Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 12/8/08 at 15:51 [ QUOTE ]

"บทความ" จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม 1 (ตอนที่ 2)


« ตอนที่ 1 » ตอนที่ 3 » ตอนที่ 4 » ตอนที่ 5 » ตอนที่ 6 » ตอนที่ 7




สารบัญ

01.
พระใบฏีกาประทีป อัตถทัสสี
02. พระครูใบฎีกาสมพงษ์ สมจิตโต
03. พระสมุห์บัญชา สุขปัญโญ
04. พระสมชาย สาทโร
05. พระยงยุทธ ธัมมยุทโธ
06. พระไพบูลย์ คุณวิปุโล
07. พระมีชัย ฐานสุนทโร ( พริ้งรักษา )
08. พระสมาน สมานจิตโต




พระใบฏีกาประทีป อัตถทัสสี


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........ข้าพเจ้าอุปสมบท เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๑๘ ที่วัดสุขุมาราม ต.วังตะภู อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร พระครูวิจารณ์วิหารกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งข้าพเจ้าเรียกท่านว่า "หลวงพ่อพระครูฯ" เมื่อมาบวชใหม่ๆ ก็ตั้งใจว่าจะบวชสัก ๑ เดือน หรือ ๓ เดือนเป็นอย่างมาก

.........พอบวชแล้วก็ช่วยทำงานทาสี "วิหารหลวงปู่เขียน" ที่วัด อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อพระครูพูดว่าจะมาที่วัดท่าซุง จะมาหาหลวงพ่อพระมหาวีระ (หรือหลวงพ่อพระราชพรหมยาน) พอข้าพเจ้าได้ยินชื่นเท่านั้นก็นึกอยากมาหาหลวงพ่อจริงๆ จึงขออนุญาตมากับท่าน หลวงพ่อพระครูก็เมตตาให้มาด้วย

........ข้าพเจ้าก็เอาบาตรมาด้วย พอวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อก็ไปเทศน์ที่กองบิน ๔ ตาคลี ไปกับหลวงพ่อพระครู เอารถของโยมเอี้ยงไป เพราะสมัยนั้นวัดยังไม่มีรถใช้ เมื่อเสร็จธุระแล้วก็กลับมาวัดท่าซุง

........จากนั้นหลวงพ่อพระครูก็กลับวัดที่วังตะกู ให้ข้าพเจ้าอยู่ที่วัดท่าซุงไปโดยลำพัง พอใกล้จะเข้าพรรษาก็มาหาข้าพเจ้า และถามว่าจะกลับวัดสุขุมารามไหม ข้าพเจ้าตอบท่านว่าอยากอยู่ที่วัดท่าซุงกับหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตามใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงอยู่ที่วัดท่าซุงตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

ตอนช่วงที่ข้าพเจ้ามาอยู่ที่วัดท่าซุงใหม่ๆ นั้น หลวงพ่อเปิดเสียงธรรมะตามสายภายในเขตวัด หลวงพ่อเป็นผู้เปิดเทปเอง ตีระฆังเอง จะตีระฆังตอนตี ๔ ตรงทุกวัน ต่อมามีพระเข้ามาบวชใหม่ ก็มีพระองค์หนึ่งรับหน้าที่เปิดเทปแทนหลวงพ่อ

วันหนึ่งขณะที่พระช่วยกันทำงานร่วมกันอยู่ ก็มีฆราวาสที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อมาที่วัด มาดูพระกำลังทำงานกันอยู่ ก็พูดว่าสิ่งนี้ต้องทำก่อน อันนี้ก็ให้ทำก่อน พอโยมกลับไปพวกเราก็พูดกันว่ายุ่งตาย...

พออีกสองวัน พระเจ้าหน้าที่เปิดเสียงธรรมะมาตามสาย เช่นที่ทำประจำทุกวัน ใจความในเทปนั้นมีอยู่ตอนหนึ่งที่หลวงพ่อพูดว่า "รู้ว่ายุ่งละ เสือกเกิดมาทำไมล่ะ" เมื่อพวกเราได้ฟังก็มองหน้ากันแล้วยิ้มๆ เมื่อฟังเสียงธรรมะตามสายจบก็ไปช่วยกันทำงานกันต่อไป

เวลาที่หลวงพ่อไปตรวจงาน ข้าพเจ้าเคยติดตามไปด้วยหลายครั้ง หลวงพ่อเคยสอนข้าพเจ้าหลายครั้ง เป็นต้นว่า..

"งานประจำทำให้ครบถ้วน"

"ทำงานคิดถึงข้างหน้าข้างหลัง"

"อย่าลืมว่าของที่หามานั้นยากลำบาก จงพยายามบำรุงรักษาไว้ให้ดีๆ เพราะเราหาเองไม่ได้ ที่เขาให้เราก็เพราะว่า เขาเห็นว่าเรานั้นดี มีความดี หรือเห็นว่าเราเป็นพระนั่นเอง"

"ท่านสอนว่าทุกอย่างทำอะไรให้มีสติอยู่เสมอ"

พระคุณหลวงพ่อที่ได้มีเมตตา สั่งสอนและให้ความสงเคราะห์แก่ข้าพเจ้ามาตลอดจนกระทั่งบัดนี้ ได้แนะนำพร่ำสอนข้าพเจ้ามาก มายสุดที่จะนำมากล่าวได้ทั้งหมด ซึ่งพระคุณทั้งหมดทั้งปวงที่หลวงพ่อมีต่อข้าพเจ้ายังคงฝังอยู่ในจิตใจอันลึกๆ ของข้าพเจ้าตลอดเวลา...

◄ll กลับสู่ด้านบน




พระครูใบฎีกาสมพงษ์ สมจิตโต

"ชอบใจในคำสอนของหลวงพ่อ"



หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........มีบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ได้พร้อมใจกันบันทึกข้อความลงในหนังสือเล่มนี้ เพื่อเป็นการแสดงมุทิตาจิต และระลึกถึงความดีของหลวงพ่อ ผู้เขียนได้ทราบข่าวจาก ดร.ปริญญา นุตาลัย ซึ่งเป็นหัวหน้าจัดทำหนังสือเล่มนี้ว่า

........ขอให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้ช่วยกันบันทึกข้อความเกี่ยวกับความประทับใจในองค์หลวงพ่อและเหตุอื่นๆ อีกหลายอย่างที่แต่ละบุคคลมีประสบการณ์มาไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นเหตุให้มีความรักและเคารพจึงมีศรัทธาในองค์หลวงพ่อเป็นอย่างมาก เพื่อเป็นอนุสรณ์เนื่องในงานสมโภชฉลองสมณศักดิ์ (วันที่ ๑๗ - ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓)

.........สำหรับผู้เขียนเองก็ไม่มีความถนัดในการเขียนข้อความเท่าใด นึกไม่ออกว่าจะเขียนอย่างไรดีลงในหนังสือเล่มนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ กว่าจะลงมือเขียนได้ พระปลัดวิรัช โอภาโส ต้องโทรศัพท์ตามหาต้นฉบับหลายเที่ยว

........ความตั้งใจของผู้เขียน ก็ตั้งใจว่าสิ่งที่ผู้เขียนประทับใจและมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อนั้นก็คือ "ปฏิปทาในการปฏิบัติ" ซึ่งผู้ เขียนได้ศึกษาจากเทปธรรมะและหนังสือธรรมะของหลวงพ่อ แล้วนำคำสอนของท่านมาปฏิบัติ ก็บอกได้เลยว่าหลวงพ่อท่านไม่ใช่ธรรมดาคำว่า "ไม่ใช่ธรรมดา" บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายคนเก่าๆ ก็คงจะทราบกันอยู่แล้ว

นอกจากนั้นลีลาในการสอนธรรมของหลวงพ่อ แก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทที่สนใจอันนี้ ผู้เขียนมีความประทับใจมาก ท่านสอนให้เข้าใจง่าย เหมือนท่านรู้ ไม่ต้องมานั่งแปลอีก

ถ้าปฏิบัติตามที่ท่านสอนได้ ผลที่ตามมานั้นลองคุยกับลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคน เขาพูดให้ฟังว่า "มีการจับ จ่ายใช้สอยคล่องตัว สบายใจขึ้นกว่าแต่ก่อนมีความมั่นคงในพระรัตนตรัย นึกถึงความตายบ่อยครั้งทำให้ อารมณ์ไม่พลุ่งพล่านโลภมาก จิตมีสภาพเบาในการเกาะทรัพย์สิน ไม่เป็นทุกข์มากเมื่อต้องพรัดพรากจากของรักของชอบใจ" บางคนบอกว่า ศีล ๕ ข้อ ยังบกพร่องอยู่ทั้งๆ ที่ได้พยายามแล้ว

รวมความว่า บารมีหรือกำลังใจของแต่ละคนนั้นไม่เสมอกัน ต่อไปผู้เขียนก็เล่าถึงความประทับใจในการสอนธรรมะของหลวงพ่อ แก่ญาติโยม พุทธบริษัท ที่ผู้เขียนจะเล่าต่อไปนี้ไม่ได้หมายความว่า จะยกเอาธรรมะที่หลวงพ่อสอนมาสอนท่านผู้อ่านอีก ผู้เขียน ไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นเพราะจะเป็นการ "นำมะพร้าวมาขายสวน"

ผู้เขียนเองก็ยังมีสติไม่สมบูรณ์ยังต้องศึกษาอยู่ ก็คิดว่าลูกศิษย์หลวงพ่อทั่วไปเป็นคนฉลาด มีปัญญาใคร่ครวญธรรมะของหลวงพ่อดีแล้ว ไม่มีความจำเป็นจะต้องมาสอนกันอีกเหมือน "สอนหนังสือสังฆราช" จะไม่เป็นการสมควร ถ้าไม่เล่าเรื่องนี้ก็นึกไม่ออกว่าจะเขียนอย่างไรดี

ก็เป็นอันว่าธรรมะของหลวงพ่อท่านครบเครื่อง มีอยู่ตอนหนึ่งท่านพูดถึง "อารมณ์พระโสดาบัน" คนที่เป็นพระโสดาบันจะต้องปฏิบัติ ในสังโยชน์ ๓ ประการครบคือ

๑. สักกายทิฏฐิคือมีความรู้สึกไว้เสมอว่า ความตายไม่ใช่จะมาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดไว้ว่าเราอาจจะต้องตายในวันนี้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต

๒. วิจิกิจฉา คือพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ด้วยปัญญา สิ่งใดที่ท่านให้ละ เราละไม่ทำ สิ่งใดที่ท่านแนะนำ เราทำด้วยความเต็มใจ

๓. สีลัพพตปรามาสรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาสมีศีล ๕ เป็นหลักปฏิบัติพระภิกษุและสามเณรก็มีศีลของท่านเป็นหลัก ปฏิบัติพระภิกษุและสามเณรก็มีศีลของท่านเป็นหลักปฏิบัติ

ถ้าปฏิบัติได้ครบทั้ง ๓ ประการนี้ท่านบอกว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เมื่อตายจากความเป็นคน จะไม่ไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉานอีกต่อไป" ถ้าอารมณ์ยังอ่อนอยู่อีก ๗ ชาติไปนิพพาน ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งตายแล้วไปนิพพานชาตินี้เลย แล้วท่าน ก็ยกพระสูตรประกอบการปฏิบัติ เพื่อจะได้ทราบถึงบุคคลตัวอย่างที่ท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านมีจริยาและ ปฏิปทาในการปฏิบัติอย่างไร

บุคคลตัวอย่างที่เป็นพระโสดาบัน (รายละเอียดมีอยู่ในหนังสือและเทปสอนของหลวงพ่อแล้ว

๑. เปสการีธิดา ท่านเป็นลูกสาวนายช่างหูก ท่านฟังคำสอนเล็กน้อยแล้วก็นำมาปฏิบัติตาม ใช้เวลาเพียงสามปีท่านก็บรรลุเป็นพระ โสดาบัน เรื่องย่อมีอยู่ว่า เปสการีธิดาฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่อง "มรณานุสสติกรรมฐาน" องค์สมเด็จพระพิชิตมารตรัสว่า

"ชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง" ผู้ใดที่ไม่เคยนึกถึงความตายเมื่อความตายเข้ามาถึง ย่อมสะดุ้งตกใจหวาดกลัว ท่านที่เจริญมรณานุสสติกรรมฐานเป็นประจำย่อมไม่สะดุ้งหวาดกลัวเมื่อความตายเข้ามาถึงเมื่อพระพุทธเจ้าเทศน์จบ เปสการีธิดาท่านก็ เจริญมรณานุสสติกรรมฐานเป็นปกติไม่เคยลืมความตาย

สามปีต่อมา เปสการีธิดาท่านก็ไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

พระพุทธเจ้าตรัสถามเปสการีธิดา

พระพุทธเจ้า : ทรงถามว่า "เธอมาจากไหน?"

เปสการีธิดา : ทูลตอบว่า "ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้า : ทรงถามว่า "แล้วเธอจะไปไหน?"

เปสการีธิดา : ทูลตอบว่า "ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้า : ทรงถามว่า "เธอไม่ทราบหรือ?"

เปสการีธิดา : ทูลตอบว่า "ทราบพระพุทธเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้า : ทรงถามว่า "เธอทราบหรือ?"

เปสการีธิดา : ทูลตอบว่า "ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า"

เมื่อเปสการีทูลตอบไปอย่างนั้นแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงสาธุว่า "ดีแล้วๆ" เป็นการยืนยันในผลการปฏิบัติของท่านเปสการี แล้ว เปสการีก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน รวมความว่าคนที่เป็นพระโสดาบันนี่ท่านนึกถึงความตายเป็นปกติจริงๆ

๒. สุปปพุทธกุฏฐิ เป็นพระโสดาบัน ท่านสุปปพุทธะเป็นคนขอทานและเป็นโรคเรื้อนด้วย วันหนึ่งพระอินทร์ต้องการจะทดสอบความมั่นคง ในความเป็นพระโสดาบัน พระอินทร์ท่านเหาะลอยอยู่ในอากาศแสดงตนเป็นพระอินทร์ชัดเจน แล้วก็ถามว่า

สุปปพุทธะ เธอเป็นคนยากจน ไร้ทรัพย์ เป็นโรคเรื้อนด้วย เธอจงพูดตามนี้ "พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระธรรมไม่ใช่พระธรรมพระสงฆ์ ไม่ใช่พระสงฆ์ พอกันทีสำหรับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พูดเล่นๆ ก็ได้ ถ้าเธอพูดตามนี้ฉันจะบันดาล ให้ท่านเป็นมหาเศษรฐี และหายจากโรคเรื้อน" พอพระอินทร์พูดจบ ท่านสุปปพุทธะก็กล่าวว่า ท่านเป็นคนถ่อยเป็นคนพาลจงถอยไป ถึงข้าพเจ้าเป็นคนจน เป็นโรคเรื้อนเป็นคนขัดสน ข้าพเจ้าก็มีแล้วซึ่ง อริยทรัพย์ ๗ ประการ

เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจะไม่เปล่าวาจาแบบนั้นให้เสียชาติเกิด ก็เป็นอันว่าคนที่เป็นพระโสดาบันนั้น ท่านเคารพในคุณ ของพระรัตนตรัยจริงๆ ไม่ปรามาสแม้แต่กล่าวเล่นๆ ท่านก็ไม่ทำ

๓. ท่านขุชชุตรา และคณะของพระนางสามาวดี ท่านเป็นพระโสดาบัน เรื่องมีอยู่ว่า นางขุชชุตราเป็นหญิงหลังค่อมเป็นคนรับใช้ ของพระนางสามาวดี ทุกวันพระเจ้าอุเทนพระราชสวามีของพระนางสามาวดี จะให้เจ้าหน้าที่การเงินจ่ายค่าดอกไม้แก่พระนางสามาวดีวันละ ๘ กหาปนะ

วันหนึ่งพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดพุทธบริษัทในเมืองนั้น นางขุชชุตราไปฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียว ก็เป็นพระโสดาบัน ที่นางเคยโกง เงินค่าดอกไม้วันละ ๔ กหาปนะ เมื่อท่านเป็นพระโสดาบันแล้วท่านไม่ทำอีกต่อไป แสดงว่าคนที่เป็นพระโสดาบันนี้ศีล ๕ ท่านต้องบริสุทธิ์ คำว่าละเมิดศีลไม่มีอีกต่อไป

ต่อมานางขุชชุตราก็เทศน์โปรดพระนางสามาวดีและคณะจนเป็นพระโสดาบันทั้งหมด วันหนึ่งนางมาคันธิยาออกอุบาย ให้พระเจ้าอุเทนสั่งพระนางสามาวดีและคณะฆ่าไก่ แต่พระนางสามาวดีและคณะไม่ยอมทำ พระเจ้าอุเทนโกรธจึงใช้ธนูยิงพระนางสามาวดีและคณะ แต่ลูกธนูไม่อาจจะทำอันตรายได้ รวมความว่าคนที่เป็นพระโสดาบัน เช่นพระนางสามาวดีและคณะท่านยอมตายดีกว่า ยอมศีลขาด ท่านไม่ยอมละเมิดศีลแม้ตัวจะตาย

ความจริงพระสูตรที่หลวงพ่อยกตัวอย่าง ประกอบธรรมะปฏิบัติที่ผู้เขียนชอบมีอีกมาก ที่เล่ามานี้ย่อเหลือไม่ถึง๑ เปอร์เซ็นต์ของท่านที่สอนแต่ละเรื่อง บางทีก็จำผิดบ้างจำถูกบ้างก็ต้องขออภัยท่านผู้ท่านมา ณ ที่นี้ด้วย

◄ll กลับสู่ด้านบน




พระสมุห์บัญชา สุขปัญโญ

" ศิษย์อวดโง่ "


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้รับโอกาส ได้เป็นผู้เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ได้พบและความประทับใจในตัวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพ แต่ที่เขียนเขียนด้วยใจที่มีความรักและความเคารพหลวงพ่อ เหมือนพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง

........หากมีความผิดพลาดหรือบอกพร่องประการใด ข้าพเจ้าขอรับเอาความผิดพลาดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่หากข้อเขียนนี้พอจะมีคุณประโยชน์ต่อผู้อ่านอยู่บ้าง ข้าพเจ้าขอยกคุณความดีทั้งหมดให้แก่ครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณทั้งหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด

........ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้บวชเข้ามาและอยู่จำพรรษาที่วัดท่าซุงนี้ ข้าพเจ้าได้รับคำสอนของหลวงพ่อมาตั้งแต่พรรษาแรก คำสอนของท่านเป็นคำสอนที่เข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีโดยไม่ต้องนำมาแปลหรือตีความหมายอีก

........ในทัศนะของข้าพเจ้า หลวงพ่อท่านเป็นผู้มีความรู้ในทางธรรมกว้างขวางมาก และมีความรู้ให้พร้อมทุกอย่างในพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะศึกษาเรื่องอะไรในพระไตรปิฏก หลวงพ่อท่านมีความรู้ให้เหล่าลูกศิษย์ครบทุกอย่าง โดยที่พวกเราไม่ต้องวิ่งไปหาความรู้จากที่อื่นให้เหนื่อยเปล่า อยู่ที่ว่า

พวกเรามีความสามารถพอที่จะรับรู้จากท่านได้ขนาดไหนเท่านั้น ถึงแม้ว่าหลวงพ่อท่านจะสอนลูกศิษย์ให้มีความรู้ความสามารถที่จะเห็นนรก เห็นสวรรค์ และสามารถท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ ได้เป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม แต่หลวงพ่อท่านไม่เคยทิ้งพระพุทธเจ้าเลย ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม ท่านจะไม่ใช้ความรู้ความสามารถของท่านเอง ท่านจะต้องถามและทำตามที่พระท่านบอกมาเสมอ

หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าเราใช้ความรู้ของเราเอง มันอาจจะเฝือก็ได้ ถ้าถามพระหรือพรหม เทวดา หรือนางฟ้า จะตรงและแน่นอนกว่าบางครั้งตอนที่หลวงพ่อท่านจะลงรับแขก ตอนที่ข้าพเจ้าและพระปลัดวิรัชไปรอรับท่านที่ตึกอินทราพงษ์ ท่านจะเล่าอะไรให้ฟังเสมอว่า มีพระบ้าง พรหมบ้าง เทวดา นางฟ้าบ้างมาคุยกับท่าน บางทีก็มาดูแลอาการป่วยของท่าน หรือไม่ก็มาบอกว่า วันนี้ลงรับแขกแล้วจะมีอะไรบ้างแขกที่มาจะมาลักษณะอย่างไรบ้าง เมื่อไปถึงที่รับแขกก็จะตรงตามนั้นเสมอ

จากการที่ข้าพเจ้ามีโอกาสดีที่หลวงพ่อท่านเมตตาให้อยู่รับใช้ท่าน ตอนที่ท่านลงรับแขก ข้าพเจ้ามีความประทับใจในปฏิปทาของหลวงพ่อ ที่ท่านมีความเมตตาและความเป็นกันเองแก่ผู้ที่มากราบสักการะด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส และจะตอบปัญหาข้อข้องใจ ของผู้ถามที่ถามด้วยความเคารพและคำถามนั้นเป็นสาระประโยชน์แก่ผู้ฟังทั่วไป

แต่ถ้าท่านผู้ใดอยากลองหรือมาขอเลข ขอหวย ก็จะเจอดีทุกราย หลวงพ่อท่านจะไม่เกรงใจหรือเอาใจใส่คนประเภทนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นคนระดับไหนก็ตาม หลวงพ่อท่านบอกว่า คนประเภทนี้จะทำลายความดีของคนอื่น หลวงพ่อท่านสุขภาพไม่ดี ป่วยเป็นประจำมาหลายปีแล้ว แต่ท่านก็ฝืนร่างกายที่ป่วยลงมารับแขกทุกวันถ้าท่านลุกไหว

ตอนลงรับแขกจะเห็นเหมือนว่าท่านไม่ป่วย ยิ้มแย้มแจ่มใสและหัวเราะกับแขกอย่างอารมณ์ดี แต่หลังจากเลิกรับแขกแล้ว กลับไปที่พักต้องอาเจียนทุกครั้ง ครั้งละมากๆ ด้วยมาบางครั้งท้องอืดและเสียดมากก็ต้องล้างท้องเป็นประจำ หลวงพ่อท่านบอกว่าเห็นใจคนเขาเดินทางมาไกล บางทีเป็นร้อยกิโล ถ้ามาแล้วเขาไม่พบจะเสียกำลังใจ แม้จะมีแขกหนึ่งหรือสองคนก็ตามถ้าได้เวลารับแขก

หลวงพ่อจะลงมาทันทีและกลับไปที่พักตามเวลาคือ ๑๕.๐๐ น. ถึงแม้แขกจะหมดก่อน ๑๕.๐๐ น. หลวงพ่อจะนั่งคอยจนหมดเวลา ท่านบอกว่า เผื่อเขามาตามเวลาแล้วไม่พบ เขาจะว่าเอาได้ หลวงพ่อท่านต้องฝืนร่างกายลงรับแขก จนกระทั่งวันหนึ่ง (๓ ตุลาคม ๒๕๓๒) ท่านมีอาการเสียดท้อง และต้องเข้าห้องน้ำ และท่านก็อาเจียนออกมามากจนหมดสติไปพักหนึ่ง ต้องช่วยกันพยาบาลอยู่พักหนึ่งท่านจึงฟื้น และพักผ่อนอยู่สองวันเห็นจะได้ไม่สามารถลงรับแขกได้ แล้วก็ต้องไปสอนกรรมฐานที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม อีกในสภาพร่างกายที่แย่เต็มที

เรื่องการฝืนร่างกายจากการป่วยแล้วลงรับแขกของหลวงพ่อนี้มีมานาน ข้าพเจ้าขอเล่าเหตุการณ์บางตอน ตอนนั้นประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๔ หรือ ๒๕๒๕ เห็นจะได้ เป็นตอนที่ข้าพเจ้าและคุณชัยศรี (ขณะนั้นยังบวชอยู่) เพิ่งเข้ารับหน้าที่เกี่ยวกับการจัดสถานที่รับ แขกของหลวงพ่อแทนคุณอรัญที่ศาลานวราช

มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อท่านมีอาการป่วยค่อนข้างมาก ข้าพเจ้ากับคุณชัยศรีก็ได้ปรึกษากันว่า วันนี้อยากให้หลวงพ่อได้ผักผ่อนสักวัน ถ้ามีแขกน้อยก็จะพยายามบอกให้แขกกลับไปก่อน เผอิญวันนั้นมีแขกมา ๒ คน แกไม่ยอมกลับจะพบหลวงพ่อให้ได้ตามปกติก่อนที่หลวงพ่อท่านจะลงรับแขก ท่านจะต้องโทรศัพท์มาถามก่อนเสมอว่า มีแขกมารอหรือยัง

ข้าพเจ้ากับคุณชัยศรีก็ปรึกษากันไว้ว่าถ้าหลวงพ่อโทรศัพท์มา (โทรศัพท์มี ๒ เครื่อง อยู่ที่ห้องโถงเป็นที่สำหรับรับแขกหนึ่งเครื่อง และอยู่ห้องข้างหลังอีกหนึ่งเครื่อง) เราจะเข้าไปรับโทรศัพท์ข้างใน ให้แขกนั่งรออยู่ข้างนอก แล้วบอกหลวงพ่อว่าวันนี้ไม่มีแขกครับ

เมื่อท่านโทรศัพท์มาถาม ก็บอกไปตามที่ตกลงกันไว้ ก็มีเสียงตวาดมาทางโทรศัพท์ว่า "แล้วไอ้ที่นั่งคอยข้างนอก ๒ คนนั่นใครวะ!" เท่านั้นเองเราทั้งสองหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เหมือนขโมยที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา ตั้งแต่นั้นมาเข็ดไม่กล้าอวดดี (ความจริงอวดเลวมากกว่า) กับครูบาอาจารย์อีก ท่านย่อมรู้กำลังของท่านดีว่า ไหวหรือไม่ไหว (อัปปะมาโน สังโฆ) เราเสือกไปรู้ ดีกว่าท่านเข้าก็เลยเจอของดี

อันนี้เป็นเหตุการณ์ที่ประสบมาด้วยตนเอง แสดงว่าหลวงพ่อมีสายตาที่ยาวไกล มองเห็นได้ไกลมาก เพราะศาลานวราชกับตึกอินทราพงษ์ที่ท่านพัก ไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย อยู่คนละฟากถนน และท่านก็อยู่ในห้องที่มิดชิด ท่านยังรู้ว่า ที่ศาลานวราชมีใครบ้าง

อันนี้เป็นหนึ่งในหลายร้อยหลายพันส่วนที่ข้าพเจ้าได้พบ ได้เห็นตลอดระยะเวลาเพียงเล็กน้อยที่ข้าพเจ้าได้อยู่กับหลวงพ่อ และเกิดความประทับใจข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรได้หมด

เนื่องในวันสมโภชสมณศักดิ์ของหลวงพ่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๓๓ นี้ เกล้ากระผมขอกราบอาราธนาคุณพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้งสามประการจงดลบันดาลให้พระเดชพระคุณหลวงพอ จงมีสุขภาพและพลานามัยสมบูรณ์ปราศจากโรคภัยทั้งปวง และอยู่เป็นฉัตรแก้วของบรรดาลูกหลานทั้งหลายชั่วกาลนานเทอญ

◄ll กลับสู่ด้านบน




พระสมชาย สาทโร


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........ผมได้ทราบและรับใบแจ้ง ลงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๓๒ เรื่อง เชิญร่วมทำหนังสือ "ลูกศิษย์บันทึก" จะใช้คำพูดอีกอย่างก็ "ลูกศิษย์รำลึก" เพื่อให้ศิษยานุศิษย์ได้มีโอกาสทำเพื่อรำลึกถึง พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ซึ่งมีพระคุณต่อศิษยานุศิษย์

........ฉะนั้นผมผู้หนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน จึงมีความรู้สึกปิติยินดี ในโอกาสนี้เป็นอย่างยิ่ง

.........ผมได้อุปสมบท เมื่อ ๒๕ เมษายน ๒๕๒๐ โดยการสมัคร เพื่ออุปสมบทฉลองพระอุโบสถ วัดจันทาราม ทั้งนี้เนื่องด้วยความเลื่อมใสได้หนังสือธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร ขณะนั้น ก็ตั้งใจจะบวชสัก ๑ พรรษา แต่การณ์มิได้เป็นไปเช่นนั้น

........เพราะว่าหลวงพ่อมีเมตตาสอนระเบียบวินัยและธรรมปฏิบัติถึง ๕ เวลา รู้สึกว่าเป็นที่ถูกใจที่จะมีความรู้ของพระศาสนาดีขึ้นคือ ตั้งแต่เวลา ๐๔.๓๐ น. และ ๑๒.๐๐ น. ใช้เทปสอนกรรมฐานและ ๑๗.๓๐ น. หรือทำวัตรเย็นแล้วสอนพระวินัย และ ๑๙.๐๐ น. ลงกรรมฐานที่ศาลานวราชและ ๒๑.๓๐ น. ใช้เทปสอนพระสูตร

ทั้งหมดนี้ผมภูมิใจที่จะได้รู้เกี่ยวกับพระศาสนาของพระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่หลวงพ่อมีเมตตาสั่งสอนลูกทุกคนให้พ้นทุกข์ เพื่อละความชั่วประพฤติแต่ความดี จึงได้พร่ำสอนกรรมบถ ๑๐ ให้มั่นคงและก็เพื่อเป็นพื้นฐานของกรรมฐาน ส่วนวิปัสสนากรรมฐานหลวงพ่อสอนในสายมโนมยิทธิคือ ฤทธิทางใจสามารถมองเห็นนรกสวรรค์ได้ นับว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อชี้ทางสว่างเพื่อให้ลูกๆ ทุกคน เห็นมรรคผลได้ดียิ่งขึ้น

วัดจันทาราม(วัดท่าซุง) เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้เพราะกรรมฐานโดยแท้จริง พระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นพระสงฆ์องค์หนึ่งอีก จำนวนหลายรูป แต่หลวงพ่อเป็นนักสู้ นักเสียสละ และเป็นนักพัฒนา เป็นสิ่งที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อขาดไม่ได้ ก็เป็นสิ่งที่รู้ๆ ในหมู่ศิษยานุศิษย์ด้วยกัน

หลวงพ่อเป็นนักสู้
กล่าวคือ ถึงแม้หลวงพ่อจะถูกโจมตีเป็นไปในทางอกุศล หลวงพ่อก็มิได้ต่อต้านการพูดเลวของเขาเหล่านั้นแต่อย่างไร ในที่สุดเขาก็พังไปเองด้วยความดีของหลวงพ่อ

หลวงพ่อเป็นนักเสียสละ
กล่าวคือถึงแม้จะเจ็บป่วยอย่างไร หลวงพ่อก็ทำการสอนธรรมหรือเทศนาธรรมให้แก่ญาติโยม พุทธบริษัท เป็นปกติโดยไม่ย่อหย่อน และหลวงพ่อได้สละปัจจัย อันเป็นเงินส่วนของหลวงพ่อช่วยเหลือวัดอื่นๆ หลายวัด

หลวงพ่อเป็นนักพัฒนา
กล่าวคือ หลวงพ่อได้สร้างวัดจันทาราม(วัดท่าซุง) ให้เจริญขึ้น จากการที่หลวงพ่อมาอยู่ครั้งแรก อยู่กระต๊อบเพิงหมาแหงน ที่ชายแม่น้ำสะแกกรัง ใกล้โคนต้นโพธิ์ หลวงพ่อจำวัดอยู่องค์เดียวขณะนี้กระต๊อบยังอยู่

ความเจริญของวัดจันทารามขณะนี้ ก็ได้เห็นเป็นประจักษ์แก่สายตาของศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนด้วยแล้วก็เนื่องด้วยพระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อมีความสามารถ และความสมบูรณ์ด้วยศีลวิสุทธาธิคุณเป็นหลัก จึงเป็นวัดจันทารามที่สมบูรณ์อย่างยิ่ง และจะหาที่ใดอีกเล่า

ทั้งนี้ก็ด้วยกำลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสในองค์หลวงพ่อ ก็เพราะกรรมฐานอย่างแท้จริง

กระผมในฐานะลูกศิษย์ ก็ขออัญเชิญธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและอำนาจแห่งกตัญญูกตเวทิตาธรรม จงเป็นพลังปัจจัยหนุนนำให้พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานมีพลานามัยสมบูรณ์ปราศจากโรคภัย และขอให้เจริญรุ่งเรืองในพระศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่มวลศิษยานุศิษย์ตลอดกาลนาน

◄ll กลับสู่ด้านบน




พระยงยุทธ ธัมมยุทโธ


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........การที่จะได้พบครูอาจารย์ที่มีความสามารถให้ความรู้ทั้งทางโลก และทางธรรมพร้อมกันทั้งสองอย่าง โดยเฉพาะครูอาจารย์ที่ให้แสงสว่างชี้แนะในการประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร และยังสามารถรู้วาระจิตของศิษย์ที่มาปฏิบัติแต่ละคน เป็นสิ่งที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

.........นับตั้งแต่ที่ลูกได้พบองค์หลวงพ่อและได้ปฏิบัติธรรมกับท่าน ทำให้สามารถเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ หลายอย่างมากมาย ไม่ว่ากิจการงานต่างๆ ที่องค์หลวงพ่อท่านได้สอน สามารถนำไปประกอบอาชีพในทางโลกได้อย่างสบาย

.........แต่โดยทางธรรมแล้ว ท่านสอนให้เรียนรู้จากของจริงในชีวิตเลยทีเดียว ประสบการณ์ต่างๆ ที่ลูกได้รับมา สามารถนำไปแก้ไขจิตใจของตัวเองได้อย่างดี ท่านสอน ให้รู้จักการปล่อย การวาง การไม่เมาในชีวิต ตัวตน จิตมุ่งมั่นอย่างเดียวคือ นิพพาน

องค์หลวงพ่อท่านมีความรักความเมตตาต่อลูกๆ ทุกคนเหมือนกันหมด ท่านไม่ปิดบังความรู้ที่ท่านมีอยู่ ท่านมีเมตตาธรรมอัน สูงยิ่งต่อลูกๆ ดังพ่อแม่ที่มีความรักต่อลูก พระคุณขององค์หลวงพ่อท่านมีมากมายมหาศาลเปรียบดังพระคุณของบิดามารดา ซึ่งไม่อาจนำมาพรรณนาได้หมด ลูกขอน้อมบูชาทดแทนพระคุณขององค์หลวงพ่อด้วยกำลังแรงกายและปัญญาตามความสามารถ ที่มีอยู่ตลอดชีวิต

ลูกขอน้อมอาราธนาบารมี พระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ และเทวานุภาพทั้งหลาย ขอได้โปรดอภิบาลให้องค์หลวงพ่อท่านมีสุขภาพอนามัยแข็งแรงสมบูรณ์มีอายุยืนยาวนานเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นเนื้อนาบุญของลูกๆ ตลอดไป

สิ่งใดที่ลูกได้ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อองค์หลวงพ่อด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ทั้งต่อหน้าและลับหลังด้วยกาย วาจา และใจ ขอองค์หลวงพ่อได้โปรดเมตตายกโทษให้แก่ลูกด้วย พระธรรมใดที่องค์หลวงพ่อได้บรรลุแล้ว ขอให้ลูกมีดวงจิตดวงใจเข้าถึงกระแสธรรมขององค์หลวงพ่อด้วยเถิด ลูกขอกราบแทบเท้าบูชาแด่องค์หลวงพ่อด้วยความเคารพอย่างสูง

◄ll กลับสู่ด้านบน




พระไพบูลย์ คุณวิปุโล


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........สมัยข้าพเจ้าเป็นนักเรียน ได้เปิดวิทยุฟัง ในรายการที่เอาประวัติหลวงปู่ปานมาอ่าน ฟังแล้วก็ชอบ จึงฟังไปทุกวัน ภายหลังพี่ชาย ได้เอาหนังสือประวัติหลวงปู่ปานและคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน ซึ่งหลวงพ่อเป็นผู้เขียนขึ้น เอามาให้อ่านอีก

.........เมื่ออ่านแล้วจึงคิดว่า ถ้ามีโอกาสได้บวชก็จะบวชอยู่กับหลวงพ่อ ครั้นพอได้อายุครบบวช โยมแม่จึงอยากให้บวช เลยบอกว่าจะขอมาบวชที่วัดหลวงพ่อ ส่วนโยมพ่ออยากให้บวชวัดใกล้บ้าน ข้าพเจ้าก็พูดว่า ถ้าไม่ได้บวชที่วัดหลวงพ่อก็จะไม่ขอบวช ภายหลังจึงได้รับการยินยอมให้มาบวชที่วัดท่าซุง เมื่อเดือน กรกฏาคม ๒๕๒๐

.........เดิมทีข้าพเจ้าตั้งใจจะบวชแค่พรรษาเดียวเท่านั้น อยู่มาจนกระทั่งออกพรรษาแล้ว ครั้นจะคิดสึกออกไปก็มีความเสียดาย กลัวว่า หลวงพ่ออาจจะสิ้นชีวิต และจะไม่มีโอกาสได้เจอท่านอีก เพราะตอนนั้น หลวงพ่อท่านก็ป่วยอยู่เรื่อย และเวลาบันทึกเทปธรรมะ

........หลวงพ่อจะเปิดออกเสียงตามสายในเวลาเดียวกันด้วย ฟังดูแล้วเสียงท่านแหบ บางทีก็สั่งน้ำมูกไปด้วย เห็นหมอมาให้น้ำเกลืออยู่เสมอ ทำให้เกิดความสงสารหลวงพ่อ และไม่อยากจากท่านไป และพระที่บวชรุ่นเดียวกันหลายองค์ ก็พร้อมใจกันที่จะบวชอยู่ต่อไป จึงได้ตัดสินใจอยู่ต่อ และช่วยกันอยู่เวรยามดูแลของสงฆ์ จึงบวชอยู่มาจนกระทั่งทุกวันนี้

ตอนที่บวชพรรษาต้นๆ นั้น จิตใจมีแต่ความอิ่มเอิบ อยากจะนั่งสมาธิมากๆ อยากจะปฏิบัติมากๆ บางครั้งมีข้อสงสัยปัญหาธรรมะระหว่างพระภิกษุด้วยกัน ไม่ว่าจะถามพระรุ่นเดียวกัน หรือรุ่นพี่ก็ตาม เมื่อหาข้อยุติไม่ได้ พอไม่ช้า เมื่อหลวงพ่อออกเสียงธรรมะตามสายก็จะได้ยินหลวงพ่อเฉลยไขข้อข้องใจให้แล้ว ซึ่งเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ

แม้กระทั่งในวันพระ หลวงพ่อจะต้องลงเทศน์ที่ศาลาพระพินิจ ข้าพเจ้าเคยคุยกับเพื่อนพระด้วยกันอยู่ท้ายอาสนสงฆ์ หาข้อสรุปไม่ได้ ครั้นเมื่อหลวงพ่อขึ้นเทศน์บนธรรมมาสน์ ท่านก็ เทศน์คำตอบสรุปให้เสร็จ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครไปถามอะไรท่าน แสดงว่าท่านสามารถรู้วาระจิตของลูกศิษย์ได้ดี จึงทำให้ข้าพเจ้ามีความศรัทธาและความเชื่อมั่นในองค์หลวงพ่อเป็นอย่างมาก

หลวงพ่อสอนธรรมะได้ทุกรูปแบบ สามารถสอนกรรมฐาน ๔๐ ได้ครบ สอนแล้วทำให้เข้าใจได้ง่าย จึงทำให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติตาม แนวทางการสอนของหลวงพ่อครบทุกหมวด นับได้ว่าหลวง พ่อได้ช่วยสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้มั่นคง

◄ll กลับสู่ด้านบน




พระมีชัย ฐานสุนทโร ( พริ้งรักษา )


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........เนื่องในราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๓๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์ พระสุธรรมยานเถระชั้นสามัญขึ้นเป็นชั้นราชในพระราชทินนามว่า "พระราชพรหมยาน" เจ้าอาวาสวัดท่าซุง อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี

........คณะศิษย์จึงมีความยินดี ที่จะได้มีโอกาสแสดงมุทิตาจิตสรรเสริญคุณงามความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ เพื่อเป็นกตัญญู ทุกทั่วหน้าไม่ว่าร่างกายจะป่วยไข้ไม่สบายก็มิได้ย่อท้อ ขอให้ได้สงเคราะห์ญาติโยมผู้มีทุกข์มา ได้สบายกายสบายใจด้วยเมตตาธรรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็พอใจ

........พระเดชพระคุณหลวงพ่อมีโรคประจำกายของท่านอย่างหนึ่ง คือโรคที่ไม่ได้พักผ่อน ท่านก็พร่ำสอนบรรดาลูกศิษย์และนักปฏิบัติทั่วไปว่า ร่างกายนี้มันเป็นทุกข์ เรายังจะแบกมันไปอีกหรือ นี่แหละพระเดชพระคุณ

........หลวงพ่อท่านให้เราทุกอย่าง เราซิมันเลวไม่สามารถที่จะรองรับคุณงามความดีของท่านได้ นี่ว่าเฉพาะผู้เขียนนะ เรามาพิจารณาคุณงามความดีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อต่อไปถึงด้านการก่อสร้างบ้าง ตั้งแต่วัดขึ้นไปจนถึงช่อฟ้าใบระกา ศาลา ๒ไร่ ๓ ไร่ ๔ ไร่ ๑๒ ไร่ และวิหาร ๑๐๐ เมตร ทั้งหมดนี้ไม่มีผังไม่มีแปลน ทำเสร็จแล้วหาที่ติมิได้ สวยสมส่วนทั้งหมด

ในประเทศไทยนี้ จะมีผู้ทำใดทำได้บ้าง ลองมองหาดูซิมีที่ไหนบ้าง เรื่องจ้างคนงาน เงินรายครึ่งเดือนหรือเดือน จำพวกซื้อสินค้าขึ้นไปจนถึงเป็นล้านๆ พระเดชพระคุณองค์หลวงพ่อเป็นองค์จ่ายองค์เดียวเท่านั้น

ที่พูดมานี้เป็นส่วนน้อยนิด ผู้เขียนไม่มีความสามารถรอบรู้สิ่งลี้ลับมหัศจรรย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อได้เลย ดูกันด้วยตาเนื้อ ก็พอจะเข้าใจได้บ้างว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านมีปรีชาสามารถเป็นอย่างไร ที่เขียนมานี้เป็นความจริงทั้งหมดและเป็นสิ่งที่ผูกมัดจิตใจลูกศิษย์และญาติโยมที่ได้มาเห็น ซึ่งท่านเป็นเนื้อนาบุญของโลกอย่างแท้ ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า

◄ll กลับสู่ด้านบน




พระสมาน สมานจิตโต


หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๑

"........"นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา" แปลว่า "เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" ที่องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้กล่าวแก่พระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดและพระอาคันตุกะทุกรูปว่า

.........การบวชของเรานั้น มุ่งเพื่อการละราคะ โทสะ โมหะ ให้ถือว่าผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยของพระอรหันต์ ดังพระพุทธองค์ตรัสแก่พระสาวก ทั้งหลายว่า ถ้ามีสมณะเหล่าอื่นถามว่า บวชในสำนักพระสมณโคดมเพื่ออะไร พึงตอบดังนี้ว่า เราบวชเพื่อความดับ ไม่มีเชื้อดังนี้

.........ฉะนั้นการที่เราเข้ามาบวชเป็นพระ ให้พยายามให้ถึงที่สุดในพระพุทธศาสนาคือความหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ จะได้มากได้น้อยไม่ต้องคำนึงถึง ท่านเปรียบเหมือนเราขึ้นต้นไม้ ตั้งใจขึ้นให้ถึงยอด แต่มันไม่ถึงยอด ถึงกิ่งกลางๆ ก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

.........เป็นคำเตือนแก่พระภิกษุสามเณรที่มีอยู่ในวัดให้คิดเสมอว่า การบวชเป็นพระนั้นเป็นของหนัก หนักในที่นี้หมายถึงว่า พระภิกษุสามเณรที่มีอยู่ในวัดให้คิดเสมอว่า การบวชเป็นพระนั้นเป็นของหนัก หนักในที่นี้หมายถึงว่า พระภิกษุสามเณรนั้น เป็นปูชนียบุคคลที่ชาวบ้านเขาเคารพบูชากราบไหว้ เขาให้กินให้ใช้แล้ว แล้วยังต้องกราบยกมือไหว้

ฉะนั้นจงทำตนให้สมควรกับที่เป็นพระ เป็นสมณะ แปลว่า ผู้สงบกาย สงบใจ ภิกษุแปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร สมกับที่เขาเคารพกราบไหว้ การบวชเป็นพระนั้น องค์หลวงพ่อบอกว่า ถ้าเราทำดี ปฏิบัติดี สร้างบุญ สร้างกุศล ก็มีความดีมากกว่าชาวบ้านเป็นร้อยเท่า แต่ถ้าทำความชั่วมากกว่าชาวบ้านเป็นร้อยเท่าเหมือนกัน

ฉะนั้นจงรักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม เป็นคำกล่าวเตือนแก่พระที่ประกอบไปด้วยเมตตา กลัวว่าจะตกต่ำจากความดี หลวงพ่อสอนพระ สอนโยมก็เพื่อให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ให้ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ หวังช่วยให้พ้นจากความทุกข์ ถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยสักปานใด ร่างกายก็ป่วยเป็นปกติ

หลวงพ่อก็ไม่เคยบ่นหรือหวังอะไร มีอย่างเดียว ขอให้มีสุข ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า เมตตาค้ำจุนโลก จะกล่าวคุณความดีขององค์หลวงพ่อนั้นจะให้หมดนั้น กระผมไม่รู้จะเขียนจะบรรยายให้หมดได้ คำสอนที่องค์หลวงพ่อนำมาสอนนั้น ก็เหมือนพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ว่า ธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั้นเปรียบเสมือนป่าใหญ่ที่พระพุทธองค์หยิบใบไม้มาเพียงกำมือเดียวเท่านั้น ที่เหลืออยู่ในป่าอีกนั้นนับไม่ได้ จะทำอะไรก็ตามที่เป็นบุญกุศล องค์หลวงพ่อให้ถือว่า เราทำเพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า เพื่อช่วยพระศาสนาให้มีเมตตาเป็นที่ตั้ง

หลวงพ่อสอนให้มีศีล สมาธิ ปัญญา มีการเกิดแล้วก็มีตาย มีโลกนี้โลกหน้า คนทำกรรมดีกรรมชั่ว มีสุขหรือทุกข์ก็ด้วยกฏแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิดนี้มันเป็นทุกข์ ใช้ปัญญาพิจารณาก็จะเห็นจริงว่า โลกนี้มันวุ่นวายหาสุขจริงไม่ได้ ที่สุขก็เป็นสุขลุ่มๆ ดอนๆ ไม่เป็นแก่นสารอันแท้จริง เราจะเอาอะไรกับโลกนี้ ตายแล้วร่างกายก็เอาไปไม่ได้

ก่อนที่ผมจะบวชนั้นก็เห็นว่า การเป็นคน เป็นมนุษย์นั้นมีแต่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจ เกิดความทุกข์อะไรขึ้นมาแล้ว ไม่รู้จะหาทางระบายทุกข์อย่างไร หรือจะระบายทุกข์กับคนกับสัตว์หรือวัตถุสิ่งของหรือมันก็ระงับชั่วคราว หรือถ้าเป็นคนเป็นสัตว์ก็ต้องเป็นบาปเป็นกรรมต่อกันไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด

จนกระทั่งได้เข้ามาบวชแล้ว ได้รับฟังพระธรรมที่หลวงพ่อนำมาสอน จึงมาใช้พิจารณา ยามเมื่อเกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจก็พอบรรเทาความทุกข์ไปได้บ้าง และทำให้เกิดความสุขสงบใจ และทำให้เกิดปัญญา ทำให้เห็นว่า อะไรทำให้สุขให้ทุกข์ ครั้นเราจะไปโทษคนหรือสัตว์ หรือวัตถุสิ่งของ ไม่ใช่ทั้งนั้น องค์หลวงพ่อบอกว่า เพราะเรามีกายนี้ ต่างหากที่ทำให้ทุกข์ ให้สุข แต่เพราะเราปรุงแต่งจิตเราแล้วไปสำคัญอยู่ที่ร่างกาย เหมาจิตใจและร่างกายเป็นตัวเดียวกัน จึงเกิดสุขหรือทุกข์อยู่ไม่หาย

ฉะนั้นองค์หลวงพ่อจึงเตือนไว้อยู่เสมอว่า "จงกล่าวโทษโจทก์ความผิดตัวเองไว้อยู่เสมอ จะได้ไม่หลงตัวหลงตน จะได้พ้นอบายภูมิ" เมื่อคิดได้ดังนี้ ใจมันก็ค่อยเห็นเป็นธรรมดาบ้างไม่ธรรมดาบ้าง และก็มาได้คิดอีกว่า เมื่อเราเป็นฆราวาสอยู่ เราทำการทำงาน หาเงินทองทรัพย์สินได้มาเพื่ออะไร เพื่อร่างกายจะได้ใช้เป็นสำคัญ แต่พระพุทธองค์ทรงสอนว่าที่เราได้กินได้ใช้ มีทรัพย์สินเงินทองทำงานแทบตายก็เพื่อร่างกายตัวเดียว เพื่อกิเลส ตัณหา ความทะยานอยาก ตายแล้วสิ่งเหล่านี้เราเอาไปไม่ได้

พระพุทธองค์ทรงเปรียบไว้ว่า เหมือนกับเราเอาไปทิ้งลงเหวไม่เกิดคุณประโยชน์ และเมื่อได้บวชเข้ามาแล้วคิดพิจารณา ย้อนถอยหลังไปเมื่อครั้งยังเป็นฆราวาส ก็มาคิดได้ว่าที่เราทำนั้น ส่วนใหญ่เราไม่ได้อะไรเลยมีแต่สนองกิเลสตัณหาทั้งสิ้น และตอนนี้เราบวชเป็นพระแล้วนี่ เราทำงานที่เป็นของสงฆ์ก็ดี ทำกรรมฐานก็ดีนี้เราได้หมด ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ได้ในที่นี้คือได้อริยทรัพย์ อันเป็นทรัพย์ภายในจิตใจอันไม่มีผู้ใดจะมายื้อแย่งลักขโมยไปได้ ตายแล้วก็ยังติดตัวไปได้ เหมือนเราฝากเก็บไว้ในธนาคาร ไว้ในโลกหน้า อันมีสวรรค์ เทวดา พรหม และพระนิพพาน

ถ้าเราสามารถตัดความยินดีในโลกและร่างกายได้ตามคำสอนที่องค์หลวงพ่อสอนไว้ว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คเหตวา" แปลว่า "เราขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" และก็มาคิดว่านิพพานนั้นอันเป็นแดนทิพย์ แดนสุขอันเป็นอมตะหาสุขอื่น อันมีวัตถุสิ่งของเทียบไม่ได้

ถ้าเรามีความพากเพียรพยายามก็คงไม่ไกลเกินฝันที่จะทำได้ อย่างองค์หลวงพ่อบอกว่า ถ้าทำชาตินี้ไม่ได้ชาติหน้าก็คงได้ ดังพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า อานุภาพอิทธิบาท ๔ อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้วทำให้มากแล้ว กระทำดุจยาน กระทำดุจพื้น ให้ตั้งมั่นแล้ว สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นเมื่อจำนงอยู่ พึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป และสิ่งที่เป็นทั้งทางโลกและทางธรรม ก็ได้เห็นตัวอย่างมาเช่น

องค์หลวงพ่อท่านจะทำอะไรก็ตาม ท่านบอกว่าถ้าทำไม่ได้ไม่มี ยอมตายเสียยังดีกว่า และก็ได้เห็นว่าถ้าองค์หลวงพ่อไม่มีอิทธิบาท ๔ แล้ว ท่านจะมาโปรดญาติโยมไม่ได้เลยเพราะท่านก็ป่วยอยู่เป็นปกติ และเพราะมีเมตตากรุณาต่อคนต่อสัตว์ ท่านจึงไม่แสดงอาการให้เห็นนอกจากไม่ไหวจริงๆ เท่านั้น

ฉะนั้นเมื่อเกิดความทุกข์กาย ทุกข์ใจขึ้นมา ก็ระลึกถึงคำสอนขององค์หลวงพ่อแล้วมีความเข้าใจ สงบใจ ทำให้เห็นจริงในคำสอนเกิดความสุขบ้าง ก็มาคิดว่าถ้าเราไม่มีองค์หลวงพ่อแล้ว ใจเราวุ่นวายมากกว่านี้แน่ ทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาว่า ถ้าเราจะได้สุข หรือได้เห็นฝั่งพระนิพพานอันเป็นแดนสุขได้ ก็ได้องค์หลวงพ่อชี้ทางสว่างแห่งมรรคา การจะปฏิบัติได้หรือไม่ได้ก็ต้องเพียรพยายามต่อไปตราบเท่าชีวิตจะหาไม่ และก็ขออุทิศร่างกายและจิตใจนี้แก่พระพุทธศาสนา และองค์หลวงพ่อตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน ดังพระพุทธองค์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

"..ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดธรรมทั้ง ๔ ประการ เราและพวกเธอจึงเร่ร่อนท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนานอย่างนี้ ๔ ประการเป็นไฉน เพราะไม่รู้แจ้งศีลอันเป็นอริยะ สมาธิอันเป็นอริยะ ปัญญาอันเป็นอริยะ วิมุตติอันเป็นอริยะ เราและพวกเธอจึงเร่ร่อน ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนานอย่างนี้.."

◄ll กลับสู่ด้านบน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top