ประวัติความเป็นมาพิธี "เป่ายันต์เกราะเพชร" ที่วัดท่าซุง
...ยันต์เกราะเพชรนี้ หลวงปู่ปานศึกษาจากตำราพระร่วง โดยเอามาจากยอด "ธงมหาพิชัยสงคราม" เป็นการนำเอา "พุทธคุณ"
บทต้นมาเขียนเป็น "ตัวขอม" อ่านตามขวางว่า
อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
วา โธ โน อะ มะ มะ วา
อะ วิ สุ นุต สา นุส ติ
บางคนเรียกว่า คาถาปิติปิโสแปดทิศ เขียนแล้ว ชักสูตร จะออกมาเป็นยันต์เกราะเพชร
...ในปีนี้ วันเสาร์ 5 เดือน 5 จะตรงกับวันที่ 28 มีนาคม 2563 ถ้าสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะทำพิธีพุทธาภิเษก
หรือไม่ก็มีพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ผู้คนจะมากมายเต็มไปหมด ท่านบอกว่าสมัยก่อนเวลาหลวงปู่ปานทำพิธีนี้ เรือแพก็เต็มแม่น้ำไปหมดเหมือนกัน
ฉะนั้น จึงมีการนำประวัติความเป็นมา "การเป่ายันต์เกราะเพชร" มาตั้งเอาไว้นี้ คิดว่าคงจะมีอยู่ในใจท่านทั้งหลาย บางท่านอาจจะเข้าใจดีก็มีอยู่แล้ว
แต่ที่ยังสงสัยคงมีจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในเว็บไซด์ต่างๆ มีการสนทนาเรื่องนี้ในเว็บบอร์ดมากมาย แต่ก็ไม่เคยทราบความจริงจากวัดท่าซุงโดยตรง
อีกทั้งในสมัยปัจจุบันนี้ ได้มีการประชาสัมพันธ์เป่ายันต์เกราะเพชรหลายแห่ง โดยเฉพาะผู้เขียนก็ได้พบด้วยตนเอง มีการเขียนป้ายไว้ข้างถนนบอกว่า
งานนี้มีพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรด้วย ครั้นได้ไปร่วมพิธีแล้ว กลับทำพิธีไม่เหมือนกับวัดท่าซุง แล้วก็ไม่ตรงกับวันเสาร์ห้าด้วย
จึงคิดว่าไม่น่าเอาชื่อเสียงครูบาอาจารย์มาทำแบบนี้เลย
ความจริงในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ยังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะถึงวันทำพิธี "เป่ายันต์เกราะเพชร"ก่อนงานในตอนเย็น
บางครั้งท่านจะทำพิธีพุทธาภิเษกในโบสถ์ก่อน โดยบอกให้ผู้ที่ร่วมพิธีด้านนอกภาวนา "พุทโธ" ไปด้วย จะสามารถรับ "ยันต์เกราะเพชร" ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย
ด้วยเหตุนี้ หลังจากท่านมรณภาพไปแล้ว จึงยังมีผู้คนสนใจเดินทางไปร่วมพิธีพุทธาภิเษก เพราะเชื่อว่าจะสามารถอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า
บารมีหลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน รับยันต์เกราะเพชรเข้าคลุมในขณะที่ทำพิธีปลุกเสกอยู่ในบริเวณพระอุโบสถ หลังเสร็จพิธีแล้วมีหลายคนมาเล่าให้ฟังว่า
มีอาการเหมือนกับที่เคยเข้าร่วมพิธีกับหลวงพ่อฯ
ฉะนั้น หลังจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มรณภาพแล้ว มักจะมีคนสอบถามว่าเมื่อไรจะเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงพ่อเจ้าอาวาสท่านบอกไม่ทำหรอก
เพราะการเป่ายันต์เกราะเพชรจะต้องใช้สมาบัติชั้นสูง
เมื่อครูบาอาจารย์ทำไว้ดีแล้ว พวกเราลูกศิษย์รุ่นหลังไม่ทำเลียนแบบ ตามมรรยาทของลูกศิษย์ที่ดีเขาไม่ทำกัน ที่อื่นเขาทำนั่นก็เป็นเรื่องของเขา
แต่วัดท่าซุงไม่ทำแน่นอน แล้วการทำสมัยนั้นก็เพราะมีเหตุว่า มีผู้ทำ "ไสยศาสตร์" เข้ามาที่วัดอยู่เสมอ
การเป่ายันต์ก็เพื่อเป็นการป้องกันภัยในเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในสมัยนี้ก็ไม่จำเป็นอีกแล้ว
โดยเฉพาะ "ลูกแก้ว" "แหวนจักรพรรดิ์" หรือ "สมเด็จองค์ปฐม" (พระกริ่ง รุ่น ๓) เป็นต้น ตลอดถึงวัตถุมงคลต่างๆ ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อทำไว้
ถ้าหากจำหน่ายไปจนหมดสิ้นก็ถือว่าหมดไปเลย เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันนี้ท่านบอกว่าจะไม่ทำซ้ำอีก ไม่ว่าจะกรณีใดทั้งสิ้น นอกจากจะทำรุ่นใหม่ขึ้นมาต่างหาก
อันนี้ไม่ถือว่าผิดมรรยาท พวกเราที่เป็นศิษย์รุ่นหลังจะต้องรักษาจริยานี้ไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นการแจก "ซีดีคำสอน" ควบคู่ไปกับคำสอนหลวงพ่อฯ
ในบางเว็บไซด์ก็ตาม จะต้องคิดไว้ให้รอบคอบเสียก่อนด้วย.
◄ll กลับสู่ด้านบน
เป็นอันว่าก่อนที่จะฟังคำชี้แจงของหลวงพ่อโดยตรง ซึ่งมีทั้งคลิปเสียงและคลิปวีดีโอ จะขอนำคำสนทนามาให้อ่านกันก่อนที่ แล้ว "เว็บวัดท่าซุง"
จะชี้แจงรายละเอียดทีหลัง โดยนำมาจากเว็บบอร์ด www.prareersee.com/webboard_361366_17935_th?lang=th ดังนี้...
การเป่ายันต์เกราะเพชร [No. 0]
หลวงพ่อท่านเคยบอกว่า การเป่ายันต์เกราะเพชร สำหรับคนเป่าต้องมีคุณสมบัติคือ
1.ต้องเป็นพระอรหันต์ วิชชาสามขึ้นไป
2.ถ้าไม่เป็นตามข้อ 1.ต้องเป็นพุทธภูมิปรมัตถบารมีสำเร็จสมาบัติขั้นสูง
จริงหรือไม่ครับ...
By : ลูกแก้ว (อ่าน 1462 | ตอบ 23) (08/02/2550 00:32:25)
ความคิดเห็นที่ 1
คนที่จะเป่ายันเกาะเพชรได้นั้นต้องมีการครอบครูครับซึ่งหลวงพี่.... ก็เป็นอีกคนนึงที่ได้รับการครอบครูจากหลวงพ่อฤาษีครับดังนั้นจึงมีผลแน่นอนครับ
By : aaa (19/04/2550 16:52:17)
ความคิดเห็นที่ 2
มีครั้งหนึ่งในพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงพ่อได้จัดให้มีพระสงฆ์ในวัดจำนวนหนึ่งเป็นนักศึกษาเป่ายันต์เกราะเพชร หนึ่งในนั้นก็คือท่านพระครูปลัดอนันต์
พัทธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงองค์ปัจจุบันครับ
ในพิธีนั้นหลวงพ่อได้บอกว่านักศึกษาเป่ายันต์เกราะเพชรนี้ ทิพจักขุญาณจะต้องแจ่มใส จะเดาไม่ได้เลย เป็นการรับรองไปในตัวครับ
ยันต์เกราะเพชรที่มีการเป่าในปัจจุบันที่มาจากสายหลวงพ่อก็มีหลวงพี่.... เท่านั้น นอกนั้นเป็นพวกแอบอ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่มันใจได้เลยก็คือ
พิธีพุทธาพิเศกที่วัดท่าซุงในปัจจุบันที่หลวงพี่อนันต์ทำพิธีนั้น ชัวร์แน่นอนว่าพระข้างบนมาทำให้ครับ
By : คนธรรพ์ (20/04/2550 09:23:13)
ความคิดเห็นที่ 3
วันเสาร์ 21 เม.ย 50 หลวงพี่.. แห่งวัด...... จ. กาญจนบุรี จะมีพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรครับ มี 2 รอบครับ 10.00น.และ 13.00น.
By : Death (20/04/2550 16:12:13)
ความคิดเห็นที่ 4
ท่านพระครูปลัดอนันต์ และหลวงพี่หลายๆ ท่านก็ได้รับการครอบครู แต่ ทำไมท่านไม่เป่ายันต์ ใครรู้ช่วยตอบที
By : soonram (22/04/2550 11:29:35)
ความคิดเห็นที่ 5
เรื่องนี้ มีท่านผู้รู้หลายท่านได้เล่าให้ผมฟังเหมือนกันครับถึงสาเหตุ...คือท่านบอกว่าทางคณะสงฆ์ก็ได้มีการประชุมหารือกันว่าจะอย่างไร
หลังจากหลวงพ่อนิพพานแล้ว และก็ได้ข้อสรุปร่วมกัน ผมคงจะไม่แจ้งให้ทราบนะครับว่าสรุป;ว่าอย่างไร เพราะไม่มีประโยชน์ด้านมรรคผล
By : ศ. ธรรมทัสสี (22/04/2550 13:43:46)
ความคิดเห็นที่ 6
อย่างนี้การเป่ายันต์เกราะเพชร ก็จะไม่มีผู้สืบทอดและจะต้องหายสาบสูญไปละซิครับ
By : Death (23/04/2550 08:06:16)
ความคิดเห็นที่ 14
เคยอ่านเจอหลวงพ่อท่านบอกว่า มีหลวงปู่ปานและท่านเท่านั้นที่เป่าได้และหมดท่านแล้วก็ไม่มีใครเป่าได้อีกแล้ว นี่คือคำพูดของพระอรหันต์
ผมจำไม่ได้ว่าหนังสือเล่มไหนไปหาอ่านเองนะ
By : คนรักพระ (11/07/2550 22:05:30)
ความคิดเห็นที่ 15
ใช่ๆ หลวงพ่อท่านพูดอย่างนี้จริงๆ
By : บัวแดง (01/11/2550 20:08:59)
ความคิดเห็นที่ 16
คุณทำมโนยิทธิขึ้นไป ขอบารมีพระพุททธเจ้า หลวงพ่อ ทำให้ก็ได้นะ ยันต์เกราะเพชรน่ะ หลวงพ่อบอกว่าหมดท่านแล้วใครเอาไปทำมีผลแค่ 10 %
แต่เห็นมีการเป่ากันอยู่อีก ไม่เชื่อฟังหลวงพ่อหรือยังไง ขอเน้นว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นองค์สุดท้าย ไปหาอ่านดูเอาเอง แต่ทำจิตขึ้นไปเป่ายันต์ก็ทำได้อีกทาง
ต้องมีของไหว้ครูให้ครบ
By : เบื่อเกิด (17/11/2550 12:46:23)
ผ้ายันต์เกราะเพชร (รุ่นแรก) รุ่นนี้ทำก่อนฝังลูกนิมิตที่วัดท่าซุง คือทำก่อนปี 2520 นั่นเอง
(ผ้ายันต์ผืนนี้เป็นของหลวงพี่ชัยวัฒน์)
ผ้ายันต์เกราะเพชร (รุ่น 2) ภาพจากเว็บพลังจิต
ผ้ายันต์เกราะเพชร (รุ่นนี้ ภาพจากเว็บพลังจิต) ในชีวิตเพิ่งจะได้เห็นครั้งนี้
คิดว่าไม่น่าจะเป็นของวัดท่าซุงนะ
◄ll กลับสู่ด้านบน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลวงพ่อเล่าเรื่องการเป่ายันต์เกราะเพชร
(โปรดฟังให้ดีตรงที่หลวงพ่อเล่าว่า "ตำราพระร่วง" มีท่านเป็นคนสุดท้ายเท่านั้น)
(กด Play ฟังเสียงหลวงพ่อเล่าเรื่องยันต์เกราะเพชร)
คลิปเสียงชุดนี้ ลิขสิทธิ์เป็นของสงฆ์ "วัดท่าซุง" จัดทำโดยเจ้าหน้าที่เว็บวัดท่าซุง
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
...สมเด็จองค์ปฐม รุ่นที่ 1 พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ทำพิธีพุทธาภิเษก ณ มหาวิหารแก้ว ของแท้จะต้องบรรจุอยู่ในกรอบพลาสติกดังภาพนี้
รุ่นนี้หมดตั้งแต่คืนวันที่ 16 พฤษภาคม 2535 ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงต้องทำเป็นรุ่นที่ 2 ต่อไป
สำหรับภาพต่อไปนี้ เป็น สมเด็จองค์ปฐม รุ่นแขวนหน้ารถ หลวงพ่อทำไว้สำหรับในรถยนต์โดยเฉพาะ สร้างก่อนสมเด็จองค์ปฐม รุ่นที่ 1
รุ่นแขวนหน้ารถนี้ทำไม่มาก ส่วนใหญ่จะได้เฉพาะคนภายในเท่านั้น
ด้านหน้าองค์พระลักษณะจะไม่เหมือนรุ่น 1 แต่มีป้ายยันต์เกราะเพชรสีแดง ด้านล่างมีกระดิ่งห้อยภู่ระย้า ส่วนด้านหลังเป็นลายเทพพนม
หมายเหตุ : ไม่อยากให้นำภาพเหล่านี้ออกไปนอกเว็บ เพราะเป็นของส่วนตัวของ WEBMASTER
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
(Update 10/04/52)
มีผู้โพสต์ในเว็บ www.pantown.com/board.php
ความคิดเห็นที่ 1
วันเป่ายันต์ เป่าได้เฉพาะ วันเสาร์ห้า คือ ต้องตรงกับ วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนใดก็ได้ ผู้รับยันต์ต้องมี ธูปเทียน ๑ ชุด เป็นเครื่องบูชาพระ
ถ้าเป็นหญิงมีครรภ์ ต้องจัดธูปเทียน เผื่อลูกในท้องอีก ๑ ชุด ธูปเทียนนี้ไม่ต้องจุด เมื่อเสร็จพิธีแล้ว นำกลับบ้านได้ใช้สำหรับไล่ผีชะงัดนัก
เอาธูปเทียนจี้เข้า ผีเผ่นกระเจิง...!
ความคิดเห็นที่ 2
การรักษายันต์เกราะเพชรให้อยู่กับตัว ผู้รับยันต์ไปต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรืออย่างน้อย ต้องมีศีล ๒ ข้อ คือห้ามกินเหล้า และห้ามลักขโมย
ตอนเช้าต้องสวดมนต์ไว้พระ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาราธนาบารมีของท่าน ลงมาเป็นเกราะเพชรคลุมกายเรา ภาวนา "พุทโธ" ให้ใจสบาย แล้วกลืนน้ำลาย
๓ ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกวัน อานุภาพของยันต์เกราะเพชร จะคุ้มครองรักษาให้ท่านมีความปลอดภัยทุกประการ...
ผู้ที่รับยันต์ไปแล้ว ถ้ารักษาไว้ได้จะมีอานุภาพดังนี้
๑. จะไม่ตายโหงอย่างเด็ดขาด
๒. จะไม่ตายด้วยพิษสัตว์ทุกชนิด
๓. ปลอดภัยจากไสยศาสตร์ทุกชนิด
๔. ไสยศาสตร์ทุกประเภท จะสะท้อนกลับไปเอง
ผู้รับยันต์ไปเป็นผู้ใหญ่ ถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี
เมื่อคลอดออกมา จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป...
ลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคน เมื่อตายแล้วเผามียันต์ติดที่กระดูก บางคนกระดูกลายเป็นพระธาตุไปเลย เด็กที่เกิดมามียันต์เกราะเพชรติดตัวเป็นจำนวนมาก
บางคนลายเป็นแตงไทย บางคนหูดำทั้งสองข้าง บางคนเป็นยันต์เกราะเพชรอย่างชัดเจน...
รายหนึ่งอยู่ลพบุรี ผู้เป็นแม่รับยันต์ไปแล้ว ตั้งใจรักษาศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ลูกเกิดมามียันต์เป็นสีแดง และปรากฏขึ้นทุกวันพระ
อีกรายมียันต์ติดกระหม่อมเป็นรูปกงจักร ซึ่งลวดลายยันต์เหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมเข้าเนื้อ ไปอยู่ที่กระดูกจนหมด คุณแม่รายหนึ่ง เกรงว่าลูกจะเสียโฉม
ให้หมอตำแยเอาเหล้าพ่นพรวดเดียว ยันต์หายวับไปเลย...!
การเป่ายันต์ไม่ได้เป่าทีละคน หากแต่เป่าทีละเต็มศาลา กี่หมื่นกี่แสนคนก็เป่าพร้อมกันทีเดียว "พระ" ท่านบอกว่า เป่าทีเดียวทั่วจักรวาล
จะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม ถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพก็มีผลเช่นเดียวกับคนที่มาเข้าพิธีด้วยตัวเอง...
หลวงพ่อจะให้ผู้รับยันต์ สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน แล้วดูภาพยันต์ที่ตั้งไว้ในพิธี ตั้งใจจำภาพยันต์ไว้ในใจ แล้วหลับตาภาวนาว่า "พุทโธ" ไปเรื่อย ๆ
จนกว่าหลวงพ่อจะบอกว่าเสร็จพิธี...
ยันต์เกราะเพชรคือพุทธานุภาพ
ขณะที่เราหลับตาภาวนา พระพุทธเจ้าจะเปล่งฉัพพรรณรังสีลงมาครอบคลุมท่านที่ตั้งใจรับยันต์ หลวงพ่อท่านจะคอยดูอยู่ พอพระท่านบอกว่าเต็มแล้ว
หลวงพ่อก็จะบอกให้เลิกภาวนา...
เมื่อยันต์เกราะเพชรเริ่มจับตัว
ผู้รับจะมีอาการต่าง ๆ กัน เช่นร้อนหู ร้อนหน้า ขนลุกขนชัน หนักศีรษะ หรือ คันยุบยิบเหมือนมีตัวไรไต่ บางคนจับไข้ไปเลย อาการเหล่านี้จะทรงอยู่ไม่เกิน
๒-๓ วัน พอยันต์เข้าตัวหมดก็หายไปเอง...
ผู้ที่ถูกไสยศาสตร์มา ไม่ว่าจะเป็นคุณผี-คุณคน
หรืออะไรก็ตาม เมื่อเริ่มทำการเป่ายันต์ ท้าวจตุมหาราชและบริวาร จะช่วยขับของเหล่านั้นออกให้ คนที่โดนของมาจะทั้งดิ้นทั้งร้อง ต้องปล่อยให้สงบไปเอง
เลิกดิ้นเลิกร้องเมื่อไร แปลว่า ของอาถรรพ์สลายตัวหมดแล้ว...!
การเป่ายันต์เกราะเพชร
เป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลไปในตัวด้วย ใครมีวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง ผ้ายันต์ ตะกรุด หรือ เครื่องรางใด ๆ ก็ตาม
เวลาเข้าพิธีให้วางไว้บนตักตัวเอง เสร็จพิธีเป่ายันต์ ก็นำไปใช้ได้เลย...
ความคิดเห็นที่ 3
หลวงพ่อเริ่มเป่ายันต์อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ที่ ศาลาพระพินิจอักษร คนมารับยันต์หลายพันคน
ต้องทำพิธีเป่าอยู่หลายรอบ ครั้งที่ ๒ เมื่อ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ที่ ศาลา ๒ ไร่ ผู้คนแห่กันมาหลายหมื่นคน ศาลา ๒ ไร่ ที่ยังไม่เสร็จดี
ต้องเปิดรับคนจนล้นหลายรอบเช่นกัน...
พอเป่ายันต์ครั้งที่ ๓ วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๒๗ ศาลาสองไร่ พัง...! ผู้คนแทบจะเหยียบกันตาย มากันเป็นแสน ๆ คน ข้าวที่เคยหุงเลี้ยงคน ครั้งที่แล้ว ๒๒
กระสอบ ครั้งนี้แค่ช่วงเช้าหมดไปแล้วเกือบ ๓๐ กระสอบ...!
มาถึงปัจจุบันนี้
หลวงพ่อทำการเป่ายันต์ไปแล้ว ๑๓ ครั้ง แต่ละครั้งผู้คน มากขึ้นทุกที ขนาดใช้ ศาลา ๑๒ ไร่ ยังต้องเป่าถึง ๓ รอบ ผู้ที่โดนไสยศาสตร์มา ดิ้นกันศาลาแทบพัง
คนที่มาเข้าพิธี เห็นเข้าก็ช่วยบอกกันต่อ ๆ ไป คนเลยหลั่งไหลกันมามืดฟ้ามัวดิน...!
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
(Update 24/04/52)
เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่นิยมสักยันต์กันเยอะ..หาคำตอบได้จากที่นี้ว่ามีอะไรดีกัน !!!
ผู้ประกาศ : "นกสาลิกา" เขียนเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เวลา 04:57 น.
(โพสต์ในเว็บไซด์ www.designparty.com/jobs/view.php)
...จากตำนานสู่ตำนาน จากรุ่นสู่รุ่น จากอาจารย์สู่ศิษย์ เปิดตำนานการสักยันต์ไทย
ด้วยฝีมือคมเข็มของอาจารย์ชื่อดังระดับต้นๆของเมืองไทยที่เป็นข่าวฮือฮาบนหน้าหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง "คมชัดลึก" ในขนาดนี้ นามท่าน "อาจารย์เสือ
เข็มเทวดา" ถือว่าเป็นอาจารย์สักยันต์ไทยขวัญใจคนรุ่นใหม่โดยแท้จริง ด้วยลวดลายสักที่สวยงามจนหาใครในวงการเทียบเท่าได้ พร้อมด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยสะอาด
ได้รับการยอมรับจากกระทรวงสาธารณสุขสุข ว่าสะอาดปลอดภัย จนได้รับขนานนามว่า"ผู้พัฒนาวงการสักยันต์ใไทยให้ก้าวสู่ศตวรรษใหม่"
จะเห็นได้จากมีรายการทีวีและหนังสืออีกมากมายมาทำสารคดีข่าวสาร ของการสักยันต์ไทยจากท่านเป็นจำนวนมาก เพราะท่านมุ่งเน้นพัฒนาวงการสักยันต์ไทย
และให้ความรู้ในแบบวิชาการมากกว่าอวดอ้างโฆษณาตัวเอง จึงทำให้ได้รับการจับตามองจากสู่มวลชนมาก โดยให้คำชมเชยว่า ท่านอาจารย์เสือนี้แหละ
เป็นตัวแทนการสักยันต์ของไทยอย่างมีเอกลักษณ์ชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะลวดลายของยันต์ที่กำลังเป็นที่นิยมในขนาดนี้ ก็คือ "ยันต์เกราะเพชรหนุนดวง"
ในสายของหลวงพ่อปาน หรืออีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "ยันต์ตาช่ายเพชร" ในสายของหลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท
ซึ่งอาจารย์เสือได้รำเรียนวิชามาอย่างถ่องแท้ เพื่อมาทำการสักยันต์สืบทอดเจตนารมณ์ของครูบาอาจารย์ให้ลวดลายยันต์เหล่านี้ คงอยู่ต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน
ยันต์เหล่านี้มีพุทธานุภาพเป็นที่ประจักษ์กับศิษย์ที่สักไปทั้งหลายแล้วว่ารอบด้านจริงๆ ยันต์เกราะเพชรนี้ ซึ่งแต่ก่อนจะเป็นในลักษณะที่เราเห็นในปัจจุบัน
ได้เปลี่ยนรูปแบบมาแล้วหลายยอย่างจนในที่สุดหลวงพ่อท่านจึงชักกระดูกยันนต์ตามความเข้าใจของท่านว่า ควรมีลักษณะเป็นเช่นปัจุบันจนเกิดตัวยันต์ที่ส่วยงาม
โดดเด่นคลาสสิคตลอดกาลยันต์หนึ่งของประเทศไทยเลยทีเดียว
นับว่าเป็นเพราะความสามารถของหลวงพ่ออย่างแท้จริง ซึ่งท่านอาจารย์เสือเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ปานศึกษาจากตำราพระร่วง
โดยตัดมาจากส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม เป็นการนำเอาพุทธคุณบทต้นมาเขียนเป็น ตัวขอม อ่านตามขวางว่า
อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
วา โธ โน อะ มะ มะ วา
อะ วิ สุ นุต สา นุส ติ
บางคนเรียกว่า "คาถาอิติปิโสแปดทิศ" เขียนแล้ว ชักสูตร จะออกมาเป็นยันต์เกราะเพชร
หลวงพ่อท่านนั้นจะทำการเป่ายันต์เกราะเพรชให้กับศิษย์ทั้งหลายครั้งหนึ่งต่อคนนับชั่วโมง
เพราะการเป่ายันต์เกระาเพชรนั้นไม่ได้เหมือนการสักยันต์หรือการเขียนผ้ายันต์แต่อย่างใด แต่เป็นการนิมิตจากดวงจิตกำหนดลมหายใจ
ก่อนที่จะชักกระดูกยันต์ให้ก่อเกิดธาตุสี่ให้ตัวยันต์มีชีวิตก่อนจะลงล้อมรอบอักขระบริวารแล้วประจุพระคาถาลงไป
ถ้าให้พูดกันง่ายภาษาชาวบ้านก็คือเหมือนเขียนยันต์ในใจ ซึ่งยากมากมายนักเลยทีเดียว แค่เขียนในกระดาษก็จำไม่ไหวแล้วนี้ระดับท่านหลวงพ่อปานท่านเขียนในใจ
การลงยันต์เกราะเพชรนั้นก็คล้ายกับยันต์ทั่วๆ ไปเพียงแต่ตารางจะเป็นแนวเฉียงโยงใยพระคาถาเข้าหากัน
มีทั้งเดินหน้าแล้วถอยหลังในยันต์เดียวกันซึ่งเป็นเรื่องที่น่าพิศวงกันมากสำหรับยันต์วิเศษนี้
สำหรับท่านอาจารย์เสือแล้วนั่นได้ศึกษาจากตำรามาทั้งของหลวงพ่อปาน ซึ่งได้มาจากพระธุดงค์รูปหนึ่ง
และอีกท่านหนึ่งที่ถือว่าเป็นครูเอกของท่านอาจารย์เสือที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่รุ่นคุณตา คือหลวงปู่ศุข ซึ่งของท่านจะเรียกว่า "ยันต์ตาข่ายเพชร"
หรืออีกชื่อหนี่งที่น่าจะรู้ดีมากกว่าคือการลงกระโหลกทองคำ
ซึ่งวิชานี้ถ้ามองดูดีๆ ก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กันของทั้งสองพระเกจิชื่อดังทั้งคู่ คือการชักยันต์กำหนดจิตในใจก่อนเป่าให้ศิษย์
เพียงแต่ของหลวงปู่ศุขท่านจะลงทองด้วยทองคำบริสุทธิ์ 108 แผ่นด้วย ซึ่งแต่ละแผ่นก็เหมือนพระคาถาตัวอักขระวิเศษแต่ละตัว ก่อนจะท่องย้อนกลับไปแล้วถึงเป่า
ก็เหมือนของหลวงพ่อปาน เมื่อท่องอิติปิโสเดินหน้าแล้วก่อนเป่าท่านก็จะท่องถอยหลังอีกคร้งก่อนเป่า เป็นอันเสร็จ
เคล็ดลับที่อาจารย์เสือท่านเล่าให้ฟังเป็นความรู้ว่า การท่องพระคาถาปลุกเสกของไม่ว่าจะเป็นพุทธาภิเศก
หรือเสกมนต์เข้าตัวนั้นจะต่างจากการท่องพระคาถาโดยปกติทั่วไปแทนที่จะเดินหน้ากลับถ้อยหลังแทน
นี่คือกุญแจสำคัญของการปลุกเสกแล้วให้ได้ผลอย่างแท้จริงไม่ใช่ท่องมนต์กันไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งในส่วนของยันต์เกราะเพชร หนุนดวงนั้น
อาจารย์เสือจะทำการสักยันต์ให้แทนการเป่า เพราะอะไรนั้นหรือ ท่านให้คำตอบแบบชัดเจนจริงๆ "ก็อาจารย์เป็นอาจารย์สักยันต์" ง่ายๆ ครับ
ผมก็เลยไม่ถามต่อครับ จริงๆ ครับ ก็ท่านเป็นอาจารย์สักยันต์ จะไม่ให้สักยันต์และจะให้ทำอะไร และในส่วนของยันต์ตาช่ายเพชร
ท่านจะมีทั้งสักและทั้งลงทองด้วย ก็คือการลงทอง 108 แผ่นที่เป็นที่นิยมกันอย่างในสำนักตอนนี้ ถ้าจะลงทั้งสองอย่างก็ไม่ผิดแต่ประการใด
ผู้ที่รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว
1. มากด้วยวาสนาบารมี เป็นเจ้าคนนายคน
2. เป็นผู้ที่ได้รับการเมตตาจากหมู่เเทพ เทวดา ทั้งหลาย
3. เปลี่ยนชะตาชีวิต กลับร้ายกลายเป็นดี
4. กันคนกระทำย้ำยี ปล่อยของปล่อยคุณไสย
5. เป็นดั่งกำแพงแก้ว 7ชั้นล้อมรอบป้องกันภัย แคล้วคลาด ไม่ตายโหง
ผู้รับยันต์ไปถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี เมื่อคลอดออกมา
จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป...
ซึ่งปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกับยันต์นี้ เมื่อตายไปแล้วนั่นเผาจะปรากฎมียันต์ติดที่กระดูก บางคนกระดูกลายเป็นพระธาตุไปเลย
เด็กที่เกิดมามียันต์เกราะเพชรติดตัวเป็นจำนวนมาก บางคนลายเป็นแตงไทย บางคนหูดำทั้งสองข้าง บางคนเป็นยันต์เกราะเพชรอย่างชัดเจน...
จึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่งตั้งแต่สมัยหลวงพ่อปานยังอยู่เลยทีเดียว
ในส่วนผู้ที่ได้รับการสักยันต์ตาข่ายเพชรหรือลงทอง 108 แผ่น (กระโหลกทองคำ) ถ้ารักษาไว้ได้จะมีอานุภาพดังนี้
1. ก่อเกิดความเมตาอย่างเป็นสูงสุด ในหมู่ลูกน้องและเจ้านาย
2. ทรัพย์สินใดๆ ที่มีไว้หรือกำลังจะมีไม่หนีหายไปไหนยังคงแต่เพิ่มพูนทรัพย์มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีตาข่ายดักอยู่
3. บริบูรณ์ด้วยรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติอย่างมหาอนันต์
ซึ่งความวิเศษของยันต์ตัวนี้ก็มีเรื่องเล่ามากมายไม่รู้จบ ตั้งแต่อดีตตั้งแต่สมัยหลวงปู่ศุขท่านได้เมตตาให้ศิษย์ไปไม่ว่า เมื่อตายไปศพเผาไม่ไหม้ไฟ
หรือกระโหลกจะมีสีเหลืองทองอล่ามทั่ว จนเป็นที่กล่าวขานจนมาถึงยุคปัจจุบัน
และที่สำคัญโดยเฉพาะได้รับการสักจากท่านอาจารย์เสือแล้วนั้น ย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่า ศิษย์ทั้งหลายจะได้รับความเมตตาจากอาจารย์เสืออย่างแน่นอน
ลองถามศิษย์ที่ได้ผ่านเข็มท่านทุกคนได้ว่า ท่านใจดีมีเมตตาเพียงใด ทุกคนจะให้คำตอบได้เป็นที่แน่ชัดที่สุด
ผู้เป็นอาจารย์ย่อมเป็นผู้ที่ให้มิต้องการเบียดเบียนใครๆ ไม่นำเอาเงินทองของศิษย์ไปปรนเปรอตนเองซื้อบ้าน ซื้อรถอ้างตัวร่ำรวยเงินจากนั่นเอามาจากไหนกัน
การเป็นอาจารย์ที่ดีต้องทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี ทุกๆ อย่างพานครูต้องสมเหตุสมผลให้ครูบาอาจารย์ได้พอครองชีวิตอยู่ได้อย่างไม่เดือดร้อน
จะได้มีชีวิตอยู่ต่อช่วยเหลือศิษย์ ไม่ใช้ขูดรีดเงินศิษย์ อ้างทำบุญทำทานที่นี่ไม่มีแน่นอน ใครอยากทำบุญอาจารย์เสือท่านไล่ไปทำที่วัดไม่รับแม้แต่บาทเดียว
ไม่เชื่อไปลองใจท่านได้ท่านคืนให้หมด เป็นครูบาอาจารย์เมื่อลูกศิษย์เดือดร้อนแล้วยังไปเบียดเบียนเข้าอีกแล้วจะเรียกว่าอย่างไรกัน
สำหรับอาจารย์เสือมีเจตจำนงค์ที่แน่นอนที่ได้ทำการเปิดสักยันต์แบบเปิดเผยถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมืองทุกๆ อย่าง..อย่างเปิดเผย ด้วยความบริสุทธิ์ใจ
จึงได้จัดตั้ง "ชมรมอนุรักษ์การสักยันต์ไทย" ขึ้นมาเพื่อสืบทอดวิชาอันเป็นมรดกของไทยเราที่มีอายุยาวนานนับพันปี
และรวบรวมเหล่าบุคคลที่มีใจรักใจชอบทางด้านการสักยันต์ไทยมาทำกิจกรรมอันเป็นกุศลต่างๆ
จึงเห็นได้ชัดว่าเจตนาอันบริสุทธิ์ของท่านอาจารย์เสือมีมากขนาดไหน จะเห็นได้จากสื่อมวลชนชั้นนำให้ความสำคัญในการลงข่าวสารสาระข้อมูลของการสักยันต์ไทย
โดยผ่านภูมิความรู้ของท่านอาจารย์เสือ เพราะได้เล็งเห็นว่าบุคคลผู้ซึ่งเป็นอาจารย์สักยันต์ท่านนี้ตั้งใจพัฒนาวงการสักยันต์อย่างแท้จริง.
(ภาพในอดีต : หลวงพ่อทำพิธีเป่ายันต์เกราะเพชร ณ ศาลา ๔ ไร่ เมื่อวันเสาร์ ๕ ที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๒๖)
พิธีนี้มีแต่ "ตำราหลวงพ่อปาน" เท่านั้น ไม่มีคำต่อท้าย ไม่มีคำนำหน้า มีคำเดียวโดดๆ คือ "ยันต์เกราะเพชร" เท่านั้น
นอกนั้นเป็นการต่อเติมเสริมแต่งในภายหลังทั้งสิ้น ถ้ามีตำราของอาจารย์อื่น ทำไมไม่บอกตั้งแต่หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่ละ นี่เขียนเติมกันภายหลังที่
"ยันต์เกราะเพชร" มีชื่อเสียงกันแล้วทั้งนั้น
◄ll กลับสู่ด้านบน
บทวิเคราะห์จาก "คณะทีมงานเว็บวัดท่าซุง"
การที่นำบทความมาลงให้อ่านกันนี้ คิดว่าผู้อ่านคงจะเข้าใจถึงเจตนาของผู้ที่เขียนได้เป็นอย่างดี เป็นเพราะอานุภาพของ "ยันต์เกราะเพชร" นั่นเอง
จึงทำให้ชื่อเสียงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ ฟุ้งขจรไป ถ้าหากได้อ่านเรื่อง "ยันต์เกราะเพชร" มาตั้งแต่ต้น
จะทำให้เราเข้าใจได้เป็นอย่างดีไม่หลงไปกับข้อเขียนเหล่านี้ โดยเฉพาะข้ออ้าง 5 ข้อที่ผู้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้วจะได้รับ
นับว่าเป็นการบิดเบือนไปอย่างสิ้นเชิง
ถ้าจะเปรียบเทียบกับข้อเขียนจากเว็บไซด์ "ความคิดเห็นที่ ๒" ที่ผ่านมานั้น (www.pantown.com) จะเห็นว่า "นกสาลิกา" ไปลอกเอามา (ตัวอักษรสีแดง)
แล้วก็บิดเบือนไปอย่างหน้าด้านๆ ดังนี้
จากเว็บ pantown บอกว่า... ผู้ที่รับยันต์ไปแล้ว ถ้ารักษาไว้ได้จะมีอานุภาพดังนี้
๑. จะไม่ตายโหงอย่างเด็ดขาด
๒. จะไม่ตายด้วยพิษสัตว์ทุกชนิด
๓. ปลอดภัยจากไสยศาสตร์ทุกชนิด
๔. ไสยศาสตร์ทุกประเภท จะสะท้อนกลับไปเอง
ผู้รับยันต์ไปเป็นผู้ใหญ่ ถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี
เมื่อคลอดออกมา จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป...
จากคนชื่อ "นกสาลิกา" บอกว่า... ผู้ที่รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว
1. มากด้วยวาสนาบารมี เป็นเจ้าคนนายคน
2. เป็นผู้ที่ได้รับการเมตตาจากหมู่เเทพ เทวดา ทั้งหลาย
3. เปลี่ยนชะตาชีวิต กลับร้ายกลายเป็นดี
4. กันคนกระทำย้ำยี ปล่อยของปล่อยคุณไสย
5. เป็นดั่งกำแพงแก้ว 7ชั้นล้อมรอบป้องกันภัย แคล้วคลาด ไม่ตายโหง
ผู้รับยันต์ไปถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี เมื่อคลอดออกมา
จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป...
ท่านผู้อ่านจะสามารถจับผิดคนเขียนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี คือไปลอกเอามาจากเว็บ pantown แล้วก็นำมาดัดแปลง แต่ข้อความตอนท้าย (อักษรสีแดง)
เหมือนกันทุกตัวอักษร เห็นไหมว่าเราจับโกหกได้อย่างชัดเจน
ทีมงานทุกคนจึงรู้สึกภูมิใจที่ได้จัดทำเว็บวัดท่าซุง เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและเป็นธรรม
อย่างน้อยก็จะได้ช่วยกันสอดส่องดูแลรักษาเกียรติภูมิและชื่อเสียงของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ มิให้ถูกบิดเบือนหรือมุ่งร้ายทำลาย
จะเป็นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีเจตนาด้วยความตั้งใจก็ตาม อย่างน้อยก็จะได้สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่อง "ยันต์เกราะเพชร" หรือ
"วัตถุมงคลของวัดท่าซุง" อาจจะมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ในวงการธุรกิจเหล่านี้อยู่ด้วย ซึ่งไม่เกี่ยวกับวัดท่าซุงแต่อย่างใด แต่ก่อนที่จะเปิดเว็บไซด์นี้
บางทีก็มีการปั่นราคากันมาแล้ว
ฉะนั้น จึงขอให้ทุกท่านโปรดระมัดระวัง บางครั้งจะเห็นว่าเป็นการโปรโมทกัน แล้วแอบอ้างวิชาการของหลวงพ่อวัดท่าซุง หากมีแค่ศรัทธาก็อาจจะหลงเชื่อกันไป
แต่เวลานี้เรามีเว็บของวัดท่าซุงโดยตรง ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้ท่านสามารถตรวจสอบได้ทันที หากใครถูกหลอกไปอีกก็ต้องบอกว่า "โมทนาด้วยนะ สมราคาแล้วละ..."
( จะบอกว่าสมน้ำหน้า เดี๋ยวจะหาว่าพูดแรงเกินไปนะ..!!! )
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
"อานุภาพยันต์เกราะเพชร, มีดหมอชาตรี"
โดย..คุณจตุรงค์ ... /ลูกศิษย์บันทึก ๓ / ๒๒๒
มีผู้นำไปโพสต์ในเว็บ - www.212cafe.com/freewebboard/viewcomment.php?aID=13618395&user=wpradee&id=963&page=2&page_limit=50
...ปีใหม่ปีนี้ ๓๑ ธค. ๓๔ - ๓ มค.๓๕ ผมและเพื่อน ๒ คน ได้ชักชวนเดินป่าเขาใหญ่นครราชสีมา เรามีเพียงเข็มทิศประจำตัวแต่ละคน แผนที่ขนาด 1:50000
และอุปกรณ์เดินป่าเท่าที่จำเป็น อาวุธปืนไม่มี มีเพียงมีดเดินป่าคนละเล่มไว้เบิกทาง บางช่วงที่รกๆ
ส่วนผมได้มี "มีดหมอชาตรีรุ่นแรก" ติดตัวไปด้วย ผมถือเป็นโอกาสดีมากๆ จึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน อยู่แบบธุดงค์กึ่งทัศนศึกษา
อารมณ์จิตเป็นปกติเหมือนอยู่บ้าน คือระงับนิวรณ์ให้ยิ่งๆ ขึ้นอีก ตามที่หลวงพ่อแนะนำไว้เรื่องธุดงค์ ๑๓
คืนวันที่ ๓๑ ธค.๓๔ พักแรมที่น้ำตก "ผากล้วยไม้" ๑ มค.๓๕ เราทั้ง ๓ คนเดินตัดทุ่งหญ้าคา เดินทางตามด่านเสือบ้าง ด่านช้างบ้าง ด่านกลวงว่า
สลับกันจนถึงหุบเชิงเขา เริ่มเข้าป่าดงดิบ เราเดินทางตามสีที่ทาตามต้นไม้ที่พนักงานป่าไม้ทำไว้ จนถึงที่พักนักท่องเที่ยวเคยมาพักแรมนานแล้ว ชัยภูมิเหมาะสม
มีลำธารสองสายมาบรรจบกัน มีน้ำตกเล็กอยู่ด้วย
เราจักพักแรมกันที่นี่ ผมกางกลด หมอและกรณ์นอนเปลสนาม ผมก่อไฟหุงข้าว ส่วนหมอและกรณ์ ออกสำรวจบริเวณ พบแต่ร่องรอยเท้าเสือขนาดต่างๆ มากมายทั่วบริเวณ
เราทุกคนรู้ดีว่า ถิ่นนี้เป็นถิ่นใคร เราเพียงแต่มองหน้ากัน สักครู่ฝนเริ่มตก ไฟที่สุมขอนไม้ไว้ดับ
แต่แรกคิดจะเอาศัยแสงไฟที่สุมไว้เป็นเพื่อน เพราะพรานโบราณเขาเล่าว่า สัตว์ร้าย เช่น ช้าง และเสือกลัวแสงไฟ แต่ใจนั้นไม่เชื่อ
เพราะขนาดบ้านพักของทหาร มีแสงนีออนอยู่ริมถนนในเขตชุมชน เสือยังคาบคนไปกินเลย เรามีเพียงแสงตะเกียงรั้วที่เตรียมไปเท่านั้นจุส่องสว่างอยู่
ก่อนนอน ได้นำสวดสมาทานพระกรรมฐาน และที่ลืมไม่ได้เลยคือ อาราธนา มีดหมอชาตรี (เทพชาตรี) และอ่านบทบารมี ๓๐ ทัศ สำหรับการปักกลดของพระธุดงค์
ซึ่งคุณสุดาพรได้จดไว้ให้ ผมได้แนะนำมโนมยิทธิ ให้หมอจนไปถึงนิพพาน
เพื่อพิสูจน์คัดค้านความเชื่อเดิมของหมดว่า "นิพพานสูญ" อีกทั้งเรื่องอื่นๆ ที่เธอสงสัย ได้สนทนาธรรมกันเท่าที่จำจากการอ่านหนังสือธัมมวิโมกข์
และเล่มอื่นๆ ที่หลวงพ่อสอนไว้ หมอและกรณ์คลายความสงสัย แล้วจึงต่างคนต่างนอน
เที่ยงคืน "เทพชาตรี" ท่านมาปลุก แล้วทำภาพหน้าเสือให้ดู เป็นที่รู้กันว่า ผู้มาเยือนมาเดินอยู่รอบๆ บริเวณริมตลิ่งของลำธาร
ซึ่งห่างจากกลดประมาณ ๗ เมตร ท่านชาตรีบอกว่า เขามากัน ๒ ตัว คุณปกรณ์สดุ้งตื่น และฉายไฟฉายไปรอบๆ บริเวณ กรณ์พบดวงตาเสือสีแดงคู่หนึ่งในระยะเดียวกัน
แต่ดวงตานั้นแปลกเป็นประกาย และไม่หลบแสงไฟ มือข้างหนึ่งของกรณ์กุมมีดเดินป่าไว้ ปากก็เรียก หมอๆๆ ซึ่งนอนอยู่ใกล้ แต่หมอหลับไม่รู้สึกตัว
ผมซึ่งตื่นอยู่ก่อนแล้ว จึงตอบไปตามที่ ท่านชาตรี บอก "ไม่ต้องตกใจ เขามาดี ดับไฟฉายเถิด" เพราะหากเขาเกิดตกใจขึ้นมา จะวิ่งสวนแสงไฟมาทำร้ายได้
เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี
ตีสองครึ่ง ท่านเทพชาตรี ท่านมาปลุกอีกครั้ง คราวนี้มาในรัศมี ๑๕ เมตร มาทางด้านพุ่มไม้ด้านหลัง ปกรณ์อีกเช่นเคยที่นอนไม่ค่อยลง
ฉายไฟฉายพบดวงตาสีแดงอีก ๑ คู่ในพุ่มไม้นั้น ท่านชาตรีบอก ไม่ต้องตกใจเป็นหน้าที่ของท่านเอง ให้เริ่มสมาทานพระกรรมฐาน และนั่งสมาธิต่อไปเลย
เหตุการณ์ปกติจนถึง ๖ โมงเช้า จึงออกสำรวจบริเวณอีกครั้ง พบรอย ริมลำธารขนาดใหญ่ประมาณ ๑๐ ซม. หนึ่งรอย ขนาด ๘ ซม. หนึ่งรอย ส่วนพุ่มไม้ด้านหลัง
ไม่เห็นรอย เพราะมีใบไม้มาก
ตีห้า "ท่านพระภูมิ" มาบอกว่า ไม่ควรเดินป่าขึ้นยอดเขาแหลม ยอด ๑ และ ๒ หรือไปพิชิตยอดเขาร่ม เพราะอันตรายมากและการเดินทางจะโหดเกินกำลัง
เมื่อผมบอกให้หมอ และปกรณ์ทราบ เธอทั้งสองยืนยันเจตนาเดิม ที่จะพิชิตยอดเขาแหลมให้จงได้ ผมเองก็หนักใจ แต่ก็ตัดสินใจไปก็ไปกัน ท่านพระภูมิและรุกขเทวดา
บอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน สองวันต่อไปนี้ฉันจะพาเที่ยวเอง แต่วันที่ ๓ ต้องออกจากเขตป่าให้ได้นะ
ผมนึกยิ้มอยู่ในใจคนเดียว ลองเทวดานำเที่ยวละก็เป็นอันว่า เดินหลงป่าแน่ แล้วแต่ท่านจะพาไปนี่ พอเริ่มเดินได้พักใหญ่ การกำหนดแผนที่
และการกำหนดเข็มทิศเริ่มรวนและสับสนบางจุด หมอเป็นผู้นำทาง กรณ์ระวังหน้า ผมระวังหลัง บางจุดหมอเดินออกนอกเส้นทาง
ท่านชาตรีบอกปล่อยเขา เราเดินอยู่พื้นราบกลางหุบเขาแหลมเป็นดงไผ่โดยตลอด หาทางขึ้นเขาแหลมไม่พบ จะเดินให้พ้นดงไผ่ก็ไม่ได้ เราจึงตกอยู่ในภาวะจำยอม
ต้องกางเต้นท์กลางดงไผ่ พวกเรารู้อยู่แก่ใจดีว่า ล่อแหมต่อันตรายเป็นสองเท่าตัว คือ ๑ เสือ ๒ ช้างป่า
จุดตะกียงกางเต้นท์ใต้ร่มไผ่ ตะเกียงแขวนหน้าเต้นท์ ท่านเทพชาตรีบอกให้ใช้ "ผ้ายันต์เกราะเพชร " ติดบนหลังคาเต้นท์ ๒
ทุ่มสมาทานพระกรรมฐานพร้อมกัน และนั่งสมาธิ ๑๐ กว่านาที หมอกับกรณ์หลับก่อน ท่านเทพชาตรีบอกว่า
"เจ้าลายมันมารออยู่ ตั้งแต่ตอนกางเต้นท์แล้ว แต่ไม่ต้องกลัว พระหลวงพ่อ หลวงปู่ปาน อานุภาพท่านคุ้มครองอยู่"
จนถึง ๗.๐๐ น. ของวันที่ ๓ มค.๓๕ จึงออกนอกเต้นท์ได้ เพราะเขาจะรอจนเช้า คืนนี้ไม่มีกรณ์เป็นผู้ส่องไฟ ไม่ต้องอยู่ยาม หากช้างมาเหยียบเต้นท์
แบนไปด้วยกันนั่นแหละ ห้าทุ่มเศษ ได้ยินเสียงจากนอกเต้นท์ ตรงหัวนอน เสียงดัง แก๊กๆ ครืดๆๆ เมื่อเอาหูแนบพื้น ไม่ได้ยินเสียงเลย ท่านเทพชาตรีท่านบอกว่า
"พี่ช้างมาโขลงนี้มี ๕ เชือก แต่บารมีผ้ายันต์ กันไว้แล้ว ๑๕ เมตร"
พวกเรานอน หลับๆ ตื่นๆ เราไม่คุยกันเลย เพียงทำจิตอยู่ในสมาธิ อรมณ์จึงเป็นปกติ เหมือนอยู่บ้าน พระท่านสอนให้พิจารณาถึงความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลาย
ที่อยู่ในป่า แล้วหลับต่อ ตีสามท่านเทพชาตรี ท่านมาบอกอีกว่า
"ช้างมาอีกหนึ่งโขลง คราวนี้มา ๗ เชือก ท่านบอกจ่าโขลงเป็นช้างดี เขายืนกันอยู่ตรงหัวนอน ระยะ ๑๐ เมตร ช้างอื่นเดินหากินหลีกออกไปหมด"
ผมเกรงกรณ์และหมอจะตื่นขึ้นและพูดจาเอะอะ จะทำให้ช้างลูกโขลงตื่น จะเป็นอันตรายจากการถูกช้างเหยียบมาก เธอทั้งสองหลับสนิท ผมนั่งสมาธิต่ออีก ๓๐ นาที
ท่านเทพชาตรีบอกผีกองกอยก็มาด้วย
เจ็ดโมงเช้า ออกตราจสอบบริเวณรอบๆ พบรอยเท้าช้างขนาดใหญ่ประมาณ ๑๐-๑๑ นิ้ว ห่างจากเต้นท์ที่พักประมาณ ๑๐ เมตร วันนี้เทวดานำทางจนถึงยอดเขาแหลม
ถึงยอดแล้วมองเห็นทุ่งหญ้าข้างล่าง จึงตั้งเข็มทิศ เดินตัดป่าลงทุ่งเขาแหลม ถึงน้ำตกเหวสุวัฒน์ ๑๘.๓๐ น.
คราวนี้เทวดาส่งถึงกรุงเทพฯ เราได้พบรถกระบะซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินป่ารุ่นพี่แต่เพิ่งรู้จัก เมื่อออกจากป่านี้เอง
เห็นเราทั้งสามเดินแบบหมดเรี่ยวแรง จึงเข้ามาทัก และรับอาสาให้อาศัยรถกลับถึงกรุงเทพฯ
ประสบการณ์ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าผ่านมาในการทัศนศึกษากึ่งธุดงค์นั้น หากมิได้มี บารมีขององค์สมเด็จ และหลวงพ่อ ผู้ถ่ายทอดคำสอน
และเกร็ดความรู้ต่างๆ ในการปฏิบัติธุดงค์ อีกทั้ง วัตถุมงคล ยันต์เกราะเพชร และ มีดหมอชาตรี ของหลวงพ่อ คุ้มครองปกป้องแล้วรักษาแล้ว
คณะเราคงมีความลำบากใจมากกว่านี้เป็นแน่
ดังนั้น ขอบรรดาท่านผู้ปฏิบัติธรรมให้มั่นใจในความดี ที่หลวงพ่อท่านถ่ายทอดสั่งสอนให้ด้วยความเมตตาแด่ลูกๆ
ข้อวัตรปฏิบัติที่ท่านถ่ายทอดให้นั้น ดีเบื้องต้น ดีในท่ามกลาง และดีในที่สุด นำผู้ปฏิบัติตามให้เข้าถึงนิพพานได้...สาธุ
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
อานุภาพผ้ายันต์พิชัยสงคราม...ยึดเทือกเขาภูพานคืน จาก ผกค.
เรื่องโดย พล.ต.ท. นพ. สมศักดิ์ สืบสงวน
(คัดจากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๓ หน้า วัดท่าซุง ๑๐๔ - ๑๐๖)
ลุง. ศ : โพสต์ในเว็บ http ://pradee2.com/board/index.php?topic=126.0. เมื่อ : มิถุนายน 22, 2008, 09:43:35 pm
(พล.ต.ยุทธศิลป์ เกสรศุกร์ นั่งเป็นลำดับที่ 2 ทางด้านขวาของหลวงพ่อ)
...ในสมัยนั้น ผกค. มีอิทธิพลสูงมาก ได้ยึดเทือกเขาภูพานเป็นฐานใหญ่ของเขา และยังท้าทายฝ่ายทหารว่า หากจะตีเขาได้ จะต้องใช้กำลังหลายกองพล
และใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสำเร็จ พล.ต. ยุทธศิลป์ เกสรศุกร์ (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ท.) ซึ่งเป็รองแม่ทัพ
จึงได้นำเรื่องนี้มากราบเรียนหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านเป็นพระ จะไปรบกับเขาก็ไม่สมควร แต่ท่านก็มีวิธีการให้กำลังให้กับทหารได้ ดังนี้
๑. ท่านเดินทางไปพร้อมกับคณะเพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อน ที่ฐานทัพของทหาร
๒. แจก ผ้ายันต์ธงพิชัยสงคราม ให้กับทหารในหน่วยนั้น ทุกคน (ผ้ายันต์สีแดง)
๓. ให้ฤกษ์แก่ฝ่ายทหาร ทั้งนี้หมายถึงให้ฤกษ์ดีว่าเป็นมงคล ไม่ได้ระบุให้เข้าไปตีรบกัน เพราะไม่ใชกิจของสงฆ์ ส่วนเขาจะไปทำอะไรนั้น
พระต้องวางอุเบกขา
ผมจำได้ว่า หลวงพ่อทำพิธีตั้งแต่เช้ามาก เพราะจากรูปถ่ายที่ นาวาตรี ประชา สิกขวานิช ร.น. ถ่ายไว้ ปรากฏพุทธนิมิตเป็นฉัตร ๕ ชั้น
ทอดมาตามแสงแดดครอบคลุมองคืหลวงพ่อท่านนั้น ยังทำมุมน้อยมาก (มีรูปถ่ายที่บ้านสายลม และที่วัดท่าซุง)
หลังพิธีแล้ว ฝ่ายทหารก็นำ หลวงพ่อ หลวงปู่ธรรมชัย และคณะเข้าห้องยุทธการ เพื่อฟังบรรยายสรุปของฝ่ายทหาร เมื่อบรรยายจบ
ปรากฏว่ามีนายทหารที่ฉลาดถาม ได้ถามหลวงพ่อกับหลวงปู่ว่า ขณะนี้พวก ผกค. เขาอยู่ที่ไหนบ้าง โดยให้ท่านเอาไม้เท้าช่วยชี้ไปที่แผนที่ทหาร
ปรากฏว่าท่านชี้จุดให้ทันทีทันใด โดยไม่ต้องคิดหรือต้องเสียเวลา เหล่าทหารต่างร้องฮือ พร้อมๆ กันหลายคน และบอกว่าตรงจุดเป๋งเลยครับหลวงพ่อ
บางท่านไม่ฉลาดถาม ก็ถามวิธีเข้าโจมตี หลวงพ่อท่านก็ปฏิเสธ เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์ ส่วนวิธีถามที่ฉลาดผมขอสงวนไว้ก่อนครับ...
หลังจากหลวงพ่อและคณะได้เยี่ยมให้กำลังใจกับทหาร ตามหน่วยต่างๆ แล้ว ก็กลับไป กทม. และจากนั้นอีกไม่กี่วัน พล.ต. ยุทธศิลป์
ก็สั่งทหารแค่ ๑ กองร้อยเข้าโจมตีที่มั่นของ ผกค. เป็นการหยั่งเชิง โดยมีตัวท่านเป็นผู้สั่งการอยู่บนเครื่องบิน ผลปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาดหมาย
แต่มีรายงานทางวิทยุว่ามีทหารเสียชีวิต ๑ นาย
ท่านเกิดสงสัยว่ามันตายได้อย่างไร เพราะท่านมั่นใจว่าทหารของท่านต้องไม่มีใครตาย ท่านให้แค่บาดเจ็บเท่านั้น
จึงสั่งลงมาจากเครื่องบินให้ค้นตัวทหารที่ตายว่า พบอะไรติดตัวบ้าง โดยเฉพาะผ้ายันต์แดง ธงพิชัยสงคราม ทหารก็รายงานว่า ไม่พบผ้ายันต์แดงเลยในตัว
ท่านรู้สึกผิดหวังมาก ที่เขาไม่พกผ้ายันต์แดงไปด้วย ทั้งๆ ที่สั่งแล้ว เมื่อถอนตัวจากฐานทัพ ก็สอบข้อเท็จจริงเรื่องพลทหารที่ตายว่าชื่ออะไร
อยู่หน่วยไหน ทำไมจึงไม่มีผ้ายันต์แดง ก็พบว่าเป็นทหารที่เพิ่งย้ายกลับมาเมื่อวานนี้เอง จากหน่วยทหารราชบุรี (อ. ปากท่อ) ท่านจึงถึงบางอ้อ
วันที่ ๒ ท่านเพิ่มหน่วยจู่โจมเป็น ๒ กองร้อย ผลปรากฏว่ามีตาย ๒ คน และก็มีสาเหตุ จากไม่มีผ้ายัน์แดงติดตัวเช่นกัน
เพราะเพิ่งย้ายเข้ามาจากหน่วยอื่น ความลับไม่มีในโลก ทั่วทั้งกองทัพรู้ข่าว รู้อิทธิปาฏิหาริย์ของ "ผ้ายันต์ธงพิชัยสงคราม" กันหมด
ผลก็คือ ทหารทุกคนที่ไม่มีผ้ายันต์แดงจะไม่ยอมออกโจมตีในวันต่อไป จึงเดือดร้อนถึงท่านรองแม่ทัพ ดังนั้น เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง
ท่านรองจึงต้องบินมาหาหลวงพ่อในคืนนั้น เพื่อขอผ้ายันต์แดงไปแจกลูกน้องให้ครบทุกคน....
วันที่ ๓ ทุกคนมีขัวญกำลังใจเต็ม ๑๐๐ % ใช้กำลังเป็น ๓ กองร้อย ปรากฏผลว่า สามารถยึดฐานใหญ่ และฐานย่อยของภูพานได้ทั้งหมด ชนิดที่ ผกค.
ขัวญกระเจิงไม่ยอมสู้ด้วย เพราะวันที่ ๓ นี่ ทหารทุกคนถือปืนวิ่งเข้ายึดฐานโดยไม่มีใครยอมหมอบ หรือวิ่งเข้าหาที่กำบังเหมือน ๒ วันแรก
ทุกคนดาหน้าเข้ายึดเอาดื้อๆ โดยไม่กลัว ไม่ยอมหลบลูกปืนสักคน จึงยึดได้ด้วยช่วงเวลาอันสั้น และไม่มีใครเสียชีวิตเลย
ผมนึกภาพเอาเองนะครับว่า หากผมเป็น ผกค. ผมก็คงต้องวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะยิงเท่าใดก็ไม่โดนตัว หรือโดนก็ไม่เข้า คงดาหน้าเข้ามาเต็มไปหมด
เหมือนกับยิงทหารที่มาจากหุ่น (เหมือนในสมัยขุนแผน ท่านเป็นแม่ทัพ เสกหุ่นให้เป็นทหารรบที่ไหนก็ชนะหมด) พอหลวงพ่อทราบข่าวจากท่านรองแม่ทัพ
ท่านพร้อมคณะก็ไปเยี่ยมทหารหน่วยนั้นในวันต่อมา
หลังจากได้คุยกับทหารหน่วยรบพิเศษนี้แล้ว ผมพอสรุปย่อๆ ได้ดังนี้
๑. ขณะที่ฝ่าย ผกค. ยิงปืนเข้าใส่พวกเรานั้น ส่วนใหญ่บอกว่าไม่โดน แต่เฉี่ยว หรือเฉียดตัวไป รู้สึกว่าลูกปืนมันวิ่งมาเต็มไปหมด
แต่ไม่ยักโดนตัว
๒. บางคนบอกว่า บางครั้งก็โดน แต่ไม่เข้า ไม่รู้สึกเจ็บ มีความรู้สึกคล้ายๆ มีแมลงหรือผึ้งบินเข้ามาชนตัวเท่านั้น
๓. มีอยู่ ๑ ราย ที่เล่ว่า ขณะที่ดินไปบ้าง วิ่งไปบ้าง ยิงปืนใส่ข้าศึกบ้าง รู้สึกหิวจึงเอามือล้วงมาม่า (เส้นหมี่) กินไปด้วย แต่แปลกใจว่า
ทำไมมาม่ามันถึงแข็งและเหนียวนัก เลยคลายออกมาจากปากดู ปากฏว่ามันไม่ใช่มาม่า แต่เป็นลูกปืนที่ข้าศึกยิงมาโดนตัวต่ไม่เข้า ลูกกระสุนแบนเหมือนถูกบี้
แล้วจึงหล่นลงไปในกกระเป๋าเสื้อที่มีมาม่าอยู่
๔. บางคนเล่าว่า ขณะวิ่งไปยิงไปนั้นบางครั้ง ก็มองเห็นข้าศึก ที่ซุ่มอยู่ข้างทาง แต่มันไม่ยักยิง เห็นมันตาค้างคล้ายกับหุ่นหรือคนตกใจ
ข้อนี้ขออนุญาตวิจารณ์ว่า คงเป็นเพราะอานุภาพของผ้ายันต์แดง ทำให้เกิดอาการ "นะ จัง งัง" ขึ้น หรือเพราะมันตกใจจริงๆ
ที่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่หลบลูกปืน จึงมีสภาพคล้ายเห็นผี แล้วตกใจตาค้าง
๕. เรายึดได้ฐานใหญ่มาก จนไม่น่าเชื่อ เพราะฐานนี้ มีโรงพยาบาลแลเวชภัณฑ์มากมาย มีโรงพลศึกษา สนามบาส โรงรัวขนาดใหญ่
พร้อมเสบียงกินได้เป็นปี อาวุธมากมาย เครื่องปั่นไฟและน้ำมัน โดยเฉพาะราวตากผ้า ท่านรองบอกว่า ต้องใช้รถ ๑๐ ล้อทั้งคันอาจจะขนไม่หมด
แสดงว่ามันมีกำลังพลไม่ใช่น้อยเกินกว่าที่เราคาดคะเนไว้อีก และมีการทดน้ำไว้ใช้ด้วย แสดงว่าเขาอยู่มานานหลายปี
๖. เนื่องจากเราใช้กำลังพลน้อยแค่ ๓ กองร้อย หากยึดพื้นที่ไว้ ก็เสี่ยงเกินไป เพราะตอนกลางคืน มันอาจหวนกลับมาใหม่ก็ได้
จึงสั่งทำลายและเผาให้หมด สำหรับผมคิดเอาเองว่าหากผมเป็น ผกค. ก็ไม่ขอยอมหันหลังกลับมาตียึดคืนแน่ๆ เพราะเข็ดไปจนตาย จะไม่ขอพบทหารผี (ทหารหุ่น)
เหล่านี้อีก
๗. เป็นจริงตามคาดหมาย เพราะตั้งแต่รั้งนั้นเป็นต้นมา ผกค. ก็หายซ่าไปเลย...
เรื่องของหลวงพ่อท่าน ยังมีอีกมากยากที่ผมจะเล่าให้ฟังทั้งหมดได้ และโดยธรรมแล้ว อะไรก็ตามที่มันมากเกินไป ผลมันแทนที่จะมากตามส่วน กลับไม่ได้ผล
หรือกลับเป็นผลเสีย เช่น ยาทุกชนิดหากใช้เกินขนาดล้วนเป็นโทษแก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ร่างกายของคนก็เช่นกัน หากส่วนใดเจริญมากไปก็กลายเป็นมะเร็ง
สมจริงตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ตรัสไว้ใน "ปฐมเทศนา" ความว่าอย่าตึงไป (เครียดเกินไป) อย่าหย่อนเกินไป (อยากมากเกินไป ขี้เกียจมากเกินไป)
จะไม่มีผลให้เดินสายกลาง ผมจึงขอจบเรื่องไว้อีกตอนหนึ่งเพียงแค่นี้ แต่ก่อนจะจบขอสรุป เรื่องผ้ายันต์แดง ธงมหาพิชัยสงคราม ไว้เพื่อเตือนความจำดังนี้
๑. ความศักดิ์สิทธิ์ ของธงมหาพิชัยสงครามมีมากมาย เขียนอีก ๒-๓ ตอนก็ไม่จบ ที่เล่าให้ฟังนี้ เป็นเพียงตัวอย่างบางเรื่องเท่านั้น
๒. ผู้นำไปใช้ หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น เป็นโจร - ปล้น - ฆ่าเขา - ขโมยเขา ธงนี้จะไม่คุ้มครอง ซ้ำยังให้ผลร้ายกับผู้นั้นด้วย
หากถูกยิง ลูกปืนจะเข้าแสกหน้าทะลุท้ายทอยทุกราย (เรื่องนี้ลุง. ศ ก็ได้ยินหลวงพ่อพูดด้วยกับหูครับ)
๓. ธงมหาพิชัยสงคราม ไม่ใช่ ไสยศาสตร์ แต่เป็นพุทธศาสตร์ จึงไม่เสื่อม (หากใช้ในทางที่ดี)
๔. เวลาทำ พิธีพุทธาภิเษกนั้น ธงแดงมหาพิชัยสงคราม กับผ้ายันต์เกราะเพชรซึ่งมีรูปหลวงพ่อปาน และรูปยันต์เกราะเพชรนั้นทำเหมือนกัน มีคุณภาพ
(อานุภาพ) เหมือนกันทุกประการใช้แทนกันได้
๕. เรื่องป้องกันหรือบรรเทาอุบัติเหตุ ไฟไหม้บ้าน พายุใหญ่หรือวาตภัย มีผู้เล่าเสมอว่ามีผลดีอย่างอัศจรรย์ ส่วนเรื่องอื่นๆ ต้องอธิษฐานขอ
และผลขึ้นอยู่ที่ความมั่นคงของจิตแต่ละคนด้วย
หมายเหตุ : ที่ลง.ศ นำเรื่องนี้มาลงมีจุดประสงค์เพื่อ เพิ่มความมั่นคง - ศรัทธาที่ดี ซึ่งมีอยู่แล้ว
ของบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ (และผู้ศรัทธา) ให้มั่นคงยิ่งๆ ขึ้น ซึ่งจะส่งเสริมผลดีต่อการปฏิบัติอีกด้วย อย่างน้อยก็เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน
สังฆานุสติกรรมฐาน กสิณ ฯลฯ
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
ขอถามผู้รู้เรื่อง "ธงมหาพิชัยสงคราม"
โพสต์ในเว็บบอร์ด prareersee.com (Total : 12 กระทู้)
"..ผมเข้าใจว่าหลวงพ่อทำธงมหาพิชัยสงครามหลายวาระ
จึงอยากทราบว่าท่านเริ่มทำปีไหน และทำครั้งสุดท้ายปีไหนครับ..? "
By : คนธรรพ์ (อ่าน 1085 | ตอบ 19) (04/04/2550 12:01:59)
ความคิดเห็นที่ 1
ผมยังไม่แน่ใจว่า ผ้ายันต์แดง ที่หลวงพ่อให้คุณบุญถึงปั๊มจำนวนนับหมื่นๆ ผืน ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อทำพิธี มีพระครูวิชาญร่วมด้วย
(แต่พระครูวิชาญท้องเสียตลอดพิธี เพราะผิดพิธี หลวงพ่อให้เอาผ้ายันต์แดงไปต้มกินจึงหาย) ต่อมามีคนเอาไปลอง แต่ยิงไม่ออก ผ้าเลยหมดในพริบตา
- ผมไม่ทราบว่าเป็น พ.ศ.อะไร และไม่แนะใจว่าเป็นครั้งแรกหรือไม่
By : ศ. ธรรมทัสสี (06/04/2550 10:39:20)
ความคิดเห็นที่ 2
- ถ้าไม่มีเจตนาให้ชำรุด หรือเสียหายด้วยประการทั้งปวง อานุภาพก็ไม่เสื่อมครับ อย่างผมก็มีอยู่หลายผืน จะเลือกผืนชัดๆ สวยๆ ไปอักกรอบไว้บูชา และเป็นนิมิต
ส่วนผืนที่ชำรุดและขาดของผมมีอยู่ ๓ ผืนผมจะนำไปอัดกรอบประกบหน้า- ด้วยเหรียญกูผู้ชนะ และแหนบสมัยหลวงพ่อ ๒ ผืนสำหรับห้อยติดตัว และอีกผืนที่เหลือ
ผมก็จะพับอย่างดีใส่ถุงพลาสติกขนาดพอดีพกติดกระเป๋า
- สมัยหลวงพ่อยังอยู่ช่วงประมาณปี ๒๓ หรือ ๒๔ ไม่แน่ใจ ผมได้ยินมากับหู (หนังสือธัมวิโมกข์เล่มเก่าๆ น่าจะมีให้อ่านครับ) ท่านเล่าให้ฟังว่า
มีผู้ชายวัยรุ่นคนหนึ่ง ไม่มีเงินเช่าบูชาผ้ายันต์ เขาเลยเอาเชื่อกที่มัดห่อผ้ายันต์สีแดงพกติดตัว ปรากฏว่าไปมีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับวัยรุ่นกลุ่มหนึง
เขาถูกรุมแทงทั้งตัว แต่ไม่เข้าเลย (เหนียว) เป็นรอยขีดสีแดงๆ เท่านั้น
- อย่างพวกเรามีผ้ายันต์เต็มผืนเลย แม้จะขาด จะดำ จะซีด จะลบ ไม่มีปัญหา (ใจเราอย่ามีปัญหาเรื่องคุณพระตรัยรัตน์ก็แล้วกันครับ) สบายมากครับ
ไม่มีข้อแม้พิเศษเหมือนเหรียญทำน้ำมนต์ครับ
By : ศ. ธรรมทัสสี (09/04/2550 18:27:08)
ความคิดเห็นที่ 3
- เรื่องเผลอละเมิดศีลนี่ ถ้าตามความเข้าใจของผม จากที่หลวงพ่อเคยบอกไว้ ศีลจะขาดอยู่ที่เจตนา หรือการตั้งใจละเมิด หากไม่มีเจตนาแล้วศีลไม่ขาดครับ
- เรื่องละเมิศีล ๕ แล้วจะเป็นให้สมองเสื่อม อันนี้ผมไม่ทราบครับ แต่ถ้าส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าเราละเมิดศีล ๕ อาจทำให้เกิดช่องให้กรรมชั่วในชาติก่อนๆ
ที่เคยละเมิดศีล ๕ ข้อ ๕ หรือกรรมจากเหตุอื่นๆ ให้ผล ทำให้หลงลืมก็ได้
- พระเครื่องหรือผ้ายันต์ ต้องพกที่กระเป๋าเสื้อครับ หรือห้อยคอ
By : ศ. ธรรมทัสสี (07/05/2550 21:05:59)
ความคิดเห็นที่ 4
- ใช่ครับ...ผ้ายันต์ที่หลวงพ่อสร้างแจกทหารและตำรวจตะเวนชายแดน ช่วงที่ผกค.บุกประเทศไทย จะเป็นผ้ายันต์พิชัยสงครามครับ ที่แผ่นพับเก่าๆปี พ.ศ.2518
ที่ทางวัดแจกก็มีระบุเรื่องการปลุกเศกผ้ายันต์แดงชุดนี้ด้วยครับ
By : ศาลาเก่า (15/05/2550 10:21:52)
ความคิดเห็นที่ 5
- ยังไง ผมต้องขออนุญาตใช้กระทู้นี้ ชี้แจงกับท่านสมาชิกให้เข้าใจข้อมูลบางอย่างๆ ถูกต้อง ดังนี้ครับ
๑. กรณีที่ผมได้เข้าไปในเว๊ป พลังจิต ที่กระทู้ เกี่ยวกับการแสดงความคิดเห็น - โหวต ว่าควรบรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติหรือไม่
และผมโพสเข้าไปแสดงความคิดเห็นด้วย คือโดยสรุปที่ผมโพส ผมก็กลางๆ นะครับ เพราะถ้าบรรจุก็ดี แต่ต้องมีมาตราการรองรับ เช่น ตรา พรบ.ออกมารองรับ
ให้มีผลทางปฏิบัติ (ในความคิดผมก็คิดทำนองนี้แหละครับ)
๒. และผมก็แสดงความเห็นอีกว่า โดยสรุปว่า ไม่เห็นด้วยกับวิธีการเดินขบวนเรียกร้องกดดันของพระ เพราะหลวงพ่อเราไม่เห็นด้วย ท่านตำหนิแรงมาก
ถ้าจำไม่ผิดถึงขั้นอเวจีเลย (ท่านตำหนิกรณี องค์กรแนวร่วมชาวพุทธฯ ที่เดินขบวนปี ๑๖ )...บังเอิญเมื่อเร็วๆ นี้ผมก็เพิ่งเปิดเทปเจอพอดี ฟังแล้วผมยังตกใจเลย
เพราเดิมเชื่อว่าพระเดินขบวนได้ เลยจำได้แม่น (ตอนนี้กำลังหาเทปอยู่มันปนๆ กันอยู่)
๓. จากข้อความตามข้อ ๓ นั้นแหละครับ ผมถูกสมาชิกท่านหนึ่งโจมตีผมอย่างรุนแรง หาว่าผมเป็นพวกบ่อนทำลายสถาบันฯ (ไปกันโหญ่เลย)
หาว่าผมแอบอ้างคำหลวงพ่อที่ไม่เป็นจริงมาสนับสนุนความเห็นตนเอง (มันคุ้มไหมเนี่ย) ให้ผมนำหลักฐานมาแสดง (ยังหาหลักฐานไม่เจอก็ถูกใส่ข้อหาเรียบร้อยแล้ว)
๔. จากข้อ ๓ ผมจะโพสเข้าไปชี้แจงข้อเท็จจริง ถูกบล็อคจากทางเว้ปพลังจิตเข้าไม่ได้เลย ผมยังไม่เชื่อว่าท่านทีมงานเว็ปพลังจิตจะบ้าจี้ตามสมาชิกท่านนั้น
โดยไม่ติดต่อสอบถามไปยังสำนักงานธัมมวิโมกข์ หรือตึกรับแขกวัดท่าซุ่ง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เราะเรื่องนี้พิสูจน์ได้ไม่ยากครับ
(หากเข้าใจทางทีมงานเว็ปพลังจิตผิด ผมต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ) ...ตอนนี้ในเว้ปพลังจิต ผมอาจถูกมองแบบผิดๆ ...
(การแสดงความคิดเห็นส่วนตัว เรื่องทางโลกนี่ มันก็อาจจะผิด อาจจะถุก หรือถูกมาก ถุกน้อย ก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แต่เมื่อเราได้รับข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ครบถ้วน รอบด้าน ก็สามารถปรับเปลี่ยนความเห็นใหม่ได้ นี่แหละครับความสวยงามของระบอบ ปชต.
ไม่ใช่ใครคิดไม่ตรงเราแทนที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจ กลับตราหน้าว่าเป็นคนเลว คนผิด เอ้อ)
By : ศ. ธรรมทัสสี (15/05/2550 13:35:27)
ความคิดเห็นที่ 6
เรื่องพระเดินขบวนผมก็เคยฟังเทปที่หลวงพ่อท่านพุดไว้ครับ ว่าจะเดินไปอเวจี ผมก้กล้ายืนยันได้ เวปพลังจิตจะเป็นพวกเด็กรุ่นใหม่ๆครับที่ศึกษา
แต่ติดตามหลวงพ่อมายังไม่มากพอ ถ้าคนที่ศึกษาและฟังหลวงพ่อมามากๆ จะทราบเรื่องตรงนี้ ซึ่งผมถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
By : แก้วจักรพรรดิ์ (15/05/2550 13:42:16)
ความคิดเห็นที่ 7
ขอบคุณมากครับ...คุณแก้วจักรพรรดิ์
- วันนี้ ผมค้นข้อมูลจากเทปแล้วครับคือ เทปชื่อว่า "วิสาขาคนสวย วิสาขาคนรวย" ตอนที่หลวงพ่อท่านพูดถึง นางวิสาขาแต่งานแล้วมีลูก ๒๐ คน
และลูกแต่ละคนก็มีลูกอีกคนละ ๒๐ (คือหลานนางวิสาขา ๔๐๐ คน) ท่านก็พูดต่อไปว่าถ้าจัดเดินขบวนก็สบายเลย แล้วท่านก็พูดต่อไปถึงการเดินขบวนของพระ...
- อันที่จริงผมตั้งใจจะโพสเข้าเว็ปพลังจิต เพื่อชี้แจงตามข้อเท็จจริงนี้ แต่ไม่สามารถเข้าได้ครับเหมือนถูกบล็อค...ผมสงสารคนที่รับข้อมูลผิดๆ เข้าผมไม่ตรง
และเข้าใจหลวงพ่อกรณีนี้ไม่ตรง เกรงจะเป็นกรรมหนักกันเปล่าๆ
By : ศ. ธรรมทัสสี (15/05/2550 18:37:50)
ความคิดเห็นที่ 8
แบบนี้ต้องวางอุเบกขาครับ ผมเองไม่เคยคิดสนับสนุนการบรรจุเรื่องนี้ใน รธน. ตั้งแต่ต้นเพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ (ความจริงผมมองเห็นโทษมากกว่าประโยชน์)
ทั้งๆ ที่ตัวผมเองเป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัวและคิดว่าพุทธศาสนาสำคัญกว่าชีวิตหลายล้านเท่า
เห็นพวกออกมาเรียกร้องแล้วเหนื่อยแทนทั้งกายและใจ คนบางคนในเว็บพลังจิตแม้มีศรัทธาแต่ก็มุทะลุขาดเหตุผล ชนดะไม่มองหน้ามองหลัง
ประหนึ่งว่าเวลาภาวนาเขาภาวนาว่า พุทธ พุทธ พุทธ ไม่มีคำว่า โธ
By : คนธรรพ์ (17/05/2550 10:11:14)
ความคิดเห็นที่ 9
- บังเอิญเพิ่งจะโพสเข้าเว๊ปพลังจิตเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง ได้เมื่อวานครับ...อันที่จริงก็วางอุเบกขาแล้วแหละครับ แต่เป็นห่วงคนที่ไม่รู้อีโน่อีเน่
(อ่านหนังสือธัมมวิโมกข์ไม่ครบทุกฉบับตั้งแต่ฉบับแรก หรืออ่านน้อย หรืออ่านไม่ละเอียด และฟังเทปหลวงพ่อทุกม้วนไม่ครบ หรือไม่ละเอียด
หรือไม่เคยไปนั่งฟังหลวงพ่อ) จะไปอ่านเจอแล้วอาจเข้าใจผิดครับ
-และใช้ถ้อยคำค่อนข้างรุนแรง (ที่โพสในเว๊ปนั้น) เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะผมวิเคราะห์ดูแล้ว ถ้าเราอ่อน หรือยอมนี่ เขาจะเหยียบส่งเลย
By : ศ. ธรรมทัสสี (17/05/2550 14:23:41)
ความคิดเห็นที่ 10
- ธงมหาพิชัยสงครามเป็นของพิเศษมาก ที่ท่านสร้างไว้เพื่อผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องรักษา ชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์เป็นการเฉพาะ
คนที่ได้ไปอย่างน้อยต้องเคารพเทิดทูนในชาติ พระพุทธศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างซื่ออย่างตรงนะครับ
- มิฉะนั้นวิบากกรรมชั่วจะเข้าถึงตัวเร็วมาก ถึงวิบัติ ถึงตายเอาง่ายๆ สมัยหลวงพ่อแจก มีพวกฝ่ายตรงข้ามแฝงตัวมารับ ท่านก็เมตตาเตือนไปว่าอย่าเอาไปเลย
จะเป็นโทษแก่ตัว เขาไม่เชื่อ ก็ถึงตายจริงๆ ภายในไม่กี่วัน
By : Death (17/05/2550 16:30:04)
ความคิดเห็นที่ 11
- ธงพิชัยสงคราม ถ้าจะให้รักษาบริวารและครอบคลุมวงกว้าง ให้ไปติดกับธงชาติครับตามที่ทางวัดทำไว้ช่วงแรกๆ จะป้องกันหมู่คณะได้หมดทุกคนครับ...
By : ศาลาเก่า (17/05/2550 21:19:38)
ความคิดเห็นที่ 12
๑. ครับเห็นด้วยมากครับ การพิทักษ์ปกป้อง พุทธศาสนาดีที่สุดก็คือ ปฏิบัติตามคำสอนของหลวงพ่อ และปฏิบัติให้ได้ตามกำลัง คือ ทรงพรหวิหารสี่
(ไม่จำเป็นต้องรักษาศีล) รักษาศีล ทรงปฐมฌานอย่างต่ำ เห็นโทษการเกิด (เห็นโทษขันธ์ห้า) มุ่งพระนิพพาน (ชาตินี้ ชาติต่อๆ ไป)
๒. เมื่อทุกท่าน (ส่วนใหญ่) ทำอย่างข้อ ๑ เมื่อคนเหล่านี้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ต่อไปคนเหล่านี้ ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในองค์กร หน่วยงาน ตำแหน่งงาน
ในระดับต่างๆ (จะมีหลักธรรมาภิบาลโดยอัตโนมัติ หลัก EQ MQ AQ) ก็จะไม่คนโกงชาติ ไม่มีคนเอาชาติไปขาย ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน เกิดความสามัคคีกัน
(เหมือนที่หลวงพ่อบอกว่า สามัคคีมีสุข ในเหรียญ กูผู้ชนะ)
๓. ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ปรมัตใกล้เต็ม เมื่อทำตามข้อ ๑ ข้อ ๒ มันก็เชื่อมโยงเกื้อกูลต่อกัน โดยอัตโนมัติครับ
๔. เราต้องหาโอกาส อ่านหนังสือพระพุทธศาสนาช่วยโลก ฟังเทป "ไทยไม่มีวันสิ้นชาติ" ของหลวงพ่อ ครับ
By : ศ. ธรรมทัสสี (18/05/2550 11:55:36)
หมายเหตุ : หลังจากได้ทีมงานฯ ได้นำบทความที่อยู่ในเวปไซด์ต่างๆ มาลงในเวปวัดท่าซุง เนื่องจากเวปวัดท่าซุงเพิ่งเปิดทีหลัง
จึงอยากจะได้นำคำสนทนา, คำถาม-คำตอบ, หรือบทความต่างๆ มาลงในเวปวัดท่าซุง
เพราะขณะที่เปิดเวปนี้ ยังไม่รู้ว่าจะลงเรื่องอะไรดี คนทำเวปวัดท่าซุงก็หนักใจเหมือนกัน เนื่องจากข้อมูลเดิมๆ ที่คนส่วนใหญ่ได้อ่านตามเวปไซด์ต่างๆ
มีมากมายอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ หากชื่อของบางท่านที่นำมาโพสต์ไว้ ไม่ได้ขออนุญาตโดยตรง หากจะทำความไม่สะดวกใจแก่ท่าน โดยเฉพาะ คุณ ศ. ธรรมทัสสี
ทางทีมงานฯ ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย
(Update 10/03/54)
ภายหลังจากที่ทีมงานฯ ได้นำข้อเขียนของคุณ ศ.ธรรมทัสสี มาลงให้อ่านกันไปนานแล้วนั้น ขณะนี้ คุณศ. ได้กรุณาตอบมาทางอีเมล์ดังนี้ครับ
จาก : s.tumatassi@gmail.com
ถึง : "webmaster@watthasung.com"
หัวเรื่อง : ติดต่อทีมงาน : การจัดทำเว็บวัดท่าซุง
วันที่ : 05/03/11 18:51
เรียน ทีมงานเว็บวัดท่าซุง
บังเอิญผมเข้าไปอ่านพบที่พิมพ์ตัวแดงที่บอกว่า ไม่ได้รับอนุญาตคุณ ศ.ธรรมทัสสี ล่างหน้า ผมจึงขอเรียนให้ท่านสบายใจว่า...
๑) ศ.ธรรมทัสสี, ๘๖๘, ๘๖๘๖๖๗๖ คือคนเดียวกันครับ (และข้อความอื่นๆ ที่มีคนคัดลอกข้อความที่ผมพิมพ์ไว้ที่เว็บอื่นแล้วนำไปโพสไว้ในบางเว็บ
แต่ไม่เอาชื่อแฝงไปด้วย แล้วทางเว็บวัดท่าซุงไปพบและนำมาโพสที่เว็บวัดท่าซุงอีกทีหนึ่ง)
๒) ผมอนุญาตด้วยความยินดี เต็มใจ ทั้งหมดที่ทางเว็บนำมาโพสครับ ปิติใจที่เห็นคนอ่านเยอะ สมกับที่ใช้เวลานั่งอ่านอย่างละเอียดและคัดลอกแยกออกมาหลายเดือน
(เพราะพิมพ์ไม่ค่อยเก่ง)
ศ.ธรรมทัสสี
((( หลวงพ่อเล่าเรื่อง "พิธีปลุกเสกผ้ายันต์มหาพิชัยสงคราม" ณ วัดบวรนิเวศน์ฯ กรุงเทพ เมื่อปี 2518
ผู้ที่จะรับฟังเสียงหลวงพ่อเล่า กรุณา Login ก่อนที่นี่ แล้วจึงจะ Link ไปหาข้อมูลดังกล่าว.
◄ll กลับสู่ด้านบน
|
|
"..แปลกแต่จริง.."
ปาฏิหาริย์หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เป่ายันต์เกราะเพชรให้
จาก..นิตยสารโลกลี้ลับ ปีที่ 21 ฉบับที่ 230 ประจำเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547
พิมพ์เรื่องส่งมาให้โดย คุณ Lilly
*********************
...ดิฉันเป็นคนรุ่นใหม่ อายุ ๓๕ ปี แต่เล็กจนโตไม่เคยสนใจธรรมะมาก่อนเลย วัดวาก็ไม่ได้เข้า เพิ่งมาได้ธรรมะเมื่ออายุ ๓๒ ปี หรือปี ๒๕๔๒ นี่เอง
และก็ชอบปฏิบัติมาจนทุกวันนี้ เมื่อประมาณปี ๒๕๓๘ หรือ ๒๕๓๙ จำไม่ค่อยได้ ดิฉันเดินผ่านแผงขายหนังสือ เห็นหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวถึงคอลัมน์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ พระปัจเจกโพธิ์โปรดสัตว์ ที่กล่าวถึงอำนาจของ พระคาถาปัจเจกโพธิ์ ที่ทำให้ผู้คนร่ำรวย เห็นรูปขาวดำเล็กๆของ
หลวงปู่ปาน โสนันโท อยู่ในเรื่องด้วย
ดิฉันอ่านดูแล้วทึ่งในปาฏิหาริย์ แต่ที่สะดุดตา คือ รูปของหลวงปู่ มองแล้วท่านเหมือนมีชีวิต สายตาท่านจ้องมองอย่างเข้มขลัง ทั้งดุและมีเมตตา
ซึ่งไม่เคยพบพระที่ดูขลังและดุแบบนี้มาก่อน ปกติแล้วดิฉันไม่สนใจพระสงฆ์องค์เจ้า จะรู้สึกเฉยๆ กับพระทุกองค์ที่พบเห็น
แต่สำหรับหลวงปู่ปานแล้วยิ่งมองก็ยิ่งแปลก ทำให้ดิฉันทิ้งไม่ลง เมื่ออ่านแล้วก็ฉีกคอลัมน์นี้เก็บไว้เฉยๆ บางครั้งก็นำมาสวดพระคาถาปัจเจกโพธิ์บ้าง
แต่ก็ไม่จริงจังอะไร เพราะดูแล้วคงปฏิบัติยาก ต้องตักบาตรทุกเช้าห้ามขาด เว้นศีล ข้อ 2 และ ข้อ 5 คือ สุรา การพนันอย่างเด็ดขาด ดูแล้วคงยาก
เรื่องตักบาตรทุกวันคงทำไม่ได้แน่ๆ
ต่อมาปี ๒๕๔๒ ดิฉันตกงาน มีความทุกข์มากจนต้องเข้าหาวัดปฏิบัติธรรม ทุกข์เรื่องหนี้สิน ทำให้นึกถึงหลวงปู่ปานและพระคาถาปัจเจกโพธิ์ของท่าน
ดิฉันจึงนำท่านมาขึ้นหิ้งบูชา และตั้งสัจอธิษฐานว่าจะรักษาศีล 2 ข้อดังกล่าวให้บริสุทธิ์ จะไม่ดื่มสุราทั้งหลายอย่างเด็ดขาด
การพนันทั้งหลายแม้แต่หวยใต้ดินก็จะเลิกเล่นเด็ดขาด จุดธูปให้สัจจะกับท่านไว้ รวมถึงสวดมนต์ไหว้พระทุกค่ำ-เช้า และนั่งสมาธิด้วย
พร้อมทั้งตักบาตรทุกเช้าเป็นประจำ และท่องพระคาถาจนขึ้นใจ
ต่อมาดิฉันอยากรู้ประวัติท่าน และอยากได้ภาพสีของท่านมาบูชา เพราะที่มีคือ ภาพขาวดำเล็กๆ ซึ่งก็น่าแปลก
ไปเดินห้างก็เห็นหนังสือประวัติท่านตั้งเด่นแต่ไกลจากร้านหนังสือ และจะเจอหนังสือของท่านเรื่อยๆมา แม้แต่ โลกทิพย์-โลกลี้ลับ
พอได้อ่านก็ทำให้ทราบถึงการปฏิบัติธรรม การธุดงค์ของท่านและสิ่งที่อยากได้มากที่สุดก็คือภาพสีของท่านเพื่อนำมาบูชา
ดิฉันก็ได้รับจากผู้ใหญ่ใจบุญท่านหนึ่ง เป็นภาพถ่ายของหลวงปู่สมัยท่านยังมีชีวิต และทำ ยันต์เกราะเพชร ไว้ข้างภาพของท่านด้วย
และยังได้เหรียญรูปเหมือนของท่านมาบูชาอีก ดิฉันได้ครบทุกอย่างเกี่ยวกับหลวงปู่ตามที่ใจอยากจะได้ คงเพราะด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง
คืนหนึ่ง ปลายเดือน ก.พ. ๒๕๔๕ เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ขณะที่หลับอยู่ ก็รู้สึกว่าที่ศีรษะตรงกลางกระหม่อมเย็นชาไปหมด
(ดิฉันรู้สึกตัวแต่ลืมตาไม่ขึ้น) จะเย็นวูบๆ เหมือนถูกไฟดูด ความเย็นลงมาเป็นสายๆ จากรูปภาพหลวงปู่ที่บูชาอยู่บนหิ้งพระ
คือหิ้งพระติดอยู่เหนือหัวที่ดิฉันนอนอยู่ ดิฉันได้แต่นอนนิ่งๆ และคิดอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา อะไรมาดูดศีรษะเรา ซึ่งเย็นจนศีรษะชาไปหมด
ความเย็นก็ลงมาเป็นสายๆ ขาวๆ เหมือนหมอกวนๆ อยู่ที่กระหม่อมอยู่ประมาณ 3-4 นาที ก็หายไป แต่ศีรษะก็ยังเย็นๆ และมึนๆ อยู่
ลืมตาขึ้นได้ก็นอนคิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังคิดไม่ออก
ดิฉันคิดอยู่เป็นเดือนว่าความเย็นนั้นคืออะไร แล้ววันหนึ่งก็หยิบหนังสือประวัติหลวงปู่มาอ่านใหม่อีก และก็เจอบทหนึ่งกล่าวถึง
อานุภาพยันต์เกราะเพชร ที่หลวงปู่เป่ายันต์เกราะเพชรให้ลูกศิษย์เมื่อตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เมื่อเป่าให้แล้วท่านจะถามแต่ละคนว่ามีอาการยังไง
บางคนก็บอกว่าคันยิบๆ ที่ศีรษะ บางคนก็บอกว่าเย็นวูบๆ ที่กลางกระหม่อม
ดิฉันเลยหายข้องใจว่าที่แท้ก็คือ ท่านคงเมตตาดิฉันด้วยการเป่ายันต์เกราะเพชรให้ด้วยตัวท่านเอง
ถึงแม้ท่านจะละสังขารไปนานแล้ว แต่ก็ยังเมตตาต่อดิฉันมาก คงด้วยความศรัทธาที่ดิฉันมีต่อท่านอย่างยิ่ง และสำคัญคือปฏิบัติตามคำสั่งสอน สวดมนต์ไหว้พระ
ทำบุญตักบาตรทุกวัน จึงเกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับดิฉัน
พระคาถาพระปัจเจกโพธิ์โปรดสัตว์
(ตั้ง นะโม ๓ จบ) แล้วว่า
พุทธะ มะอะอุ นะโม พุทธายะ (๓ หน) แล้วต่อด้วยพระคาถาดังนี้
วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วะระทาสา วิระอิตถีโย
พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สะวาโหม ฯ (ว่า ๙ จบ)
ให้กระทำทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน และก่อนเข้านอน ให้ระลึกถึง พระปัจเจกพุทธเจ้า ครูผึ้ง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
แล้วอธิษฐานขอให้ท่านทั้งหลายที่เอ่ยนามมานี้ ได้มาโปรดในสิ่งที่ตนต้องการ หมั่นทำบุญใส่บาตรพระทุกวัน จะทำให้พระคาถานี้เข้มขลัง
และศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก..
มีผู้โพสต์ในเว็บ www. lekpluto.org/suksit/suksit_05.htm
|
|
|
|
|