งานพิธีเททองสมเด็จองค์ปฐม "ทองคำ" ณ วัดท่าซุง (ตอนที่ 3)
« 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 »
ตอนที่ ๓
.....สำหรับตอนนี้เหตุการณ์ในวันนั้น ก็มีความชุลมุนวุ่นวายพอสมควร กว่าจะนั่งเข้าประจำที่ของตนเองได้ ปรากฏว่าบางคนต้องนั่งลงไปที่พื้นปูน
เพราะภายในเต็นท์ทั้งภายนอกและภายในปะรำพิธีเต็มไปหมด เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เครื่องสักการะทั้งหลายก็ได้
ถูกจัดวางไว้บนโต๊ะหมู่ที่อยู่ในซุ้มทั้ง ๔ ทิศ ของปะรำพิธี อันมีรูป หลวงปู่ปาน, หลวงพ่อ, ในหลวง, โดยมี
พระประธาน อยู่ท่ามกลาง บายศรีเอก ที่อยู่ภายในซุ้มด้านขวามือบนเวที ส่วนทางด้านซุ้มซ้ายมือมี
บายศรีแต่ละภาคแวดล้อมเป็นบริวาร
ในตอนนี้ ท่านผู้อ่านทั้งหลาย มองดูจากภาพรวมแล้ว บริเวณปะรำพิธีสวยเด่นเป็นสง่า มีความวิจิตรตระการตาบอกไม่ถูก เพราะมี
ปราสาททองคำ เป็นแบ๊คกราวด์อยู่ด้านหลัง ส่วนภายในก็มีพระภิกษุสามเณร และญาติโยมทั้งหลายนั่งอยู่เป็นจำนวนมาก
ท่านเจ้าอาวาสก็นั่งรับแขกด้วย เพื่อให้ญาติโยมได้เข้ามาบำเพ็ญกุศล มองออกไปเห็นเข้าแถวกันยาวเหยียด ท่ามกลางบรรยากาศในยามบ่าย
เสียงดนตรีไทยบรรเลงเพลงไปเรื่อย ดร.ปริญญากับผู้เขียน ช่วยกันเป็นพิธีกร เพื่อจะรอเวลา ท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ เดินทางมาถึง
ในระหว่างนี้ ท่านเจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาส ก็ได้เริ่มทำพิธีบวงสรวงบายศรีของวัด และบายศรีรวมภาค แล้วจึงให้ญาติโยมและพระภิกษุทั้งหลาย
ช่วยกันนำทองคำแท่ง (หนักแท่งละ ๑ ก.ก) ไปใส่ลงในเบ้าหลอมก่อน
เมื่อท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ เดินทางมาถึงจึงได้เริ่มพิธีการต่อไป จนกระทั่งดร.ปริญญานำบูชาพระ รับศีล และอาราธนาพระปริตร
แล้วท่านเจ้าอาวาสก็ได้กล่าวเรื่องการจัดงาน และนำเจริญสมาธิจิต ประมาณ ๑๐ นาที
ต่อจากนั้น จึงเชิญคณะศิษย์ที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาคออกมารับแผ่นทองจาก ท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ บนปะรำพิธี แล้วนำไปใส่ลงในเบ้าหลอมจนหมดสิ้น
จากนั้น ท่านเจ้าประคุณฯ ผู้เป็นองค์ประธาน จึงได้ลุกยืนขึ้นถือสายสูต (สายสิญจน์) เพื่อเททองลงในแบบพิมพ์ พระเถรานุเถระอันมี
เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เป็นต้น เจริญชัยมงคลคาถา ปี่พาทย์บรรเลงเพลงมหาฤกษ์มหาชัย เจ้าหน้าที่ตีฆ้องลั่นกลองชัย
ท่ามกลางเสียงพลุที่ดังขึ้นสู่ทองฟ้า ๒๑ นัด
ในยามเย็นนั้น บรรยากาศกำลังสบาย ท่ามกลางสายลมพัดผ่านโชยมาเบาๆ ทุกคนมีความปลื้มปีติยินดีที่ได้มีโอกาสร่วมสร้างมหากุศลในครั้งนี้
ทุกคนต่างก็จับปลายสายสิญจน์ที่ขึงอยู่ในปะรำพิธีตลอดเวลา ส่วนที่นั่งอยู่ภายนอกบ้างก็พนมมือ น้อมจิตระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าไปด้วย
ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่อยู่โดยรอบ ต่างก็จ้องมองไปในขณะที่ทำพิธีเททอง แต่พอเสร็จพิธีแล้ว คราวนี้ต่างจ้องที่จะดึงสายสิญจน์กัน
เพื่อเก็บไว้เป็นศิริมงคลแก่ตนเองต่อไป
สำหรับสถานที่เททองอยู่ตรงหน้าปะรำพิธี โดยมีเบื้องบนเวทีที่ยกขึ้นสูง จะมองเห็นสัปทนสีทองกางกั้นองค์ประธานแต่ไกล ท่ามกลางเต็นท์ทั้งสองด้าน
ที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีทองมีชายร้อยด้วยมุกแวววาว พร้อมกับตั้งฉัตรสีทองขลิบขาวไว้สูงเด่นเป็นสง่า ท่านเจ้าประคุณหลวงพ่อสมเด็จฯ
มีความเมตตาปรานีกับลูกหลานหลวงพ่อทุกคน
ท่านยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา แม้จะเททององค์ที่มีเนื้อทองคำบริสุทธิ์สำเร็จไป ๑ องค์ แล้วก็ตาม ความจริงท่านจะต้องรีบเดินทางกลับวัดทันที โดยมี
ท่านเจ้าคุณสุวรรณฯ และ ท่านพระครูวิมลฯ ร่วมเดินทางมาด้วย แต่ทว่าด้วยความอนุเคราะห์จากท่านด้วยดี ท่านบอกกับพระครูปลัดอนันต์ว่า
จะยังไม่กลับตามกำหนดเดิม ขออยู่รอเททองอีก ๑ องค์ เพราะมีญาติโยมบริจาคทองคำมากมาย จนสามารถเทองค์พระได้อีก ๑ องค์
เพราะฉะนั้น ด้วยกุศลผลบุญที่ทุกคนถวายต่อ สมเด็จองค์ปฐม ด้วยการบูชาด้วยทองคำอันมีค่านี้ ถึงแม้จะต้องถอดสร้อยออกจากคอ
แม้จะต้องถอดแหวนออกจากนิ้ว หรือถอดกำไลออกจากข้อมือก็ตาม เวลานั้นกำลังใจของทุกคนไม่มีคำว่าเสียดายอยู่ในจิตใจเลย ทุกคนลืมความตระหนี่
ลืมภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบภายในครอบครัวทั้งหมด ด้วยเหตุความดีที่สูงสุดนี้ ผู้เขียนรู้สึกประทับใจต่อผู้คนทั้งหลาย จึงขอนำ
บันทึกพิเศษ ของท่าน เฉพาะตอนสำคัญมาอภินันทนาการท่านผู้อ่าน ซึ่งผู้เขียนได้มาจาก คุณโยมเฉิดศรี ภรรยา
ท่านเจ้ากรมเสริม นานแล้ว
ในสมัยก่อน ถ้าจะคุยเรื่องอย่างนี้ ส่วนมากจะไม่เปิดเผยกัน เพราะฉะนั้น บันทึกพิเศษ ฉบับนี้ จะมีกันเพียงไม่กี่คน
เพราะถือว่าเป็นเรื่องภายใน ไม่เป็นสาธารณะแก่ใคร แต่สมัยปัจจุบันนี้ แตกต่างกว่าสมัยก่อนมาก เพราะคนรุ่นนี้มีกำลังใจสูง
สามารถเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี
เมื่อได้อ่านแล้ว ท่านจะเข้าใจถึง "จริยาเดิม" หมายถึง "บุพกรรมเดิม" ที่เคยกระทำมา มิฉะนั้นจะกระทำการเช่นนี้ได้ยาก
เพราะการถอดเครื่องประดับอันมีค่าของตน ไม่ใช่บุคคลอื่นใดจะทำกันได้ง่าย แต่มิใช่หมายความว่า คณะอื่นจะทำไม่ได้ เขาอาจจะทำได้เหมือนกัน
แต่คิดว่าเป็นส่วนน้อยเท่านั้น
บันทึกพิเศษ
ท่านได้บันทึกพิเศษนี้ไว้เมื่อคืนวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ เวลา ๒๐.๓๐ น. โดยเล่าว่า สมัยหนึ่งท่านได้เกิดมาเป็นเจ้าผู้ครองนคร
ขณะนั้นมีแต่พราหมณ์ ไม่มีพระในเมือง จึงจัดตั้งโรงทานเพื่อสงเคราะห์ประชาชนทั้งหลาย
วันหนึ่ง ในขณะที่กำลังแจกของในแคว้นเมืองขึ้น มีเสนาบดีเขาบอกว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด พวกเราแปลกใจ เพราะไม่เคยรู้เลยว่า
พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร คิดว่าเป็นเทวดา ถามเขาว่าท่านมาจากวิมานชั้นไหน เขาบอกว่าไม่ใช่เทวดา แต่เป็นพระพุทธเจ้า เขาเองก็ยังไม่เห็นตัวเหมือนกัน
เขาบอกว่านายประตูเมืองเข้ามาแจ้งว่า พระพุทธเจ้าขอเข้ามาโปรดในเมือง ท่านปู่ ท่านอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร
จึงอนุญาตให้เข้ามาได้ แต่เสนาบดีเขาบอกว่า ต้องออกไปรับ จึงพร้อมกันออกไปรับ ที่ไปไม่ใช่เลื่อมใส ไปเพราะอยากรู้ว่า
พระพุทธเจ้ามีรูปร่างอย่างไรมากกว่า จึงออกไปเป็นกองเกียรติยศใหญ่ เพราะกษัตริย์เสด็จหมดตระกูล พร้อมด้วยพลสี่เหล่า เป็นขบวนใหญ่และสวยงามมากจริงๆ
ฝ่ายในแต่งกายด้วยเครื่องประดับเต็มอัตรา มองดูแล้วคล้ายกับจะขนเครื่องทอง เครื่องเพชรไปขาย
พอไปถึงท่าน เห็นท่านเป็นมนุษย์ธรรมดา ห่มผ้าสีย้อมฝาด ศีรษะโกน นั่งสงบเสงี่ยม แต่องค์พระพุทธเจ้ามีรัศมีออกจากกายสวยงามมาก พอไปถึง
ท่านปู่ ก็นำถวายนมัสการ การกราบไหว้นี้มีมานานแล้ว
เมื่อทุกคนกราบหมด พระองค์ก็เริ่มแสดงปาฏิหาริย์ คือนั่งอยู่อย่างนั้น แต่ท่านและพระทุกองค์ค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนือพื้นที่นั่ง จนสูงเท่ายอดตาล
แล้วลอยลงมานั่งที่เดิม พวกเราแปลกใจมาก กราบกันเป็นการใหญ่ ไม่รู้ว่าเท่าไร ยายตุ๋ย แกมีอะไรแปลกกว่าคนอื่น
แกกราบแล้วแกแหงนหน้ามอง แล้วก็กราบน้ำตาแกไหลเพราะปลื้มใจ
เมื่อพระองค์พร้อมด้วยพระสาวกนั่งที่เดิม ก็ทรงเริ่มเทศน์ คือพูดให้ฟัง พอท่านเทศน์จบ ท่านปู่ ฉัน และนักรบทั้งหมด
ถอดอาวุธคู่มือถวายเป็นพุทธบูชา ท่านย่า แม่ศรี นนทา (ครูนนทา อนันตวงศ์) ตุ๋ย (สิริรัตน์ โรจนวิภาต) ถอดเครื่องประดับกายทั้งหมด...
เป็นอันว่า ทุกคนในกองเกียรติยศทั้งหมด คงจะได้ร่วมกันบูชาพระพุทธเจ้า ดังที่พระเดชพระคุณท่านเล่ามานี้ อันเป็นจริยาเดิมที่เคยประพฤติกันมาแล้ว
ซึ่งพวกเราก็ได้เคยประสบมาด้วยตนเองเช่นกันว่า ในเรื่องของการไปจัดงานตามสถานที่สำคัญต่างๆ เกือบทุกภาคของประเทศ บางทีมีความไม่สะดวกที่จะจัดขบวนแถว
แต่พอถึงเวลาจะจัดงานจริงๆ จะต้องมีเหตุให้ต้องจัดขบวนแถวจนได้ แล้วบ่อยครั้งด้วยนะ
จึงคิดว่าพวกเราคงเคยบูชาพระพุทธเจ้า ด้วยขบวนกองเกียรติยศมาแล้วในอดีต จนมาถึงชาติปัจจุบันนี้ ถ้าจะไปกราบไหว้พระพุทธเจ้าที่ไหน
จะเดินไปกราบอย่างที่เขาทำกันไม่ได้ คือจะต้องยกกองเกียรติยศไปเป็นขบวนมากมาย ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้
แต่ก็ถือว่าเหมาะสมที่กระทำ เพราะพระคุณความดีของพระพุทธเจ้ามีมากมาย สุดที่จะพรรณนา ความดีที่พวกเราทำถวายกันครั้งนี้
เหมือนกับได้เทิดทูนพระคุณของพระองค์ รวมทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายไว้เหนือเศียรเกล้า กิจกรรมที่กระทำครั้งนี้ จึงสำเร็จลุล่วงไปด้วย
ย่อมเป็นเพราะผลแห่ง ความสามัคคี นั่นเอง
ฉะนั้น พวกเราทุกคนจึงถือว่าได้ทำตามโอวาทของท่านในชาติปัจจุบันนี้ และได้กระทำมาแล้วตามจริยาเดิม
นั่นคือถอดอาวุธและเครื่องประดับออกบูชามาตั้งแต่อดีตชาติ พร้อมกับ ท่านปู่-ท่านย่า, ท่านพ่อ-ท่านแม่ ผลบุญทั้งหมดนี้คงจะรวมตัวกัน
เพื่อผลอันไพบูลย์เช่นกัน นั่นก็คือ... พระนิพพาน
รวมความว่า พระพุทธรูปทองคำที่อุบัติขึ้นในครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นศิริมงคลแก่ชาวไทยและประเทศชาติ เพื่อน้อมเกล้าฯ
ถวายพระราชกุศลแด่องค์พระประมุขของชาติด้วย จึงทำให้พวกเรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ท่านพระครูปลัดอนันต์
หลังจากได้เห็นองค์พระที่ถอดออกมาจากแม่พิมพ์แล้วในตอนกลางดึก พร้อมกับหลายท่านที่ยังไม่กลับ เมื่อได้เห็นแล้วต่างก็ออกปากชื่นชมว่า
สวยงามมากเหลือเกิน..! แต่คงสวยต่อไปอีกไม่ได้แล้ว จะต้องติดตามในตอนต่อไป งานพิธีฉลองสมโภช สวัสดี...
« 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 »
|