|
เรื่อง "พิธีสะเดาะเคราะห์" มีผู้โพสในเว็บ //talk.mthai.com/topic/9672
โดย: sebe9999 ตั้งเมื่อ 19:06 น. 13 พ.ค. 2008
เรื่อง พิธีสะเดาะเคราะห์ ของวัดท่าซุง อาจมีบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ หรือที่อ้างตัวเป็นศิษย์แต่ที่ยังไม่ตกผลึกในความคิดความเชื่อ
เข้าใจผิด หรือแกล้งเข้าใจผิดแล้วนำไปตำหนิโจมตีในทางเสียหาย กล่าวหาว่างมงายบ้าง มอมเมาบ้าง ไม่เป็นไปตามหลักกฏของกรรมบ้าง
บางครั้งบรรดาลูกศิษย์หลวพ่อเองได้ฟังอยู่ด้วย ทั้งๆ
ที่ตนเองรู้และเข้าใจแบบสนิทเลย...แต่เวลาจะอธิบายให้เขาเข้าใจกลับเริ่มต้นไม่ถูกหรือจับต้นชนปลายไม่ถูก
กลับยิ่งทำให้เขามองว่าเราเชื่อโดยปราศจากเหตุผลอีกต่างหาก และทำให้เสียโอกาสในการชี้แจงเป็นธรรมทาน
ดังนั้นถ้าเราแม่นยำในเรื่องนี้ และมีความสามารถในการนำเสนอที่ดี จะทำให้บุคคลเหล่านั้นเข้าใจ และตะแบงเถียงข้างๆ คูๆ ไม่ออก
เพราะเป็นอุบายธรรมชั้นเลิศครบถ้วนทุกกระบวนธรรมจริงๆ และเข้าใจง่ายมากๆ...ที่สำคัญอีกอย่าง คือ การเรียบเรียงสาระถ้อยคำธรรมะให้เข้าใจง่ายๆ
และครบถ้วนนี่น่าทึ่งจริงๆ
ส่วนตัวตั้งแต่เกิดมาเจอครูบาอาจารย์หลากหลายมาค่อนชีวิต แต่ไม่เคยเจอะท่านใดที่มีอุบายธรรมง่ายและแยบยลสนิทธรรมอย่างนี้ (มีเทปฟัง
และในงานทางวัดจะเปิดเทปหลวงพ่อตามนี้)
พิธีสะเดาะเคราะห์ วัดท่าซุง
โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(คัดจากหนังสือสมบัติพ่อให้เล่ม ๑ หน้า ๒๔๓ -๒๔๘)
คำว่า เคราะห์กรรม เป็นวิธีเรียกของ "พรหมณ์" ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า กฏของกรรม คณาจารย์ต่างๆ
เรียกไม่เหมือนกันแต่ผลมันเหมือนกันนั่นคือ "ความทุกข์" ถ้าอยากทราบว่าความทุกข์มาจากไหน..ก็จะเล่าให้ฟัง !
ประการแรก การป่วยไข้ไม่สบายทางร่างกาย มาจากกรรมปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ประการที่ ๒ ความทุกข์เกิดจากไฟไหม้บ้าง ขโมยปล้น ขโมยจี้ ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วม มาจากโทษอทินนาทาน การลักขโมยของเขาจากชาติก่อน
ประการที่ ๓ เคราะห์กรรมที่ทำให้คนใต้บังคับบัญชาดื้อด้าน ว่ายากสอนยากไม่เชื่อฟัง มาจากโทษกาเมสุมิจฉาจาร เจ้าชู้จัดในชาติก่อน
ประการที่ ๔ เราพูดดีแต่คนอื่นไม่ชอบฟัง ไม่เชื่อฟัง มาจากโทษมุสาวาทจากชาติก่อน
ประการที่ ๕ การเป็นโรคปวดหัวบ่อยๆ หรือโรคประสาทก็ดี เป็นบ้าก็ดี เป็นโทษมาจากกฏของกรรม คือ ดื่มสุราเมรัย ในชาติก่อน อันนี้เป็นหลักหยาบๆ
หลักใหญ่นะ
อย่างคนตาบอด ในสมัยชาติก่อน เขาทำบุญเห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น อย่างคนหูหนวก เขาทำบุญสุนทาน เขาฟังเทศน์ฟังธรรมกันแกล้งส่งเสียงกลบ
เขาฟังเทศน์ฟังธรรม เขาคุยกันด้วยความเคารพในธรรม เราแกล้งส่งเสียงกลบ เกิดเป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติอย่างนี้เป็นต้น
ก็รวมความว่า ขึ้นชื่อว่า เคราะห์กรรม คือ "กฏของกรรมเก่าของเราในชาติก่อน" คนทุกคนที่เกิดมานี้ที่ไม่มีกรรมเก่า ที่กรรมไม่ดี
ไม่มีนะ ไม่เคยทำบาปนี้ไม่มี...(เนื้อหาซ้ำกันกับข้างต้นจึงขอข้ามไป)...
ทีนี้คำว่า สะเดาะเคราะห์ หมายความว่า "ทำให้เคราะห์หมด" คำว่า "สะเดาะเคราะห์" ไม่มีศัพท์ในทางพระพุทธศาสนา
เป็นศัพย์ของคณาจารย์ต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนาไม่มี ในเมื่อไม่มี ทำไมวัดท่าซุงจีงบอกว่า "สะเดาะเคราะห์" ก็เลยบอกว่าพูดตามเขา
ทีนี้การทำคราวนี้ไม่ใช่สะเดาะเคราะห์ เป็นการสร้างความดี ความโชคดีให้เกิดขึ้น คือ หมายความว่าทำบุญให้มีกำลังสูง
คำว่า "เคราะห์" คือ บาป เราล้างไม่ได้แต่ถ้าหากว่าทำความดีให้มีกำลังสูงกว่า คำว่า "เคราะห์" จะเปรียบเทียบให้ฟัง
เหมือนกับคนยืนอยู่กลางแดดจัดๆ เวลานี้อยู่ในร่มมันก็ร้อน ถ้ายืนกลางแดดมันก็ร้อน ถ้าทำบุญน้อยๆ ก็เหมือนกับมีร่มเล็กๆ
ไปกางบังอยู่มันก็เย็นไปหน่อยหนึ่ง ทำบุญที่มีอานิสงส์มากๆ ก็เหมือนกับมีคนเอาน้ำไปราดให้ ก็มีความเย็น
ถ้าทำบุญที่มีกำลังสูงใหญ่ อย่างเราเจริญกรรมฐาน เหมือนกับเราแช่ในอ่างน้ำ ถึงเราจะอยู่กลางแจ้ง กลางแดด ความร้อนมันก็น้อยไป ข้อนี้ฉันใด
การสะเดาะเคราะห์ก็เหมือนกัน การสะเดาะเคราะห์ไม่ได้ทำให้หมดไป
ตัวอย่าง : ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ในครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมครูทางเทศน์เรื่อง กายคตานุสสติกรรมฐาน กับ
อสุภกรรมฐาน สองอย่าง
คำว่า "กายคตานุสสติกรรมฐาน" หมายถึงการพิจารณาร่างกายของตนเอง "อสุภกรรมฐาน" ให้เห็นว่าร่างกายทุกคนเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครกทั้งหมด
พระ ๖๐ องค์เศษๆ ฟังแล้วพิจารณาตามเกิดความสลดใจเห็นว่าร่างกายของคน มีความสกปรกมาก มีความเบื่อหน่าย หลังจากเทศน์จบองค์สมเด็จพระจอมไตร ทรงบอกว่า
นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉันจะเข้าไปอยู่ในถ้ำ ๑๕ วัน ขณะที่อยู่ในถ้ำ ๑๕ วันห้ามมิให้คนอื่นเข้าพบ นอกจากพระที่ส่งอาหาร
บรรดาพระ ๖๐ องค์เศษๆ เหล่านั้น เมื่อฟังเทศน์จบก็พิจารณาร่างกายว่ามันสกปรก มีความรักเกียจร่างกายมาก ท่านเปรียบเทียบบอกว่า
เหมือนหนุ่มสาวที่อาบน้ำใหม่ๆ แต่งตัวสวยๆ และมีคนเอางูเน่ามาคล้องคอ หรือเอาสุนัขเน่ามาแบกที่บ่าหรือใส่ที่บ่า มีความรังเกียจขนาดนั้น
ในที่สุดก็ฆ่าตัวตายเองบ้าง จ้างคนอื่นฆ่าบ้าง
พอครบ ๑๕ วันพระพุทธเจ้าก็ออกจากถ้ำ ก็มีพระถามว่า การที่พระองค์ทรงเทศน์กายคตานุสสติ อสุภกรรมฐานทั้งสองอย่างทรงทราบหรือไม่ว่าพระ ๖๐ องค์เศษๆ
จะฆ่าตัวตาย หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย พระพุทธเจ้าบอกว่าทราบ ในเมื่อทรงทราบพระก็ถามว่า ทำไมจึงเทศน์ว่าเขาจะฆ่าตัวตาย
พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่า ขึ้นชื่อกฏของกรรม ไม่มีใครหนีพ้น จะเทศน์อย่างนั้นหรือไม่เทศน์ก็ตาม เขาก็ต้องฆ่าตัวตาย
หรือจ้างคนอื่นฆ่าตัวตาย เพราะกฏของกรรมเดิม กรรมเดิมที่พระพวกนี้เคยเป็นพรานฆ่าเนื้อ ฆ่าสัตว์มาก่อน มันติดตามมาทัน เขาต้องตายแบบนั้น
ฉะนั้นก่อนจะตาย ตถาคตจึงเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐาน อสุภกรรมฐานสองอย่างรวมกัน ให้เขาพิจารณาเบื่อในร่างกาย ในเมื่อเขาตาย
เขาไปนิพพานไม่ดีกว่าหรือ
ทีนี้การทำคราวนี้ ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ทำลายให้เคราะห์หมดไป การทำลายเคราะห์คือบาป ทำลายไม่ได้โยม แต่ว่าเราทำบุญให้มีกำลังสูงขึ้น
อย่างญาติพุทธบริษัทที่มานั่งที่นี่ทุกคน ไม่ใช่มีแต่เคราะห์ โชคก็มี คือชาติก่อนมีทั้งความดีมีทั้งความชั่ว มีทั้งบุญและบาป
ขณะใดที่มีการป่วยไข้ไม่สบาย นั่นคือผลของบาปเข้าสนอง แต่ว่าทุกคนมีทรัพย์สินอยู่ได้เพราะผลของทาน ทานการให้ในชาติก่อน ทำให้คนมีทรัพย์สิน
แต่การมีทรัพย์สินทำไมจึงไม่เสมอกัน
อย่างทานที่มีกำลังสูงสุดในด้านวัตถุก็คือ วิหารทาน เป็นทานที่มีกำลังสูงมาก ทานที่รองลงมาก็คือ สังฆทาน สังฆทานนี่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่เคยถวายสังฆทานแล้วครั้งหนึ่งในชีวิต ตายแล้วเกิดกี่ชาติก็ตาม ถ้ายังไม่เข้าพระนิพพานเพียงใด
จะไม่พบกับความยากจนเข็ญใจ จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีทุกชาติ
ทีนี้คนที่เขาเป็นเศรษฐมหาเศรษฐีเพราะว่า เขาเคยถวายสังฆทานในกาลก่อน อันนี้เป็นผลอันหนึ่งที่เราจะทำ เพื่อเป็นการหลีกเร้นกฏของกรรม คือ "บาป"
บาปถึงแม้มันจะกลั่นแกล้งขนาดไหนก็ตาม แต่เรามีกำลังบุญสูง คือคล้ายๆ กับสุนัขไล่กัด ถ้าเราวิ่งเร็วมันก็กัดไม่ทัน ถึงกัดทันก็กัดไม่ถนัด
ประการที่สอง ต่อนี้ไปจะให้ญาติโยมทั้งหลายรับศีล การสมาทานศีลมีอานิสงส์ ๓ อย่างคือ
๑. สีเลนะ สุคะติง ยันติ คนที่มีศีลอยู่แล้ว เวลามีชีวิตอยู่ก็มีความเป็นปกติสุข ตายจาดความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา
เป็นนางฟ้ามีความสุข
๒. สีเลนะ โภคะสัมปะทา ในขณะที่มีชีวิตอยู่เรามีศีลบริสุทธิ ทรัพย์สินก็ไม่เปลืองก็มีการเป็นอยู่ดีในการครองทรัพย์สิน
ตายไปก็ร่พรวยมาก
๓. สีเลนะ นิพพุติง ยันติ คนที่รักษาศีลได้ดี จะไปนิพพานได้โดยง่าย
นี่คือ "อานิสงส์ของศีล" หลังจากนั้นไปจะให้ญาติโยมพุทธบริษัท เจริญวิปัสสนา คือ "เจริญกรรมฐาน" ใช้กำลังพุทธานุสติกรรมฐานเป็นกำลัง
นี่เป็นบุญใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา บุญในพระพุทธศาสนามี ๓ ชั้น คือ ทาน ศีล ภาวนา
ภาวนานี่เป็นบุญใหญ่ที่สุด จะให้ญาติโยมภาวนาว่า "พุทโธ" เป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้า เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ"
ใช้เวลา ๑๐ นาที จงอย่านึกว่าแค่ ๑๐ นาที จะมีบุญน้อย ความจริงไม่ใช่น้อย มีกำลังมากเหลือเกิน
การนึกถึงพระพุทธเจ้าอย่าง มัฏฐกุลฑลีเทพบุตร หรือ สุปติฏฐิตเทพบุตร ซึ่งเขาไม่เคยนับถือพระพุทธเจ้า
เขานึกถึงท่านอยากให้ท่านมารักษาโรคให้หาย เพียงเท่านี้ไม่ได้เคารพอย่างเรา เขาตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก
แต่นี่เราเจริญพระกรรมฐาน นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยอารมณ์ของความเคารพจริงๆ อานิสงส์มากไปกว่านั้น ปรารถนานิพพานในชาตินี้ยังได้
หลังจากนั้นจะมีพระเจริญ พระอภิธรรม สวดอภิธรรมมาติกา คำว่า มาติกา เขาสวดสำหรับคนตาย และพวกเราตายแล้วหรือยัง
แต่ความจริงเขาไม่ได้สวดเพื่อคนตาย คนตายไม่ได้ฟัง เขาสวดให้คนที่ยังไม่ตายฟัง เพราะ "บทมาติกา" นี่อานิสงส์มากเพียงแค่รับฟังอย่างไม่รู้เรื่อง
อย่างค้างคาว ๕๐๐ ตัว ฟังสวดอภิธรรมเพียงแค่เพลิดเพลินไม่ทราบผู้สวดเป็นพระ ไม่ทราบว่าธรรม ที่สวดเป็นธรรมะเพลินไป
ผลที่สุดเท้าก็หลุดจากที่เกาะหล่นลงมาตายทั้ง ๕๐๐ ตัว
หลังจากตายจากความเป็นค้างคาวแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก ในเมื่อพระพุทะเจ้าองค์นี้มาตรัส เขาเกิดเป็นลูกชาวประมง
ในที่สุดเขาก็ฟังอภิธรรม เพียงแค่จบเดียวโดยย่อก็บรรลุพระอรหันต์ทั้งหมด นี่แค่สัตว์เดรจฉานนะเขาไม่รู้เรื่อง ยังมีอานิสงส์อย่างนี้
ฟังแล้วชาติเดียวเกิดเป็นเทวดา และหลังจากนั้นมาก็เป็นพระอรหันต?
ท่านทั้งหลายฟังแล้วด้วยความเคารพ รู้ว่าท่านผูสวดเป็นพระ คำสวดเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และฟังด้วยความตั้งใจจริงอย่างนี้
ถ้าปรารถนิพพานชาตินี้ยังได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหม เวลานั้นก็เจอะ พระศรีอาริยเมตไตรย
ฟังเทศน์จากพระศรอาริย์จบเดียวก็ป็นพระอรหันต์ นี่เป็นของไม่ยาก ง่ายๆ นะ
ตั้งใจให้ดีนะหลังจากนั้นพิธีสะเดาะเคราะห์จะเกิดขึ้นนั่นคือว่าจให้พระบังสกุลตาย
ตอนที่พระบังกุลตายขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ให้ตั้งใจคิดว่าวลานี้ขอผลของความชั่วทั้งหมดบปกรรมที่ทำมาแล้วจาก... (การละเมิดศีล
๕)...ที่ทำให้จิตใจเรามีความทุกข์ มีความเร่าร้อน ให้มันสลายตัวไป พร้อมกับคำบังสกุลตายของพระ หลังจากนั้นพระจะบังสุลเป็น ตอนนั้นบรรดาพุทธบริษัท
ก็ตั้งใจคิดว่าเวลานี้เราเกิดใหม่พร้อมความดี คือ
๑. ศีลที่เราสมาทานแล้ว
๒. สังฆทานที่เราทำแล้วมีอานิสงส์ใหญ่
๓. การภาวนาซึ่งเราทำแล้ว
๔. วันนี้บวชเณร ๘๕ องค์ บวชชีพราหมณ์ ๖๐ องค์เศษๆ
คนทั้งหมดที่บวชเป็นนักเรียน โรงเรียนสุธรรมยานเถระวิทยา เป็นนักเรียนที่ได้สมาบัติ คือได้ฌานโลกีย์ทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาบัติขั้นอภิญญา เขาสามารถไท่ยวสวรรค์ นรกได้ เพราะโรงเรียนนี้มีกฏบังคับ เด็ที่เข้าโรงเรียนนี้ ต้องเจริญกรรมฐานก่อน
ต้องสอบกันก่อนว่าเที่ยวสวรรค์นรกได้หรือเปล่า ระลึกชาติได้หรือเปล่า ถ้าทำไม่ด้เข้าโรงเรียนนี้ไม่ได้ เมื่อเข้ามาได้แล้วก็มีการซักซ้อมทุกอาทิตย์
เป็นอันว่าเณรและชีพวกนี้เป็นผู้ทรงฌาน ผู้ทรงฌาน พระโสบันเรียกว่า เป็นผู้ปฏิบัติตนเพื่อพระโสดาปัตติมรรค ทำบุญมีอานิสงส์มาก
ฉะนั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าต้องการทำบุญให้มากขึ้น เวลาเลิกแล้วก็เอาตางค์มาใส่ขัน ตั้งใจบวชเณรบวชชี มากก็ได้น้อยก้ได้ ๕ สตางค์ก็ได้ ๑๐
สตางค์ก็ได้ สลึงก็ได้ บาทก็ได้ตามชอบใจ ตามที่จะพึงทำได้ ให้ตั้งใจคิดว่า เวลานี้เราบวเณรบวชชี
สำหรับ "การบวชเณร" นี่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ถ้าพ่อแม่ของเณร ถ้าลูกบวชหนึ่งองค์ เขาจะมีอานิสงส์เกิดเป็นเทวดานางฟ้า หรือเป็นพรหมได้คนละ ๑๕
กัป ลูกชายได้ ๓๐ กัป ญาติโยมที่ไม่ใช่พ่อแม่ของเณรจะได้อานิสงส์คนละ ๔ กัป
ทีนี้มัน ๘๕ องค์นี่ เอา ๔ คูณ ๘๕ เข้าได้เท่าไหร่ ก็รวมความว่าก็ได้ ๓๐๐ กัปกว่า ถ้าเราตายจากชาตินี้เป็นเทวดาหรือพรหมก็สามารถเป็นเทวดาหรือพรหม
อยู่ได้ถึง ๓๔๐ กัป ในเมื่อท่านทั้งหลายมีบุญขนาดนี้ก็อยู่ไม่ถึง ๓๐๐ กัป ไปนิพพานแน่ ก็เป็นอันว่ามีความดีใหญ่
ขั้นตอนพิธีสะเดาะเคราะห์
(ต่อจากนั้นหลวงพ่อนำรรดาญาติโยมพุทธบริษัทสมาทานศีล ๕ จบแล้ว สมาทานพระกรรมฐานแล้วให้ภาวนาพุทโธ ๑๐ นาที)
(ต่อจากนั้นพระเริ่มสวดอภิธรรมมาติกา)
(สวดจบหลวงพ่ออธิบายต่ออีกว่า)
อันดับต่อนี้ไปบรรดาญาติโยมทั้งหลายฟังอภิธรรมแล้ว เป็นมหากุศลใหญ่ที่กล่าวมาแล้วนี้ ต่อไปนี้ก้เป็นการสะเดาะเคราะห์ พระจะบังสกุลตาย
ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายคิดว่า ขึ้นชื่อว่าอกุศลกรรมที่ทำมาแล้วในชาติก่อน (ช่วงนี้หลวงพ่อพูดถึงศีล ๕)
อกุศลทั้งหลายเหล่านี้ที่ให้ผลกับเราในชาตินี้ก็ตาม ขอบุญบารมีของเราที่มีแล้วในวันนี้เป็นมหาศาล
จงทำลายอกุศลกรรมทั้งหลายให้พินาศสลายไปพร้อมกับคำว่ บังสกุลตายของพระ หมายความว่า ให้เคราะห์กรรมต่างๆ มันตายไปกับคำบังสกุลตายของพระ
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปนะ ตั้งใจตามนั้นนะ
(พระสงฆ์บังสกุลตาย)
อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโขฯ
(หลวงพ่ออธิบายต่ออีกว่า)
ขอให้เคราะห์กรรมต่างๆ ของญาติโยมทั้งหลาย จงสลายตัวไป ต่อไปนี้จะบังสกุลเป็น ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทจงคิดว่า
เวลานี้เราเกิดใหม่พร้อมกับความดี คือ เป็นผู้มีศีล เราสมาทานศีลแล้ว อานิสงส์ศีลจะปรากฏกับเรา
ประการที่ ๒ เราถวายสังฆทาน นี่เป็นมหากุศลใหญ่ ชาตินี้ก็มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ ในการบริโภคทรัพย์
ชาติต่อไปจะเป็นมหาเศรษฐีทุกชาติจนกว่า จะเข้าพระนิพพาน
และประการที่ ๓ เราได้มีการบวชเณร บวชเณรมีอานิสงส์มาก จะเป็นเทวดานางฟ้าอยู่ได้นาน
ประการที่ ๔ เราเจริญพระกรรมฐาน พระกรรมฐานนี่เป็นปัจจัยเข้าถึงพระนิพพานโดยตรง จะเป็นเหตุให้พุทธบริษัทพ้นจากความทุกข์ คือไปนิพพานได้
ประการที่ ๕ ฟังอภิธรรม อภิธรรมจัว่าเป็นอานิสงส์ให้เกิดปัญญา ถ้าบังเอิญจะเกิชาติหน้า เป็นคนร่ำรวย เป็นคนมีอายุยืนนาน มีความสวยก็ตาม
ถ้าไร้ปัญญาก็ไร้ประโยชน์ ฉะนั้นการฟังอภิธรรมจึงเกิดประโยชน์กับบรรดาพุทธบริษัทในด้าน ปัญญา ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโดยถ้วนหน้า
จงคิดว่าผลบุญทั้งหมดตามที่กล่าวมาแล้วนี้คือ
๑. ศีล ๒. สังฆทาน ๓. บวชเณร ๔. เจริญกรรมฐาน ๕. ฟังอภิธรรม จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าเป็นผู้เกิดขึ้นพร้อมกับความดีอันนี้
มีแต่ความสุขตลอดไป ตลอดชีวิต ถ้าตายจากชาตินี้เมื่อไรขอไปนิพพานทันทีทันใดนะ
(ต่อนี้ไป พระจะบังสกุลเป็น)
อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะทิเสสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะริงคะรังฯ
ต่อนี้ไปขอญาติโยมทั้งหมด รับพรจากพระสงฆ์นะ อธิษฐานตามชอบใจ
(พระสงฆ์ให้พร)
หลังจากนี้หลวงพ่อก็ให้พระประพรมน้ำพุทธมนต์ให้ เป็นเสร็จพิธี
◄ll กลับสู่ด้านบน
***************************
|
|
(Update 3 ธันวาคม 2551)
เรื่องนี้มีผู้นำไปโพสต์ที่ www.liveinbangkok.com/forum/index.php?topic=6203.0
Re: คำทำนาย.......ฤาษีลิงดำ....เมื่อ 35 ปีที่แล้ว
« ตอบ #11 เมื่อ: เมื่อวานนี้ เวลา 05:38:06 pm »
hellotawan แอบเก๋า กระทู้: 6
สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ พวกเราหลายๆ ท่านได้ไปร่วมทำบุญที่วัดท่าซุงกันและได้มีโอกาสได้กราบ หลวงพี่อนันต์ ท่านเจ้าอาวาส วัดท่าซุง
ท่านได้ฝากมายังพวกเราเวบไซท์พลังจิตกันเอาไว้ว่า
"มีหลายๆ ท่านที่ได้ไปอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่าน และได้ไปทำพิธีให้ฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้
ซึ่งท่านขอชี้แจงว่า ทางวัดท่าซุงเองและในฐานะลูกศิษย์หลวงพ่อ พระเดชพระคุณพระราชพรหมยานนั้น ไม่อยู่ด้านใดทั้งสิ้น
เป็นกลางและไม่ปรารถนาที่จะเป็นลิ่มมาตอกให้เกิดการแตกแยกในบ้านเมืองแต่ประการใด
ดังนั้นหากท่านใดกระทำการใดไปในด้านการเมือง ก็ขอให้เป็นเรื่องที่กระทำโดยความคิดเห็นส่วนตัว
ไม่ใช่ในฐานะของวัดหรือคณะศิษย์ของหลวงพ่อแต่ประการใดทั้งสิ้น
ทางวัดเน้นหนักในการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เพื่อพระนิพพานเป็นที่สุดเท่านั้น"
ซึ่งท่านได้เน้นให้พวกเราได้มาชี้แจงให้ทราบในวงกว้างด้วย และเป็นการย้ำจุดยืนของพวกเราชาวธรรมที่สมควร วางจิตให้เป็นอุเบกขา วางใจให้เป็นกลาง
มีเมตตาพรหมวิหารสี่เสมอกันเอาไว้ เน้นหนักงานที่สร้างสรรค์คุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองเป็นสำคัญ
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
(Update 29/04/52)
"พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันสูงสุดโดยแท้จริง"
ประสบการณ์จาก "คุณเด็กท้ายแถว" เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2551
www.oknation.net/blog/print.php?id=216663
ครอบครัวดิฉันทำธุรกิจค้าส่งน้ำปลามา 30 กว่าปี แต่เมื่อ 15 ปี ก่อนครอบครัวดิฉันถูกโกงจนหมดตัว พ่อกับแม่ดิฉันต้องเริ่มธุรกิจจากศูนย์
ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาทำการค้าใหม่ แต่คงเป็นช่วงแห่งอกุศลกรรมของครอบครัว น้องชายดิฉันป่วยหนักต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายปี
แม่ต้องไปกู้เงินมารักษาทำให้หนี้เก่าก็ยังไม่ทันใช้หนี้ใหม่ก็เพิ่มมาอีก แถมดิฉันและน้องสาวก็ยังเรียนอยู่เพียงระดับประถมและมัธยมต้นเท่านั้น
ไม่นานหลังจากนั้นแม่ดิฉันก็ถูกโกงแชร์อีก
ดิฉันจำได้ว่าชีวิตของครอบครัวมีขึ้นมีลงตลอดเวลา เจอทั้งทุกข์และสุขตั้งแต่ดิฉันจำความได้ ดิฉันเคยจะฆ่าตัวตาย
ตอนนั้นพ่อแม่ทะเลาะกันทุกวันเพราะเรื่องเงิน ดิฉันเครียดที่เห็นแต่ความทุกข์และเสียงร้องไห้ คิดแบบเด็กๆว่าตายดีกว่าถ้าเราตายพ่อแม่จะได้ไม่ลำบากขนาดนี้
ประหยัดค่าใช้จ่ายเราไปตั้งหนึ่งคน
ตอนนั้นดิฉันอายุเพียง 12-13 ปี ตอนนั้นถ้าแม่ไม่มาพบดิแนคงตายไปแล้ว แม่ร้องไห้และกอดดิฉัน แม่บอกว่ามันเพราะกรรม แม่ให้ดิฉันสวดมนต์ไหว้พระ
แม่ว่าพระท่านจะคุ้มครองเรา ท่านจะช่วยให้ครอบครัวเราดีขึ้น นี่แหละค่ะคือจุดเริ่มต้นแห่งการพึ่ง " พระ " ของดิฉันอย่างแท้จริง
ดิฉันมักเกาะขาโต๊ะหมู่บูชาร้องไห้เป็นประจำ นั่งปรับทุกข์กับพระพุทธรูปอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่างที่บอกมันเป็นช่วงแห่งอกุศลกรรมของครอบครัว
ธุรกิจของครอบครัวมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ หนี้สินมีแต่จะพอกพูนมากขึ้น ตอนเข้ามหาวิทยาลัยดิฉันต้องทำงานไปเรียนไป จากที่ทำงานที่บ้าน ก็ต้องทำงานข้างนอกควบด้วย
เพื่อหาเงินเข้าบ้านอีกทาง เมื่อ 5 ปีที่แล้วพ่อดิฉันตรวจพบว่าเป็นโรคไต
แต่ความที่ต้องดูแลครอบครัว ท่านจึงทำงานหนักมาเรื่อยจนเมื่อปี 48 ท่านไปตรวจอีกครั้งพบว่าเป็นมะเร็งที่ไต หมอบอกว่าท่านจะอยู่ได้อีก 6 เดือนเท่านั้น
มันเป็นข่าวร้ายพร้อมกันกับที่ครอบครัวเราต้องหยุดการค้าลง เพราะทนแบกการขาดทุนที่เพิ่มแต่หนี้สินไม่ไหว ตอนนี้เหลือเพียงแม่กับดิฉันสองคนที่ต้องทำงาน
หาเงินเลี้ยงดูครอบครัวและใช้หนี้สินกว่า 4 ล้านบาท
หมดตัวแล้วหมดตัวอีก ครอบครัวเราธรรมะธัมโมทั้งบ้าน บุหรี่ เหล้า การพนันไม่เคยแตะ ดิฉันเคยตัดพ้อความดีทำไมทำแล้วก็ไม่เห็นจะได้ดีเลย
คุณเคยเป็นอย่างครอบครัวดิฉันมั้ยค่ะ " เคราะห์ซ้ำกรรมถล่ม " ยากจนชนิดที่ว่าไม่มีเงินสักบาท พรุ่งนี้จะมีอะไรกิน ที่ซุกหัวนอนก็จะไม่มี
พรุ่งนี้จะไปอยู่ที่ไหน
ดิฉันพบเจอมาหมดแล้วค่ะ ทุกข์จนเกือบฆ่าตัวตายทั้งครอบครัว เครียดจนเกือบเป็นบ้า หันไปทางไหนก็มืดมนไปหมด มันหาทางออกไม่ได้จริงๆ แต่แม้จะทุกข์แค่ไหน
แม่ก็ยังบอกให้เราทำบุญเสมอ แม่บอกว่ามันเป็นเพราะกรรม เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
ดิฉันมีพระพุทธรูปเป็นที่พึ่งเสมอ ดิฉันเชื่อว่าผลแห่งความดีมีจริง เมื่อ 5 ปีก่อนมีอาจารย์ที่นับถือท่านนึง แนะนำให้ดิฉันมาฝึกมโนมยิทธิที่บ้านสายลม
ท่านบอกว่าอดีตชาติดิฉันเคยเป็นลูกหลานของหลวงพ่อฤาษีลิงดำมา ถ้ามาฝึกจะช่วยลดวิบากกรรมที่ครอบครัวดิฉันเจออยู่ได้
ตอนนั้นดิฉันก็มาเพียงครั้งเดียว แล้วก็หายไปกว่า 3 ปี คงเพราะบุญมีแต่กรรมบัง จนเมื่อปีที่แล้วตอนที่สุดสุดแห่งความทุกข์ ดิฉันเกิดอยากปฏิบัติธรรม
จำได้ว่าเป็นวันก่อนสงกรานต์ ดิฉันชวนแม่ไปบวชเนกขัมมะที่วัดอัมพวันด้วยกัน เราสองคนมีเงินรวมกันไม่ถึง 200 บาท โชคดีที่พี่ท่านนึงจะไปบวชเนกขัมมะด้วย
ดิฉันกับแม่เลยได้อาศัยรถพี่ท่านนี้ไปวัดอัมพวันด้วย เราบวชเนกขัมมะในวันศุกร์ที่ 13 เมษายน จนถึงเช้าวันที่ 15 เมษายน
ดิฉันบอกกับแม่ว่าแม้เราจะไม่มีเงินทำบุญใส่ตู้แบบคนอื่นเค้า เราต้องมาอาศัยวัดทุกอย่าง ทั้งเสื้อผ้า อาหาร ที่พัก
เราก็ทำบุญได้ด้วยการตั้งใจรักษาศีลแปด ตั้งใจปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เราจะตอบแทนความเมตตาของหลวงพ่อจรัญ ด้วยการปฏิบัติให้ดีที่สุด
ไม่มีเงินก็ตอบแทนด้วยแรงได้ เราจึงล้างห้องน้ำ กวาดลานวัด ช่วยทุกอย่างที่เห็นว่าทำได้ ดิฉันอิ่มเอิบใจอย่างแท้จริง แม่และดิฉันอธิษฐานบอกหลวงพ่อจรัญว่า
ถ้าเรามีเงินพอที่จะมาได้อีกเมื่อไหร่ เราจะกลับมาบวชเนกขัมมะ มาทำบุญ และชำระหนี้สงฆ์อีกครั้ง
ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ที่วัดท่าซุง
เช้าวันที่ 15 เมษายน เราได้เดินทางออกจากวัดอัมพวันไปยังวัดท่าซุง วันนี้ที่วัดท่าซุงทำ พิธีสะเดาะเคราะห์ เราได้เข้าร่วมพิธีสะเดาะเคราะห์
ได้ร่วมทำบุญ ดิฉันบอกแม่ว่าเราต้องมีความสุขทุกครั้งที่ทำบุญ เราจึงจะได้รับผลบุญอย่างเต็มที่
ตอนนั้นแม่ของดิฉันทุกข์ใจมาก เดินร้องไห้ด้วยความสะเทือนใจว่าทำไมท่านถึงยากจนขนาดนี้ อดีตสมัยนึงเคยทำบุญได้เป็นร้อยเป็นพันบาท
แต่ตอนนี้อยากทำบุญก็มีเงินเพียงไม่กี่บาทเท่านั้น ดิฉันจึงปลอบท่านว่า บุญไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน แต่อยู่ที่ความตั้งใจที่จะทำบุญต่างหาก
เราทั้งคู่จึงทำบุญเท่าที่มีเงินเพียงน้อยนิด แต่ด้วยความตั้งใจอันยิ่งใหญ่ เราทั้งคู่นั่งอนุโมทนาบุญกับผู้ที่มาร่วมทำบุญในวันนั้นตลอด ตามที่
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้สอนไว้
หลังกลับจากวัดท่าซุงในวันนั้น ดิฉันเริ่มศึกษาคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำอย่างจริงจัง
พ่อของดิฉันตัดสินใจที่จะบวชเพื่อศึกษาพระธรรมในบั้นปลายของชีวิต เมื่อวันเข้าพรรษาปีที่แล้ว แม่บอกว่าพ่อตั้งใจอยากบวชมาตั้งนานแล้ว
พ่อขอแม่ว่าถ้าลูกโตแล้วท่านจะขอบวช เพราะพ่อเคยบวชเมื่อตอนหนุ่มและมีความศรัทธาใน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต มาก แม่และลูกๆ จึงขออนุโมทนากับพ่อด้วย
จากวันที่หมอบอกว่าพ่อจะอยู่ได้อีกเพียง 6 เดือน ตอนนี้พ่ออยู่มาได้ปีกว่าแล้ว
ดิฉันเชื่อว่าเพราะอานิสงค์จากการบวชเพื่อปฏิบัติอย่างแท้จริงของท่านนั่นเอง
ฝันเห็นสมเด็จองค์ปฐม
เมื่อเดือนกันยายนปี 49 ดิฉันได้ฝันเห็น สมเด็จองค์ปฐม สีทองอร่าม องค์เล็กขนาดคล้องคอ ดิฉันตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ฝันเห็นองค์ท่าน
ก็คิดว่าเราคงปฏิบัติมาถูกทางแล้ว ท่านจึงสงเคราะห์มาแสดงให้เห็น จนผ่านมาอาทิตย์นึงดิฉันได้ไปเยี่ยมพี่ที่นับถือท่านนึง ดิฉันไปเห็นหนังสือชื่อ
"สมบัติพ่อให้" ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อน
ดิฉันจึงขออนุญาตพี่เค้าเปิดอ่านดู ต้องบอกก่อนว่าดิฉันไม่เคยสนใจหรือมีความรู้ในวัตถุมงคลใดๆเลย รู้จักเพียงพระพุทธรูปและพระที่แม่ให้คล้องคอเท่านั้น
มาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อก็รู้จักเพียง พระคำข้าว-พระหางหมาก ธงมหาพิชัยสงคราม และยันต์เกราะเพชร จากในหนังสือเท่านั้น ( ถึงได้ชื่อว่าเด็กท้ายแถวค่ะ
)
หนังสือเล่มนี้รวบรวมภาพ "วัตถุมงคล" ของหลวงพ่อเอาไว้ ดิฉันเปิดดูไปจนถึงหน้านึง ที่เป็นรูป "สมเด็จองค์ปฐม"
ดิฉันขนลุกซู่เพราะเป็นภาพเดียวกับที่ดิฉันฝันเห็นเลย ดิฉันบอกกับพี่ที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ถึงความฝันของดิฉัน พี่ท่านนี้บอกว่าที่บ้านสายลมมีให้เช่าบูชา
ดิฉันจึงรอให้ถึงต้นเดือนเพื่อจะได้ไปทำสังฆทาน และจะได้ไปเช่าบูชา สมเด็จองค์ปฐม แต่น่าเสียดายบุญของดิฉันคงยังไม่พอ
เพราะได้มีผู้บูชาหมดไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว ดิฉันยืนร้องไห้ตรงนั้นเลย เสียใจที่ท่านมาสงเคราะห์ให้เห็นแล้ว เรายังบุญไม่ถึงพอที่จะได้บูชาองค์ท่านอีก
ตอนนั้นแหละค่ะ เป็นช่วงบังเอิญที่ดิฉันได้มาเจอเวบพลังจิต ทำให้ดิฉันได้เจอผู้มีพระคุณทั้ง 2 ท่านของดิฉัน คือคุณหมอน้อย น.พ.จรัสศักดิ์ เรืองพีระกุล
และคุณพี่ พัฒนา เอกพจน์ ดิฉันได้อ่านกระทู้ที่ให้ร่วมทำบุญแล้วจะมอบสมเด็จองค์ปฐมให้ของคุณหมอน้อย ดิฉันก็โพสเข้าไป
เล่าเรื่องราวที่มาที่อยากบูชาสมเด็จองค์ปฐมส่งไปให้คุณหมอ และดิฉันก็ไปเจอกระทู้ของคุณพี่พัฒนา จึงได้ส่งข้อความไปหาเช่นกัน
ตอนนั้นดิฉันหมดหวังที่จะมีโอกาสได้บูชาองค์ท่านแล้วจริงๆ เพราะแต่ละกระทู้ที่ให้บูชานั้น ก็จะให้ร่วมทำบุญหลักพันขึ้นไป ซึ่งดิฉันไม่มีเงินมากขนาดนั้น
แต่ด้วยพระเมตตาบารมีแห่งสมเด็จองค์ปฐม และความเมตตาของคุณหมอน้อย และพี่พัฒนา จึงทำให้ดิฉันได้บูชาสมเด็จองค์ปฐมตามที่หวังไว้
โดยคุณหมอน้อยให้ดิฉันร่วมทำบุญ 400 บาท เพื่อสร้างสมเด็จองค์ปฐม ที่ จ.ลำพูน ส่วนพี่พัฒนาเมื่อทราบว่าดิฉันไม่มีเงิน ท่านก็กรุณามอบสมเด็จองค์ปฐมให้
โดยไม่คิดค่าอะไรเลย เพียงแต่บอกให้ดิฉันทำบุญอย่างที่เคยปฏิบัติมาต่อไป พระคุณของพี่ทั้งสอง ดิฉันไม่มีวันลืม
เวลาทำบุญทุกครั้งก็จะนึกถึงพี่ทั้งสองเสมอ
แม้ทุกวันนี้ ดิฉันได้แต่อนุโมทนากับทุกท่านที่ทำบุญในเวบ แต่ก็หวังอยู่เสมอว่าจะมีเงินร่วมทำบุญได้บ้างในบางครั้ง แม้จะไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม
การทำบุญในแต่ละวันของดิฉัน คือการหยอดกระปุก "วิระทะโย" พอถึงสิ้นเดือนก็นำเงินไปถวายสังฆทาน ไปหยอดตามตู้ที่บ้านสายลม และที่บ้านอนุสาวรีย์ชัย
และทุกวันทั้งเช้าและก่อนนอน ดิฉันจะสวดมนต์ เจริญพระกรรมฐาน แผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลเสมอ พยายามรักษาศีลห้าทุกวันมิให้ขาด ทำบุญอย่างคนมีเงินน้อย
แต่ให้ได้บุญเยอะ อย่างที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอนไว้
แม้ชีวิตจะลำบาก มีหนี้สินมากมาย แต่สิ่งที่ดีขึ้นคือ "จิตใจ" ดิฉันและแม่ไม่ทุกข์เหมือนแต่ก่อน เราเข้าใจในกฎแห่งกรรม
ดิฉันเชื่อแล้วว่าทำดีย่อมได้ดีแน่นอน อย่างน้อยตอนนี้ เราก็ไม่จนขนาดไม่มีจะกิน เรายังมีที่ให้ซุกทั้งตัวนอน ดิฉันเชื่อว่าเป็นเพราะผลบุญจึงทำให้เรา
ได้พบเจอทางสว่าง พบเจอคนดีๆ ทำให้เรายังยืนอยู่ได้ในวันนี้ ได้มาพบหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นบุญที่ประเสริฐสุด
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งเป็นสรณะอันสูงสุดแล้ว คำสอนของพระพุทธองค์ดับทุกข์ได้จริง ดิฉันปฏิบัติได้ไม่ถึงเสี้ยวของพระธรรม
ยังสามารถคลายทุกข์ได้ ท่านที่ปฏิบัติจนบรรลุธรรมะแห่งพระพุทธองค์ย่อมพ้นทุกข์ได้แน่นอนค่ะ
ดิฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมด เพื่อให้ท่านที่มีทุกข์มีกำลังใจ ท่านที่ท้อในการปฏิบัติ ท่านที่เห็นว่าทำดีแล้วไม่เห็นได้ดี
ให้ท่านได้เข้าใจว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะกรรม ผลบุญจะส่งเมื่อถึงเวลา ขอให้ท่านทั้งหลายอย่าได้เบื่อหน่าย การปฏิบัติธรรม แม้ท่านจะมีเงินน้อย
ท่านก็สามารถทำบุญอย่างที่ดิฉันทำได้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ
หากเรื่องราวนี้ จะก่อให้เกิดผลบุญในด้านใดบ้างก็ตาม ดิฉันขอถวายบุญนี้เป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค
และพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงเป็นที่สุด
ขออุทิสส่วนกุศลผลบุญนี้ ให้แก่ เทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด เทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ ท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย
และท่านพระยายมราช ขอทุกท่านได้โปรดโมทนาในผลบุญนี้ด้วยเถิด.
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
(Update 30/04/52)
ขอปฏิเสธข่าว..ตามที่มีผู้อ้างตัวเป็นศิษย์เอกหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ตามที่เว็บ meepra.com ได้เคยประกาศข่าวว่า
หลวงพ่อเณรน้อยชยากโร จะเดินทางมาทำพิธีฝังตะกรุดทองคำรัตนสูตรและฝังเหล็กไหลเกร็ดพญานาค ลงทองรัตนสูตร นเศรษฐี ณ
ห้องพิธีมงคลฤกษ์ สะพานใหม่ดอนเมือง ในวันที่ 13-14 ตุลาคม 2550 และวันทึ่ 10 – 11 พฤศจิกายน 2550 และบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อเณรน้อยได้ที่ศูนย์ฯ
แห่งนี้เช่นกัน
พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ พลิกฟื้นชะตาชีวติต่อเส้นวาสนา ลงน้ำมันมะรุมมหาเมตตา
พระหมอรักษาโรคเป็นพระหมอที่มีสวนสมุนไพรในวัดเป็นของตนเอง เป็นเกจิอาจารย์ขมังเวทย์ เรืองเดชวิทยาคม เป็นพระเผยแพร่พระพุทธศาสนา
เป็นศิษย์เอกเพียงองค์เดียวของหลวงพ่อฤษีลิงดำ
ขอเชิญกราบนมัสการ หลวงพ่อเกษม จิตวโร ในวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม 2550 และวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม 2550 ณ
ห้องพิธีมงคลฤทธิ์สะพายใหม่ ท่านเป็นพระหมอยา เกจิอาจารย์แห่งอำเภอบัวเตง จังหวัดชัยภูมิ และเป็นสมาชิกธรรมรักษาชมรมพระแผนไทย แห่งประเทศไทย
และเป็นผู่ค้นพบรากไม้โยคะ....รากไม้มหัสจรรย์ ทีมีสพรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บโรคร้ายกลับกลายหายพลัน พ้นจากความทุกข์โศก
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง โรคเก๊า โรคกระเพาะ กลับมามีชีวิตที่แข็งแรง และสุขภาพดีจนเป็นที่ยอมรับระบือนามทั้งจังหวัดใกล้และไกล
สำหรับการประกอบพิธีเพื่อสะเดาะเคราะห์สืบชะตา แก้เคราะห์กรรม อุปสรรคปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามาขวางกั้นในชีวิตไม่ให้เป็นดังใจหวัง
ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต และสยบอาถรรพณ์ มนต์ดำของชีวิตให้สู่ความสำเร็จดังใจหวังทุกประการ โดยใช้วิชาเอกเวทอาคมสายธรรมหลวงพ่อปาน โสนนโท วัดบางนมโค
ยอดพระอมตะ เกจิอาจารย์แห่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
และยังใช้วิชา ยันต์เกราะเพชร ที่มีสรรพคุณสูงเป็นที่ควรอัศจรรย์ยิ่งแม้ผู้ใดได้รับประสิทธิ์ จะเกิดอิทธิเดชแก่ตัว สามารถปกป้องคุ้มภัยได้สารพัด
แม้อาเพศอาถรรพณ์ วิชามนต์ดำ ไสยศาสตร์ ภูติผีปีศาจมารร้ายไม่อาจมากล้ำกลายได้ถ้ามีสิ่งเลวร้าย เป็นอัปมงคลในตัว จะสูญสิ้นมลายหายไปในทันที
ผู้ใดที่โชคร้ายก็จะกลับกลายเป็นโชคดีอย่างน่าอัศจรรย์ ก็เพราะบุญฤทธิ์สรรพคุณของมหายันต์เกราะเพชร
ที่หลวงพ่อเกษมได้มาเล่าเรียนมาจากหลวงพ่อฤาษี หรือพระราชสุพรหมยานเถร พระเถระผู้ลือนามแห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานีนั่นเอง
นอกจากนี้ท่านยังได้เล่าเรียนวิชาแก้กรรมอาถรรพณ์ มีทั้งศาสตร์พม่ารามัน ล้านนา ไสยศาสตร์ลาว เขมร เพื่อใช้ในการสงเคราะห์
ญาติโยมทั้งหลายที่ได้รับความเดือดร้อนให้เปลียนแปลงในทางที่ดีขึ้น พิธีต่อเส้นวาสนา เสริมชะตาชีวิต เสริมดวงวาสนา เสริมโชคลาภเมตตาค้าขาย
สร้างเสริมดวงวาสนาแห่งความสำเร็จ โดย หลวงพ่อเกษม จิตตวโร ศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
เรื่องการประโคมข่าวกันโจ๋งครึ๋มเช่นนี้ มักจะมีการเผยแพร่อยู่ในวงการธุรกิจนี้อยู่เสมอ
วัดท่าซุงก็เป็นวัดหนึ่งที่ตกเป็นเหยื่อของผู้แอบอ้าง โดยอาศัยชื่อเสียงของหลวงปู่ปานและหลวงพ่อของเรา (เขียนชื่อสมณศักดิ์ของหลวงพ่อก็ยังไม่ถูก)
ที่ทำรายได้ให้แก่เจ้าพวกนี้เป็นอย่างมาก
หากผู้ใดที่อ่านพบข้อความเหล่านี้ แต่ยังไม่ทราบความเป็นมาวัดท่าซุงดีพอ ก็อาจจะหลงเชื่อคารมพวกนี้ได้
ส่วนผู้ที่ได้ศึกษาประวัติของหลวงพ่อและพระสงฆ์วัดท่าซุงแล้ว จะรู้ได้ทันทีว่านี่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ หวังหลอกลวงแอบแฝงอยู่ในเชิงธุรกิจบุญทั้งสิ้น
เพราะถ้าเป็นพระศิษย์สายวัดท่าซุงจริงอย่างที่กล่าวอ้าง พระท่านจะไม่มีจริยาหรือข้อวัตรปฏิบัติเช่นนี้ แล้วหลวงพ่อก็ไม่เคยมีเณรเป็นศิษย์เอก
น่าจะเป็นไปตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เคยพูดไว้สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ว่า "สงสัยจะเป็นลิงคนละฝูง" กระมัง !!!
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
น่าสนใจมาก
เรื่องของคุณเด็กปลายแถว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และชวนติดตาม หรือเป็นแนวปฏิบัติที่ดียิ่งครับ
ส่วนเรื่องที่อ้างตัวว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อฯ คงไม่มีน้ำหนักพอที่จะเชื่อถือได้เลย จึงขอแสดงความยินดีด้วย ที่เว็บวัดท่าซุงเปิดตัวมานี้
เพื่อช่วยเคลียปัญหาเก่าๆ ในเว็บไซด์ทั้งหลาย ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจไคว้เขว นับว่าเป็นการล้างมลทินไปในตัวเบ็ดเสร็จ ขอโมทนาทีมงานทุกคนด้วยครับ.
|
|
(Update 06/05/52)
จาก..คุณสมพล 11 Jun 2008 - 11:39 [42 คำตอบ]
(โพสต์ในเว็บ www.payakorn.com/webboard_ans.php?q_id=23124)
หลวงพ่อ ฤาษีฯ ตอบปัญหา เรื่อง "อุปฆาตกรรม"
ผู้ถาม : " หลวงพ่อคะ อุปฆาตกรรม หมายความว่าอย่างไรคะ ... ? "
หลวงพ่อ : " คำว่า "อุปฆาตกรรม" หมายถึงว่า กรรมที่มาตัดรอนระหว่างชีวิต คือ มันยังไม่หมดอายุขัยก็ตายเสียก่อน แทนที่จะมีอายุครบ ๖๐
ปีตามอายุขัย แต่อายุ ๓๐ - ๔๐ ปี กรรมที่เป็นอกุศลกรรม คือ ที่เราทำบาปไว้แต่ชาติก่อนด้วยจากปาณาติบาตมาตัดชีวิตเสียก่อน "
ผู้ถาม : " มีวิธีที่จะพ้นกรรมประเภทนี้ไหมคะ อย่างเช่นถ้าเราปล่อยปลา หรือ สะเดาะเคราะห์ อะไรพวกนี้แหละค่ะ ... ?
"
หลวงพ่อ :" ปล่อยปลานี่เขาถือว่าตัดอุปฆาตกรรมได้ เราปล่อยสัตว์ให้รอดนี่มันจะกันได้ แต่ที่ให้หมอดูไป "สะเดาะเคราะห์"
หมอบอกว่าต้องเสียเท่านั้นเท่านี้ พอ "สะเดาะเคราะห์" เสร็จหมอหมดเคราะห์ไป ๓-๔ หมื่น คนที่สะเดาะเคราะห์เพิ่มเคราะห์ไป ๓-๔ หมื่น เป็นไง ...
เราก็เอาแบบของเรานั่นแหละ ได้ผลแน่นอนกว่า "
ผู้ถาม : " ปล่อยปลาอะไรดีคะ ... ? "
หลวงพ่อ :" เขาไม่จำกัดว่าปลาอะไร แต่ว่าปลานั้นจะมันต้องไม่ตาย ต้องเป็นปลาที่มีชีวิต "
ผู้ถาม :" บางคนเขาก็บอกว่า ปลาที่เราปล่อยแล้วจะทานไม่ได้ใช่ไหมคะ ... ? "
หลวงพ่อ :" ถ้าปลานั้นมันจะต้องตาย เราก็เอาไปปล่อยเพื่อเป็นการช่วยชีวิต จะเป็นปลาอะไรก็ตาม สัตว์อะไรก็ตาม
เราปล่อยให้มันรอดชีวิตเป็นเมตตาจิตใช่ไหม จะต้องไปนั่งเลือกทำไม บางคนเลือกปล่อยปลานั้นปลานี่ บางทีปลาไม่ค่อยจะตายก็ปล่อย "
ผู้ถาม :" แล้วเราจะปล่อยแทนคนอื่นได้ไหม... ? "
หลวงพ่อ :" ได้ ... แต่ว่าเขาไม่มีผลนะ "
ผู้ถาม :" ถ้าเราปล่อยแล้ว เราอุทิศส่วนกุศลได้ไหมคะ ... ? "
หลวงพ่อ :" ถ้าเขายังไม่ตาย ไปอุทิศส่วนกุศลเขาจะได้รับยังไงล่ะ เราเอาแบบนี้ซิ เราก็เอาปลาไปให้เขาซิ บอกว่าตั้งใจปล่อยปลานะ
ฉันหาปลามาปล่อยให้ปลามันรอดชีวิต เท่านั้นแหละถ้าเขาอนุโมทนา คือ ยินดีด้วยความเต็มใจ เป็นอันว่าเราปล่อยสัตว์ด้วยมีจิตเมตตา
คิดจะช่วยให้รอดพ้นจากการถูกขังก็ดี เห็นว่ามันจะต้องตายก็ดี อันนี้เป็นของดี เป็นการช่วยชีวิตเขา และเราก็รอดพ้นจากอุปฆาตกรรมด้วย "
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ประสบการณ์อานุภาพ พระคำข้าว, องค์ปฐม, พระหางหมาก, ลูกแก้ว
ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
โดย : 868 [ 2008-08-17 20:56:40 ] โพสต์ในเว็บ
www.212cafe.com/freewebboard/view.php
ท่านใด มีประสบการณ์ในการบูชา สมเด็จองค์ปฐม, พระคำข้าว, พระหางหมาก, ลูกแก้ว ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
เชิญท่านเล่าสู่กันฟังครับเพื่ออนุสติในพระรัตนตรัยครับ...
สำหรับผมมีประสบการณ์โดยตรงครับ เกี่ยวกับการพูด และความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ปัจจุบันผมทำงานตำแหน่งบริหาร และเป็นวิทยากร เพราะผลมาจากพระทั้ง
๓ องค์ (องค์ปฐม พระคำข้าว, พระหางหมาก) ตามข้างต้น ผมจะทะยอยพูดให้ฟังครับ
เรื่องประวัติลูกแก้ว
(คัดจากหนังสือสมบัติพ่อให้หน้า ๑๒๒-๑๒๔)
".......ลูกแก้วนี้มีประวัติมาจากไหน คือแก้วอาตมา
มีอยู่ลูกหนึ่ง ไม่ทราบว่ามาจากไหน ทราบแต่ว่าเป็นของต้นตระกูลสืบต่อกันมาหลายชาติ ก็ขึ้นไปหาโยมท่านที่ดาวดึงส์
ไปถามโยมผู้ชายว่าโยมทราบประวัติของลูกแก้วนี้ไหม ท่านบอกว่า ท่านทราบประวัติแต่ไม่เคยใช้มาก่อน คนที่เคยใช้จริงๆ คือโยมผู้หญิง
........โยมผู้หญิงท่านบอกว่า ท่านใช้มาแล้วหลายสิบชาติ และก็สมัยครองราชย์ ท่านบอกว่า เรามีแก้วลูกเล็กลูกเดียวประชากรในประเทศของเรายังไม่มีใครจนเลย
ท่านเลี้ยงพอ ก็เลยถามประวัติความเป็นมา ท่านบอกว่า เดิมทีเป็น "ลูกแก้วลูกยอดของพระเจ้าจักรพรรดิ์" เลยถามท่านว่า
เวลานี้แก้วของพระเจ้าจักรพรรดิ์อยู่ที่ไหน ท่านบอกว่า อยู่ที่พระจุฬามณี จึงพาไปดู
.........ความจริงสมัยของพระเจ้าจักรพรรดิ์นี่มี แก้วมณี มีพระขรรค์แก้ว มีเกือกแก้ว มีจักรแก้ว แต่ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้อยู่คนละที่ มีเทวดารักษาอยู่
ถ้าใครจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เทวดาก็จะนำทั้ง ๔ อย่างมามอบให้ แต่ว่าพระเจ้าจักรพรรดิ์คนนั้นตาย คนอื่นจะรับมรดกแทนไม่ได้ ...เทวดาต้องเอาของเขากลับคืนไป
เทวดาท่านต้องหวงแหน เพราะว่าของ ๔ อย่างนี้ ต้องเป็นของคนที่มีบุญพอจึงจะครองไว้ได้
..ลูกแก้วเจียระไน ที่สั่งจากต่างประเทศ
.......(ปัจจุบันนี้หมดไปนานแล้ว)
.สร้างวัดท่าซุงในตอนแรก หลวงปู่ชุ่ม ท่านเอามาให้ เมื่อวันที่ท่านจะกลับท่านขึ้นไปหาบนห้อง ท่านบอกว่า
"น้อง..ไม่ช้าพี่ก็ตาย อยู่ไม่ได้ แต่ว่าน้องจะต้องอยู่อีกนาน.."
ประวัติเดิม เคยเกิดเป็นพี่น้องกันมา ท่านก็เลยนำแก้วออกมา บอกว่า
"แก้วลูกนี้เป็นของต้นตระกูล สืบต่อกันมาหลายชาติ น้องจงรักษาไว้ เมื่อมีลูกแก้วนี้แล้ว จะทำอะไรก็สำเร็จทุกอย่าง"
ในช่วงนั้นสร้างเงินเป็นหมื่นก็เป็นหนี้เขาแต่ว่าต่อมาเมื่อได้ลูกแก้วนี้ขึ้นมา สร้างอะไรต่างๆ ทางด้านโบสถ์ สร้างทั้งหมดใช้เวลา ๓ ปี
โบสถ์หลังเดียวใช้เวลา ๓ ปี ยังไม่ยากจะเสร็จเลย แต่ว่าสิ่งก่อสร้างทางด้านโบสถ์นะ เมื่อได้ลูกแก้วนี้มาแล้วใช้เวลาสร้างทั้งหมด ๓ ปี และก้ ๓ ปีนะ
อาตมาไม่ได้ปั๊มเงินเองนะ ก็ได้เงินจากท่านพุทธบริษัททั้งหมดนี่และช่วยสร้าง และต่อมาปี ๒๕๒๐ ท่านก็สั่งให้สร้างสถานที่ใหม่
ท่านบอกว่า สถานที่นี้ควรจะเป็นที่เพราะพระอริยะเจ้า ท่านมาสั่งสร้าง แล้วท่านก็ออกแบบของท่านเอง ก็เลยคิดตามท่าน
ว่าถ้าเป็นแบบนี้จะต้องใช้เงินเดือนหนึ่ง ๖ แสน กับ ๘ แสน สลับกัน ถ้าเดือนไหนใช้ต่ำไปหน่อยอีกเดือนหนึ่งก็จะใช้เกินไป ถามท่านว่า
ถ้าจำเป็นแบบนี้แล้วจะไปเอาเงินที่ไหน ท่านบอกว่า
"แกทำไปเถอะ ฉันไม่ให้เป็นหนี้มาก ถ้าเป็นหนี้ก็ใช้ง่าย"
พอเริ่มลงมือทำเข้าจริงๆ ก็ต้องใช้เงินเดือนละ ๖ แสน กับ ๘ แสน สลับกันมา พอหลังจากน้ำท่วมปีที่แล้ว (ปี ๒๕๒๓) เข้าเดือนธันวาคม
ปรากฏว่าค่าใช้จ่ายกลายเป็นเดือนละล้านเศษ แต่ว่าเงินให้เขาไม่พอ ได้จากญาติโยมเท่าไหร่ พวกเจ้าหนี้ก็มาเอาไปหมด แต่เราได้วัตถุคืนมานะ
ก็เป็นอันว่า แก้วนี้ถ้ารับไปเพื่อใช้ให้ทำเป็นกรรมฐาน ทุกวันและทุกวันที่บูชา ใช้บูชาด้วย คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
และควรอธิฐานว่า
ขอความปรารถนาทุกอย่าง..จงสำเร็จทุกประการ..เท่านั้นแหละ..!!!
อานุภาพลูกแก้ว
(คัดลอกบางตอนที่ หลวงพ่อเล่าไว้ในหนังสือสมบัติพ่อให้ หน้า ๑๒๒)
ลูกแก้วกลมใส - กลมดำ สั่งทำภายในบ้านเราเอง
ซึ่งผลที่ได้จากลูกแก้วนี่ อุบัติเหตุมีทุกครั้งใน ๓ ครั้งที่แล้วมานะ ที่แจกมาก็พบอุบัติเหตุทุกครั้ง แต่ว่าอุบัติเหตุที่น่าจะตายเขาไม่บาดเจ็บ
อย่างรายหนึ่งไปอยู่อเมริกา ซื้อรถราคา ๓.๐๐๐ เหรียญ ชนกันย่นไปเหลือราคา ๓๐๐ เหรียญ เจ้าของรถไม่ตาย แต่ว่ารถเหลือราคาเพียง ๓๐๐ เหรียญ
และก็เที่ยวแรกที่แจก วันนั้นไปที่อำเภอสามพราน มีสองผัวเมียแกบอกว่า รถชนประจันหน้ากันพังยับเยินเลยพวงมาลัยมากระแทกอกสามี พวงมาลัยคด
แต่สองคนในรถไม่เป็นตราย
อีกรายหนึ่งเขามารายงาน รายนี้ลูกสาวตัวเล็กล้มลงไปทับแก้ว เศษแก้วกระเด็นเข้าตา แกก็ร้องจ้า ฝ่ายพ่อก็จะพาไปโรงพยาบาล
ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่าเรามีลูกแก้ว ก็เลยลองดูว่าลูกแก้วจะช่วยได้หรือไม่ได้ ก็เอาลูกแก้วไปลูบๆ ที่ตา ประเดี๋ยวเดียวลูกสาวหายปวด
ก็เลยพาไปหาหมอให้ดูให้ปรากฏว่าไม่มีเศษแก้ว
สำหรับเที่ยวนี้ที่ทำขึ้นมาแล้ว พวกบางแคไปรับมาจากวัด ปรากฏว่าคนหนึ่ง ก้างปลาติดคอ ทำอย่างไรก็ไม่ออก เขาก็จะพาไปหาหมอ
พอดีคนที่เขาได้แก้วไปก็อาราธนาลูกแก้วลูบๆ ที่คอ ปรากฏว่าก้างหาย
และก็ที่ชุมแสงรับลูกแก้วไปแล้วกลับไปบ้าน ฟ้าผ่าใกล้ๆ ตัวแกไม่เป็นไรทั้ง ๒ ราย นี่ก็เลยยกทัพไปรับใหม่ ตอนแรกคนไปไม่กี่คน พอได้ยินข่าว
เลยยกทัพมาเป็นกองทัพเลย
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทนะ จะเห็นว่าแก้วลูกเล็กๆ แต่พึงเข้าใจว่า แก้วนี้ทำด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า เวลาทำจริงๆ
อาตมาไม่รู้เรื่องเลย
◄ll กลับสู่ด้านบน
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
|
|
(วิธีการใช้ลูกแก้ว คัดจาก "หนังสือสมบัติพ่อ" ให้หน้า ๑๒๑ ดังนี้ครับ)
"ก่อนที่จะภาวนาคาถาให้มองดูลูกแก้วเสียก่อน จำภาพแก้วได้ ก็หลับตานึกถึงภาพแก้วนั้นแล้วก็ภาวนา นี่ทำเป็นกรรมฐาน จะภาวนา "พุทโธ" หรือ
"นะมะพะทะ" ว่าได้ทุกอย่างเพราะว่าแก้วเป็นอาโลกกสิณ สำหรับอาโลกสิณนี่เป็นกสิณพื้นฐานของทิพจักขุญาณ หากว่าขณะที่หลับตาภาวนา
ภาพลูกแก้วเลือนไปจากใจ ให้ลืมตาดูใหม่ จำภาพลูกแก้วแล้วภาวนาต่อไป จนกระทั่งภาพลูกแก้วติดตาติดใจ
คราวหลังเราไม่ต้องมองดูลูกแก้ว แต่นึกภาพลูกแก้วได้เป็นปกติอย่างนี้ท่านเรียกว่า "อุคหนิมิต" อุคหนิมิตนี่เป็น "อุปจารสมาธิ" เป็นผลของทิพจักขุณาณ
เมื่อทำอย่างนี้เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งภาพลูกแก้วติดตาติดใจอยู่เสมอ
ต่อมาก็อธิฐานให้ลูกแก้วโตขึ้น ก็จะเห็นภาพลูกแก้วโตขึ้น อธิฐานให้เล็กลงก็จะเล็กลง ให้อยู่สูงก็อยู่สูง ให้อยู่ต่ำก็อยู่ต่ำ อยู่หน้าก็ได้
อยู่หลังก็โด้ตามชอบใจ อย่างนี้เป็น ปฏิภาคนิมิต ถือว่าเป็นนิมิตสูงสุดส่วนหนึ่ง..."
"ในเมื่อเห็นลูกแก้วชัดเจนแจ่มใสดีเท่าไหร่ ความเป็นทิพจักขุญาณของท่านพุทธบริษัทที่จะเห็นภาพอื่นก็จะเห็นชัดเจนเท่านั้น
แต่ว่าถ้าเห็นลูกแก้วชัดเจนดีแล้ว ต่อไปก็อธิฐานขอให้ภาพลูกแก้วหายไป ขอภาพของพระพุทธเจ้าจงปรากฏ ในเมื่อเห็นภาพของพระพุทธเจ้าปรากฏแทน
ขอให้อธิฐานให้พระองค์โตขึ้น ภาพของพระพุทธเจ้าโตขึ้น ขอให้พระองค์ทรงเล็กลง ก็เล็กลง ให้สูงให้ต่ำได้ตามความต้องการ อย่างนี้ถือว่าถึงที่สุดของ
"มโนมยิทธิ"
ถ้าทำมโนมยิทธิได้ตามนี้แล้วจึงเคลื่อนออก ถ้าเคลื่อนไปไหนจิตกับกายจะตัดกันเด็ดขาด คือว่าไปสุดตัว ถ้าไปสุดตัวก็จะได้พบทุกอย่าง จะพบเทวดา
จะพบพรหมก็ดี พบพระอรหันต์ก็ดี เราก็จะมีสภาพไปนั่งคุยกันอย่างสบาย เหมือนนั่งคุยกันอยู่นี่ ถือว่าเป็นการเต็มมโนมยิทธิที่ศึกษา
เพราะมโนมยิทธิที่ศึกษากันอยู่เวลานี้ เราใช้กำลังครึ่งเดียว..."
"แต่ว่าเพื่อผลประโยชน์ของบรรดาท่านพุทธบริษัทว่า
"ทุกคนยังต้องกินต้องใช้ พระพุทธเจ้าก็ทรงห่วงเหมือนกัน ท่านถือว่าถ้าทุกคนยากจนเสียจริงๆ ไม่มีกินมีใช้ การเจริญสมาธิก็ไม่มีผล
เพราะมีความเดือดร้อน"
ฉะนั้นท่านจึงแนะนำว่า ถ้าทำสมาธิในด้านของกรรมฐานครบถ้วนพอใจแล้ว หลังจากนั้นให้ต่อด้วย คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า (คาถาเงินล้านปัจจุบัน)
และเวลาที่เจริญพระกรรมฐานทรงฌาณเท่าไร คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็จะทรงฌาณเท่านั้น เมื่อคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเป็นฌาณ
การเงินของท่านพุทธบริษัทจะมีการคล่องตัวดีมาก ถ้าปฏิบัติได้เป็นฌาณจริงๆ คือ เห็นภาพชัดจริงให้สังเกตุดูว่า หลังจากทำไป ๓ เดือน
ผลการปฏิบัติลาภสักการะจะเกิด การเงินไม่ฝืดเคือง ยิ่งทำนานมากเงินก็จะยิ่งขังตัว..."
"เงินเดือนที่ไม่ค่อยพอเดือน มันก็จะเริ่มพอเดือน เดือนหน้ากับเดือนหลัง มันสวัสดีกันได้ก็พอตัวแล้ว ต่อมาเจ้าเดือนหน้ามันไม่ยอมไป
เดือนใหม่ก็ยังมีมาอีก มันเริ่มขังตัว มันเริ่มขังตัวแน่นะ รวมความว่า มันนอนคุยกันในกระเป๋าได้ ทำตามนี้มีผลจริงๆ นะ
และวิธีที่ใช้เงินในคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าก็มีแบบหนึ่ง ซึ่งเคยได้กล่าวไว้แล้ว.."
โพสต์โดย : คุณ 868 ในเว็บ 212cafe.com
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
|
|
อานุภาพพระคำข้าว-พระหางหมาก บางอย่าง
โพสต์โดย : 868 [ 2008-08-18 10:58:08 ]
หลายครั้งที่ผมไปทำงานรีบๆ ขับรถไปถึงบริษัทแล้วเพิ่งนึกออกว่าลืมกระเป๋าสตางค์
จะขอยืมใครก็ไม่กล้าเพราะตำแหน่งเรามันไม่ควรยืม...และบังเอิญทุกครั้งนะครับ ต้องมีเหตุได้กินฟรี เจ้านาย พี่ๆ เพื่อนๆ ชวนไปทานข้าวมื้อใหญ่ๆ หรือ
บางครั้งผู้บริหารชวนไปเลี้ยงรับรองลูกค้า หรือบางวันเพื่อนขี้ตืดบางคนเกิดอาการครึ้มๆ เลี้ยงเราเฉยเลย
จากที่สังเกตุ ถ้าเราเดินทางไปไหนแล้วลืมกระเป๋าสตางค์ หรือไม่มีเงินโดยเหตุผลใดก็ตาม รับรองไม่อดแน่นอน ไม่ต้องฟันธง ตั้งธงได้เลยไม่อดแน่ๆ
แต่เราจะต้องบูชา เช้า-เย็นด้วยความเคารพ จำภาพพระให้แม่นๆ ขึ้นใจครับ เมื่อเหตุฉุกละหุก ฉุกเฉิน นึกถึงท่านด้วยความเคารพขอบารมีให้ท่านช่วย
คือขอบารมีท่านปกหัว ไม่ใช่เห็นท่านเป็นคนใช้นะครับ
เรื่องอานุภาพพระคำข้าว-พระหางหมาก ของคุณเกตุ
(คัดลอกบางตอน จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๒๖๖ )
เกล้ากระผม ได้บูชา "พระหากหมาก และ พระคำข้าว" ของหลวงพ่อ ไปเมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๕๓๔ จะเป็นวันเดือนใดจำไม่ได้ ได้เอาพระคำข้าว
และพระหางหมาก และเหรียญของหลวงพ่อ มอบให้ลูกเขยคนเล็กชื่อ อนันต์ ... อยู่บ้านเลขที่ ๑๘๒๐ ซอยสุขศรีเฉลิมพจน์ ถนนกรุงเทพ-นนท์ เขตดุสิต กรุงเทพฯ
แกเอาพระคำข้าวและพระหางหมาก เหรียญของหลวงพ่อติดตัวไป และวางไว้หน้ารถแท็กซี่ ในขณะขับไป บังเอิญเด็กวิ่งตัดหน้ารถ เบรกไม่ทัน รถแท็กซี่ได้ชนกับเด็ก
กระเด็นไป ๔-๕ วา กระโปรงหน้ารถยนต์ฉีก และได้อุ้มเอาเด็กขึ้นรถไปโรงพยาบาล ขอให้แพทย์ช่วยตรวจ และเอ็กเรย์ให้ ปรากฏว่าหมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
จะฟกช้ำดำเขียว ถลอกก็ไม่มี
นี่เป็นที่น่าอัศจรรย์รถชนขนาดนี้ไม่มีเหลือสักราย หรือมิฉะนั้นก็ป่วยหนักเสียสุขภาพ นี่กลับไม่เป็นอะไรเลย ก็เพราะบุญของหลวงพ่อได้คุ้มครองป้องกัน
และเมื่อให้หมอตรวจดูปลอดภัยแล้ว ลูกเขยก็นำขึ้นรถกลับบ้าน และมอบเงินบำรุงขวัญ ๒,๐๐๐ บาท (สองพันบาทถ้วน) แจ้งให้ผู้ปกครองทราบ และก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งนี้เพราะอำนาจศักดิ์ของพระคำข้าว และพระหางหมาก และเหรียญหลวงพ่อคุ้มครอง
ประสบสบการณ์อานุภาพลูกแก้วใส ของคุณประเสริฐ
(คัดลอกจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๔๘๔ -๔๘๕)
คุณประเสริฐ มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อที่วัดครั้งแรกทำบุญ ๑๐ บาทได้พระเหรียญแหนบเป็นเหรียญแรกของหลวงพ่อมา ๑ เหรียญ และก็ทำหาย
วันรุ่งขึ้นจึงมากราบหลวงพ่อใหม่..ดังนี้ครับ
"...พอมาถึงวัดก็พบหลวงพ่อนั่งรับแขกอยู่ ก็กราบท่าน และท่านก็ถามว่า
"มาจากไหน" ก็ตอบท่านไปและบอกกับท่านว่า
"วันนี้ผมพาพี่ชายมากราบหลวงพ่อครับ" และก็บอกไปอีกว่า
"พระที่ให้ไปเมื่อวานนี้ หล่นหายครับ" ท่านก็ตอบว่า
"รู้แล้ว"
ก็แปลกใจท่านรู้ได้อย่างไร และก็มีโยมอีกชุดหนึ่ง มาจากโคราชบอกว่า
"วันนี้ตั้งใจมากราบหลวงพ่อค่ะ" หลวงพ่อก็ตอบว่า
"ฉันรอตั้งแต่ตี ๕ แล้ว" (งง..ท่านรู้ได้ไง)
ข้าพเจ้ามาวัดอีกทีหนึ่ง ก็ พ.ศ. ๒๕๒๔ เดือนกุมภาพันธ์ ไปสมัครทหารพรานที่ค่ายปักธงชัย พอฝึกจบภาคสนาม ก็กลับบ้านระหว่างนั้น
ก็นึกถึงหลวงพ่อจึงไปกราบท่านเพื่อขอพร ท่านได้ให้ลูกแก้วมา ๑ องค์ชนิดกลมใส และท่านยังกำชับอีกว่า
"ให้ไปเลี่ยมห้อยคอซะนะ"
และท่านก็ให้นั่งพนมมือและตั้งใจ ท่านก็พรมน้ำมนต์ให้คนเดียว พอเสร็จท่านก็บอกว่า
"ไปเถอะลูก..ไม่ต้องกลัวปืน ระวังระเบิดก็แล้วกัน"
เพียงคำพูดประโยคเดียวนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และมั่นใจตลอดเวลา ก่อนลงพื้นที่ได้บวชเณร ๗ วัน เพราะหลวงพ่อทักว่าจะตายโหง
พอเสร็จภารกิจที่เขาค้อ ก็มาทำบุญกับหลวงพ่อ ได้ถวายสังฆทาน ๑ ชุด ๕๐๐ บาท วันนี้ไม่พบหลวงพ่อฝากไว้กับพระท่าน
ลูกแก้วที่หลวงพ่อมอบให้และสั่งให้เลี่ยมห้อยคอ แต่ก็ไม่ได้เลี่ยม จนกระทั่งรับภารกิจใหม่ที่ "ตาพระยา" บ้านทับพริกล่าง ๒ เดือน
จนใกล้เสร็จภารกิจจึงลากลับบ้าน ขณะนั้นก็นึกถึงคำที่หลวงพ่อพูดว่า ให้เลี่ยมห้อยคอก็เลยเลี่ยมที่ตลาดนั่นเอง และก็เดินทางกลับบ้าน ซึ่งวันนั้น ๓ กค.๒๕๒๔
เป็นวันเกิดเพื่อน กินเหล้าเมาแล้ว ขับรถจิ๊ปเที่ยวหาพระผู้หญิง แยกสุทธิสารขาเข้ามีสะพานลอย
ซึ่งขณะนั้นกำลังสร้างถนนเพิ่ม ก็มีรถแท็กซี่วิ่งแซงขึ้นไป พรรคพวกที่นั่งไปด้วย ก็เชียร์ให้แข่งกัน ก็เลยเสียหลัก เนื่องจากขาดสติ รถคว่ำพังยับเยิน
และตัวเองก็กระเด็นออกจารถ ไปตกอยู่ในคูน้ำครำข้างๆ ส่วนอีก ๔ คนก็ติดอยู่กับรถ ได้รับอันตรายเพียงเล็กน้อย
บังเอิญเท้าด้านซ้ายของข้าพเจ้า ไปถูกกับชิ้นส่วนข้างรถ เหวอะอย่างเห็นได้ชัด และในรถก็มีลูกระเบิดอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ระเบิด
หลังจากนั้นก็พากันไปโรงพยาบาลพระมงกุฏ นอนรอหมอจนสว่าง ด้วยความหนาวและปวด พอหมอทำแผลเสร็จก็กลับบ้าน อยู่ได้ประมาณ ๑ อาทิตย์ อาการก็เกิดขึ้นคือ
อ้าปากไม่ขึ้น และหลังแข็ง เวลาจะลุกนั่งไม่ได้ต้องนอนตะแคง เพื่อนคือ "ประยูร" และภรรยาเห็นอาการผิดปกติ จึงพาไปหาหมออีกครั้ง
หมอก็รับตัวไว้และถามว่าเป็นอะไรครับ ตอบว่าเป็นบาดทะยัก และจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวเลย มารู้อีกที ก็อยู่บนเตียงข้างล่างแล้ว ตอนนี้พูดไม่ได้
ต้องเขียนหนังสือแทน ก็ถามหมอว่าเห็นลูกแก้วผมไหม หมอตอบว่าไม่เห็น ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจและร้องให้ออกมาดังๆ โดยไม่อายเลย (ทหารพรานนะเนี่ย)
ขณะที่นอนอยู่นั้นเกิดฝันว่า ท่านยมทูตจะมาเอาชีวิตก็เลยบอกกับท่านว่า พ่อตายยังไม่ได้บวชให้เลย ขอบวชก่อนก็แล้วกัน และก็หนีท่านไปที่แห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนั้นเป็นที่โล่ง ขณะนั้นไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน ท่านก็เลยยืนอยู่ที่ประตู ส่วนข้าพเจ้าก็นั่งอยู่ตรงกลาง และก็สะดุ้งตื่นจนมาถึงทุกวันนี้
ก็จำได้ว่าสถานที่แห่งนั้นก็คือ ศาลา ๒ ไร่นั้นเอง
สาเหตุนี่เองที่ทำให้ข้าพเจ้ารอดชีวิตจากโรคร้ายนี้ เพราะหมอเองก็บอกญาติว่าไม่รอดแน่ แม่ก็เสียใจมาก และที่ประทับใจอีกครั้ง ก็คือ..
..ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ร่วมบวชพระ เพื่อถวายกุศลแด่หลวงพ่อเมื่อ ๒๕ ธ.ค.๒๕๓๔ นี้จำนวนพระทั้งหมด ๑๘๐ องค์ และหลวงพ่อก็ยังสึกให้อีกด้วย
ความกรุณาครั้งนี้ ไม่สามารถตอบแทนได้ ในขณะที่บวชอยู่ ๔ วัน หลวงพ่ออบรมว่า "เริ่มบวชวันแรกได้รับทุกขเวทนามาก ซึ่งไม่เคยเป็นอย่างนี้"
ก็เกิดสงสารหลวงพ่อ รุ่งเช้าบิณบาต ก็นึกถึงเวทนาของหลวงพ่ออีก ก็ตั้งใจว่า ถ้าลูกรับทุกขเวทนานี้แทนได้ ขอให้แบ่งทุกข์นี้มาให้ลูกบ้าง
ทันใดนั้นก็เกิดปิติน้ำตาใหล ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด
สรุปความว่า หลวงพ่อเป็นพระผู้ให้แสงสว่างแด่ลูกๆ ทุกคนเช่นข้าพเจ้า ปัจจุบันนี้เลิกเหล้ามาตั้งแต่ ๒๕๒๕ และบุหรี่เมื่องานเป่ายันต์ ๓ มค.
และเลิกฆ่าสัตว์และลักทรัพย์เป็นต้น
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
|
|
(Update 11/06/52)
เรื่องต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์ ทั้งการปฏิบัติ
และพระเครื่องของหลวงพ่อ ของคุณ สุภาวดี ..
(คัดลอกจากหนังสือ ลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๔๗๖- ๔๗๘
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยานให้พิมพ์เป็นธรรมทาน)
โพสต์โดย : 868 [ 2008-08-18 11:32:46 ]
ข้าพเจ้า เริ่มเข้ามาสัมผัสวัดท่าซุงเป็นครั้งแรกเมื่อ ๓ มกราคม ๒๕๓๐ ซึ่งเป็นวันงานเป่ายันต์เกราะเพชร และยังเป็นเวลาช่วงต้นปีใหม่
ข้าพเจ้าได้มีบุญวาสนาได้พบท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อในงาน โดยข้าพเจ้าฝ่าฝูงชนเข้าไป ยืนทำบุญและยืนดูท่าน
ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบท่าน ข้าพเจ้าเข้าไปใกล้ๆ ยืนดูกายท่าน ข้าพเจ้าเห็นแต่กายท่านเท่านั้นใสเป็นสีชมพู และมองเห็นเส้นเลือดในกายท่าน ใสแจ๋วชัดเจน
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเกิดความตื่นเต้นปิติ และเป็นแรงจูงใจ ที่ข้าพเจ้าได้รับความเมตตา กรุณาจากท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ มาจนตราบเท่าทุกวันนี้
ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจ และพยายามติดตามท่าน ไปพบที่บ้านซอยสายลมเสมอมา
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ข้าพเจ้านิมิตฝันเห็นท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อเสมอ ท่านมีเมตตาไปสงเคราะห์ข้าพเจ้า ให้กำลังใจ ให้พรแก่ข้าพเจ้าครั้งแรกๆ
หลังจากนั้นใกล้วันเกิดท่านฯ ข้าพเจ้าจึงเริ่มมฝึกมโนมยิทธิ แต่ก็เป็นผู้รู้ที่เลวไม่เก่งกาจ
เมื่อฝึกได้ข้าพเจ้าก็ติดหลง คงหลงว่าจะได้อย่างโน้นจะได้อย่างนี้ ข้าพเจ้าก็จะพูดบ่นตลอดเวลา จนในที่สุดท่านฯ ก็ไปในนิมิต ท่านสงเคราะห์ให้กำลังใจอีก
หลังจากนั้นจึงเกิดอาการกลัว และไม่บ่นอีกต่อไป
เมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธินั้น ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จะคอยย้ำเตือนลูกๆ พุทธบริษัท ให้เอาอารมณ์จับพระนิพพานไว้ทั้งวัน อย่าพระยายามทิ้ง
ให้เอาจิตจับพระนิพพานไว้ตลอดเวลา การอบรมสั่งสอนที่บ้านซอยสายลม พระเดชพพระคุณหลวงพ่อย้ำเตือนเสมอ จนเป็นอนุสติ
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๓๔ ข้าพเจ้ารีบร้อนจะไปเข้าพิธีบวงสรวงที่บ้านซอยสายลม ขณะรถติดไฟแดงอยู่นั้น รถเมล์เล็กมินิบัสก็พุ่งฝ่าไฟแดงเข้ามาชน
รถมอเตอร์ไซด์ที่ข้าพเจ้านั่งซ้อยท้าย โดยพุ่งเข้าชนด้านข้าพเจ้าอย่างแรง ในลักษณะที่เรียกว่าทับตายดีๆ นี่เองแล้วก็ไม่ได้ตายดีด้วยนะ
คงตายแบบคอหักตายนั่นแหละ ที่ข้าพเจ้าตกใจเตรียมตัวยอมตายแต่โดยดี ข้าพเจ้าลืมนึกถึงสิ่งใดทั้งสิ้นด้วยความตกใจที่สุด
นี่แหละค่ะท่านผู้ใจบุญที่อ่านลูกศิษย์บันทึกทุกท่าน ทำไม? ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และอาจารย์ที่ฝึกกรรมฐาน
จึงย้ำเตือนให้จับอารมณ์พระนิพพานอยู่ตลอดเวลา ก็ตอนนี้แหละท่านผู้อ่าน ถ้าผู้ใดไม่ดื้อจนเกินไป ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อแล้วแล้ว
ก็คงได้พบพระนิพพานแน่นอน
...ดังเช่นผู้เล่าเรื่องนี้ ประสบด้วยตัวเอง ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมเพราะอยากให้ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตารัก และสงสารบ้าง ก็พยายามฝึกฝนเท่าที่จะทำได้
แต่ในที่สุด อารมณ์ที่เราปฏิบัติอยู่เป็นประจำนั้น ก็เหมือนสวิทช์อัตโนมัติ ขณะหลับตาเตรียมตายด้วยความตกใจอย่างที่สุด ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ดีนัก
แต่ก็ยังอยากไปพระนิพพาน
พอจะตายจริงๆ กลับลืมนึกถึงพระนิพพาน ที่ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อเมตตาตักเตือนลูกหลานพุทธบริษัทไม่ให้ลืม ถ้าเราปฏิบัติเป็นประจำ เพียงเสี้ยววินาที
ภาพพระนิพพานจะปรากฏในจิตของเราทันที ทั้งที่เราเผลอไม่ได้สติ แต่ก่อนออกจากบ้านก็ไปกราบองค์สมเด็จทุกๆ พระองค์ ตลอดจนองค์หลวงพ่อก่อนออกเดินทาง
นี่แหละคำสอนของท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่บอกลูกๆ ให้นึกถึงพระนิพพาน จึงเสมือนสวิทช์อัตโนมัติ พอหลับตาเตรียมตาย องค์พระวิสุทธิเทพก็เสด็จมาเลยทันที
ขณะรถวิ่งเข้ามาทับนี่แหละคะ ถ้าจะต้องตาย ก็จะไม่เสียใจกลับดีใจเสียอีก เพราะภาคภูมิใจในคำสอนขององค์หลวงพ่อที่รักและเป็นห่วงลูกๆ และนำมาใช้ได้
ทั้งที่มีชีวิตและความตายเข้ามาเยือน
อุบัติเหตุที่ข้าพเจ้าได้รับ เป็นอุบัติเหตุที่ปาฎิหารย์ที่สุด ที่จริงข้าพเจ้าจะต้องกระดูกหัวไหล่แตกหัก คอหัก พิการแน่นอนที่สุด
แต่กลับเป็นว่าแค่กระโหลกศรีษะแตกไม่ต้องผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออก อาการต่างๆ ดูปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่แหละคะพี่น้องสาธุชน คนดีที่รักและซื่อสัตย์กตัญญูต่อองค์หลวงพ่อทุกคน ที่ข้าพเจ้ารอดตายมาลืมตาดูพระบารมีหลวงพ่อได้จนทุกวันนี้
ก็เพราะอานิสงส์ผลบุญบารมี ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ มีเมตตาช่วยเหลือลูกๆ ข้าพเจ้ามีวัตถุมงคลสำคัญติดตัวประจำคือ
๑. ข้าพเจ้ายึดมั่นปฏิบัติตามคำสอนขององค์หลวงพ่อ แม้จะไม่ดีมาก แต่ก็พยายาม
๒. วัตถุมงคล ที่องค์หลวงพ่อเมตตาสร้างขึ้นช่วยเหลือลูกๆ คือ พระคำข้าว และพระหางหมาก ติดตัวประจำ ตื่นนอนตอนเช้า
ก่อนออกจากบ้านจะอธิษฐานขอพรตามคำสอนของหลวงพ่อ ขอให้คลาดแคล้วจากอุบัติเหตุ และถ้าไม่เกินกฏแห่งกรรมขอให้หนักเป็นเบา
๓. อานุภาพของ น้ำมันชาตรี และน้ำมนต์ของหลวงพ่อ พร้อมทั้ง พระชานหมากอันแสนศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้าหายดีแล้ว ก็ได้แนะนำช่วยเหลือเพื่อนให้เขาใช้
น้ำมันชาตรี และพระชานหมากรับประทานเป็นยารักษาโรคอำมาพาต ที่เกิดจากอุบัติเหตุ เส้นโลหิตฝอยในสมองแตก กลายเป็นอัมพาตกระทันหัน เริ่มรักษาเพียงในเวลาประมาณ
๖ เดือนเศษ อาการต่างๆ ดีขึ้นถึง ๘๐% ผู้ป่วย สามารถมีความทรงจำทางสมองที่ถูกผ่าตัดทิ้งไป มีอาการดีมากขึ้นทุกที
ข้าพเจ้าแนะนำเขาว่า "น้ำมันชาตรี" ให้ตั้งใจอธิษฐานให้ดี นึกถึงบารมีสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธองค์ องค์หลวงปู่ปาน และท่านพระเดชพรคุณหลวงพ่อ
ผู้กรุณาสงเคราะห์ลูกหลานจัดทำน้ำมนต์ขึ้นมา
นอกจากนั้นยังแนะนำต่อว่า โรคอัมพาตร่างกายไม่มีแรง กระดูกอ่อน เดินไม่ได้ ทดลองรับประทานพระชานหมากดู เผื่อกระดูกจะแข็งแรง ลุกขึ้นเดินได้
ปรากฏว่าได้ผลอย่างนั้นจริงๆ เขารับประทานหลายองค์ และยังเตือนเขาด้วยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่กฏแห่งกรรม และกำลังใจที่จะลุกขึ้นต่อสู้
เอามาบวกกับอานุภาพ ของท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อ สิ่งนี้คืออานุภาพแห่งบารมีหลวงพ่อคะ
จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผู้เขียนได้เล่ามานี้ สรุปได้ว่า องค์หลวงพ่อมีเมตตาจิตอันเปี่ยมล้นที่จะสงเคราะห์ช่วยเหลือ เพื่อให้ลูกๆ ได้พ้นทุกข์
แม้ลูกที่แสนเลว ท่านฯ ก็ยังรักและเมตตา ให้อภัยเสมอ ไปหาใครที่ไหน คนอื่นเขายังไม่อยากจะต้อนรับ
แต่ทุกครั้งที่มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อจะต้อนรับด้วยความเต็มใจ ไม่แสดงความรังเกียจเลย แสนจะปลื้มใจดีใจเป็นอย่างยิ่ง...
...สิ่งที่ข้าพเจ้าได้พบแล้วในขณะนี้ ที่ตามหามาตั้งแต่เด็ก ก็คือคำสอนธรรมที่หลวงพ่อให้พวกเราหนีนรกนั้นเอง และพยายามทำดีที่สุดจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป
เพื่อไปอยู่ในดินแดน ที่เป็นแก้วประกายพรึก แดนนั้นนั่นคือ ดินแดนพระนิพพาน
นี่แหละคะชีวิตของข้าพเจ้า ที่ผิดหวังมาตั้งแต่เยาว์วัยมาจนเป็นผู้ใหญ่ จึงมีความทุกข์มาตั้งแต่เด็ก แต่ครั้งแรกที่ได้พบหลวงพ่อจนมาบัดนี้
ก็ดีใจที่พบความสมหวังมาตลอด เพราะได้พบผู้ชี้หนทางไปสู่พระนิพพานแล้ว เมื่อมีทุกข์ก็ระงับทุกข์ด้วยธรรมที่ท่านสอน พระนิพพานอยู่ไม่ไกลหรอก
จะต้องต่อสู้กันต่อไป จะขอทำความดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชาตินี้ถือเป็นบุญวาสนาของข้าพเจ้า ที่ได้เกิดมาพบหลวงพ่อ ผู้เมตตาอบรมสั่งสอนลูกๆ ผู้ขอติดตามองค์หลวงพ่อ จะพยายามทำแต่ความดี แม้มีค่าเพียงแค่เศษธุลี
ที่ติดรอยเท้าท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปเฝ้าอยู่ยังดินแดนแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยคนเถิดพระเจ้าค่ะ
ขอท่านผู้อ่านจงตั้งใจและเชื่อมั่นเถิดว่า "ธรรมะ" และวิชาที่ท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนมีประโยชน์ และสามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ช่วยเหลือสังคม และประเทศชาติอย่างมาก...สาธุ..!!!
((( โปรดติดตามตอนต่อไป )))
|
|
(Update 17/06/52)
(ด้านบนเป็นภาพที่เคยลงในเว็บตามรอยฯ มาก่อน ส่วนภาพล่างเป็นภาพที่จำหน่ายใน
เว็บ static.sanook.com/shopping ราคาองค์ละ 499 บาท)
เรื่อง อานุภาพพระคำข้าว - พระหางหมาก ของคุณเพียร...
(คัดลอกจากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๔๑๘-๔๑๘)
โพสต์โดย : 868 [ 2008-08-19 09:37:14 ]
..เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๒ ก็ได้เดินทางไปทำงานอยู่ที่ประเทศบาห์เรน ต้นปี ๒๕๓๔ ก็เกิดมีสงครามในอ่าวเปอร์เซีย แต่ก่อนที่จะทำสงคราม ก็รู้ล่วงหน้าว่า
กองทัพอเมริกันต้องบอมบ์ซัดดัมแน่ คนไทยในบารห์เรนกลับกันเยอะ ชาวต่างชาติก็หนีกลับบ้านเมืองของตนเองเกือบหมด ข้าพเจ้าอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้
เขาลือกันว่าบาห์เรนจะต้องจมทะเล ถ้าอิรัคเข้ายึกซาอุฯ ได้
เพราะว่าบาห์เรนเป็นเกาะเล็กๆ และมีทางออกทางเดียวคือทางที่จะไปซาอุฯ คือระหว่างประเทศบาห์เรนกับซาอุฯ นี้ จะมีสะพานในทะเล
เชื่อมถึงกันยาวกี่กิโลข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ว่านั่งรถไปใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ก็ถึงเขตของประเทศซาอุฯ และช่วงสงครามนั้น สนามบินก็ปิด
ข้าพเจ้ามาอยู่ที่บาห์เรน ก็ไม่ได้ทิ้งกรรมฐานที่หลวงพ่อสอนไว้ และข้าพเจ้าก็ได้ขึ้นไปถามสมเด็จว่า ข้าพเจ้าจะได้รับภัยจากสงครามครั้งนี้ไหม
พระองค์ท่านก็ตอบว่าไม่มี แต่ข้าพเจ้ายังมีกิเลสอยู่มาก ก็อดสงสัยไม่ได้
ข้าพเจ้าก็เลยอธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อว่า ถ้าลูกจะได้รับอันตรายจากภัยสงครามครั้งนี้ ก็ขอให้หลวงพ่อดลใจให้ลูกคิดอยากจะกลับบ้านด้วยเถิด
ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัวภัยสงคราม และไม่อยากกลับบ้านเลย
พออธิษฐานขอบารมีหลวงพ่อแล้ว ก็มีความรู้สึกเหมือนเดิมคือไม่อยากกลับบ้าน ข้าพเจ้าก็เลยไม่ได้กลับ ในระหว่างสงครามทุกคืน จะมีสัญญานหวอเตือนภัยดังขึ้น
เวลาที่หวอดังนั้นก็ไม่เป็นเวลาคือบางทีก็หัวค่ำ บางทีก็สี่ห้าทุ่ม บางครั้งตอนกลางวันก็ยังมี ประชาชนที่เดินอยู่ตามถนน เมื่อได้ยินเสียงหวอดังขึ้น
ทุกคนจะพยายามวิ่งหาที่หลบ ที่คิดว่าปลอดภัย
โดยทางรัฐบาลบาห์เรนเขาได้สอนให้ประชาชนทุกคน รู้ถึงวิธีป้องกันตัวอย่างไร จึงจะพ้นจากสารพิษที่อิรัคจะยิงมา ทุกคนกลัวกันมาก เรื่องสารพิษ แต่พวกลูกๆ
ของหลวงพ่อไม่กลัวกันเลย เพราะลูกๆ ของหลวงพ่อทุกคน มี พระหางหมาก ติดตัวกันทุกคน และเมื่อฝ่ายอิรัคยิงระเบิดมาซาอุฯ หรือบาห์เรนเมื่อใด
ก็จะมีเสียงหวอเตือนภัยให้ประชาชนได้ทราบ
ข้าพเจ้าคิดแต่เพียงว่า ถึงคราวที่จะต้องตาย ไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าพร้อมที่จะตายทุกเวลา แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวตายแล้ว
องค์หลวงพ่อช่วยข้าพเจ้าได้แน่ ข้าพเจ้าก็เกิดความอบอุ่นใจไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย
อีกทั้งข้าพเจ้าเคยได้ยินหลวงพ่อพูดว่า อิทธิฤทธิ์ใดๆ ก็ไม่เท่าอิทธิฤทธิ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้ายึด "พุทโธ" เป็นที่พึ่ง
ถ้าจะตายก็ตายพร้อมพุทโธ กลางวันเขาก็ทำสงครามกันภาคพื้นดิน กลางคืนเขาก็ทำสงครามกันทางอากาศ
ฝ่ายอิรัคเขาก็ยิงมาที ๒-๓ ลูก หวังจะบอมพ์บาห์เรน แต่ก็ถูกทหารอเมริกันยิงสกัดเอาไว้ได้ ลูกระเบิดก็จะระเบิดกลางอากาศ แล้วก็กระจายตกทะเลไปหมด
แต่ก็มีบางครั้ง ที่อิรัคยิงมาหลายลูก ทางทหารอเมริกันสกัดได้ไม่หมด ก็ลงบาห์เรน แต่ไปลงในทะเลทราย
พอสงครามสงบลงบาห์เรนปลอดภัยไม่เป็นอะไร ข้าพเจ้าคิดว่าช่วงสงครามสองเดือนกว่าๆ นั้น บาห์เรนไม่น่าจะรอดมาได้ แต่ด้วย อานุภาพ พระคำข้าว -
พระหางหมาก และองค์หลวงพ่อ บาห์เรนถึงปลอดภัยมาได้ เพราะลูกหลานอยู่ที่บาห์เรนมีไว้บูชากันทุกคน ยิ่งช่วงสงครามพากันปลุกพระทุกวัน
คนที่ไม่เคยปลุกพระก็ปลุกพระเป็นไปกับเขาด้วย และก็ไม่มีใครทุกข์ใจเกี่ยวกับภัยสงครามเลย
หมายเหตุ : เรื่องนี้ 868 เห็นว่าสิ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าใครอยู่ในภาวะสงครามเช่นนี้ ปกติสภาพจิตใจจะหวั่นไหวหวาดกลัวมาก
(มันไม่สนุกเหมือนในหนังนะครับ) การที่ท่านสามารถ ทำใจนิ่งไม่ทุกข์ใจได้นี่ แสดงว่ามั่นคงจริงๆ ครับ ไม่ธรรมดาเลย
อีกอย่างการตัดสินใจว่า "ขอตายพร้อมพุทโธ" หรือ "เมื่อถึงคราวตายก็จะต้องตายไม่มีใครช่วยข้าพเจ้าได้"
และการยึดมั่นในพระเครื่องอย่างมั่นคงเมื่อเกิดภัยอันตราย อันนี้ผมคิดว่าคือสิ่งหลวงพ่อต้องการให้เกิดกับลูกหลานครับ
|
|
(Update 24/06/52)
อานุภาพพระมหาลาภคำข้าว (คุณสมศรี ... ลูกศิษย์บันทึก ๓ /๕๗๕)
โพสต์โดย : 868 [ 2008-08-19 09:54:18 ]
เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๔ หลังจากข้าพเจ้าเปิดร้านแห่งใหม่ที่ท่าพระ ได้ไม่ถึงเดือน ก็รู้จักเซลส์แมน ของบริษัทขายเสาอากาศคนหนึ่ง
คนนี้ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยห้อยพระที่คอเลย เป็นคนไม่ค่อยได้มาทางธรรม แต่พอพูดคุยกับข้าพเจ้า ก็รู้สึกชอบพระที่ห้อยคออยู่
(หลวงพ่อมหาลาภคำข้าวปิดทองอย่างหนาทั้งองค์เลี่ยมทองคำอย่างดี) เขาถาม
ข้าพเจ้าก็เลยได้บรรยายสรรพคุณของ "พระมหาลาภ" รวมทั้งยกตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านเล่าบ้าง ที่ลงธัมวิโมกข์บ้าง ตอนจะกลับ เขาก็ขอพระมหาลาภไปหนึ่งองค์
ข้าพเจ้าก็ได้ให้เลือกไปเองหนึ่งองค์ (ตอนเปิดร้านใหม่ ข้าพเจ้าทำกล่องบรรจุพระมหาลาภไว้แจก เป็นของขัวญแก่ทุกท่านที่มาร่วมงาน
มีบางคนมาขอซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายองค์) เขาบอกว่านี่เป็นพระองค์แรกที่จะเลี่ยมห้อยคอ
อีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาก็มาหาอีก คราวนี้ข้าพเจ้ากำลังยุ่งอยู่ เขาก็ขอเวลานอก ๒-๓ นาที เขาเล่าเรื่องให้ฟังว่า
พอได้พระก็รีบไปเลี่ยมมาห้อยคอทันที พร้อมทั้งโชว์ให้ดูอีกด้วย พอห้อยพระได้ ๒-๓ วันก็เกิดเรื่อง
คือเขาขี่มอเตอร์ไซด์ไปถนนวิภาวดีรังสิต ถึงหน้าโรงเรียนตำรวจสอนสุนัข ก็มีรถเก๋งโตโยต้าวิ่งตัดหน้า ตนเองต้องหักหลบ รถคว่ำหลายตลบ
ตนเองลอยละลิ่วไถลไปบนพื้นถนน กางเกงขาดหมด ผู้คนหวีดร้องลั่นไปหมด เขาคิดว่าไม่รอดแน่ๆ ไม่หัวโหม่งพื้นก็ถูกรถแล่นทับตายแน่ๆ
ปรากฏว่ารถเก๋งวอลโว่ เบรคตัวโกร่งพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูง มาจอดตรงหน้า โดยกันชนรถห่างหน้าเขาแค่คืบเดียวเท่านั้น เขาบอกว่ารอดตายคราวนี้
เพราะหลวงพ่อ "สมเด็จพระมหาลาภคำข้าว" แท้ๆ ส่วนแผลที่ขาเมื่อซื้อยามาทาไม่กี่วันก็หาย
อุบัติเหตุคราวนี้ได้เงินมา ๓๐๐ บาท จากคนขับรถวอลโว่ เพราะเขาไม่มีสตางค์เป็นแค่ลูกจ้าง (คนขับรถเท่านั้น) อีก ๒๐๐ บาทต้องเอาไปจ่ายค่าปรับ
เนื่องจากจอดรถผิดที่ในที่ห้ามจอดของโรงพัก (ตนเองบาดเจ็บ รถก็ไม่ค่อยสมบูรณ์ จากอุบัติเหตุ) เหลืออีก ๑๐๐ บาท
คนขับรถวอลโว่บอกให้ไปซื้อยามาทาบาดแผลก็แล้วกัน แต่ร้อยเวรบอกว่า อย่าเลยเอาไปซื้อสังฆทานถวายพระ เพื่อสะเดาะเคราะห์ดีกว่า เพราะคุณน่ะมีเคราะห์ร้ายจริงๆ
...!
ส่วนคนอื่นๆ ก็มีอีกมาก บางคนก็คล้ายๆ บุคคลอื่น ที่เคยลงในธัมวิโมกข์แล้ว สำหรับข้าพเจ้าเอง มีผลมากมาย
จากร้านเดิมที่เยาวราชก็ขยายมาเปิดสาขาใหม่ที่ท่าพระ ทั้งๆ ที่ไม่ทุน แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลต่างๆ และเป็นผู้ใหญ่ในธนาคาร
เมื่อมีปัญหาการเงินหลวงพ่อท่านก็ช่วยให้รอดพ้นทุกครั้ง มีปัญหาเรื่องบุคลากร หรือคนอื่นที่เกี่ยวข้องกับงาน ก็ผ่านไปด้วยดีทุกอย่าง
ปัจจุบันข้าพเจ้ามีความสุข จากการได้ทำบุญกับหลวงพ่อทุกเดือน ข้าพเจ้าและครอบครัว ใส่บาตรวิระทะโยทุกวัน
ชีวิตทั้งทางโลกทางธรรมดีขึ้นมาก ทุกคนในครอบครัวมีความสุข ความเจริญ เนื่องจากพระพุทธบารมี พระธรรมบารมี และพระอริยสงฆ์บารมี เทวดา พรหมทั้งปวง
มีหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นที่สุด...สาธุ..!
|
|
(Update 03/07/52)
"อภินิหารลูกแก้วหลวงพ่อ" โดย คุณสมนึก .../ลูกศิษย์บันทึก ๓ /๕๕
โพสต์โดย : 868 [ 2008-08-19 10:12:41 ]
ผมชื่อ "นายสมนึก" ได้มารับใช้หลวงพ่อตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ช่วยอยู่ยาม ดูแลของสงฆ์ ทำงานภายในวัด และเป็นคนขับรถรับใช้หลวงพ่อ
มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตามที่ผมได้เขียนลงในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๒ ไปแล้ว
ผมมีลูกชายชื่อ "ศิริเทพ" ซึ่งลูกชายคนนี้ หลวงพ่อได้เมตตาตั้งชื่อให้ตั้งแต่อยู่ในท้อง (สมัยที่หลวงพ่อยังประจำอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า)
ภายหลังหลวงพ่อมาอยู่วัดท่าซุง ผมก็ตามมารับใช้ที่นี่ และเอาลูกชายมาอยู่วัดด้วย ลูกชายผมมาโกนจุกที่วัดท่าซุง เรียนจบ ม.๓ แล้วไปต่อวิทยาลัยเทคนิคอุทัย
ขณะเรียนปีสุดท้าย (ปีที่ ๓) ประมาณวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๘ พระใบฏีกาประทีป อัตถทัสสี ได้ใช้ให้ไปเช็คดินที่ทางวัดซื้อมาถมที่วัด
โดยมีเพื่อนลูกชายเป็นคนขับไป เป็นรถจี๊ปเก่าตัวถังเป็นเหล็กทั้งคัน เพื่อนขับอย่างไรไม่ทราบ รถคว่ำ พลิกทับร่างของลูกชายผมทั้งคัน ทับช่วงท้องลงมา
บังเอิญเป็นอัศจรรย์ ที่อีกด้านหนึ่งมีก้อนหินก้อนหนึ่งรองรับไว้ มิฉะนั้นร่างของลูกชายคงแหลกแน่ แต่ก้อนหินนั้น ทำให้หลังโบ๋เป็นแผล
เป็นแผลเป็นไปทั่วบริเวณแผ่นหลัง เมื่อเห็นสภาพลูกชายผมแล้วไม่น่ามีชีวิตรอดมาได้ ร่างกายเป็นแผลเหวอะหวะและถูกทับอยู่อย่างนั้น ต้องรอจนกระทั่ง
คนขับวิ่งไปตามเอารถมายกออก
ซึ่งระยะทางจากที่เกิดเหตุ และหนทางที่วิ่งไปตามรถมายกออกห่างกันประมาณ ๑ กม. (รถคว่ำบริเวณหลังโรงพยาบาล มาตามรถไปยกจากบริเวณศาลา ๑๒ ไร่)
เมื่อเอารถมายกรถออกจากที่ทับลูกชายผมออกแล้ว ก็รีบนำลูกชายส่งโรงพยาบาล ในจังหวัดอุทัยธานี หมอตรวจดูสภาพร่างกายแล้ว บอกต้องผ่าตัด
ผมก็ยังไม่ยอมเซ็นชื่อให้ผ่าตัด บอกขอไปกราบเรียนปรึกษาหลวงพ่อดูก่อน
พอกลับมาถึงหลวงพ่อก็บอกว่า
"ให้เขาผ่าตัดเถอะลูก" หลวงพ่อก็พูดอีกว่า
"กระดูกเชิงการานหัก ทิ่มกระเพาะปัสสาวะ เลือดตกใน"
ตอนหลังหมอก็พูดตรงกับที่หลวงพ่อพูด กลับไปที่โรงพยาบาล เซ็นอนุญาตให้หมอผ่าตัดได้ ลูกชายผมต้องอยู่โรงพยาบาลถึง ๔๑ วัน ขณะที่โรงพยาบาลนั้น
ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงตลอดจน พวกพระภิกษุภายในวัดท่าซุง ช่วยกันถวายสังฆทาน และปล่อยปลาอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร อาการลูกชายผมก็หายวันหายคืน
และกลับจากโรงพยาบาลได้ในที่สุด
การประสบอุบัติเหตุครั้งนี้ ลูกชายผมห้อย "ลูกแก้ว" หลวงพ่อเพียงลูกเดียว นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ที่ลูกชายผมมีชีวิตกลับมาได้
ทั้งๆ ที่หมอพูดว่า เป็นถึงขนาดนี้ไม่น่าจะรอดได้
หมอคนแรกผ่าตัดแล้วผิดพลาด มีสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ ต้องผ่าตัดเป็นครั้งที่ ๒ จึงได้รอดชีวิตกลับมาได้ ซึ่งเรื่องนี้ ผมได้เผ้าดูอาการลูกชาย
ที่โรงพยาบาลไม่น่าจะรอดได้ ขนาดหมอออกปากแล้วว่าไม่น่ารอดได้ ต้องผ่าตัด ถึงแม้จะมีแผลเป็นมากมาย แต่ผมก็พอใจที่ลูกชายรอดชีวิตมาคราวนี้ได้เพราะอภินิหาร
(ความศักดิ์สิทธิ์) ของลูกแก้วหลวงพ่อ ที่ห้อยคออยู่เพียงลูกเดียวโดยแท้
และแม้กระทั่งมีการบังเอิญ ที่มีหินขวางไว้ก้อนหนึ่งขณะรถทับร่างลูกชายนั้น ผมคิดว่า
เป็นปาฏิหาริย์ที่อานุภาพลูกแก้วหลวงพ่อช่วยคุ้มครองให้เป็นเช่นนั้น ผมเชื่อหลวงพ่อทุกอย่าง หลวงพ่อพูดตรงกับหมอทุกอย่าง
ลูกชายก็ได้รอดชีวิตมาอย่างปาฏิหาริย์ และอยู่มาจนทุกวันนี้
ลูกชายผมปัจจุบันทำงานเป็นหลักแหล่ง ผมและภรรยาและลูกชาย ต่างมีความเคารพหลวงพ่อและ ขออยู่รับใช้ จนกว่าจะต้องตายจากกันนั้นแล
ผมขอบูชาหลวงพ่อเท่าชีวิตของผม...สาธุ..!!!
|
|
(Update 04/07/52)
เฉลียว อาณาวรรณน้ำมันชาตรี
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๕
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ได้ทำพิธีพุทธาภิเษก "น้ำมันชาตรี" ไว้สงเคราะห์ลูกหลานเพื่อใช้ในการรักษาโรค และอีกอย่างคือ เรื่อง "ลูกเบา"
ถ้าถูกอะไรทุกอย่างเบาหมดก่อนใช้ให้อาราธนาพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์
มีหลวงพ่อปานวัดบางนมโคเป็นที่สุด แล้วตั้ง นะโม 3 จบ และว่า
หลวงพ่อท่านให้แตะที่ศีรษะทุกวันๆ ละหนึ่งครั้ง ดิฉันได้ทำตามหลวงพ่อแนะนำตลอดมา หลังจากเสกน้ำมันชาตรีได้ไม่กี่เดือน
ขณะที่ดิฉันกำลังนั่งแยกเศษสตางค์อยู่ในห้องด้านหลัง ห้องที่หลวงพ่อรับแขกที่บ้านสายลม กล่องน้ำมันชาตรีที่วางซ้อนกันไว้สูง ได้ล้มลง
มีกล่องหนึ่งหล่นกระแทกกลางหลังดิฉัน รู้สึกว่าหนักและแรงมาก ใจก็นึกถึงน้ำมันชาตรีที่เจิมศีรษะทุกวันและภาวนา "นะโมพุทธายะ" โดยไม่สนใจเสียงที่ถามว่า
เป็นอะไรหรือเปล่า ภาวนาสักครู่จนรู้สึกเบาโล่ง จึงลืมตาขึ้นทำงานต่อไปได้
ครั้งที่สอง ดิฉันหกล้มที่ลานจอดรถ 100 ไร่ มือซ้ายยันลงไปที่พื้น ทุกคนที่ไปด้วยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ขณะนั้นไม่รู้สึกว่าเจ็บส่วนไหนเลย
จนมาถึงห้องพักนั่งคอยเพื่ออาบน้ำ เริ่มรู้สึกปวดที่ข้อมือซ้าย ความปวดทวีขึ้นตลอดเวลา คิดว่าปวดมากๆ อย่างนี้ข้อมือคงหักหรือร้าว แล้วจะทำอย่างไรดี
ใจก็คิดถึงน้ำมันชาตรีทันที ดิฉันหยิบน้ำมันชาตรีมาอธิษฐาน ทาลงไปบริเวณที่ปวด ความรู้สึกที่ปวดอย่างมากนั้นหายไปทันที
ครั้งที่สาม ราวต้นปี 2545 ดิฉันเดินอยู่บนขอบเทอเรส (เดินไปดูสุนัขที่นอนป่วยอยู่) พลันเท้าเดินไปในอากาศ ร่างกายตกลงไปข้างล่างสูงประมาณฟุตกว่า
ไม่มีความรู้สึกว่าส่วนใดของร่างกายกระทบพื้นปูนซีเมนต์เลย เบาไปหมด
เหตุการณ์ที่ดิฉันได้ประสบและปลอดภัยตลอดมาก็เพราะน้ำมันชาตรีของหลวงพ่อสงเคราะห์ถ้าทุกคนเชื่อมั่นและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อแนะนำและสั่งสอน
ก็จะปลอดภัยเช่นเดียวกัน.
จิราภรณ์ สุทธะพินธุ พุทธานุภาพ "น้ำมันชาตรี"
จาก..หนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๓ หน้า ๕๘๙
โพสต์โดย : 868 [ 2008-08-16 22:01:59 ]
ข้าพเจ้ามึความเคารพต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งชีวิต ตลอดจนองค์หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อพระราชพรหทยานตลอดมา
และหวังเป็นที่พึ่งสูงสุดในชีวิต จนกว่าจะเข้าพระนิพพาน เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญ อันทำข้าพเจ้าเป็นทุกข์ทางกายและทางใจ
เมื่อข้าพเจ้าน้อมจิตขอต่พระองค์ท่านช่วย เหตุการณ์ทั้งหลาย จะได้รับการแก้ไขจากพระองค์ท่านทันที ทุกพระองค์มีพระคุณต่อข้าพเจ้ามากเสมอมา
ข้าพเจ้าเกิดมาชาตินี้ พบทุกข์มากมายเหลือเกิน เมื่อหลวงพ่อป่วยข้าพเจ้าก็มักจะป่วยพร้อมๆ กับท่าน และบางครั้งโรคของข้าพเจ้า
ก็คล้ายกับโรคที่สร้างความทรมานให้กับหลวงพ่อ ข้าพเจ้ามีอาการของโรคหลอดเลือด มาเลี้ยงหัวใจตีบตัน มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่มเวลามีอาการมากๆ
เหมือนมีเข็มแหลมสักร้อยเล่มมาแทงหัวใจพร้อมๆ กัน สร้างความเจ็บปวดทรมานมาก มือและแขนซ้ายจะกลายเป็นสีม่วง (Cyanosis) เพราะขาดเลือดมาเลี้ยง
อาการเช่นนี้เกิดบ่อยครั้งตลอด ๒ ปีที่ผ่านมา ตรวจเครื่องคอมพิวเตอร์ดูการทำงานของหัวใจ ผลออกมาก็เกิดอาการจริง รัปประทานยาหมออากรก็ทุเลา แต่ไม่หายขาด
เมื่อข้าพเจ้าอารารธนา น้ำมันชาตรี ซึ่ง "สมเด็จองค์ปฐม" ทรงเป็นประธานมี "หลวงปู่ปาน" ในที่สุด ได้เมตตาทำไว้ให้ ได้รับประทานวันละ
๑ ช้อนกาแฟครบ ๗ วัน ข้าพเจ้าครบกำหนด ต้องตราจเช็คคอมพิวเตอร์พอดี ครั้งนี้อาการต่างๆ ไม่แสดงผลหัวใจปกติทุกอย่าง ระหว่างนอนพัก ดูอาการเปลี่ยนแปลง
ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า จิตขณะนั้น มีอาการหนักหน่วงมาก เหมือนมีอะไรอยู่ในตัว อยากจะหลุดออกจากกายเนื้อเหลือเกิน ตัดสินใจว่าอะไรจะเกิดก็เกิด
สักครู่มองเห็นกลุ่มควันขาวจางๆ ลอยออกจากหน้าอก รวมตัวเป็นเทวดา ลอยอยู่เหนือข้าพเจ้า สักครู่ก็หายไป แพทย์ได้อ่านผลคราวนี้บอกว่า หายแล้ว
ไม่มีอาการแสดงผลทางคอมพิวเตอร์เลย จนแพทย์บอกว่าหายเองได้อย่างไร ยาที่ให้ทานก็ไม่มีประสิทธิภาพ ในด้านการรักษาขยายหลอดเลือดได้ขนาดนี้
ข้าพเจ้าก็ดีใจมาก ที่ได้รับพระกรุณาจากพระองค์ท่านเช่นนี้ ถ้าพระองค์ไม่เมตตา ทำน้ำมันชาตรีขึ้นมา เพื่อสงเคราะห์ลูกหลานพุทธบริษัท
ข้าพเจ้าคงต้องทุกข์ทรมาน และคงต้องเจ็บตัวนอนให้หมอผ่าตัดอย่างแน่นอน ชั่วชีวิตนี้ลูกจะหาที่พึ่งใดที่ประเสริฐกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พระพุทธคุณของ
"สมเด็จองค์ปฐม" เป็นต้น พระธรรมคุณ พระอริยะสังฆคุณ หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นที่สุด หาที่สุดประมาณมิได้เช่นนี้เอง...สาธุ..!
แถมท้าย
วิธีใช้น้ำมันชาตรี ของ สมเด็จองค์ปฐม เป็นต้น มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นที่สุด
ก่อนใช้ ขอให้อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อฤาษี
วัดท่าซุง เป็นที่สุด
เมื่ออาราธนาแล้ว ให้ตั้ง นะโม 3 จบ และว่า
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
เหมือนเมื่อรับศีล ต่อนั้นไปให้ปลุกด้วยคาถานี้
"อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้ด้วยเถิด"
ใช้รักษาโรคได้ทุกอย่าง รับประทานหรือทาก็ได้ สุดแท้แต่โรคนั้นควรรับประทานหรือทา
ข้อสังเกต จะเป็นโรคอะไรก็ตาม เมื่อรับประทานหรือทา แล้วรู้สึกร้อน แสดงว่าน้ำมันนี้รักษาโรคนั้นไม่หาย
ถ้ารับประทานหรือทาแล้วรู้สึกเย็น น้ำมันนี้รักษาโรคนั้นหาย
การรับประทาน รับประทานวันละ 1 ครั้ง ๆ ละ 1 ช้อนชานกาแฟ
ถ้าให้เป็นมงคล ให้ใช้ก้านธูปหรืออะไรก็ได้ จุ่มในน้ำมัน แล้วแตะที่ศีรษะวันละ 1 ครั้ง จะเป็นมงคลทุกอย่างแก่ท่าน ถ้ามียวดยานพาหนะ
ให้ทายวดยานพาหนะนั้น (ทาเพียงครั้งเดียว เหมือนที่เขาเจิมกัน)น้ำมันนี้เมื่อท่านได้รับแล้ว จงอย่าปล่อยให้หมด หาน้ำมันงา หรือน้ำมันมะพร้าว มาเติมไว้เสมอ
ๆ เมื่อน้ำมันนี้ถูกเติมแล้วคุณภาพจะไม่เสื่อม
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
(Update 13/07/52)
ประสบการณ์อานุภาพการบูชาพระองค์ปฐม
พระคำข้าว-พระหางหมาก-ลูกแก้ว-พระคาถาโน้มจิต
โพสต์โดย : 868 : [ 2008-08-19 14:47:03 ]
ก่อนที่จะเล่าตัวอย่างประสบการณ์โดยตรง ผมขอสรุปผลจากประสบการณ์ เกี่ยวกับการพูด ในการบูชาดังนี้
๑. พระกริ่งสมเด็จองค์ปฐม ทำให้เกิดความมั่นใจมาก อาจหาญ สง่าผ่าเผย ไม่มีอาการประม่าตื่นเต้นมาก (จนควบคุมไม่ได้ และไม่มีเลย)
มีความรู้สึกว่าเรายิ่งใหญ่ เป็นผู้นำ ...ต้องอาราธนาขอให้ท่านคลุมบนศรีษะ หรือทั้งตัว เหมือนตอนที่ครูแนะนำมโนมยิทธิ จนเกิดอาการ สั่น ศรีษะมึน และตัวหนัก
ร้อนผ่าววูบวาบ ร่างกายเหมือนถูกคลุม หรือเหมือนมีพระนั่งคลุมบนศรีษะ หรือจับเป็นภาพนิมิตให้เห็นชัด (เท่าที่ทำได้)
๒. พระหางหมาก ทำให้การพูดคล่อง ปราดเปรื่อง มีปฏิภาณไหวพริบในการโต้ตอบ หลายครั้งก็ งง ว่าเราพูดได้อย่างไร จะไม่ลืมเรื่องที่เตรียมพูด
สมองไม่ว่างเปล่าในระหว่างพูด ไม่ช๊อคเวลาพูดนาน ๆ ...อาการจากการอาราธนาก็เหมือนข้อ ๑ แต่จะเบากว่ามาก
๓. พระคำข้าว ได้ลาภแบบเกินคาด แบบงง ๆ เช่น เราขอบารมีพระหางหมากเพื่อเจรจางาน แล้วต่อด้วยขอบารมีพระคำข้าวเจรจาเงินค่าตอบแทน
หลายครั้งครับที่ เราตั้งใจจะกำหนดจำนวนเงินเท่านี้ ไว้ในใจ หรือเสนอน้อยไปเขากลับชิงเป็นฝ่ายเสนอก่อน
หรือให้เพิ่มเป็นจำจวนเงินสูงกว่าอย่างคาดไม่ถึงแบบเรางง ๆ เราเลยเต็มใจรับที่มากกว่าครับ (แต่อย่าแกล้งโมเมขอเพิ่มขึ้นต่อจากที่เขาเสนอมามากกว่านะครับ
เดี๋ยวลาภหายหมด) การขอบารมีก็ เหมือนข้อ ๑ แต่จะเบานุ่มนวลกว่า
๔. ลูกแก้ว มีลาภแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามเหตุตามผล คล้าย ๆ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแน่นอน แต่จะไม่เป็นศูนย์ การจัดงานบุญ
งานเลี้ยงที่มีคนจำนวนมากจะคล่องตัวอย่างคาดไม่ถึง (หลวงพ่อบอกว่ามีผลเลี้ยงคนจำนวนมากได้) ..ส่วนการรักษาโรคนี่ผมเคยเป็นโรคบิด กินยาหมออย่างดีเป็นเดือน ๆ
ไม่หายเลยถึงขนาดแค่มองเห็นเม็ดยา หรือซองยานี่อาเจียรเลย...ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยนำเอาลูกแก้วหลวงพ่อมาขอบารมีทำน้ำมนต์
และหายเป็นปลิดทิ้งในหนึ่งวันนี่เรื่องจริงครับ (เกิดขึ้นมาเกือบ ๓๐ ปีแล้ว)
๕. พระคาถา "จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ" ใช้ภาวนาก่อนพูด ระหว่างพูดได้ผลดีมากครับ แต่อาจจะมั่นใจน้อยกว่าพระหางหมาก
กรณี ตัวอย่างจากประสบการณ์จริง...
ช่วงปี ๓๖ ช่วงนั้นผม..เป็นที่กลัวไมค์มาก กลัวการพูดในที่ชุมชน กลัวการนำเสนองานในที่ประชุม มีบ่อยครั้งที่ผมแอบหลบ
หรือหาเรื่องหนีงานเพื่อหลีกเลี่ยงการพูด เพราะผมเป็นคนที่ประหม่า ตื่นเต้นชนิดรุนแรง คือมือเย็นเฉี๊ยบ หัวเต้นแรงชนิดได้ยินเสียงเลย ตัวสั่นแรงมาก คอแห้ง
ปากสั่น อาการท้องป่วนปั่น ท้องเสีย ปวดปัสสาวะ จะเป็นลมให้ได้...(ความตื่นเต้นมี ๓ ระดับ
แต่มีระดับหนึ่งที่รุนแรงจนเป็นอุปสรรคในการพูดคือที่เกิดกับผมเป็นสมบัติติดตัวครับ)
นี่แหละครับ..คืออุปสรรคในความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานมานาน จนเพื่อนแซงหน้าไปหลายคน ถึงแม้ผมจะพยายามไปเข้าโปรแกรมอบรมการพูดที่ชุมชนหลายครั้ง
และซื้อตำราเกี่ยวกับการพูดมาอ่านเป็นตั้งๆ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย...คือมันกล้วจริง ๆ นะครับ
ต่อมาโดยเงื่อนไขของความก้าวหน้า ถูกบีบจนหลีกเลี่ยงการพูดไม่ได้ และเมื่อต้องขึ้นพูดจริงๆ คิดว่างานนี้เราคงตายแน่แล้ว
ไม่รู้จะทำยังไงดีก็เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าตายเป็นตาย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าไม่สำเร็จก็เตรียมหางานใหม่ดีกว่า..งานนี้ผมมีเวลาเตรียมตัวเพียง ๑ สัปดาห์
โอ้โห.. ๗ วันนี่มันช่างแสนทรมานสุด ๆ ไม่มีอารมณ์คุยกับลูกเมียเลย มือมันเย็น อึดอัด ตื่นเต้นตลอด รู้สึกโลกมันไม่สดใสเอาเสียเลย ที่เราอบรมมาก็ดี
ตำราการพูดก็ดีช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำท่าจะหาเรื่องป่วยในวันพูด แต่มันก็ทำบ่อยแล้วนี่ ก็เลยนึกถึงหลวงพ่อ พระหลวงพ่อ ทั้งพระกริ่งองค์ปฐม
พระหางหมาก...พอขอบารมีพระมาช่วยค่อยดีขึ้นหน่อย รู้สึกว่าจิตจะผูกพันกับพระทั้ง ๓ องค์เป็นพิเศษเพราะไม่มีที่พึ่งแล้ว
ต่อมาก็ถึงวันที่จะต้องขึ้นเวทีพูด วันนี้เหมือนจะถูกประหารชีวิตเลย โลกไม่สดใสเอาเสียเลย
ความทุกข์เต็มหัวใจไปหมด..ยิ่งไปถึงห้องที่จะบรรยายเห็นห้องเขาจัดไว้หรู ๆ เห็นคนฟังที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่งตัวดี ๆ นั่งรอเต็มห้องเพื่อฟังเรา
ยิ่งตื่นเต้นหนักขึ้น ดูหน้าทุกคนเขาก็ปกติดี (เพราะเขาไม่ใช่คนพูดนี่ครับ)
เขาเชิญให้เรานั่งโซฟาสำหรับวิทยากร เขาต้อนรับเราดีมาก แล้วเจ้าภาพเขาก็ชวนเราสนทนาตามปกติ แต่เราพูดกระท่อนกระแท่น หายใจไม่ค่อยทั่วท้อง เจ้าภาพทำท่า
งง ๆ เขาเชิญเราดื่มน้ำเราก็ไม่กล้าดื่ม เพราะกลัวน้ำหกมือมันสั่นมากครับ ไม่กล้าจับอะไรเลยเพราะมันสั่นไปหมด ท้องใส้นี่ปั่นป่วน มือเย็นมาก
คิดว่าเราจะทำอย่างไรดี จะหนีคงไม่รอดแน่ หวังพึ่งเจ้านายให้ช่วยพูดนำร่องเพื่อให้เราเครื่องร้อนก่อนพูด เจ้านายก็ (เสือกมีงานด่วน)
หนีเราไปปล่อยให้เรานี่เดียวดาย ลืมนึกไปว่าเรามีพระติดตัว โดยเฉพาะพระหางหมากนี่พกไปครั้งละหลายองค์ (กะให้ท่านช่วยกัน)
ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าห้องน้ำ (หวังอ้างว่าท้องเสียกระทันหันนั่งนานๆ ยาวไปเลย) พอเข้าห้องน้ำก็นึกถึงพระขึ้นมาได้ ตอนนี่ก็รีบปลุกพระใหญ่เลยต่อ
เริ่มต้นจับภาพพระกริ่ง สมเด็จองค์ปฐม (รู้สึกภาพจะชัดกว่าทุกครั้ง) เพราะไม่มีที่พึ่ง พร้อมกับอาราธนาขอบารมีว่า คาถา "อิทธิฤทธิ..."
จนเกิดอาการสั่นทั้งตัว รู้สึกหนัก และมึนที่ศรีษะ ความรู้สึกคล้าย ๆ มีคนมาคุม และคลุม ตัวร้อนผ่าว (มือที่เย็นก็หายไป) การหายใจปกติขึ้น
ที่หน้าเหมือนมีใครมาจับหน้าบิดเบี้ยวคล้ายคนแก่..ก็มั่นใจว่าเป็นบารมีองค์ปฐมแน่นนอน เลยไม่ตื่นเต้นมาก
หลังจากนั้นก็อาราธนา พระหางหมาก ก็เกิดอาการเหมือนกัน แต่เบากว่า ต่อด้วย พระคำข้าว แต่อาการนุ่มนวลกว่า
จากนั้นก็พอดีก็มีคนมาเรียกว่า ได้เวลาพูดแล้ว ก็เลยตัดสินใจเด็ดขาดว่าตายเป็นตาย เดินขึ้นเวที รู้สึกมั่นใจ อาจหาญ บอกไม่ถูก ไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย
และวันนั้นพูดได้ดีมากครับ คนนี่ฮาตลอด เสียงปรบมือเป็นระยะ ๆ ผมก็รู้สึก งง ๆ ตัวเองมากว่าเป็นไปได้อย่างไร มั่นพูดชัดถ้อยชัดคำ พรั่งพรูมาก
บางอย่างเราไม่ได้เตรียมก็มีความคิดแว๊บมาเร็วมาก ไม่มีการหยุดชะงักเลย..
หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร เงินเดือนเพิ่มขึ้น และได้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานฝึกอบรมทั้งหมด (ทั่วเครือข่ายทั้วประเทศ)
ได้มีโอกาสรับเชิญสอนการพูดบ่อยมาก ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษา และเป็นวิทยากรประจำบริษัทจัดอบรมบริษัทหนึ่ง ปัจจุบันผมจะบูชาติดตัวทั้ง ๓ องค์นี้ตลอดครับ
แต่ถ้าลืมก็นักจำเอานะครับ..แล้วก็อาราธนาขอบารมี....
|
|
(Update 18/07/52)
อานุภาพ "พระหางหมาก - ลูกแก้ว"
ช่วยสร้างพระประธาน และสร้างศาลา โพสต์โดย : 868 : [ 2008-08-19 15:08:00 ]
ช่วงปี ๒๕๓๒ พวกเราได้ตั้งคณะปฏิบัติธรรมสายหลวงพ่อ เพื่อแบ่งเบาภาระงานสงเคราะห์ของหลวงพ่อ (ทำกันเองครับหลวงพ่อไม่ทราบ ไม่สั่ง
แต่ด้วยจิตสำนึก) คณะเราได้สร้าง "พระประธาน" องค์แรก ขนาดหน้าตัก ๕๐ นิ้ว ปิดทอง พร้อมฐานชุกชีประดับกระจกสี อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุเขาน้อย
จ.น่าน แต่เนื่องจากไม่มีที่ประดิษฐานองค์พระ จึงจำเป็นต้องสร้างศาลาเอนกประสงค์ ชื่อ "ศาลานวรัตน์ประชาชาอุปถัมถ์" เพื่อประดิษฐานองค์พระ
ปัญหาหลักคือไม่มีเงินคือเริ่มที่ศูนย์ (มีแต่กำลังใจ) ทั้งสร้างพระ และศาลา มูลค่าหลายแสน ผมจึงใช้ "คาถาเงินล้าน" ควบคู่กับ
"ลูกแก้ว-พระหางหมาก" (ไม่ทราบว่าเพื่อนร่วมคณะใช้หรือเปล่า) งง..มากครับเงินนี่ไม่รู้มาได้อย่างไร มีคนบริจาคเงินก้อนโตๆ อย่างไม่คาดฝัน
(เราไม่หักแม้แต่ค่าน้ำแข็งเปล่า) มีจ่ายค่าพระ ค่าฐานชุกชี และจ่ายค่าศาลาได้ทันเป็นงวด ๆ
ทีนี้เมื่อศาลาเสร็จเราจัดพิธีฉลองใหญ่มาก ดังระดับจังหวัดทีเดียว โดยท่านเจ้าอาวาส "วัดมิ่งเมือง" ท่านให้การสงเคราะห์เป็นพิเศษ
ท่านช่วยเหลือได้มาก เพราะท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัด..เชิญพระสงฆ์ทั้งจังหวัด (บางวัดก็ส่งตัวแทน) ข้าราชการ ครู นักเรียน (รำต้อนรับตั้งแต่ในตัวจังหวัดเลย
แห่คณะเรา จากโรงแรมเทวราชมาที่วัดพระธาตุเขาน้อย (อันนี้ก็ไม่ได้คาดฝันเหมือนกัน เพราะมันเกินที่กำหนด)
ผมได้อัญเชิญ "พระคำข้าวรุ่นแรก" และ "แก้วมณีสายรุ้งรุ่นแรก" ซึ่งมีอยู่องค์เดียว บรรจุไว้ที่ "พระเกตุ" พระประธาน
เพื่อจะได้สงเคราะห์ชาวน่าน.. พอใกล้ถึงพิธีมอบพระประธาน และศาลาจะต้องชำระเงินงวดสุดท้ายด้วยปรากฎว่า (ถ้าจำไม่ผิด) ขาดเงินอยู่ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาทแสน
ช่างพึ่งแจ้ง..!
คิดว่าหน้าแตกแน่งานนี้แขกเหรื่อก็มากมาย กรรมการทุกคนนี้เริ่มเครียด ความปิติที่มีในการทำบุญเริ่มคลายตัวแล้ว ผมเลยแอบหลบขอบารมี "พระหางหมาก
-ลูกแก้วมณี" ที่บรรจุที่พระเกศให้ช่วยสงเคราะห์ ปรากฏว่าคุณหมอท่านหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่ในตัวเมืองน่าน (ซึ่งเป็นแพทย์เช่นกัน
ไม่กล้าขึ้นมาร่วมงานเพราะแอบดื่มเบียร์) ว่าขอบริจาคเงินที่ขาดเพื่อปิดบัญชี ๒๐๐,๐๐๐ บาท โอ่โห..อานุภาพท่านจริง ๆ สาธุ..!!!
ที่วัดพระธาตุเขาน้อยนี้ คณะผมก็ได้สร้าง "พระองค์ปฐม" ชำระหนี้สงฆ์อีกองค์ครับ โดยสร้างที่วัดท่าซุง เป็นไฟเบอร์กลาสปิดทอง
เป็นบล็อกเดียวกับองค์ปฐมครับ หลวงพี่สามารถ (ขณะนั้น) เป็นผู้สร้างครับ
อ้อ..เกือบลืมครับ ที่เล่าให้ฟังด้วยเจตนาบริสุทธิ์ตรง ๆ ครับ ต้องการให้พวกเราสมาชิกโมทนา เป็นกำลังใจครับ (ผมใช้พระคาถานี่กับตัวเอง
จะคล่องตัวน้อยกว่างานสาธารณะ ซึ่งชัดเจนมากแบบ..งง ๆ)
"อานุภาพยันต์เกราะเพชร, มีดหมอชาตรี" โดยคุณจตุรงค์ ... /ลูกศิษย์บันทึก ๓ / ๒๒๒
โพสต์โดย : 868 : [ 2008-08-16 21:02:37 ]
ปีใหม่ปีนี้ ๓๑ ธค. ๓๔ - ๓ มค.๓๕ ผมและเพื่อน ๒ คน ได้ชักชวนเดินป่าเขาใหญ่นครราชสีมา เรามีเพียงเข็มทิศประจำตัวแต่ละคน แผนที่ขนาด 1:50000
และอุปกรณ์เดินป่าเท่าที่จำเป็น อาวุธปืนไม่มี มีเพียงมีดเดินป่าคนละเล่มไว้เบิกทาง บางช่วงที่รกๆ ส่วนผมได้มี "มีดหมอชาตรีรุ่นแรก" ติดตัวไปด้วย
ผมถือเป็นโอกาสดีมากๆ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน อยู่แบบธุดงค์กึ่งทัศนศึกษา อารมณ์จิตเป็นปกติเหมือนอยู่บ้าน คือระงับนิวรณ์ให้ยิ่งๆ ขึ้นอีก
ตามที่หลวงพ่อแนะนำไว้เรื่องธุดงค์ ๑๓
คืนวันที่ ๓๑ ธค.๓๔ พักแรมที่น้ำตก "ผากล้วยไม้" ๑ มค.๓๕ เราทั้ง ๓ คนเดินตัดทุ่งหญ้าคา เดินทางตามด่านเสือบ้าง ด่านช้างบ้าง ด่านกลวงว่า
สลับกันจนถึงหุบเชิงเขา เริ่มเข้าป่าดงดิบ เราเดินทางตามสีที่ทาตามต้นไม้ที่พนักงานป่าไม้ทำไว้ จนถึงที่พักนักท่องเที่ยวเคยมาพักแรมนานแล้ว ชัยภูมิเหมาะสม
มีลำธารสองสายมาบรรจบกัน มีน้ำตกเล็กอยู่ด้วย เราจักพักแรมกันที่นี่
ผมกางกลด หมอและกรณ์นอนเปลสนาม ผมก่อไฟหุงข้าว ส่วนหมอและกรณ์ ออกสำรวจบริเวณ พบแต่ร่องรอยเท้าเสือขนาดต่างๆ มากมายทั่วบริเวณ เราทุกคนรู้ดีว่า
ถิ่นนี้เป็นถิ่นใคร เราเพียงแต่มองหน้ากัน สักครู่ฝนเริ่มตก ไฟที่สุมขอนไม้ไว้ดับ แต่แรกคิดจะเอาศัยแสงไฟที่สุมไว้เป็นเพื่อน เพราะพรานโบราณเขาเล่าว่า
สัตว์ร้าย เช่น ช้าง และเสือกลัวแสงไฟ แต่ใจนั้นไม่เชื่อ เพราะขนาดบ้านพักของทหาร มีแสงนีออนอยู่ริมถนนในเขตชุมชน เสือยังคาบคนไปกินเลย
เรามีเพียงแสงตะเกียงรั้วที่เตรียมไปเท่านั้นจุส่องสว่างอยู่
ก่อนนอน ได้นำสวดสมาทานพระกรรมฐาน และที่ลืมไม่ได้เลยคือ อาราธนา มีดหมอชาตรี (เทพชาตรี) และอ่านบทบารมี ๓๐ ทัศ สำหรับการปักกลดของพระธุดงค์
ซึ่งคุณสุดาพรได้จดไว้ให้ ผมได้แนะนำมโนมยิทธิ ให้หมอจนไปถึงนิพพาน เพื่อพิสูจน์คัดค้านความเชื่อเดิมของหมดว่านิพพานสูญ อีกทั้งเรื่องอื่นๆ ที่เธอสงสัย
ได้สนทนาธรรมกันเท่าที่จำจากการอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ และเล่มอื่นๆ ที่หลวงพ่อสอนไว้ หมอและกรณ์คลายความสงสัย แล้วจึงต่างคนต่างนอน
เที่ยงคืน "เทพชาตรี" ท่านมาปลุก แล้วทำภาพหน้าเสือให้ดู เป็นที่รู้กันว่า ผู้มาเยือนมาเดินอยู่รอบๆ บริเวณริมตลิ่งของลำธาร
ซึ่งห่างจากกลดประมาณ ๗ เมตร ท่านชาตรีบอกว่า เขามากัน ๒ ตัว คุณปกรณ์สดุ้งตื่น และฉายไฟฉายไปรอบๆ บริเวณ กรณ์พบดวงตาเสือสีแดงคู่หนึ่งในระยะเดียวกัน
แต่ดวงตานั้นแปลกเป็นประกาย และไม่หลบแสงไฟ มือข้างหนึ่งของกรณ์กุมมีดเดินป่าไว้ ปากก็เรียก หมอๆๆ ซึ่งนอนอยู่ใกล้ แต่หมอหลับไม่รู้สึกตัว
ผมซึ่งตื่นอยู่ก่อนแล้ว จึงตอบไปตามที่ ท่านชาตรี บอก "ไม่ต้องตกใจ เขามาดี ดับไฟฉายเถิด" เพราะหากเขาเกิดตกใจขึ้นมา จะวิ่งสวนแสงไฟมาทำร้ายได้
เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี
ตีสองครึ่ง ท่านเทพชาตรี ท่านมาปลุกอีกครั้ง คราวนี้มาในรัศมี ๑๕ เมตร มาทางด้านพุ่มไม้ด้านหลัง ปกรณ์อีกเช่นเคยที่นอนไม่ค่อยลง
ฉายไฟฉายพบดวงตาสีแดงอีก ๑ คู่ในพุ่มไม้นั้น ท่านชาตรีบอก ไม่ต้องตกใจเป็นหน้าที่ของท่านเอง ให้เริ่มสมาทานพระกรรมฐาน และนั่งสมาธิต่อไปเลย
เหตุการณ์ปกติจนถึง ๖ โมงเช้า จึงออกสำรวจบริเวณอีกครั้ง พบรอย ริมลำธารขนาดใหญ่ประมาณ ๑๐ ซม. หนึ่งรอย ขนาด ๘ ซม. หนึ่งรอย ส่วนพุ่มไม้ด้านหลัง ไม่เห็นรอย
เพราะมีใบไม้มาก
ตีห้า ท่านพระภูมิมาบอกว่า ไม่ควรเดินป่าขึ้นยอดเขาแหลม ยอด ๑ และ ๒ หรือไปพิชิตยอดเขาร่ม เพราะอันตรายมากและการเดินทางจะโหดเกินกำลัง
เมื่อผมบอกให้หมอ และปกรณ์ทราบ เธอทั้งสองยืนยันเจตนาเดิม ที่จะพิชิตยอดเขาแหลมให้จงได้ ผมเองก็หนักใจ แต่ก็ตัดสินใจไปก็ไปกัน
ท่านพระภูมิและรุกขเทวดา บอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สองวันต่อไปนี้ฉันจะพาเที่ยวเอง แต่วันที่ ๓ ต้องออกจากเขตป่าให้ได้นะ ผมนึกยิ้มอยู่ในใจคนเดียว
ลองเทวดานำเที่ยวละก็เป็นอันว่า เดินหลงป่าแน่ แล้วแต่ท่านจะพาไปนี่ พอเริ่มเดินได้พักใหญ่ การกำหนดแผนที่ และการกำหนดเข็มทิศเริ่มรวนและสับสนบางจุด
หมอเป็นผู้นำทาง กรณ์ระวังหน้า ผมระวังหลัง
บางจุดหมอเดินออกนอกเส้นทาง ท่านชาตรีบอกปล่อยเขา เราเดินอยู่พื้นราบกลางหุบเขาแหลมเป็นดงไผ่โดยตลอด หาทางขึ้นเขาแหลมไม่พบ จะเดินให้พ้นดงไผ่ก็ไม่ได้
เราจึงตกอยู่ในภาวะจำยอม ต้องกางเต้นท์กลางดงไผ่ พวกเรารู้อยู่แก่ใจดีว่า ล่อแหมต่อันตรายเป็นสองเท่าตัว คือ ๑ เสือ ๒ ช้างป่า
จุดตะกียงกางเต้นท์ใต้ร่มไผ่ ตะเกียงแขวนหน้าเต้นท์ ท่านเทพชาตรีบอกให้ใช้ "ผ้ายันต์เกราะเพชร " ติดบนหลังคาเต้นท์ ๒
ทุ่มสมาทานพระกรรมฐานพร้อมกัน และนั่งสมาธิ ๑๐ กว่านาที หมอกับกรณ์หลับก่อน ท่านเทพชาตรีบอกว่า "เจ้าลายมันมารออยู่ ตั้งแต่ตอนกางเต้นท์แล้ว
แต่ไม่ต้องกลัว "พระหลวงพ่อ หลวงปู่ปาน" อานุภาพท่านคุ้มครองอยู่" จนถึง ๗.๐๐ น. ของวันที่ ๓ มค.๓๕ จึงออกนอกเต้นท์ได้ เพราะเขาจะรอจนเช้า
คืนนี้ไม่มีกรณ์เป็นผู้ส่องไฟ ไม่ต้องอยู่ยาม หากช้างมาเหยียบเต้นท์ แบนไปด้วยกันนั่นแหละ
ห้าทุ่มเศษ ได้ยินเสียงจากนอกเต้นท์ ตรงหัวนอน เสียงดัง แก๊กๆ ครืดๆๆ เมื่อเอาหูแนบพื้น ไม่ได้ยินเสียงเลย ท่านเทพชาตรีท่านบอกว่า
"พี่ช้างมาโขลงนี้มี ๕ เชือก แต่บารมีผ้ายันต์ กันไว้แล้ว ๑๕ เมตร" พวกเรานอน หลับๆ ตื่นๆ เราไม่คุยกันเลย เพียงทำจิตอยู่ในสมาธิ อรมณ์จึงเป็นปกติ
เหมือนอยู่บ้าน พระท่านสอนให้พิจารณาถึงความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่ในป่า แล้วหลับต่อ
ตีสามท่านเทพชาตรี ท่านมาบอกอีกว่า "ช้างมาอีกหนึ่งโขลง คราวนี้มา ๗ เชือก ท่านบอกจ่าโขลงเป็นช้างดี เขายืนกันอยู่ตรงหัวนอน ระยะ ๑๐ เมตร
ช้างอื่นเดินหากินหลีกออกไปหมด" ผมเกรงกรณ์และหมอจะตื่นขึ้นและพูดจาเอะอะ จะทำให้ช้างลูกโขลงตื่น จะเป็นอันตรายจากการถูกช้างเหยียบมาก เธอทั้งสองหลับสนิท
ผมนั่งสมาธิต่ออีก ๓๐ นาที ท่านเทพชาตรีบอกผีกองกอยก็มาด้วย
เจ็ดโมงเช้า ออกตราจสอบบริเวณรอบๆ พบรอยเท้าช้างขนาดใหญ่ประมาณ ๑๐-๑๑ นิ้ว ห่างจากเต้นท์ที่พักประมาณ ๑๐ เมตร วันนี้เทวดานำทางจนถึงยอดเขาแหลม
ถึงยอดแล้วมองเห็นทุ่งหญ้าข้างล่าง จึงตั้งเข็มทิศ เดินตัดป่าลงทุ่งเขาแหลม ถึงน้ำตกเหวสุวัฒน์ ๑๘.๓๐ น. คราวนี้เทวดาส่งถึงกรุงเทพฯ
เราได้พบรถกระบะซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินป่ารุ่นพี่แต่เพิ่งรู้จัก เมื่อออกจากป่านี้เอง เห็นเราทั้งสามเดินแบบหมดเรี่ยวแรง จึงเข้ามาทัก
และรับอาสาให้อาศัยรถกลับถึงกรุงเทพฯ
ประสบการณ์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าผ่านมาในการทัศนศึกษากึ่งธุดงค์นั้น หากมิได้มี บารมีขององค์สมเด็จ และหลวงพ่อผู้ถ่ายทอดคำสอน และเกร็ดความรู้ต่างๆ
ในการปฏิบัติธุดงค์ อีกทั้ง วัตถุมงคล ยันต์เกราะเพชรและมีดหมอชาตรีของหลวงพ่อ คุ้มครองปกป้องแล้วรักษาแล้ว คณะเราคงมีความลำบากใจมากกว่านี้เป็นแน่
ดังนั้น ขอบรรดาท่านผู้ปฏิบัติธรรมให้มั่นใจในความดี ที่หลวงพ่อท่านถ่ายทอดสั่งสอนให้ด้วยความเมตตาแด่ลูกๆ ข้อวัตรปฏิบัติที่ท่านถ่ายทอดให้นั้น
ดีเบื้องต้น ดีในท่ามกลาง และดีในที่สุด นำผู้ปฏิบัติตามให้เข้าถึงนิพพานได้...สาธุ..!!!
((( โปรดคอยติดตามตอนจบ )))
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
(Update 28/07/52 ตอนจบ)
เกร็ดความรู้บางอย่างที่หลวงพ่อพูดถึงเกี่ยวกับ "พระคำข้าว" (คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๙ โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน)
โพสต์โดย : 868 [ 2008-08-21 10:21:01 ]
หลวงพ่อทำพิธีพุทธาภิเษกในพระอุโบสถ วัดท่าซุง
"...อันดับแรกที่เราจะทำอะไรทั้งหมด ตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน นึกถึงด้วยความเคารพ เพื่อหวังพระนิพพานก็ตาม
นึกถึงเพื่อขอลาภสักการะก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการนึกถึงพระพุทธเจ้าเหมือนกัน อันดับแรกนะ..อย่างมี "พระคำข้าว"
พระคำข้าวน่ะ..หนักไปในทาง ลาภสักการะ อย่างอื่นก็มีหมด แต่ลาภน่ะหนักมาก และก็หยิบขึ้นมาพนมมือ..สาธุ ว่า.."นะโม ตัสสะ" ใช่ไหม..ว่า "นะโม
ตัสสะ" ด้วยความเคารพ และอธิฐานว่าวันนี้ต้องการ... (ลาภอย่างไร)
เป็นอันว่า เราอยากจะให้ค้าขายดี ทำราชการดี เมตตาปราณี อะไรก็ตามเถอะ ก็อย่าลืมว่าเวลานั้นเรานึกถึงพระพุทธเจ้า เราขอบารมีจากท่าน
อย่างนี้ถือว่าเป็น "ฌาน" ใน "พุทธานุสติกรรมฐาน" ถ้านึกถึงทุกวันน่ะ ถ้าถึงเวลาแล้วต้องทำอย่างนั้นทุกวัน ถ้าไม่ทำแล้วไม่สบายใจ นั่นเป็น "ฌาน" ใน
"พุทธานุสติ" เป็นของง่าย ๆ เพราะวันนี้ท่านบอกให้พูดง่าย ๆ ใช้วิธีง่าย ๆ นะ ก็ว่าตามท่าน
ทีนี้เมื่อเมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัท นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว อย่าลืมพระที่คอ นี่คือพระพุทธเจ้า อย่าง พระคำข้าว เป็นพระพุทธชินราช อย่าลืมน่ะ
คือก็เหมือนกับพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งนั่นแหละ เป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าท่าน และเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็มาทำ อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ พูดให้ฟัง..!
คือเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าทุกองค์เสด็จมาหมด องค์ปฐม เป็นประธาน อยู่ข้างบนใช่ไหม และ องค์ปัจจุบันคุมฉัน
ท่านปล่อยกระแสจิตพุ่งสว่างเป็นลำพุ่งมาที่ใจฉัน แล้วบอกเธอนั่งนิ่งๆ อย่าคิดถึงเรื่องอะไรทั้งหมด ห้ามดูอะไรทั้งหมด ให้ทรงอารมณ์เฉยๆ ๑๐ นาที
ก็ทำตามท่าน
แล้วท่านก็สั่งว่า ให้ว่า อิติปิโสฯ หลัง ๑๐ นาทีแล้ว ท่านบอกดูได้พุ่งใจไปที่ของได้ พอพุ่งใจไปที่ของ ที่เห็นเป็นลำ ไม่เห็นของที่ปลุกเลย
แสงพระพุทธเจ้ากลบหมด..หนามาก "พระคำข้าว" เด่นทางมหาลาภ มีรูปพระพุทธชินราช (พระพุทธกัสสป) ด้านหน้า และด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อ.."
คัดลอกจากหนังสือ "ธัมมวิโมกข์" (ฉบับที่ ๑๔๕ หน้า ๖๓)
หลวงพ่อเคยบอกว่า "สมเด็จองค์ปฐม" ได้ให้ พระพุทธกัสสป, พระพุทธทีปังกร คุมเรื่องลาภ
"...องค์ปฐมก็มา และพระพุทธกัสสปก็มา สมเด็จพระพุทธทีปังกรก็มา...องค์ปฐมท่านบอกว่า เรื่องลาภนะ สมเด็จพระพุทธกัสสป หนักที่สุด
และรองลงมาคล้ายคลึงกันคือ สมเด็จพระพุทธทีปังกร ก็เลยถามท่านว่า
"พระพุทธเจ้ามีบารมีเต็มเหมือนกัน ทำไมแตกต่างกันเรื่องลาภ"
ท่านบอกว่า "สุดแล้วแต่การเริ่มต้น คู่อันไหนแรงกว่ากัน".. ท่านบอก "ให้พระพุทธกัสสปคุมเพราะลาภมาก" องค์ปฐมบอกว่า..."ลีลาต่างกันนิดหนึ่ง...
...สมเด็จพระพุทธทีปังกร : มีกำลังแข็งมากสู้แรงมาก
...พระพุทธกัสสป : ท่านนิ่มนวลในทางลาภมหาศาล
...แต่ลาภมหาศาลทั้งคู่ : ท่านก็เลยบอกว่าเป็นหน้าที่ของทั้ง ๒ องค์.."
ท่านพูดไว้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ในหนังสือ "ธัมมวิโมกข์"
(ฉบับที่ ๑๒๓ ประจำเดือนพฤษภาคม หน้า ๑๕)
...หลวงพ่อเคยบอกเกี่ยวกับราคาพระคำข้าวในอนาคตว่า อีก ๓๐ ปี พระคำข้าวจะมีค่าบูชาหลายหมื่น นี่ก็ผ่านมาแล้ว ๑๖ ปีครับ ก็ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ครับ...ท่านพูดไว้ดังนี้ครับ
หลวงพ่อ : "ก็ก่อนจะทำ (ทำพระคำข้าว) พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วให้ทำ บอกให้มันรวยทั้งวัดทั้งบ้าน คือว่าเอาไปขึ้นราคานิดหน่อยใชไหม ๑๐๐, ๒๐๐
ไม่หนักนัก อีก ๓๐ ปี หลายหมื่น...
ผู้ถาม : เฉพาะพระคำข้าวนี่หรือครับ ?
หลวงพ่อ : ใช่..ขอยืนยัน..!
อานุภาพพระคำข้าวมหาลาภ
(คัดลอกบางตอนจาก "หนังสือประวัติวัดท่าซุง" และหลวงพ่อพระราชหรหมยาน หน้า ๔๗
โดย พระบุญมา ปภาธโร เจ้าหน้าที่ธัมวิโมกข์ พิมพ์ สิงหาคม ๒๕๔๙)
"..มีเรื่องยืนยันจากเจ้าหน้าที่ "ศูนย์ศิลปาชีพ" ท่านหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาร่วมอุปสมบทหมู่ถวายพระราชกุศลฯ ที่วัดท่าซุง ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
เจ้าหน้าที่ท่านนี้ปฏิบัติภารกิจอยู่ภาคใต้ ญาติให้พระมาพกติดตัว ๑ องค์ เพราะความเป็นห่วงที่สถานการณ์ไม่ค่อยปกติ
ปรากฏว่าก่อนเดินทางมาบวชประมาณ ๓ วัน ได้ถูกผู้ร้ายดักยิงจนรถมอเตอร์ไซด์ล้มลง เจ้าหน้าที่ท่านนี้คิดว่าตนเองคงต้องตายแน่
เพราะผู้ร้ายได้มายืนจ่อยิงอีกหลายนัด แต่ไม่เข้าเลยสักนัดเดียว ทำให้เกิดความมั่นใจและนึกด่าผู้ร้าย ปรากฏว่าหลังจากนึกด่า ถูกผู้ร้ายยิงซ้ำอีก ๑ นัด
ลูกปืนทะลุเข้าฝังอยู่ใต้ผิวหนัง
ภายหลังแพทย์ได้ลงความเห็นว่าสามมารถเดินทางมาบวชก่อนได้เพราะไม่เป็นอันตราย หากผ่าตัดเอาลูกปืนออกจะต้องรักษาแผลหลายวัน
เจ้าหน้าที่ท่านนี้เมื่อมาบวชที่วัดท่าซุง ได้เล่าเหตุการณ์ให้พระพี่เลี้ยงฟัง และได้นำพระที่ห่อกระดาศทิชชูพกอยู่เพียงองค์เดียวมาให้ดู
จึงทราบว่าพระที่พกอยู่นั้นเป็น "พระคำข้าว" ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุงนี้เอง.."
จบกระทู้เรื่องนี้บริบูรณ์
◄ll กลับสู่สารบัญ
|
|