Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 8/10/08 at 09:13 [ QUOTE ]

คำขอปริวาสกรรม (แบบจุลสุทธันตะ) และกรรมวาจา ครบ


ปริวาสกรรม

(มีคำขอ คำสมาทาน คำเก็บ และกรรมวาจา ครบ)


วิธีปริวาสกรรม ( รัตติเฉท )


เหตุทำให้ขาดราตรีของปริวาสิกะภิกษุ (ลูกกรรม) ผู้ประพฤติปริวาสมี ๓ ข้อ คือ


๑ สหวาโส อยู่ร่วมในชายคาเดียวกันกับปกตัตตะภิกษุ (ภิกษุปกติ - อาจารย์กรรม)
๒ วิปฺปวาโส อยู่ในถิ่นอาวาส และถิ่นที่มิใช่อาวาส ที่ไม่มีสงฆ์ หรือแม้พระภิกษุรูปเดียวอยู่เป็นเพื่อน
๓ อนาโรจนา ไม่บอกอาการที่ตนประพฤติปริวาสแก่ภิกษุผู้ยังมิได้บอก ถ้าปริวาสิกะภิกษุ ทำหรือ ขาด ๓ ประการนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นรัตติเฉท เหตุให้ขาดราตรีนับราตรีที่ประพฤติมิได้

ปริวาสิกะภิกษุ มานัตตะจาริกะภิกษุ (ภิกษุที่อยู่ปริวาส หรืออยู่มานัตต์) ไม่ควรยินดีในกิจของปกตัตตะกระทำให้ ๔ อย่างคือ

๑ ไม่ยินดีในการอภิวาท
๒ ไม่ยินดีในการลุกรับ
๓ ไม่ยินดีในการทำอัญชลีกรรม
๔ ไม่ยินดีในสามีจิกรรม มีการนำอาสนะมาให้เป็นต้น ภิกษุละเมิดในกิจใดๆ ทั้ง ๔ ประการนี้ ท่านปรับอาบัติทุกกฎ วัตต์ของปริวาสกะภิกษุและมานัตตะจาริกะภิกษุ ๑๐ หมวด ภิกษุผู้สมาทานวัตต์แห่งปริวาสแล้วก็ดี ผู้สมาทานวัตต์แห่งมานัตต์แล้วก็ดี พึงถือปฏิบัติวัตต์ ๑๐ หมวดนี้โดยเคร่งครัด ท่านปรับอาบัติทุกฏแก่ผู้ล่วงละเมิด เรียกว่า
"วัตตเภท"

ภิกษุผู้เก็บแห่งปริวาสหรือมานัตต์ ก็พึงถือการปฏิบัติวัตต์นี้ด้วยตามสมควร

๑ ไม่พึงให้อุปสมบทและนิสัย ไม่พึงมีสามเณรอุปัฏฐาก ไม่พึงรับสมมติสอนนางภิกษุณีฯ

๒ ไม่พึงต้องอาบัติ อันสงฆ์ให้มานัตต์ไว้แล้ว หรืออาบัติเช่นนั้นหรือเลวทรามกว่านั้นฯ

๓ ไม่พึงติกรรมนั้น ไม่พึงห้ามอุโบสถปาวารณาแก่ปกตัตตะภิกษุ ไม่พึงทำความมีคำ ไม่พึงเริ่มอนุวาทาธิกรณ์ ไม่พึงยังภิกษุอื่นให้ทำโอกาสเพื่อโจทก์เธอ พึงโจทก์ภิกษุอื่น ไม่พึงยังภิกษุอื่นให้ๆการ ไม่พึงช่วยภิกษุทั้งหลายให้สู้กันในอธิกรณ์ฯ (สรุปไม่พึงทำความแตกร้าว หรือก่อเหตุชวนทะเลาะวิวาทในหมู่สงฆ์นั่นเอง)

๔ ไม่พึงไปหรือนั่งข้างหน้าของปกตัตตะภิกษุ (อาจารย์กรรม) หรือพอใจในอาสนะที่นอนกุฎีอันสุดท้ายฯ (คือได้ของที่ไม่ดีกว่าอาจารย์ หรือต้องได้รับสิ่งของที่แจกทีหลัง ไม่ใช่ถือสิทธิ์ไปแย่งของที่ดีกว่า หรือนำมาก่อนนั่นเอง)

๕ ไม่พึงมีปกตัตตะภิกษุเป็นปุเรสสมณะ คือ นำหน้าหรือปัจฉาสมณะ คือ ตามหลังเข้าไปสู่สกุล (หมายถึงไม่มีพระปกติเดินนำหน้า หรือเดินตามหลังเข้าไปในบ้าน เป็นคนติดตามรับใช้นั่นเอง) ไม่พึงสมาทานอรัญญิกธุดงค์ ไม่พึงสมาทานปิณฑปาติกธุดงค์ และไม่พึงให้เขานำบิณฑบาตมาส่ง

กำหนดสงฆ์ที่ต้องทำกรรมในวุฏฐานวิธีนั้นๆ คือ

๑ สงฆ์จตุวรรค (๔ รูป) ในปริวาสให้มานัตต์ให้ปฏิกัสสนาฯ
๒ สงฆ์วีสติวรรค (๒๐ รูป) ให้อัพภาน ห้ามไม่ให้ภิกษุผู้ประพฤติวัตต์ คือ ผู้ประพฤติวุฏฐานวิธี เข้าองค์เต็มมีจำนวน คือ องค์ที่๔ หรือองค์ที่ ๒๐ ฯ

วิธีขอปริวาสกรรมแบบสุทธันตปริวาส "อย่างจุลสุทธันตะ"

ภิกษุผู้จะขอเข้าปริวาส พึงเตรียมดอกไม้ธูปเทียนให้พร้อม ห่มผ้าเฉวียงบ่าเข้าไปหาสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป ในเขตพัทธสีมา แล้วถวายเครื่องสักการะ ครั้นถวายเครื่องสักการะแล้ว กราบ ๓ ครั้ง ถอยออกห่างจากหัตถบาสสงฆ์ ในระยะพอสมควรแล้วกล่าวคำขอ "จุลสุทธันตปริวาส" ต่อสงฆ์ ดังนี้


คำขอสุทธันตปริวาส

(แบบจุลสุทธันตะ)


อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ นิพเพมะติโก
โสหัง ภันเต สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจามิ.

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง สะรามิ เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันตุ เอกัจจัง สะรามิ เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง ทุติยัมปิ ภันเต สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสังยาจามิ.

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตตปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง ตะติยัมปิ ภันเต สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสังยาจามิ.

--------------------------------

กรรมวาจาให้สุทธันตะปริวาส

สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ. อยัง อิตถันนาโม
ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจะติ
ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง สังโฆ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน
ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ทะเทยยะ เอสา ญัตติ.

สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยัง อิตถันนาโม
ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระรติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจะติ
สังโฆ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง
สุทธันตะปะริวาสัง เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ
อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัสสะ
ทานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ

ทุติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ
อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจเจ นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจะติ
สังโฆ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง
สุทธันตะปะริวาสัง เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ
อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัสสะ
ทานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ

ตะติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ
อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจะติ
สังโฆ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง
สุทธันตะปะริวาสัง เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ
อัตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัสสะ
ทานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ.

ทินโน สังเฆนะ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง
อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาโส ขะมะติ สังฆัสสะ
ตัสมา ตุณหี เอวะเมตัง ธาระยามิ.


--------------------------------

คำสมาทานปริวาส

ปะริวาสัง สะมาทิยามิ วัตตัง สะมาทิยามิ
ทุติยัมปิ ปะริวาสัง สะมาทิยามิ วัตตัง สะมาทิยามิ
ตะติยัมปิ ปะริวาสัง สะมาทิยามิ วัตตัง สะมาทิยามิ

คำบอกสุทธันตปริวาส

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โสหัง ปะริวะสามิ เวทะยามะหัง ภันเต เวทะยะตีติ มัง สังโฆ ธาเรตุ


--------------------------------

คำเก็บปริวาส

วัตตัง นิกขิปามิ ปะริวาสัง นิกขิปามิ
ทุติยัมปิ วัตตัง นิกขิปามิ ปะริวาสัง นิกขิปามิ
ตะติยัมปิ วัตตัง นิกขิปามิ ปะริวาสัง นิกขิปามิ



คำขอมานัตต์

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โสหัง ภันเต ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจามิ.

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โสหัง ปะริวุตถะปะริวาโส ทุติยัมปิ ภันเต สังฆัง
ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง ยาจามิ.

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โสหัง ปะริวุตถะปะริวาโส ตะติยัมปิ ภันเต สังฆัง
ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง ยาจามิ.


--------------------------------

กรรมวาจาให้มานัตต์

สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยัง อิตถันนาโม
ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะราติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิ
ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โส ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจะติ ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง สังโฆ
อัตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง
ทะเทยยะ เอสา ญัตติ ฯ

สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยัง อิตถันนาโม
ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิ
ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โส ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจะติ สังโฆ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง
อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ
อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัสสะ
ทานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ ฯ

ทุติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ
อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิ
ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โส ปะริวตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจะติ สังโฆ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง
อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ
อิตถันนามัสสะ ภิกขะโน ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัสตัสสะ
ทานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ ฯ

ตะติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ
อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิ
ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โส ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจะติ สังโฆ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง
อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง เทติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ
อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัสสะ
ทานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ โส ภาเสยยะ ฯ

ทินนัง สังเฆนะ อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน
ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง ขะมะติ
สังฆัสสะ ตัสมา ตุณหี เอวะเมตัง ธาระยามิ ฯ


--------------------------------

คำสมาทานมานัตต์

มานัตตัง สะมาทิยามิ วัตตัง สะมาทิยามิ
ทุติยัมปิ มานัตตัง สะมาทิยามิ วัตตัง สะมาทิยามิ
ตะติยัมปิ มานัตตัง สะมาทิยามิ วัตตัง สะมาทิยามิ

--------------------------------

คำบอกมานัตต์

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โสหัง ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง อะทาสิ
โสหัง มานัตตัง จะรามิ เวทะยามะหัง ภันเต เวทะยะตีติ มัง
สังโฆ ธาเรตุ.


--------------------------------

คำเก็บมานัตต์

วัตตัง นิกขิปามิ มานัตตัง นิกขิปามิ
ทุติยัมปิ วัตตัง นิกขิปามิ มานัตตัง นิกขิปามิ
ตะติยัมปิ วัตตัง นิกขิปามิ มานัตตัง นิกขิปามิ



คำขออัพภาน

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปัตตินัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อาทาสิ
โสหัง ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง อะทาสิ
โสหัง ภันเต จิณณะมานัตโต สังฆัง อัพภานัง ยาจามิ

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจะ นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจะ นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นะ สะรามิ
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อาทาสิ
โสหัง ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง อะทาสิ
โสหัง จิณณะมานัตโต ทุติยัมปิ ภันเต สังฆัง อัพภานัง ยาจามิ

อะหัง ภันเต สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิง
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานามิ เอกัจจัง นะ ชานามิ
อาปัตติปะรันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะรามิ เอกัจจัง นะ สะรามิ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โสหัง สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตินัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โสหัง ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจิง
ตัสสะ เม สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง มานัตตัง อะทาสิ
โสหัง จิณณะมานัตโต ตะติยัมปิ ภันเต สังฆัง อัพภานัง ยาจามิ.


--------------------------------

กรรมวาจาให้อัพภาน

สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยัง อิตถันนาโม
ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิ
ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โส ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจิ ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง อะทาสิ โส จิณณะมานัตโต สังฆัง อัพภานัง ยาจะติ
ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง สังโฆ อิตถันนามัง ภิกขุง อัพเภยยะ
เอสา ญัตติ ฯ

สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ อะยัง อิตถันนาโม
ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะราติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจเจ เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง เอปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิ
ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โส ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจิ ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง อะทาสิ โส จิณณะมานัตโต สังฆัง อัพภานัง ยาจะติ
สังโฆ อิตถันนามัง ภิกขุง อัพเภติ ยัสสายัสสมะโต ขะมะติ
อิตถันนามัสสะ ภิกขุโน อัพภานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ
นักขะมะติ โส ภาเสยยะ ฯ

ทุติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ
อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยังตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจั ง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิ
ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โส ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจิ ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง อะทาสิ โส จิณณะมานัตโต สังฆัง อัพภานัง ยาจะติ
สังโฆ อิตถันนามัง ภิกขุง อัพเภติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ
อัตถันนามัสสะ ภิกขุโน อัพภานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ
โส ภาเสยยะ ฯ

ตะติยัมปิ เอตะมัตถัง วะทามิ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ
อะยัง อิตถันนาโม ภิกขุ สัมพะหุลา สังฆาทิเสสา อาปัตติโย อาปัชชิ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง ชานาติ เอกัจจัง นะ ชานาติ
อาปัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
รัตติปะริยันตัง เอกัจจัง สะระติ เอกัจจัง นะ สะระติ
อาปัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
รัตติปะริยันเต เอกัจจัง เวมะติโก เอกัจเจ นิพเพมะติโก
โส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง ยาจิ
ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง สุทธันตะปะริวาสัง อะทาสิ
โส ปะริวุตถะปะริวาโส สังฆัง ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง ยาจิ ตัสสะ สังโฆ ตาสัง อาปัตตีนัง ฉารัตตัง
มานัตตัง อะทาสิ โส จิณณะมานัตโต สังฆัง อัพภานัง ยาจะติ
สังโฆ อิตถันนามัง ภิกขุง อัพเภติ ยัสสายัสมะโต ขะมะติ
อัตถันนามัสสสะ ภิกขุโน อัพภานัง โส ตุณหัสสะ ยัสสะ นักขะมะติ
โส ภาเสยยะ ฯ
อัพภิโต สังเฆนะ อิตถันนาโม ภิกขุ ขะมะติ สังฆัสสะ
ตัสมา ตุณหี เอวะเมตัง ธาระยามิ ฯ

*****************************


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 16/5/11 at 07:10 [ QUOTE ]


ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์


ประโยชน์และวัตถุประสงค์ของ “ปริวาสกรรม”

๑. ได้ปฏิบัติตามกิจวัตร
๒. ได้กำจัดอาบัติโทษ
๓. ได้โปรดญาติโยม
๔. ได้ข่มมานะละทิฏฐิ
๕. ได้ปิติปราโมทย์
๖. ได้ประโยชน์เผยแพร่พระพุทธศาสนา


.........เพื่อดำรงธรรมวินัยให้ยั่งยืน เพราะมีครูบาอาจารย์มาให้ความรู้ทางธรรม ทั้งด้านปริยัติธรรมและการปฏิบัติธรรม เพื่ออนุเคราะห์กุลบุตรที่บวชมา และต้องการชำระสิกขาบท (ศีล) ให้บริสุทธิ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักปฏิบัติธรรม ได้เจริญ สมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน ทั้งพระภิกษุ-สามเณร อุบาสก-อุบาสิกา เป็นการรวมพระภิกษุต่างถิ่นต่างอาวาสได้อย่างมาก บ่งบอกถึงความสามัคคีในหมู่สงฆ์ ว่ายังแน่นแฟ้นดีอยู่ เป็นนิมิตหมายแห่งความเจริญในพระพุทธศาสนา

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
........"ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้ประเสริฐแท้ การแก่งแย่ง กันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เอง เหมือนแย่งกันเข้าไปสู่กองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำ กับคนจน ๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำจากกะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจ ย่อมมีความสุขเท่ากัน

นี่เป็นข้อยืนยันว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจ แม้กระท่อมมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่า แน่นอนทีเดียว คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้น มิใช่คนใหญ่คนโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุข สงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย”


ปริวาสกรรม
........“ปริวาส” เป็นชื่อของสังฆกรรมประเภทหนึ่งที่สงฆ์จะพึงกระทำ ซึ่งในปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในหมู่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งการอยู่ปริวาสเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า “การอยู่กรรม” จึงนิยมเรียกรวมกันว่า “ปริวาสกรรม”

........“ปริวาส” นั้นโดยความหมายแปลได้ว่า “การอยู่ใช้” หรือ “การอยู่กรรม” หรือ “การอยู่รอบ” คือ อยู่ให้ครบกระบวนการสิ้นสุดกรรมวิธีทุกขั้นตอนของการอยู่ปริวาสกรรม


ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อยู่ใช้กรรมหรือความผิดที่ได้ล่วงละเมิดพระวินัย ต้องอาบัติ (ต้องโทษ) "สังฆาทิเสส” ซึ่งอาจจะล่วงโดยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ หรืออาจล่วงโดยรู้ตัวหรือไม่ รู้ตัวก็ดีนั้นได้พ้นมลทินหมดจดบริสุทธิ์ไม่มีเหลือความผิดเครื่องเศร้า หมองอันจะเป็นอุปสรรคในการประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญในทางจิตของพระภิกษุสงฆ์

ปริวาสกรรมนั้นมีคำข้องคือ อยู่กรรมและวุฏฐานวิธี มาจากรูปศัพท์ว่า...
ปริวาสนํ ปริวาโส การเข้าอยู่รอบ ชื่อว่า ปริวาสฯ
ปริวาสิยเต ปริวาโส อาการอันภิกษุเข้าอยู่รอบชื่อว่า ปริวาส
ปริวาโส อสส อตถีติ ปาริวาสโกฯ ภิกษุผู้อยู่ปริวาสชื่อว่า ปริวาสิกะฯ (ณิกปัจจัย)
แต่เมื่อเวลาพูดหรือใช้จะไม่ใช้ ปาริวาสิกะ (ปา) แต่จะใช้เป็นรูปศัพท์ ปริวาสิกะ แปลว่า การอยู่รอบ
ส่วนคำว่า ปาริวาสิกะนั้น แปลว่า ขนมกุมมาสที่เก็บไว้นาน (ให้ดูวัตร ๙๔ ข้อ-นับเห็น ๘๑ ข้อ ประกอบด้วย)

ความเป็นมาของการอยู่ปริวาส
การอยู่ปริวาสกรรมนั้น เจาะจงไว้สำหรับบุคคล ๒ จำพวกเท่านั้น คือ
ปริวาสกรรมมีเพื่อสำหรับบุคคล ๒ จำพวก
๑. ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่บวชอยู่แล้วแต่ต้องครุกาบัติ
๒. ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์

๑. ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์

ปริวาสกรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์นี้ เป็นปริวาสตามปกติสำหรับภิกษุผู้บวชอยู่แล้วในพระพุทธ ศาสนา แต่ไปต้อง “ครุกาบัติ” (ต้องโทษ) สังฆาทิเสสเข้า จึงจำเป็นต้องประพฤติปริวาสเพื่อนำตนให้หลุดพ้นจากความมัวหมอง ตามเงื่อนไขทางพระวินัยและเงื่อนไขของสงฆ์

ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้นได้มี การจัดปริวาสหลายครั้งหลายสถานที่ โดยเฉพาะที่เมืองสาวัตถี ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่ที่พระอาคันตุกะผ่านเข้าออกบ่อย ๆ จึงทำให้เกิดความยุ่งยากสำหรับพระภิกษุสงฆ์ผู้อยู่ปริวาส เป็นสาเหตุให้ต้องคอยบอกวัตรอยู่ร่ำไป ไม่เป็นอันต้องทำกิจต้องประพฤติธรรม ไม่ว่าพระอาคันตุกะจะแวะผ่านมาเวลาไหนทั้งกลางวันกลางคืนก็ต้องคอยบอกวัตร จึงทำให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวาย พระพุทธองค์จึงทรงอนุญาตให้มีการเก็บวัตรได้เป็นการชั่วคราวและให้สมาทาน ใหม่อีกครั้งเมื่อต้องการประพฤติ (วิ.จุล.๖/๘๔/๑๐๖)

๒. ปริวาสกรรมสำหรับคฤหัสถ์ หรือพวกเดียรถีย์

“ปริวาส” คำนี้มีมาแต่สมัยพุทธกาล เนื่องด้วยมีคฤหัสถ์มากมายที่ไม่ใช่ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนามาก่อน คือ ไม่ได้นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่น ๆ มาก่อน ซึ่งคนจำพวกนี้เรียกว่า เดียรถีย์ พวกเดียรถีย์เหล่านี้เมื่อได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้าบ้าง หรือพระอัครสาวกบ้างก็เกิดมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา คิดจะเข้ามานับถือพระพุทธศาสนา โดยจะยังครองเพศเป็นคฤหัสถ์เช่นเดิมหรือจะขอบวชก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า ควรจะให้คนเหล่านี้ได้อบรมตนเสียก่อนเป็นเวลา ๔ เดือน จึงได้ทรงอนุญาตให้อยู่ประพฤติตนเรียกว่า “ติตถิยปริวาส” ไว้

คนที่ถูกกำหนดว่าเป็นเดียรถีย์ต้องอยู่ ติตถิยปริวาส ๔ เดือนนั้น ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า
ตตฺถ ติตฺถิยปริวาโส นิคนฺถชาติกานํเยวทาตพฺโพ น อญเญสํฯ แปลความว่า
"ติตถิยปริวาสในพระบาลีนั้น พึงให้แก่อัญเดียรถีย์ชาตินิครนถ์เท่านั้น; ไม่ควรให้แก่ชนเหล่าอื่นฯ"

ซึ่งในข้อนี้พระอรรถกถาจารย์ท่านแก้ไว้ว่า อยมฺปน นคฺคปริพาชกสฺเสว อาชีวกสฺส วา ทาตพฺโพฯ ความว่า
"ก็ ติตถิยปริวาสนี้ ควรให้แก่อาชีวกหรืออเจลกะผู้เป็นปริพาชกเปลือยเท่านั้นฯ"

ความอีกตอนหนึ่งว่า โย ปน อญฺโญปิ นธิย ปพฺพชิตปุพฺโพ อาคจฺฉติ..ตสฺส จตฺตาโร มาเส ปริวาโส ทาตพฺโพ..อยํ ติตฺถิยปริวาโส นาม อปฺปฏิจฺฉนฺนปริวาโสติปิวุจฺจติฯ ความว่า
"ส่วนเดียรถีย์แม้คนอื่นใดไม่เคยบวชในพระศาสนานี้ มา...ควรให้ปริวาส ๔ เดือนแก่เธอนั้น..ขึ้นชื่อว่า ติตถิยปริวาสนี้ ท่านเรียกว่า อัปปฏิจฉันนปริวาสฯ (สมนต.๓/๕๓-๕๔)"

ในฏีกาสารัตถทีปนี ซึ่งเป็นฏีกาของสมันตปาสาทิกาอีกทีหนึ่ง แต่งโดยพระสารีบุตร ชาวลังกา (ไม่ใช่สารัตถทีปนี อรรถกถาสังยุตตนิกาย ของพระพุทธโฆษาจารย์) ท่านแก้อรรถคำว่า อาชีวก และ อเจลกะ ไว้ว่า
อาชีวโก อุปริ เอกเมว วตฺถํ อุปกจฺเฉ ปเวเสตฺวา ปริทหติ; เหฎฺฐา นคฺโค, อเจลโก สพฺเพนสพฺพํ นคฺโคเยวฯ ความว่า
"อาชีวก ได้แก่ คนที่นุ่งผ้าสไบเฉียงข้างบนผืนเดียว ส่วนข้างล่างเปลือย อเจลกะ ได้แก่คนที่เปลือยกายทั้งหมด
คนสองประเภทนี้เท่านั้น คือ คนเปลือยครึ่งท่อนกับคนเปลือยทั้งหมด ส่วนที่เป็นดาบสชีปะขาวอื่นมี ปริพาชก เป็นต้น ที่ยังมีผ้าขนสัตว์หรือผ้าพันกายเป็นเครื่องหมายของลัทธิอยู่ ถือว่าได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องอยู่ปริวาสก่อน ๔ เดือน อย่างเช่น
- อัครสาวกทั้ง ๒ ซึ่งเป็นปริพาชกและเคยอยู่กับปริพาชกมาก่อนก็ดี
- สีหเสนาบดีชาวเมืองเวสาลีซึ่งเป็นศิษย์เอกของนิครนถ์นาฏบุตรก็ดี
- สุภัทรปริพาชกปัจฉิมสาวกก็ดี พาวรีพราหมณ์ทั้ง ๑๖ คนก็ดี
- ชานุสโสณีพราหมณ์ก็ดี ติมพรุกขปริพาชกก็ดี
- วัปปศากยสาวกนิครนถ์ก็ดี สุลิมปริพาชกก็ดี
- กาปทกมาณพก็ดี และโลกายติกพราหมณ์ก็ดี

ท่านเหล่านี้ไม่ต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน เพราะท่านเหล่านี้ท่านเรียกว่า สันสกถติสัทธา ได่แก่ผู้ที่มุ่งหน้าเข้ามาหา มาถามปัญหาโดยมีศรัทธาเป็นประธาน ซึ่งก็ได้แก่ผู้ที่เป็นสาวกบารมีญาณแก่กล้าเต็มที่แล้วนั่นเอง

ในทางคัมภีร์ชั้นบาลีนั้น ผู้ที่ไม่ได้เป็นชีเปลือยก็เคยมีปรากฏว่าอยู่ติตถิยปริวาสมาบ้างแล้ว ในตอนที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตติตถิยปริวาส ๔ เดือน นี้ ได้แก่พวกเดียรถีย์(วินย.๔/๘๖/๑๐๑-๒) ท่านหมายเอาคนนอกศาสนาผู้มีความเห็นผิดเป็น "นิยตมิจฉาทิฏฐิ" เข้าด้วย เช่น สภิยพราหมณ์ ผู้นึกดูหมิ่นพระพุทธเจ้า(สภิยสูตร ๒๕/๕๔๘) และ ปสุรปริพาชก ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ เป็นต้น

คนเหล่านี้ก็ยังมีเสื้อผ้าอยู่ และการอนุญาต "ติยถิยปริวาส" ให้แก่ อเจลกกัสสปะ ชาวเมืองอุชุญญนคร ซึ่งทั้งสามท่านที่ยกตัวอย่างมานี้ ภายหลังเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก จึงขออยู่ปริวาสถึง ๔ ปี

ขั้นตอนของสังฆกรรมการออกจากอาบัติสังฆาทิเสส แบ่งเป็น ๔ ขั้นตอนใหญ่ ๆ ดังนี้

- อยู่ประพฤติปริวาส
- ประพฤติมานัตอย่างน้อย ๖ ราตรี
- ประพฤติมูลายปฏิกัสสนา (ถ้าต้องอันตราบัติในระหว่าง)
- พระสงฆ์ ๒๐ รูป ให้อัพภาน


ทั้ง ๔ ขั้นตอนนี้รวมกันเข้าเรียกว่า “การประพฤติวุฎฐานวิธี” แปลว่า ระเบียบหรือขั้นตอนปฏิบัติตนเพื่อออกจากอาบัติ อันได้แก่ "สังฆาทิเสส"

สงฆ์ ๒ ฝ่าย
ขั้นตอนการ ประพฤติวุฎฐานวิธี นั้น จะต้องประกอบด้วยสงฆ์ที่ทำสังฆกรรม คือ ประกอบด้วยคณะสงฆ์ ๒ ฝ่าย ซึ่งคณะสงฆ์ทั้งสองฝ่ายนั้นมีหน้าที่ดังนี้ คือ
พระภิกษุผู้ประพฤติปริวาส หรือ ภิกษุผู้อยู่กรรม หรือ พระลูกกรรม คือ สงฆ์ที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แล้วประสงค์ที่จะออกจากอาบัตินั้น จึงไปขอปริวาสเพื่อ ประพฤติวุฏฐานวิธี ตามขั้นตอนที่พระวินัยกำหนด
คณะสงฆ์ พระอาจารย์กรรม (หรือพระพี่เลี้ยงนั่นเอง) ซึ่งเป็นสงฆ์ฝ่ายที่พระวินัยกำหนดให้เป็นผู้ควบ คุมดูแลความประพฤติของสงฆ์ฝ่ายแรกผู้ขอปริวาส ซึ่งสงฆ์ที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลอนุเคราะห์เกื้อกูลนี้ ทำหน้าที่เป็นพระปกตัตตภิษุ

ขั้นตอนการประพฤติวุฏฐานวิธี

ขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส

ปริวาสมีทั้งหมด ๔ อย่าง คือ
- อัปปฏิจฉันนปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วไม่ปิดไว้
- ปฏิจฉันนปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วปิดไว้
- สุทธันตปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องอาบัติแล้วปิดไว้ มีส่วนเท่ากันบ้างไม่เท่ากันบ้าง โมธานปริวาส คือ ปริวาสสำหรับผู้ต้องครุกาบัติแล้วปิดไว้ ต่างวันที่ปิดบ้าง ต่างวัตถุที่ต้องบ้าง

ขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส

ดั่งที่ให้ความหมายของการอยู่ปริวาสว่า คือ การอยู่ใช้ การอยู่กรรม หรือ การอยู่รอบ นั่นหมายถึงภิกษุสงฆ์ที่ต้องครุกาบัติ สังฆาทิเสส แล้วมีความประสงค์ที่จะออกจากความมัวหมองนั้น จึงต้องอยู่ประพฤติปริวาสเพื่อให้ตนเองบริสุทธิ์ จึงต้องอยู่ประพฤติปริวาสตามพระวินัยกำหนดไว้กี่ราตรี ซึ่งการนับราตรีนี้มีอยู่หลายแบบ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของปริวาสนั้นๆ ว่าสงฆ์ผู้ต้องอาบัติขอปริวาสอะไร ซึ่งลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภทนั้นพอจะสังเขปได้คือ

ลักษณะและเงื่อนไขของปริวาสแต่ละประเภท

อัปปฏิฉันนปริวาส

"อัปปฏิฉันนปริวาส" ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาว่า ถูกจัดให้เป็นปริวาสสำหรับพวกเดียรถีย์ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งเมื่อพวกเดียรถีย์มีศรัทธาเลื่อมใสและมีความประสงค์ที่จะเข้ามาบวชใน พระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ก็อนุญาตให้คนเหล่านี้ต้องอยู่ประพฤติ อัปปฏิฉันนปริวาสนี้เป็นเวลา ๔ เดือน และการอยู่ประพฤติอัปปฏิฉันนปริวาสของพวกเดียรถีย์นี้จะไม่มีการบอกวัตร จึงทำให้อัปปฏิฉันนปริวาสนำไปใช้ในสมัยพระพุทธองค์เท่านั้น และถูกยกเลิกไป

ปฏิฉันนปริวาส
"ปฏิจฉันนปริวาส" แปลว่า อาบัติที่ต้องครุกาบัติเข้าแล้วปิดไว้
เมื่อขอปริวาสประเภทนี้จะต้องอยู่ประพฤติให้ครบตามจำนวนราตรีที่ตนปิดไว้ นั้นโดยไม่มีการประมวลอาบัติใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานเท่าใดก็ต้องอยู่ประพฤติปริวาสนานเท่านั้น ดังในคัมภีร์ชั้นอรรถกถากล่าวถึงการปิดอาบัติไว้นานถึง ๖๐ ปี(สมนต.๓/๓๐๓)

ในคัมภีร์ จุลวรรคยังได้กล่าวถึงพระอุทายีที่ต้องอาบัติสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้วปิด ไว้หนึ่งวัน เมื่อท่านประสงค์จะประพฤติปริวาส พระพุทธองค์จึงมีพระดำรัสให้สงฆ์จตุวรรคให้ปริวาสแก่ท่านเพียงวันเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกาหัปปฏิจฉันนาบัติ ซึ่งเท่ากับท่านอยู่ปริวาสเพียงวันเดียวเท่านั้น(วิ.จุล.๖/๑๐๒/๒๒๘)

สโมธานปริวาส
"สโมธานปริวาส" คือ ปริวาสที่ประมวลอาบัติที่ต้องแต่ละคราวเข้าด้วยกัน แล้วอยู่ประพฤติปริวาสตามจำนวนราตรีที่ปิดไว้นานที่สุด

ซึ่งในขณะที่กำลังอยู่ประพฤติปริวาส ประพฤติวุฏฐานวิธี อยู่นั้น ภิกษุนั้นต้องครุกาบัติซ้ำเข้าอีก ไม่ว่าจะเป็นอาบัติเดิม หรืออาบัติใหม่ที่ต้องเพิ่มขึ้น(ต้องโทษเพิ่ม) ซึ่งทางวินัยเรียกว่า มูลายปฏิกัสสนา หรือ ปฏิกัสสนา แปลว่า การชักเข้าหาอาบัติเดิม หรือ กิริยาที่ชักเข้าหาอาบัติเดิม

ซึ่ง มูลายปฏิกัสสนา นั้น ถึงต้องในระหว่างก็ไม่ได้ทำให้การอยู่ปริวาสเสียหายแต่ประการใด เพียงแต่ทำให้การประพฤติปริวาสล่าช้าไปเท่านั้นเอง จึงทำให้ภิกษุนั้นต้องขอ ปฏิกัสสนา กับสงฆ์ ๔ รูป ซึ่งปริวาสในครั้งที่ ๒ ที่ต้องซ้ำเข้ามานี้จะเป็นปริวาสชนิดใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขดังนี้ คือ

ในขณะกำลังประพฤติวุฏฐานวิธีอยู่ แล้วต้องอาบัติตัวเดิมหรือตัวใหม่ซ้ำเข้าแล้วปกปิดไว้ ถ้าปิดไว้เช่นนี้ ต้องขอปฏิกัสสนาแล้วต้องขอ "สโมธานปริวาส" เพื่อที่จะประมวลอาบัติที่ต้องใน ระหว่างเข้าปริวาสกับอาบัติตัวเดิมที่เคยต้องมาแล้ว อยู่ประพฤติปริวาสจนครบกับจำนวนราตรีที่ภิกษุท่านปกปิดไว้

เหตุที่ต้องขอ "สโมธานปริวาส" เท่านั้น ก็เพราะสโมธานปริวาสเหมาะสำหรับอาบัติที่ปิดไว้ เพื่อให้รู้ว่าปิดไว้กี่วันซึ่งคณะสงฆ์จะได้ประมวลเข้ากับอาบัติเดิมที่อยู่มาก่อน เช่น

ภิกษุที่ต้องอาบัติขอปริวาสไว้ ๑๕ ราตรี พออยู่ไปได้ ๕ ราตรี ภิกษุท่านต้องอาบัติซ้ำหรือเพิ่มขึ้นอีก แล้วท่านปิดไว้ไม่ได้บอกใคร พอถึงราตรีที่ ๑๒ ก็นับว่าท่านปิดอาบัติที่ต้องครุกาบัติซ้ำเข้าไปนั้นแล้ว (๑๒-๕) เท่ากับ ๗ ราตรี และการที่ท่านอยู่ปริวาสมาจนถึงราตรีที่ ๑๒ ในจำนวน ๑๕ ราตรีที่ขอนั้น ก็เท่ากับท่านได้เพียงแค่ ๕ ราตรีเท่านั้นที่ไม่เกิดอาบัติซ้ำ

ส่วนอีก ๗ ราตรีที่ประพฤติปริวาสไปแล้วนั้นถือเป็นโมฆะนับราตรีไม่ได้ คณะสงฆ์ ก็ต้องให้ "สโมธานปริวาส" ประมวลอาบัติที่ปิดไว้ ๗ ราตรี รวมกับส่วนที่ต้องครุกาบัติก่อนแล้ว เท่ากับต้องอยู่ประพฤติปริวาสรวม ทั้งหมดเป็น ๒๒ วันนับแต่ราตรี ที่ ๑ หรือหากนับจากราตรีที่ ๖ ไปอีก ๑๗ วัน

ถ้าต้องอันตราบัติแล้วภิกษุท่านนั้นมิได้ปกปิดไว้ ก็ขอปฏิกัสสนากับสงฆ์ แล้วก็ขอมานัตได้เลย
ถ้าไม่ต้องอาบัติตัวใดซ้ำหรือเพิ่มเติมในขณะอยู่ประพฤติปริวาสก็ให้ประพฤติปริวาสนั้นตามเงื่อนไขของการอยู่ประพฤติปริวาสตามปกติ

สุทธันตปริวาส
"สุทธันตปริวาส" เป็นปริวาสที่ไม่มีกำหนดแน่นอน นับราตรีไม่ได้
ในปัจจุบันนี้นิยมจัดแต่ สุทธันตปริวาส ทั้งนี้ก็เพราะเป็นปริวาสที่จัดว่าอยู่ในดุลยพินิจของสงฆ์ อยู่ในอำนาจของสงฆ์ คือให้สงฆ์เป็นใหญ่ หากคณะสงฆ์จะให้อยู่ถึง ๕ ปี ก็ต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีทางเลือก และถ้าสงฆ์ให้อยู่ราตรีหนึ่งหรือสองราตรีแล้วขอมานัตได้ก็ถือว่าเป็นสิทธิของคณะสงฆ์ และทั้งนี้ก็เพราะสุทธันตปริวาส นี้มีเงื่อนไขน้อยที่สุดแต่ให้ความมั่นใจแก่ผู้ปฏิบัติมากที่สุด

ซึ่งภิกษุที่ท่านขอปริวาสดังคำว่า
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสหลายตัว ไม่รู้ที่สุดแห่งอาบัติ ๑ ไม่รู้ที่สุดแห่งราตรี ๑ ระลึกที่สุดแห่งอาบัติไม่ได้ ๑ ระลึกที่สุดแห่งราตรีไม่ได้ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งอาบัติ ๑ สงสัยในที่สุดแห่งราตรี ๑; ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าขอปริวาสจนกว่าจะบริสุทธิ์เพื่ออาบัติเหล่านั้น กะสงฆ์ (วิ.จุล.๖/๑๕๖/๑๘๒)

ซึ่งก็ยังมีข้อกำหนดว่า อยู่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงได้แบ่ง "สุทธันตปริวาส" ออกเป็น ๒ ลักษณะ ดังนี้ คือ
จุฬสุทธันตปริวาส แปลว่า "สุทธันตปริวาสอย่างย่อย" คือ ปริวาสของภิกษุผู้ต้องครุกาบัติหลายคราวด้วยกัน แต่ละคราวก็ปิดไว้ แต่ก็ยังพอจำจำนวนอาบัติได้ จำจำนวนวัน และจำจำนวนครั้งได้บ้าง จึงขอจูฬสุทธันตปริวาส และอยู่ประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์ แต่โดยทั่วไปในปัจจุบันนี้คณะสงฆ์ก็นิยมสมมติให้อยู่ ๓ ราตรีเป็นเกณฑ์ น้อยกว่านี้ไม่ได้ แต่ถ้ามากกว่านี้ไม่เป็นไร

มหาสุทธันตปริวาส คือ "สุทธันตปริวาสอย่างใหญ่" คือ ปริวาสของภิกษุผู้ต้องครุกาบัติหลายคราวด้วยกัน แต่ละคราวก็ปิดไว้ จำจำนวนอาบัติไม่ได้ จำจำนวนวัน และจำจำนวนครั้งไม่ได้ จึงขอจูฬสุทธันตปริวาสและอยู่ประพฤติปริวาสจนกว่าจะเห็นว่าบริสุทธิ์ โดยการกะประมาณว่าตั้งแต่บวชมาจนถึงเวลาใดที่ยังไม่ต้องครุกาบัติเลย เช่น

อาจบวชมาได้ ๑ เดือน แต่ต้องครุกาบัติจนเวลาล่วงผ่านไปแล้ว ๕ เดือน ๑๐ เดือนหรือ ๑ ปี แต่จำจำนวนที่แน่นอนไม่ได้เลย จึงต้องขอปริวาสและกะประมาณว่าประมาณ ๑ เดือนนั้นในความรู้สึก ก็ถือว่าบริสุทธิ์และใช้ได้ ซึ่งมหาสุทธันตปริวาสนี้ ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบันเพราะยุ่งยากและกำหนดเวลาแน่นอนไม่ได้

เงื่อนไขของการอยู่ประพฤติปริวาส
การอยู่ประพฤติปริวาสทุกประเภท มีเงื่อนไขที่จะต้องปฏิบัติขณะที่อยู่ประพฤติปริวาส ๓ กรณีด้วยกัน คือ

สหวาโส แปลว่า การอยู่ร่วม
วิปวาโส แปลว่า การอยู่ปราศ
อนาโรจนา แปลว่า การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ


ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นเงื่อนไขที่ทำให้การอยู่ประพฤติปริวาสของภิกษุนั้นเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้ หรือทางวินัยเรียกว่า “รัตติเฉท” แปลว่า การขาดแห่งราตรี นับราตรีไม่ได้ เมื่อราตรีขาดเสียแล้วก็ต้องเสียเวลาในการประพฤติปริวาสไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสควรต้องทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง ซึ่งเงื่อนไขทั้ง ๓ ประการมีรายละเอียดต่อไป

ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ควรทราบก็คือ เรื่อง “วัตตเภท” แปลความว่า ความแตกต่างแห่งวัตร หรือ ความแตกต่างแห่งข้อปฏิบัติในขณะอยู่ประพฤติปริวาส คือ ทำให้วัตรมัวหมองด่างพร้อย ซึ่งเป็นการละเลยวัตร ละเลยหน้าที่ ไม่เอื้อเฟื้อต่อวัตรที่กำลังประพฤติอยู่ และกระทำผิดต่อพุทธบัญญัติโดยตรง เช่น

- หาอุปัฎฐากเข้ามารับใช้ในขณะอยู่ประพฤติปริวาส
- เข้านอนร่วมชายคาเดียวกันกับภิกษุผู้อยู่ปริวาสหรือคณะสงฆ์ซึ่งเป็นอาจารย์กรรม
- มีการนั่งบนอาสนะที่สูงกว่าอาสนะของคณะสงฆ์อาจารย์กรรม เหล่านี้ถือว่าเป็น “วัตตเภท”

สิ่งไหนเป็น รัตติเฉท หรือ วัตตเภท ก็ดังตัวอย่างเช่น ภิกษุ ศ. และภิกษุ อ. เป็นเพื่อนกันไปอยู่ประพฤติปริวาสด้วยกัน เมื่อปฏิบัติกิจทางสังฆกรรมเสร็จแล้ว ภิกษุ ศ. ก็เข้ากลดแล้วนอนหลับไป ส่วนภิกษุ อ. นอนไม่หลับก็เข้าไปนอนเล่นในกลดของภิกษุ ศ. แล้วก็เผลอหลับไปจนสว่าง

ซึ่งในกรณีนี้ ภิกษุ ศ. ผิดในส่วนของ รัตติเฉท อย่างเดียว ส่วนภิกษุ อ. ผิดทั้ง รัตติเฉท และ วัตตเภท ซึ่งกรณีเช่นนี้ถือเจตนาเป็นใหญ่ ฝ่ายใดก่อเจตนาฝ่ายนั้นเป็นทั้ง รัตติเฉท และ วัตตเภท ส่วนฝ่ายที่ไม่มีเจตนา ฝ่ายนั้นเป็นเพียง รัตติเฉท

แต่ถ้าจะให้ละเอียดว่าทำไม ภิกษุ อ. ซึ่งไม่ได้มีเจตนาทำไมถึงเป็น รัตติเฉท คำตอบก็เพราะว่า เป็นการอยู่ร่วมในที่มุงบังอันเดียวกัน ถือว่าเป็น รัตติเฉท ทั้งสิ้นไม่มีกรณียกเว้นถ้าไม่เก็บวัตร เพราะเงื่อนไขเป็น อจิตตกะ

สหวาโส
“สหวาโส” แปลว่า “การอยู่ร่วม” ซึ่งในความหมายนี้หมายเอาพระภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาส อยู่ร่วมกับภิกษุผู้อยู่ปริวาสด้วยกัน หรืออยู่ร่วมกับคณะสงฆ์ผู้เป็นพระอาจารย์กรรมในที่มุงบังเดียวกัน

“การอยู่ร่วม” นั้นมีขอบเขต คือ ท่านหมายเอาการนอนอยู่ร่วมกันในที่มุงอันเดียวกันในทางสถานที่ นั่นหมายถึงมีการทอดกายนอน ดังมีอรรถกถาบาลีว่า
“สตคพฺภา จตุสฺสาลา เอกา เสยฺยาอิจฺเจว สงฺขยํ คจฺฉติ, เยปิ เอกสาลทฺวิสาลตฺติสาลจตุสฺสาลสนฺนิเวสา มหาปาสาทา เอกสฺมึ โอกาเส ปาเท โธวิตฺวา ปวิฏฺเฐนสกฺกา โหติ สพฺพตฺถ อนุปริคนฺตํ เตสุปิ สหเสยฺยาปตฺติยา น มุจฺจติฯ แปลความว่า

“ศาลา ๔ มุข มีห้องตั้งร้อย แต่อุปจาระเดียวกันก็ถึงอันนับว่าที่นอนอันเดียวกันแท้, แม้มหาปราสาทใด ที่มีทรวดทรงเป็นศาลาหลังเดียว สอง สาม และสี่หลัง ภิกษุล้างเท้าในโอกาสหนึ่งแล้วเข้าไป อาจเพื่อจะเดินเวียนรอบได้ในที่ทุกแห่ง แม้ในมหาปราสาทเหล่านั้น (ถ้านอนร่วมกัน) ภิกษุย่อมไม่พ้นสหเสยยาบัติ คือ อาบัติเพราะการนอนร่วม(มนฺต.๒/๒๙๙)

ซึ่งจะเห็นว่า การอยู่ร่วม คือ นอนร่วมกันและท่านก็เพ่งเอาการทอดกายนอนเฉพาะตอนกลางคืนนั้น ในที่มุงบังอันเดียวกัน หลังคาเดียวกัน ก็ไม่พ้นจากอาบัติเพราะการนอน คือมีการทอดกายนอน และคำว่าที่มุงบังอันเดียวกันนั้น ท่านก็หมายเอาแต่วัตถุที่เกิดขึ้นโดยวิทยาศาสตร์ เช่น ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร ที่มนุษย์ใช้เครื่องมือสร้างขึ้น แต่ไม่รวมถึงที่มุงบังโดยธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ หากมีการกางกลดภายใต้ร่มไม้เดียวกันก็ไม่ถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน

ดังนั้นจึงชี้ให้เห็นข้อแตกต่างของที่มุงบังเดียวกัน ซึ่งหากภิกษุสองรูปขึ้นไปอยู่ร่วมกัน ภิกษุรูปหนึ่งนั่งแต่ภิกษุอีกรูปหนึ่งนอน หรือภิกษุทั้งสองต่างนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่มีการทอดกายนอนก็ถือว่าไม่เป็น อาบัติหรือรัตติเฉท ทั้งนี้ก็มีข้อแม้ว่าในศาลาที่ทำสังฆกรรมนั้นเป็นที่มุงบังหลังคาเดียวกัน

แต่หากในขณะเมื่ออยู่ปริวาสนั้นเกิดภัยทางธรรมชาติคุกคามแปรปรวน เช่นฝนตก น้ำท่วม ลมแรง หรือมีการปฏิบัติธรรมร่วมกันก็อนุญาตให้อยู่ร่วมในศาลามุงบังนั้นได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่มีการทอดกายนอน พอใกล้จวนสว่างแล้วก็ให้ลุกออกไปเสียที่อื่นให้พ้นจากที่มุงนั้นให้ได้อรุณ ซึ่งกิริยาเช่นนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ออกไปรับอรุณ”

ดังนั้นคำว่า “สหวาโส” นั้นขึ้นอยู่กับการ "นอน" อย่างเดียวเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่มีการนอน ไม่มีการเอนกาย ไม่ถือว่าเป็น "สหวาโส"

จึงสรุปว่า แม้การร่วมทำสังฆกรรมทำวัตรเช้าสวดมนต์เย็น ร่วมปฏิบัติธรรมภายใต้ศาลาเดียวกันโดยมีที่มุงบังก็ดีโดยไม่ได้เก็บวัตรก็ดี ทำกิจทุกอย่างร่วมกันภายในเต็นท์หรือปะรำที่สร้างขึ้นเพื่องานนั้นโดยไม่เก็บวัตรก็ดี เข้าห้องน้ำห้องสุขาที่มีเครื่องมุงบังพร้อมกัน แม้จะเป็นหลังเดียวกันกับอาจารย์กรรมโดยไม่เก็บวัตรก็ดี

ทั้งหมดนี้ไม่ถือเป็น "สหวาโส" ไม่มีผลกระทบแม้แต่น้อย และไม่เป็นอาบัติทุกกฎเพราะวัตตเภทก็ไม่มี ทั้งนี้เพราะ กิจ ที่ทำนั้นไม่ถือว่าเป็นการอยู่ร่วมกัน แต่เป็นการทำธุระร่วมกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งต่างกับการ “อยู่ร่วม” หรือ “สหวาโส”

ขอบเขตของ “สหวาโส” การ “อยู่ร่วม”

เรื่องของสถานะ

ภิกษุทุกรูปที่เข้าอยู่ประพฤติปริวาสนั้น เป็นผู้ตกอยู่ในข้อหาละเมิดสิกขาบท (ต้องโทษ) สังฆาทิเสส ซึ่งการอยู่ปริวาสนั้น เปรียบเหมือนกำลังพยายามออกจากสิกขาบทที่ละเมิด ดังนั้น ภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสนั้นแม้จะมีพรรษามากเท่าใดก็ตาม มีสมณะศักดิ์สูงเพียงใดก็ตาม ก็จะต้องเคารพและให้เกียรติต่อคณะสงฆ์อาจารย์กรรมในเรื่องที่เป็นธรรมเป็นวินัย แม้สงฆ์ท่านนั้นจะเพิ่งบวช แม้ในวันนั้นทุกรูปก็ตาม จะทำการคลุกคลีด้วยการฉันร่วม นั่งร่วมในอาสนะเดียวกันเกินขอบเขต ซึ่งทำให้เป็น วัตตเภทบ้าง รัตติเฉท บ้างไม่ได้

ซึ่งในส่วนนี้ก็ต้องยอมลดทิฎฐิ และสถานะ สมณศักดิ์ลงต่อคณะสงฆ์และอาจารย์กรรม แต่สำหรับพระภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาสด้วยกันแล้วก็ยังคงรักษาพรรษาไว้และ ยังคงต้องนั่งตามลำดับพรรษาดังเดิม และพระเถระที่เคยมีอุปัฏฐากอยู่ที่วัด พอมาอยู่ปริวาสท่านจะมีอุปัฏฐากเช่นนั้นไม่ได้ ซึ่งในข้อนี้มีพระบาลีว่า สทฺธิวิหาริกาทีนํ สาทิยนฺตสฺส ทุกฺกฎเมวฯ อหํ วนยกมฺมํ กโรมิ มยฺหํ วตฺตํ มา กโรถ มา มํ คามปฺปเวสนํ อาปุจฺฉถ, วาริตกาลโต ปฏฺฐาย อนาปตฺติฯ ความว่า

"เป็นอาบัติทุกกฎแก่ภิกษุผู้ยินดีแม้ของสัทธิวหาริกเป็นต้น พึงห้ามเขาว่าเรากำลังทำวินัยกรรมอยู่ พวกท่านอย่าทำวัตรแก่เราเลย อย่าบอกลาเข้าบ้านกะเราเลย, จำเดิมแต่กาลที่ห้ามแล้วไม่เป็นอาบัติ (สมนฺต.๓/๒๘๒) ยกเว้นแต่ว่าเป็นกรณีพิเศษคือ ท่านอาจจะไหว้วานชั่วคราว เช่น ฝากซื้อของเครื่องใช้ที่จำเป็นต้องใช้"

เรื่องของสถานที่ เช่น
- ที่ฉันภัตตาหาร
- ที่ทำธุระส่วนตัว เช่น ห้องน้ำ ห้องสุขา
- ที่เดินจงกรม
- ที่ปฏิบัติธรรม
- ที่ทำสังฆกรรม
- ที่นอน

ทั้งหมดนี้ ควรแยกสัดส่วนออกจากกัน คือ ส่วนไหนเป็นของคณะสงฆ์อาจารย์กรรม ส่วนไหนเป็นของพระภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาส ก็ต้องแยกจากกันให้เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้เกียรติแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมและเพื่อความนอบน้อมสำหรับ ภิกษุผู้อยู่ประพฤติปริวาส

วิปวาโส
“วิปวาโส” หรือ การอยู่ปราศ หมายถึง การอยู่ปราศจากคณะสงฆ์อาจารย์กรรม การอยู่ประพฤติปริวาสนั้นจะอยู่กันเองตามลำพังโดยปราศจากอาจารย์กรรมไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยก็ต้องมีอาจารย์กรรม นั่นคือ ต้องใช้คณะสงฆ์อาจารย์กรรม ๑ รูป สำหรับการอยู่ประพฤติปริวาส และ ๔ รูป สำหรับมานัต ทั้งนี้เพื่อจะได้คุ้มกรรมไว้

ส่วนเหตุอื่นที่จะเป็น วิปวาโส ได้นั้น ก็คือ ถึงแม้จะมีคณะสงฆอาจารย์กรรมอยู่ด้วย แต่มีกำหนดขอบเขตของ วิปวาโส ไว้ว่า ถ้าหากพระลูกกรรมผู้อยู่ประพฤติปริวาสนั้นอยู่ไกลเกินกำหนด ซึ่งกำหนดของวิปวาโส นี้ ท่านบอกว่า ๒ ชั่ว เลฑฑุบาต คือ เอาคนมีอายุปานกลางและมีกำลังขว้างก้อนดินตกลง ๒ ชั่ว คือ ขว้างก้อนดินต่อกัน ๒ ครั้งนั่นเอง (เท่ากับขว้างครั้งแรกตกลงที่ใดแล้วก็ยืนตรงจุดที่ดินตกแล้วก็ขว้างครั้ง ที่สองไกลออกไปเท่าใดก็ถือเอาจุดนั้นเป็นเขตกำหนด)

ซึ่งจุดศูนย์กลางของ ๒ เลฑฑุบาตนี้ให้ยึดเอาจุดที่คณะสงฆ์พระอาจารย์กรรมอยู่กัน แล้วก็ให้วัดขอบเขตไปที่ภิกษุผู้ปักกลดองค์แรกที่อยู่ใกล้อาจารย์กรรมที่ สุดนั้นเป็นเกณฑ์ ส่วนภิกษุท่านอื่น ๆ ก็ถือว่าปักกลดอยู่ต่อ ๆ กันไป เหมือนดั่งยังอยู่ในหัตถบาส เหมือนที่ลงสวดพระปาติโมกข์ในโบสถ์ ซึ่งองค์แรกอยู่ในหัตถบาส องค์ต่อไปก็นั่งเรียงลำดับกันไป ซึ่งการกำหนดขอบเขตนี้ก็ขึ้นอยู่ที่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมท่านเป็นผู้ชี้เขต และอนุญาตให้อยู่ได้

ซึ่งการอยู่ปราศนั้น ก็คือห้ามอยู่โดยปราศจากอาจารย์กรรม ถึงแม้ภิกษุท่านจะเจ็บไข้ได้ป่วยมีเหตุให้ต้องไปนอนโรงพยาบาล ตราบใดที่ภิกษุยังนอนรักษาตัวอยู่ก็ต้องมีอาจารย์กรรมไปเฝ้าไข้ตลอดเวลา อย่าให้เกินสองเลฑฑุบาตไป

อนาโรจนา
“อนาโรจนา” แปลว่า การไม่บอก หมายถึง การไม่บอกวัตร หรือ บอกอาการที่ตนประพฤติแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมในสำนักที่ตนอยู่ประพฤติปริวาส นั้น การบอกวัตรของปริวาส ตามหลักพระวินัยเมื่อขอปริวาสแล้ว จะต้องบอกวัตรแก่คณะสงฆ์อาจารย์กรรมเพียงครั้งเดียวก็อยู่ไปจนครบ ๓ ราตรีก็ได้

ลำดับของการบอกวัตร
- สมาทานวัตร
- การบอกวัตร
- การเก็บวัตร

การสมาทานวัตร
การสมาทานวัตรนิยมสมาทานหลังจากที่เสร็จสิ้นการปฏิบัติธรรมประจำวัน จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าปรก พอได้เวลาอาจจะตีสามตามเวลาที่คณะสงฆ์กำหนด ก่อนทำวัตรเช้าก็สมาทานครั้งหนึ่ง ซึ่งการสมาทานวัตรเช่นนี้ไม่มีในหลักสูตรที่จะต้องสมาทานทั้งเช้าและเย็น เพราะการสมาทานวัตรนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการเก็บวัตรแล้วก็ห้ามสมาทานซ้ำอีก ส่วนการบอกวัตรนั้นจะบอกวันละกี่ครั้งก็ได้

ซึ่งพระอรรถกถาจารย์ท่านได้กล่าวไว้ว่า “อนิกฺชิตฺตวตฺตสฺส ปุน วตฺตสมาทานกิจฺจํ นตฺถิฯ” ความว่า
“กิจที่จะต้องสมาทานวัตรอีกย่อมไม่มี แก่ผู้มิได้เก็บวัตร หรือสำหรับผู้มิได้เก็บวัตรไม่มีกิจที่จะต้องสมาทานวัตรอีก” หมายความว่า ห้ามสมาทานวัตรซ้อนวัตรนั่นเอง

การบอกวัตร
“การบอกวัตร” นั้น ขณะประพฤติปริวาสไม่จำเป็นต้องบอกวัตรทุกวันก็ได้ แต่การบอกทุกวันก็ไม่ได้มีข้อจำกัดอะไร และการบอกวัตรต้องบอกแก่คณะสงฆ์ที่เป็นอาจารย์กรรมหมดทุกรูปตราบใดที่ยัง ไม่ได้เก็บวัตร เมื่อเห็นพระอาคันตุกะมาก็ต้องบอกวัตรเช่นกันไม่ว่าเวลาไหนถ้าไม่บอกก็เป็น รัตติเฉท ถ้ามีเจตนาไม่บอกก็เป็นอาบัติทุกกฎ และในเวลาที่พระอาคันตุกะผ่านมาและบอกวัตรนั้น มีขอบเขตเช่นไร ซึ่งมีมติของพระสังฆเสนาภยเถระว่า

“วิสเย กิร อนาโรเจนฺคสฺส รตฺติจฺเฉทโท เจว วตฺตเภเท ทุกฺกฏญฺจ โหติ อวิสเย ปน อุภยํปิ ตนฺถิฯ” ความว่า
“ได้ยินว่าเมื่อไม่บอกในวิสัยเป็นรัตติเฉทด้วยเป็นทุกกฎเพราะวัตตเภทด้วย แต่ในเหตุสุดวิสัยไม่เป็นทั้งสองอย่างฯ(สมนต.๓/๒๘๙) ซึ่งเป็นมติที่เหมาะสมดังพุทธพจน์ที่ว่า

“ภิกฺขเว อาสา อสฺสาทนเจตนา อตฺถิ สา จ โข อวิสเย อุปฺปนฺนตฺตา อพฺโพหาริกา อาปตฺติยา องฺคํ น โหติฯ
“ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เจตนาเป็นเหตุยินดีมีอยู่ แต่เจตนานั้นแลชื่อว่าเป็นอัพโพหาริก คือ ไม่เป็นองค์แห่งอาบัติ เพราะเกิดขึ้นในเหตุสุดวิสัยฯ” (สมนต.๒/๓)

ซึ่งการบอกวัตรนี้จะบอกใคร นิกายไหน หรือมีความแตกต่างไหนนั้น ซึ่งในคัมภีร์บาลีเดิมหรือชั้นอรรถกถาไม่ได้ใช้คำว่า นิกาย แต่ดูความแตกต่างที่ลัทธิปฏิบัติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะมีนิยามเกี่ยวกับ นานาสังวาส และ สมานสังวาส เช่น สงฆ์ฝ่ายธรรมยุต และสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย จะเป็นนานาสังวาสหรือสมานสังวาสนั้น จะได้นำความเห็นของพระอรรถกถาจารย์เป็นดังนี้

“เยน สทฺธึ อุโปสถาทิโก สํวาโส อตฺถิ อยํ สมานสํวาสโก อิตโร นานาสํวาสโกฯ” ความว่า
“ธรรมเป็นที่อยู่ร่วมกันมีอุโบสถเป็นต้น กับบุคคลใดมีอยู่ บุคคลนั้นชื่อว่า สังวาสเสมอกันฯ บุคคลนอกนั้น ชื่อว่าผู้เป็นนานาสังวาสกันฯ” (สมนต.๓/๔๙๑)

(ในความเห็นของข้าพเจ้า..ถ้าในหลักปฏิบัติแล้วคิดว่า สงฆ์ฝ่ายธรรมยุต และสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย นั้นอยู่ต่างนิกายกัน แต่ว่าใช้อุโบสถเดียวกันหรือไม่ หรือมีอุโบสถแตกต่างกัน ซึ่งก็ไม่ได้มีลักษณะบ่งบอกว่าโบสถ์ลักษณะนี้เป็นของนิกายนี้ก็หาไม่ มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกันหรือไม่ หรือคนละองค์ ถือลัทธิปฏิบัติแตกต่างกันหรือไม่ หรือถือพระไตรปิฏกของพระพุทธเจ้าต่างคำสอนกัน.. ก็ถ้าอย่างนั้นจะแยกกันทำไม สามัคคีกันเถิด.. นี่เป็นความเห็นของผู้พิมพ์ แล้วผู้มีอำนาจในแผ่นดินท่านใดบ้างที่จะทำให้สงฆ์ท่านรวมกันมีนิกายเดียว คือ นิกายของพระพุทธเจ้าเท่านั้น)

ส่วนเรื่องเวลาบอกวัตรนั้น ก็ขึ้นอยู่ที่มติของคณะสงฆ์อาจารย์กรรมเป็นผู้กำหนด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยแห่งสงฆ์ ซึ่งการบอกวัตรนี้สามารถกำหนดตั้งแต่ได้อรุณจนถึง ๙ โมงเช้า

ส่วนการบอกวัตรแก่พระอาคันตุกะ ก็สุดแท้แต่สงฆ์จะเป็นผู้กำหนด จะบอกเป็นรายบุคคลหากมารูปเดียว หรือมาสองรูปบอกสองรูป หรือสามรูป หรือสี่รูป ซึ่งถ้าสี่รูปจึงบอกเป็นสงฆ์

ซึ่งหากเป็นรายบุคคลมารูปเดียวใช้คำว่า มํ อายสมา ธาเรตุ
มาสองรูป ใช้คำว่า มํ อายสฺมนตา ธาเรนตุ
มาสามรูปใช้คำว่า มํ อายสฺมนฺโต ธาเรนฺตุ
ส่วนสี่รูป ใช้คำว่า มํ สงฺโฆ ธาเรตุ

แต่เพื่อป้องกันความผิดพลาดและรัดกุมนั้น ควรบอกเป็นสงฆ์ดีที่สุด ไม่ว่าพระอาคันตุกะท่านจะมา หนึ่งรูป สองรูป สามรูป หรือสี่รูป หรือเกินนั้นก็ตาม เพราะถ้าบอกเป็นรายบุคคลก็ต้องนับพรรษาด้วย ดังนั้นจึงบอกเป็นสงฆ์ดีที่สุด เพราะทุกอย่างเป็นสังกรรมที่กระทำโดยสงฆ์ รับรองโดยสงฆ์ จึงใช้ มํ สงฺโฆ ธาเรตุ ดีที่สุด

การเก็บวัตร
“การเก็บวัตร” ก็คือ การพักวัตรไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งที่นิยมนั้นก็จะเก็บวัตรในเวลากลางวัน ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่ในเวลากลางวันนั้นอาจมีพระอาคันตุกะแวะเวียนผ่านมา บ่อยเมื่อเก็บวัตรแล้วก็ไม่จำเป็น ต้องบอกวัตร
ซึ่งประโยชน์ของการเก็บวัตรนั้น ก็คือ การไม่ต้องบอกวัตรบ่อย ๆ และประโยชน์ในการที่คณะสงฆ์ทำสังฆกรรม เช่น ในวันออกอัพภาน ซึ่งอาจจะมีสงฆ์ไม่ครบองค์ตามพระวินัยกำหนด

ซึ่งในกรณีนี้ท่านอนุญาตให้ พระอัพภานารหภิกษุ (ภิกษุผู้ควรเรียกเข้าหมู่) ผู้เก็บวัตรแล้ว เข้าเป็นองค์นั่งในหัตถบาสเป็น ปูรกะภิกษุ ให้ครบองค์สงฆ์ตามพระวินัยกำหนด ดังมีอรรถกถา ว่า “คเณ ปน อปฺปโหนฺเต วตตํ นิกฺปิปาเปตฺวา คณปูรโก กาตพฺโพฯ” ความว่า

“ก็เมื่อคณะไม่ครบพึงให้ ปริวาสิกภิกษุ เก็บวัตร แล้วทำให้เป็นคณะปูรกะก็ควรฯ” ทั้งนี้เพราะ ภิกษุผู้เก็บวัตรแล้ว ก็คือ ปกตัตตภิกษุ(สงฆ์ปกติ) ที่ไม่ได้เข้ากรรม หรือ “อยํ หิ นิกฺขิปิตตฺวตฺตตฺตา ปกตตฺตฏฺฐาเน ฐิโตฯ” ความว่า “จริงอยู่ภิกษุนี้ ชื่อว่าตั้งอยู่ในฐานะปกตัตตภิกษุ เพราะเธอเก็บวัตรเสียแล้วฯ”

ดังนั้น ในวันออกอัพภาน จึงไม่ต้องเก็บวัตร เพราะต้องเสียเวลาในการสมาทานวัตรและบอกวัตร และประโยชน์ของการไม่เก็บวัตรในวันออกอัพภาน ก็เพราะถ้าเก็บวัตรแล้วไม่สมาทานวัตรใหม่ คณะสงฆ์ก็ไม่สามารถสวดอัพภานให้ได้ เพราะสงฆ์จะทำกรรมกับผู้เก็บวัตรไม่ได้ ทั้งนี้เพราะผู้เก็บวัตรเป็น "ปกตัตตภิกษุ" ดังบาลีว่า

“ปกตฺตตสฺส จ อพฺภานํ กาตุ น วฏฺฏติ ตสฺมา วตฺตํ สมาทเปตพฺพํฯ วตฺเต สมาทินฺเน อพฺภานารโห โหติฯ เตน วตฺตํ สมาทิยิตฺวา อาโรเจตฺวา อพฺภานํ ยาจิตพฺพํฯ” ความว่า
“และสงฆ์จะทำอัพภานแก่ปกตัตตภิกษุ ย่อมไม่ควร เพราะฉะนั้น พึงให้เธอสมาทานวัตร(ก่อน)ฯ เธอย่อมเป็นผู้ควรแก่อัพภานในเมื่อสมาทานวัตรแล้ว แม้เธอสมาทานวัตรแล้วก็ให้บอก (ก่อน) แล้วจึงขออัพภานฯ”

นอกจากนี้ก็มีการเก็บวัตรเพื่อเป็นอุปัชฌาย์ในท่านที่เป็นอุปัชฌาย์ หรือเป็นอาจารย์สวดในท่านที่เป็นพระกรรมวาจา ดังบาลีว่า“อุปชฺฌาเยน หุตฺวา น อุปสมฺปาเทตพฺพํ วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา ปน อุปสมฺปาเหตํ วฏฺฏติฯ อาจริเยน หุตฺวา กมฺมวาจาปิ น สาเวตพฺพา อญฺญสฺมึ สกติ วตฺตํ นิกฺขิปิตฺวา สาเวตํ วฏฺฏติฯ” ความว่า
“เป็นอุปัชฌาย์ไม่พึงให้อุปสมบท แต่จะเก็บวัตรแล้วให้อุปสมบทควรอยู่ฯ เป็นพระกรรมวาจาแล้ว แม้กรรมวาจาแล้ว แม้กรรมวาจาก็ไม่ควรสวด เมื่อภิกษุอื่นไม่มีจะเก็บวัตรแล้วสวด สมควรอยู่ฯ”

แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้ายตราบที่ยังมีสงฆ์ทำสังฆกรรมอยู่ ทั้งนี้ด้วยมีพระบาลีว่า “วิหารเชฏฺฐกฏฺฐานํ น กาตพฺพํ ปาฏิโมกฺขุทฺเทศเกน วา ธมฺมชฺเฌสเกน วา น ภวิตพฺพํฯ” ความว่า
(ภิกษุผู้ประพฤติวุฏฐานวิธี) ไม่พึงรับตำแหน่งหัวหน้าในวิหาร คือไม่พึงเป็นผู้สวดปาฏิโมกข์ หรือ เชิญแสดงธรรมฯ สมดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้อยู่ปริวาสพึงประพฤติชอบ ด้วยการประพฤติดังต่อไปนี้.. พึงพอใจด้วยอาสนะสุดท้าย ที่นอนสุดท้ายที่สงฆ์จะพึงให้แก่เธอดังนี้ฯ(วิ.จุล.๖/๗๖/๑๐๑)

มานัต
"มานัต" แปลความโดยขอบเขต หมายถึง นับ ได้แก่ นับราตรี การนับราตรี
การ นับราตรี หรือ มานัต นั้น เป็นเงื่อนไขต่อจากการประพฤติปริวาสของภิกษุผู้อยู่กรรม เมื่ออยู่ปริวาส ๓ ตรี หรือตามที่คณะสงฆ์กำหนดแล้ว เมื่อคณะสงฆ์พิจารณาว่า "ปริวาส" ที่ภิกษุประพฤตินั้นบริสุทธิ์ในการพิจารณาของสงฆ์แล้ว สงฆ์ก็จะเรียกผู้ประประพฤติปริวาสนั้นว่า “มานัตตารหภิกษุ” แปลว่า “ภิกษุผู้ควรแก่มานัต”

มานัต หรือการนับราตรีนั้น ได้แก่การนับราตรี ๖ ราตรีเป็นอย่างน้อย ซึ่งเกินกว่านี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าน้อยกว่า ๖ ราตรีไม่ได้ ซึ่งเป็นพระวินัยกำหนดไว้เช่นนั้น ซึ่งการนับราตรีของ มานัต นั้นก็มีเงื่อนไขที่ทำให้นับราตรีไม่ได้เช่นกัน เรียกว่า การขาดแห่งราตรี หรือ การนับราตรีเป็นโมฆะ

เงื่อนไขที่ทำให้นับราตรีไม่ได้ สำหรับ มานัต มีด้วยกัน ๔ อย่าง คือ
สหวาโส คือ การอยู่ร่วม มีข้อกำหนดเหมือนปริวาส ไม่มีข้อแตกต่างกัน
วิปปวาโส คือ การอยู่ปราศ ในส่วนข้อนี้มีความแตกต่างตรงที่ การประพฤติปริวาสนั้น จะสมาทานประพฤติวัตรกับคณะสงฆ์อาจารย์กรรมรูปเดียวก็ได้ แต่ มานัต นั้น ต้องสมาทานกับสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป หรือ ในกรณีที่ภิกษุผู้ประพฤติปริวาสเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย อาพาธขึ้นในระหว่าง มานัต จำต้องไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็ต้องมีสงฆ์อย่างน้อย ๔ รูป ไปเฝ้าไข้ ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็ต้องอนุญาตให้ไปรักษาอาพาธนั้นให้หายเป็นปกติก่อน เมื่อหายเป็นปกติแล้วให้ภิกษุนั้นกลับมาสมาทานวัตรเพียงรูปเดียวในภายหลัง( แต่ถ้าเก็บวัตรแล้วก็ไม่เป็นไร)

ส่วนการ บอกวัตร นั้นถ้าบอกเป็นครั้งแรกในวันนั้นต้องบอกกับสงฆ์หมดทุกรูป แต่ถ้าการบอกวัตรนั้นเป็นการบอกครั้งที่สองไม่ต้องบอกหมดทุกรูป ยกเว้นเมื่อบอกวัตรไปแล้วในขณะนั้นแต่ชั่วครู่นั้นมีพระอาคันตุกะแวะเวียนเข้ามา การบอกวัตรครั้งที่สองนี้จะบอกเดี่ยวสำหรับพระอาคันตุกะ หรือจะบอกเป็นสงฆ์ก็ได้ขึ้นอยู่ที่คณะสงฆ์พระอาจารย์กรรมกำหนด ซึ่งถ้าบอกเป็นสงฆ์ก็ต้องหาพระอาจารย์กรรมรวมทั้งพระอาคันตุกะนั้นให้ครบ องค์สงฆ์คือ ๔ รูป แต่ส่วนมากจะบอกเดี่ยวเพื่อความสะดวกรวดเร็ว

"อนาโรจ นา" คือ การไม่บอกวัตรที่ประพฤติ ซึ่งการการประพฤติ "มานัต" นั้น จะต้องบอกวัตรทุกวัน ไม่บอกไม่ได้ แตกต่างกับปริวาสซึ่งจะบอกก็ได้ไม่บอกก็ได้ เพราะอยู่ปริวาสนั้นบอกวัตรครั้งเดียวแล้วอยู่ต่อไปอีกสามวันโดยที่ไม่บอกอีกก็ได้ ทั้งนี้หมายความว่าจะต้องไม่ทำผิดกฏข้ออื่น ๆ อีก

อูเน คเณ จรณํ คือ การประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง หมายถึง การประพฤติวัตรของพระมานัตในที่ที่มีสงฆ์ไม่ครบ ๔ รูปตามพระวินัยกำหนด เช่นนี้ถือว่า ประพฤติวัตรในคณะอันพร่อง ซึ่งจะทำให้การนับราตรีเป็นโมฆะ นับราตรีไม่ได้


"มานัต" หรือการ นับราตรี นั้น มีอยู่ ๔ อย่าง คือ
อัปปฏิจฉันนมานัต คือ เป็นมานัตที่ภิกษุไม่ต้องอยู่ปริวาส สามารถขอมานัตได้เลย ยกเว้นพวกเดียรถีย์ต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน
ปฏิฉันนมานัต คือ มานัตที่ให้แก่ภิกษุผู้ปิดอาบัติไว้ หรือมิได้ปิดไว้ก็ตาม
ปักขมานัต คือ มานัตที่ให้แก่ภิกษุณี ๑๕ ราตรีเท่านั้น(ครึ่งปักษ์) จะปิดอาบัติไว้หรือมิได้ปิดไว้ก็ตาม
สโมธานมานัต คือ มานัตที่มีไว้เพื่ออาบัติที่ประมวลเข้าด้วยกัน อันเนื่องมาจากสโมธานปริ วาสนั้น ซึ่ง "สโมธานมานัต" นี้เป็นมานัตที่สงฆ์นิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน

อัพภาน
"อัพภาน" คือ การที่สงฆ์เรียกเข้าหมู่ หรือ การที่ภิกษุท่านได้ชำระสิกขาบทที่ได้ทำให้ตนมัวหมอง จนผ่านขั้นตอนการอยู่ประพฤติปริวาส การขอมานัต นับราตรีจนครบกระบวนการขั้นตอนของการประพฤติวุฏฐานวิธี ตามที่พระวินัยกำหนด จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือ สงฆ์เรียกภิกษุนั้นเข้าหมู่แห่งสงฆ์ เป็นสงฆ์ปกติไม่มีความมัวหมองด่างพร้อยติดตัวแล้ว จึงเป็นการให้ อัพภาน

ซึ่งการให้ อัพภาน นี้ พระวินัยกำหนดให้สงฆ์สวดเรียกเข้าหมู่โดยต้องใช้สงฆ์สวดจำนวน ๒๐ รูป ขึ้นไป เมื่อสงฆ์ ๒๐ รูปทำสังฆกรรมสวดเรียกเข้าหมู่ให้แล้ว ก็ถือเป็นสิ้นสุดกระบวนการประพฤติวุฏฐานวีธี ในทางพระวินัย ภิกษุนั้น ๆ ก็ เป็นภิกษุผู้บริสุทธิ์ เป็น “ปริสุทโธ”

วิธีการสวดให้ปริวาส และ อัพภาน มีอยู่ ๓ วิธี คือ

๑. วิธีการขอหมู่ สวดหมู่ ซึ่ง การขอหมู่ สวดหมู่ ก็คือ ภิกษุผู้ประสงค์อยู่ประพฤติปริวาส ได้สวดขอปริวาส มานัตและอัพภาน ซึ่งภิกษุที่ขอหมู่ก็คือ สงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าสวดขอปริวาสพร้อมกันครั้งละ ๓ รูป ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด

๒. วิธีการขอหมู่ สวดเดี่ยว ซึ่งก็คือ ภิกษุผู้ประสงค์อยู่ประพฤติปริวาส ได้สวดขอปริวาส มานัตและอัพภาน ซึ่งสงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าขอปริวาสพร้อมกันครั้งละ ๓ รูป แต่ให้สวดครั้งละหนึ่งรูปคือสวดองค์เดียว เดี่ยว ๆ ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด

๓. วิธีการขอเดี่ยว สวดเดี่ยว ก็คือ สงฆ์อนุญาตให้ภิกษุเข้าขอปริวาสครั้งละ ๑ รูป และให้สวดครั้งละหนึ่งรูปคือสวดองค์เดียว เดี่ยว ๆ ส่วนคณะสงฆ์อาจารย์กรรมนั้นต้องใช้จำนวนสงฆ์ทั้งหมด ๕ รูป รวมองค์สวด

“ ขออนุโมทนาสำหรับท่านที่อยากศึกษา ”

ที่มา - www.watnua.com


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top