Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 11/10/08 at 17:02 [ QUOTE ]

ความหมายของอานุภาพแห่ง "พระพุทธมนต์" (บทสวดสิบสองตำนาน) VIDEO - MP3


(Update 3 เมษายน 2559)

เสียงสวดพระพุทธมนต์ "พระปริตร" ป้องกัน ผี อันตราย โรคภัยต่างๆ

แบบ A
แบบ B (กดปุ่มที่ Playlist เพื่อเลือกฟัง)


บทสวดมนต์ "ต้นแบบล้านนา" เมืองเหนือ (เจ็ดตำนาน-สิบสองตำนาน)

แบบ A
แบบ B


อานุภาพแห่งพระพุทธมนต์ (MP3)
และความเป็นมาของการสวดพระปริตรหรือเจ็ดตำนาน


01. นะโม - สัมพุทเธ >>

02. นะมะการะสิทธิคาถา >>

03. นะโมการะอัฏฐะกะ >>

04. มังคะละสุตตัง >>

05. ระตะนะสุตตัง >>

06. กะระณียะเมตตะสุตตัง >>

07. ขันธะปะริตตะคาถา >>

08. ฉัททันตะปะริตตัง >>

09. โมระปะริตตัง >>

10. วัฏฏะกะปะริตตัง >>

11. ธะชัคคะปะริตตัง >>

12. อาฏานาฏิยะปะริตตัง >>

13. อังคุลิมาละปะริตตัง >>

14. โพชฌังคะปะริตตัง >>

15. อะภะยะปะริตตัง >>

16. เทวะตาอุยโยชะนะคาถา >>

17. ชะยะปะริตตัง >>

18. มงคลจักรวาฬใหญ่ >>

19. ปะริตตานุภาวะคาถา >>

20. ระตะนัตตะยัปปะภาวาภิยา >>

21. สุขาภิยาจะนะคาถา >>

ดาวน์โหลดเสียงสวดมนต์บทสวดสิบสองตำนาน รวม 21 บท จาก suadmonnetwork.com

ดาวน์โหลด...คลิ๊กขวาเลือก Save Target As

01.นะโม-สัมพุทเธดาวน์โหลด12.อาฏานาฏิยะปะริตตังดาวน์โหลด
02.นะมะการะสิทธิคาถาดาวน์โหลด13.อังคุลิมาละปะริตตังดาวน์โหลด
03.นะโมการะอัฏฐะกะดาวน์โหลด14.โพชฌังคะปะริตตังดาวน์โหลด
04.มังคะละสุตตังดาวน์โหลด15.อะภะยะปะริตตังดาวน์โหลด
05.ระตะนะสุตตังดาวน์โหลด16.เทวะตาอุยโยชะนะคาถาดาวน์โหลด
06.กะระณียะเมตตะสุตตัง   ดาวน์โหลด   17.ชะยะปะริตตังดาวน์โหลด
07.ขันธะปะริตตะคาถาดาวน์โหลด18.มงคลจักรวาฬใหญ่ดาวน์โหลด
08.ฉัททันตะปะริตตังดาวน์โหลด19.ปะริตตานุภาวะคาถาดาวน์โหลด
09.โมระปะริตตังดาวน์โหลด20.ระตะนัตตะยัปปะภาวาภิยา   ดาวน์โหลด
10.วัฏฏะกะปะริตตังดาวน์โหลด21.สุขาภิยาจะนะคาถาดาวน์โหลด
11.ธะชัคคะปะริตตังดาวน์โหลด


โดยทั่วไปพุทธศาสนิกชนมักทำบุญโดยนิมนต์พระสงฆ์มาสวดสาธยายบท "พระพุทธมนต์" ในพิธีมงคล หรือพิธีที่จัดขึ้นเพื่อความสุขความเจริญ เป็นสิริมงคลแก่การดำเนินชีวิตในวาระต่างๆ ซึ่งมักจะเรียกรวมกันว่า พิธีเจริญพระพุทธมนต์

คำว่า “พระพุทธมนต์” หมายถึง พระพุทธพจน์อันเป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า ที่มีปรากฏในพระไตรปิฏกบ้าง เป็นคำที่แต่งขึ้นมาภายหลังบ้าง โดยถือกันว่าพระพุทธมนต์เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ สามารถปัดป้องอันตรายต่างๆได้ จึงเรียกอีกอย่างว่า “พระปริตร”

คำว่า”ปริตร” มีความหมายว่า คุ้มครองรักษา หรือเครื่องคุ้มครองป้องกัน ซึ่งบทพระพุทธมนต์ที่นิยมว่าศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ปรากฏรวบรวมไว้มี ๗ บท จึงเรียกว่า เจ็ดตำนาน

(ตามปกติ คำว่าตำนาน จะหมายถึงเรื่องราวนมนานที่เล่ากันสืบๆ มา แต่ในที่นี้เป็นการเรียกพระปริตรบทๆ หนึ่งว่า "ตำนาน" ซึ่งมีผู้สันนิษฐานว่าน่าจะแผลงมาจากคำว่า ตาณ ในภาษาบาลีที่แปลว่า ต้านทานหรือป้องกันเช่นเดียวกับคำว่า ปริตร หรืออาจจะหมายถึงตำนานอันเป็นที่มาของแต่ละพระสูตรก็เป็นได้)

การสวดพระปริตรหรือเจ็ดตำนานนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศลังกา ราวพ.ศ. ๕๐๐ ด้วยว่าชาวลังกาที่นับถือพุทธศาสนาในขณะนั้น ประสงค์ให้พระสงฆ์ช่วยเหลือตนให้เกิดสิริมงคลและป้องกันภยันตรายต่างๆ ด้วยการสวดมนต์ และคาถาตามแบบอย่างพราหมณ์ ซึ่งมีความเชื่อว่าผู้ทรงเวทจะทำให้เกิดสิริมงคล และป้องกันภยันตรายแก่มหาชนได้

ด้วยเหตุนี้ พระสงฆ์ลังกาจึงได้คิดวิธีสวดพระปริตรขึ้น โดยเลือกเอาพระสูตรหรือคาถาที่สรรเสริญคุณพระรัตนตรัย อันเกิดขึ้นเนื่องด้วยเหตุการณ์ต่างๆมาสวดเป็นมนต์ โดยการสวดครั้งแรกๆ ก็ขึ้นกับเหตุการณ์ที่ไปสวด เช่น ไปสวดพิธีมงคลก็ใช้ "มงคลสูตร" สวด สวดให้คนเจ็บป่วยก็ใช้ "โพชฌงคสูตร"

ครั้นคนนิยมมากขึ้นก็คิดค้นพระสูตรต่างๆ มาสวดเป็นพระปริตรมากขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินประเทศลังกาก็ได้รับสั่งให้คณะสงฆ์ปรับปรุงพระสูตรและคาถาที่ใช้สวดพระปริตรขึ้นใหม่ให้เหมาะกับเหตุการณ์ เพื่อใช้ในพระราชพิธีหลวงโดยได้เพิ่มพระสูตรและคาถาให้มากขึ้น และเรียกว่า “ราชปริตร” แปลว่า มนต์คุ้มครองพระเจ้าแผ่นดิน ต่อมาประชาชนต่างก็นิยมให้มีการสวดพระปริตรในพิธีของตนบ้าง จึงเกิดเป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน

เจ็ดตำนานหรือพระปริตร ซึ่งหมายถึง มนต์อันเป็นเครื่องป้องกันภยันตรายต่างๆ มีอยู่ด้วยกัน ๗ พระสูตรคือ

๑.มงคลสูตร ว่าด้วยเหตุที่จะทำให้เกิดสิริมงคล

๒.รัตนสูตร ว่าด้วยรัตนทั้ง ๓ คือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ สวดเพื่อปัดเป่าอุปัทวันตรายให้หมดไป

๓.กรณีย เมตตสูตร ว่าด้วยการเจริญเมตตา ไปไหนมาไหนให้คน เทวดารักใคร่เมตตา

๔.ขันธปริตร ว่าด้วยพระพุทธมนต์สำหรับป้องกันสัตว์ร้ายพวกอสรพิษ

๕.ธชัคคสูตร ว่าด้วยการเคารพธงและการรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยทำให้หายหวาดกลัว

๖.อาฏานาฏิยปริตร ว่าด้วยพระพุทธมนต์ที่สามารถป้องกันอุปัทวันตรายทั้งปวง

๗.อังคุลิมาลปริตร ว่าด้วยมนต์ขององคุลีมาล ใช้ในงานมงคลหรือทำให้คลอดลูกง่าย

สำหรับความเป็นมาของพระสูตรแต่ละเรื่อง สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (สวช) กระทรวงวัฒนธรรมได้สรุปส่วนหนึ่งจากหนังสือ”วรรณคดีขนบประเพณีฯ” ของอาจารย์เบญจมาศ พลอินทร์ ความว่า

"มงคลสูตร
เกิดจากชาวชมพูทวีปต่างถกเถียงและตกลงกันไม่ได้ว่ามงคลคืออะไร จึงพากันไปทูลถามพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธองค์ก็ได้ให้คำตอบว่าสิ่งอันเป็นมงคลในชีวิตมี ๓๘ ประการหรือที่ชาวพุทธรู้จักในนาม มงคล ๓๘ นั่นเอง เช่น ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต วาจาเป็นสุภาษิต ฯลฯ ซึ่งธรรมอันเป็นมงคลนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ว่ามนุษย์หรือเทวดาปฏิบัติก็ล้วนเป็นสิริมงคลแก่ตัวทั้งสิ้น

รัตนสูตร
เล่ากันว่าครั้งหนึ่งเมืองไพสาลีเกิดทุพภิกภัยฝนแล้งข้าวยากหมากแพง คนล้มตายเพราะความอดอยาก ประชาชนก็ไปร้องต่อพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้ประชาชนตรวจสอบพระองค์ว่าผิดธรรมข้อใดหรือเปล่า จึงเกิดเหตุเช่นนี้ ก็ปรากฏว่าไม่ผิดธรรมข้อใด จึงพากันไปอาราธนาพระพุทธเจ้ามาเมืองไพสาลี เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงก็ปรากฏว่ามีฝนตกมาห่าใหญ่

ครั้งนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสเรียกพระอานนท์ให้มาเรียน "รัตนสูตร" อันมีเนื้อความสรรเสริญแก้ววิเศษ ๓ ประการที่ไม่มีแก้วอื่นใดเสมอเหมือนคือพุทธรัตนะ ธัมมรัตนะ และสังฆรัตนะ และทำให้ผู้สวด ผู้ฟัง ผู้บูชาและผู้ระลึกถึงประสบแต่ความสวัสดี ซึ่งเมื่อพระอานนท์เรียนจากพระพุทธองค์ ก็นำบาตรน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้าไปประพรมทั่วนครไพสาลี เมื่อน้ำพระพุทธมนต์ไปถูกพวกปีศาจๆ ก็หนีไป ไปถูกมนุษย์ที่เจ็บป่วย โรคเหล่านั้นก็หายสิ้น แต่นั้นมาชาวเมืองก็มีความสงบสุขตลอดมา

กรณีย เมตตสูตร (เมตตัญจะ)
เป็นพระสูตรที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนพระภิกษุ ๕๐๐ รูปที่ได้เรียนกัมมัฏฐานแล้วคิดจะหาสถานที่สงบบำเพ็ญธรรม เมื่อเดินทางไปถึงหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านเห็นก็เลื่อมใสยินดีนิมนต์ให้อยู่ปฏิบัติธรรมพร้อมทั้งสร้างกุฏิให้ ปรากฏว่าทำให้เทวดาที่อยู่ละแวกนั้นเดือนร้อน ไม่มีที่อยู่ จึงได้แสดงอาการน่ากลัวต่างๆมาหลอกพระภิกษุ เมื่อพระภิกษุเห็นก็เกิดความหวาดกลัว ไม่อาจทำจิตใจให้เป็นสมาธิได้ จึงพากันไปเฝ้าพระพุทธองค์ พระองค์จึงได้สอนกรณีย เมตตสูตร

อันมีเนื้อความว่าขอให้บุคคลเป็นผู้อาจหาญ ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยนไม่หยิ่งยะโส มีสันโดษ ไม่ประกอบกรรมที่ผู้รู้ติเตียน อย่าดูหมิ่นหรือหาทุกข์ให้กัน ฯลฯ เมื่อพระภิกษุกลับไปและนำไปสวดสาธยาย เหล่าเทวดาก็เกิดความเมตตาแก่พระภิกษุ มิได้สำแดงอาการอย่างใดอีก ทำให้พระภิกษุบำเพ็ญธรรมได้เต็มที่ พระสูตรบทนี้ถือเป็นบทแนะนำวิธีสร้างเมตตามหานิยม สร้างเสน่ห์แก่ตนเอง

ขันธปริตร (วิรูฬปักเข)
เกิดจากพระภิกษุรูปหนึ่งถูกงูกัดที่เท้า ทนพิษไม่ไหวถึงแก่มรณภาพ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบเรื่อง จึงตรัสสอนให้พระภิกษุรู้จักแผ่เมตตาแก่สกุลพญางูทั้งสี่ คือ พญางูวิรูปักข์ พญางูเอราบถ พญางูฉัพยาบุตร และพญางูกัณหาโคตมะ ซึ่งมีเนื้อความว่า

ไมตรีของเราจงมีแก่สกุลพญางูทั้งสี่ ตลอดทั้งสัตว์สองเท้า สี่เท้า อย่าเบียดเบียนเรา สัตว์ทั้งหลาย เช่น งู แมลงป่อง ตะขาบ เป็นต้น มีประมาณไม่มากเหมือนคุณพระรัตนตรัย เราทำการนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ ขอสัตว์ร้ายจงหลีกไป ในทางความเชื่อพระพุทธมนต์บทนี้ใช้ภาวนาป้องกันอสรพิษทุกชนิดได้ แต่กล่าวกันว่า ในงานพิธีทั่วไปไม่นิยมขึ้นต้นที่ “วิรูปักเข”เพราะเชื่อว่าเป็นบทปลุกผีให้ออกมาอาละวาด พระมักจะขึ้นที่ “อัปปะมาโณ”

ธชัคคสูตร
มาจากที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าให้พระภิกษุฟังว่า เมื่อเทวดากับอสูรรบกัน ท้าวสักกะซึ่งเป็นใหญ่ในหมู่เทวดา ได้แนะให้เหล่าเทวดาที่เกิดความกลัว หวาดสะดุ้ง หรือขนพองสยองเกล้า ได้แลดูชายธงของเทวราชทั้งหลาย เพื่อให้คลายจากความกลัว แต่พระพุทธองค์กล่าวว่าการดูธงของเหล่าเทวราช อาจจะทำให้หายหรือไม่หายกลัวก็ได้ เพราะเหล่าเทวดายังไม่ละกิเลส อย่างไรก็ยังต้องมีความหวาดกลัวอยู่

ดังนั้น จึงสอนให้พระภิกษุเชื่อและยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแห่งจิตใจ จะทำให้คลายจากความกลัว และรู้สึกปลอดภัยไม่หวั่นไหว บทนี้มักจะใช้สวดในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าธงไชยเฉลิมพล

อาฏานาฏิยปริตร
เกิดเมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวเวสสวัณ ตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่เกรงว่าหากพวกอสูรรู้ว่าบนดาวดึงส์ไม่มีใครอยู่ ก็อาจถือโอกาสมากวน ซึ่งพวกตนก็อาจกลับมาไม่ทัน จึงได้จัดตั้งกองทหารไว้ ๔ กองประกอบด้วยคนธรรพ์ ยักษ์ นาครักษาแต่ละทิศไว้ แล้วพากันไปประชุมที่อาฏานาฏิยนคร แล้วผูกมนต์เป็นอาฏานาฏิยปริตรขึ้น จากนั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมบริวารเป็นจำนวนมาก

แต่ปรากฏว่าบริวารของท้าวมหาราชเหล่านี้ ต่างก็มีปฏิกิริยาต่อพระพุทธองค์ต่างๆกัน เพราะบ้างก็นับถือ บ้างก็ไม่เชื่อถือ จนเป็นเหตุให้บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าที่ไปบำเพ็ญธรรมตามที่ต่างๆ ต้องถูกผี ปีศาจ ยักษ์ที่ไม่เลื่อมใสเหล่านี้รบกวน จนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเป็นอันตรายต่างๆนานา ท้าวเวสสวัณจึงได้กราบทูลขอให้พระพุทธองค์รับอาฏานาฏิยปริตรไว้ประทานแก่สาวกของพระองค์ เพื่อป้องกันมิให้ยักษ์ และภูตผีปีศาจรบกวน

ซึ่งเนื้อความเป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ และขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยกาย วาจา ใจ ไม่ว่าเวลานอน เดิน นั่งหรือยืน ขอให้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้คุ้มครองรักษาให้พ้นภัย พ้นโรค และความเดือดร้อนต่างๆ ปริตรบทนี้ใครเจริญภาวนาอยู่เป็นนิตย์ เชื่อว่ายักษ์ ผี ปีศาจก็จะช่วยคุ้มครองให้มีความสุขความเจริญ

อังคุลิมาลปริตร
มี ๒ ปริตรรวมกันคือ อังคุลิมาลปริตร และโพชฌงคปริตร โดยได้เล่าเรื่องของ องคุลีมาล ซึ่งเดิมเป็นบุตรปุโรหิตนามว่า "อหิงสกกุมาร" ไปร่ำเรียนวิชากับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ด้วยความเก่งและปัญญาดี เลยเป็นที่อิจฉาริษยาของศิษย์อื่น แล้วก็ไปยุยงอาจารย์จนหลงเชื่อ จะหาทางกำจัดอหิงสกะ โดยหลอกให้ไปฆ่าคนมาพันคน แล้วจะบอกวิชาให้ อหิงสกะอยากได้วิชาก็ทำตามอาจารย์แนะ เที่ยวไล่ฆ่าคนไปทั่ว ฆ่าเสร็จก็ตัดนิ้วมาร้อยห้อยเป็นพวงมาลัย จนเป็นที่หวั่นกลัวของมหาชน และถูกขนานนามใหม่ว่า “องคุลิมาล” อันหมายถึงโจรที่ตัดนิ้วนั่นเอง

องคุลิมาลฆ่าคนไปได้ถึง ๙๙๙ คน ขาดอีกหนึ่งเดียว วันหนึ่งพระพุทธองค์ทรงทราบและหยั่งรู้ด้วยญาณว่าโจรนี้ยังมีทางจะโปรดได้ ก็เลยเสด็จบิณฑบาตผ่านหน้าองคุลิมาลๆเห็นก็ดีใจคิดว่าคราวนี้ได้นิ้วครบพันแล้ว แต่ปรากฏว่าเดินตามพระพุทธเจ้าเท่าไรก็ไม่ทัน ในที่สุดพระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอนและองคุลิมาลก็ได้บวชเป็นสาวก แต่เนื่องจากฆ่าคนไว้มาก พอไปบิณฑบาตที่ไหนคนก็วิ่งหนีหวาดกลัว ทำให้องคุลิมาลไม่ได้ข้าวแม้ทัพพีเดียว

วันหนึ่งมีหญิงท้องแก่ใกล้คลอดเห็นองคุลิมาล ก็วิ่งหนีไปลอดรั้วด้วยความกลัว แต่ลอดไม่ได้ ทำให้ต่อมาเกิดความลำบากในการคลอดลูก บรรดาญาติจึงต่างปรึกษากันและเห็นว่าองคุลิมาลคงไม่ฆ่าใครแล้ว และเป็นสาเหตุให้หญิงนี้คลอดยาก จึงนิมนต์พระองคุลิมาลมาเล่าสาเหตุให้ฟัง ท่านฟังแล้วก็ตั้งสัตย์อธิษฐาน ความว่า

ตนเองเกิดมาไม่เคยคิดฆ่าสัตว์โดยเจตนา ด้วยความสัตย์นี้ขอให้ความสวัสดิ์จงมีแก่ครรภ์หญิงนั้น ก็ปรากฏว่าทำให้นางคลอดลูกได้โดยสะดวก พระปริตรบทนี้ถือว่าสวดแล้วจะมีความสวัสดีและคลอดลูกง่าย นิยมสวดในพิธีมงคลสมรสด้วย

โพชฌงคปริตร
คำว่า "โพชฌงค์" แปลว่า ธรรมเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เป็นพระสูตรที่สวดร่วมกับ "องคุลิมาลปริตร" ที่สั้นเกินไป ทำให้ฟังดูไม่มีน้ำหนัก จึงได้เพิ่ม "โพชฌงคปริตร" ซึ่งมีคุณคล้ายกันในด้านแก้เจ็บไข้ได้ป่วยมาสวดต่อให้ยาวขึ้น

โดยมีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้ง พระมหากัสสป อาพาธหนักได้รับทุกขเวนาอย่างแสนสาหัส พระพุทธองค์ก็ได้เสด็จไปตรัสเทศนาโพชฌงค์ ๗ คือ สติ ความระลึกได้ ธรรมวิจัย คือการวิจัยข้อธรรม วิริยะคือ ความเพียร ปีติ คือ ความเอิบอิ่มในธรรม ปัสสัทธิ คือ ความระงับ สมาธิ คือ ความตั้งใจมั่นและอุเบกขาคือ ความวางเฉย พร้อมทั้งแสดงอานิสสงค์แห่งการเจริญโพชฌงค์ พระมหากัสสปเมื่อได้ฟังก็เพลิดเพลินในธรรมหายอาพาธ

ต่อมาพระโมคคัลลานะอาพาธ พระพุทธองค์ก็เสด็จไปแสดงโพชฌงคปริตร พระโมคคัลลานะก็หายอาพาธเช่นเดียวกับพระมหากัสสป และแม้แต่พระพุทธองค์เองเมื่อทรงประชวร ก็ตรัสให้พระมหาจุนทะแสดงโพชฌงค์ ๗ พระองค์ก็หายประชวรเช่นกัน พระสูตรนี้จึงถือว่าเป็นมนต์ต่ออายุ ใช้สวดต่ออายุคนเจ็บ

"ราชปริตร" หรือ "เจ็ดตำนาน" อันเป็นพระพุทธมนต์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าแค่สวดมนต์ทำไมถึงมีความศักดิ์สิทธิ์หรืออานุภาพที่เป็นพลังให้ความคุ้มครอง ป้องกัน หรือช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งอวมงคล รวมถึงภยันตรายต่างๆ ออกไปได้ และยังก่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตอีกด้วย

ซึ่งเรื่องนี้ หากเราจะได้พิจารณาเนื้อความจากบทสวดแต่ละบทแล้ว จะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็นการสรรเสริญพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นการสอนให้ยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นหลักธรรมในการดำเนินชีวิต สอนให้รู้จักชนะศัตรูด้วยคุณความดีและแผ่เมตตา สอนให้ไม่ประมาท สอนให้รู้จักเคารพนอบน้อมผู้รู้ ผู้เป็นแบบฉบับ เป็นต้น

ซึ่งแม้เราจะฟังไม่บทสวดไม่เข้าใจทั้งหมด แต่การได้ยินได้ฟังสิ่งที่ดีงาม ก็ย่อมทำให้เรามีจิตเป็นกุศล และยิ่งหากใครเข้าใจและปฏิบัติตามคำสอนดังกล่าวก็ย่อมจะพบความสุข ความเจริญ ไปไหนมาไหนก็มีคนรักใคร่เมตตามากขึ้นแน่นอน.

......................................


กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม www.culture.go.th/study.php



หมายเหตุ : เรื่องการเจริญพระพุทธมนต์นี้ เป็นข้อวินิจฉัยที่นำมาให้อ่านกัน เพื่อเข้าใจความหมายของ "พระปริตร" แต่ละบท ซึ่งเป็นการสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ตามที่เข้าใจว่าเราไปได้แบบเขามาจากลังกา แต่ถ้าได้ไปอ่านในหนังสือ "พุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ์" โดย พระราชกวี (วัดโสมนัสฯ) กรุงเทพ ข้อความในกะเบื้องจารบอกไว้ว่า

ชาวไทยได้ถือนิยมประเพณีนี้ และได้นิมนต์พระสงฆ์ไปเจริญพระพุทธมนต์ มีการสวดบาลีเป็นทำนองสังโยคเป็นต้น ดังที่ได้ยินได้ฟังกันในปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นการวางแบบแผนในสมัย พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ครองกรุงสุวรรณภูมิ (ราชบุรี ตรงบริเวณ "เมืองคูบัว" เดิม)

ทั้งนี้มี พระโสณะ และ พระอุตตระ ผู้ที่เป็นสมณทูตสายที่ ๙ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้มาประกาศพระศาสนา ณ สุวรรณภูมิ เมือประมาณ พ.ศ. ๒๓๖ เป็นต้นมา ชาวไทยก็ได้รับแบบแผนพิธีกรรมการเจริญพระพุทธมนต์มาเป็นแบบฉบับของตนเองมาตั้งแต่โบราณกาล นับเป็นระยะเวลานาน ๒ พันกว่าปีมาแล้ว

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
[*] posted on 3/4/16 at 11:01 [ QUOTE ]


.

[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top