Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 22/8/08 at 10:32 [ QUOTE ]

"หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ หลวงปู่สิม พุทธาจาโร" ลงในเว็บ bloggang.com


post by.. "kaoim" 15 ก.พ. 2551



หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

เรื่องที่จะนำมาถ่ายทอดต่อไปนี้ คัดลอกมาจากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ : บนเส้นทางพระโยคาวจร" เขียนโดย "สายฟ้า" [หลวงตาวัชรชัยเจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)] ผู้ถ่ายทอดกราบขออนุญาตต่อหลวงตาวัชรชัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ และจะขอตัดตอนนำเฉพาะบางตอนที่กล่าวถึงหลวงพ่อกับหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร แห่งวัดถ้ำผาปล่อง จังหวัดเชียงใหม่ โดยตรงมาถ่ายทอด ดังนี้

“ เมื่อชีวิตพ่อล่วงลับ ผู้เขียนก็ย้อนถึงหลวงปู่ทั้งหลายที่เคยมาร่วมงานประจำปีในอดีตที่ผ่านมา พบว่าแต่ละองค์ต่างทยอยลาโลกไปแทบครบองค์เสียแล้ว ใจหายน่ะมันมีแน่ แต่กลับซึ้งใจในความจริง ชัดเจนว่าพระอริยเจ้าผู้ทรงพระคุณต่อชาวโลกนี่ ท่านเกิดมาเพื่อความดับไม่เหลือเชื้อจริงๆ ระหว่างท่านทรงชีวิตอยู่ก็เป็นเนื้อนาบุญอันเกิดประโยชน์ชุ่มเย็นไม่มีประมาณต่อชาวโลก เมื่อสิ้นภาระร่างกายก็จบกิจหมดอาลัยเข้าสู่พระนิพพานดุจประทีปอันเรืองรองดับวูบไปฉะนั้น

หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ก็เป็นประทีปแก้วอีกดวงหนึ่งซึ่งส่องแสงเจิดจ้าจับใจชาวโลก แล้วก็ดับไปตามสัจธรรมที่สมเด็จพ่อของเราทั้งหลายทรงแสดงไว้

เมื่อประมาณ 30 ปี ที่ผ่านมา ประทีปอันบริสุทธิ์เย็นใจดวงนี้ได้มาเพิ่มความสุขให้แก่บรรดาลูกพ่อ ที่วัดท่าซุงถึง 3 ปี ติดต่อกัน ได้ประทับฝากฝังความทรงจำแก่ผู้เขียนไม่มีลืมไปได้

หลวงปู่สิม เป็นศิษย์ของพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตฺโต จริยาของท่านสงบเยือกเย็นแผ่กระแสความเมตตาอย่างเป็นธรรมดา อย่างของจริง อย่างไม่มีประมาณ แต่ในจริยามารยาทที่สงบเงียบนั้น ใครจะทราบบ้างว่า ท่านทรงคุณอภิญญาสมาบัติและก็แสดงออกมาชนิดไม่ยอมอ้อมแอ้มค้อมแค้ม จะเล่าให้ฟังเอาไหม ?

ก็ต้องนำภาพการจัดงานวัดของเราเมื่อปี 2518 โน้น มาให้เห็นกันอีกจุดหนึ่งเสียก่อนคือ เมื่อจัดสรรที่พักให้หลวงปู่ทั้งหลายลงตัวแล้ว พ่อก็จัดลูกศิษย์ (คือพี่อ๋อยจัดแจงแทนพ่อทั้งหมด) ให้รับใช้ประจำองค์หลวงปู่ตามที่ได้เล่าให้ฟังมาแล้วในตอนต้น หลวงปู่สิมพักอยู่กุฏิเบอร์ 3 มีคุณธำรง (ศุภสิทธิ์) อารีกุล เป็นศิษย์ประจำองค์ ผู้เขียนทำหน้าที่อะไรล่ะ.... จะว่าเป็นหัวหน้าก็ไม่อยากจะว่า คือต้องรับบุญรับกรรมช่วยช่วยควบคุมดูแลแก้ปัญหาทั่วไปทุกกุฏิด้วย ที่ว่ารับบุญก็คือรับบุญมหาศาลที่ถวายความสะดวกกายสบายใจแก่พระสุปฏิบันโน ที่ว่ารับกรรมคือมันอย่างนี้.....

พ่อสั่งกำชับเป็นคำขาดว่า ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปรบกวนหลวงปู่ในกุฏิที่พัก ถ้าท่านจะสงเคราะห์ท่านก็ออกมานั่งอาสนะที่จัดถวายไว้ในศาลารับแขก คือที่พักชาย 17 ห้อง หลังพระอุโบสถ หน้ากุฏิ 10 หลัง นั่นแหละ ในตอนปี 2519 ยังเป็นศาลาโล่งเต็มแนวยาวเลย สร้างขึ้นเพื่อให้หลวงปู่ทั้ง 10 องค์ รับแขกโดยเฉพาะ ตรงกับกุฏิแต่ละหลังก็มีตั่งอาสนะประจำกุฏิ มีประตูทางเดินทะลุจากกุฏิเข้ามาได้เลย ใครๆ จะมาบำเพ็ญกุศลกราบนมัสการก็ให้นั่งคอยที่นี่จนกว่าท่านจะมาสงเคราะห์เอง ผู้ใดฝ่าฝืน พ่อสั่งเป็นคำขาดกับเจ้าหน้าที่รับใช้พระว่า

“จับมันมัดไว้กลางลานวัดหน้าโบสถ์เลย ข้าจะดูซิว่าใครจะกล้าฝ่าฝืนหานรกใส่หัวบ้าง พวกแกไม่ต้องกลัวใคร หัวหงอกหัวดำมัดประจานไว้เลย ข้าจะชำระมันเอง....”

........ผู้เขียนและคณะ “ลิงรับใช้พระ” นั้นปลื้มมากลำบากใจแค่ไหน โธ่....หลวงปู่พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ตั้ง 10 องค์ มาสถิตส่องแสงเจิดจ้าอยู่หลังพระอุโบสถ ใครจะไม่อยากเข้าไปกราบเพิ่มบุญตัวเอง ยิ่งได้กราบเป็นส่วนตัวในกุฏิเป็นพิเศษ มันเป็นยอดของความปลื้มใจอยู่แล้ว จึงมีผู้ใหญ่มากท่าน มายืนขู่เด็กลิงรับใช้พระจะเข้าไปทำบุญกับหลวงปู่ในที่..... ขอโทษ ! ... ในที่นอนนั่งสบายอิริยาบถของท่าน แล้วก็ยังมีที่ไม่กล้าใหญ่นัก.... ยืนชะเง้อมองมาที่กุฏิตลอดเวลา

ตอนนั้นผู้เขียนยังสงสารไม่เป็น ยังคิดเห็นใจใครไม่ออก คิดออกอยู่อย่างเดียวว่า คำสั่งพ่อคือสิ่งที่ต้องรักษาและทำตามด้วยชีวิต แล้วยังนึกถึงหัวตะพดเลี่ยมเงินในมือพ่อ คิดถึงรสชาติความเจ็บมึนมากๆ เวลาถูกตีกบาล ตัวอาจจะโดนอย่างอื่นของพ่อประทับเข้าให้อีกต่างหาก จึงได้กีดกันขันแข็งจนเถียงกับผู้ใหญ่ทุกวัน กรรมของลิง เลิกงานวัดแล้วไปยกมือไหว้ท่าน... ยังไม่รู้ว่าจะรับไหว้กันหรือเปล่าหนอ.... (คำรำพึงเมื่อ 30 ปี ก่อนโน้น...)

....ก็มาถึงเรื่องของหลวงปู่สิม ความเมตตาจริยาปกติของท่าน ยิ่งเป็นทุกขลาภของผู้เขียนหนักเข้าไปอีก คือหลวงปู่สิมน่ะเวลาท่านฉันอาหาร เอ.... จำไม่ได้ว่าฉันมื้อเดียวหรือเปล่า เวลาจะฉันอาหารท่านจะเรียกญาติโยมที่ถวายอาหารเข้าไปรับพร ยถา....สัพพีก่อนแล้วจึงฉัน เพราะท่านฉันช้าฉันนาน ฉันไปพิจารณาธรรมไป ตามสบายของท่าน ตามแบบของพระฉันมื้อเดียว (เกิดจำได้ขึ้นมาล่ะ...) ทีนี้ท่านเรียกแม่ครัวทุกคนเข้าไปรับพรน่ะซิ (ตายละจะเอายังไงดี) ก็ต้องรีบกราบเรียนท่าน

“หลวงปู่ครับ หลวงพ่อห้ามคนเข้ามารบกวนที่กุฏิครับ...”

ท่านยิ้ม

“เขามารบกวนที่ไหน เขามาทำบุญให้หลวงปู่อิ่มหนำสำราญ แล้วเขาก็ไม่ได้เข้ามาเอง......หลวงปู่เรียกเข้ามา....”

“ก็....หลวงพ่อสั่ง....”

ท่านยิ้มอีก... ยิ้มแบบฉันตอบเธอได้

“หลวงพ่อท่านห้ามเฉพาะคนรบกวนหรอกน๊า.... เธอไม่เห็นเหรอนั่นน่ะ หลวงพ่อยิ้มอยู่ในกุฏิพยักหน้าให้หลวงปู่เรียกเข้ามาได้....”

โดนเข้าไม้นี้ แหมมันคนละไม้กับไม้ตะพด มันมึนด้วยหูผึ่งด้วย ก็เลยนึกออกถึงคำสั่งพ่อที่เพิ่มเติมมาภายหลังว่า

“นอกจากคนที่ถือจดหมายมีลายมือข้าอนุญาต หรือคนที่หลวงปู่เรียกเข้าพบจึงจะให้เข้าไปได้...”

ก็เลยเต็มใจอนุญาต แต่ก็ยังคันหัวใจว่า.... พ่ออยู่กุฏิริมน้ำคนละฝั่งถนน นี่พวกเราอยู่กันในกุฏิหลังพระอุโบสถ หลวงปู่ท่าน “เห็นพ่อพยักหน้าอนุญาต” เอ.... นี่หลวงปู่ก็ยิ้มอีก ทีนี้ยิ้มแบบรู้ใจ

“จะสงสัยอะไรกันอี๊ก...ก ไม่มีอะไรที่ไหนที่หลวงพ่อท่านไม่รู้...”

ที่หลวงปู่รู้ว่าพ่อรู้อะไรทุกอย่างนั่นหรอกที่คันหัวใจผู้เขียน แล้วก็เป็นไปตามที่ท่านต้องการ ลูกพ่อที่เป็นแม่ครัวและผู้รับใช้พระได้เข้ากราบรับพรกันหมด ท่านก็นั่งยะถา เราก็นั่งนอบรับฟัง รับพร ท่านฉันไปก็ให้เรานั่งดูท่าน ฉันวันนั้นฉันเร็ว คงปรารถนาจะทำเรื่องสนุกใจลิงต่อไป ฉันเสร็จล้างมือ ถอดฟันปลอมออกมาล้างน้ำในถ้วย ถอดออกมาทั้ง 2 แถว ปากโบ๋บุบแก่ทันทีเลย ท่านยิ้ม ไม่ยอมใส่ฟันปลอมซ้ำยังถามว่า

“ตอนนี้หลวงปู่สวยไหม...”

ถึงตอนนี้บางคนไหว้นบมือแนบหน้าผาก เข้าใจอะไรแล้วก็ไม่รู้ เห็นหน้าสงบน้ำตาไหลแล้ว แล้วหลวงปู่ก็ใส่ฟัน.... ทำช้าๆ.... ทุกอย่างนี่ทำช้าเหมือนทำอยู่ตัวคนเดียว ตอนใส่ฟันนี่ก็ยิ้มสวยไปอีกแบบหนึ่ง ตอนนี้สนุกละ....ท่านพูดให้พรเสริมมาประโยคเดียว พูดจบก็ยกน้ำขึ้นดื่ม

“เอ๊อ.... ขอให้อายุยืน 100 ปี เน้อ....”

มีเสียงตอบพรนี้ขึ้นทันควัน เสียงดังด้วย เสียงผู้หญิงน่ะ!

“หนูไม่เอ๊าหลวงปู๊....”

เสียงพรวด ! หลวงปู่สำลักน้ำ รีบบ้วนใส่กระโถน

“อ๊าว ! ทำไมล่ะ”

“แค่นี้ก็แย่อยู่แล้วหลวงปู่ (เธออายุสัก 30 ปี เห็นจะได้) ถ้าอายุ 100 ปี หนูก็ทุกข์ตายเลย”

“เออ....หนอ... ลูกหลวงพ่ออย่างนี้แหละหนอ...”

ท่านยิ้มแจ่มใสนุ่มนวลเลย พยักหน้าหลายทีแบบพอใจมากเลย แต่ยังไอหน่อยๆ เพราะพิษสำลักน้ำ....ท่านคงจะเพิ่งเคยพบคนแบบนี้ พวกเราหัวเราะตามท่านไปด้วย ....ถึงตอนนี้ใจผู้เขียนพองจนบวม ....พอบวมปากก็คันตามเคย

“หลวงปู่ว่า หลวงพ่อทราบที่เราเข้ามากันแล้ว คงไม่โดนดุนะครับ...”

ถึงจะฟูยังไงก็ยังระแวงภัยตะพด

“เอ๊ย... บอกแล้วยังจะถาม เอ๊อ...จะมีอะไรที่หลวงพ่อท่านไม่รู้.....” หลวงปู่สิมเรียกพ่อว่า “หลวงพ่อ” ทุกคำเลยจริงๆ ทั้งๆ ที่อายุไม่รู้ว่าใครแก่กว่าใคร

“มีอะไรที่หลวงพ่อท่านทำไม่ได้ เรื่องอภิญญาทำฤทธิ์นี่ หลวงพ่อท่านทำได้มากกว่าคนอื่น เอ๊อ ! รู้ไหมว่าหลวงพ่อท่านทำฤทธิ์ได้ล่วงหน้า สั่งฤทธิ์ให้ออกผลนานๆ ได้....”

ตอนนี้หูผึ่งกางใบรับกระแสเสียงหลวงปู่กันเต็มที่เลย ตายังงี้.... จ้องหลวงปู่สิม ตายังงี้พูดได้กันทุกคนเลย (หลวงปู่พูดมาเลย พูดเร็วๆ .. พูดเร็วๆ....)
หลวงปู่สิมก็ฟังภาษาลิงตาของลิงออกแฮะ ท่านพูดต่อ ท่านถามน่ะ

“เธอสังเกตไหมว่าตอนเตรียมงานนี่แดดร้อนจ้าตลอดวัน...”

“ครับ”

“นั่นแหละ ! หลวงพ่อท่านอธิษฐานฤทธิ์ไว้อย่างนั้น ท่านทำให้แดดร้อนจัดก่อนวันงาน 7 วัน พวกเธอจะได้วิ่งทำงานกันไม่งั้นจะเสร็จไม่ทันวันงาน เธอไปคอยดูนะ.... ก่อนในหลวงมา 1 วัน ฝนจะตกให้ดินชุ่มไม่มีฝุ่น วันในหลวงมา ฝนจะพรำพรมดินก่อนเสด็จ 1 ชั่วโมง พอในหลวงมาถึงจะมีเมฆใหญ่เหมือนร่มกางคลุมวัดกว้างครึ่งกิโล (กิโลเมตร) พอในหลวงกลับแล้วก็เย็นสบาย เสร็จงานวันรุ่งขึ้นฝนเทท่วมถึงข้อเท้าเลย.... นั่นแหละฤทธิ์ของหลวงพ่อ ท่านทำสั่งได้อย่างนั้น คอยดูซิ....”

นี่ผู้เขียนจำได้ 99 เปอร์เซ็นต์ตามคำหลวงปู่สิมเลย เชื่อทันทีเลยด้วยเพราะ 7 วัน ที่ผ่านมาเตรียมจัดกุฏิ จัดอาสนะรับแขกให้หลวงปู่นั้นแดดมันร้อนตั้งแต่เช้าจรดเย็นจริงๆ ร้อนจนต้องวิ่งทำงาน โธ่.... วัดท่าซุงตอนปี 2518 ฝั่งโบสถ์นี่ต้นไม้สักต้นก็ไม่มี มันร้อนทั้งหัวตลอดถึงเท้า ถ้าไม่วิ่งก็ไม่ไหว พัดลมทหารอเมริกันจากตาคลีนี่ตัวมันสูงใหญ่แล้วก็หนัก ถ้าหาม 2 คนนี่ ต้องวางพักเป็นระยะ

แต่ถ้ามัวหามเดินตีนพองแน่ (ทำงานสมัยโน้นคนน้อย ใส่รองเท้าไม่ทันหร๊อก) จำเป็นต้องแบบวิ่งคนเดียว (แบก 2 คนวิ่งเคยยื้อกันลงนอนทั้งคู่ ของก็เสียหาย หัวก็โดนตะพด) ทุกอย่างทำลักษณะอย่างนี้ ทำขนาดนั้นกว่าจะเสร็จก็ดึกดื่นก่อนงานคืนเดียว.... มันจริงอย่างท่านว่าทั้งนั้น

แล้วยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่านั้นท่านผู้อ่านเอ๋ย.... เหตุการณ์ในหลวงก่อนจะเสด็จ... กำลังประทับอยู่ที่วัด หลังจากในหลวงกลับไปแล้ว ตลอดจนวันรุ่งขึ้นเลิกงานแล้ว มันเป็นไปตามที่หลวงปู่สิมบอกว่า “พ่อของเราอธิษฐานไว้ทุกประการ”ไอ้ความระยำ คือที่ผู้เขียนยังไม่เต็มอารมณ์ในตัวพ่อนั้น มันละลายไปกับสายฝนวันปิดงาน มันเย็นชุ่มฉ่ำใจยิ่งกว่าน้ำฝนที่ท่วมชุ่มพื้นวัดวันนั้น

ผู้เขียนแอบกราบกับพื้นธรณีของวัดท่าซุง ลูกขอกราบพระบาทพ่อขอขมากรรมทั้งหลายที่เคยดูเหมือนจะไม่เชื่อพ่อสนิทใจ ทั้งๆ ที่พ่อนั้นทรงพระคุณล้นเหลือ เพียงแต่พ่อเอาพระเดชออกหน้าแทนพระคุณ เพื่อกำราบปราบมารเกเรอย่างลูกๆ ให้อยู่ในร่องในรอย เพื่อจะได้เดินตามรอยเท้าพ่อไปจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ซึ่งพ่อก็บอกอยู่เสมอว่า

"เหลืออีกเพียงก้าวเดียวลูกเอ๋ย ก้าวเดียวชาติเดียว ก้าวสุดท้ายนี้พ่อจะทำทุกอย่างทุกวิธีให้ลูกถึงชัยชนะเหมือนพ่อ พ่อจะทั้งล่อทั้งชน พ่อจะใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ พ่อจะเอาหลังมือกำราบความดื้อในใจลูก แล้วเอาหน้ามือลูบหัวชื่นชมเมื่อลูกทำได้เหมือนพ่อ ตามพ่อมาเถิด พ่อคอยลูกทุกคนอยู่ที่ปลายทางแห่งความทุกข์นี้"
บัดนี้พ่อไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว ฝากไว้แต่รอยเท้าที่เด่นชัดสวยงาม ตรงแน่วแน่เป็นระเบียบ สวยงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด กายทิพย์อันเจิดจ้านุ่มนวลของพ่อปรากฏอยู่ตรงที่สุดของอริยมรรคตรงหน้าเรานี่แล้ว จงดูเถิด..... พ่อของเรายิ้มสวยไหม

ลูกๆ ขอกราบรอยเท้าพ่อ ขอบรรจงสอดรอยเท้าเดินตามไปทุกรอยด้วยความมั่นใจ ลูกๆ ต้องทำได้อยู่แล้ว เพราะลูกๆ เป็นลูกพ่อ

นี่เขียนไปเป่าปี่ไป ลืมถามความเห็นท่านผู้อ่าน ถ้าหลวงปู่สิมทราบรายละเอียดการอธิษฐานฤทธิ์ของพ่อได้ถูกต้องยาวเหยียดอย่างนี้ หลวงปู่เป็นพระระดับไหนกันหนอ อันที่จริงพ่อก็บอกกับผู้เขียนแล้วว่า

“แกระวังตัวกันหน่อย บุญมากบาปก็มาก หลวงปู่สิมน่ะเป็นพระจบกิจแล้ว ระวังใจลูกเอ๋ย.... ใจเคารพมุ่งมั่นให้ท่านสะดวกกายสบายใจ กริยาอาการร่างกายจะโดกเดกไปหน่อยก็ไม่เป็นไร...”

ค่อยชื่นใจลิงหน่อย.... แล้วก็ปลื้มใจมากไม่มีประมาณด้วย

.....หลังจากเสร็จงานวัดทั้ง 3 ปี แล้ว พระคุณหลวงปู่สิมก็ยังเมตตาวนเวียนมาเยี่ยมพ่อที่ซอยสายลมเสมอ ยังจำได้ วันนั้นตอนบ่ายพ่อคุยกับลูกๆ เต็มห้องโถง พอหลวงปู่สิมมากราบ กราบงามจริงๆ นอบน้อมจริงๆ พ่อเราก็เมตตานุ่มนวลรับไหว้.... นิมนต์หลวงปู่นั่งบนเก้าอี้อาสนะที่พ่อนั่งเทศน์กลางคืน

“เอ้า...สิม (พ่อเรียกอย่างนี้จริงๆ แต่น้ำเสียงฟังออกเลยว่าทั้งนุ่มนวลทั้งชื่นชม) ช่วยเมตตาเทศน์ให้ลูกหลานฟังทีเถอะ ผมท้องไม่ดีเลยนั่งอั้นอยู่นานแล้ว.....”

พ่อหายไปแล้ว.... ไม่ลงมาเลยเกือบชั่วโมงที่หลวงปู่เทศน์ เมื่อจบแล้วพ่อจึงลงมานั่งคุยกันต่อ แต่หลวงปู่ดูจะกลัวๆ พ่อ ไม่ค่อยโต้ลูกเหมือนหลวงปู่บุดดา ผู้เขียนไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่ามาทราบเรื่องสำคัญของมารยาทพระแท้เข้า คือ ไอ้ปากที่คันเป็นสันดานนั่นแหละที่ถามพ่อในภายหลัง

“ทำไมหลวงพ่อไม่นั่งอยู่ให้ลูกๆ ชื่นใจคู่กับหลวงปู่สิมตลอดเวลา......”

พ่อก็ตอบเต็มใจเมตตา แต่ปากออกมาอีกอย่างหนึ่ง

“ไอ้คนระยำ..อย่างแกนี่จะบวชเป็นพระกับเขาได้ยังไง จำไว้นะประเพณีมารยาทพระแท้น่ะ ถ้าองค์หนึ่งเทศน์หรือแสดงธรรมอยู่ อีกองค์ท่านจะหลีกเร้นไปเพื่อถวายความเคารพในพระธรรม และองค์แสดงธรรมก็จะแสดงธรรมสะดวกใจ นอกจากจะเป็นการเทศน์หลายธรรมมาสน์ หรือนั่งสนทนาธรรมเป็นปกติธรรมดาๆ”

ผู้เขียนก็ยังงง ... เอ ... ถ้าพระนั่งกันอยู่เต็มในศาลาประเพณีทำบุญ ฟังเทศน์ มิต้องลุกกันพึ่บพั่บหรือ ก็เลยโดนเข้าไปอีก (แค่คิดเท่านั้นแหละ ไม่ทันจะได้ถามเถิมอะไรเลย)

“โง่.... แล้วยังอวดฉลาด แล้วยังทะลึ่ง (เต็มที่เลย) ข้าหมายถึงพระอรหันต์หรือพระที่เป็นที่ยอมรับของประชาชน 2 องค์ อยู่ในที่เดียวกัน เป็นมารยาทประเพณีที่ต้องถวายความสนใจของประชาชนให้อยู่ในที่องค์แสดงธรรมเสมอ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ให้นั่งสงบฟังธรรมไปด้วยความเคารพ ไม่บังอาจสอดแทรกหรือแบ่งแยกความสนใจ หลวงปู่สิมท่านเป็นพระอรหันต์ ข้าเองแม้จะไม่ได้เป็นอะไรกับเขา (พ่อหลบเก่งมาก น่ารักมากอย่างนี้เสมอ) ก็ยังต้องเคารพอริยประเพณีอันนี้”

โอย..... (ทั้งเจ็บแสบ ทั้งละอาย) ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังทะลึ่งอวดซ้ายอ้างขวาขวางลำท่านผู้สูงกว่าด้วยคุณธรรมและอาวุโสอยู่บ่อยๆ นี่มันอวดโง่ทำเก่งเกินจริยาพ่ออยู่บ่อยๆ ทำไมถึงได้รักษาความเลวได้คงเส้นคงวาอย่างนี้หนอ

แล้วยังนึกถึงหลวงปู่สิม ก็ยิ่งเห็นเด่นชัดในจริยาพระทองคำแท้ ครั้งหนึ่ง..... พ่อไปแจกของให้กำลังใจทหารตำรวจที่ชายแดนตราพระยาด้านเขมร พ่อก็ชวนหลวงปู่สิมไปด้วย ลูกหลานพ่อก็เต็มขบวนเสด็จเลยละไปทำงานกัน สำหรับพี่น้องทหารหาญที่พลีชีวิตยอมลำบากเพื่อรักษาแผ่นดินพระพุทธศาสนาของเรานี้ พ่อไม่เคยทอดทิ้ง

พ่อบอกให้หลวงปู่สิมช่วยแจกเหรียญ หลวงปู่ก็นบไหว้รับคำ แจกเหรียญกูผู้ชนะและผ้ายันต์พิชัยสงครามแก่ทหารลูกหลานที่เข้าแถวมารับ.... พ่อบอก “สิม.... ช่วยให้โอวาทให้กำลังใจไอ้หนูทหารมันหน่อยเถอะ”

หลวงปู่สิมก็หันมาไหว้ยิ้มบอกว่า “กระผมไม่บังอาจ นิมนต์หลวงพ่อเถิดขอรับ”
พ่อบอก “เอ้า ! ฉันข้าวกันเถอะ” หลวงปู่ก็นอบน้อมร่วมฉันในอาการสำรวมนอบนบแต่งามสมภูมิของสงฆ์

อย่างนี้เองหนอคือความงามของสงฆ์ องค์หนึ่งเมื่อจำต้องนั่งในฐานะดูเหมือนสูงกว่า นุ่มนวลเมตตา ไม่มีอาการยกตัวแม้แต่น้อย องค์หนึ่งก็ถ่อมถอยคารวะ แต่ก็ดูเต็มใจเต็มตา ....ชื่นอกชื่นใจแก่ผู้ได้พบเห็น.....

บัดนี้เดือนดวงเด่นแห่งภาคเหนือดวงนั้นได้ดับไปแล้ว
บัดนี้ตะวันทรงกลดประจำชีวิตลูกๆ..... ก็ลาลับฟ้า
แต่แสงสว่างอันอบอุ่นเยือกเย็นเป็นสุขของพระคุณท่าน....
จะเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ในใจลูกๆ ทั้งหลายไม่มีวันเวลาสุดสิ้น
ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพาน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top