Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 8/8/08 at 13:10 [ QUOTE ]

ประวัติการสร้างวัดท่าซุงของหลวงพ่อฯ (พระครูปลัดอนันต์บันทึก ตอนที่ 3)


บันทึกโดย..พระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ


« ตอนที่ 1 « ตอนที่ 2





หลวงพ่อมรณภาพ



ลูกศิษย์ทุกคนเนี่ย พร้อมใจกันสร้างถวายก็มีคนให้เงินมา คนละเป็นแสนก็มีหลายคน แต่เมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จะไปสร้างก็เหมือนไม่งาม เหมือนการแช่งให้ครูบาอาจารย์ให้ตาย ก็คิดกันหยาบๆ ก็ไปให้ ดร. ปริญญาไปออกแบบ เมื่อออกแบบที่เก็บพระศพท่านออกมา แล้วก็นำมาถวายให้หลวงพ่อท่านเลือก

ท่านบอกว่า อย่าให้คนตายเลือกเลย ชอบแบบไหนก็เอาแบบนั้นก็แล้วกัน ดร.ปริญญาก็บอกว่า งั้นผมเอาแบบนี้ ท่านก็ว่า ดี เอา พระพุทธเจ้าไว้ข้างบน พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรอยู่ ๒ ข้าง เมื่อคนมากราบจะได้กราบพระรัตนตรัยด้วย จะถึงพระพุทธเจ้า จะถึงพระธรรมพระสงฆ์ จะได้ได้บุญมาก

ท่านบอกว่า ศพของท่านนั้น จะมีพระที่มีความสำคัญมาช่วยดูแล เมื่อใครมากราบแล้วก็จะเป็นมงคล เหมือนท่านยังมีชีวิตอยู่

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านสร้างระเบียบสร้างคำสอนการปฏิบัติพระกรรมฐานเอาไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ท่านหวังว่าจะให้โยมทุกท่านที่สนใจในธรรมมีความเข้าใจในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านจึงสร้างคำสอนของท่านไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ต่อไปนี้ก็จะขอสรุปเรื่องลัดๆ ตามอารมณ์อยากจะพูดอยากจะเขียนตามใจนึก

มีอยู่คราวหนึ่งหลังจากหลวงพ่อของเราได้มรณภาพลงแล้ว ปีพ.ศ. ๒๕๓๖ เดือนมีนาคมได้จัดงานประจำปีที่ศาลา ๒ ไร่ ได้นิมนต์พระผู้ใหญ่ที่หลวงพ่อเคารพนับถืออยู่มาหลายองค์ มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ มีสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดเบญจมบพิตร

คราวนั้น หลวงพ่อท่านมรณภาพลงใหม่ๆ เราจัดงานกันเฉพาะลูกศิษย์เด็กๆ ทั้งนั้น เมื่อจัดงานก็ต้องเอาของไทยทานไปถวายพระผู้ใหญ่ อาตมาเองในฐานะตัวแทนสงฆ์ของวัดท่าซุง ก็เอาตำราที่ ดร.ปริญญา รวบรวมคำสอนของหลวงพ่อมาทำเป็นหนังสือเล่ม ทำรวมทำเล่ม เอาคำสอนของท่านทุกอย่างเอามารวมเป็นเล่มใหญ่ เอาไว้เป็นตำราทางวัดหรือของญาติโยม มาจัดรวมกับไทยทาน

นำไปถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จวัดสามพระยา เจ้าประคุณสมเด็จองค์นี้ ท่านเป็นผู้มีความรอบรู้พระธรรมวินัยทุกอย่าง เป็นผู้ที่รู้จริง ท่านก็บอกกับอาตมาว่า นี่คุณ หนังสือที่ท่านเจ้าคุณเขียนนี่ ที่ท่านเจ้าคุณพูด คุณถือว่าเป็นตำราในพุทธศาสนาได้นะ ถือว่าเป็นตำราได้เลย เราก็ตอบว่าครับ สิ่งเหล่านี้นี่ พระผู้ใหญ่ท่านเป็นกองตำราอยู่แล้ว

เมื่อท่านอ่าน ท่านเป็นนักปฏิบัติ ท่านเป็นนักปริยัติ ท่านรับรองอย่างนี้ ก็ตรงกับที่หลวงพ่อพูดไว้ว่า เป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าให้นำมาสอน พูดอย่างนี้จะหาว่า หลวงพ่อเราอวดอุตริวิเศษกว่าคนอื่นทั้งหมด ถ้าพูดอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ จะผิดสักหน่อย เพราะพระที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านก็พูดเหมือนกันอย่างนี้หลายองค์

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายที่เอาหนังสือคำสอนของหลวงพ่อที่ทางวัดพิมพ์แจก ก็ขอให้มั่นใจได้ว่าไม่ผิดแบบไม่ผิดแผน สามารถจะนำไปปฏิบัติได้ ถ้าปฏิบัติได้ก็จะมีมรรคผล ตามที่กล่าวไปแล้ว

อาตมาอยู่วัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๖ อยู่ร่วมกับท่านสมัยพ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ ก็มีพระไม่มาก มีพระประมาณ ๑๐ กว่าองค์ ออกพรรษแล้วก็เหลือประมาณ ๕-๖ องค์ ก็นั่งเจริญพระกรรมฐานกันทุกวันหลังจากจบภารกิจก่อสร้างตอนเย็นๆ เมื่ออยู่ร่วมกับครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อท่านก็ลงสอนตอนทุ่มครึ่งหรือ ๒ ทุ่ม ทุกวัน

การสอนของท่านก็มีคนมีชาวบ้านแถวนี้ แถววัดท่าซุงนี่มานั่งกันประมาณ ๕-๖ คน เย็นๆก็เดินมาถือพวกหมากกระทายหมากมั่ง หรือถือของใช้ส่วนตัวมาฟังธรรมตอนเย็นๆ มานั่งกรรมฐาน เช้าก็เดินกลับ พวกเรามีกัน ๕-๖ องค์ก็นั่ง เช้าก็บิณฑบาต เสร็จตอนกลางวัน ตอน ๕ โมงเข้าก็ฉันร่วมกันแล้วก็ออกทำงาน ตอนเย็นๆก็ทำวัตร สวดมนต์ นั่งรอหลวงพ่อนั่งมั่งนอนมั่ง จนกว่าหลวงพ่อจะลงมาตอน ๒ ทุ่ม

ท่านสอนที่ตึกเรียกว่า ตึกขาว พอกลางปี ๒๕๑๗ ก็ย้ายมาสอนที่ตึกเสริมศรี ท่านสอนอย่างนี้ทุกวัน

เมื่อสอนที่ตึกเสริมศรีนั้น ท่านสอนเรื่อง ระเบียบวินัยและธรรมะข้อปฏิบัติ สอนกรรมฐาน ๔๐ จนจบ ๑ รอบ สอนต่อเนื่องกันไป เมื่อจบกรรมฐาน ๔๐ ก็สอนมหาสติปัฏฐานสูตรอีก ๑ รอบจบไป เมื่อสอนมหาสติปัฏฐานสูตร แล้วก็มาสอน จริต ๖ คำสอนของท่านนี่ สอนจบกองของกรรมฐานทุกกอง สอนจบถ้าปฏิบัติได้ตามก็จะเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว แต่ผู้พูดผู้เขียนไม่เคยจบตามนั้น ยังมีกิเลสพอกเต็มเหมือนเดิม แต่ก็อยู่ด้วยความพอใจว่า วันหนึ่งกิเลสจะต้องเบาบางไปบ้าง

ฉะนั้นท่านสาธุชน ผู้อ่านก็ดี จงเข้าใจว่า หลวงพ่อนั้นเป็นผู้ที่มีระเบียบวินัยสำคัญองค์หนึ่ง ท่านสอนให้เรามีสติสัมปชัญญะทุกอย่าง และการรักษาของสงฆ์ก็ดี รักษาตัวก็ดี ท่านทำเป็นแบบอย่างทุกอย่าง

มีอยู่คราวหนึ่ง พระตอนเย็นนั้นจะฉันพวกน้ำปานะ ก็เอากระติกน้ำร้อนมาวางไว้ที่บันไดคิดว่า หลังกรรมฐานแล้วขากลับจะเอากระติกกลับกุฏิด้วย เมื่อท่านจะสอนพระกรรมฐานก็จะต้องเดินผ่านทางนั้น

เมื่อท่านเห็นกระติกน้ำร้อน สมัยก่อนเป็นแก้วข้างในถ้าหล่นก็จะแตก เมื่อท่านขึ้นไปเทศน์ท่านก็จะบอก เทศน์เรื่องกระติกเลย เรื่องสติสัมปชัญญะว่าอะไรควรไม่ควร ของนั้นยังไม่เสียหาย แต่อาจเสียหายเมื่อภายหน้า

คือ กระติกอาจไว้ที่เชิงบันได สนุขเดินผ่านไปผ่านมาอาจจะกระทบกระทั่ง ทำให้ล้มได้ จะเกิดของเสียหาย ของญาติโยมถวายเป็นของส่วนตัวก็ดี ด้วยเงินที่เขาต้องแลกด้วยแรงกายมันสมอง เอาทรัพย์ส่วนนี้ไปซื้อวัตถุมาถวาย

เพื่อให้พระได้ใช้ได้ฉัน ด้วยความสะดวกสบาย แต่พระนั้นขาดสติ ขาดสัมปชัญญะ ไม่รู้ค่าของของว่า เขาถวายด้วยความเคารพรัก ด้วยศรัทธาด้วยแรงกายและแรงใจ แต่เราไม่รู้จักว่า จะรักษาของนั้นให้นาน เรียกว่า ขาดปัญญา ขาดความคิด ขาดสติสัมปชัญญะ ไม่ดูแลว่ามันจะเสียหาย

ท่านบอกว่า ถ้าขาดสติอย่างนี้ ก็คงไม่ใช่พระ ฆราวาสชั้นเลวเขายังไม่ทำกัน พอเทศน์จบพระที่อยู่ในอาคารตึกเสริมศรีก็นั่งกันเหงื่อแตก ทำให้พระได้เข็ด เข็ดขั้นอายญาติโยม เพราะญาติโยมก็อยู่ในตึกด้วย นั่งกรรมฐานร่วมกัน การสอนของท่านมีหลายแบบ หลายแบบมาก สอนให้เราระมัดระวัง ว่าจะเสียหายหรือเป็นอะไรอีก มาอยู่กับท่านนานๆ เราทั้งรักและเกรงกลัวว่า ครูบาอาจารย์นั้นจะตำหนิอีก ก็ระมัดระวังจิตระวังกาย เพราะครูบาอาจารย์นั้นรู้จริง เราจะไปทำผิดที่ไหนโดยไม่ต้องบอกใคร เมื่อท่านขึ้นเทศน์หรืออบรมกรรมฐานก็จะเอามาเทศน์มาสั่งสอน

มีอยู่คราวหนึ่ง พระผู้ซึ่งบวชใหม่ ห่วงโลก คือ โลกเขาคุยกันยังไง พระก็คุยกันอย่างนั้น คุยกันสารพัด โดยที่ครูบาอาจารย์ไม่อยู่ก็ดี หรืออยู่ห่างไกลก็ดี พวกเราก็จะคุยกันสารพัดเรื่อง พอตอนเย็นก็มานั่งกรรมฐานกันปกติ วันดีคืนดีท่านก็จะอบรมพิเศษสักครั้งหนึ่ง แต่นี่ก็บ่อยนะ บ่อยครั้ง แต่ว่าเป็นพิเศษนั้น

ท่านพูดให้ฟังว่า พระก็ดี ญาติโยมก็ดี พระถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ ท่านก็อบรมไปเรื่อยๆ ประเสริฐก็อยู่ที่มีศีลดี บริสุทธิ์ มีใจสงบระงับจากนิวรณ์ มีปัญญาลดละกิเลส มีสังโยชน์ ๓ เป็นต้น

ได้ก็ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐแล้ว แต่พระของเรา หรือผู้ห่มผ้าเหลือง หัวโล้นห่มผ้าเหลือง ยังทำตัวเหมือนฆราวาส คือ ชอบพูดสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ กับการปฏิบัติธรรม เรียกว่าเดรัจฉานคาถา อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นผู้ประเสริฐไม่ได้ แม้นจะห่มผ้าเหลืองก็ถือว่า ไม่ใช่พระเป็นผู้ขวางแห่งธรรม พูดเป็นเชื้อโรคก็พูด พูดเหมือนสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นพระได้ยังไง เห็นหัวก็รู้แล้ว ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสัตว์นรก ตายแล้วก็ต้องไปตกนรก เมื่อครูบาอาจารย์พูดเฉียดหัวไป ภาษาชาวบ้านเขา เรียกว่า เฉียดหัวใกล้ตัวเข้ามาทุกที นี่เราคุยกันอยู่ที่ไหน ในป่าในที่ทำงานครูบาอาจารย์ก็รู้

กลางคืนเทศน์ ท่านก็จะเอาที่เราพูดนั้นมาสอนเราว่า พูดอย่างนี้มันไม่ดี ฝึกจิตต้องภาวนาอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงจะดี เมื่อเทศน์ตำหนิบ่อยๆ ความเกรงกลัวก็เกิดกลัวครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้กลัวตลอดไป ครั้งใหม่ก็จะทำอีก ทำในนี้หมายความว่า ระงับนิวรณ์จากใจไม่ได้

เมื่อครูบาอาจารย์ตำหนิอย่างนี้ ก็ไม่ค่อยเข้าหน้าท่าน เพราะวัวมันสันหลังหวะเสียแล้ว พอครูบาอาจารย์เข้ามาใกล้ ก็ต้องหลบเพราะแผลมันใหญ่ กลัวท่านจะตำหนิอีก เป็นการกลัวกันจริงๆ เมื่อครูบาอาจารย์ตำหนิอย่างนี้แล้ว รุ่งขึ้นเราก็คุยกันใหม่ว่า ผมบอกแล้วว่า ท่านนี่คุยอย่างนี้ โดนเลยเห็นไหม เมื่อคืนโดนเลย อย่าทำอีกเลยอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็คุยกันภายในไม่ได้บอกใคร

พอตกคืนที่สอง ท่านก็เทศน์ใหม่อีก ท่านก็บอกว่า ที่พูดไปนี่ ไม่ได้หวังเพื่อความตำหนิ หวังว่าจะเอาไปเพื่อแก้ตัวหรือประพฤติปฏิบัติ ถ้าพูดอย่างนี้แล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งตำหนิคนนั้นคนนี้นี่ไม่ถูก ถ้าคิดอย่างนี้ก็เลว ที่ถูกจริงๆต้องดูตัวเอง

เมื่อพูดไปแล้วให้ไปประพฤติปฏิบัติก็ต้องดูตัวเอง ไม่ใช่โทษคนนั้นคนนี้เลว ตัวเราน่ะ เลวแล้วดูตัวเองเสียบ้าง ว่านี่มีศีลไหม ศีลครบบริบูรณ์ไหม วันนี้นิวรณ์กินใจหรือเปล่า ระงับนิวรณ์ได้ขนาดไหน วันนี้พยายามละสังโยชน์ตัวไหนบ้างไหม ให้คิดโจทย์ความผิดของตัวเอง ไม่ใช่ไปโจทย์คนอื่น โจทย์ความผิดของคนอื่นแล้วมันเลวหาที่สุดไม่ได้

เพราะมันไม่เกิดประโยชน์กับตัวเอง ถ้าจะเกิดประโยชน์ก็ต้องโจทย์ความผิดของตัว และแก้ความผิดนั้นทันทีถึงจะถูกต้อง ไอ้คนที่โจทย์ความผิดของผู้อื่นนะ มันเลวหาที่สุดไม่ได้อยู่แล้ว คืน ๒ ท่านก็เทศน์ซ้ำเข้าไปอย่างนั้น ตานี้พวกเราจะเรียกพวกอะไรดี

เรียกว่าพวกลูก ลูกลิงก็คงจะถูก เพราะลอกแลกมาก เคารพท่านเหมือนพ่อ ก็ให้หงอยอย่างกะอะไรละ ลิงเป็นไข้ (หัวเราะ) เหมือนกับสัตว์ไก่เป็นไข้ หัวตก ไปไหนก็คุยกันไม่ค่อยออก มาอยู่กับครูบาอาจารย์นี่ท่านรู้จริง ฉะนั้นเราจะคิดอะไร คิดสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ท่านจะคอยประคับประคอง ตำหนิติเตียนให้เราลดละ

มีอยู่คราวหนึ่ง ปลายๆประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ อาตมาเดินบิณฑบาตอยู่ คิดในใจว่า ถ้าหลวงพ่อมรณภาพนี่ จะมีเงินบูรณะวัดรึเปล่า แล้วจะอยู่กันยังไง คิดเสมอ คิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ของตัวเราเอง ก็คิดว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อนี่เป็นร้อยเป็นพันอาจจะถึงหมื่น อาจจะถึงแสน แม้อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ดี แต่ปกติถ้าเราบอกบุญกึ่งบังคับ

เมื่อหลวงพ่อมรณภาพไปแล้วนี่ คิดในใจว่า อยากจะขอร้องญาติโยมที่เคารพรักนี่ทำเป็นสมาชิกของวัดที่อุปการะวัดเลย เป็นผู้ที่บำรุงวัดว่า ปีหนึ่งจะขอเขาคนละร้อยบาท ๑๐๐ คนก็ได้หมื่นบาท ๓๐๐ คนก็ได้ ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี พันคนก็ได้แสนบาท หมื่นคนก็ได้ล้านบาทต่อปี แสนคนก็ได้๑๐ ล้านบาทต่อปี ให้เขาส่งเงินมา ปีละ ๑๐๐ บาท ต่อปีต่อทุนเป็นสมาชิกจนกว่าจะตายจากกัน

ก็เราทำอย่างนี้ก็จะมีเงินมาบำรุงวัดโดยแน่นอน ถ้าปีละ ๑๐๐ ต่อคนเขาก็ไม่หนักใจ เมื่อคิดอย่างนี้ก็อยู่ในใจตลอด ก็คิดไปเรื่อย ก็หมื่นคนก็ได้ปีละตั้ง ๑ ล้าน แสนคนก็อาจจะปีละ ๑๐ ล้าน สมาชิกอย่างนี้นะถ้ามีอย่างนี้นี่ปีละ ๑๐ ล้าน เราก็ทราบว่ามีเงินพอจะดูแลวัดไม่ให้สลายตัวง่าย เมื่อคิดอย่างนี้ก็อยู่ในใจ ไม่ได้บอกใคร อยู่ในใจเสมอ

เวลาผ่านไปตั้งเป็นเดือน ท่านก็มาคุยลอยๆว่า เฮ้ย คนเราถ้าคิดจะทำอะไร ที่คิดไว้น่ะ ไม่ต้องไปทำหรอกนะ รบกวนเขาเกินไป ท่านพูดลอยๆ ไม่ได้พูดกับเรา เราก็นึกว่า โอย นี่ถูกต้องแล้ว ครูบาอาจารย์ก็รู้ว่าเราคิด ห้ามเราทำเป็นการรบกวนญาติโยมเกินไป เขาจะรำคาญ นี่การคิดในใจเฉยๆ ไม่ได้บอกใคร ท่านยังรู้

ฉะนั้นเมื่อเรามาพบครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อของเรา อย่างนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้ภูมิใจเลยว่า สมแล้วไม่เสียชาติในการเกิดในชาตินี้ คือ พบพระแท้ พระที่สามารถจะสอนให้เราพ้นทุกข์จากวัฏฏะได้ อันที่จริงพระในพุทธศาสนาในประเทศไทย เราก็มีมากเป็นผู้ที่ประเสริฐ สามารถที่จะให้เราพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน แต่เราก็มีความศรัทธาเคารพในคำสอนที่ท่านสอนเรา เช่นหลวงพ่อได้แนะนำเราไว้ทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง

ท่านทั้งหลาย มีอยู่คราวหนึ่งท่านพูดไว้ว่า คนเราจะลงมาเกิดจากเทวดา จากพรหมนั้นจะเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีหวังมรรคหวังผล เกิดเพื่อความพ้นทุกข์จากวัฏฏะ เมื่อท่านทั้งหลายเกิดมาพบพระพุทธศาสนา คนที่จะได้มรรคได้ผลนี่บุญจะให้ได้พบพระดี

สำหรับท่านเอง สมัยก่อนพอท่านบวชมา จริงๆพระก็เยอะ แต่มีความพอใจในหลวงปู่ปาน มีความเคารพ เมื่อท่านจะบวชก็มีคู่สวดพร้อมอุปัชฌาย์ที่เป็นพระอรหันต์ คือ อุปัชฌาย์ท่านอยู่วัดบ้านแพน เป็นพระอรหันต์ เป็นอุปัชฌาย์ เป็นผู้สั่งสอนให้

เมื่ออยู่กับหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานก็พุทธภูมิเต็มก็สอนทั้งสมถะ วิปัสสนา และให้ไปหาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะเจ้าให้ไปเรียนกับหลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อเนียมท่านก็พอใจ เมื่อท่านเข้ามาเรียนในกรุงเทพก็มาพบสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ก็มีความพอใจ

ฉะนั้นท่านจึงสรุปว่า คนเรานะถ้าต้องการมรรคต้องการผล ในการปฏิบัติดีแล้วนี่ จะพอใจครูบาอาจารย์ที่มีมรรคมีผลทั้งสิ้น สำหรับท่านจะพอใจเฉพาะพระที่มีมรรคมีผล พระที่ไม่มีมรรคไม่มีผล เป็นหมื่นเป็นแสนก็ยังไม่พอใจ จิตมันไม่ยอม จิตมันพอใจเฉพาะพระที่มีมรรคมีผล

ฉะนั้นท่านสาธุชนหรือลูกศิษย์หรือหลวงพ่อเราที่อยู่ร่วมกันนี้ ที่มาพบกัน ที่เป็นลูกศิษย์อยู่ไกลก็ดี อยู่วัดก็ดี อยู่ใกล้ก็ดี อยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ ต่างประเทศก็ดี ขอจงถามจิตตัวเองว่าท่านพอใจในคำสอนไหม พอใจในการปฏิบัติไหม พอใจในการลดละกิเลสไหม พอใจในมรรคผลเพื่อไปพระนิพพาน ไม่ต้องการมาเกิดไหม

เมื่อท่านพอใจอย่างนี้ ขอให้ภูมิใจได้ว่า ชาตินี้ท่านเดินใกล้พระนิพพานเข้ามาแล้ว เดินถูกทางแล้ว อย่าได้เขว อย่าได้เถลไถลไปเสียที่ไหน

หลวงพ่อท่านเคยพูดอยู่เหมือนกันว่า ลูกของท่านทุกคนที่ลงมาเกิดนั้น ไม่ใช่เป็นผู้หมดบุญมา เป็นผู้มาเกิดตามกันไปเพื่อจะพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสาร ทุกคนที่ตามลงมาเกิดต้องการจะไปพระนิพพาน ท่านบอกว่าลูกของฉันทุกคนน่ะ แม้จะโต๋เต๋ไปบ้างระหว่างท่ามกลาง เมื่ออกุศลกรรมเข้าก็จะเขวไปบ้าง แต่บั้นปลายแล้ว ลูกของฉันไปนิพพานหมด นี่จงภูมิใจว่า พ่อแม่เรารักเรา หวังจะต้องการสั่งสอนเราให้พ้นจากวัฏฏะสงสาร

ท่านเคยปรารภไว้ในศูนย์อารมณ์ คือฟังได้บ้าง จำได้คร่าวๆว่า ท่านปรารภกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันว่า อาตมา ร่างกายตอนนี้ป่วยเหลือเกิน ป่วยทุกลมหายใจ แต่พวกเราก็ดี เป็นผู้ที่ปรารถนาความพ้นทุกข์ สนใจปฏิบัติธรรม หวังการไม่เกิดอีก ถ้าลูกปรารถนาดีอย่างนี้ ก็จะขอทนทรมานสังขารสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ใจมั่นคงในพระพุทธศาสนา มีความมั่นคงในการปฏิบัติความดี มีความมั่นคงในพระนิพพานแล้ว

เมื่อถึงวาระนั้น ท่านบอกว่า อาตมาก็จะขอลาญาติโยม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปหาที่ที่ตัวเองจะต้องไป นี่เป็นคำปรารภ คือ ปรารภกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เป็นจริงตามนั้นทุกประการ

หลวงพ่อก่อนจะมรณภาพก็ปรารภว่า ลูกของฉันน่ะมาหมดแล้ว ลูกของฉันมั่นคงแล้ว งานก่อสร้างทุกอย่างในวัดก็สร้างครบหมด จะเป็นโรงเรียนก็ดี จะเป็นโรงพยาบาลก็ดี จะเป็นวัดก็ดี ส่วนไหนที่ขาดไม่ได้ทำไม่มี อบรมธรรมก็ดี ทำจนถึงที่สุด

จะขอพูดเรื่องบั้นปลายหลังจากอยู่กับท่าน ท่านป่วยทุกวัน หลวงพ่อนี่กินยาทุกวัน กินยาต่ำกว่า ๑๐๐ เม็ดไม่มี ต่อวันนะ กินเพื่อพวกเรา ผู้อยู่เบื้องหลัง กินเพื่อให้ร่างกายทรงตัวอยู่ชั่วขณะ เพื่อจะได้อบรมธรรมเป็นกำลังใจแก่เรา ท่านปรารภกับอาตมาอยู่เป็นคราวๆว่า เมื่อสร้างวัดครบหมดแล้วนี่ก็ไม่มีอะไร เรื่องวัดก็ดี เรื่องโรงเรียนก็ดี ก็สั่งเสียไว้หมดทุกอย่าง ก็ทำหนังสือสั่งให้ปฏิบัติตามนั้น

ก่อนท่านจะมรณภาพ ๒๐ วัน ก่อนงานกฐินครั้งสุดท้าย พ.ศ. ๒๕๓๕ ตอนเย็นๆนั้นน่ะ อาตมาจะไปช่วยดูแลท่านชั่วสักประมาณชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมง ท่านกลับจากรับแขกก็มีเจ้าหน้าที่มาสั่งบางครั้ง หลวงพ่อต้องหามขึ้นกุฏิ คือหาม คือหมายความว่า ใส่เก้าอี้แล้วจัดเจ้าที่ ทหารก็ดี ตำรวจก็ดี ที่อยู่ที่วัดช่วยกันยกขึ้น

เพราะเดินไม่ไหว แรงไม่มี ป่วยตลอด อาตมาก็ไปช่วยท่านบ้างเล็กน้อย อันที่จริงเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ช่วยนี่มีมาก มีอยู่คราวหนึ่งก็ขอเล่า อาจจะก่อนหน้าเป็นเดือน เป็นปีก็ได้ ท่านไปที่สายลม รับแขกที่สายลม วันนั้นแขกคงจะมาก อาตมาก็ไปบ้างไม่ได้ไปบ้าง คือเปลี่ยนกันไป เมื่อพระไปแล้วก็มาเล่าให้ฟังว่า จำวันที่ไม่ได้

เพราะเมื่อสายลมรุ่นนี้มาเล่าให้อาตมาฟัง บอกสายลมคราวนี้หลวงพ่อป่วยมาก บอกป่วยยังไง เมื่อรับแขก ตอนเช้าป่วยแล้วก็เข้าไปพักตอนบ่าย ๔ โมง เมื่อบ่าย ๔ โมงอาบน้ำอาบท่า แล้วท่านก็นอนพักร่างกายจะลงอีกประมาณ ๑ ทุ่ม เมื่อท่านนอนไปถึง ๑ ทุ่ม ท่านก็ยังไม่ตื่น มีพระใบฎีกาประทีปไปด้วย

พอได้เวลาแล้วก็จับเท้าท่านเขย่าน้อยๆ ท่านก็ไม่ตื่น ตัวแข็ง ก็นึกว่าหลวงพ่ออาจจะมรณภาพไปแล้วหรือยัง ก็ไปดู ก็ว่ายัง เมื่อปลุกไม่ตื่น ก็พัก แขกเข้ามาเต็มอยู่ที่บ้านพลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม ศุขสวัสดิ์ หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า บ้านซอยสายลม แขกก็มารออยู่เต็มประมาณเป็นพัน หรือเต็มห้อง ๓ ห้อง เต็มชั้นบนชั้นล่าง

ทำไงหมวดตระกูลขณะนั้นเป็นนายดาบอยู่ เรียกดาบตระกูล ก็ไปบอกว่า หลวงพี่ผมเอง ก็ไปช่วยเขย่าตัวหลวงพ่อ กลับไปกลับมาก็ไม่ตื่น ดาบตระกูลบอกว่า อย่างนี้ผมไม่เอาแล้ว แล้วสักพักท่านก็ตื่น ตื่นก็รับแขกปกติ เมื่อพระเล่าให้ฟังอย่างนั้น อาตมาก็รอจังหวะดี เมื่อจังหวะดีมาที่วัด พอหลวงพ่อคุยสบายใจก็กราบเรียนหลวงพ่อ บอก

หลวงพ่อครับ หลวงพ่อป่วยมากใช่ไหมครับ ไปสายลมคราวนั้นพระบอกว่า หลวงพ่อไม่ตื่นเลย เพลียมากใช่ไหมครับ หลวงพ่อก็ปรารภกับอาตมาว่า นิโรธลึกไปหน่อย นี่พอพูดนิโรธสมาบัตินี่ ญาติโยมผู้อ่านอย่าพึ่งตำหนิท่านไม่ได้ปรารภกับใครคุยกันภายในให้เรารู้ว่า พระที่เข้านิโรธสมบัติได้ก็มี นี่คราวหนึ่งที่ท่านปรารภให้อาตมาฟัง

คราวหนึ่งท่านป่วย ป่วยมากเหมือนกันอยู่ที่วัด ที่จริงพระใบฎีกาประทีปนี่จะไปเฝ้าอยู่ อาตมาก็ไปเปลี่ยนบ้าง มีอยู่คืนหนึ่งที่อาตมาไปเฝ้า แล้วท่านก็ตื่นมาประมาณตี ๒ ก็เข้าห้องน้ำ อาตมาก็ประคองเข้าห้องน้ำ เสร็จกิจแล้วก็ประคองนั่งที่เตียง ท่านป่วยมากก็ปรารภบอกว่า

วันนี้พระพุทธเจ้าให้เข้านิโรธสมาบัติไปตั้งแต่ค่ำเลย อาตมาก็บอก หลวงพ่อท่านไม่ได้พักเลยนี่ครับ ท่านบอก ไอ้ขี้หมา เอ็งอย่าเรียกว่าพัก พักบรรเทาทุกขเวทนา อาตมาก็นึกในใจ โอ้โห ถ้าเราทำบุญคนเดียวนี่เรารวยตายเลย แต่ไม่มีเงิน พอคิดในใจอย่างนั้น ท่านบอก ไม่เป็นไร เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ใครมาทำบุญก็จะมีบุญใหญ่

แล้วสักครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า นันต์ จะสร้างปราสาททอง ก็ถามบอก หลวงพ่อสร้างตรงไหนครับ ก็บอกว่า สร้างตรงโรงอิฐ ก็บอกว่า ครับ ก็พูดแค่นั้นไม่ได้ซัก เพราะหลวงพ่อป่วยก็ไม่อยากซักท่าน ก็นึกในใจ โอ..ท่านคงจะสร้างเป็นแก้วไว้เยอะแล้วจะสร้างเป็นทองบ้าง ฉะนั้น เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ท่านก็ไม่ได้พูดที่อื่นอีก เราก็จำบอกกับพระบอกว่า หลวงพ่อท่านอยากจะสร้างปราสาททอง ก็อยู่กันแค่ในใจเท่านั้น หลวงพ่อป่วยอย่างนี้ป่วยประจำเข้า หนักบ่อยเข้า



หลวงพ่อปลงสังขาร


จะเล่าอีกเรื่องหนึ่ง มีอยู่วันหนึ่งท่านเล่าให้ฟังบอกว่า “เมื่อคืนนี้ได้คิด” การคิดของท่านไม่ได้บอกว่าคิดอย่างไร แต่บอกว่า “พอคิดอย่างนี้เท่านั้นแหละ เทวดาวุ่นกันทั้งดาวดึงส์เลย พอคิดอย่างนี้ท่านปู่พระอินทร์มาทันที มากันเต็มหมด” ท่านปู่พระอินทร์ก็บอกว่า “คุณ อย่าคิดอย่างนี้อีกนะ”

“ท่านคิดอะไรครับ”

คงคิดจะปลงสังขารนี่แหละ ตอนคืนทวารเปิดนั้นแหละ ตอนเช้าท่านก็เล่าให้เราฟังบอกว่า เมื่อคนนี้คุยกับพระ พระถามหลวงพ่อว่า “คุณตัดสินใจแล้วหรือ” พูดอย่างนี้ หมายความว่าหลวงพ่อตัดสินใจแล้ว

หลวงพ่อบอกว่า “ผมตัดสินใจแล้วครับ” พระพุทธเจ้าบอกว่า “มณฑปองค์ปฐม คุณยังสร้างไม่เสร็จนี่” ท่านถามอย่างนี้ แสดงว่าพระพุทธเจ้าจะเอาหลวงพ่ออยู่นะ

หลวงพ่อก็บอกว่า “ผมจะหาเงินให้พระครับ” พระพุทธเจ้าถามว่า “พระจะทำได้หรือ” หลวงพ่อบอก “ผมจะหาเงินให้พระครับ”

ตอนเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งสุดท้าย ตอน ๖ โมงก็ขึ้นไปรับท่าน ท่านก็คุยดีทุกอย่างและคุยบอกว่า พระมหากัสสปเรียกท่านไปพบ พอไปถึงหลวงพ่อถามว่า “เรียกผมมาทำไมครับ” พระมหากัสสปบอกว่า “คุณนี่ดื้อจัง” บอกหลวงพ่อดื้อ “พระพุทธเจ้าจะเอาคุณอยู่ คุณก็จะตายท่าเดียว” หลวงพ่อบอกว่า “ถ้าร่างกายผมดี ผมไม่เกี่ยงหรอกครับ แต่นี่ร่างกายมันไม่ไหวจริงๆ” แสดงว่าหลวงพ่อท่านเตรียมตัวจะไปอยู่เสมอเลย

ตอนที่ท่านมรณภาพ อาตมาอยู่ที่สายลมกลัวคนจะมาสายลมแล้วไม่รู้ ก็มาดักอยู่เวลาประมาณ ๓ โมงเย็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านให้คนโทรศัพท์มา บอกว่าให้ทางวัดทำพิธีสะเดาะเคราะห์ โดยเอาสบงจีวร หรือผ้าที่หลวงพ่อใช้เครื่องครบชุด ให้สวดมาติกาบังสุกุลก่อน ๔ โมง ๔ โมงเย็นให้เผาทันที อาตมาก็โทรศัพท์ไปทางวัด ทางวัดก็จัดพิธีกัน พอ ๔ โมง พระสมุห์บัญชาโทรมาบอกว่า “หลวงพี่ครับทางวัดจัดพิธีตามที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์สั่งไว้ เรียบร้อยแล้วครับ” เลยบอก “ขอบใจมากนะ”

พอ ๔ โมง ๑๐ นาที หมอที่โรงพยาบาลโทรศัพท์มาบอก จะพูดกับหลวงพี่นันต์ พอรับโทรศัพท์ หมอบอกว่า “หลวงพ่อมรณภาพแล้วเวลา ๔ โมง ๑๐ นาที” เราก็เข่าอ่อนเลย ที่เคยว่องไวก็ไม่ว่องไว ค่อยๆเก็บของ ถามพระวิรัช “วิรัช ถ้าไปโรงพยาบาลเราจะร้องไห้ไหมนี่” ก็คุยกันไปในรถ

พอไปถึงโรงพยาบาล เขาไปในห้อง ซี.ซี.ยู พอเห็นหลวงพ่อเท่านั้นแหละ ชะโงกดูหน้าท่านก็นอนอยู่ เห็นท่านยิ้มแก้มปริออกมา ไอ้เราก็ตกใจ พระวิรัชบอก “หลวงพ่อยิ้มแล้วๆ” หมอก็รีบมาดูใหญ่ พยาบาลเห็นก็บอกว่า “เมื่อกี้ยังไม่เห็นยิ้มเลยนี่ ตอนนี้ยิ้มแล้ว” มาดูกันใหญ่

พอ ๖ โมงเย็นตะเคลื่อนศพ ก่อน ๖ โมงสัก ๑๐ นาทีได้ สมเด็จพระพุทธโฆษษจารย์ให้คนโทรศัพท์มา สั่งให้ไปหาด่วน พอไปหาท่าน ก็บอกกับท่านว่า “ผมไม่เคยจัดงานแบบนี้ครับ งานของพระผู้ใหญ่ ถ้าจะจัดให้ดีผมก็ไม่เป็นครับ” เจ้าประคุณสมเด็จฯก็บอก “ข้าจัดเป็นที่ไหน ข้าก็ใช้เขา นี่เรียกเจ้าคุณ วัดพลับพลาชัยมาให้ช่วยแก”

ท่านสั่งงานให้ทุกอย่าง สั่งอย่างเรียบร้อยหมด ท่านเจ้าคุณวัดพลับพลาชัยก็ไม่เคย บอกให้เตรียมของไปเลย พอไปเห็นสถานที่ศาลา ๑๒ ไร่ โอ้โฮ ตกใจสถานที่กว้างขวางมาก ต้องใช้ผ้ามาก จ่ายเงินไป ๑ แสนห้าหมื่นบาท ต้องจัดให้สมเกียรติพิธีหลวงพ่อก็ไม่เคยจัด เป็นพระยังไม่รู้เลย เขาสวดพิธีหลวงกันยังไง แต่เสร็จแล้วงานก็เรียบร้อยดีทุกอย่าง





ศพหลวงพ่อ


เรื่องศพของหลวงพ่อนี่ เมื่อสมัยท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเคยบอกกับเราว่า “เมื่อข้าตายแล้วให้ดูศพข้าใน ๗ วัน ๑๕ วัน” ท่านบอกว่าท่านขอพรข้างบนไว้แล้วแต่ไม่บอกว่าใคร ทีนี้เมื่อท่านมรณภาพแล้ว เราไม่ให้ฉีดฟอร์มาลีนปล่อยให้ศพเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น แต่ศพของหลวงพ่อ ๗ วันแล้วก็ยังไม่มีกลิ่นเลย ยังไม่มีน้ำเหลืองออกจากร่างกายเหมือนคนนอนหลับธรรมดา


เราก็นึกว่า เออ..หลวงพ่อคงจะกลับ เพราะว่าปกติพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ สามารถจะเข้านิโรธสมาบัติได้ ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน โดยไม่ต้องฉันอาหารเลย เมื่อ ๗ วันแล้วร่างกายของหลวงพ่อยังงอแขนได้ ยกได้เป็นปกติ เราก็นึกว่าหลวงพ่อคงจะกลับ พอ ๗ วันแล้วไม่กลับ แต่ร่างกายก็ยังปกติอยู่ ก็คิดว่า เอ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ยังเข้านิโรธสมาบัติได้ถึง ๑๕ วัน ก็ยังมั่นใจว่าหลวงพ่อจะกลับใน ๑๕ วันอีก เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้แล้ว เราก็ไปดูศพท่านศพท่านก็ยังปกติอยู่ ไม่มีน้ำเหลืองออกใน ๑๕ วันนี้ ปกติทุกอย่าง

หลัง ๑๕ วันแล้วศพของท่าน ยุบลงหน่อยมีสีขาวขึ้น บางคนก็ว่าเชื้อรา หมอที่อยู่ที่วัดบอกไม่ใช่เชื้อรา เพราะบางครั้งก็หายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นอีก แต่เดี๋ยวนี้ถึงแม้ศพหลวงพ่อยุบลง แต่ยังมีกล้ามเนื้ออยู่ แต่มีท่อนแขนเท่านั้นที่แข็งขึ้น แต่คนก็ยังลุ้นว่าหลวงพ่อจะกลับ แต่ท่านคงไม่กลับแล้วละ

แต่มีส่วนที่ว่า จะเป็นมงคลกับเรา คือมีคนไปทำความสะอาดใบหน้า คือโกนแล้วเอาเซลผิวหนังเอาไปแจกกัน เดี๋ยวนี้ขาวเป็นแก้วแล้ว เขาเอาไปให้กันทางสุพรรณฯ

เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า พระมหากัสสปที่อยู่เชียงตุง จะมาช่วยดูแลเกี่ยวกับศพท่าน ท่านบอกว่าถ้าใครไปกราบศพท่านจะเป็นมงคล เหมือนกับที่ท่านมีชีวิตอยู่ เพราะพระมหากัสสปจะมาช่วยเกี่ยวกับศพท่าน



หลวงพ่อไปแล้วทำให้เราไปนิพพานง่าย


อันที่จริงหลวงพ่อไปนิพพานแล้ว เอาพูดเข้าข้างตัวเรานะ ก็จะทำให้พวกเราไปนิพพานง่ายเข้า มันเหมือนกับคนที่รักไปรออยู่ข้างหน้าเรา เมื่อเราจะตาย ถ้านึกถึงท่านนิดเดียวเท่านั้นเอง ท่านจะมาปรากฏให้เราเห็นตรงหน้า มันเหมือนคนที่รักกันมากแล้วจากกันไปนาน เมื่อเห็นภาพแจ่มชัดมันจะเกาะทันที หลวงพ่อท่านสอนวิปัสสนาญาณให้เราเต็มที่แล้วนี่ จิตจะจับท่านไม่ปล่อยเลย

เหมือนครั้งหนึ่ง ท่านเล่าถึง จ่าพัว จ่าพัวคนนี้เคยพิมพ์หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรถวายหลวงพ่อสมัยก่อน ตอนหลังป่วยมาก ก็ไม่นึกว่าตัวเองจะไปไหนได้หรอก ก็ภาวนา พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาพอดี จ่าพัวก็ไปกอดที่เท้า ตรัสว่า “พัวไปนิพพานกับพ่อไหมลูก” “ไปครับ แต่ผมกลัวไปไม่ได้”

ท่านก็ชี้มาดูข้างล่างให้จ่าพัวดูร่างกาย “เป็นทุกข์ไหม” “ทุกข์ครับ” “ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่เหรอ” “ไม่รักครับ” “งั้นก็ไปนิพพานกับพ่อ” เท่านี้เอง จ่าพัวไปหลังจากตายแล้วหลวงพ่อก็คุยกับจ่าพัว ถามว่าไปยังไง บอกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็เกาะที่เท้าท่านแน่นเลย

อย่างพวกเราหายใจเป็นหลวงพ่อ พอจากกันไปนานๆ เช่นนี้ พอเจอครั้งเดียวเท่านั้นก็เกาะแน่น ถึงว่าจะไปนิพพานง่ายนะ นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะ เพราะมีตัวอย่างเช่นจ่าพัว ถ้าได้มโนมยิทธิยิ่งดีใหญ่

ถ้าจิตขึ้นไปปุ๊บอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าแล้วมองมาข้างล่างก็จะพิจารณาเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา มันจะเห็นเป็นตัวสองตัว ตัวที่นั่งอยู่ข้างบนอยู่กับพระพุทธเจ้าผ่องใส ตัวข้างล่างเป็นยังไงก็พิจารณาดู ต้องอาบน้ำเพราะสกปรกใช่ไหม ไม่อยากแก่มันก็แก่ใช่ไหม ไม่อยากตายมันก็ตายใช่ไหม ฉะนั้นได้มโนมยิทธิมันเห็นง่าย

อันที่จริงพูดง่ายนะ แต่เวลาวาง วางยากเหมือนกันแต่ที่จริงท่านก็สอนให้ยอมรับความเป็นจริงเท่านั้นนะ

พอปี ๒๕๓๕ ก่อนเดือนตุลาคม ท่านก็เริ่มป่วย ป่วยของท่านนี่ป่วยทุกวัน วันไหนที่ท่านร่างกายดี ไม่มีจริงๆ จะขอลัดลงมาเลยว่า ท่านป่วยครั้งสุดท้ายนี่ ปกติป่วยนี่จะเกี่ยวกับเรื่องท้องส่วนใหญ่ ก่อนจะป่วยท่านจะบอกกับเราว่า เห็นสีแดงแจ๊ด ช่วงเข่านี่จะปวดเข่า ช่วงท้องก็จะเป็นเรื่องท้อง ถ้าช่วงตรงไหนก็จะเป็นตรงนั้น สีแดงนี่ไม่ใช่โทษ เขามาทำเป็นสัญลักษณ์ว่า จะป่วยช่วงไหน

แต่ก่อนมรณภาพนี่ ท่านบอกว่าป้ายสีแดงแช้ดทั้วตัวเลย แต่เป็นมัน ป้ายเป็นมันพิเศษ เราก็นึกในใจว่า หลวงพ่อป่วยขอให้หาย หลวงพ่อป่วยเดี๋ยวก็หาย แต่เอาจริงท่านป่วยมากจนไม่มีแรง ล้างท้อง ๒ วัน ก็ไม่มีแรงให้น้ำเกลือไม่ได้ เพราะน้ำในร่างกายมีน้อยมาก พอให้น้ำเกลือไม่ได้นี่ก็ไม่มีแรง เมื่อไม่มีแรงมาก ก็ต้องเข้าประคับประคองกัน ประคับประคองมากๆ

มีอยู่คืนหนึ่งใกล้จะมรณภาพ ท่านก็บอกกับทหารว่า โอ..ทวารเปิดหมดแล้วลูก จะอยู่ยังไง ทหารก็โทรศัพท์มาเรียก ก็ไปหาก็ไปดูใจกัน ไปช่วยดูใจหลวงพ่อ พอไปถึงหลวงพ่อนอนเงียบหมดแล้ว เงียบ เรานึกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่เห็นนอนตะแคงอยู่ก็ยังอุ่นใจว่ายังไม่เป็นไรพอหลวงพ่อพลิกตัว เราก็เปิดไฟสว่างหมดเลย คือ

ปรึกษากับพยาบาลว่า ให้มาให้น้ำเกลือ เมื่อหลวงพ่อลืมตาขึ้นมาก็ขออนุญาตท่านให้น้ำเกลือ หลวงพ่อเพลีย พยาบาลก็แทงไป ๗ เข็ม ถึงจะได้ พอให้น้ำเกลือได้สัก ๒-๓๐๐ ซีซี ก็แจ้งพอดี แจ้งท่านก็ให้ถอดเข็มออก บอกว่า นันต์

เมื่อคืนนี้คุยกับพระ พระท่านถามว่า คุณตัดสินใจแล้วหรือ ฉันก็บอกว่า ตัดสินใจแล้วครับ พระถามว่า คุณ วิหารสมเด็จองค์ปฐม คุณยังสร้างไม่เสร็จนี่ หลวงพ่อก็บอกว่า ผมจะหาเงินให้พระครับ พระท่านก็บอกว่า พวกนี้จะทำได้รึ หมายถึง พวกอาตมา หลวงพ่อก็บอก ผมจะหาเงินให้พระครับ

ตั้งแต่นั้นมาท่านก็อาการหนักขึ้นมาตลอด เมื่ออาการหนักขึ้น ท่านก็ไปพักที่ตึกอินทราพงศ์ ก็จะขออนุญาตให้พระเข้าไปกราบท่าน ดูแลท่าน เมื่อเวลา ๔ โมงเช้า อาตมาเข้าไป ท่านก็ทักว่า นันต์เหรอ พูดตามาค่อยลืม ตาลอย ปลัดวิรัชเหรอ ก็คุย ยิ้ม พูดอ้อแอ้ อ้อแอ้ แล้วก็ไม่ให้พระไปเยี่ยม เราก็บอกให้พระไปฉันเพลได้ เดี๋ยวบ่ายโมงค่อยไปเยี่ยมท่านที่ตึกรับแขก

แต่ก่อนจะไปนั้นก็บอกว่า บ่ายบอกให้ปลุก แต่เราไม่ปลุก ปล่อยให้ท่านนอนจำวัดไป ตัวเขียวหมด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุทัยธานีมา เอาหมอโรคหัวใจมาดู ก็บอกว่า ไม่ไหวแล้ว อย่างนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อท่านลืมตามา เมื่อประมาณบ่าย ๒ โมง ท่านก็ไม่ยอมไป ไม่ยอมเข้าโรงพยาบาล ก็หามท่านไปรับแขก เพราะว่าท่านจะไป

เราก็เอาเก้าอี้โซฟา เอาทหารหามไปรับแขก คนเห็นอาการของท่านก็ร้องไห้ ทุกคนก็เสียใจ สลดใจ เมื่อพระไปกราบท่าน ท่านก็บอก ให้พระไปทำงานตาม หน้าที่ ไม่ต้องห่วง ร่างกายเป็นแบบนี้ ร่างกายเกิดมาแล้วต้องป่วย ร่างกายเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ขอให้ทุกคนไปทำงานได้ เมื่อพระไปทำงานแล้ว อาตมาอยู่เฝ้ากันอยู่ เมื่อเลิกเวลารับแขก ก็หามไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาลที่วัด เมื่อไปโรงพยาบาลที่วัดแล้ว ก็หามกลับไปที่กุฏิ ตอนเย็นๆ ก็มีหมอมาให้น้ำเกลือ ๓-๔ คน

อันที่จริง หลวงพ่อท่านไม่อยากเข้าโรงพยาบาล แต่จะไปรับแขกที่สายลม เพราะคนเขาจะไม่รู้กัน เป็นห่วงคนแก่ที่สายลมจะมาทำบุญไม่ได้ ปรารภที่จะไปสายลม แต่คืนนั้นอาการก็โคม่ามาก จึงเอาท่านส่งโรงพยาบาลศิริราช ข้างล่างที่ชุลมุนวุ่นวาย อาการของท่านก็หนักมาก พอจะเอาขึ้นรถ หมาก็หอนใหญ่ เต็มวัดหมด หอนเสียงก้องไปหมด พอเข้าไปถึงโรงพยาบาลระหว่างคืนนั้น ไปถึงโรงพยาบาลศิริราช ก็ประมาณตี ๕ แล้วหลังจากนั้นอยู่อีก ๒-๓ วันที่ห้องซีซียู ท่านก็มรณภาพ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เวลา ๔ โมงเย็น ๑๐ นาที

ท่านทั้งหลาย ที่สนใจปฏิบัติความดีนั้น ครูบาอาจารย์หรือหลวงพ่อพระราชพรหมยาน นั้น ได้ทำคำสอนไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ถ้าท่านต้องการทำความดีก็มาหาได้ที่ วัดท่าซุง หรือวัดจันทาราม จังหวัดอุทัยธานี มีตำรับตำราให้ท่านทุกอย่างให้ท่านครบทุกจริต ทุกนิสัย ทุกความต้องการ ดังที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รับรองว่า หนังสือของท่านเจ้าคุณถือเป็นตำราแบบแผนได้ทุกประการ

ฉะนั้นการพูดหรือการเขียนวันนี้อาจจะรวบรัดไปมาก แต่หนังสือบางเล่มก็ออกไปบ้างแล้วเป็นรายละเอียด อาตมาก็ขอยุติการเขียนไว้แต่เพียงเท่านี้ เมื่อท่านสนใจแล้วก็ขอให้ติดตามหนังสือคำสอนของท่านจะออกอีก ปีละ ๒ เล่ม จนกว่าจะหมดคำสอนที่เราสะสมไว้ประมาณ ๒๐ ปี

ขอให้ท่านเก็บรักษาสมบัตินี้ไว้ให้ลูกหลานท่าน หรือแล้วแต่ท่านจะเก็บไว้คนละเล็กละน้อย ถือว่าเป็นตำราได้จะเป็นประโยชน์กับคนภายภาคหน้า เมื่อท่านได้ไปแล้วนี่ ก็ขอให้เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวไว้สักชุดหนึ่ง เพราะว่ากว่าจะพิมพ์ย้อนหลังกลับมาใหม่นี่ ชาตินี้ที่เราเห็นหน้ากันอยู่นี่จะได้พิมพ์กลับมาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เราจะพิมพ์หนังสือนี่เดินหน้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคำสอนของท่าน

ฉะนั้นท่านสาธุชนที่เป็นคนดี ขอได้โปรดรักษาสมบัติของพุทธศาสนาไว้ก็จะเป็นประโยชน์จะเป็นบุญเป็นกุศล ด้วยปัจจัยที่พิมพ์หนังสือนั้น ที่ท่านทั้งหลายทำสังฆทานก็ดี ทำบุญทุกอย่างก็ดี ก็จะเอารวบรวมกันพิมพ์ แต่บางครั้งก็จะมีท่านผู้ร่วมบริจาคพิมพ์หนังสือโดยตรง ท่านจงโปรดทราบไว้ว่า เมื่อผู้ใดอ่านหนังสือเล่มที่ท่านบริจาคนั้น ก็ถือว่าท่านได้บุญทุกครั้ง คนอ่านหมื่นคน ท่านก็ได้หมื่นครั้ง เขาหมดกิเลสคนหนึ่ง ท่านก็ได้บุญมหาศาล

ฉะนั้นก็ขอให้ท่านผู้บริจาคมีศรัทธา ร่วมกันทำหนังสือประหนึ่งเป็นอนุสรณ์ของชีวิต เป็นความดีที่ติดตัวตลอดไป ไว้เป็นอนุสรณ์ของลูกหลานเรา

หนังสือประวัติพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานนี้ สำเร็จลงได้ด้วยอาศัย วิริยะอุตสาหะของท่าน ดร. ปริญญา นุตาลัย และคุณโศภิษฐ์ สดสี เป็นกำลังสำคัญช่วยบรรจุและจัดลำดับเรื่อง เขียนเติมส่วนที่ขาดและตรวจอักษร และมีคุณวันชัย โสภณสกุลรัตน์ คุณนภารัตน์ พิมสาลี คุณจิระพรรณ กุฏีรักษ์ คุณวลัยลักษณ์ สดสี ช่วยงานพิมพ์ต้นฉบับ และจัดทำรูปเล่ม คุณสุกัญญา นุตาลัย ช่วยถอดเทป คุณพิชชภา ชัยพันธ์ ช่วยตรวจอักษร อีกหลายท่านที่มีชื่อท้ายหนังสือเล่มนี้ช่วยบริจาคเงินค่าพิมพ์

อาตมาขออนุโมทนาในมหากุศลผลบุญราศีของท่าน ขอทุกท่านจงมีผลใยความปรารถนาที่ทุกท่านประสงค์ จงทุกประการ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ดีแล้ว และพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้นำมาสั่งสอนพวกเราด้วยดีแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงถึงธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เถิด..สวัสดี

« ตอนที่ 1 « ตอนที่ 2


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top