันนั้นจะมีพระธรรมเทศนา ๑๑ ธรรมาสน์ เพื่อเป็นการประกาศศาสนธรรม คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสนดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าหากว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้ามีเวลา ก็จะได้มาเห็นว่างานการก่อสร้าง ๒๔ เดือน ที่อาศัยความดีของท่านพุทธบริษัทพากันสละจตุปัจจัยไว้ในพระพุทธศาสนา งานนี้จะพึงมีอะไรบ้าง ถ้าหากว่าท่านจะพึงเห็นวัตถุก่อสร้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

ปรากฏอยู่ในเขตขององค์สมเด็จพระบรมครูเป็นปูชนียสถาน ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจงคิดว่า นั่นเป็นสมบัติของท่านทุกคนที่ท่านได้บำเพ็ญกุศลมาทั้งในส่วนโดยเฉพาะในการก่อสร้าง ว่าเงินที่ท่านถวายแก่อาตมาเพื่อเป็นส่วนตัวนี้ อาตมาใช้ปีหนึ่งไม่เกิน ๑ เปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าทราบอยู่ดีว่าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่บริจาคเข้ามาก็หวังจะได้อานิสงส์ ๒ ประการ คือ

๑.สงเคราะห์พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

แล้วประการที่ ๒.หวังจะสร้างวิหารทานไว้ในพระพุทธศาสนาด้วย เพื่อเป็นการช่วยจรรโลงพระพุทธศาสนาให้คงทนต่อไป การสร้างวิหารทานในพระพุทธศาสนานี้ไซร้ องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรัสว่ามี อานิสงส์เป็นเลิศประเสริฐกว่าการถวายทานใดๆ ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงตรัสไว้ในผลของทาน ๑๔ ประการ

แล้วอีกแห่งหนึ่ง ใกล้กับสถานที่วัดสร้างอยู่ในปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ท่านเจ้าของ คือ นางเริญ สุนพฤหัส ได้ไปทำหนังสือถวายอาตมา ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองอุทัยธานี แต่ทว่าปรากฏว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งอ้างว่าเป็นอดีตเจ้าอาวาสบ้าง เป็นกรรมการวัดบ้าง ไปฟ้องคัดค้านบอกว่าถวายอาตมาไม่ได้ ที่นั้นเป็นที่วัด เวลานี้ยังเป็นคดีอยู่ ขณะที่พูดนี้เป็นวันที่ ๓ กันยายน

อาตมาก็สงสัยบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน ว่าที่นี้เขารับมรดกมาจากสามี ประกาศ ๓๐ วัน แล้วก็เวลาจะทำ นส. ๓ ก็ประกาศอีก ๓๐ วัน ทำไมไม่มีใครคัดค้าน แล้วเมื่อเราจะถวายสร้างเป็นวัดกลับมาคัดค้านว่าเป็นที่วัด ความจริงที่สร้างใหม่ก็เป็นที่วัด

เรื่องนี้แหละบรรดท่านพุทธบริษัท ทำให้สงสัยว่าถ้าหากว่าผู้ค้านหรือผู้ปกครองต้องเสียพื้นที่ไป เป็นพระอยู่ก็ต้องพิจารณาความผิด ว่าทำไมจึงปล่อยให้เขาทำ นส. ๓ ขึ้นมาได้ เวลาล่วงเลยมาเป็นสิบ ๆ ปี คือเขาปกครองมานี้สมัยที่สามีเขายังอยู่ แล้วกว่าจะมาถึงเขา ถ้าหากว่าปล่อยให้หลุดไปก็ต้องพิจารณาว่าหย่อนสมรรถภาพ ถ้าหากว่าที่นั้นไม่ใช่ที่ของวัด ไปฟ้องเขาก็กลายเป็นโกงเขา

นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภ อยากจะให้กฎหมายคุมพระวินัย อาตมาเห็นชอบด้วย จะได้ช่วยให้พระที่มีกิจปกครองของสงฆ์ระมัดระวังตัวมากขึ้น จะได้ไม่ทำสมบัติของสงฆ์ให้เสื่อมเสียไป และไม่ทำลายพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ย่อยยับ

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท กาลเวลาสำหรับจะพูดกับบรรดาท่านพุทธบริษัทก็เห็นว่าสมควรแล้ว หนังสือนี่ก็หนามากเกินกว่าที่คิดไว้ จะต้องขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้

ในที่สุด อาตมาในฐานะพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาของตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะทั้งสามประการ

ขอจงดลบันดาลให้ท่านพุทธบริษัททุกท่านมีความสามัคคีทรงความเป็นไทไว้ ปราศจากความเป็นทาส หากว่าศัตรูเหล่าใดจะมาทำลายชาติไทยให้พินาศ ขอให้ท่านทั้งหลายจงปราบปรามศัตรูนั้นให้สิ้นไปโดยฉับพลันเถิด...สวัสดี.



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 4/11/08 at 10:04 [ QUOTE ]


แผ่นพับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ พิมพ์แจกประกาศ
กำหนดงานยกช่อฟ้า ฉลองอนุสรณ์พลับพลาที่ประทับ
เมื่อปี พ.ศ. 2519







...การที่นำมาลงให้อ่านนี้ ก็เพื่อประสงค์จะคงไว้ซึ่ง "มรดก" ชิ้นหนึ่งของท่านที่มีคุณค่า เพราะจะหาเอกสารเก่าๆ เช่นนี้ไม่ได้อีกแล้ว อ่านแล้วจะรู้ว่าท่านเหนื่อยยากลำบากแค่ไหน กว่าจะมาเป็นวัดท่าซุงในวันนี้

หวังว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลัง จะได้รักษาและหวงแหน ผลงานที่ท่านต้องตรากตรำมานานนับสิบปี คงจะไม่นั่งกินหลับนอนอย่างสุขสบาย อยู่บนท่ามกลางความทุกข์ยากของท่านที่ผ่านมา

พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นผู้มีปฏิภาณ ฉลาดและทันคน หลักแหลมทั้งการวัดและการบ้าน มีความรอบรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม มีความกตัญญูเป็นเลิศ ไปที่ไหนก็จะประกาศเกียรติคุณของหลวงปู่ปานเป็นอันดับแรก แม้มาอยู่ที่วัดท่าซุง ก็ยังใช้ชื่อหลวงปู่ปานนำหน้าเสมอ ท่านจึงได้มีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว



[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top