Not logged in [Login - Register]
Go To Bottom
Printable Version | Subscribe | Add to Favourites ตั้งหัวข้อใหม่
[*] posted on 1/5/08 at 22:11 [ QUOTE ]

บทวิเคราะห์ "พระเจ้าตากสิน" สวรรคตเพราะเหตุใด? (ตอนที่ 8 ตอนจบ)






หลวงพ่อเล่า "พระสอนในป่า"


ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ตอนนี้ก็เป็นตอนที่ ๒ ของ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เมื่อตอนที่ ๑ มาจบลงตอนที่พระเจ้าตากสินฯ บวช แล้วรัชกาลที่ ๑ กับคณะ รวมกันแล้วจริง ๆ ก็ประมาณสัก ๒๐๐ คน ใช้คานหามหามออกทางปากท่อ ไปกลางคืนเอาไปที่นครศรีธรรมราช แล้วก็ตั้งลูกชายเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ลูกชายคนโต ลูกชายคนรองก็เป็นพ่อค้าสำเภา หมดภาระ ทีนี้ก็กลับมาถึงด้านกรุงเทพฯ

ด้านกรุงเทพฯ ต่อมาข่าวการมาของ "เจ้าสัว" เจ้าสัวแกมาอย่างนี้มาเรือ ๗ ลำ เอาหีบใหญ่ใส่เงินมา ๗ หีบ ลำละหีบ ขนาดใหญ่มากกะว่า เงินเก่าถ้าได้แล้วได้ดอกเบี้ยด้วยก็ให้กู้ต่อไป เพราะบ้านเมืองเจริญขึ้นสงบขึ้น ก็ต้องใช้เงินมาก แล้วก็เอาเงินใหม่ให้กู้ด้วย คือ กู้ทั้งเงินเก่าเงินใหม่ การที่พระเจ้าตากสินฯ ถูกประหารชีวิตตามข่าวโกหกนั้น แกไม่รู้ เขาต้องประกาศว่า พระเจ้าตากสินฯ ถูกรัชกาลที่ ๑ ประหารชีวิต เป็นเรื่องธรรมดาของการเมือง ท่านทำเพื่อประเทศชาติ

ต่อมาก็ปรากฏว่า เมื่อเรือแล่นเข้ามาถึง สัตหีบ แถวนั้น ในทะเลไกลไปแถว ๆ เกาะล้าน เลยเกาะล้านไปสักหน่อย ก็ปรากฏว่ามี ลมสลาตัน ลมนั้นปลิวเอาดาบ เอาหอกมาด้วย เข้าผลักไสบรรดาเรือของเจ้าสัว คนในเรือล้มตายกันเป็นแถว หีบทั้งหมด หีบเงิน ก็ถูกลำเลียงขึ้นบก แล้วก็จมเรือ สิ่งของต่าง ๆ ที่ไม่ต้องการก็อยู่ในเรือ อันนี้ก็เป็นเรื่องนิทานเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก ประวัติศาสตร์อย่าเขียนตามนี้นะ เขียนตามนี้เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่จริง

รวมความว่า "เจ้าสัว" นอกจากตัวเขาจะเป็นเจ้าสัวให้กู้ เจ้าหน้าที่ของเขาที่กรุงเทพฯ ก็มีอยู่ตลอดเวลา ทางราชการเราก็ถามว่า เจ้าสัวมาหรือยังเงินพร้อมจะจ่ายแล้ว จ่ายคนอื่นก็ไม่ได้ ต้องจ่ายกับเจ้าสัวตามสัญญา เจ้าหน้าที่ทางนี้ของเขาก็ไม่เห็นเจ้าสัวมาสักที ก็หมดเรื่องหมดราวไป เงินก็เลยไม่ต้องชำระหนี้กัน

ทีนี้ถ้าจะถามว่าปั้นรูปรัชกาลที่ ๑, ที่ ๕, ที่ ๖ แล้วก็รูป ร.๙ รูปพระเจ้าตากสินฯ ปั้นไว้ทำไม แต่ความจริงก็น่าจะปั้นทั้ง ๑๐ รัชกาล แต่มันไม่ไหว ที่ไม่มี แต่ที่มีความสำคัญ คือ

๑. วันจักรี เด็กนักเรียนที่นี่ มีบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมีที่มีความเคารพในรัชกาลที่ ๑ แล้วก็เคารพในพระราชวังจักรีจะได้มนัสการ ถวายบังคมกัน จะจัดการทำบุญวันจักรีเกิดขึ้น คือว่า ถ้าไหว้เฉย ๆ ผลมันก็มีเหมือนกัน แต่ว่าอย่างนั้น ๆ แหละ ถ้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านจะมีประโยชน์ใหญ่

ประการที่ ๒ วันปิยะมหาราช ถ้าวันปิยะมหาราชถึงเข้ามา ก็ทำบุญเหมือนกัน

ประการที่ ๓ วันลูกเสือ คือ รัชกาลที่ ๖ เอานักเรียนมาทำความเคารพ แล้วก็ทำบุญเลี้ยงพระกัน ไม่ต้องมาก อุทิศส่วนกุศลถวายท่าน

มาถึง วันรัชกาลที่ ๙ วันเฉลิมพระชนมพรรษาฯ วันที่ ๕ ธันวาคม ที่เราไม่ได้ไปกรุงเทพฯ กัน เราก็ทำบุญกันที่นี่ ประดับประดาไฟ ทุกรัชกาลประดับไฟหมด



พระเจ้าตากสินลาพุทธภูมิ


วันพระเจ้าตากสิน วันที่ ๒๘ ธันวาคม เราก็ไหว้ ไหว้พระเจ้าตากสินที่เป็นกษัตริย์ด้วย ไหว้พระเจ้าตากสินที่เป็นพระด้วย อันนี้เป็นการยืนยันว่าพระเจ้าตากสินก่อนจะสวรรคตเป็นพระ แล้วก็ไม่ได้ถูกฆ่าตาย สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำของท่านยังอยู่ใครอยากจะไปดู ก็ไปดู กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้

แต่ความจริงกุฏิที่ท่านอยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำมีความผาสุกกว่านั้น เวลาท่านออกมาจากถ้ำ ท่านก็มีที่พัก มีห้องพัก ห้องร้อน ห้องเย็นของท่านตามสบายๆ แต่ความจริงไม่ได้สั่งลูกชายเป็นคนสร้าง ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้วมันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้วก็คนแก่ด้วย ก็หมดความรัก

ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมของท่าน ก็เป็นด้วยความเคร่งครัด คือไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า "เคร่งครัด" คือปฏิบัติตรงไปตรงมาใน "มัชฌิมาปฏิปทา" แต่ทว่า พระเจ้าตากสิน เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็น "พระโพธิสัตว์" แล้วต่อมาภายหลัง ถามภาพนิมิต ระยะเวลาใกล้ๆประมาณ มกราคม ๒๕๓๓ เอากันแค่ วันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓

วันนั้นพบ พระเจ้าตากสินอีกครั้งหนึ่ง คือว่า พ.อ.สถาพรนำดาบเล่มหนึ่ง มาจากเมืองตาก เขาบอกว่า ดาบของพระเจ้าตากสิน เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบกที่นครปฐม ซึ่งเป็นนายทหารม้ารุ่นพี่ของ พ.อ.สถาพรเมื่อคืนวันที่ ๒๙ เขามาให้ไว้ คืนนั้นก็ปรากฏว่า ตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะตั้งไว้บนเตียงที่สมควร

พอตอนดึกเวลาประมาณสักหกทุ่ม เวลาจะนอนลงก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพพระเจ้าตากสิน สวยงามมาก มาที่ดาบ

ถามว่า "มาทำไม?"
ท่านบอกว่า "ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็ทำให้มันหน่อย"

ถามว่า "ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง?"
ท่านก็บอกว่า "ประโยชน์มี" ท่านอธิบายให้ฟัง แต่ขอปิด ไม่ใช่ปิด แต่ไม่บอกให้ทราบหลังจากนั้นก็คุยกัน

ถามว่า "เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง?"
ท่านบอกว่า "ยังไม่ได้ลา"

ก็ถามว่า "ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ..?"
ท่านบอกว่า "เวลานี้ปรากฏว่าพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็ม รอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาจากพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด?"

ก็เลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ก็ไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหมล่ะ?"
ท่านบอกว่า "ไปซิ! ที่มานี่ก็จะมาชวนไปด้วยกัน" ไปด้วยกัน ไปหาพระท่าน ไปถึงเมื่อกราบท่านแล้วก็ถามว่า...

"เวลานี้ พระสิน เทวดาสินนี่ เวลานี้เป็นพระโพธิสัตว์ ก็ชักเอือมๆ อยากจะทราบว่า จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไหร หลังจากพระศรีอาริย์ไปแล้ว...?"

พระท่านก็บอกว่า "จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังจากพระศรีอาริย์นิพพานแล้ว"

ก็เล่นเอาเทวดาสินหน้าซีดเซียว...ต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ๓๐ พุทธสมัย ก็เลยถามพระท่านบอกว่า (พระอะไรน่ะห้ามถามนะ! ถ้าจะถามว่า ถามพระอะไร ก็บอกว่าพระก็แล้วกัน)

"ถ้าเทวดาสินจะลาพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน"

ท่านบอกว่า "เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้วกำลังเหลือ ก็เหลือแค่ "เอหิภิกขุ" เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า "เอหิภิกขุ" เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ"

ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า "เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด" เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นเทวดาต่อไป
คำว่า "เทวดาต่อไป" ก็หมายถึงว่าเป็น "วิสุทธิเทพ" นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติรู้ได้อย่างไร ก็บอกว่า ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร ไม่มีความจำเป็น

คนที่เห็นผีน่ะเข้าฌานหรือเปล่าล่ะ เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า มันก็เปล่า สภาพนี่ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอก แต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ มันเรื่องง่ายๆ เรื่องไม่ยาก เรื่องนี้ก็จบกันไปแล้ว เวลามันเหลือ มันก็จบไม่ได้สิ...



ทรงวางแผนกับ ร.๑ สละราชสมบัติ

ทีนี้ก็มาดูเรื่องราวของ พระเจ้าตากสินมหาราชกับพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ บ้าง พระเจ้าตากสินมหาราชนี่เก่งกล้า ความจริงก็ไม่ใช่กษัตริย์เป็นทหาร เมื่อถึงคราวจำเป็นเข้าจริง ๆ ก็นำทหารตีฝ่าข้าศึกออกด้วยกำลังเล็กน้อย ถ้าคิดกันจริง ๆ แล้ว ไม่น่าจะสู้ข้าศึกได้ แต่ก็ฟันฝ่าไปได้ แล้วก็ไปรวบรวมกำลังพล

การหนีไปแบบนั้นเงินทองไม่มีติดตัวกันแน่ แต่ก็ไปอาศัยเมืองชลบุรีบ้าง ระยองบ้าง แต่เมืองจันทบุรีไม่เข้าร่วมด้วย ในที่สุดก็รวบรวมกำลังตีเมืองจันทบุรี ได้เมืองจันทบุรีแล้ว ผลที่สุดก็ต้องคิดดูว่า ความลำบากยากแค้นเป็นอย่างไร เรื่องนี้จะไม่พูดกัน เอาแค่วินิจฉัย

เมื่อรวบรวมได้จริง ๆ กำลังไทยทั้งชาติ เวลานั้นเกือบจะทั้งชาติ อยุธยามีกำลังทหารมาก ยังเสียท่าข้าศึก ข้าศึกยังตีเมืองแตก แต่เวลานั้นพระเจ้าตากสินมหาราชทหารไม่เท่าไร เล็กน้อย แต่สามารถยกเข้าตีประเทศไทยกลับคืนเป็นเอกราชได้ และหลังจากนั้นต่อมา เมื่อไทยทรงตัวได้ พระเจ้าตากสินฯ ก็ทรงวางนโยบาย จะสละราชสมบัติเฉย ๆ ก็เกรงว่า ชาติไทยยังเป็นหนี้เขา กษัตริย์องค์ต่อไปต้องใช้หนี้ ไม่ใช่โกง แต่มันไม่มี ก็ต้องคิดว่า

การรบแบบนั้น ภาษีอากรมันจะเก็บได้อย่างไร มันเก็บไม่ได้ กู้เขามาแล้ว ดอกเบี้ยเขาก็จะเอา ต้นเขาจะคืน และท่านก็ไม่มีใช้ไม่มีจ่าย จึงวางแผนให้สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เป็นกษัตริย์ ไม่ใช่สืบสันติวงศ์ ไม่ใช่ราชาภิเษก เป็นปราบดาภิเษก คำว่า ปราบดาภิเษก หมายความว่า ปราบปรามกษัตริย์องค์เก่า และขึ้นเป็นพระราชา นี่เรื่องนี้ก็เป็นนิทาน

ก็เป็นอันว่า พระเจ้าตากสินฯ ก็วางแผนให้รัชกาลที่ ๑ กับพระราชวังบวรฯ ไปตีเขมร เพราะเขมรแข็งเมือง ให้เอาลูกชายไปด้วย ถ้าตีได้ ให้ลูกชายครองเมืองเขมร กลับมาขอให้รัชกาลที่ ๑ มาปกครองประเทศ พระองค์ก็บวชแกล้งทำเป็นบ้า ในที่สุดพระยาสวรรค์ก็เสียท่า ไปคบกับพวกมายึดอำนาจ พระยาสวรรค์ไม่รู้เรื่องรู้ราว ยึดจริง ๆ หวังจะครองชาติ

แต่ความจริงเป็นความโง่ พระยาอภัย หลานรัชกาลที่ ๑ อยู่ที่นครราชสีมา ยกทัพมาจับพระยาสวรรค์ ในที่สุดก็ฆ่าตาย ถือว่าเป็นกบฏ แล้วต่อมาจึงมีคำสั่งให้รัชกาลที่ ๑ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เวลานั้นยังไม่ใช่กษัตริย์ เป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพกลับจากเขมร และเชิญเถลิงราชสมบัติ

ตามข่าวว่า ฆ่าพระเจ้าตากสินฯ แต่ความจริงไม่ได้ฆ่า เมื่อมาถึงเป็นการรู้เรื่องกัน ตกลงกันก่อนว่าจะให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะพ้นไป ก็ต้องแจ้งข่าวว่า เวลานี้สั่งประหารชีวิตพระเจ้าตากสินฯ แล้ว เพราะพระสติไม่ดี ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ต้องชำระหนี้กัน เป็นการสืบสันตติวงศ์ แต่ความจริงพระเจ้าตากสินฯ บวชด้วยความบริสุทธิ์ ที่เขาบอกว่า จับพระเข้ามาเฆี่ยน แต่ความจริงไม่ใช่พระ พระมีความผิดเอามาสอบสวนจริง แต่ทว่าจะเฆี่ยนตี ก็เอานักโทษโกนหัวเข้ากับผ้าเหลืองนุ่งหน่อย ก็เฆี่ยน ให้ถือว่า พระผิดก็จะลงโทษ แต่คนผิดต้องทำ คนก็เลยเห็นว่าบ้า

แต่ในที่สุดรัชกาลที่ ๑ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ในเมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นพระ มีความประสงค์ไปจำพรรษาที่นครศรีธรรมราช ก็นำขบวนไปส่งกัน ออกเวลากลางคืน ก็เป็นอันว่า พระเจ้าตากสินมหาราชพ้นจากความเป็นกษัตริย์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกขึ้นครองราชย์ เรามาเปรียบเทียบกันกับพระเจ้าพรหมมหาราชกับช้างพลายประกายพรึก เมื่อเสร็จศึกก็ปรากฏว่า ช้างพลายประกายพรึกออกไปจากสถานที่เลี้ยง คนตามไปก็กลายเป็นงูหงอนเลื้อยหนีไป

มาพระเจ้าตากสินมหาราชก็เช่นเดียวกัน เมื่อทำทุกสิ่งทุกอย่างเกิดความมั่นคงดีแล้ว ก็ทรงสละราชสมบัติด้วยพระปรีชาสามารถ คือ ใช้กำลังปัญญาอย่างยิ่ง และก็มอบหมายการงานให้พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ออกข่าวไปบอกว่าเวลานี้ถูกประหารชีวิตแล้ว ตายไปเสียแล้ว แต่เนื้อแท้จริง ๆ ก็ไปบวชอยู่ที่นครศรีธรรมราช เป็นการสละราชสมบัติเหมือนกับช้างพลายประกายพรึก

ก็รวมความว่า ถ้าเราจะนอนฝันกันจริง ๆ ฝันกันเล่นโก้ ๆ พวกได้ฌานสมาบัติอย่าคิดตามนะ พวกเขียนประวัติศาสตร์อย่าเขียนตาม ไม่จริงเรื่องฝัน คิดว่า พระเจ้าตากสินฯ ก็คือ อาจารย์ของ พระเจ้าพรหมมหาราช สมัยนั้น ทีนี้ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ก็เหมือนกับพระเจ้าพรหมมหาราชสมัยนั้น ถ้าคิดอย่างนี้ใครจะมีความคิดอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ก็เป็นอันว่า นี่เป็นแค่เรื่องวินิจฉัยหรือเปรียบเทียบ เรื่องอาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ทั้ง ๒ อย่าง เพราะไม่มีใครยืนยัน

รวมความว่า ประเทศไทยของเรานั้น ในเมื่อมีความจำเป็นก็มีคนมีบุญเข้ามาช่วยอยู่เสมอ ก็ถือว่าเป็นบุญของคนไทย เอาเวลานี้ สำหรับวันนี้ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๓๓ เวลานี้ประเทศไทยกำลังมีความมั่งคั่ง เงินคงคลังมีมาก ก็ถือว่าชาติไทยเมื่อถึงคราวใกล้จะย่อยยับ เวลานั้นเงินคงคลังขาด เป็นหนี้เขายับเยิน

เวลานี้ พล.อ.ชาติชาย ชุณะหวัน เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ ๒ ปี เงินคงคลังเหลือใช้ มีเป็นแสน ๆ ล้าน ก็แสดงว่า เมืองไทยเป็นเมืองมีบุญ พอจะร่อแร่ทีไร ก็มีคนดีเข้ามาทุกที คำว่า คนดี สมัยนั้น ใครดีบ้าง อันนี้ก็ไม่ทราบ บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ถือว่าทุกท่านที่ร่วมกันบริหารดีก็แล้วกัน เวลาหมดแล้ว ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธ ศาสนิกชนผู้รับฟัง และผู้อ่านทุกท่าน..สวัสดี.



บทสุดท้าย มีผู้เขียนบทความในเว็บ

www.siamrath.co.th/UIFont/Articledetail.aspx?nid=404&acid=404


พระโกศพระเจ้ากรุงธนฯ


ปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจในช่วงแห่งงานพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่ว่านั้นคือการจัดการท่องเที่ยวแบบชาวบ้านพ่วงเข้ามากับความตั้งใจที่จะมาสักการะพระศพฯ ด้วย

ผมจึงขอถือโอกาสนี้แนะนำที่เที่ยวเพิ่มอีกสักแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ห่างพระบรมมหาราชวังนัก เพื่อที่จะได้บรรยากาศสอดรับกับความตั้งใจมากราบพระศพในครั้งนี้ด้วย สถานที่ที่ว่านั้นคือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งอยู่ในบริเวณวังหน้า ติดกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ทำไมผมถึงชวนให้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์นี้ ก็คงต้องตอบว่ามีพระโกศและหีบพระศพชิ้นสำคัญจัดแสดงอยู่ด้วย เชื่อแน่ว่าหลายต่อหลายคนไม่เคยรู้และไม่เคยเข้าชมเสียด้วยซ้ำ

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อครั้งอดีตที่ราชบัณฑิตยสภาจัดตั้งพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครขึ้นนั้น ได้ขอโกศโถใบหนึ่ง กับหีบศพจำหลักลายมังกรอีกใบหนึ่งมาจากกระทรวงวัง เพื่อที่จะมาตั้งจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถาน และได้ขอหีบประดับกระจกเป็นลายยามาจากวัดบวรนิเวศฯ อีกใบหนึ่งเอามาตั้งไว้ด้วยกัน

ด้วยเหตุที่ว่าประวัติของที่นำมาจัดแสดงทั้ง 3 สิ่งนั้นไม่มีในจดหมายเก่า ทั้งๆ ที่คนครั้งก่อนรู้ดีว่ามีเรื่องเนื่องกับพงศาวดาร คนในปัจจุบันเมื่อไม่รู้ที่มาที่ไปจึงมองเห็นว่าเป็นของที่ไม่น่าดู และไม่น่าใส่ใจไปในที่สุด เพื่อรักษาประวัติอันควรค่าแก่การรับรู้ไว้มิให้สูญหายไปกับกาลเวลา ขอนำเรื่องของ “โกศโถ” ก่อน

โกศโถนั้นหากดูศักดิ์การใช้ในปัจจุบัน เป็นโกศศักดิ์ชั้นต่ำสำหรับใส่ศพขุนนาง ซึ่งโกศลักษณะนี้มีอยู่ในคลังโกศหลายใบ แต่ใบที่เอามาจัดแสดงนี้แปลกกับโกศโถอื่นๆ รูปทรงงามกว่าโกศอื่นๆ อีกทั้งฝามีลักษณะพิ เศษคือฝาทรงมงกุฎ ในขณะที่โกศโถอื่นฝาทรงปริก ที่สำคัญคือโกศใบนี้ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ถึงขั้นไม่มีใครกล้าใช้

ในประวัติเล่าว่า คราวหนึ่งพนักงานรักษาโกศใบนี้ เอาออกไปใส่ศพเจ้าพระยานคร(น้อย) ที่เมืองนครศรีธรรมราช และเกิดเหตุโกศตกจากเกรินทับภูษามาลาตาย ทำให้ตัวโกศแตกร้าวเป็นหลายซีก และข้อที่ว่าโกศตกทับภูษามาลาตายที่เมืองนครฯ ก็เป็นเรื่องที่ปรากฏจริงในบันทึกจดหมายเหตุด้วย

จากการพิเคราะห์ของผู้รู้ เห็นว่าโกศโถใบนี้เป็นของสร้างเมื่อครั้งกรุงธนบุรี ส่วนที่ทำฝาเป็นทรงมงกุฎ เป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่าเดิมสร้างสำหรับพระศพเจ้านายที่ทรงศักดิ์ชั้นสูงสุด เทียบกับเรื่องพงศาวดารเห็นว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีคงโปรดฯ ให้สร้างสำหรับพระศพกรมพระเทพามาตย์พระราชชนนีพันปีหลวง เมื่อ พ.ศ. 2318

สันนิษฐานต่อมา คราวจัดงานพระศพของพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ “พระเจ้าตากสิน” ก็คงใช้พระโกศนี้ทรงพระศพของพระองค์ตั้งในงานพระเมรุด้วย เพราะในยุคนั้นน่าจะถือโกศนี้เป็นโกศชั้นสูง และเชื่อแน่ว่าในยามวุ่นวายช่วงท้ายรัชกาลเช่นที่ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ โกศชั้นสูงมีใช้อยู่แล้วเห็นจะไม่สร้างพระโกศขึ้นใหม่แน่

อาจเป็นด้วยเหตุที่เคยใช้โกศใบนี้ทรงพระศพพระเจ้ากรุงธนบุรี ดังนั้นเมื่อคราวถึงงานศพเจ้าพระยานคร(น้อย) ที่ทรงยกย่องว่าเป็นโอรสของพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ พระ ราชทานโกศนี้ไปใส่ศพของเจ้าพระยานคร(น้อย)ด้วย

เล่าประวัติมาถึงตรงนี้ ทำให้นึกย้อนกลับไปได้ว่าเหตุที่คนกลัวโกศใบนี้ก็อาจจะกลัวมาแต่แรก เพราะรู้อยู่ว่าโกศนี้เคยทรงพระศพพระเจ้ากรุงธนบุรีมาก่อน แล้วซ้ำมีประวัติว่าทับภูษามาลาตาย คนในสำนักก็เลยถือกันว่าโกศสำคัญใบนี้เป็น "โกศผีสิง" ไปโดยปริยาย

และเชื่อว่าแต่เดิมคนที่รู้ที่มาที่ไป เห็นจะไม่ใช้โกศใบนี้กันอย่างพร่ำเพรื่อต่อเมื่อเวลาล่วงเลยไป ผู้รู้เรื่องเดิมของโกศเกี่ยวกับการใช้ทรงพระศพพระเจ้ากรุงธนบุรีหมดตัวไป ยังคงเหลือรู้กันแต่ว่าเคยใส่ศพเจ้าพระยานครฯ จึงทำให้โกศสำคัญชั้น “พระโกศ” องค์นี้ ถูกใช้เป็นโกศชั้นต่ำสำหรับใส่ศพขุนนางสืบมา ก่อนที่จะนำมาจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ดังเช่นทุกวันนี้.

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน

************************








สมาชิกท่านใดต้องการชม "คลิปวีดีโอ" หลวงพ่อเล่าเรื่อง "พระเจ้าตากสินลาพุทธภูมิ"
กรุณา Login ก่อนที่นี่ แล้วจึงจะ Link ไปหาข้อมูลดังกล่าว.


ชื่อสมาชิก รหัสผ่าน


[ PROFILE ] [ FIND ] [ U2U ]
ตั้งหัวข้อใหม่

Go To Top