น้ำตาไหลทั้งประเทศ..เปิดคำทำนาย "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" ว่าเมื่อมีรัชกาลที่ 10 แล้วจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น
Go to News Update
(คลิกลงไปที่ข่าวล่าสุด..น้ำตาไหลทั้งประเทศ..เปิดคำทำนาย "หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" ว่าเมื่อมีรัชกาลที่ 10)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ กับวัดท่าซุง
เผยภาพเสด็จฯ อย่างเป็นทางการครั้งสุดท้าย
พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2558
โซเชียลเผยภาพ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เสด็จฯ อย่างเป็นทางการครั้งสุดท้าย ทรงโปรดฯ ให้องค์กรตุลาการเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณ เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม
2558
......วันที่ 14 ตุลาคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกออนไลน์ได้มีการเผยแพร่ภาพ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเสด็จฯ
อย่างเป็นทางการครั้งสุดท้าย ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ
โรงพยาบาลศิริราช
โดยทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลทหาร
และอัยการจังหวัดผู้ช่วย สำนักงานอัยการสูงสุด เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ในวันที่ 14 ธันวาคม 2558 เวลา 17.12 น.
เปิดภาพจดหมายตอบกลับจาก ในหลวง ถึงประชาชน
หลังรับจดหมายถวายพระพร
สุดซาบซึ้ง สาว 16 เปิดภาพจดหมายตอบกลับพระอาการ "พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙" ตรัส "ทรงขอบใจ" เจ้าตัวเผยไม่คิดไม่ฝันจะทรงตอบกลับ
ยืนยันจะเก็บรักษาจดหมายฉบับนี้ให้ดีที่สุด
วันที่ 14 ตุลาคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทวิตเตอร์ @Numkhing230143 ได้มีการเปิดเผยภาพจดหมายตอบกลับจาก พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙
หลังเคยเขียนส่งเพื่อถวายพระพรชัยมงคล ขณะที่พระองค์ท่านเสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตามคำกราบบังคมเชิญของคณะแพทย์ เพื่อถวายการรักษา เมื่อวันที่ 20
กรกฎาคม 2549 ซึ่งเนื้อหาในจดหมาย ระบุว่า ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว "ทรงขอบใจ"
ทั้งนี้ นางสาวชลลดา พุ่มอิ่ม อายุ 16 ปี ผู้เขียนจดหมายดังกล่าว เผยว่า ในขณะนั้นตนอายุเพียง 6 ขวบ ได้ตัดสินใจเขียนจดหมายให้ท่าน
โดยระหว่างเขียนก็มีการปรึกษาแม่และน้าตลอด เนื่องจากกลัวว่าภาษาที่เขียนจะแปลกและไม่เหมาะ ซึ่งมานึกย้อนกลับไปจำได้ว่าตอนนั้นตนดีใจมาก วิ่งอวดทุกคนในบ้าน
ว่าในหลวงตอบจดหมายกลับมาแล้ว โชคดีเหลือเกินที่จดหมายฉบับนี้ไม่ได้มีสภาพเก่าหรือสูญหาย ไม่อย่างนั้นตนคงเสียใจ
และตนจะเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้เป็นอย่างดีที่สุด
นอกจากนี้ นางสาวนิลุบล สุวัฒนมงคลชัย อายุ 51 ปี มารดานางสาวชลลดา กล่าวว่า เมื่อปี 2549
ลูกสาวของตนได้เขียนจดหมายถึงในหลวงให้หายจากพระอาการประชวรโดยเร็ว ซึ่งขณะนั้นเขาอายุเพียง 6 ขวบ ได้เขียนจดหมายส่งไปรษณีย์จ่าหน้าซองถึงสำนักพระราชวัง
และหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน ตนก็ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีจดหมายตอบกลับมา เรื่องราวดังกล่าวสร้างความปลาบปลื้มปีติอย่างหาที่สุดมิได้แก่ครอบครัวตน
มหัศจรรย์.. ภาพแสงจันทร์บนท้องฟ้า
คล้ายพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 9
โลกออนไลน์แชร์ภาพแสงจันทร์บนท้องฟ้าในคืนวันที่ 13 ตุลาคม 2559 คล้ายพระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จสู่สวรรคาลัย
......เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 หลังจากที่สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต
นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยและนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจแก่พสกนิกรทั่วประเทศ
ทั้งนี้ช่วงค่ำคืนวันเดียวกันนั้น โลกออนไลน์ต่างพากันแชร์ภาพสุดแสนมหัศจรรย์
เป็นภาพแสงจันทร์สาดส่องกระทบกับก้อนเมฆบนท้องฟ้าปรากฏเป็นภาพคล้ายพระบรมฉายาลักษณ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้คนที่ได้เห็น และร่วมกันถวายความอาลัยกันมากมาย
โดยภาพดังกล่าวถูกโพสต์จากเฟชบุ๊ก วิภา ฟาซอล เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมข้อความระบุว่า..
......ออกมาดูบนท้องฟ้าไหว้ในหลวงแล้วเห็นท้องฟ้าเป็นสีแดงหยิบโทรศัพจะถ่ายรูปไว้แต่ภาพที่เห็นเป็นรูปในหลวงค่ะ พิมไม่ถูกแล้วดูเลย
ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงตรัสไว้ว่า สมเด็จย่าเคยรับสั่ง
ตายแล้วห้ามร้องไห้ เพราะเป็นของธรรมดา
VIDEO
ครั้งหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ทรงตรัสไว้ว่า " สมเด็จย่าเคยรับสั่ง ตายแล้วห้ามร้องไห้ เพราะเป็นของธรรมดา คนเราก็ต้องตาย"
......ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศต่างตกอยู่ในความโศกเศร้ากับการสูญเสียครั้งที่ยิ่งใหญ่ หลังทราบข่าว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคต เมื่อช่วงค่ำวันที่ 13 ตุลาคม 2559 แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อครั้งพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
ทรงมีพระราชดำรัสเล่าพระอาการประชวรของพระองค์และคำสอนของสมเด็จย่า มีใจความตอนหนึ่งว่า...
"ตอนสมเด็จย่าทรงประชวร สมเด็จย่าเคยรับสั่ง ตายแล้วห้ามร้องไห้ เพราะเป็นของธรรมดา คนเราก็ต้องตาย"
.....สุดท้ายที่พระองค์ท่านฝากไว้ให้แก่ชาวไทยตลอดทุกปี นั่นก็คือ พระราชดำรัสอวยพรปีใหม่ และ พระราชทาน ส.ค.ส.
ต่อไปนี้พสกนิกรชาวไทยคงไม่ได้เห็นฝีพระหัตถ์ในการออกแบบพิมพ์ ส.ค.ส. ด้วยพระองค์อีกแล้ว...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. 2559 แก่ชาวไทย
........."ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทาน ส.ค.ส. ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2559 ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า
โดยเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ครึ่งพระองค์ ฉลองพระองค์เชิ้ตด้านใน ฉลองพระองค์คลุมสีขาว ปักภาพคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง
กลางภาพ ส.ค.ส. มีพรพระราชทานว่า "ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ"
ด้านบนของ ส.ค.ส.มีขอความว่า "สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๙" พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีม่วง มีตราพระมหาภิไชยมงกุฏ และผอบทองประดับ
ด้านล่างของภาพมีรูปลิง สัญลักษณ์ปีนักษัตรปีวอกสีฟ้า มีข้อความภาษาไทยพิมพ์ด้วยอักษรสีเขียวว่า "ขอจงมีความสุขความเจริญ"
และข้อความภาษาอังกฤษพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลืองว่า "Happy New Year"
ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีแถบสีฟ้ามุมด้านล่างซ้ายมีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 311502 ธ.ค.2558 มุมด้านขวามีข้อความว่า "มหาวิทยาลัยปูทะเลย์ มิถิลา ๒๕๕๘"
กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านละ 2 แถว รวม 396 หน้า ทุกใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม
- ส.ค.ส. พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทย ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2559
- วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม 2558
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ พระราชดำรัสเนื่องในวันปีใหม่ 2559
VIDEO
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ มีพระราชดำรัส แด่ปวงชนชาวไทย เนื่องในวาระขึ้นปีใหม่ ว่า
".......บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพรแก่ท่านทุก ๆ คน ให้มีความสุข ความเจริญ
และความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา
ความสุขความเจริญนี้แม้เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาอย่างยิ่ง แต่ในวิถีชีวิตของคนเรานั้น ย่อมต้องมีทั้งสุขและทุกข์
ทั้งความสมหวังและผิดหวังเป็นปรกติธรรมดา ทุกคนจึงต้องเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมการให้พร้อม อย่าประมาท ในปีใหม่นี้
จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้รักษาและสร้างเสริมสุขภาพของตนให้สมบูรณ์ ให้มีกำลังกายที่แข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็งหนักแน่น และมีสติรู้เท่าทันอยู่เสมอ
จักได้สามารถนำพาตนให้ผ่านพ้นสถานการณ์ต่าง ๆ อันไม่พึงประสงค์ จนบรรลุถึงความสุข ความเจริญ และความสำเร็จได้ดังที่ตั้งใจปรารถนา
ขออานุภาพคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคน ให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ
ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน"
พระราชดำรัสเนื่องในวันปีใหม่ 2558
VIDEO
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพรปีใหม่ให้แก่ปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสปีใหม่ พุทธศักราช 2558 ความว่า
.........ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน ให้มีความสุข ความเจริญ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารภปรารถนา
ในปีใหม่นี้ขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งใจเที่ยงตรงแน่วแน่ ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด ให้คิดให้ดี ให้รอบคอบและรอบด้าน เพื่อให้การกระทำนั้น
บังเกิดผลเป็นความสุขความเจริญที่แท้จริงและยั่งยืน ทั้งแก่ตนเองและประเทศชาติ
ขออานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีความสุขสวัสดี พร้อมด้วยพรอันเป็นมงคลทุกประการ
คลิปข่าว - สำนักข่าวไทย
พระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ประจำปี 2558
ในหลวงพระราชทาน ส.ค.ส.พระมหาชนก ประจำปี 2558
.....วันที่ 31 ธ.ค.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบัตรอวยพร ส.ค.ส. พุทธศักราช 2558 "พระมหาชนก" แก่ปวงชนชาวไทย
บัตรอวยพร ส.ค.ส. พุทธศักราช 2558 พระมหาชนก
"ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์"
ขอจงมีความสุขความเจริญ HAPPY NEW YEAR
ทั้งนี้ ส.ค.ส.พระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2558 นี้
เป็นภาพจากพระราชนิพนธ์พระมหาชนกการ์ตูนในเหตุการณ์ขณะที่เรือกำลังแล่นไปสุวรรณภูมิล่ม พระมหาชนกต้องอดทนว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรนานถึง 7 วัน 7 คืน
และนางมณีเมขลาได้มาอำนวยพรให้
กลางภาพ ส.ค.ส.มีพรพระราชทานพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ว่า ขอให้ทุกคนมีความเพียรที่บริสุทธิ์ปัญญาที่เฉียบแหลมกำลังกายที่สมบูรณ์
ด้านล่างของภาพข้อความภาพขวามีข้อความภาษาไทย ขอจงมีความสุขความเจริญ และข้อความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีขาว ว่า
HAPPY NEW YEAR และชื่อพระราชนิพนธ์พระมหาชนก The Story of MAHAJANAKA
ด้านซ้ายบนของ ส.ค.ส.มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎและผอบทองประดับ มีตัวอักษรสีเหลือง พร้อมข้อความว่า ส.ค.ส.2558
และตัวอักษรสีขาวข้อความว่า สวัสดีปีใหม่
ด้านล่างของ ส.ค.ส.มีแถบสีเขียวเข้ม มุมล่างซ้ายมีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 301021 ธ.ค.2557 มุมด้านขวาข้อความมหาวิทยาลัยปูทะเลย์ มิถิรา
2557 กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านบนด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันด้านละ 2 แถว ส่วนด้านล่างเรียงกัน 3 แถว
ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม
ขอบคุณ - thairath.co.th
(Update 6-12-52)
"ในหลวง" เสด็จออกมหาสมาคมฯ 5 ธันวาคม 2552
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์
เหล่าข้าราชการที่เข้าถวายพระพร เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 52
.....เมื่อเวลา 10.58 น. วันที่ 5 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เสด็จฯ ออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2552 โดยมีองคมนตรี นายกรัฐมนตรี
ประธานรัฐสภา นำเหล่าข้าราชการเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพร
โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสตอบพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่าข้าราชการที่เข้าถวายพระพรเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค.
ใจความว่า...
"ขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่งที่มีไมตรีจิต พรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด
ด้วยถ้อยคำที่เลือกสรรมาจากใจจริง ซึ่งปราถนาดีมุ่งหมายให้ข้าพเจ้ามีความสุข ความสวัสดี ความสวัสดีของข้าพเจ้าเกิดขึ้นได้ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญ
มั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงได้ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา
รู้คิด และด้วยความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น
จึงขอให้ท่านทั้งหลายในที่นี้ ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญ อยู่ในสถาบันหลักของประเทศ และชาวไทยทุกคน ทุกหมู่เหล่า ทำความเข้าใจในหน้าที่ของตนให้กระจ่าง
แล้วทำตั้งจิต ตั้งใจ ให้เที่ยงตรง หนักแน่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนในดีที่สุด เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ส่วนรวมอันไพบูลย์ คือ ชาติ บ้านเมือง
ให้เป็นถิ่นที่อยู่ ที่ทำกินของเรา มีความเจริญมั่นคงยั่งยืนไป ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์
ปราศจากภัย และอำนวยสุขสิริสวัสดิ์ศุภเฉลิมมงคลให้สำเร็จผลขึ้นแก่กันทั่วหน้า"
ภาพข่าว - ทีวี และ นสพ.
คนไทยรักในหลวง
ของขวัญวันพ่อ
ต้นไม้ของพ่อ -
เบิร์ด ธงไชย
โชคดีที่มีในหลวง
โชคดีที่เรามีในหลวง โชคดีที่เรามีในหลวง โชคดีที่เรามีในหลวง ภูมิใจเหนือสิ่งอื่นใด
ได้เกิดมาใต้ร่มโพธิ์ทอง รักกันดั่งพี่น้อง แผ่นดินแหลมทองเลื่องชื่อลือไกล ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว
พร่างพราวเรื่อเหลืองวิไล ทุกชีวิตสดใส ใต้ร่มบารมี องค์จักรีภูมิพล
เป็นบุญของแผ่นดินไทย ภูวนัยเป็นหลักแห่งไทย ศูนย์รวมแห่งดวงใจ ไทยเทิดทูนไว้
เหนือเกล้าทุกคน เกิดทุกข์เภทภัย ใกล้ไกลในหล้า ประชาเดือดร้อนสับสน บารมีพ่อพระภูมิพล
เสมือนหยาดฝน ได้คลายฉ่ำเย็น
โชคดีที่เรามีในหลวง โชคดีที่เรามีในหลวง โชคดีที่เรามีในหลวง พรท่องไป ดุ่มไปถิ่น
ไกลในถิ่นกันดาร ทั่วถิ่นทุกสถาน พร้อมประทานความร่มเย็นให้ แม้สังขาร ธ ห่อโหย เหนื่อยล้า
เพียงใด พระบิดาแห่งไทย ไม่เคยย่อท้อ
สายพระเนตรที่กว้างยาวไกล และทรงห่วงใยในพสกนิกร พระราชดำริไว้ก่อน พระจัดขั้นตอนแก้ไขต่อเติม ทุกข์ร้อนกลับเย็น ด้วยพระเกื้อก่อ โอ้พ่อพระในดวงใจไทย
เกิดในชาติใดภพใด
ขอให้เกิดใต้พระบารมีองค์จักรีภูมิพล
พระราชดำรัสเนื่องในวันปีใหม่ ๒๕๕๗
VIDEO
เมื่อวันที่ ๓๑ ธ.ค. เนื่องในวาระวันขึ้นปีใหม่ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีพระราชดำรัสอวยพรปีใหม่ให้แก่ประชาชนชาวไทย
มีใจความดังนี้
.......ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดี มาอวยพรแก่ท่านทุกๆ คน
ให้มีความสุขความเจริญและความสำเร็จสมประสงค์ในสิ่งที่ปรารถนา ความปรารถนาของทุกๆคนคงไม่แตกต่างกันนักคือ
ต้องการให้ตนเองมีความสุขความเจริญและให้บ้านเมืองมีความสงบร่มเย็น
ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิตให้สมบูรณ์แข็งแรง เพื่อให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เต็มกำลัง ข้อสำคัญ จะคิดจะทำสิ่งใด
ให้นึกถึงส่วนรวมและความเป็นไทยไว้เสมอ งานของตนและงานของชาติจะได้ดำเนินก้าวหน้าไปโดยถูกต้องเที่ยงตรง
ไม่ติดขัดและบรรลุถึงประโยชน์เป็นความสุขความเจริญและความสงบร่มเย็น ดังที่ทุกคน ตั้งใจปรารถนา
ขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย ให้มีความสุขกาย สุขใจ ตลอดศกหน้านี้โดยทั่วกัน
พระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ส.ค.ส. ประจำปี ๒๕๕๗
ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน
ส.ค.ส. พระราชทานพรปีใหม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช ๒๕๕๗แก่ประชาชนชาวไทย
......ส.ค.ส.พระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2557 นี้ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในฉลองพระองค์สากลสีน้ำเงินเข้ม ทรงผูกเนคไทสีเขียวอ่อน มีลวดลาย เข้าชุดกับผ้าปักพระกระเป๋า ฉลองพระองค์ชั้นใน เป็นเชิ้ตขาว ฉลองพระบาทสีดำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับพระเก้าอี้สีขาวหน้าพระแกล หรือหน้าต่าง ณ พระ ตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน ทรงฉายกับคุณทองแดง
สุนัขที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ สวมเสื้อสีเหลือง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา
ด้านขวาบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านซ้ายมีผอบทอง ประดับ ด้านล่างของผอบทอง มีตัวอักษรสีเหลือง ข้อความว่า
ส.ค.ส. ๒๕๕๗ และตัวอักษรสีส้ม ข้อความว่า สวัสดีปีใหม่
ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความภาษาไทย พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีฟ้าว่า
ขอจงมีความสุขความเจริญ และข้อความภาษาอังกฤษ พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเขียวเข้มว่า HAPPY
NEW YEAR 2014
ด้านล่างของ ส.ค.ส.มีแถบสีเขียวเข้ม มุมล่างขวา มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 060931 ธค.56
พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad Publishing , D Bramaputra , Publisher
กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านซ้ายและด้านขวาเรียงกันด้านละ 3 แถว
ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ 2 แถว ทุกหน้า มีแต่รอยยิ้ม
ขอบคุณ - posttoday.com
พระมหากษัตริย์..ยอดกตัญญู
ลูก ๆ ทุกคน...ก็ได้รู้กันแล้วว่า ความหวังของแม่ ..ที่มีต่อลูก 3 หวังคือ...
ยามแก่เฒ่า หวังเจ้า เฝ้ารับใช้
ยามป่วยไข้ หวังเจ้า เฝ้ารักษา
เมื่อถึงยาม ต้องตาย วายชีวา
หวังลูกช่วย ปิดตา เมื่อสิ้นใจ
ทีนี้...มาดูตัวอย่างบ้าง..บุคคลที่เป็นยอดกตัญญูที่ประทับใจอาจารย์มากที่สุด คือใคร ทราบไหม? คือในหลวง ของเรา...
ในหลวง...นอกจากจะเป็นยอดพระมหากษัตริย์ของโลก.. เป็น THE KING OF KINGS แล้ว ในหลวงของเรา ยังเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูด้วย ความหวังของแม่...ทั้ง 3 หวัง
ในหลวงปฏิบัติได้ครบถ้วน ... สมบูรณ์ เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ให้แก่พวกเรา ในหลวงทำกับแม่ยังไง ? ตามอาจารย์มา...อาจารย์จะฉายภาพให้เห็น....
หวังที่ 1. ยามแก่เฒ่า..หวังเจ้า..เฝ้ารับใช้...
ใครเคยเห็นภาพที่... สมเด็จย่า เสด็จไปในที่ต่าง ๆ แล้วมีในหลวง..ประคองเดินไปตลอดทาง...เคยเห็นไหม...?
ใครเคยเห็น...กรุณายกมือให้ดูหน่อย...ขอบคุณ...เอามือลง
ตอนสมเด็จย่าเสด็จไปไหนเนี่ย.. มีคนเยอะแยะ... มีทหาร... มีองครักษ์ ...มีพยาบาล.. ที่คอยประคองสมเด็จย่าอยู่แล้ว แต่ในหลวงบอกว่า..."ไม่ต้อง.... "
คนนี้...เป็นแม่เรา...เรา ประคองเอง ตอนเล็ก ๆ แม่ประคองเรา ..สอนเราเดิน หัดให้เราเดิน... เพราะฉะนั้น.. ตอนนี้แม่แก่แล้ว...เราต้องประคอง แม่เดิน
เพื่อเทิดพระคุณท่าน... ไม่ต้องอายใคร...
เป็นภาพที่...ประทับใจมาก... เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ท่านกตัญญูต่อแม่.. ประคองแม่เดิน ประชาชนที่มาเฝ้ารับ เสด็จ ... สองข้างทาง ฝั่งนี้ 5,000 คน
ฝั่งนู้น.....8,000 คน ยกมือขึ้น...สาธุ แซ่ซ้อง..สรรเสริญ "กษัตริย์ยอดกตัญญู..."
ในหลวง..เดินประคองแม่.. คนเห็นแล้ว ...เขาประทับใจ ถ่ายรูป...เอามาทำปฏิทิน ...เอาไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อ แสดงความเคารพ...กราบไหว้...
ลองหันมาดูพวกเรา...ส่วนใหญ่เวลาออกไปไหน แต่งตัวโก้... ลูกชาย..แต่งตัวโก้... ลูกสาว..แต่งตัวสวย... แต่ เวลาเดิน...ไม่มีใครประคองแม่
กลัวไม่โก้...กลัวไม่สวย ข้าราชการ...แต่งเครื่องแบบเต็มยศ... ติดเหรียญตรา...เหรียญ กล้าหาญ...เต็มหน้าอก...
แต่เวลาเดิน...ไม่กล้าประคองแม่... กลัวไม่สง่า...กลัวเสียศักดิ์ศรี... ประคองแม่ .... เป็นเรื่อง ของ...คนใช้... หลายคน...ให้ประคองแม่.. ไม่กล้าทำ
อาย... เวลาทำดี..ไม่กล้าทำ...อาย เวลาทำชั่ว...กล้า....ไม่ อาย...
ใครเห็นภาพนี้ที่ไหน...กรุณาซื้อใส่กรอบ... แล้วเอาไปแขวนไว้ที่บ้าน...เอาไว้สอนลูก เห็นภาพชัดเจนไหมครับ? เท่านั้น
...ยังน้อยไป...มาดูภาพที่ชัดเจนกว่านั้น...
หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า...เสร็จสิ้นลงแล้ว ราชเลขา..ของสมเด็จย่า... มาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อ มวลชน...ว่า... ก่อนสมเด็จย่า
จะสิ้นพระชนม์..ปีเศษ...ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวง..เสด็จจากวังสวนจิตร.. ไปวังสระปทุม ตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ....? ไปกินข้าวกับแม่...
ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่..ชุ่มชื่นหัวใจ...
พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง.. โฮ้โห....ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเรา เสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่... สัปดาห์ละกี่วัน...ทราบไหม ครับ ?
พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน ? 5 วัน......
มีใครบ้างครับ....? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่ ...สัปดาห์ละ 5 วัน หายาก.........ในหลวง มี โครงการเป็นร้อย...เป็นพันโครงการ...
มีเวลาไปกินข้าวกับแม่..สัปดาห์ละ 5 วัน พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก..พล ตรี...อธิบดี..ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่....บอกว่า...งานยุ่ง
แม่บอกว่า...ให้พาไปกินข้าวหน่อย..บอกว่า ไม่มี เวลา จะไปตีกอล์ฟ... ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว... แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง ..?
พ่อแม่..พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง... ฝนตก...น้ำเซาะ..อีกไม่นานโค่น... พอถึงวันนั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบ แล้ว... ในหลวงจึงตัดสินพระทัย...
ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5 วัน เมื่อตอนที่สมเด็จย่าอายุ...93 สัปดาห์หนึ่งมี 7 วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่ 5 วัน อีก 2 วัน ไปไหนครับ ....?
ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า.... ในหลวง...ถือศีล 8 วันพระ ถือศีล 8 นี่ยังไง...? ต้องงดข้าวเย็น... เลยไม่ได้ไปหาแม่...วันนี้เพราะ ถือศีล
อีกวันหนึ่งที่เหลือ... อาจจะกิน ข้าวกับพระราชินี..กับคนใกล้ชิด แต่ 5 วัน....ให้แม่ เห็นภาพชัดแล้วใช่ไหม...?
ตอนนี้เราขยับเข้าไปใกล้ ๆ หน่อย ไปดูตอนกินข้าว... ทุกครั้ง...ที่ในหลวงไปหาสมเด็จย่า... ในหลวงต้องเข้าไป กราบ ที่ตัก...
แล้วสมเด็จย่า...ก็จะดึงตัวในหลวง... เข้ามากอด..กอดเสร็จก็หอมแก้ม... ใครเคยเห็นภาพสมเด็จย่า..หอม แก้มในหลวงบ้าง...?
ภาพนี้...ถ้าใครมี...ต้องเอาไปใส่กรอบ เป็นภาพความรักของแม่...ที่มีต่อลูก..อย่างยอดเยี่ยม
ตอน สมเด็จย่า..หอมแก้มในหลวง...อาจารย์คิดว่า แก้มในหลวง...คงไม่หอมเท่าไร ..เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอม แต่ทำไม... สมเด็จย่าหอมแล้ว...ชื่นใจ...
เพราะท่านได้กลิ่นหอม... จากหัวใจในหลวง หอมกลิ่นกตัญญู ไม่นึกเลยว่า...ลูกคนนี้จะ กตัญญูขนาดนี้ จะรักแม่มากขนาดนี้ ตัวแม่เองคือ
สมเด็จย่า...ไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นคนธรรมดา...สามัญชน...เป็น เด็กหญิงสังวาลย์ เกิดหลังวัดอนงค์...เหมือนเด็กหญิงทั่วไป... เหมือนพวกเราทุกคนในที่นี้
ในหลวงหน่ะ... เกิดมาเป็น พระองค์เจ้า เป็นลูกเจ้าฟ้า ปัจจุบันเป็นกษัตริย์...เป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เหนือหัว แต่ในหลวง..ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน....
ก้มลงกราบ..คนธรรมดา..ที่เป็นแม่ หัวใจลูก...ที่เคารพแม่... กตัญญูกับแม่อย่างนี้ หาไม่ได้อีกแล้ว... คนบางคน...พอ
เป็นใหญ่เป็นโตไม่กล้าไหว้แม่....เพราะแม่มาจากเบื้องต่ำ... เป็นชาวนา....เป็นลูกจ้าง... ไม่เคารพแม่....ดูถูกแม่......
แต่ นี่...ในหลวง เทิดแม่ไว้เหนือหัว... นี่แหละครับความหอม นี่คือเหตุที่สมเด็จย่า...หอมแก้มในหลวงทุกครั้ง... ท่านหอม
ความดี...หอมคุณธรรม...หอมกตัญญู..ของในหลวง หอมแก้มเสร็จแล้ว...ก็ร่วมโต๊ะเสวย... ตอนกินข้าวนี่...ปกติ...แค่ เห็นลูกมาเยี่ยม...ก็ชื่นใจแล้ว...
นี่ลูกมากินข้าวด้วย...โอย...ยิ่งปลื้มใจ
แม่ทั้งหลาย..ลองคิดดูซิ... อะไรอร่อยๆ ในหลวง จะตักใส่ช้อนแม่... อันนี้อร่อย...แม่ลองทาน... รู้ว่าแม่ชอบทานผัก... หยิบผักมาม้วนๆ ใส่ช้อนแม่...
เอ้าแม่...แม่ทาน ซะ...ของที่แม่ชอบ แทนที่จะกินแค่ 3 คำ 4 คำ ก็เจริญอาหาร...กินได้เยอะ เพราะมีความสุขที่ได้กินข้าวกับลูก มีความ
สุขที่ลูกดูแล....เอาใจใส่... กินข้าวเสร็จแล้ว...ก็มานั่งคุยกับแม่...
ในหลวงดำรัสกับแม่ว่าไง...ทราบไหม...? ตอน ในหลวงเล็กๆ...แม่เคยสอนอะไรที่สำคัญ... "อยากฟังแม่สอนอีก" เป็นยังไงบ้าง...?
เป็นกษัตริย์...ปกครองประเทศ... อยากฟังแม่สอนอีก... พวกเรา เป็นยังไง...? เราคิดว่า...เรารู้มาก...เราเรียนสูง... เรามีปริญญา...แม่จบ ป.4 เวลาแม่
สอน....ตะคอกแม่ ตวาดแม่ กระทืบเท้าใส่แม่ เบื่อจากตายอยู่แล้ว...รำคาญ.... พูดจาซ้ำซาก...เมื่อไหร่จะหยุดพูดซะที... เราเหยียบย่ำ หัวใจแม่......
พอสมเด็จย่าสอน... ในหลวงจะเอากระดาษมาจด... มีอยู่เรื่องหนึ่ง...ที่จำได้แม่น.. สมเด็จย่า...เล่าว่า ตอนเรียน หนังสือที่ Swiss
ในหลวงยังเล็กอยู่...เข้ามาบอกว่า..อยากได้รถจักรยาน เพื่อนๆ เขามีจักรยานกัน แม่บอกว่า...ลูกอยาก ได้จักรยาน...
ลูกก็เก็บสตางค์...ที่แม่ให้ไปกินที่โรงเรียนไว้ซิ... เก็บมาหยอดกระปุก..วันละเหรียญ...สองเหรียญ พอได้ มากพอ...ก็เอาไปซื้อจักรยาน...
นี่คือสิ่งที่แม่สอน...
แม่สอนอะไร..ทราบไหมครับ...?
ถ้าเป็นพ่อแม่บางคน... พอลูกขอ...รีบกดปุ่ม ATM ให้เลย ประเคนให้เลย..ลูกก็ ฟุ้งเฟ้อ...ฟุ่มเฟือย... เหลิง...และหลงตัวเอง
พอโตขี้น...ขับรถเบนซ์ชนตำรวจ...ก็ได้... ยิงตำรวจ...ยังได้..เพราะหลงตัว เอง..พ่อกูใหญ่ เห็นไหม.....? ตามใจเทิดทูน จนเสียคน...
แต่สมเด็จย่านี่...เป็นยอดคุณแม่.. สร้างคุณธรรมให้แก่ลูก.. ลูกอยากได้..ลูกต้องเก็บสตางค์ที่แม่ให้...ไปหย่อนกระปุก... แม่สอน 2 เรื่อง
คือ...ให้ประหยัด....ให้ยืนอยู่บนขาของตัว เอง "ความประหยัด...เป็นสมบัติของเศรษฐี" ใครสอนลูกให้ประหยัดได้.. คนนั้นกำลังมอบความเป็นเศรษฐีให้แก่ลูก พอ
ถึงวันปีใหม่..สมเด็จย่าก็บอกว่า... "ปีใหม่แล้ว...เราไปซื้อจักรยานกัน.." เอ้า...แคะกระปุก..ดูซิว่ามีเงินเท่าไร...? เสร็จ แล้ว...สมเด็จย่าก็แถมให้...
ส่วนที่แถมนะ...มากกว่าเงินที่มีในกระปุกอีก... มีเมตตา...ให้เงินลูก... ให้...ไม่ได้ให้เปล่า... สอนลูกด้วย...สอนให้ประหยัด
สอนว่า...อยากได้อะไร...ต้องเริ่มจากตัวเรา... คำสอนนั้น...ติดตัวในหลวงมาจนทุก วันนี้.... เขาบอกว่า..ในสวนจิตรเนี่ย...
คนที่ประหยัดที่สุด...คือ...ในหลวง... ประหยัดที่สุด..ทั้งน้ำ..ทั้งไฟ... เรื่อง ฟุ้งเฟ้อ..ฟุ่มเฟือย...ไม่มี... เป็นอันว่า...ภาพนี้..ชัดเจน..
ดูว่าในหลวง ทำกับแม่ ยังไง...?
หวังที่ 2. ยามป่วยไข้...หวังเจ้า..เฝ้ารักษา
สมเด็จย่า..ประชวร อยู่ทีโรงพยาบาลศิริราช.. ในหลวงไปเยี่ยม..ตอนไหน ครับ..? ไปเยี่ยมตอน ตี 1 ตี 2 ตี 4 เศษ ๆ..จีงเสด็จกลับ..
ไปเฝ้าแม่วันละหลายชั่วโมง... แม่...พอเห็นลูกมาเยี่ยม..ก็ หายป่วยไปครึ่งหนึ่งแล้ว.. ทีมแพทย์ที่รักษาสมเด็จย่า..
เห็นในหลวงมาเยี่ยมมาประทับก็ต้องฟิต...ตามไปด้วย ต้อง ปรึกษาหารือกันตลอดว่า..จะให้ยายังไง...จะเปลี่ยนยาไหม..? จะปรับปรุงการรักษายังไง...ให้ดีขึ้น...
ทำให้สมเด็จย่า.. ได้รับการดูแลที่ดีขึ้น... เห็นภาพไหม...?
กลางคืน .... ในหลวงไปอยู่กับสมเด็จย่า... คืนละหลายชั่วโมง..ไปให้ความอบอุ่นทุกคืน ลองหันมาดูตัวเราเอง ซิ... ตอนพ่อแม่ป่วย..โผล่หน้าเข้าไปดูหน่อยนึง
ถามว่า...ตอนนี้..อาการเป็นยังไง....? พ่อแม่...ยังไม่ทันตอบเลย ฉันมี ธุระ งานยุ่ง ต้องไปแล้ว.... โผล่หน้าไปให้เห็น... พอแค่เป็นมารยาท..แล้วก็กลับ..
เราไม่ได้ไปเพราะความกตัญญู... เรา ไม่ได้ไปเพื่อทดแทนพระคุณท่าน........น่าอายไหม...? ในหลวง...เสด็จไปประทับกับแม่... ตอนแม่ป่วย....ไปทุกวัน...ไป
ให้ความอบอุ่น... ประทับอยู่วันละหลายชั่วโมง...นี่คือ...สิ่งที่ในหลวงทำ
คราวหนึ่ง...ในหลวงป่วย...สมเด็จย่า...ก็ป่วย.. ไปอยู่ศิริราช..ด้วยกัน..อยู่คนละมุมตึก.. ตอนเช้า..ในหลวงเปิด ประตู...แอ๊ด......ออกมา...
พยาบาลกำลังเข็นรถสมเด็จย่า ...ออกมารับลมผ่านหน้าห้องพอดี ในหลวง..พอเห็นแม่.. รีบออกจากห้อง..มาแย่งพยาบาลเข็นรถ มหาดเล็ก ...กราบทูลว่า ไม่เป็นไร..
ไม่ต้องเข็น มีพยาบาลเข็นให้อยู่แล้ว ในหลวงมีรับสั่งว่า.....แม่ของเรา.... ทำไมต้องให้คนอื่นเข็น.... เราเข็นเองได้...
นี่ขนาดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน...เป็นกษัตริย์....ยังมาเดินเข็นรถให้แม่ ยังมาป้อนข้าว...ป้อนน้ำให้แม่...ป้อนยาให้แม่
ให้ความอบอุ่นแก่แม่....เลี้ยงหัวใจแม่... ยอดเยี่ยมจริงๆ... เห็นภาพนี้แล้ว.....ซาบซึ้ง..... มาตามดูต่อ.....
หวังที่ 3. เมื่อถึงยาม...ต้องตาย...วายชีวา... หวังลูกช่วย..ปิดตา.......เมื่อสิ้นใจ...
วันนั้น... ในหลวง..เฝ้าสมเด็จย่า อยู่จนถึงตี 4 ตี 5 เฝ้าแม่อยู่ทั้งคืน... จับมือแม่..กอดแม่...ปรนนิบัติแม่... จน กระทั่ง.."แม่หลับ..."
จึงเสด็จกลับ... พอไปถึงวัง... เขาโทรศัพท์มาแจ้งว่า...สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์... ในหลวง..รีบเสด็จ กลับไป..ศิริราช... เห็นสมเด็จย่า..นอนหลับตาอยู่บนเตียง..
ในหลวงทำยังไงครับ......?
ในหลวงตรงเข้าไป....คุกเข่า.... กราบลงที่หน้าอกแม่.... พระพักตร์ในหลวง...ตรงกับหัวใจแม่... "ขอหอมหัวใจแม่...เป็นครั้งสุดท้าย......"
ซบหน้านิ่ง.... อยู่นาน... แล้วค่อยๆ...เงยพระพักตร์ขึ้น.... น้ำพระเนตรไหลนอง...... ต่อไปนี้....จะไม่มีแม่ให้หอมอีกแล้ว.... เอามือ... กุมมือแม่ไว้
มือนิ่มๆ ...ทีไกวเปลนี้แหละ ที่ปั้นลูก...จนได้เป็น กษัตริย์... เป็นที่รักของคนทั้งบ้านทั้งเมือง... ชีวิตลูก...แม่ ปั้น...
มองเห็นหวี....ปักอยู่ที่ผมแม่....
ในหลวงจับหวี...ค่อยๆ หวีผมให้แม่... หวี...หวี...หวี.... หวี...ให้แม่สวยที่สุด.... แต่งตัวให้แม่...ให้แม่สวยที่สุด... ในวันสุดท้ายของแม่....
เป็นภาพที่ประทับใจอาจารย์ที่สุด.... เป็นสุดยอดของลูก กตัญญู... หาที่เปรียบไม่ได้อีกแล้ว.... กษัตริย์...ยอดกตัญญู ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ฯ
ที่มา : หนังสือเรื่อง หยุดความชั่วที่ไล่ล่าตัวคุณ ของ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ
พระราชประวัติของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เรียบเรียงโดย พระอาจารย์ชัยวัฒน์ อชิโต
พระราชสมภพ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดีจักรี นฤบดินทร์ สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันจันทร์ที่
๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๗๐ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงมีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช
พระองค์ทรงมีพระเชษฐภคินีและพระบรมเชษฐา ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา และ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
พระองค์ทรงพระราชสมภพในราชสกุล "มหิดล" อันเป็นสายหนึ่งในพระบรมราชจักรีวงศ์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ซึ่งเป็นพระโอรสใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
ในระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด๎ ขณะนั้นมีพระชนมพรรษาได้ ๑๘ ปี ๖ เดือน ๔ วัน ก็ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ
เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ สืบแทนสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ซึ่งเสด็จสวรรคตโดยกระทันหัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงสืบสันตติวงศ์จากอดีตพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้งหลาย เพื่อที่จะได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ
อันยังคุณประโยชน์อเนกอนันต์แก่ปวงประชาชนชาวไทยสืบต่อไป ซึ่งทวยราษฎร์ทั้งหลายต่างตระหนักและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ เป็นด้วยเหตุว่าสมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคต ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุเพียง ๑ พรรษา กับอีก ๙ เดือนเท่านั้น
จึงตกเป็นพระราชภาระใน สมเด็จพระบรมราชชนนี ที่จะทรงอภิบาลพระราชโอรสและพระราชธิดาทั้งสามพระองค์ตามลำพัง
แต่ด้วยเดชะพระบารมีแห่ง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระปรีชาสามารถ อย่างยิ่ง ทรงอภิบาลรักษาพระราชโอรส พระราชธิดา
ให้ทรงพระเจริญงามพร้อมด้วยพระราชจริยวัตร และสมบูรณ์ด้วยพระสติปัญญา สมพระอิสริยยศและความหวังของปวงชน
ครั้นต่อมาก็ได้เข้าสู่พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระธิดาคนโตของ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ กับ
หม่อมหลวงบัว กิติยากร เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๓
เสด็จขึ้นครองราชย์
ต่อมาวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นสู่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็น พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยทรงเปล่ง
พระปฐมบรมราชโองการ ดังนี้ว่า...
เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อ ประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม...
หลังจากนั้น มีพระบรมราชโองการโปรด เกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาสมเด็จพระราชินี เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
ตามโบราณขัตติยราชประเพณี ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาด้วยกัน รวมทั้งสิ้น ๔ พระองค์
ในระหว่างที่ทรงครองราชสมบัตินั้น ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ ได้บำเพ็ญพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณประโยชน์นานัปการ
ทั้งในด้านการสังคมสงเคราะห์ด้านการสาธารณสุข ด้านการส่งเสริมอาชีพ การหาแหล่งน้ำ เป็นต้น
พระองค์ทรงประกอบ สังคหวัตถุ ๔ ประการ ทรงบำเพ็ญ ทศพิธราชธรรม ดุจดั่ง พระมหาสมมติราช
อันเป็นคุณสมบัติสำหรับพระมหากษัตริย์ทั้งหลายที่ได้รับการยกย่องว่า ทรงเป็น "พระเจ้าธรรมมิกราช" อย่างแท้จริง
สำหรับพระราชกรณียกิจในด้านพระพุทธศาสนา ในฐานะที่ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกยอยกพระพุทธศาสนา พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจ
เพื่อเป็นประโยชน์ส่วนพระองค์ไว้เป็นแบบอย่าง ในฐานะทรงเป็น "พุทธมามกะ" ดังเช่นกับบุคคลอื่นผู้เกิดบนผืนแผ่นดินไทย ภายใต้ร่มเงาของผ้ากาสาวพัสตร์
จึงได้เสด็จออกทรงผนวชเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ นับเป็นเวลา ๑๕ วัน
เสด็จพระราชดำเนินวัดท่าซุง
และที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมนั้น พระองค์ได้ทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา และ ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะที่ "วัดท่าซุง" แห่งนี้
พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินมาถึง ๒ วาระ ดังนี้คือ...
ครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๘ เนื่องในพระราชพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์พระประธานในพระอุโบสถ และทรงเททองหล่อรูป หลวงพ่อปาน
วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา
และครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๐ เนื่องในพระราชพิธีตัดลูกนิมิต ณ พระอุโบสถใหม่ พระองค์ได้ทรงปฏิสันถาร
สนทนาธรรมกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และได้นิมนต์หลวงพ่อเพื่อทรงสนทนาธรรม และออกเดินทางเยี่ยมเยียนทหารตำรวจชายแดน ในที่หลายแห่งและหลายวาระ
ส่วนทางด้านธรรมปฏิบัติ พระองค์ก็ยังได้สนับสนุนในกิจการนี้ ด้วยการพระราชทาน "เครื่องบันทึกเทป" เพื่อไว้ให้หลวงพ่อสั่งสอนลูกศิษย์อีกด้วย
จนกระทั่งต่อมาภายหลังทรงมีพระราชประสงค์ให้ตั้ง ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ขึ้นที่วัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.
๒๕๒๐ อีกทั้งได้ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ตั้งเป็นกองทุน พร้อมทั้งพระราชทานสิ่งของต่างๆ พร้อมทั้งเครื่องบันทึกเทป เพื่อเผยแพร่ธรรมะไว้อีกด้วย
เมื่อพระองค์ทรงเริ่มต้นเป็น "กองทุน" ซึ่งต่อมาพวกเราก็ได้มีโอกาสร่วมกันสมทบทุนโดยเสด็จพระราชกุศลร่วมกับพระองค์ แล้วตั้งชื่อว่า
"กองทุนมูลนิธิ หลวงพ่อปาน - หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร" นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพร้อมด้วยคณะศิษย์ทั้งหลาย จึงได้จัดเตรียมวัตถุสิ่งของ อันมีข้าวสาร น้ำตาล เกลือ เสื้อผ้า และเวชภัณฑ์ต่างๆ เป็นอันมาก
ออกเดินทางไปทั่วทุกภาคของประเทศ พร้อมทั้งมอบ วัตถุมงคล ให้แก่ทหารตำรวจชายแดนอีกด้วย
หลวงพ่อเป็นผู้ก่อตั้ง "ธนาคารข้าว" เป็นแห่งแรก
ในสถานที่บางแห่งก็ได้ตั้ง ธนาคารข้าว บางทีก็หาทุนช่วยขุดบ่อน้ำให้ราษฎร หรือตั้ง โรงเรียนในถิ่นทุรกันดาร แล้วตั้งชื่อว่า
"โรงเรียนราชานุเคราะห์" ทั้งนี้ เพื่อเป็นเกียรติแก่สถานที่นั้น เพราะเป็นการริเริ่มของพระองค์ หลวงพ่อและคณะศิษยานุศิษย์ทั่วประเทศ
จึงได้ปฏิบัติภารกิจต่อประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นการสนองพระราชดำริของพระเจ้าแผ่นดิน ที่ได้ทรงห่วงใยพสกนิกรของพระองค์เป็นที่สุด
เพราะฉะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ยากที่จะพรรณนาให้หมดสิ้นได้
น้ำพระทัยที่ทรงมีความห่วงใยต่อพสกนิกรของพระองค์ จึงมีมากล้นยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร
ทรงปรารถนา "พุทธภูมิ"
พระราชจริยวัตรดังที่กล่าวนี้ บุคคลธรรมดาสามัญยากที่จะกระทำได้ ถ้ามิใช่วิสัยของ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ดังที่หลวงพ่อเคยถวายพระพรไว้ ณ
พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ คือเมื่อประมาณ ๓๐ กว่าปีล่วงมาแล้ว ในตอนหนึ่งที่พระองค์ตรัสถามหลวงพ่อว่า...
เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิ เป็นความจริงไหมครับ..?
หลวงพ่อท่านก็ถวายพระพรว่า
เรื่องปรารถนาพุทธภูมินี่..พระองค์ปรารถนามานาน..เท่าที่ทราบ..พระองค์ปรารถนามานาน.. แต่เวลานี้บารมีก็เป็น "ปรมัตถบารมี"
แล้ว ก็เหลืออีกเพียง ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมานี่มันเลยแล้ว..ไม่ใช่ไม่สำเร็จ..!
"พุทธภูมิ" นี่ต้องบำเพ็ญบารมีกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป
นี่บำเพ็ญบารมีมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจจะยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ
ในขณะนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ตรัสถามหลวงพ่อว่า
พระเจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดีก็มี ความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านสามารถจะทรงความเอกราชไว้ได้
ก็อยากจะทราบว่าทั้งสองคนนี่..จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม..?
หลวงพ่อได้ถวายพระพรว่า
ก็ได้..ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อคอมมิวนิสต์
แล้วพระองค์ก็ตรัสถามอีกว่า
ฉันทั้งสองคนนี่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วย และฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งจะฆ่าไหม..?
พอตรัสถามตรงนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่า พระก็ดลใจให้ตอบว่าดังนี้...
ก็ในเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และการมาเกิดคราวนี้
ต้องการจะเกิดเพื่อจรรโลงให้คงอยู่ให้ ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเรื่องอะไร..ที่ ต้องมาตายเพราะเรื่องคมอาวุธล่ะ..ถ้าจะเจ็บตายเอง..เป็นเรื่องธรรมดา
และต้องตายด้วย เรื่อง "คมอาวุธ" อันนี้ไม่มี..!
พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า และ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า
เมื่อหลวงพ่อเล่ามาถึงตอนนี้ ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่ครั้งอดีตว่า พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นี้
ได้เคยเกิดกับพระราชบิดาพระองค์เดียวกันถึง ๒ ครั้ง และมีพระนามคล้ายๆ กันทั้งสองครั้ง คือ
ครั้งแรกได้เคยเกิดในสมัย สุวรรณภูมิ เมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๔๖ เป็นพระโอรสองค์แรกของ พระเจ้าตวันอธิราช มีพระนามว่า
"พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า"
ครั้นถึงปี พ.ศ. ๙๐๐ เศษ ก็ได้มาเกิดในสมัย เชียงแสน อีกครั้งหนึ่งมาเป็นพระโอรสองค์ใหญ่ของ พระเจ้าพรหมมหาราช
ซึ่งพระราชบิดาพระองค์นี้ก็คือ พระเจ้าตวันอธิราช องค์เดิมนั่นเอง ครั้งนี้มีนามว่า "เจ้าเดือนแจ่มฟ้า"
แต่ได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
พระราชสมบัติจึงได้ตกแก่พระโอรสองค์รองคือ พระเจ้าไชยสิริ ซึ่งเชื้อพระวงศ์เชียงแสนพระองค์นี้แหละ ได้มีสายสัมพันธ์สืบสันตติวงศ์
แล้วดำรงความเป็นกษัตริย์มาจนกระทั่งถึง พระราชวงศ์จักรี ในปัจจุบันนี้
(พระเจ้าไชยสิรินี้ หลวงพ่อบอกว่าคือ หลวงปู่ธรรมไชย วัดทุ่งหลวง ส่วนพระเจ้าทุกขิตะ พี่ชายของพระเจ้าพรหมฯ นั้นได้แก่
หลวงปู่คำแสน (เล็ก) วัดดอนมูล สำหรับ พระเจ้าพรหมมหาราช คงไม่ต้องบอกกันนะว่าเป็นใคร)
จึงนับว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย มีการสืบทอดเชื้อสายมานานนับพันปี ควรที่พวกเราชาวไทยจะได้ภูมิใจไว้เป็นอย่างยิ่ง แล้วควรช่วยกันดำรงไว้ให้มั่นคง
เพราะเราเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ และมีเกียรติมีศักดิ์ศรีมาก่อน ขอวิงวอนอย่าเอาชาติบ้านเมืองไปทำลายกันอยู่ในเวลานี้
สำหรับหลักฐานทางด้านโบราณวัตถุ ได้แก่ กระเบื้องจาร ที่ขุดได้จากซาก เมืองคูบัว จ.ราชบุรี ก็ได้ยืนยันว่าพ่อกับลูกคู่นี้
ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้งความปรารถนา "พุทธภูมิ" ประเภท "วิริยาธิกะ" คือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
ใช้เวลา ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป จึงจะบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
โดยเฉพาะในสมัยสุวรรณภูมินั้น พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งสองพระองค์นี้ ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีร่วมกัน โดย พระเจ้าตวันอธิราช
กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้ทรงวางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ต่อไปในภายภาคหน้า
พระองค์ได้สร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง พร้อมกับปรับปรุงกองทัพไว้รับมือกับข้าศึก ทั้งทางบกและทางน้ำให้เข้มแข็งอยู่เสมอ
ส่งเสริมอาชีพของประชาราษฎร พร้อมทั้งได้ จัดตั้งโรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์ประชาชน
ส่วนในทางด้านพระพุทธศาสนา พระองค์โปรดให้มีการสร้างวัดและโรงเรียนปริยัติ ธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ พระอุตตระ
เป็นประธานฝ่ายพระสงฆ์ มีการมอบ "พัดยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้
ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มาจนถึงบัดนี้
อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภายในประเทศอาณาเขตของพระองค์
ก็ได้เสด็จเยี่ยมเยียน ราษฎรไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย
ซึ่งพระราชจริยวัตรของพระเจ้าตวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระเจ้ากรุงสยาม รัชกาลที่ ๕ ทุกประการ
ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระศาสนา เช่น พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่างๆ
ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็น "มรดกไทย" มานานนับพันปี
แต่ที่เราไม่สามารถสืบสาวราวเรื่องได้ เป็นเพราะประวัติศาสตร์ช่วงนี้ขาดหายไป แต่เมื่อเราได้พบ กระเบื้องจาร เหล่านี้
จึงได้รู้เรื่องความเป็นไทยในอดีต จากบรรพบุรุษของ เราที่ได้จารึกไว้
เพราะฉะนั้น บ้านเมืองที่มีความมั่นคงมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็เป็นเพราะมีการวางรากฐาน ทั้งในด้านการเมือง การทหาร และการปกครอง
โดยวางแผนให้คนไทยมีระเบียบวินัยที่ดี อันมีสถาบันหลักทั้ง ๓ คือชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็นโซ่ยึดเหนี่ยวจิตใจกันไว้ตลอดมา
ซึ่งหลังจาก พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่จะดำเนินรอยตามพระยุคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา
ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็น "พระโพธิสัตว์" เช่นเดียวกัน และก่อนที่ พระโสณะ จะนิพพานก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า
"พระเจ้าเดือนเด่นฟ้าจะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อ มีคนรู้ทั่ว.."
ดังจะเห็นว่าเรื่องนี้ แม้จะผ่านเวลามานานสองพันกว่าปี จะเห็นว่าตรงกับความเป็นจริงทุกอย่าง เมื่อวันที่เปิดสนามบินหนองงูเห่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประทานนามใหม่ว่า "สุวรรณภูมิ" จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกอยู่ในเวลานี้นั่นเอง
คำทำนายโบราณ
และยังมี คำทำนายโบราณ ที่สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส พยากรณ์เหตุการณ์พระพุทธศาสนา "หลังกึ่งพุทธกาล" ไว้ว่า...
ดูก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัย คือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้นจะมี "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช"
ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง จะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ "พระมหาเถระโพธิสัตว์"
พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคต สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค "ชาวศรีวิไล
ดังนี้
เป็นอันว่าเหตุการณ์ในอดีตได้มาหยุดอยู่ที่ปัจจุบันนี้ ที่ได้ทราบปูมหลังของพระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ซึ่งเราพอจะทราบกันดีแล้วว่า
มีพระโพธิสัตว์พระองค์หนึ่ง หลังจากที่ได้รับอาสามาลงมาเพื่อสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา และหลังจากที่จะได้ลาพระโพธิญาณแล้ว
ก็ได้บรรลุคุณธรรมขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา จึงมีสัญญาว่าจะต้องทำกิจในฐานะพุทธภูมิก่อน
ครั้นได้ปฏิบัติภารกิจจนครบถ้วนแล้ว จึงขอลาเข้าสู่พระนิพพาน เป็นการสิ้นสุดยุติในการเกิดอีกต่อไป
คงเหลือแต่พระโพธิสัตว์เจ้าพระองค์นี้เท่านั้น ที่พระองค์จะทรงลาจากพุทธภูมิหรือไม่..ก็ยังคงทิ้งไว้เป็นปริศนากันต่อไป
เพราะฉะนั้น เนื่องในวาระดิถีอันเป็นศุภมงคลนี้ที่ จะถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา ขอให้พวกเราเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย ได้อวยชัยเป็นการถวายพระพรชัยมงคล
เพื่อแสดงความจงรักภักดี
ขอพระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง อย่าได้มีอุปสรรคอย่างใดมากล้ำกลาย เพื่อทรงบำเพ็ญ พระปรมัตถบารมี ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป อันเป็นประโยชน์สุขต่อปวงชนชาวไทย
เพราะได้อาสาเพื่อลงมาจรรโลงประเทศไทย ในฐานะ "พระประมุขของชาติ" ตลอดไป
แผ่นทองคำจารึก
แต่สำหรับพวกเราคงจะต้องอาศัยถ้อยคำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ที่ท่านได้จารึกคำพยากรณ์เป็น "แผ่นทองคำ" ฝังไว้ใต้พื้น พระอุโบสถ
วัดท่าซุง เมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๐ มีใจความดังนี้ว่า...
เราพระมหาวีระ..มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมภ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิก ชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้ไว้เป็นพุทธบูชา
เมื่อศักราชล่วงไปได้ ๒๗๐๐ ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราชนามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนบวกสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์
จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป คณะเราขอโมทนาด้วย แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว...
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์นี้ หรือที่เป็นบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทั้งหลายในปางก่อน ก็ยังปรากฏอยู่ในดวงใจของคนไทย
เพราะเป็นสถาบันหนึ่งที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยและเทศโดยทั่วไป
ดังจะเห็นเป็นสำคัญว่าเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ อันเป็นปี กาญจนภิเษก ที่เสด็จขึ้นครองราชย์ครบ ๕๐ ปี หรือในปีที่ครบ ๖๐ ปี เมื่อพ.ศ. ๒๕๕๐ ก็ตาม
จะมีปรากฏการณ์พิเศษบนท้องฟ้าหลายวาระ เหมือนจะบอกกล่าวถึงความเป็น พระเจ้าธรรมมิกราช แห่งพระองค์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
เพราะเป็นด้วยเหตุแห่งความปรารถนา "พระโพธิญาณ" เพื่อทรงต้องการเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลนั้น
จึงมีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นด้วยบุญบารมีของพระองค์ นั่นก็คือ "พระอาทิตย์ทรงกลด" ได้เปล่งรัศมีเป็นแสงสีหลายประการ
งามตระการตาอยู่เหนือขอบฟ้าหลายวาระ เสมือนกับจะเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญพระบารมี ที่กว้างใหญ่ไพศาลอันหาประมาณมิได้...ฉะนั้น
Webmaster และคณะผู้จัดทำ
"เว็บวัดท่าซุง" และ "เว็บตามรอยพระพุทธบาท"
"พระบรมราโชวาท" เมื่อปี ๒๕๓๕
เป็นอันว่า พวกเราผู้เป็นพสกนิกรของพระองค์ที่ได้เกิดมาในชาตินี้ และได้มีโอกาสอาศัยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระองค์ ตามที่กล่าวคำ
"ถวายราชสดุดีเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ก็มีเพียงแค่นี้
ณ โอกาสนี้ จึงสมควรที่จะได้ร่วมกันแสดงความจงรักภักดี เพื่อความสามัคคีที่ดีต่อกันในระหว่าง คณะศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ทั่วทุกภาคของประเทศ ขอทุกคนได้รักษาเกียรติภูมิของครูบาอาจารย์ อย่าพยายามนำชื่อเสียงของท่านเข้าไปสู่กระแสการบ้านการเมือง
ขอได้โปรดเชื่อฟัง "พระบรมราโชวาท" ของพระองค์ ที่ได้ตรัสเตือนสติไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๓๕ หรือในปัจจุบันนี้
จะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ดี หรือจะผ่าน ท่านเลขามูลนิธิชัยพัฒนา และประธานมูลนิธิราชประชา ก็ดี
นั่นคือพระราชประสงค์ของพระองค์ที่จะทรงแสดงให้คนไทยรู้โดยทางพฤตินัย
แล้วจะได้รู้ว่าพสกนิกรของพระองค์คนไหนบ้าง ที่แสดงความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวกันจริงใจไหม หรือว่าไหลไปตามกระแสน้ำ
เพื่อจะได้นำมาเป็นปมแห่งความขัดแย้ง อันจะนำไปสู่ความไม่สบายพระทัยของพระองค์ ฉะนั้น ถ้าหากผู้ใดจะแสดงความรักและเคารพ และจะทำให้พระองค์มีความสุข
ควรที่จะลืมเรื่องราวในอดีต แล้วหันมาประกอบกิจกรรมร่วมกันในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ถ้าทำได้อย่างนี้ ในปีนี้ก็ถือว่าทุกท่านได้ทำ
"ความดีถวายในหลวง" กันแล้วละ.
งานพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน ณ วัดท่าซุง (เป็นงานทำบุญครบรอบ ๑๐๐ ปีเกิดของหลวงปู่ปานด้วย) วันที่ ๖
- ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘
......เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เสด็จพระราชดำเนินวัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ได้ทรงกระทำพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน ณ วัดท่าซุง (บริเวณหน้าพระอุโบสถ)
(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินด้านหน้าศาลาเก่า (ฝั่งโบสถ์เก่าริมแม่น้ำสะแกกรัง)
(พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกระทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ในพระเกตุมาลาพระประธาน ณ พระอุโบสถ วัดท่าซุง)
ชาวกะเหรี่ยงวัดพระบาทห้วยต้มได้แสดงการฟ้อนรำดาบต่อหน้าพระที่นั่ง มีเรื่องเล่าว่า
ในขณะนั้น มีกะเหรี่ยงคนหนึ่งผ้าถุงหลุด แต่ไม่ถึงกับหลุดลงมากอง แค่เพียงแต่หลุดแล้วจับไว้ทันเท่านั้นเอง
(สมเด็จพระบรมราชนินีนาถทรงมีพระราชเสาวณีย์กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ณ ที่ประทับด้านข้างพระอุโบสถ)
(เมื่อถึงเวลาอันสำคัญ ล้นเกล้าทั้งสองพระองค์เสด็จประทับยืนถือสายสิญจน์มงคล
เพื่อกระทำพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค)
พลับพลาอนุสรณ์
.....ขอบันทึกสถานที่สำคัญไว้อีกจุดหนึ่ง นั่นคือบริเวณด้านหน้าศาลาพระพินิจ ได้จัดเป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราว ในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมา ณ
วัดท่าซุงเป็นครั้งแรก ได้ทรงประทับ ณ ที่นี้ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๘
ภายหลังหลวงพ่อจึงได้จัดสร้างเป็นศาลาจตุรมุข ไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ และสำหรับประดิษฐานพระพุทธชินราช และรูปหลวงพ่อปาน (ไว้สำหรับปิดทองได้)
(หลวงพ่อกำลังอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุออกให้มาญาติโยมพุทธบริษัทสรงน้ำ
ก่อนที่จะทำพิธีอัญเชิญขึ้นไปบรรจุบนยอดฉัตรพระมณฑป)
เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๙ ก่อนหน้านั้นท่านได้นำพระบรมสารีริกธาตุที่จะบรรจุ
มาให้ญาติโยมทั้งหลายได้ชมและสรงน้ำกัน ที่ศาลานวราช
(หลังจากถวายน้ำสรงพระบรมสารีริกธาตุแล้ว หลวงพ่อได้นำน้ำสรงนั้น
ประพรมให้แก่ทุกคนเป็นสิริมงคล แล้วจึงทำการพิธีบรรจุต่อไป)
หลังจากนั้นหลวงพ่อได้เริ่มพิธีบรรจุไว้ในผอบ แล้วใช้สายโยงติดรอกดึงขึ้นไปจากศาลานวราช โดยมีคนคอยรับอยู่บนหลังคาศาลาจตุรมุขนั้น
แล้วทำการบรรจุไว้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อเป็นสถานที่สำคัญที่บรรดาพุทธศาสนิกชนจะได้เป็นที่กราบไหว้อีกแห่งหนึ่งภายในวัดท่าซุง.
งานฝังลูกนิมิตผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ วัดท่าซุง
วันที่ ๑๖ - ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายผ้าไตรจีวรแด่
หลวงปู่พระมหาอำพัน และ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์
หลวงปู่บุดดา ถาวโร และ หลวงปู่คำแสนใหญ่ วัดสวนดอก, หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล
.....ตามโอวาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ถึงแม้จะเป็นอดีตนานมาแล้ว แต่ก็คงจะส่งผลมาถึง ท่านทั้งหลายในปัจจุบันนี้ด้วย
และโอวาทของท่านมีตอนหนึ่งที่กล่าวถึง "งานฝังลูกนิมิต" เรื่องนี้จึงมาสะกิดใจผู้เขียน จึงอยากจะย้อนรอยถอยหลัง
ถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้าง แต่มันก็เลือนลางเต็มที เอาเฉพาะที่พอจะนึกได้ก็แล้วกันนะ
โดยทั่วไป "งานฝังลูกนิมิต" เขาถือว่ามีความสำคัญยิ่ง เพราะแต่ละวัดกว่าจะสร้างพระอุโบสถได้สำเร็จ ต้องผ่านอุปสรรคนานัปการ
และชาวพุทธนิยมทำบุญงานฝังลูกนิมิต ถือว่าได้บุญได้กุศลมาก เพราะเป็นการวางรากฐานไว้ในขอบเขตของพระพุทธศาสนา
คือเป็นสถานที่ที่พระสงฆ์มาประชุมกันเพื่อทำสังฆกรรม
ทีนี้ขอย้อนกล่าวถึงงานสำคัญที่ผ่านมา คณะญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย อันมีท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์
และภรรยาของท่านที่ล่วงลับไปแล้ว คือ "คุณโยมอ๋อย" หรือ คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงจัดงานกับคณะของท่าน
โดยถวายบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฏราชกุมาร
เสด็จพระราชดำเนินมาทรงตัดลูกนิมิต (ซึ่งล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ เสด็จมาเป็นวาระที่ ๒ แล้ว นับตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ เป็นต้นมา)
พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ เริ่มจัดงานตั้งแต่วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๒๐ แต่ผู้เขียนขอเล่าเหตุการณ์วันสุดท้าย และเป็นวันสำคัญของงาน คือวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๒๐
ในตอนเช้าของวันนี้ ญาติโยมทั้งหลายมาใส่บาตรพระสุปฏิปันโนกันมากมาย เพราะเป็นวันสุดท้ายที่ได้มีโอกาสเช่นนี้ มีพระสุปฏิปันโนทั้งหมดประมาณ ๑๐ องค์
และมีพระติดตามอีกบ้างนั่งคอยรับบาตรเป็นแถว ส่วนหลวงพ่อนั่งรับแขกตั้งแต่ตอนเช้า ท่านพุทธบริษัทต่างทยอยกันมาบำเพ็ญกุศล
จนถึงเวลาบ่ายใกล้ถึงเวลาเสด็จพระราชดำเนิน
เหตุการณ์ที่อัศจรรย์
ก่อนที่จะถึงเวลานั้น ปรากฏว่าท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส อากาศร้อนอบอ้าวตามประสาหน้าแล้ง ได้ลดความร้อนที่แผดเผาลง แสงแดดที่เคยเจิดจ้า
ได้ลดแสงลงอย่างแปลกประหลาด เพราะท้องฟ้า กลับมืดคลิ้มด้วยปุยเมฆ ที่ลอยผ่านไปมาอยู่เกือบทุกขณะ ปรากฏว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ ฝนที่ไม่เคยตกลงมาเลยตลอดงาน
ก็ได้โปรยปรายลงมาเป็นละอองฝน สร้างความเยือกเย็นให้เกิดขึ้นได้ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งนี้ คงจะเป็นด้วยพระบารมีล้นเกล้าของชาวไทย
เมื่อพระองค์จะเสด็จไปที่แห่งหนตำบลใด มักจะปรากฏเหตุอัศจรรย์อย่างนี้เสมอมา คล้ายกับจะลงมาเป็นสักขีพยานแห่งพระจริยวัตร
บอกความที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ ต่อพสกนิกรทั้งหลายของพระองค์ฉะนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายผ้าไตรจีวรแด่หลวงพ่อฯ
สายฝนได้โปรยปรายลงมาชั่วขณะหนึ่ง ช่วยผ่อนคลายให้มีความสบายขึ้น แก่บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มานั่งเฝ้ารอรับเสด็จบริเวณหน้าพระอุโบสถ
ตลอดออกไปถึงด้านหน้าถนนของวัด ในขณะนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วย
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร ได้เสด็จมาถึงบริเวณงานพอดี หลังจากเสด็จเข้าประทับในปะรำพิธี ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์อันมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นต้น
ได้ถวายศีลแล้ว คณะกรรมการจัดงานทูลเกล้าถวายรายงาน ทรงมีพระปฏิสันถารกับหลวงพ่อและหลวงปู่ทั้งหลายแล้ว ต่อจากนั้นจึงได้ทรงกระทำพิธีปิดทองลูกนิมิต
ทรงตัดลูกนิมิตที่หลุมกลางพระอุโบสถแล้ว ได้เสด็จออกมาจากพระอุโบสถ ขณะเสด็จพระราชดำเนินไปรอบ ๆ บริเวณพระอุโบสถนั้น
บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความจงรักภักดี ต่างก็โดยเสด็จพระราชกุศล บริจาคเงินของตนกับพระหัตถ์ของล้นเกล้าทั้ง ๓ พระองค์ ต่างคนต่างยื่นถวายกัน
ทั้ง ๓ พระองค์ทรงช่วยกันรับแทบไม่ทัน ต้องให้ผู้ติดตามคอยถือถุงพลาสติกใส่เงินเดินตาม พระองค์จะเสด็จไประหว่างทาง ซึ่งมีผู้นั่งรอถวายทั้งสองข้างทาง
เมื่อเสด็จพระราชดำเนินรอบนอกพระอุโบสถจนครบรอบแล้ว ทรงนำเงินที่มีผู้บริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลนั้น มาถวายหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง
แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ ยังความปลาบปลื้มปีติเป็นล้นพ้น ที่ล้นเกล้าทั้ง ๓ พระองค์ ทรงเป็นกันเองอย่างไม่ถือพระองค์เลย
......จึงนับว่าเป็นแห่งแรกที่วัดท่าซุงนี้ ได้มีการถวายกันแบบนี้ จนเป็นที่นิยมตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ในเวลาที่เสด็จไปยังวัดพระแก้ว เป็นต้น
งานพิธีเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน เมื่อปี ๒๕๑๘
โดย ม.ร.ว. สุวรรณาภา สังขดุลย์
.......ขอเล่าถึงเมื่อครั้งก่อนที่หลวงพ่อได้สร้างโบสถ์ใหม่
ทางวัดจะจัดงานใหญ่ คือหล่อรูปหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าไปถวายความเห็นแด่หลวงพ่อ ขอให้ท่านอัญเชิญ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบรมราชินีนาถ ให้ทรงพระราชดำเนินมายังวัดท่าซุง เนื่องในงานเหล่านี้คืองานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน
หลวงพ่อได้ตกลงเห็นด้วยในความคิดนี้
ข้าพเจ้ารับอาสาเป็นผู้ไปทูลเชิญเสด็จ เพราะในขณะนั้นได้เข้าเฝ้าในพระบรมมหาราชวังบ่อยๆ
เนื่องด้วยข้าพเจ้าได้เป็นช่างทำพระเกศาถวายสมเด็จพระบรมราชินีนาถเป็นประจำ
เมื่อถึงเวลาเข้าเฝ้า ข้าพเจ้าได้กราบแทบพระบาทขอพระอนุญาตกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ และกราบบังคมทูลประวัติของหลวงพ่อต่อพระองค์ท่าน
และขอให้ท่านได้ทรงพระกรุณาไปเททองหล่อรูปเหมือนหลวงปู่ปาน
สมเด็จฯ ได้รับสั่งว่าจะเสด็จพระราชดำเนินมาวัดท่าซุงให้ได้แน่นอน ช่างเป็นที่น่าปลื้มใจเสียจริงๆ ที่ทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเช่นนี้ เมื่อวันสำคัญมาถึง
พสกนิกรพลเมืองอุทัยธานีได้มาชุมนุมเฝ้าชมพระบารมีกันอย่างเนืองแน่น พระทูลกระหม่อมแก้วได้เสด็จมาทั้งสองพระองค์ พระเจ้าลูกยาเธอและพระเจ้าลูกเธอทุกพระองค์
หลวงพ่อได้เฝ้าอย่างใกล้ชิด ทรงพระมีราชปฏิสันฐานกับหลวงพ่อในพระอุโบสถเป็นเวลานาน และในโอกาสสำคัญต่อมา ปี ๒๕๒๐
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแต่งตั้งหลวงพ่อเป็นศูนย์แทนพระองค์ ชื่อว่า "ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ้นทุรกันดาร"
พระเดชพระคุณหลวงพ่อได้น้อมรับพระราชดำรัสนี้ และได้ดำเนินการตามพระราชประสงค์ทุกประการ
คณะของหลวงพ่อฯ ซึ่งมีพระภิกษุสงฆ์ในวัดและบรรดาศิษย์ทั้งหลายได้ติดตามท่านบุกป่าไปในแดนทุรกันดารตามจังหวัดต่างๆ เสมอมา
ไม่เคยมีการย่อท้อแต่ประการใดเลย
ท่านเจ้าคุณราชพรหมยานได้สร้างคุณงามความดีให้ประจักษ์แล้วทุกประการทั้งทางโกลและทางธรรม
บุคคลทั้งหลายหากมีใจศรัทธาและปรารถนาที่จะพึ่งพระพุทธศาสนาเป็นหลักใจ พระคุณเจ้าจะให้แสงสว่างแก่เราทุกคน ผู้ใดต้องการจะละกิเลสพ้นทุกข์
ก็จะพึงได้รับคำสั่งสอนและทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ท่านมานานหลายปีแล้ว เดี๋ยวนี้ยังยึดมั่นในคำสั่งสอนของท่านเพื่อการดับทุกข์ เพื่อการสำเร็จกิจในชาตินี้
คือพระนิพพานเป็นที่สุด ขอพระคุณเจ้าได้โปรดช่วยให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จสมดั่งความตั้งใจในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด..
ขอน้อมเกล้าฯ ถวายความอาลัย
.......พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงเป็นร่มเกล้าของชาวไทยมานานแล้ว พระบารมีของพระองค์ทรงแผ่ไพศาล
เพื่อปกป้องคุ้มครองชาวไทยให้ร่มเย็นเป็นสุข บัดนี้ พระองค์ต้องจากไปตามกฎธรรมดาของสังขาร เยี่ยงบุรพกษัตริย์ทั้งหลายในอดีต
แต่พระเกียรติคุณความดีของพระองค์นั้น ยังคงซาบซึ้งตราตรึงอยู่ในหัวใจของพสกนิกรชาวไทยตลอดไป
ขอพระองค์ได้ทรงเข้าถึงสวรรค์ชั้นฟ้าดุสิตาลัย เพื่อทรงอบรมบ่มวิสัยแห่งพระโพธิสัตว์ตามพระราชปณิธานต่อไป ตราบใดที่สัตวโลกยังต้องการอมตะธรรม
พระองค์ก็จะต้องทำหน้าที่ขวนขวายรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากบ่วงทุกข์ จึงขอเดชะพระบารมีแห่งพุทธวงค์ และพระบรมพงศ์โพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย
จงดลบันดาลให้พระองค์ทรงสมหวังตามที่ตั้งพระราชหฤทัยไว้ เพื่อการบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตราบนั้น
หากมีสิ่งที่ใดที่เคยล่วงเกินต่อพระองค์ ด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งในอดีตและปัจจุบันนี้ จะเป็นด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
ขอพระองค์ได้โปรดอดโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ ฯ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
คณะทีมงานฯ
เดลินิวส์ 30 ต.ค.59 ลงข่าว
หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ยกย่องในหลวง ร.9
(ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานเครื่องบันทึกเสียงแด่หลวงพ่อฯ จำนวน ๒ เครื่อง)
ประวัติความเป็นมาของภาพนี้ ในขณะที่ในหลวงทรงรับสิ่งของจากหลวงพ่อ
.......อาตมาไม่บอกว่า ของสิ่งนี้เป็นอะไร เพราะถือว่าของสิ่งนั้นเป็นความสำคัญของอาตมาที่มีความคิดอยู่ในใจ
เพราะว่าเป็นของสมัย..โน่น...สุโขทัย ใช้คำว่า โน่น เพราะนึกไม่ออก ว่าจะพูดว่าอะไรดี เป็นของสำคัญตั้งแต่สมัยสุโขทัยกู้ชาติ
แต่ว่าสมบัติอันนี้ตกมาเป็นของ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วก็ตกทอดมาถึงอาตมาอีกวาระหนึ่ง
เมื่อหลวงพ่อปานมรณะไปแล้ว อาตมารู้ว่าของสิ่งนั้นเป็นอะไรแล้วของอีกสิ่งนั่นก็คือ พระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ คือ
"สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" ท่าน พล.อ.ต. ม.ร.ว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมสื่อสาร ทอ. ไปพบเขาตั้งขายไว้ เขาทาเป็นสีดำ
จึงได้นำมาปิดทองคำแล้วก็ทำมณฑป เพื่อถวายเป็นที่ระลึกแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาประทับยืนอยู่ต่อหน้าอาตมา อาตมาจึงได้หยิบพานลูกแรก ซึ่งมีกล่องยาวคู่หนึ่งถวายแด่พระองค์
พระองค์ก็ทรงรับแล้ว พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ก็รับไป มอบให้แก่เจ้าหน้าที่ อาตมามองดูของที่ยังมีอยู่อีกพานหนึ่ง มีกล่องสี่เหลี่ยมคู่ ก็ไม่แน่ใจ
เพราะเขาไม่ได้แจ้งไว้ก่อนว่าจะถวายใคร คิดว่าของสิ่งนี้เป็นของสั้นกว่า สี่เหลี่ยมอันแรก เป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าคู่ พานที่ ๒ นี่เป็นกล่องคู่เหมือนกัน
แต่ว่าเป็นกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส คิดว่าเขาจะมีไว้ถวายสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ สงสัยจึงได้หันไปถาม พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ซึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ
ว่า พานนี้ถวายด้วยหรือเปล่า
ท่าน พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ตอบว่า ถวายด้วย ถวายทั้งหมด อาตมาจึงได้เดินไปหยิบพานชุดนั้นถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ทรงรับแล้ว
พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ ก็รับจากพระหัตถ์ของพระองค์ เมื่อรับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่่หัวเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปหา พล.ร.อ.
จิตต์ สังขดุลย์ ตรัสว่า เอามานี่ แล้วพระองค์ก็ทรงรับจากมือของ พล.ร.อ. จิตต์ สังขดุลย์ เอามาวางไว้เอง แล้วอีกชิ้นหนึ่งนั่นก็คือ
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ พร้อมด้วยมณฑป อันนี้อาตมายกไม่ขึ้น จึงได้เอามือเข้าไปแตะ แล้วถวายพระพรว่า ของชิ้นนี้ก็ถวายพระองค์ด้วย
พระองค์ก็ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาแตะเป็นการแสดงอาการรับ
ท่านพุทธบริษัท ตอนนี้ ท่านจะเห็นว่าพระปรีชาสามารถของพระเจ้าอยู่หัวเป็นประการใด จะเห็นได้ตั้งแต่วาระแรก ตั้งแต่การรับสั่งสนทนาซึ่งกันและกัน
พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ เฉลียวฉลาดเป็นกรณีพิเศษ อาตมาจะพูดอะไรออกไปก็ตามที ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้ทัน แล้วนำหน้าอยู่เสมอ
หมายเหตุ ก่อนทำข่าว ผู้เขียนบทความนี้จากเดลินิวส์โทรมาสอบถามว่า สิ่งของที่ถวายนั้นคืออะไร แต่ก็ไม่สามารถจะตอบได้ ต่อเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว
จึงทำให้ทราบว่าสิ่งของที่หลวงพ่อถวายในหลวงนั้นคืออะไร ซึ่งถือว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากครูบาอาจารย์ อันเป็นที่รักและหวงแหนยิ่ง
บัดนี้สิ่งของที่ระลึกอันสำคัญทรงคุณค่านี้ ได้ตกเป็นพระราชสมบัติส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๙ ไปนานแล้ว
VIDEO
ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงนิมนต์พระอริยสงฆ์องค์ใดบ้าง
ให้เข้าไปในพระราชวังเพื่อ "ถวายกัมมัฏฐาน"
พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เคยกล่าวในหนังสือ สองธรรมราชา ตอนหนึ่งไว้ว่า
......ในครั้งแรกที่ทราบว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติธรรมก็เป็นตอนที่ผมเข้าไปอยู่ในวัง ในปี ๒๕๑๐ ผมเริ่มเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
แต่ตอนนั้นยังปฏิบัติหน้าที่อยู่นอกวัง ได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้าฯ เพื่อตามเสด็จฯ เวลาเสด็จฯ ไปเยี่ยมตำรวจ ทหาร เป็นบางครั้งบางคราว ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๓
ผมจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายตำรวจประจำ
หมายความว่าได้เข้าไปอยู่ในสำนักพระราชวัง พอเข้าไปถึงจึงได้รู้ตั้งแต่ตามเสด็จฯ ทันทีว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติเจริญสมาธิอยู่เสมอ ความจริงแล้ว
ตัวผมเองนั้นก็มีความสนใจเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิก่อนหน้าที่จะมีโอกาสเข้าไปอยู่ในวัง แต่ว่าไม่มีโอกาสปฏิบัติอย่างจริงจัง ครั้นพอได้เข้าไปอยู่ในวัง
เข้าไปได้เห็นว่า
ท่านหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)
......พระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติ และเห็นนายตำรวจนายทหารหลายๆ ท่านที่รับราชการอยู่ใกล้กัน เขาปฏิบัติกัน เจริญรอยตามพระยุคลบาท
พากันฝึกสมาธิอย่างขะมักเขม้น ผมจึงถือปฏิบัติตาม เวลามีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งเรื่องสมาธิเสมอ และเวลามีโอกาสเสด็จฯ
ก็จะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้ทุกครั้ง
......ซึ่งผมก็ยังจำได้ ในหลวงทรงนิมนต์ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ และ พระอาจารย์วัน อุตตโม เพื่อถวายการสอนกัมมัฏฐานในพระราชวัง
ซึ่งการศึกษาสมาธิของพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาอย่างละเอียดลออจริงๆ เท่าที่ผมจำได้สมัยโน้น พระผู้ใหญ่ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษา
พระองค์จะทรงนิมนต์ให้เข้าไปในวังที่เรียกว่า ถวายกัมมัฏฐาน นอกจากที่เรารู้ๆ กันอยู่ ก็มีท่าน หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)
พระอาจารย์วัน อุตตโม เป็นต้น
พระผู้ใหญ่ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษา
พระองค์จะทรงนิมนต์ให้เข้าไปในวังที่เรียกว่า ถวายกัมมัฏฐาน
ก็มีท่านหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน) พระอาจารย์วัน อุตตโม
ข่าวโดย : กิตติทีนิวส์ / สำนักพิมพ์ กรีนปัญญาญาณ/ ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์
ที่มา : หนังสือ "สองธรรมราชา", อัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์
ลงข่าว : ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ http://www.tnewsonline.tv/contents/21529
น้ำตาไหลทั้งประเทศ !!! เปิดคำทำนาย
"หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ" ว่าเมื่อมี รัชกาลที่ ๑๐ แล้วจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น"
อ้างอิงบทความจาก
http://www.clip007.com/news-186372
http://panyayan.tnews.co.th/contents/215451/
http://variety.teenee.com/foodforbrain/76550.html
......ในสมัยที่ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า "หลวงพ่อ ฤๅษีลิงดำ" ยังมีชีวิตอยู่
ได้มีการรวบรวมคำเทศนาของหลวงพ่อไว้เป็นหนังสือชื่อ "ฤๅษีทัศนาจร" ซึ่งได้จัดพิมพ์ออกมาหลายเล่มหลายตอน โดยในเล่มที่ ๑ ตอน
"เทวดาชวนขุดทอง" ได้มีการคำทำนายสอดแทรกไว้ และมีการทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดใน รัชกาลที่ ๑๐ ว่าจะมีผู้ใดมาขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ ๑๐
และจะมีเหตุการณ์ใดที่บ้าง ดังเนื้อหามีข้อความได้บันทึกไว้ดังนี้...
.....เมื่อแผ่นดินสะเทือน แผ่นดินสั่นเกิดขึ้น ดร.ปริญญา ก็บอกว่าเป็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติบ้าง แต่ทว่าเจ้าลิงนี่สิ
ฤาษีลิงดำหัวหน้าทัศนาจรมันไม่ว่าอย่างนั้น พอแผ่นดินสะเทือน ก็กำหนดจิตคิดว่านี่มันเรื่องอะไร พอมีความดำริเท่านั้น ก็ปรากฎว่า บรรดาปิยสหาย
คราวนี้ไม่ใช่หมาแล้ว กลายเป็นผี มีศักดิ์ศรีใหญ่ แต่งตัวสีแดงพรืดไปหมด ประมาณ ๗๐ - ๘๐ คน แล้วก็ประมาณสีเขียวสีดำอีกหลายร้อยคน
เห็นบริเวณนั้นเกลื่อนกล่นไปหมด จึงถามว่า
"นี่...พ่อเทวดา แกมาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ และทำไมแผ่นดินมันถึงสะเทือน"
เขาก็ชี้ไปที่ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง คราวนี้ การไปคราวนี้ ท่านเจ้าพระยาโกษาป่อง น้องชาย เจ้าพระยาโกษาปาน ท่านไปด้วย (ความจริงชื่อนี้สมมติขึ้นมา
อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ๆ...ล้อกัน และ เจ้าพระยาโกษาป่อง เป็นใครก็อย่าคิด อย่าถาม ถามก็ไม่บอก) แกก็เลยบอกว่า
"เจ้าพระยาโกษาป่อง มันคิดจะขุดทรัพย์ มันคิดว่าที่นี่มีทรัพย์มาก มันอยากจะได้ทรัพย์ใต้แผ่นดิน ในเมื่อมันคิดอย่างนั้นก็เลยทำให้มันรู้ว่ามีจริง"
ก็เลยถามเขาว่ามีมากไหม เขาบอกว่า เฉพาะทองคำประมาณ ๑๕ ตัน เห็นจะได้ แล้วยังมีแก้วที่มีค่ามาก ทีนี้ถามเขาว่า
"มันอยู่ลึกไหมวะ จะขุดได้ไหม ?" แกก็เลยบอก
"ขุดไม่ยากหรอก มันไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณ ๑ กิโลเท่านั้นก็ถึง ก็เสร็จ" ก็เลยบอกว่า
"นี่...แกไม่น่าจะบอกอย่างนี้นี่ เป็นของที่เกินวิสัยที่คนจะขุดได้ ทำไมถึงบอกอย่างนั้น"
เขาก็หัวเราะ ยังได้ถามว่าทรัพยากรทั้งหลายเหล่านี้ จะปรากฎเป็นผลดีแก่ประเทศชาติในสมัยไหน เขาก็เลยบอกว่า
"อานุภาพของทรัพยากรทั้งหลาย จะปรากฎขึ้นในตอนกลางสมัยรัชกาลที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยนั้นจะปรากฎว่า
ประเทศจะมีความมั่งคั่งสมบูรณ์เป็นกรณีพิเศษ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพร้อมมูลบริบูรณ์ จะกลายเป็นประเทศมหาเศรษฐีเขตหนึ่ง อย่าว่าแต่เฉพาะในเอเซียเลย
แม้แต่ยุโรปก็ต้องเอาใจ"
"ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าอำนาจบุญบารมีของกษัตริย์ทั้ง ๒ พระองค์ คือกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มีบุญบารมีใหญ่ ปูพื้นฐานเอาไว้
แล้วก็พระโอรสาธิราชที่จะเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เป็นพระราชาที่มีบุญบารมีใหญ่ ที่คนทั้งหลายคิดว่า จะทำลายประเทศไทยให้เป็นคอมมิวนิสต์
มีจิตหยาบปรารถนาจะให้คนไทยทั้งชาติ ที่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาเป็นทาสของบุคคลกลุ่มเดียว ไม่มีความหมาย เพราะความหวังตั้งใจของบุคคลทั้งหลายเหล่านี้
เขาจะพาตัวเขาพินาศไปเอง เพราะอำนาจบุญบารมีของพระมหากษัตริย์ที่เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีสมรรถภาพเป็นพิเศษ"
เขาว่าอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า "โมทนาด้วยน่ะ แล้วก็ในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นเทวดา ก็ต้องช่วยกันนะ" เขาก็เลยบอกว่าช่วยกัน
ก็เลยถามต่อไปว่า
"การที่ทำแผ่นดินสะเทือนนี่น่ะ เป็นปัจจัยเพราะ เจ้าพระยาโกษาป่อง แกมีความละโมบโลภมาก อยากจะได้ในทรัพย์ในแผ่นดินนั้นใช่ไหม ก็มีท่านหนึ่งบอกว่า
ไม่ใช่ ไอ้เจ้าพระยาโกษาป่องนี่มันเพื่อนกัน เคยเป็นเพื่อนร่วมกันมา
แต่ว่าตอนนี้ตามันยังไม่ดี แต่ทว่านิสัยเขาก็ดี ก็คือว่า ชอบสร้างตัวเป็นคนสุจริต ไม่ทุจริตโกงเงินโกงทองของรัฐบาล รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
แล้วก็มีจิตประกอบไปด้วยกุศล อย่างนี้จึงแสดงอาการให้ปรากฏ และอีกประการหนึ่ง คนที่มาทั้งหมดนี่ เป็นอันว่า ๙๙.๙๙ % จัดว่าเป็นคนที่มีบุญใหญ่
มีศักดิ์ศรีใหญ่ ก็เลยถามว่า
"คนที่มีบุญใหญ่ มีศักดิ์ศรีใหญ่น่ะ มันใหญ่กันตรงไหน ?"
เขาก็บอกว่า "ใหญ่" ตรงที่มีความดีน่ะซิ เพราะการมาคราวนี้นี่ ตั้งใจจะมานมัสการพระดี ที่เรียกกันว่า สุปฏิปันโน และพระทั้งหลายเหล่านั้น
คณะเขาเอง
หมายเหตุ ทีมงานเว็บวัดท่าซุง ขออธิบายเพิ่มเติมคำว่า "เจ้าพระยาโกษาป่อง" เป็นคำที่ท่านล้อเล่นกับ
"พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์" หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า "ท่านเจ้ากรมเสริม" อดีตเจ้าของ "บ้านสายลม" ส่วนคำว่า
"ดร.ปริญญา" ได้แก่ ศ.เกียรติคุณ ดร.ปริญญา นุตาลัย อดีตประธานคณะกรรมการผู้ชำนาญการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านพัฒนาแหล่งน้ำ
(ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยา)
อ่านหนังสือ ฤาษีทัศนาจร (เล่ม ๑) ฉบับเต็มได้ที่นี่ http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=841
VIDEO
◄ll กลับสู่ข้างบน
อ่านรื่องราวของ "หลวงพ่อ - ท่านหญิงวิภาวดี" http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=2296